ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถ้าจะกล่าวว่า “อัครพงศ์ปรีชา” ใกล้จะถึงกาลอวสานเต็มทีแล้ว ก็คงจะไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการจับกุม “นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล” ภรรยาของ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตอนจบใกล้เข้ามาทุกที
ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ นางสุดาทิพย์คือพี่สาวคนโตของพี่น้องอดีตอัครพงศ์ปรีชา และมีศักดิ์เป็นหลานสาวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์
นางสุดาทิพย์คืออดีตอัครพงศ์ปรีชาคนล่าสุดที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังก่อนหน้านี้มี 3 อดีตอัครพงศ์ปรีชาถูกจับและถูกตั้งข้อหาเดียวกันไปแล้ว 3 คนคือ นายณัฐพล สุวะดี นายณรงค์ สุวะดีและนายสิทธิศักดิ์ สุวะดี
ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่การจับกุมครั้งนี้มีการตั้งข้อหาที่ชัดเจนยิ่งว่า นางสุดาทิพย์มีพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงโดยเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการจัดซื้อเครื่องเสวยของ “วังอัมพร” และ “วังศุโขทัย” พร้อมทั้งลากโยงให้เห็นเครือข่ายธุรกิจที่อดีตพี่น้องอัครพงศ์ปรีชาทำมาหากินโดยแอบอ้างเบื้องสูงที่สยายปีกในหลายวงการ
ทั้งธุรกิจรีสอร์ทที่อำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี และกิจการกาแฟที่สนามบินสุวรรณภูมิ
มิใช่แค่การเรียกรับส่วยน้ำมันเถื่อน การรับเงินโยกย้ายตำรวจ การรับจ้าง เคลียร์หนี้ การเปิดบ่อนย่านถนนพระราม 9 เท่านั้น
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ในขณะที่มีการจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูงนั้น นางสุดาทิพย์ผู้เป็นพี่สาวคนโตของอดีตอัครพงศ์ปรีชาก็ถูกจับกุมและดำเนินคดีเช่นกัน
โดยนางสุดาทิพย์พร้อมกับ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผู้เป็นสามี ถูกจับเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ในข้อหาร่วมกันบุกรุก ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันปลุกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือทะเลสาบที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 55,72 ตรี และพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2546 ม.117 ก่อนได้รับการปล่อยตัวประกันออกไป
จากวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ชื่อของนางสุดาทิพย์ก็เงียบหายไป กระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม 2557 ชื่อของนางสุดาทิพย์ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังไปควบคุมตัวตามหมายจับศาลอาญาที่ 2238/2557 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2557 ในข้อหา ม.1112 ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมื่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ทั้งนี้ ที่มาของการจับกุมดังกล่าวมีต้นสายปลายเหตุมาจากการที่มีผู้เสียหายไปแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.สามเสนให้ดำเนินคดีนางสุดาทิพย์และพวกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 เพราะพฤติกรรมผู้ต้องหาและพวกแอบอ้างเบื้องสูง ส่งผลทำให้ได้งานประมูลกิจการธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเสวยครัวข้าราชบริพาร ขายน้ำพริกประเภทต่างๆ ผักสดและผักต้ม ส่งพระที่นั่งอัมพรสถาน และวังศุโขทัย ในนามคณะบุคคล ปณสุและคณะบุคคลน้ำทิพย์ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 2/3 หมู่ 9 ถนนทวีวัฒนา เขตทวีวัฒน กทม.สร้างรายได้รวมกันนับล้านบาทต่อเดือน
ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้สอ.เส้นก็คือคำว่า พระที่นั่งอัมพรสถานและวังศุโขทัย
จากการตรวจสอบข้อมูลตามแผนผังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาจัดแสดงทำให้ได้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะบุคคล ปณสุ และคณะบุคคลน้ำทิพย์ว่า คณะบุคคลปณสุทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายผักสดและผักต้มให้กับวังอัมพรและวังศุโขทัย มีรายได้ 3-4 แสนบาทต่อเดือน โดยมีนางสุดาทิพย์ ม่วงนวลและนางสาวปาลิดา หลักเฉลิมพร เป็นผู้ดำเนินการ ขณะที่คณะบุคคล น้ำทิพย์ ทำ ธุรกิจขายน้ำพริกประเภทต่างๆ ให้กับวังอัมพรและวังศุโขทัย มีรายได้ 6-7 แสนบาทต่อเดือน ปรากฏชื่อนางสุดาทิพย์ ม่วงนวลและนางสาวปาลิดา หลักเฉลิมพรเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน
เห็นข้อมูลอย่างนี้แล้ว คงต้องกล่าวว่า แม้แต่การซื้อขายผักและน้ำพริกก็ไม่เว้นกันเลยทีเดียว
พฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงของนางสุดาทิพย์ชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อพนักงานสอบสวน สน.สามเสน ได้ควบคุมตัวนางสุดาทิพย์มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยคำร้องระบุว่า
“เมื่อระหว่างปี พ.ศ. 2545 - 23 พ.ย. 2557 ต่อเนื่องกัน กองกิจการในพระองค์ฯ ได้จัดซื้ออาหาร โดยมีนางสุดาทิพย์ ผู้ต้องหานี้จัดหาอาหารน้ำพริกพร้อมเครื่องเคียง เช่น ผักสด ผักลวก ต่างๆ นำส่งกองกิจการในพระองค์ฯ กระทำติดต่อกันเรื่อยมา หากมีร้านค้าอื่นๆ ประสงค์ที่จะเข้ามาประมูลราคา ผู้ต้องหาก็จะพูดแอบอ้างเพื่อจะเป็นผู้จัดหาอาหาร จำพวกน้ำพริกนำส่งกองกิจการในพระองค์ฯ แต่เพียงรายเดียว การกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง คือจะต้องเปิดการประมูล เพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้าตามระเบียบทางราชการทั่วไป และเป็นลักษณะแอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กองกิจการในพระองค์ฯ จึงได้มอบอำนาจให้ พล.อ.ต.วีระพันธ์ ภูวจินดา ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.สามเสน ให้ดำเนินคดีต่อ น.ส.สุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหากับพวก ต่อมาวันที่ 10 ธ.ค. 2557 พนักงานสอบสวน สน.สามเสน ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหานี้ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2238/2557 ลงวันที่ 10 ธ.ค. 2557 ซึ่งผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลเดียวกันตามหมายจับจริง
“พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม. มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ”
นอกจากนั้นยังมีรายงานด้วยว่า เครือข่ายธุรกิจของนางสุดาทิพย์ยังมีรายได้จาก “สวนผึ้งรีสอร์ท จ.ราชบุรี” มูลค่า 1-2 ล้านบาทต่อเดือน อีกทั้งยังร่วมลงทุนกับญาติพี่น้องอดีตอัครพงศ์ปรีชา ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นสุวะดี เกิดอำแพงและสามี ในนามบริษัท ศิรินทิพย์ 2007(อัครพงศ์ปรีชา) เปิดร้านกาแฟ “คาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ” อยู่บนชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ทำรายได้ 2-3 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ บริษัท ศิรินทิพย์ 2007(อัครพงศ์ปรีชา) ปรากฏรายชื่อผู้เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล
2.นายณรงค์ สุวะดี
3.นางปนิดา สุวะดี
4.นางวันทนีย์ สุวะดี
5.นายอภิรุจ สุวะดี
6.พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล
และ 7.นางสาวขวัญตา เกิดอำแพง
ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้เช่นกันก็คือชื่อของนายอภิรุจและนางวันทนีย์ สุวะดี เนื่องเพราะทั้งสองคนคือพ่อและแม่ของนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล และอดีตอัครพงศ์ปรีชาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้คือ นายณัฐพล สุวะดี นายณรงค์ สุวะดีและนายสิทธิศักดิ์ สุวะดี
สำนักข่าวอิศราได้ตรวจสอบงบการเงินบริษัท ศิรินทิพย์ 2007 จำกัด โดยละเอียดพบว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งปี 2549 จนถึงปี 2556 มีรายได้รวม 112,017,881.75 บาท ขาดทุนสุทธิ 2 ปี (2549-2550) หลังจากนั้นมีกำไรต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551-2556 กำไรสะสม 184,819.30 บาท จำแนกเป็น ปี 2556 มีรายได้ 27,272,433 บาท กำไรสุทธิ 565,455 บาท ปี 2555 รายได้ 26,058,858 บาท กำไรสุทธิ 360,919 บาท ปี 2554 รายได้ 15,444,186.92 บาท กำไรสุทธิ 96,546.25 บาท ปี 2553 รายได้ 13,028,157.70 บาท กำไรสุทธิ 314,059.59 บาท
ปี 2552 รายได้ 7,267,700.12 บาท กำไรสุทธิ 667,756.51 บาท ปี 2551 รายได้ 8,896,433.89 บาท กำไรสุทธิ 619,228.04 บาท
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมข้อมูลหาความเชื่อมโยงว่า สวนผึ้งรีสอร์ทและคอเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิมีการแอบอ้างเบื้องสูงไปทำธุรกิจหาผลประโยชน์หรือไม่
ทว่า ยังไม่ทันที่จะได้มีการตรวจสอบข้อมูลลึกลงไปในรายละเอียดก็ปรากฏข่าวที่ชัดเจนแล้วว่า สวนผึ้งรีสอร์ทของนางสุดาทิพย์ได้ประกาศขายกิจการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
11 ธันวาคม 2557 สำนักข่าวอิศราได้รายงานว่า นายสถาพร พงศ์พิพัฒน์วัฒนา นักข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้โพสต์ภาพถ่ายสวนผึ้งรีสอร์ท หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ. สวนผึ้ง จ. ราชบุรี หนึ่งในธุรกิจของ พ ต.อ.โกวิท ม่วงนวล พร้อมภรรยา นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล(นามสกุลเดิมอัครพงศ์ปรีชา) ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า "Sataporn Pongpipatwattana" โดยระบุข้อความประกอบว่า รื้อเอง !! "สวนผึ้ง รีสอร์ท".... ปิดฉากมนุษย์หินฟลิ้นสโตนส์ รีสอร์ทใหญ่ที่สุด โด่งดังที่สุด แห่งสวนผึ้งเหลือไว้แค่ "อดีต"
พร้อมโพสต์ข้อความแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า
"ปิดตัวเอง...ทุบรีสอร์ทตัวเอง..."
"เจ้าของ คงไม่อยากทำต่อแล้วครับ"
"ในภาพ..กลายเป็นของกลางครับ"
สำหรับสวนผึ้งรีสอร์ทนั้น นางสุดาทิพย์และครอบครัวเช่าพื้นที่จากกรมธนารักษ์ทั้งหมด 8 แปลง จำนวนกว่า 200 ไร่ ตามหมายเลขที่ รบ.553 จากการตรวจสอบพบว่าแปลงที่ 1-7 เป็นการดำเนินการเช่าพื้นที่อย่างถูกต้อง แต่แปลงที่เป็นปัญหาคือแปลงที่ 8 ที่มีเนื้อที่ราว 128 ไร่ 200 งาน เนื่องจากบางส่วนอยู่ในภูเขาเขตลุ่มน้ำชั้น 2 ซึ่งมีความลาดชันมากกว่า 35% และตามกฎหมายไม่สามารถอนุญาตให้เช่าพื้นที่ดังกล่าวได้
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริเวณสวนผึ้งรีสอร์ทที่มีการถูกรื้อทิ้ง เป็นพื้นที่ส่วนเกินประมาณ 10 ไร่ ที่ถูกร้องเรียนว่ามีการบุกรุก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังถือเป็นพื้นที่ของกลางที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีอยู่ ทางทหารจึงได้มีการส่งกำลังเข้าไปเฝ้าไว้ เพื่อไม่ให้มีการทุบทิ้งทำลายของกลางในคดี
ทั้งนี้ แม้สวนผึ้งรีสอร์ทจะประกาศขายกิจการ แต่ถามว่า ใครจะมาซื้อ
นอกจากประเด็นเรื่องกิจการของอดีตอัครพงศ์ปรีชาแล้ว เมื่อวันที่ 10ธันวาคม 2557 ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสนใจซึ่งเกี่ยวข้องกับอดีตอัครพงศ์ปรีชาอีก 1 เหตุการณ์ และถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน
10 ธันวาคม 2557 มีรายงานว่า สำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ(สนง.นรป.) ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอราสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีเอกสารโทรสารราชการ สนง.นรป.พระที่นั่งอัมพรสถาน ชั้นความลับมากถึงศูนย์วิทยุปทุมวันถึงผู้ปฏิบัติ ผบช.น.,ผบช.ภ.7,ผบช.ก.,ผบช.ส,ผบก.น.1-9,ผบก.จร,ผบก.ทล.ระบุว่า...
ตามที่ สนง.นรป.พระที่นั่งอัมพรสถานแจ้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงนามเรียกขานที่สำคัญจากเดิมคือบ้านอัครพงศ์ปรีชา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี ที่ใช้นามเรียกขานว่าบ้านอัครพงศ์ปรีชาแก้เปลี่ยนแปลงเป็นบ้านสุวะดีนั้น สนง.นรป.พระที่นั่งอัมพรสถานขอยกเลิกหนังสือที่อ้างถึงดังกล่าวและให้ใช้หนังสือฉบับนี้แทนดังนี้
1.ยกเลิกนามเรียกขานบ้านสุวะดี ทั้งในเขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี
2.กรณีบ้านสุวะดี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ใช้ชื่อเรียกว่าบ้านเลขที่ 1 อาคารที่พักข้าราชบริพารในพระองค์ฯ
ลงชื่อ พล.ต.ท.สกลเขต จันทรา หัวหน้า สนง.นรป. ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
นี่คือความชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ กับขบวนการหากินโดยแอบอ้างเบื้องสูงแก๊งนี้
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คงสามารถกล่าวได้ว่า วันนี้ อัครพงศ์ปรีชาใกล้ปิดฉากลงทุกทีแล้ว และอีกไม่นานนักก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าให้ลูกให้หลานได้จดจำถึงพฤติกรรมของพวกเขาที่แอบอ้างเบื้องสูงในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเองและญาติพี่น้อง