xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ปู” ส่อรอดขึ้นเขียงจำนำข้าว!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -อุณหภูมิการเมืองไทยร้อนแรงขึ้นมาในทันทีที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย บรรจุวาระการถอดถอนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา พรรคเพื่อไทย นายนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภาและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

แน่นอน ถามว่า คดีความผิดแก้ไขรัฐธรรมนูญปมที่มา ส.ว. โดยมิชอบของนายนิคมกับนายสมศักดิ์ มีความสำคัญหรือไม่ ย่อมต้องตอบว่าสำคัญ เพราะจะเป็นการพิสูจน์ “หัวใจ” ของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีกครั้งว่า เป็นเช่นไร เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว ทั้ง 2 คนถูกวินิจฉัยจากทั้งศาลรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่ามีความผิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่เมื่อเทียบกับคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่นางสาวยิ่งลักษณ์ตกเป็นจำเลยแล้ว ก็ต้องบอกว่า มีนัยสำคัญทางการเมืองที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

หรือแปลไทยเป็นไทยคือนายสมศักดิ์กับนายนิคมจะมีชะตากรรมอย่างไร ย่อมไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับน้องสาวสุดที่รักของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร

ทั้งนี้ ก่อนที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะเดินทางมาชี้แจงข้อกล่าวหาต่อ สนช.ด้วยตนเองเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา พร้อมกับนำเอกสารหลักฐานมาแจกจ่ายให้แก่สมาชิก สนช.จำนวน 250 ชุด มีสัญญาณทางการเมืองที่จำต้องวิเคราะห์เกิดขึ้นในหลายประเด็นด้วยกัน

ประเด็นสัญญาณแรกคือการตัดสินใจเดินทางไปชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตัวเองของนางสาวยิ่งลักษณ์

“จะเดินทางไปชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะมั่นใจว่าสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น เมื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหาคงไม่มีใครที่จะชี้แจงได้ดีเท่ากับดิฉัน”

นั่นเป็นข้อความที่นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวภายหลังจากเข้าประชุมเพื่อเตรียมสู้คดีกับทีมทนายเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการตบเท้ามาให้กำลังใจของบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทยระดับแถวหน้าเป็นจำนวนมาก

ต้องบอกว่า ช่างกล้าเสียจริงๆ

ก็จะไม่กล้าได้อย่างไร เพราะงานนี้พรรคเพื่อไทยได้เตรียม “ตัวช่วย” เข้าร่วมชี้แจงตามคำเปิดเผยของทีมทนายถึง 4 คนด้วยกันคือ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

นอกจากนั้น สาเหตุที่นางสาวยิ่งลักษณ์กล้าเดินทางไปให้ชี้แจงด้วยตัวเอง หลายคนวิเคราะห์ว่า มีจุดมุ่งหมายสำคัญอยู่ตรงพิธีกรรมที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะแสดงเพื่อเรียกคะแนนสงสารจากคนเสื้อแดงและข้าทาสของระบอบทักษิณ ไม่เช่นนั้น ทีมทนายของนางสาวยิ่งลักษณ์คงไม่เรียกร้องให้มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เป็นแน่แท้

และแน่นอนว่า น้ำตาที่จะพรั่งพรูออกมาคืออาวุธที่มีประสิทธิภาพยิ่ง สำหรับศึกในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทอดสด แต่ก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า สื่อในเครือคนเสื้อแดงจะถ่ายทอดฉากละครฉากสำคัญนี้ไปถึงสาวกเสื้อแดงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ขณะที่ นช.ทักษิณเองก็ดูเหมือนจะมีท่าทีที่สงบผิดไปจากที่ควรจะเป็น มีเพียงทีมทนายและแกนนำเพื่อไทยบางคนเท่านั้นที่ออกมาเคลื่อนไหว แต่ก็เป็นความเคลื่อนไหวที่ต้องใช้คำว่า เป็นแค่เพียงสัญลักษณ์เล็กๆ เท่านั้น

ส่วนสัญญาณที่สองก็คือท่าทีของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ปรากฏให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากคาถาปรองดองและสมานฉันท์ซึ่งอาจถือว่าเป็นคัมภีร์ในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลและ คสช.เลยก็ว่าได้

แต่สัญญาณที่เห็นชัดที่สุดก็คือ การที่ “พลตรีไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไฟเขียวให้คนเสื้อแดงสามารถรวมตัวเพื่อให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ได้

“เรื่องการให้กำลังใจใครเป็นเรื่องส่วนบุคคล สามารถทำได้ ไม่ได้ห้าม เช่นเดียวกับกรณีงานศพของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย จะไปก็ไป เป็นเรื่องของเขา แต่จะไปทำอะไรที่ขัดต่อข้อกฎหมายในลักษณะเคลื่อนไหวก็คงไม่ได้ ส่วนจะผิดกฎอัยการศึกหรือไม่นั้น เราไม่ได้บังคับใช้ในทุกกรณี แต่ดูเจตนาเป็นที่ตั้งมากกว่า เชื่อว่าทุกฝ่ายเข้าใจดี ในสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็แล้วแต่ ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ทุกคนก็รู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นยังไง เขาก็คงไม่ทำแบบนั้นหรอก แค่ไปให้กำลังใจคงไม่ต้องใช้เครื่องกระจายเสียง แค่เห็นหน้าก็ได้แล้ว”พล.ต.สรรเสริญกล่าว

ที่สำคัญคือ พล.ต.สรรเสริญกล่าวย้ำว่า “เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นห่วงหรือกังวลใจเลย”

อาการมั่นใจของพล.ต.สรรเสริญซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลจะหมายถึงว่ารัฐบาลสามารถ “เอาอยู่” หรือไม่ เพราะเมื่อพิจารณาจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ล่าสุดที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวก็น่าจะอนุมานได้ว่า มีความมั่นใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ หรือไม่ก็มั่นใจว่า คนเสื้อแดงจะไม่เคลื่อนไหวอย่างแน่นอน

“อะไรที่ผิดกฎหมายก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าจะประท้วงไม่ยอมรับความผิดไม่ได้ ต้องดูว่า คนเหล่านี้อยู่ในการบริหารประเทศแล้วทำผิดกติกาหรือไม่ ถ้าท่านคิดว่าท่านถูกก็ต้องสู้ตามกระบวนการ ท่านผิดท่านก็ต้องรับโทษ ก็แค่นั้นไม่ยาก แล้วถ้ามันไม่มีความผิด เขาจะฟ้องทำไม เพราะถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มีคนมาหาเรื่อง ใครจะมาหาเรื่องท่าน ส่วนที่มองว่ารัฐธรรมนูญปี 50 ถูกยกเลิกไปแล้ว อาจทำให้ถอดถอนไม่ได้นั้น เห็นว่าถ้ามาอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 50 ถูกยกเลิกไปแล้ว ไม่ถูกต้อง เพราะยังมีกฎหมาย ป.ป.ช.อยู่ ดังนั้น ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เป็นความมั่นใจและความแข็งกร้าวที่สอดรับกับท่าทีของ “วรชัย เหมะ” แกนนำคนเสื้อแดงที่ออกตัวมาตั้งแต่ไก่โห่ว่า งานนี้ นปช.-คนเสื้อแดงไม่เคลื่อนไหว พร้อมอ้างว่า ยังมีกฎอัยการศึกอยู่

แต่ความจริงก็คือ คนเสื้อแดงรู้อยู่เต็มอกว่า ยังไม่ใช่เวลาที่จะสู้รบแบบแตกหัก เฉกเช่นเดียวกับรัฐบาลและ คสช.

สุดท้ายจุดจบของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์จะชี้แจงข้อกล่าวหาได้หรือไม่ หากแต่อยู่ที่ว่า สนช.จะตัดสินใจกันอย่างไร เพราะการถอดถอนจะสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 5 คือ 132 เสียงจากสมาชิก สนช.ทั้งหมด 220 คน ซึ่งถ้าหากไล่เรียงสัดส่วนของ สนช.ทั้งหมดจะพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า จาก สนช.ทั้งหมด 220 คน ในจำนวนนี้เป็น สนช.สายทหารและตำรวจมากถึง 129 คน ส่วนที่เหลือจะเป็น สนช.ในกลุ่มของอดีตสมาชิกวุฒิสภา หรือกลุ่ม 40 ส.ว. กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มอธิการบดีและข้าราชการประจำจำนวน 91 คน

ด้วยเหตุดังกล่าวตัวแปรสำคัญจึงอยู่ที่ สนช.สายกองทัพที่ คสช.ตั้งมากับมือว่าจะเอาอย่างไร เพราะความจริง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการจำนำข้าว

ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะกล่าวว่า ชะตากรรมของนางสาวยิ่งลักษณ์อยู่ที่ คสช.เท่านั้น


กำลังโหลดความคิดเห็น