เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (21ต.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี มีการแถลงข่าวผลการดำเนินงานของ คณะกรรมการป.ป.ช. ครบรอบ 8 ปี ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.49 - 6 ต.ค.57 โดยมี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ และกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมด ร่วมกันแถลง
นายปานเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และตามประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่า ป.ป.ช. สองมาตรฐาน และเลือกปฏิบัติ จึงอยากชี้แจงว่า ป.ป.ช. ทำงานโดยยึดหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานทุกเรื่อง บางคดีไม่ยุ่งยาก สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว แต่บางคดีหลักฐานไม่ชัดเจน หาพยานหลักฐานลำบาก เพราะถูกน้ำท่วม หรือผู้เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ทำให้ขั้นตอนยุ่งยาก
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ และโฆษกป.ป.ช. กล่าวว่า ณ วันที่ 6 ต.ค.57 มีคดีความที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. 11,578 เรื่อง เหตุที่ค้างมหาศาล เพราะป.ป.ช.ชุดที่แล้ว ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ถึง 2 ปี ซึ่งโทษกันไม่ได้ ซึ่งนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มีคดีที่ ป.ป.ช.รับมาใหม่ 22,590 เรื่อง ดังนั้นในช่วงระยะ 8 ปีที่ผ่านมา มีคดีทั้งสิ้น 34,528 เรื่อง ดำเนินการสร็จแล้ว 25,012 เรื่อง สรุปแล้วสามารถทำได้เฉลี่ยปีละ 3,000 เรื่อง คงเหลือกว่า 9,516 เรื่อง แบ่งเป็นอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง 7,665 เรื่อง และอยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง 1,851 เรื่อง บรรดาคดีเหล่านี้จำเป็นต้องเผด็จศึก โดยเฉพาะที่อยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง ได้แบ่งให้ ป.ป.จ.ไปตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้อง
นายวิชา กล่าวว่า ปรากฏว่า ที่ไต่สวนมาทั้งหมดประเมินมูลค่าความเสียหายได้ 357,809 ล้านบาท แยกเป็นความเสียหายในส่วนราชการ 332,979 ล้านบาท ส่วนรัฐวิสาหกิจ 24,776 ล้านบาท และส่วนท้องถิ่น 38,257 ล้านบาท คิดดูว่า การทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงเพียงใด จะเห็นว่า ป.ป.ช.ไม่ได้นั่งเฉยๆ ทำหน้าที่เอาทรัพย์สินของแผ่นดินคืนมา บางเรื่องเหนือวิสัย เพราะการทุจริตสมัยนี้ เงินมันไหลออกนอกประเทศ แต่เรามีความร่วมมือกับต่างประเทศอยู่
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ 1. องค์กรปกครองท้องถิ่นถูกกล่าวหามากที่สุดถึงร้อยละ 50 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 10 2. กระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะกรมที่ดิน 3. ส่วนราชการระดับกรม ไม่สังกัดนายกรัฐมนตรี อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 4. กระทรวงศึกษาธิการ และ 5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายวิชา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ป.ป.ช.กำลังทำโครงการปฏิรูปตัวเอง อาทิ เรื่องการนำคดีขึ้นสู่ศาล จะเห็นว่าคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดนี้นำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 49 รวมทั้งสิ้น 63 คดี แบ่งเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ 7 คดี การแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินเป็นเท็จ หรือจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน 54 คดี และให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน 2 คดี โดยเป็นคดีที่ ป.ป.ช.ฟ้องเอง มีทั้งสิ้น 15 คดี แสดงว่าคดีส่วนใหญ่อัยการสูงสุด (อสส.) ยังเป็นผู้ฟ้อง แต่ ป.ป.ช. มีความชำนาญมากขึ้น ฟ้องคดีเองได้ถึง 15 คดี ฉะนั้นเป็นการพัฒนาการทำงานของป.ป.ช. ให้เห็นชัดเจนว่า เราไม่ได้งอมืองอเท้า ถ้าไม่มี อสส.ฟ้องให้เรา เราก็สามารถทำงานได้
**มติเอกฉันท์สปช.ไม่ต้องยื่นทรัพย์สิน
นายวิชา ยังกล่าวผลการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ ถึงกรณีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก่อนเข้าและพ้นจากตำแหน่งต่อป.ป.ช.หรือไม่ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. เห็นว่า สปช. เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงานวิชาการ ซึ่งใช้ความรู้ความสามารถในการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป ทำงานเพื่อบ้านเมืองให้มีผลดียิ่งขึ้น และเห็นว่า ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ใดๆ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ สปช.ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯต่อ ป.ป.ช.
** ลุ้นมติร่วมป.ป.ช.-อสส.ฟัน"ปู"7พ.ย.
นายวิชา ยังกล่าวถึงความคืบหน้า การประชุมร่วมระหว่าง ป.ป.ช. กับอัยการสูงสุด (อสส.) ในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ ในคดีรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หลังจากคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.กับ อสส. ได้ประชุมร่วมกันมา 2 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ และยังมีการผ่อนปรนระยะเวลาเนิ่นนาน เข้าเดือนที่ 3 ทั้งที่กฎหมายกำหนดว่า จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน นับจากตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมา
ดังนั้นการประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 7พ.ย.นี้ หากไม่ได้ข้อยุติ ป.ป.ช. จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่เช่นนั้นจะค้างคาอยู่อย่างนี้ตลอดไป ฉะนั้น การประชุมในวันที่ 7 พ.ย.นี้ ป.ป.ช. จะได้แจ้งผลการประชุมให้ทราบอย่างชัดเจนว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงโปรดติดตามด้วยใจระทึกโดยพลัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ หาก อสส. ยังไม่สั่งฟ้องป.ป.ช. จะฟ้องเองใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ยังพูดถึงขั้นนั้นไม่ได้ เพราะหากตกลงกันได้ว่า อสส.จะฟ้องเอง คือจบ แต่ป.ป.ช.เองอยากให้คดีไปสู่ศาลโดยเร็ว เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณา ความจริงไม่อยากฟ้องเอง อยากให้อสส. ดำเนินการให้ เนื่องจากป.ป.ช. มีคดีความที่ต้องไต่สวนอีกเยอะ
นายวิชา กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้ากรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการรวบพยานหลักฐาน ซึ่งดำเนินการเกือบจะครบถ้วนแล้ว ขาดเพียงการไต่สวนสอบพยานบุคคลอีก 2 - 3 ปาก โดยมีการขอให้ถ้อยคำเพิ่มเติม ของผู้สอบบัญชีของบริษัทสยามอินด้า จำกัด รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาบางราย อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 111คน ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ ป.ป.ช.ดำเนินการมา ดังนั้น การดำเนินการใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
**จ่อฟันกรณีรุกอุทยานฯ สิรินาถ
นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการรุกล้ำอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ว่า ในเรื่องการทวงคืนผืนป่า เรามีความพยายามไม่ให้ผืนป่าตกไปอยู่ในมือของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งต้องพยายามสงวนให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ ส่วนเรื่องของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ มีการแจ้งความดำเนินคดีกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมพัฒนาที่ดิน ว่า มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ และเราได้ลงพื้นที่สอบเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในพื้นที่ ทั้งสาขา อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ข้อมูลจำนวนมาก
"อนาคต จะรอผลวินิจฉัยของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่กรมที่ดินลงพื้นที่แล้ว และภาพถ่ายทางอากาศ คาดว่าจะจบ และสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ภายในเดือนพ.ย.นี้ ทั้งนี้เราไม่ได้ทำงานนี้งานเดียว แต่จะขยายผลไปที่ดินข้างเคียง เพราะขณะนี้มีประชาชนร้องเรียนเกือบ 300 แปลง โดยจะมีการกันบุคคลบางรายไว้เป็นพยาน เพื่อที่จะสามารถเอาผิดกับผู้ที่เป็นรายใหญ่ได้ อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนภาคประชาชนช่วยแจ้ง เบาะแสต่าง ๆ ต่อ ป.ป.ช. โดยไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมีการกันไว้เป็นพยาน" นายประสาท กล่าว
นายปานเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และตามประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ผ่านมามีการกล่าวหาว่า ป.ป.ช. สองมาตรฐาน และเลือกปฏิบัติ จึงอยากชี้แจงว่า ป.ป.ช. ทำงานโดยยึดหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานทุกเรื่อง บางคดีไม่ยุ่งยาก สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว แต่บางคดีหลักฐานไม่ชัดเจน หาพยานหลักฐานลำบาก เพราะถูกน้ำท่วม หรือผู้เกี่ยวข้องมีจำนวนมาก ทำให้ขั้นตอนยุ่งยาก
นายวิชา มหาคุณ กรรมการ และโฆษกป.ป.ช. กล่าวว่า ณ วันที่ 6 ต.ค.57 มีคดีความที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. 11,578 เรื่อง เหตุที่ค้างมหาศาล เพราะป.ป.ช.ชุดที่แล้ว ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ถึง 2 ปี ซึ่งโทษกันไม่ได้ ซึ่งนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มีคดีที่ ป.ป.ช.รับมาใหม่ 22,590 เรื่อง ดังนั้นในช่วงระยะ 8 ปีที่ผ่านมา มีคดีทั้งสิ้น 34,528 เรื่อง ดำเนินการสร็จแล้ว 25,012 เรื่อง สรุปแล้วสามารถทำได้เฉลี่ยปีละ 3,000 เรื่อง คงเหลือกว่า 9,516 เรื่อง แบ่งเป็นอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง 7,665 เรื่อง และอยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง 1,851 เรื่อง บรรดาคดีเหล่านี้จำเป็นต้องเผด็จศึก โดยเฉพาะที่อยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง ได้แบ่งให้ ป.ป.จ.ไปตรวจสอบในส่วนที่เกี่ยวข้อง
นายวิชา กล่าวว่า ปรากฏว่า ที่ไต่สวนมาทั้งหมดประเมินมูลค่าความเสียหายได้ 357,809 ล้านบาท แยกเป็นความเสียหายในส่วนราชการ 332,979 ล้านบาท ส่วนรัฐวิสาหกิจ 24,776 ล้านบาท และส่วนท้องถิ่น 38,257 ล้านบาท คิดดูว่า การทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงเพียงใด จะเห็นว่า ป.ป.ช.ไม่ได้นั่งเฉยๆ ทำหน้าที่เอาทรัพย์สินของแผ่นดินคืนมา บางเรื่องเหนือวิสัย เพราะการทุจริตสมัยนี้ เงินมันไหลออกนอกประเทศ แต่เรามีความร่วมมือกับต่างประเทศอยู่
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ 1. องค์กรปกครองท้องถิ่นถูกกล่าวหามากที่สุดถึงร้อยละ 50 เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 10 2. กระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะกรมที่ดิน 3. ส่วนราชการระดับกรม ไม่สังกัดนายกรัฐมนตรี อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 4. กระทรวงศึกษาธิการ และ 5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายวิชา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ป.ป.ช.กำลังทำโครงการปฏิรูปตัวเอง อาทิ เรื่องการนำคดีขึ้นสู่ศาล จะเห็นว่าคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดนี้นำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 49 รวมทั้งสิ้น 63 คดี แบ่งเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ 7 คดี การแสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินเป็นเท็จ หรือจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สิน 54 คดี และให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน 2 คดี โดยเป็นคดีที่ ป.ป.ช.ฟ้องเอง มีทั้งสิ้น 15 คดี แสดงว่าคดีส่วนใหญ่อัยการสูงสุด (อสส.) ยังเป็นผู้ฟ้อง แต่ ป.ป.ช. มีความชำนาญมากขึ้น ฟ้องคดีเองได้ถึง 15 คดี ฉะนั้นเป็นการพัฒนาการทำงานของป.ป.ช. ให้เห็นชัดเจนว่า เราไม่ได้งอมืองอเท้า ถ้าไม่มี อสส.ฟ้องให้เรา เราก็สามารถทำงานได้
**มติเอกฉันท์สปช.ไม่ต้องยื่นทรัพย์สิน
นายวิชา ยังกล่าวผลการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ ถึงกรณีสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต้องยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ก่อนเข้าและพ้นจากตำแหน่งต่อป.ป.ช.หรือไม่ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. เห็นว่า สปช. เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับงานวิชาการ ซึ่งใช้ความรู้ความสามารถในการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูป ทำงานเพื่อบ้านเมืองให้มีผลดียิ่งขึ้น และเห็นว่า ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ใดๆ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ สปช.ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯต่อ ป.ป.ช.
** ลุ้นมติร่วมป.ป.ช.-อสส.ฟัน"ปู"7พ.ย.
นายวิชา ยังกล่าวถึงความคืบหน้า การประชุมร่วมระหว่าง ป.ป.ช. กับอัยการสูงสุด (อสส.) ในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ ในคดีรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า หลังจากคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.กับ อสส. ได้ประชุมร่วมกันมา 2 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ และยังมีการผ่อนปรนระยะเวลาเนิ่นนาน เข้าเดือนที่ 3 ทั้งที่กฎหมายกำหนดว่า จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน นับจากตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมา
ดังนั้นการประชุมครั้งถัดไป ในวันที่ 7พ.ย.นี้ หากไม่ได้ข้อยุติ ป.ป.ช. จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่เช่นนั้นจะค้างคาอยู่อย่างนี้ตลอดไป ฉะนั้น การประชุมในวันที่ 7 พ.ย.นี้ ป.ป.ช. จะได้แจ้งผลการประชุมให้ทราบอย่างชัดเจนว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงโปรดติดตามด้วยใจระทึกโดยพลัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 7 พ.ย.นี้ หาก อสส. ยังไม่สั่งฟ้องป.ป.ช. จะฟ้องเองใช่หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ยังพูดถึงขั้นนั้นไม่ได้ เพราะหากตกลงกันได้ว่า อสส.จะฟ้องเอง คือจบ แต่ป.ป.ช.เองอยากให้คดีไปสู่ศาลโดยเร็ว เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณา ความจริงไม่อยากฟ้องเอง อยากให้อสส. ดำเนินการให้ เนื่องจากป.ป.ช. มีคดีความที่ต้องไต่สวนอีกเยอะ
นายวิชา กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้ากรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และระบายข้าวของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการรวบพยานหลักฐาน ซึ่งดำเนินการเกือบจะครบถ้วนแล้ว ขาดเพียงการไต่สวนสอบพยานบุคคลอีก 2 - 3 ปาก โดยมีการขอให้ถ้อยคำเพิ่มเติม ของผู้สอบบัญชีของบริษัทสยามอินด้า จำกัด รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาบางราย อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 111คน ถือว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ ป.ป.ช.ดำเนินการมา ดังนั้น การดำเนินการใกล้จะถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
**จ่อฟันกรณีรุกอุทยานฯ สิรินาถ
นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการรุกล้ำอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ว่า ในเรื่องการทวงคืนผืนป่า เรามีความพยายามไม่ให้ผืนป่าตกไปอยู่ในมือของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งต้องพยายามสงวนให้เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ ส่วนเรื่องของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ มีการแจ้งความดำเนินคดีกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และกรมพัฒนาที่ดิน ว่า มีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ และเราได้ลงพื้นที่สอบเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในพื้นที่ ทั้งสาขา อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ข้อมูลจำนวนมาก
"อนาคต จะรอผลวินิจฉัยของอธิบดีกรมที่ดิน ซึ่งขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่กรมที่ดินลงพื้นที่แล้ว และภาพถ่ายทางอากาศ คาดว่าจะจบ และสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ภายในเดือนพ.ย.นี้ ทั้งนี้เราไม่ได้ทำงานนี้งานเดียว แต่จะขยายผลไปที่ดินข้างเคียง เพราะขณะนี้มีประชาชนร้องเรียนเกือบ 300 แปลง โดยจะมีการกันบุคคลบางรายไว้เป็นพยาน เพื่อที่จะสามารถเอาผิดกับผู้ที่เป็นรายใหญ่ได้ อย่างไรก็ตาม อยากเชิญชวนภาคประชาชนช่วยแจ้ง เบาะแสต่าง ๆ ต่อ ป.ป.ช. โดยไม่ต้องกลัว เพราะเราจะมีการกันไว้เป็นพยาน" นายประสาท กล่าว