xs
xsm
sm
md
lg

บึ้มสยามพารากอน ถึงเวลาที่ “ประยุทธ์” ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
รายงานการเมือง

เริ่มเดือนแห่งความรักด้วยเสียงตูมตามของระเบิดที่บริเวณทางเข้าห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย นับเป็นสัญญาณอันตรายครั้งสำคัญที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และ นายกรัฐมนตรี ต้องพิเคราะห์ให้จงหนัก

เนื่องจากเป็นความรุนแรงที่ประสงค์ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จงใจท้าทายอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของ คสช. โดยตรง ขณะเดียวกัน ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงระเบิดเตือนสติผู้มีอำนาจที่คิดประนีประนอมปรองดองยอมความกับ “คนชั่ว” ให้กลับมาทบทวนใหม่ว่า

ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์จาก “สมยอม” มาเป็น “จัดการ” อย่างจริงจังหรือยัง

ที่ผ่านมา แม้ว่า คสช. จะทำให้ประชาชนเกิดความรู้เหมือนกับว่า “เอาอยู่” ในการกุมสภาพบ้านเมืองทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีความรุนแรงหรือการก่อวินาศกรรมป่วนเมือง และยังมีการจับกุมอาวุธสงครามได้จำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า การดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าวไม่มีการเชื่อมโยงไปถึงต้นตอ ทั้งๆ ที่มีเบาะแสมากมายที่บ่งชี้ว่าเป็นพฤติกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมี “ท่อน้ำเลี้ยง” มาจากคนแดนไกล

คสช. พลาดโอกาสที่จะขยายผลกรณี “ขอนแก่นโมเดล” ซึ่งปรากฏข่าวในเบื้องต้นว่าโยงใยไปถึงคนบงการ แต่เมื่อมีการสรุปคดีส่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายกับผู้ต้องหาราว 20 คน ก็จบที่ตัวเล็กตัวน้อยไม่มีการสาวให้ลึกลงไปอย่างที่ควรจะเป็น

แม้กระทั่งการจับกุมชายชุดดำล่าสุดที่ตอนแรกระบุว่า เกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม แต่ในที่สุดกองปราบก็รวบรัดแจ้งข้อหาเพียงแค่การพกพาอาวุธเท่านั้น ไม่มีการส่งคดีต่อไปให้ดีเอสไอที่ดูแลคดีก่อการร้าย ไม่มีการขยายผลกรณีที่พบการโอนเงินเข้าบัญชีคนเสื้อแดง ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบหายไปกับสายลม ตัวใหญ่ยังคงผึ่งผายจ่ายเงินดูแลลูกกระจ๊อกทั้งที่อยู่ในประเทศ และหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างประเทศอย่างสบายใจเฉิบ

เมื่อวิธีการเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้ขบวนการก่อการร้ายที่อยู่ในช่วงกบดานเข้าสู่ระยะฟักตัวพร้อมดำเนินการได้ทุกเวลาเมื่อเงื่อนไขสุกงอม ซึ่งก็สอดคล้องกับคดีถอดถอน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง พอดิบพอดี ดังนั้นจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองคงไม่ได้

ถ้าพิจารณาจากท่าทีของ ยิ่งลักษณ์ จะพบว่าในช่วงแรกก่อนที่จะมีการลงมติถอดถอน ดูเหมือนว่าจะมีความมั่นใจอย่างที่สุดว่าจะรอดพ้นพงหนามได้อย่างสบายๆ เพราะ สนช.สายทหาร ก็ออกตัวล้อฟรีว่า น่าจะดำเนินการยากเพราะรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่มีผลบังคับใช้แล้ว แต่เมื่อกระแสสังคมทวีความรุนแรงมากขึ้นจนถึงขั้นที่อาจยากต่อการควบคุม พล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวว่า ปรองดองต้องยึดกฎหมาย และไม่สงสารคนทำผิดกฎหมาย

ยิ่งเมื่อถึงวันที่มีการลงมติอัยการสูงสุดก็ออกมาแถลงฟ้องดำเนินคดีอาญากับยิ่งลักษณ์ ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว ก่อนที่ สนช. จะลงมติเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ถือเป็นการส่งสัญญาณแรงชัด ว่า ผู้มีอำนาจไม่คิดอุ้มยิงลักษณ์อีกต่อไป ทำให้มติ สนช. ออกมาเกินคาด คือ เสียงถอดถอนมากถึง 190 เสียง เป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังกุมสภาพได้ แม้ว่าที่ผ่านมาดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถนัดเพราะติดพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์

ในการลงมติวันดังกล่าวยังมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม คนโตในรัฐบาล ไม่เดินทางไปร่วมประชุมในครั้งนี้ ทำให้มองได้ว่าต้องการส่งสัญญาณให้ใครบางคนเห็นว่าปฏิบัติตามสัญญาแล้วที่จะไม่เอาผิดกับยิ่งลักษณ์

แต่เมื่อเหตุการณ์พลิกผันจนมิอาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การก่อวินาศกรรมป่วนเมืองจะย้อนกลับมา ประกอบกับการบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ พล.อ.ประวิตร นั่งหัวโต๊ะเป็นประธาน ก.ตร. มีการโยกย้ายแต่งตั้งแบบฉาวโฉ่ วิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งโจ่งครึ่มจนมีเสียงร่ำลือว่าตัวเลขเบิกจ่ายสูงลิบลิ่วถึง 30 ล้านบาท มีการใช้วิธีหาความผิดเพื่อเด้งออกจากตำแหน่งเอาคนของตัวเองเข้าไปสวมแบบไม่เกรงหน้าอินหน้าพรหม เป็นเหตุให้ตำรวจทั้งสำนักงานอึดอัด

เสียงระเบิดที่พารากอนจึงไม่ได้บอกแค่ว่าขบวนการก่อการร้ายที่คนแดนไกลหนุนหลังกำลังจะกลับมาเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือน พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยว่า ตำรวจกำลังจะเกียร์ว่างไปจนถึงขั้นสมรู้ร่วมคิดเพื่อก่อการ ไม่ต่างจากในยุคที่ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีตำรวจจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยคิดรับใช้ประชาชนกำลังตัดสินใจหวลกลับไปช่วยอำนาจเก่า เนื่องจากคิดว่าตัวเองจะมีอนาคตที่ดีกว่า

ยังไม่สายเกินไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเปลี่ยนยุทธศาสตร์การบริหารใหม่ ด้วยการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา สาวให้ลึกถึงต้นตออย่าปล่อยให้คาราคาซังเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินเหมือนที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ต้องกลัวว่าอันธพาลจะป่วนเมือง เพราะสู้กับโจรจะไม่เจ็บเลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญคือต้องจับให้ได้ อย่าปล่อยเสือเข้าป่าเด็ดขาด ส่วนองค์กรตำรวจก็ควรเข้าไปดูแลเพื่อให้ความเป็นธรรม อย่าปล่อยให้แก๊งอีจ่อยฮึกเหิมจนสร้างปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข

แม่น้ำทั้งห้าของ คสช. ที่หวังว่าจะช่วยปฏิรูปประเทศเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง จะไม่มีความหมายเลย ถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์ ไม่รีบทบทวน เพราะทางเดินที่เลือกอาจเป็น แม่น้ำ “สายเกินไป”
กำลังโหลดความคิดเห็น