เลขาฯ ป.ป.ช.แจงเหตุยุติไต่สวนเหตุ 310 ส.ส.หนุน พ.ร.บ.ล้างผิด ไม่กระทบกรณี 268 ส.ส.แก้ รธน. เหตุในคำร้องกล่าวหาความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย
วันนี้ (19 ธ.ค.) นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.ยุติการไต่สวน 310 ส.ส. กรณีร่วมกันเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 3 เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 สิ้นสุดลงว่า เนื่องจาก ป.ป.ช.ได้สำรวจคดีค้างเก่าที่ยังไม่ได้วินิจฉัยพบว่ามีคำร้องขอถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ประธานวุฒิสภาส่งมาให้จำนวน 6 เรื่อง เช่น คำร้องขอให้ถอดถอน ส.ส.ที่ร่วมกันเสนอและเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประมาณ 3 เรื่อง คำร้องขอให้ถอดถอนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กระทำการขัดต่อพ.ร.บ.การออมแห่งชาติ พ.ศ. 2554 โดยทั้งหมดเป็นคำร้องว่าฝ่าฝืนและกระทำการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 50 ประเด็นเดียว ซึ่งปัจจุบัน ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยแล้วเพราะรัฐธรรมนูญปี 50 สิ้นสุดลง จึงต้องส่งคืนไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะปฏิบัติหน้ าส.ว. ส่วนคดีอื่นๆ ที่เหลือ ป.ป.ช.จะเดินหน้าไต่สวนต่อ เพราะเป็นคำร้องที่มีการกล่าวหาทั้งกระทำผิดรัฐธรรมนูญ และยังมีความผิดตามกฎหมายและ พ.ร.บ.อื่นๆ อีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณี 268 ส.ส.ที่ร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.มิชอบจะพ้นผิดเหมือนกับกรณี 310 ส.ส.ร่วมกันลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ ป.ป.ช.ยุติไต่สวนโดยให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่มีผลบังคับใช้แล้วแล้วหรือไม่ นายสรรเสริญกล่าวว่า คนละกรณีกัน เพราะมูลเหตุเรื่อง 268 ส.ส.ที่มีการส่งมาให้ ป.ป.ช.ไต่สวน นอกจากเรื่องกระทำความผิดรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่มีการเสียบบัตรแทนกันอีกด้วย
