xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คดี “พี่น้องสุวะดี” ยังไม่จบ “ณัฐพล” เจอ 112 – ยึดทรัพย์ “เดอะกิ๊ก” ล้างบาง บช.ก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ความคืบหน้าในการดำเนินคดีและการทลายเครือข่าย “เดอะกิ๊ก-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) และ “อดีตอัครพงศ์ปรีชา” ที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ “สุวะดี” ยังคงปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล พี่สาวคนโตของ “สกุลสุวะดี” ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อให้ได้งานประมูลเครื่องเสวยและอาหารในครัวข้าราชบริพารพระที่นั่งอัมพรสถานและวังศุโขทัยแล้ว หากยังจำกันได้ มีผู้ต้องหาอีก 1 คนที่ปรากฏชื่อพร้อมกับนางสุดาทิพย์ นั่นก็คือ “นางสาวปาลิดา หลักเฉลิมพร” ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นหุ้นส่วนกับนางสุดาทิพย์

คำถามก็คือนางสาวปาลิดาคือใคร

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นางสาวปาลิดาคือ ภรรยาของนายสิทธิศักดิ์ หรือปื๊ด สุวะดี ซึ่งเป็นคนเดียวกับ อดีต จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ที่ถูกปลดออกจากเสมียนกองบังคับการ สำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

เป็นนายสิทธิศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดีแอบอ้างเบื้องสูงทวงหนี้ผู้เสียหาย 37 ล้านบาท โดยเหตุเกิดที่ สน.พระโขนง

นางสาวปาลิดาจึงเป็นเครือญาติสุวะดีคนล่าสุดที่ปรากฏรายชื่อ

สำหรับความคืบหน้าในคดีของนางสุดาทิพย์นั้น จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นางสุดาทิพย์รับว่าเป็นผู้กระทำผิดในการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อให้ได้งานประมูลเครื่องเสวยและอาหารในครัวข้าราชบริหารพระที่นั่งอัมพรสถานและวังศุโขทัยแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจว่า ใบรับรองของบริษัทใครเป็นผู้ลงนามเป็นเจ้าของ หากนางสาวปาลิดาเป็นผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียวก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่หากเป็นกรรมการผู้อนุญาตลงนาม มีการประชุมและรับรู้เรื่องราวในบริษัท ก็จะมีความผิดด้วย

กระนั้นก็ดี ความน่าสนใจของนางสาวปาลิดายังไม่หมดเพียงเท่านั้น เนื่องเพราะเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2557 ซึ่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) โดย พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ได้แถลงผลการอายัดทรัพย์สินของ พล.ต.ท.พงศพัฒน์และพวกเพิ่มเติมอีกกว่า 100 ล้านบาท หลังก่อนหน้านี้ได้อายัดไปแล้วก่อนหน้านี้กว่า 400 ล้านบาทนั้น ได้ปรากฏรายชื่อของนางสาวปาลิดาอีกครั้ง

โดยปาลิดาอยู่ในกลุ่มที่ถูก ปปง.อายัดบัญชีในครั้งที่สองนี้ด้วย

ทั้งนี้ นอกจากนางสาวปาลิดาจะถูกอายัดบัญชีตามฐานความผิดกรณีแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อให้ได้งาน ประมูลเครื่องเสวยและอาหารในครัวข้าราชบริพารพระที่นั่งอัมพรสถานและวังศุโขทัยแล้ว ยังมีความผิดในข้อหาลักลอบนำซากสัตว์สงวนเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อการค้าโดยผิดกฎหมายและได้มีการร้องทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2535 และ พ.ร.บ.ศุลกากร 2469 อีกด้วย

บัญชีที่ถูกอายัดมีทั้งหมด 4 บัญชี มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 61,644,020.64 บาท

นอกจากนั้น ข้อมูลของ ปปง.ยังทำให้เป็นที่ชัดเจนด้วยว่า นางสาวปาลิดา หลักเฉลิมพร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของคณะบุคคล ปณสุ และคณะบุคคล น้ำทิพย์ที่ แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อให้ได้งาน ประมูลเครื่องเสวยและอาหารในครัวข้าราชบริพารพระที่นั่งอัมพรสถานและวังศุโขทัยนั้นคือคนๆ เดียวกับ “นางปาลิดา สุวะดี” ซึ่งปรากฏชื่อเป็นหุ้นส่วนของ “บริษัท ศิรินทิพย์ 2007 จำกัด” เปิดร้านกาแฟชื่อ “คาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ” อยู่บนชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ร่วมกับนางสุดาทิพย์ นางวันทนีย์และนายอภิรุจ สุวะดี พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวลและนางสาวขวัญตา เกิดอำแพง

“ก่อนหน้านี้ ปปง.อายัดทรัพย์สินประเภทที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ไป 104 รายการ มูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท ล่าสุด ปปง.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สิน ประเภทบัญชีเงินฝากธนาคารของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กับพวกและเครือญาติอีก 11 รายการ มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท รวมแล้วอายัดทรัพย์สิน 215 รายการ มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท แต่ยังมีทรัพย์สินอีกจำนวนมากกว่า 2 หมื่นรายการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเตรียมการยึดอายัดเพิ่มเติม หากตรวจสอบแล้วพบมีทรัพย์สินใดที่เชื่อว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ปปง.จะเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการธุรกรรมการเงินเพื่อพิจารณายึดและอายัดทรัพย์สินต่อไป”พ.ต.อ.สีหนาทแจกแจงและสรุปข้อมูล

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้แจ้งความดำเนินคดี “นายณัฐพลหรือกอล์ฟ สุวะดี” เพิ่มเติม โดยเป็นข้อหาแอบอ้างเบื้องสูงเช่นเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2557 พนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าวได้แจ้งข้อหาแอบอ้างเบื้องสูงกับนายณัฐพล พร้อมกับสมุนมือขวาคือนายชากานต์หรือยูริ ภาคภูมิ เพอีก 1 คดี โดยคดีดังกล่าวเกิดขึ้นที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA ถนนเสรีไทย แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.

พฤติการณ์ของคดีคือ นายชากานต์เป็นนักศึกษาภาคพิเศษหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน คณะรัฐประศาสนศาสตร์ของสถาบันดังกล่าว เข้าเรียนตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งโดยปกติแล้วตามหลักสูตรจะเรียนทั้งหมด 6 ชั่วโมงจำนวน 6 ครั้ง ครั้งที่ 7 เป็นการสอบ และต้องมีเวลาเรียนทั้งหมดร้อยละ 80 หรือหมายความว่า สามารถขาดเรียนได้เพียงครั้งเดียว แต่นายชากานต์ขาดเรียนทั้งหมด 3 ครั้ง จึงนำหนังสือทั้งหมด 3 ฉบับลงชื่อโดยนายณัฐพลมายื่นที่คณะรัฐประศาสนศาสตร์แจ้งว่า นายชากานต์ขาดเรียนเพราะมีภารกิจติดตามดูแลบุคคลสำคัญ การยื่นหนังสือทำให้ได้สิทธิ์จากทางมหาวิทยาลัยให้เข้าสอบ ซึ่งตามจริงจะต้องตกในวิชานั้นๆ

สำหรับหนังสือที่นายชากานต์ยื่นให้ทางคณะทั้ง 3 ฉบับ จากการตรวจสอบพบว่า เป็นหนังสือตราครุฑ ส่วนราชการบันทึกข้อความ ไม่ได้ระบุวันที่แน่ชัด แต่ระบุว่าช่วงเดือนกรกฎาคม เรื่องรับรองการปฏิบัติราชการ เรียนถึงคณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เนื่องด้วยนายชากานต์ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการเป็นเลขานุการประจำตัว มีภารกิจในการติดตามดูแลบุคคลสำคัญในวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2557 วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2557 และวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2557 จึงไม่สามารถเข้าเรียนวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ระบุชื่ออาจารย์ประจำวิชา และยังระบุข้อความให้นายณัฐพลยืนยันว่า นายชากานต์ติดปฏิบัติราชการจนไม่สามารถเข้าเรียนได้ดังกล่าว

ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีดังกล่าวว่า นายชากานต์ได้ให้นายณัฐพลทำหนังสือถึงคณะรัฐประศาสนศาสตร์ว่า ติดภารกิจสำคัญในการติดตามตนเอง โดยอ้างว่าเป็นพระอนุชา

กล่าวสำหรับนายณัฐพลหรืออดีตว่าที่ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชานั้น ก่อนหน้านี้เคยถูกดำเนินคดีแอบอ้างเบื้องสูงมาแล้ว โดยร่วมกับ “เสี่ยนิค-นพพร ศุภพิพัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด และ เสธ.เจี๊ยบ-นท.ปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด อุ้มนายบัณฑิต โชติวิทยะกุลเพื่อขอให้ลดหนี้จาก 120 ล้านบาทหรือ 20 ล้านบาท

ส่วนกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายใน บช.ก.หลังเกิดคดีแอบอ้างเบื้องสูงของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวกนั้น ทำให้มีตำแหน่งว่างในสังกัด บช.ก.เพิ่มขึ้นจากเดิมหลายตำแหน่ง ประกอบกับข้าราชการตำรวจใน บช.ก.ที่จะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งสูงขึ้นไม่ครบหลักเกณฑ์เป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งมีรายงานว่าในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบก.-สว.วาระประจำปี 2557 ในสังกัด บช.ก.และ บช.น.ในครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ มีนโยบายการปรับโยกนายตำรวจที่เชื่อว่าเป็นเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ออกนอกหน่วย พร้อมทั้งยังกำชับไม่ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่สังกัดใน บช.น. บช.ส. บช.ภ.1, 2, 7 และจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่เป็นเวลา 2 ปี โดยรายชื่อที่เชื่อว่าเป็นเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ได้มีการส่งมอบให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แล้ว ทาง พล.ต.อ.สมยศก็ได้ส่งรายชื่อดังกล่าวไปยัง สำนักงานกำลังพล (สกพ.) และพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.ผบช.ก.รับไปจัดทำบัญชีตามนโยบายของ พล.อ.ประวิตรแล้ว

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า มีรายชื่อนายตำรวจที่จะถูกโยกย้ายออกจาก บช.ก.และบช.น.มีจำนวนถึง 262 นาย แยกเป็นระดับรอง ผบก.จำนวน 24 นาย, ระดับ ผกก.จำนวน 52 นาย, ระดับรอง ผกก.จำนวน 85 นาย และระดับ สว.จำนวน 102 นาย ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ประวุฒิได้ทำหนังสือบันทึกข้อความ เลขที่ 0026.112/9169 ถึง ผบช.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก.ในสังกัด สง.ผบ.ตร.หรือตำแหน่งเทียบเท่า เพื่อสอบถามว่ามีข้าราชการตำรวจในระดับ รอง ผบก.-สว.รายที่ใดประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งในสังกัด บช.ก.หรือไม่ หากมีให้ข้าราชการตำรวจดังกล่าวทำหนังสือสมัครใจตามแบบฟอร์มพร้อมแนบประวัติการรับราชการ (กพ.7) ส่งไปยัง บชก.ภายในวันที่ 15 ธ.ค. 2557

ทั้งนี้ ในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก.-สว.วาระประจำปี 2557 นั้น ทุก บช.จะต้องจัดทำบัญชีคัดเลือกให้แล้วเสร็จภายในวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. ส่วนผู้ที่ดำรงตำแหน่งไม่ถึง 2 ปีนั้นจะมีการส่งชื่อขอยกเว้นในวันที่ 17 ธ.ค.แล้วส่งรายชื่อผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้ดำรงในตำแหน่งที่สูงขึ้น ระดับรอง ผบก.กับ ผกก.เข้าวาระ ก.ตร. เพื่อขอมติเห็นชอบในการประชุม ก.ตร. ในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ โดย ผบ.ตร.จะลงนามคำสั่งแต่งตั้งในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ และมีผลในวันที่ 5 ม.ค. 2558

เมื่อประมวลสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว สรุปรวมได้ว่า การดำเนินคดีกับเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และอดีตอัครพงศ์ปรีชาที่ปัจจุบันกลับมาใช้ “สุวะดี” จะไม่จบสิ้นเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน


กำลังโหลดความคิดเห็น