โฆษก ตร. เผยศาลทหารอนุมัติหมายจับเพิ่ม “ณัฐพล - ชากานต์” ฐานหมิ่นสถาบันฯ หลังทั้งคู่ขาดเรียนที่นิด้าเกินกำหนด แต่กลับแอบอ้างสถาบันฯ ไม่ให้ถูกดำเนินการตามระเบียบ เตรียมออกหมายเรียก รอง ผกก.ป. คนสนิท “พงศ์พัฒน์” ที่ยังหลบหนีอีกครั้ง หากไม่มาเจอหมายจับ พร้อมดำเนินการทางวินัยกรณีขาดราชการเกิน 15 วันด้วย
วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ว่า ขณะนี้ศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติออกหมายจับ นายชากานต์ ภาคภูมิ และ นายณัฐพล สุวะดี (อัครพงศ์ปรีชา) สองผู้ต้องหาเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เพิ่มเติม ในข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีการแอบอ้างสถาบันฯเพื่อผลประโยชน์ทางการศึกษาในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า จากกรณีที่นายณัฐพล ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสถาบันฯ และอ้างว่า เป็นพระอนุชาเพื่อให้สถาบันฯไม่ดำเนินการตามระเบียบต่อนายชากานต์ จากกรณีที่เจ้าตัวขาดเรียนในชั้นเรียนปริญญาโทเกินกำหนด ทำให้มีเวลาเรียนไม่เพียงพอ โดยนายณัฐพลอ้างกับนิด้าว่านายชากานต์ได้ไปปฏิบัติภารกิจกับเกี่ยวกับสถาบันฯกับตน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นความผิดในต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นคนละกรณีกับข้อหาเดิม ซึ่งจากนี้ดำเนินการอายัดตัวเพิ่มเติมต่อไป เนื่องจากผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ ขณะที่กระบวนการสอบสวนในคดีดังกล่าวกับผู้ต้องหารายอื่นๆ เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการคดีหมิ่นฯของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณา ทั้งนี้ ในส่วนของสำนวนคดีหลักทั้งหมดนั้นจะมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน จากนั้นจะส่งต่อให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. พิจารณากลั่นกรองอีกครั้งก่อนส่งให้อัยการต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงสำนวนคดีแก๊งอุ้มลดหนี้ในพื้นที่นครบาล พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ส่งสำนวนมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. ที่ผานมา ทั้งสำนวนของ สน.พระโขนง และ สน.วัดพระยาไกร โดยสำนวนดังกล่าวจะมอบหมายให้คณะกรรมการคดีหมิ่นฯของ ตร. พิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ซึ่งต้องขอเวลาคณะทำงานเนื่องจากมีผู้ต้องหาหลายราย และเป็นพฤติกรรมต่อเนื่องหลายคดี แต่ไม่น่าจะเกิน 10 วัน
เมื่อถามต่อว่าจะออกหมายจับ หรือหมายเรียกที่เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวเพิ่มเติมหรือไม่ โฆษก ตร. กล่าวว่า กำลังรวบรวมหลักฐาน และเร่งสืบสวนสอบสวน ตลอดจนพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ ว่า มีบุคคลรับรู้รับเห็นกับการกระทำผิดหรือไม่ หากเข้าองค์ประกอบการกระทำผิด ก็ต้องออกหมายจับเพิ่มเติม แต่ตอนนี้ยังไม่พบผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมแต่อย่างใด ยืนยันว่า ตำรวจดำเนินการไปตามพยานหลักฐานอย่างเคร่งครัด ไม่ได้กลั่นแกล้ง ส่วนกรณีเกี่ยวกับธุรกิจผักสด น้ำพริกนั้น ไม่ใช่เรื่องหยุมหยิม เนื่องจากมีผู้เสียหายมาแจ้งความเพิ่มเติม และพบว่ามีความผิดจริง เจ้าหน้าที่จึงต้องดำเนินคดีไปตามหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าวันที่ 14 ธ.ค. นี้ จะครบกำหนดหมายเรียก พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6 บก.ป. โฆษก ตร. กล่าวว่า ล่าสุด ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพยายามติดตามตัวแล้ว โดยหากยังไม่มารายงานตัวในวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะได้ออกหมายเรียกอีก 1 ครั้ง และหากมั่นใจว่าไม่มาแน่แล้วก็จะออกหมายจับต่อไป ทั้งนี้ หมายเรียกครั้งต่อไปตำรวจจะให้เวลาอีกอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้เวลาผู้ถูกเรียกมารายงานตัว หากไม่มาอีกจะผิดวินัยเข้าข่ายขาดราชการโดยไม่มีเหตุอันควร จะถูกลงโทษให้ออกจากราชการ ส่วนกรณีการขัดหมายเรียกไม่มาให้การทางคดีก็ต้องดำเนินการทางคดีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อเข้ามาพบเลย ซึ่งถือว่าผิดปกติมาก ขณะที่ตำรวจก็มีการติดตามในทางลับ แต่ยังไม่ได้ร่องรอยใดๆ เนื่องจากผู้ถูกเรียกเป็นตำรวจมาก่อนซึ่งมีความชำนาญในการซ่อนตัว
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าการดำเนินการทางวินัยกับนายตำรวจคนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.ชนินทร์ ปรีชาหาญ จเรตำรวจแห่งชาติ จะเป็นประธานคณะกรรมการเพื่อดำเนินการทางวินัยกับตำรวจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้สรุปข้อมูลต่างๆแล้ว หากพบมีความผิดวินัยร้ายแรงต้องให้ออกไว้ก่อน ส่วนจะเข้าข่ายถอดยศหรือไม่ ต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการอีกครั้ง
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึงกรณีน้องชาย นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมกับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรหมกุล ผบช.น. ว่า จะรับคำร้องดังกล่าวไว้ แต่ที่อ้างว่าไม่เคยจ่ายสินบน แต่นำหลักฐานมาให้ตำรวจทำให้ข้อมูลยังขัดแย้งกันอยู่ เนื่องจากตำรวจมีหลักฐานการจ่ายชัดเจน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเจ้าตัวคงหนีไปอีกสักพัก เมื่อคิดได้คงเข้ามามอบตัวเอง แต่ขณะนี้ตำรวจยังไม่ได้เบาะแส ส่วนจะมีโอกาสเจอตัวหรือไม่ต้องใช้เวลา ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบตร. พอใจการทำงานของชุดสืบสวน พร้อมกำชับเกี่ยวกับการดำเนินการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจสอบของกลางและพยานหลักฐานทางคดี ตลอดจนการสอบสวนขยายผล หากมีผู้ร่วมกระทำผิดหรือผู้กระทำผิดรายเดิมต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งคงต้องใช้เวลาแต่ไม่เกินกรอบ 30 วันที่ต้องส่งสำนวนต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่างแน่นอน
วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิสูตร ฉัตชัยเดช พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา และพ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว เปิดเผยถึงกรณีสถาบันบัณทิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ได้ประสานไปยังกองบังคับการปราบปรามและ ผบช.น. จึงได้สั่งการให้ สน.ลาดพร้าว ดำเนินการสืบสวนสอบสวนจึงทราบว่านายชากานต์ ภาคภูมิ และนายณัฐพล สุวะดี ร่วมกันแอบอ้างเบื้องสูง โดยนำหนังสือที่ระบุว่า นายชากานต์ ติดภาระกิจ ติดตามบุคคลสำคัญมายื่นให้ทางสถาบัน จึงไม่สามารถมาเรียนได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลให้หมดสิทธิ์สอบในวิชารอ.6005 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ในคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันนิด้า
ด้านพ.ต.อ.วิทวัฒน์ กล่าวว่า หลังจากที่ตรวจสอบหนังสือที่นายชากานต์ ยื่นให้กับสถาบัน และได้ส่งตัวแทนด้านกฎหมายมาแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ลาดพร้าว โดยระบุว่า วิชารอ.6005 ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ จัดการเรียนการสอนทุกวันอาทิตย์ ครั้งละ 6 ชั่วโมง เข้าเรียนจำนวน 6 ครั้ง และสามารถขาดเรียนได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น แต่นายชากานต์ขาดเรียนถึง 4 ครั้ง ส่งผลให้ไม่มีสิทธ์สอบ ซึ่งในวันนี้ได้นำหมายจับของศาลทหารกรุงเทพเลขที่2552/2557 ลงวันที่11ธ.ค.57 ในข้อหาแอบอ้างสถาบัน มาตรา112 ไปแจ้งนายชากานต์ และนายณัฐพล ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งนายชากานต์รับสารพทุกข้อกล่าวหา ส่วนนายณัฐพลปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมอ้างว่าตนเป็นผู้เซ็นต์ยืนยันในหนังสือเท่านั้น ทางพนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อทำการสอบสวนเพื่มเติมอีกครั้ง
ส่วนกรณีนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ผบช.น. ได้จัดตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.ภัครพงษ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน หากการสอบสวนนางสุดาทิพย์ แล้วพบว่าคำให้การเชื่อมโยง หรือพาดพิงถึงบุคคลที่3 หรือมีพยานหลักฐานครบ ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการทันที
ด้านพล.ต.ต.ภัครพงษ์ พงษ์เภตรา รองผบช.น. เปิดเผยถึงกรณีนางสุดาทิพย์ว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าธุกิจของนางสุดาทิพย์ มีหุ้นส่วนชื่อน.ส.ปาลิตา หลักเฉลิมพร โดยใช้ชื่อว่าคณะบุคคลน้ำทิพย์ ตั้งอยู่ที่2/3 หมู่9 ถนนทวีวัฒนา แขวง/เขตทวีวัฒนา กทม. ซึ่งประมูลธุกิจการขายน้ำพริกประเภทต่างๆ รายได้สุทธิ 6-7แสนบาทต่อเดือน และประมูลธุกิจต่างๆที่เกี่ยวกับการถวายพัตราหารในวัง โดยมีการแอบอ้างเบื้องสูง ตรงนี้จะต้องตรวจสอบให้ละเอียด ว่ามีความผิดแค่ไหน เนื่องจากกรณีดังกล่าว มีผู้มาแจ้งความเอาผิดนางสุดาทิพย์แค่รายเดียวเท่านั้น