ในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) วานนี้ (12ม.ค.) มีนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภา สปช. เป็นประธานการประชุม ในวาระ การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อรับฟังความคิดเห็นของสปช. เรื่องระบบการเลือกตั้งที่สุจริตและเป็นธรรมในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยสมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นหลากหลาย อาทิ นายประชา เตรัตน์ สปช. อภิปรายว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า จะให้กระทรวงมหาดไทย จัดการเลือกตั้ง โดย กกต.ทำท่าตื่นเต้น ตกใจ เหมือนหวงอำนาจ ไม่อยากให้กระทรวงมหาดไทยเป็นคนจัดการเลือกตั้งนั้น จากประสบการณ์ที่กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งมา ตั้งแต่ปี 2475-2540 และไม่ได้จัดเพียงแค่หน่วยงานเดียว แต่ร่วมกับ ตำรวจ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรฯ นั้น ก็ทำได้ดีมาโดยตลอด
ทั้งนี้ การให้กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งนั้น เพราะการใช้อำนาจสั่งข้าราชการในจังหวัด เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนสาเหตุที่ไม่ต้องการให้กกต.จัดการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้เกิดการถ่วงดุล แยกฝ่ายจัดการเลือกตั้งกับฝ่ายสอบสวนไม่ให้เป็นฝ่ายเดียวกัน เพราะหากฝ่ายจัดการเลือกตั้งผิดพลาด แล้วจะกล้าจับผิดตัวเองได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม กกต. ควรจะมีอำนาจวินิจฉัยกึ่งใบแดงได้เลย แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะการจัดการเลือกตั้งไม่ใช่คดีอาญา ไม่จำต้องให้ศาลไต่สวนจนสิ้นสงสัย หรือไม่ต้องรอใบเสร็จที่หาได้ยาก แต่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เขารู้หมดว่าใครซื้อเสียง และซื้อกันเท่าไหร่
อดีตรองปลัดมหาดไทย กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ กกต.ออกมาเปรียบเทียบว่า การให้กระทรวงมหาดไทย จัดการเลือกตั้งเหมือนกับการยื่นดาบให้โจรนั้น เข้าใจว่าคงไม่ได้ตั้งใจที่จะหมายความอย่างนั้น แต่ยอมรับว่า ข้าราชการนั้นมีการฝักใฝ่การเมืองจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องไปออกแบบกฎ กติกา ว่า หากข้าราชการเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายการเมืองนั้น จะต้องมีบทลงโทษที่มีการกำหนดไว้ชัดเจน และให้อำนาจกกต.ในช่วงหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ว่า หากข้าราชการคนใดฝักใฝ่การเมือง หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สามารถที่จะสั่งโยกย้ายได้เลย
ด้านนายเดชฤทธิ์ ปัญจะมูล สปช. กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาใครที่เป็นหัวคะแนนในหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านรู้กันหมดว่าใครจะนำเงินมาจ่าย ใครเรียกเก็บบัตรประชาชน ชาวบ้านรู้กันหมด ยกเว้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่รู้อยู่คนเดียว ทั้งนี้ สถานการณ์ขณะนี้ การประกาศกฎอัยการศึก สำหรับการเลือกตั้งยังเป็นเรื่องที่จำเป็น และควรนำทหารจากต่างพื้นที่ไปควบคุมการเลือกตั้งด้วย โดยสืบค้นหัวคะแนนที่จะเป็นคนรับออเดอร์มาจากผู้สมัครพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าใน 1-2 ปีจากนี้ ยังควรต้องใช้วิธีนี้อยู่ จากนั้นเมื่อได้พัฒนาปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนได้เห็นผลและมีความรับผิดชอบมากขึ้น จึงค่อยกลับสู่ระบบปกติ
"เมื่อมีการพูดถึงนักการเมือง จะถูกมองว่าเลวร้าย หยาบคาย ดังนั้นผมคิดว่าเรา ควรเปลี่ยนคำว่า นักการเมือง เป็นนักพัฒนาประชาธิปไตยแทน เหมือนที่เราเปลี่ยนคำเรียก"ยาม้า"เป็น"ยาบ้า" แล้วได้ผล สามารถลดปัญหายาเสพติดได้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าทำลายประชาธิปไตยของเราได้อีก" นายเดชฤทธิ์ กล่าว
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สปช. อภิปรายว่า โจทย์ก็การแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียง คือทำอย่างไรให้นายกรัฐมนตรี มีอิสระจากสภาฯ หากทำได้การเลือกตั้งก็จะไม่รุนแรง การทุจริต จะลดน้อยลง หากเราสามารถจัดสรรอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติได้ลงตัว ก็จะได้ระบบการเมืองที่ดี ที่สำคัญคนที่จะเป็นส.ส.ต่อไปในอนาคตข้างหน้า ต้องเป็นคนดี หรือทำคุณงามความดีมาก่อน คนเหล่านี้ก็ไม่ต้องใช้เงิน หากสามารถจัดสรรตรงนี้ได้ การใช้เงินซื้อเสียง ก็จะน้อยลง
ส่วนที่มีแนวคิดให้มีศาลเลือกตั้งนั้น ตนไม่เห็นด้วย และที่ผ่านมา กกต. ถูกแทรกแซง ทำงานอยู่บนผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้กกต. ถูกฟ้องร้อง หรือถูกดำเนินคดี ตนจึงเห็นว่าสิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ ต้องกำหนดให้อำนาจการให้ ใบเหลือง ใบแดง กับผู้ที่ทุจริตการเลือกตั้งทั้งหมด ไปอยู่ที่ศาลยุติธรรม เว้นแต่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ที่ควรให้ กกต.เป็นผู้ให้ใบเหลือง ใบแดงได้เลย
นายสยุมพร ลิ่มไทย สปช. อภิปรายว่า จะต้องมีการป้องปราม เพื่อให้มีการกระทำการทุจริตซื้อเสียงน้อยลง เป็นเรื่องที่ทำได้ หากมีการทำอย่างจริงจังจากผู้เกี่ยวข้อง การกำหนดโทษของผู้ที่กระทำความผิด ในส่วนผู้ซื่อเสียง หรือผู้สมัคร อาจมีความจำเป็นที่จะต้องลงโทษอย่างรุนแรง การตัดสิทธิทางการเมือง 3-5 ปี อาจจะเบาไป เพราะจะกลับมาได้อีก ดังนั้น ต้องตัดสิทธิ ตลอดชีวิต และหัวคะแนน ก็ต้องมีบทลงโทษ ต้องเอาตัวออกมาจากพื้นที่ ซึ่งสามารถทำได้ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ โดยการเอาตัวมาประจำส่วนกลาง
นายไพโรจน์ พรหมสาส์น สปช. อภิปรายว่า ระบบเลือกตั้งที่ดี มีสิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่การการทำทะเบียนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 10 ล้านคน ไม่ให้มีคนตาย คนย้ายออก มาใช้สิทธิ จนถึงการตรวจสอบการลงคะแนน การนับคะแนนที่ควรเป็นการนับในหน่วยเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างขนย้ายหีบบัตรเลือกตั้ง นอกจากนี้ จำเป็นต้องบ่มเพาะจิตสำนึกไม่ให้มีการซื้อขายสิทธิ เพราะการซื้อขายเสียงในปัจจุบัน ไม่ได้มีอยู่แค่คืนหมาหอน แต่มีการทำล่วงหน้าผ่าน
หลายช่องทาง ทั้งเครือข่ายแม่บ้านสตรีในท้องที่ เมื่อถึงเวลาก็รู้ว่า จะต้องเลือกใคร พรรคใด สิ่งเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้
ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตวานิช ในฐานะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงว่า การแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ ทางกรรมาธิการยกร่างฯ ไม่ได้เข้ามาร่วมรับฟังด้วย ดังนั้น จึงได้ขอให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อคิดเห็นของสมาชิกทั้งหมด เพื่อให้คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ทั้ง 36 คนได้รับทราบข้อเสนอต่างๆ
ทั้งนี้ การให้กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งนั้น เพราะการใช้อำนาจสั่งข้าราชการในจังหวัด เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนสาเหตุที่ไม่ต้องการให้กกต.จัดการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้เกิดการถ่วงดุล แยกฝ่ายจัดการเลือกตั้งกับฝ่ายสอบสวนไม่ให้เป็นฝ่ายเดียวกัน เพราะหากฝ่ายจัดการเลือกตั้งผิดพลาด แล้วจะกล้าจับผิดตัวเองได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม กกต. ควรจะมีอำนาจวินิจฉัยกึ่งใบแดงได้เลย แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะการจัดการเลือกตั้งไม่ใช่คดีอาญา ไม่จำต้องให้ศาลไต่สวนจนสิ้นสงสัย หรือไม่ต้องรอใบเสร็จที่หาได้ยาก แต่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เขารู้หมดว่าใครซื้อเสียง และซื้อกันเท่าไหร่
อดีตรองปลัดมหาดไทย กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ กกต.ออกมาเปรียบเทียบว่า การให้กระทรวงมหาดไทย จัดการเลือกตั้งเหมือนกับการยื่นดาบให้โจรนั้น เข้าใจว่าคงไม่ได้ตั้งใจที่จะหมายความอย่างนั้น แต่ยอมรับว่า ข้าราชการนั้นมีการฝักใฝ่การเมืองจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องไปออกแบบกฎ กติกา ว่า หากข้าราชการเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายการเมืองนั้น จะต้องมีบทลงโทษที่มีการกำหนดไว้ชัดเจน และให้อำนาจกกต.ในช่วงหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ว่า หากข้าราชการคนใดฝักใฝ่การเมือง หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สามารถที่จะสั่งโยกย้ายได้เลย
ด้านนายเดชฤทธิ์ ปัญจะมูล สปช. กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาใครที่เป็นหัวคะแนนในหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านรู้กันหมดว่าใครจะนำเงินมาจ่าย ใครเรียกเก็บบัตรประชาชน ชาวบ้านรู้กันหมด ยกเว้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ไม่รู้อยู่คนเดียว ทั้งนี้ สถานการณ์ขณะนี้ การประกาศกฎอัยการศึก สำหรับการเลือกตั้งยังเป็นเรื่องที่จำเป็น และควรนำทหารจากต่างพื้นที่ไปควบคุมการเลือกตั้งด้วย โดยสืบค้นหัวคะแนนที่จะเป็นคนรับออเดอร์มาจากผู้สมัครพรรคการเมือง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าใน 1-2 ปีจากนี้ ยังควรต้องใช้วิธีนี้อยู่ จากนั้นเมื่อได้พัฒนาปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนได้เห็นผลและมีความรับผิดชอบมากขึ้น จึงค่อยกลับสู่ระบบปกติ
"เมื่อมีการพูดถึงนักการเมือง จะถูกมองว่าเลวร้าย หยาบคาย ดังนั้นผมคิดว่าเรา ควรเปลี่ยนคำว่า นักการเมือง เป็นนักพัฒนาประชาธิปไตยแทน เหมือนที่เราเปลี่ยนคำเรียก"ยาม้า"เป็น"ยาบ้า" แล้วได้ผล สามารถลดปัญหายาเสพติดได้ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าทำลายประชาธิปไตยของเราได้อีก" นายเดชฤทธิ์ กล่าว
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สปช. อภิปรายว่า โจทย์ก็การแก้ปัญหาซื้อสิทธิ์ขายเสียง คือทำอย่างไรให้นายกรัฐมนตรี มีอิสระจากสภาฯ หากทำได้การเลือกตั้งก็จะไม่รุนแรง การทุจริต จะลดน้อยลง หากเราสามารถจัดสรรอำนาจหน้าที่ฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติได้ลงตัว ก็จะได้ระบบการเมืองที่ดี ที่สำคัญคนที่จะเป็นส.ส.ต่อไปในอนาคตข้างหน้า ต้องเป็นคนดี หรือทำคุณงามความดีมาก่อน คนเหล่านี้ก็ไม่ต้องใช้เงิน หากสามารถจัดสรรตรงนี้ได้ การใช้เงินซื้อเสียง ก็จะน้อยลง
ส่วนที่มีแนวคิดให้มีศาลเลือกตั้งนั้น ตนไม่เห็นด้วย และที่ผ่านมา กกต. ถูกแทรกแซง ทำงานอยู่บนผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้กกต. ถูกฟ้องร้อง หรือถูกดำเนินคดี ตนจึงเห็นว่าสิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ ต้องกำหนดให้อำนาจการให้ ใบเหลือง ใบแดง กับผู้ที่ทุจริตการเลือกตั้งทั้งหมด ไปอยู่ที่ศาลยุติธรรม เว้นแต่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ที่ควรให้ กกต.เป็นผู้ให้ใบเหลือง ใบแดงได้เลย
นายสยุมพร ลิ่มไทย สปช. อภิปรายว่า จะต้องมีการป้องปราม เพื่อให้มีการกระทำการทุจริตซื้อเสียงน้อยลง เป็นเรื่องที่ทำได้ หากมีการทำอย่างจริงจังจากผู้เกี่ยวข้อง การกำหนดโทษของผู้ที่กระทำความผิด ในส่วนผู้ซื่อเสียง หรือผู้สมัคร อาจมีความจำเป็นที่จะต้องลงโทษอย่างรุนแรง การตัดสิทธิทางการเมือง 3-5 ปี อาจจะเบาไป เพราะจะกลับมาได้อีก ดังนั้น ต้องตัดสิทธิ ตลอดชีวิต และหัวคะแนน ก็ต้องมีบทลงโทษ ต้องเอาตัวออกมาจากพื้นที่ ซึ่งสามารถทำได้ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการ โดยการเอาตัวมาประจำส่วนกลาง
นายไพโรจน์ พรหมสาส์น สปช. อภิปรายว่า ระบบเลือกตั้งที่ดี มีสิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่การการทำทะเบียนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 10 ล้านคน ไม่ให้มีคนตาย คนย้ายออก มาใช้สิทธิ จนถึงการตรวจสอบการลงคะแนน การนับคะแนนที่ควรเป็นการนับในหน่วยเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างขนย้ายหีบบัตรเลือกตั้ง นอกจากนี้ จำเป็นต้องบ่มเพาะจิตสำนึกไม่ให้มีการซื้อขายสิทธิ เพราะการซื้อขายเสียงในปัจจุบัน ไม่ได้มีอยู่แค่คืนหมาหอน แต่มีการทำล่วงหน้าผ่าน
หลายช่องทาง ทั้งเครือข่ายแม่บ้านสตรีในท้องที่ เมื่อถึงเวลาก็รู้ว่า จะต้องเลือกใคร พรรคใด สิ่งเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ได้
ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตวานิช ในฐานะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ชี้แจงว่า การแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ ทางกรรมาธิการยกร่างฯ ไม่ได้เข้ามาร่วมรับฟังด้วย ดังนั้น จึงได้ขอให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อคิดเห็นของสมาชิกทั้งหมด เพื่อให้คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ทั้ง 36 คนได้รับทราบข้อเสนอต่างๆ