ASTV ผู้จัดการรายวัน-"บอย ปกรณ์" ดารานักแสดงหอบหลักฐานซื้อรถหรูลัมบอกินีจาก "กิตติศักดิ์" เข้าชี้แจง ปปง. ระบุไม่เคยรู้จักกับผู้ต้องหาคดีลักเงิน สจล. ยันราคารถเป็นราคาซื้อขายกันปกติในตลาดมือสอง ปปง.แย้ม หากไม่พบเกี่ยวข้อง พร้อมถอนอายัด ตำรวจเร่งปล่อยตัวน้องสาวกิตติศักดิ์แล้ว หลังไม่พบมีส่วนรู้เห็นผ่องถ่ายทรัพย์สินฟรือฟอกเงิน เร่งสอบปากคำแก๊งรับโอนเงินทั้ง 26 ราย ใครไม่มา เจอหมายจับ เผยผู้ต้องหายังอยู่อังกฤษ ทำหนังสือขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว และส่งตำรวจสากลช่วยล่า
วานนี้ (21 ม.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย ดารานักแสดง พร้อมด้วยนายสุรเชษฐ์ ทองอู่ฉาง ทนายความ นำเอกสารและหลักฐานในการซื้อรถยี่ห้อลัมบอกินี สีเขียว ต่อจากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กว่า1,600ล้านบาท เข้าพบ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. เพื่อชี้แจงและให้ปากคำ โดยใช้เวลาในการชี้แจงนานกว่า2ชั่วโมง
นายปกรณ์ กล่าวว่า ได้นำหลักฐานเอกสารการเงิน ซึ่งเป็นเงินจากการทำธุรกิจ ก่อนนำไปซื้อรถ รวมทั้งสัญญาซื้อขายรถ มาแสดงต่อ ปปง. โดยยืนยันว่า ก่อนการซื้อขายรถ ไม่เคยรู้จักกับนายกิตติศักดิ์มาก่อน ซึ่งวิธีการซื้อรถลัมโบกินี สีเขียว คันดังกล่าว ได้มีการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและเดินดูตามเต็นท์รถ ต่อมาได้เบอร์โทรศัพท์ของ โอ๊ต ภาดา ซึ่งเป็นคนขายรถคันนี้ให้ จากบุคคลนอกวงการบันเทิงที่รู้จักกับนายกิตติศักดิ์ จากนั้นตนได้ตรวจสอบข้อมูลรถก่อน จึงซื้อ ทราบว่านายกิตติศักดิ์ ซื้อรถมาจากตลาดเกรย์มาร์เก็ตเมื่อเดือน เม.ย. และตนเองก็ซื้อต่อมาเดือนต.ค ที่ผ่านมา
สำหรับราคารถที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการซื้อขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดนั้น นายปกรณ์ ระบุว่า เป็นที่ทราบกันดีว่ารถที่ซื้อจากตลาดเกรย์มาร์เก็ตราคาจะต่ำกว่าศูนย์ และเมื่อขายต่อจะราคาตกลงมาก เพราะเป็นรถที่รับประกันเพียง1ปี และต้องส่งซ่อมที่ศูนย์นอก ซึ่งมีราคาแพงกว่า ดังนั้น ที่มีการระบุว่าตนเองซื้อรถราคาแพงได้ในราคาต่ำกว่าปกติ ไม่เป็นความจริง เพราะนายกิตติศักดิ์ ซื้อมาราคา17.8ล้านบาท ซึ่งขายต่อให้ตนราคา13.5ล้านบาท ก็เป็นราคาปกติในตลาดรถ
ทั้งนี้ ในส่วนที่ยังไม่สามารถนำรถมาส่งมอบให้กับทาง ปปง. ได้นั้น ทนายความของนายปกรณ์ ชี้แจงว่า รถลัมบอกินี เป็นรถที่มีราคาแพง จึงขอตรวจสอบสภาพรถร่วมกับทาง ปปง. ก่อนที่จะมีการขนย้ายส่งมอบให้ ปปง. ตามระเบียบ
"ยังมีความกังวลใจ และอยากได้รถคืน เราคงโชคไม่ดีเองที่ได้มาซื้อรถคันนี้ หลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการ ขั้นตอนการตรวจสอบของปปง.ต่อไป" นายปรณ์กล่าว
***แย้มถ้าไม่เกี่ยวข้องพร้อมถอนอายัด
พ.ต.อ.สีหนาท เลขาธิการปปง. กล่าวว่า ปปง. จะตรวจสอบเอกสารที่นำหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทั้งเอกสารแคชเชียร์เช็ค โดยตรวจสอบกับธนาคารว่าเป็นของจริงหรือไม่ รวมทั้งเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ โดยจะตรวจสอบข้อมูลให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อจะนำเข้าสู่การประชุมของคณะกรรมการธุรกรรมทางการเงินในวันที่ 11ก.พ.นี้ หากตรวจสอบแล้วพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินและเงินที่ซื้อรถได้มาโดยความบริสุทธิ์ใจและถูกต้องตามศีลธรรม ปปง.ก็จะเพิกถอนการอายัดรถ
ส่วนกรณีที่รถคันดังกล่าว มีการซื้อขายราคาเกิน2ล้านบาท จะต้องรายงานธุรกรรมทางการเงินด้วยนั้น เลขาธิการปปง. กล่าวว่า การรายงานธุรกรรมทางการเงินเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ขายรถให้กับนายกิตติศักดิ์ ถ้านายกิตติศักดิ์ นำเงินสดมาซื้อรถ ไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการก็จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน แต่หากซื้อด้วยแคชเชียร์เช็ค ก็ไม่ต้องรายงาน
นอกจากนี้ เลขาธิการปปง. ยังฝากเตือนไปยังประชาชนว่า หากมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. โทรศัพท์ให้โอนเงินให้โดยอ้างกรณีของ บอย ปกรณ์ ว่า จะมีการยึดทรัพย์ หากไม่โอนเงินให้ อย่าเชื่อเด็ดขาด เพราะล่าสุด มีผู้เสียหายเป็นลูกจ้างโรงงานโอนเงินที่สะสมมาทั้งชีวิตไปให้คนร้าย6ครั้ง รวมจำนวน1.5ล้านบาท เพราะกลัวว่าจะโดนยึดทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ของ ปปง. โทรศัพท์ติดต่อเพื่อให้โอนเงินหรือสั่งการใดๆ ซึ่งหากเกี่ยวข้องกับการทำผิดใดๆ ก็จะมีหนังสือไปถึง เพื่อให้ตอบกลับ หรือโทรมาสอบถามได้ที่ 1710
***ปล่อยตัวน้องสาว "กิตติศักดิ์"
ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. หัวหน้าทีมสอบสวนคดียักยอกเงิน สจล. กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัว น.ส.จุฑารัตน์ ปัดภัย น้องสาวของ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญคดีนี้แล้ว หลังสอบปากคำและสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ดินที่ครอบครอง รวมถึงความเกี่ยวข้องทางธุรกิจที่ทำร่วมกับนายกิตติศักดิ์ เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกัน รวมถึงการให้การ ก็ยังไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร จึงได้ปล่อยตัวกลับไปตั้งแต่เมื่อเย็นวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่พบว่ายังมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ก็จะเชิญตัวมาให้ข้อมูลพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (21 ม.ค.) มีพยานเดินทางให้ปากคำตามหมายเรียกทั้งหมด 6 ราย โดยหนึ่งในนั้น คือ นายจักรี ปัดภัย สามีของน.ส.จุฑารัตน์ น้องสาวนายกิตติศักดิ์ เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ม.ค. นายจักรีติดธุระ จึงประสานขอให้ปากคำในวันที่ 21 ม.ค. แทน ส่วนอีก 5 ปาก เป็นบุคคลที่พบว่ามีเงินจากผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีโอนผ่านเข้าบัญชี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพานิชย์ ที่จะเข้ามาให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน หลังจากที่เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ไม่ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้นัดหมายไว้
พ.ต.อ.ณษ กล่าวว่า ล่าสุดมีการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนของบัญชีเงินที่พบมีการโอนเงินจาก สจล. ผ่านเข้ามาในบัญชีแล้วทั้งสิ้น 7 ปาก โดยจากการตรวจสอบพบว่าทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับนายกิตติศักดิ์ นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และนายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 25 ปี ทั้งนี้ ในส่วนของ บอย ปกรณ์ ที่เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ปปง. ไปแล้วนั้น ทางพนักงานสอบสวนเตรียมประสานไปยัง ปปง. เพื่อขอรายละเอียดทั้งหมด มาประกอบสำนวนคดีต่อไป
***เร่งทำคดีเพื่อให้ทันการส่งฟ้อง
วันเดียวกันนี้ พ.ต.อ.ณษ ยังได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวนคดีดังกล่าว เพื่อสรุปผลความคืบหน้าการดำเนินการในส่วนต่างๆ
พ.ต.อ.ณษ กล่าวก่อนการประชุมว่า การดำเนินคดีกับ น.ส.อัมพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันดังกล่าว และนายทรงกลดนั้น มีการฝากขังเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งเหลือเวลาอีก 25 วัน พนักงานสอบสวนจะต้องเร่งสรุปสำนวนคดีให้เสร็จสิ้น เพื่อให้ทันในการส่งฟ้อง และในส่วนของชุดสืบสวน ก็จะเร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือซึ่งยังหลบหนีอยู่ ประกอบด้วย นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด นายสมพงษ์ สหพรอุดมการ และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่ายังมีบุคคลใดที่เชื่อมโยงกับการกระทำความผิดเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับเพิ่มเติม
ส่วนใครที่สอบปากคำแล้ว ไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดี ก็จะพิจารณาตัดรายชื่อออกไป อย่างไรก็ตาม สำหรับบุคคลที่พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้เข้าพบทั้ง 26 คนนั้น ภายในวันที่ 23 ม.ค.นี้ ทั้งหมดจะต้องเข้าพบพนักงานสอบสวน หากรายใดไม่เข้ามาตามนัด ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมมาชี้แจงเพื่อเลื่อนนัดหมายออกไป
สำหรับอาจารย์ศรุต ราชบุรี ซึ่งพบว่ามีส่วนพัวพันกับคดีนี้ด้วยนั้น ตนได้เร่งรัดให้อาจารย์ศรุต นำพยานหลักฐานมาแสดงเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่การสอบสวนเพิ่มเติมในกรณีของ ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง ขณะนี้ทาง ศ.ดร.ถวิล ยังคงอยู่ต่างประเทศ โดยทราบว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 24 ม.ค. ซึ่งทางพนักงานสอบสวนยังต้องรอเอกสารจากทางธนาคาร เพื่อตรวจสอบกับลายเซ็นของ ศ.ดร.ถวิล อยู่
พ.ต.อ.ณษ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน รับเงินของผู้ต้องหาเป็นอย่างดี เมื่อเชิญมาให้ข้อมูลก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาพบทุกครั้ง แต่ทางพนักงานสอบสวน ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคดีมากนัก สาเหตุคงมาจากปัญหาเรื่องเอกสารที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก และทางธนาคารต้องตรวจสอบย้อนหลังไปหลายปี ซึ่งตนก็มีการประสานกับทางธนาคารตลอดเวลา ที่สำคัญก็คือทางธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นต้นทางของเงินในบัญชีก่อนจะถูกกระจายไปยังบัญชีธนาคารอื่นๆ
***ประสานตร.สากลออกหมายแดงล่า
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ในคดีร่วมกันลักทรัพย์เงิน สจล. ว่า จากการตรวจสอบล่าสุด ยืนยันว่า นายกิตติศักดิ์ เดินทางเข้าประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.2557 และยังไม่เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งขณะนี้ กองการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายกิตติศักดิ์ เสร็จสิ้นแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคาดว่า ภายในวันนี้ จะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ขอให้ส่งตัวนายกิตติศักดิ์ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะแจ้งเรื่องไปยังตำรวจสากล เพื่อให้ออกหมายแดง ในข้อหาลักทรัพย์และฟอกเงิน แจ้งไปยังประเทศสมาชิกทั้ง 190 ประเทศ ให้ช่วยติดตามจับกุม กรณีที่อาจมีการหลบหนีไปยังประเทศอื่น
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของคดี พนักงานสอบสวน ยังอยู่ระหว่างรอเอกสารหลักฐานทางการเงินจากธนาคารที่สจล. ทำบัญชีไว้ เพื่อหาตัวคนสั่งจ่ายเงิน ซึ่งยังไม่พบเจ้าหน้าที่ธนาคารรายอื่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
***สจล.เล็งเลิกทำธุรกรรมกับไทยพาณิชย์
นายจำรูญ เล้าสินวัฒนา รองอธิการบดี สจล. กล่าวว่าขณะนี้ ผู้บริหาร สจล. จะทบทวนว่าจะปิดการทำธุรกรรมทุกรูปแบบกับธนาคารไทยพาณิชย์หรือไม่ ทั้งบัญชีเงินข้าราชการ บุคลากร บัญชีเงินคงคลัง เป็นต้น เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยในการรักษาเงินของทางธนาคาร ประกอบกับที่ผ่านมา สจล. ได้ประสานขอเอกสารการถอนเงิน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้รู้ว่าใครเป็นกระทำผิด ก็ไม่เคยได้รับความร่วมมือจากธนาคาร ทั้งนี้ หากมีมติใดออกมาผู้บริหาร สจล. จะทำหนังสือเวียนถึงประชาคม สจล.ให้รับทราบต่อไป
วานนี้ (21 ม.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย ดารานักแสดง พร้อมด้วยนายสุรเชษฐ์ ทองอู่ฉาง ทนายความ นำเอกสารและหลักฐานในการซื้อรถยี่ห้อลัมบอกินี สีเขียว ต่อจากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กว่า1,600ล้านบาท เข้าพบ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. เพื่อชี้แจงและให้ปากคำ โดยใช้เวลาในการชี้แจงนานกว่า2ชั่วโมง
นายปกรณ์ กล่าวว่า ได้นำหลักฐานเอกสารการเงิน ซึ่งเป็นเงินจากการทำธุรกิจ ก่อนนำไปซื้อรถ รวมทั้งสัญญาซื้อขายรถ มาแสดงต่อ ปปง. โดยยืนยันว่า ก่อนการซื้อขายรถ ไม่เคยรู้จักกับนายกิตติศักดิ์มาก่อน ซึ่งวิธีการซื้อรถลัมโบกินี สีเขียว คันดังกล่าว ได้มีการหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและเดินดูตามเต็นท์รถ ต่อมาได้เบอร์โทรศัพท์ของ โอ๊ต ภาดา ซึ่งเป็นคนขายรถคันนี้ให้ จากบุคคลนอกวงการบันเทิงที่รู้จักกับนายกิตติศักดิ์ จากนั้นตนได้ตรวจสอบข้อมูลรถก่อน จึงซื้อ ทราบว่านายกิตติศักดิ์ ซื้อรถมาจากตลาดเกรย์มาร์เก็ตเมื่อเดือน เม.ย. และตนเองก็ซื้อต่อมาเดือนต.ค ที่ผ่านมา
สำหรับราคารถที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการซื้อขายในราคาต่ำกว่าท้องตลาดนั้น นายปกรณ์ ระบุว่า เป็นที่ทราบกันดีว่ารถที่ซื้อจากตลาดเกรย์มาร์เก็ตราคาจะต่ำกว่าศูนย์ และเมื่อขายต่อจะราคาตกลงมาก เพราะเป็นรถที่รับประกันเพียง1ปี และต้องส่งซ่อมที่ศูนย์นอก ซึ่งมีราคาแพงกว่า ดังนั้น ที่มีการระบุว่าตนเองซื้อรถราคาแพงได้ในราคาต่ำกว่าปกติ ไม่เป็นความจริง เพราะนายกิตติศักดิ์ ซื้อมาราคา17.8ล้านบาท ซึ่งขายต่อให้ตนราคา13.5ล้านบาท ก็เป็นราคาปกติในตลาดรถ
ทั้งนี้ ในส่วนที่ยังไม่สามารถนำรถมาส่งมอบให้กับทาง ปปง. ได้นั้น ทนายความของนายปกรณ์ ชี้แจงว่า รถลัมบอกินี เป็นรถที่มีราคาแพง จึงขอตรวจสอบสภาพรถร่วมกับทาง ปปง. ก่อนที่จะมีการขนย้ายส่งมอบให้ ปปง. ตามระเบียบ
"ยังมีความกังวลใจ และอยากได้รถคืน เราคงโชคไม่ดีเองที่ได้มาซื้อรถคันนี้ หลังจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการ ขั้นตอนการตรวจสอบของปปง.ต่อไป" นายปรณ์กล่าว
***แย้มถ้าไม่เกี่ยวข้องพร้อมถอนอายัด
พ.ต.อ.สีหนาท เลขาธิการปปง. กล่าวว่า ปปง. จะตรวจสอบเอกสารที่นำหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทั้งเอกสารแคชเชียร์เช็ค โดยตรวจสอบกับธนาคารว่าเป็นของจริงหรือไม่ รวมทั้งเส้นทางการเงินว่าเกี่ยวข้องกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ โดยจะตรวจสอบข้อมูลให้เสร็จเรียบร้อย เพื่อจะนำเข้าสู่การประชุมของคณะกรรมการธุรกรรมทางการเงินในวันที่ 11ก.พ.นี้ หากตรวจสอบแล้วพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินและเงินที่ซื้อรถได้มาโดยความบริสุทธิ์ใจและถูกต้องตามศีลธรรม ปปง.ก็จะเพิกถอนการอายัดรถ
ส่วนกรณีที่รถคันดังกล่าว มีการซื้อขายราคาเกิน2ล้านบาท จะต้องรายงานธุรกรรมทางการเงินด้วยนั้น เลขาธิการปปง. กล่าวว่า การรายงานธุรกรรมทางการเงินเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ขายรถให้กับนายกิตติศักดิ์ ถ้านายกิตติศักดิ์ นำเงินสดมาซื้อรถ ไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการก็จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ฟอกเงิน แต่หากซื้อด้วยแคชเชียร์เช็ค ก็ไม่ต้องรายงาน
นอกจากนี้ เลขาธิการปปง. ยังฝากเตือนไปยังประชาชนว่า หากมีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ปปง. โทรศัพท์ให้โอนเงินให้โดยอ้างกรณีของ บอย ปกรณ์ ว่า จะมีการยึดทรัพย์ หากไม่โอนเงินให้ อย่าเชื่อเด็ดขาด เพราะล่าสุด มีผู้เสียหายเป็นลูกจ้างโรงงานโอนเงินที่สะสมมาทั้งชีวิตไปให้คนร้าย6ครั้ง รวมจำนวน1.5ล้านบาท เพราะกลัวว่าจะโดนยึดทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ของ ปปง. โทรศัพท์ติดต่อเพื่อให้โอนเงินหรือสั่งการใดๆ ซึ่งหากเกี่ยวข้องกับการทำผิดใดๆ ก็จะมีหนังสือไปถึง เพื่อให้ตอบกลับ หรือโทรมาสอบถามได้ที่ 1710
***ปล่อยตัวน้องสาว "กิตติศักดิ์"
ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. หัวหน้าทีมสอบสวนคดียักยอกเงิน สจล. กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัว น.ส.จุฑารัตน์ ปัดภัย น้องสาวของ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญคดีนี้แล้ว หลังสอบปากคำและสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ดินที่ครอบครอง รวมถึงความเกี่ยวข้องทางธุรกิจที่ทำร่วมกับนายกิตติศักดิ์ เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องกัน รวมถึงการให้การ ก็ยังไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร จึงได้ปล่อยตัวกลับไปตั้งแต่เมื่อเย็นวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่พบว่ายังมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ก็จะเชิญตัวมาให้ข้อมูลพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (21 ม.ค.) มีพยานเดินทางให้ปากคำตามหมายเรียกทั้งหมด 6 ราย โดยหนึ่งในนั้น คือ นายจักรี ปัดภัย สามีของน.ส.จุฑารัตน์ น้องสาวนายกิตติศักดิ์ เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 ม.ค. นายจักรีติดธุระ จึงประสานขอให้ปากคำในวันที่ 21 ม.ค. แทน ส่วนอีก 5 ปาก เป็นบุคคลที่พบว่ามีเงินจากผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีโอนผ่านเข้าบัญชี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพานิชย์ ที่จะเข้ามาให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน หลังจากที่เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ไม่ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้นัดหมายไว้
พ.ต.อ.ณษ กล่าวว่า ล่าสุดมีการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนของบัญชีเงินที่พบมีการโอนเงินจาก สจล. ผ่านเข้ามาในบัญชีแล้วทั้งสิ้น 7 ปาก โดยจากการตรวจสอบพบว่าทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับนายกิตติศักดิ์ นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และนายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 25 ปี ทั้งนี้ ในส่วนของ บอย ปกรณ์ ที่เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ ปปง. ไปแล้วนั้น ทางพนักงานสอบสวนเตรียมประสานไปยัง ปปง. เพื่อขอรายละเอียดทั้งหมด มาประกอบสำนวนคดีต่อไป
***เร่งทำคดีเพื่อให้ทันการส่งฟ้อง
วันเดียวกันนี้ พ.ต.อ.ณษ ยังได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนและชุดสืบสวนคดีดังกล่าว เพื่อสรุปผลความคืบหน้าการดำเนินการในส่วนต่างๆ
พ.ต.อ.ณษ กล่าวก่อนการประชุมว่า การดำเนินคดีกับ น.ส.อัมพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันดังกล่าว และนายทรงกลดนั้น มีการฝากขังเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งเหลือเวลาอีก 25 วัน พนักงานสอบสวนจะต้องเร่งสรุปสำนวนคดีให้เสร็จสิ้น เพื่อให้ทันในการส่งฟ้อง และในส่วนของชุดสืบสวน ก็จะเร่งสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือซึ่งยังหลบหนีอยู่ ประกอบด้วย นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด นายสมพงษ์ สหพรอุดมการ และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่ายังมีบุคคลใดที่เชื่อมโยงกับการกระทำความผิดเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับเพิ่มเติม
ส่วนใครที่สอบปากคำแล้ว ไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดี ก็จะพิจารณาตัดรายชื่อออกไป อย่างไรก็ตาม สำหรับบุคคลที่พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้เข้าพบทั้ง 26 คนนั้น ภายในวันที่ 23 ม.ค.นี้ ทั้งหมดจะต้องเข้าพบพนักงานสอบสวน หากรายใดไม่เข้ามาตามนัด ต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมมาชี้แจงเพื่อเลื่อนนัดหมายออกไป
สำหรับอาจารย์ศรุต ราชบุรี ซึ่งพบว่ามีส่วนพัวพันกับคดีนี้ด้วยนั้น ตนได้เร่งรัดให้อาจารย์ศรุต นำพยานหลักฐานมาแสดงเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่การสอบสวนเพิ่มเติมในกรณีของ ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง ขณะนี้ทาง ศ.ดร.ถวิล ยังคงอยู่ต่างประเทศ โดยทราบว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 24 ม.ค. ซึ่งทางพนักงานสอบสวนยังต้องรอเอกสารจากทางธนาคาร เพื่อตรวจสอบกับลายเซ็นของ ศ.ดร.ถวิล อยู่
พ.ต.อ.ณษ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากธนาคารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงิน รับเงินของผู้ต้องหาเป็นอย่างดี เมื่อเชิญมาให้ข้อมูลก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาพบทุกครั้ง แต่ทางพนักงานสอบสวน ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคดีมากนัก สาเหตุคงมาจากปัญหาเรื่องเอกสารที่เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก และทางธนาคารต้องตรวจสอบย้อนหลังไปหลายปี ซึ่งตนก็มีการประสานกับทางธนาคารตลอดเวลา ที่สำคัญก็คือทางธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นต้นทางของเงินในบัญชีก่อนจะถูกกระจายไปยังบัญชีธนาคารอื่นๆ
***ประสานตร.สากลออกหมายแดงล่า
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ในคดีร่วมกันลักทรัพย์เงิน สจล. ว่า จากการตรวจสอบล่าสุด ยืนยันว่า นายกิตติศักดิ์ เดินทางเข้าประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.2557 และยังไม่เดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งขณะนี้ กองการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายกิตติศักดิ์ เสร็จสิ้นแล้ว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคาดว่า ภายในวันนี้ จะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ขอให้ส่งตัวนายกิตติศักดิ์ เป็นผู้ร้ายข้ามแดน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะแจ้งเรื่องไปยังตำรวจสากล เพื่อให้ออกหมายแดง ในข้อหาลักทรัพย์และฟอกเงิน แจ้งไปยังประเทศสมาชิกทั้ง 190 ประเทศ ให้ช่วยติดตามจับกุม กรณีที่อาจมีการหลบหนีไปยังประเทศอื่น
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของคดี พนักงานสอบสวน ยังอยู่ระหว่างรอเอกสารหลักฐานทางการเงินจากธนาคารที่สจล. ทำบัญชีไว้ เพื่อหาตัวคนสั่งจ่ายเงิน ซึ่งยังไม่พบเจ้าหน้าที่ธนาคารรายอื่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
***สจล.เล็งเลิกทำธุรกรรมกับไทยพาณิชย์
นายจำรูญ เล้าสินวัฒนา รองอธิการบดี สจล. กล่าวว่าขณะนี้ ผู้บริหาร สจล. จะทบทวนว่าจะปิดการทำธุรกรรมทุกรูปแบบกับธนาคารไทยพาณิชย์หรือไม่ ทั้งบัญชีเงินข้าราชการ บุคลากร บัญชีเงินคงคลัง เป็นต้น เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยในการรักษาเงินของทางธนาคาร ประกอบกับที่ผ่านมา สจล. ได้ประสานขอเอกสารการถอนเงิน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้รู้ว่าใครเป็นกระทำผิด ก็ไม่เคยได้รับความร่วมมือจากธนาคาร ทั้งนี้ หากมีมติใดออกมาผู้บริหาร สจล. จะทำหนังสือเวียนถึงประชาคม สจล.ให้รับทราบต่อไป