ให้ลุ้นใจระทึก 7 พ.ย. คณะทำงานร่วม ป.ป.ช.- อสส. สั่งฟ้องคดีจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์” หรือไม่ แต่ยกฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” จ่ายเงินชดเชยชาวสวนยาง พร้อมกับ “กิตติรัตน์” ละเลย พ.ร.บ.การออมแห่งชาติ ขณะที่คดี “บุญทรง” เหลือสอบอีก 2 - 3 ปาก ใกล้ถึงปลายทางแล้ว อีกด้านมีมติเอกฉันท์ สปช. ไม่ต้องยื่นทรัพย์สิน ชี้ทำงานด้านวิชาการ ไม่เกี่ยวผลประโยชน์ใดๆ จ่อฟันคดีรุกที่ดินอุทยานฯ สิรินาถ ภูเก็ต พ.ย. นี้
วันนี้ (21 ต.ค.) นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงถึงความคืบหน้าการประชุมร่วมระหว่าง ป.ป.ช. กับอัยการสูงสุด (อสส.) ในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หลังจากคณะทำงานร่วม ป.ป.ช. กับ อสส. ได้ประชุมร่วมกันมา 2 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ และยังมีการผ่อนปรนระยะเวลาเนิ่นนานเข้าเดือนที่ 3 ทั้งที่กฎหมายกำหนดว่าจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน นับจากตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมา
ดังนั้น การประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 7 พ.ย. นี้ หากไม่ได้ข้อยุติ ป.ป.ช. จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่เช่นนั้นจะค้างคาอยู่อย่างนี้ตลอดไป ฉะนั้น การประชุมในวันที่ 7 พ.ย. นี้ ป.ป.ช. จะได้แจ้งผลการประชุมให้ทราบอย่างชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงโปรดติดตามด้วยใจระทึกโดยพลัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ หาก อสส. ยังไม่สั่งฟ้อง ป.ป.ช. จะฟ้องเองใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ยังพูดถึงขั้นนั้นไม่ได้ เพราะหากตกลงกันได้ว่า อสส. จะฟ้องเองคือจบ แต่ ป.ป.ช. เองอยากให้คดีไปสู่ศาลโดยเร็ว เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณา ความจริงไม่อยากฟ้องเอง อยากให้ อสส. ดำเนินการให้ เนื่องจาก ป.ป.ช. มีคดีความที่ต้องไต่สวนอีกเยอะ
ส่วนความคืบหน้ากรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและระบายข้าวของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก นายวิชา กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการรวบพยานหลักฐาน ซึ่งดำเนินการเกือบจะครบถ้วนแล้ว ขาดเพียงการไต่สวนสอบพยานบุคคลอีก 2 - 3 ปาก โดยมีการขอให้ถ้อยคำเพิ่มเติมของผู้สอบบัญชีของบริษัท สยามอินด้า จำกัด รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาบางราย อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 111 คน ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ ป.ป.ช. ดำเนินการมา ดังนั้น การดำเนินการใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
นายวิชา กล่าวว่า ส่วนกรณีอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ร้องให้ถอดถอนและดำเนินคดีอาญานายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินการตาม พ.ร.บ. การออมแห่งชาติ ซึ่งมีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนว่า จากการพิจารณาข้อสรุปของคณะอนุกรรมการทั้งหมดแล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า นายกิตติรัตน์ ไม่มีเจตนากระทำความผิดทางอาญา และไม่ส่อไปทางทุจริตหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงให้เรื่องที่ถูกกล่าวหาตกไป
ส่วนกรณีร้องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีการดำเนินการหรือจ่ายเงินที่เกี่ยวกับเรื่องการชดเชยให้กับเกษตรกรผู้ทำสวนยางพารามิชอบนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป เนื่องจากเห็นว่าไม่เข้าเหตุแห่งการกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ส่งผลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากข้อกล่าวหา โดยไม่ต้องแก้ข้อกล่าวหาใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ กรณีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินก่อนเข้าและพ้นจากตำแหน่งต่อ ป.ป.ช. หรือไม่ ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า สปช. เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงานวิชาการ ซึ่งใช้ความรู้ความสามารถในการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป ทำงานเพื่อบ้านเมืองให้มีผลดียิ่งขึ้น และเห็นว่าไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ใดๆ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ สปช. ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช.
ด้าน นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการรุกล้ำอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ว่า ในเรื่องการทวงคืนผืนป่าเรามีความพยายามไม่ให้ผืนป่าตกไปอยู่ในมือของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งต้องพยายามสงวนให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ ส่วนเรื่องของอุทยานแห่งชาติสิรินาถมีการแจ้งความดำเนินคดีกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมพัฒนาที่ดินว่า มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ และเราได้ลงพื้นที่สอบเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในพื้นที่ทั้งสาขา อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ข้อมูลจำนวนมาก
“อนาคตจะรอผลวินิจฉัยของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่กรมที่ดินลงพื้นที่แล้ว และภาพถ่ายทางอากาศ คาดว่าจะจบ และสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ภายในเดือน พ.ย. 57 ทั้งนี้ เราไม่ได้ทำงานนี้งานเดียว แต่จะขยายผลไปที่ดินข้างเคียง เพราะขณะนี้มีประชาชนร้องเรียนเกือบ 300 แปลง โดยจะมีการกันบุคคลบางรายไว้เป็นพยาน เพื่อที่จะสามารถเอาผิดกับผู้ที่เป็นรายใหญ่ได้ อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนภาคประชาชานช่วยแจ้งเบาะแสต่างๆ ต่อ ป.ป.ช. โดยไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมีการกันไว้เป็นพยาน” นายประสาท กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณี นายพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบข้อเท็จจริงเมื่อปี 2546 ได้รวมไปในสำนวนปัจจุบันด้วยหรือไม่ นายประสาท กล่าวว่า กรณีของนายพิทักษ์นั้น เท่าที่ทราบเป็นคนละสำนวนกัน ส่วนคดีหมดอายุความหรือยังนั้นต้องสอบถามกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากยังไม่ได้รับการแจ้งความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ