คุมตัว “พงศ์พัฒน์” พร้อมพวกสอบเพิ่มที่ บช.น. ก่อนนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง ตร.สับขาหลอกปล่อยข่าวให้ประกันตัว หวังเคลียร์สื่อออกนอกพื้นที่ ด้าน ผบ.ตร.เซ็นตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง “บิ๊กกิ๊ก” พร้อมพวก 7 ตร.ร่วมขบวนการ ขีดเส้นเสร็จใน 30 วัน สตช.เผยจับครบก๊วน 12 ผู้ต้องหา ล่าถึงนอมินีฟอกเงิน เผยให้ประกันอดีต ผกก.ตม.-เมีย เหตุคดีเบา เปิดคำฟ้องแฉพฤติการณ์อ้างสถาบัน-รับเงินซื้อตำแหน่ง-เปิดบ่อน-ค้าน้ำมันเถื่อน พร้อมคัดค้านประกันตัวเกรงผู้ต้องหาหลบหนี “ไพบูลย์” โบ้ย สตช.กวาดบ้านตัวเอง ยังไม่รับเป็นคดีพิเศษ พลิกปูม “พล.ต.ต.โกวิทย์” ตัดช่องหากิน “เสี่ยโจ้” เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อนแดนใต้ จนต้องโร่ไปฟ้อง “ทักษิณ”
วานนี้ (24 พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 1 กองร้อย ควบคุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ปฏิบัติราชการ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผู้บังคับการตำรวจน้ำ และ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีต ผผก.จว.สมุทรสาคร บก.ตม.3 พร้อมพวกรวม 8 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลอาญา มาตรา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาตรา 148 และเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มายัง บช.น.เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมพร้อมกัน
โดยขณะที่นำตัวผู้ต้องหาเข้ามาในพื้นที่ บช.น. ทางเจ้าหน้าที่ได้กันผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวจำนวนมากให้ออกห่างจากจุดควบคุมตัว รวมทั้งห้ามถ่ายภาพใดๆ ทำได้เพียงการสังเกตการณ์เท่านั้น ก่อนจะอนุโลมให้ถ่ายภาพได้ในภายหลัง โดยหลังจากสอบปากคำทั้งหมดแล้วจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปฝากขังที่ศาลอาญา รัชดาภิเษกต่อไป ทั้งนี้ได้มีญาติและผู้ใกล้ชิดของผู้ต้องหามารอให้กำลังใจด้วย
จนท.คุมเข้มหน้าศาลอาญา
เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. นายประยุทธ ศิริล้น ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ได้พาหัวหน้าส่วนราชทัณฑ์ประจำศาลอาญา และ พ.ต.อ.นิพนธ์ เจริญศิลป์ รักษาการผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาล (ผกก.สน.) พหลโยธิน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธินประมาณ 20 นาย มาตรวจดูความเรียบร้อยบริเวณห้องควบคุมใต้ถุนศาล ซึ่งเป็นสถานที่ฝากขังผู้ต้องหา ขณะที่เจ้าหน้าที่ของศาลได้นำแผงเหล็กมากั้นไว้เป็นทางเดินเพื่อความสะดวกเรียบร้อยและป้องกันบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 น.พนักงานสอบสวนได้ควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมดเดินทางออกจาก บช.น.ไปยังศาลอาญาเพื่อขออำนาจฝากขัง ในรอบแรกมีรถตู้ 4 คัน โดยออกเดินทางผ่านหน้า บช.น.ไปทางถนนศรีอยุธยา และรอบสองอีก 3 คัน และมีรถอีกคันออกมาจากข้างหลังวังปารุสกวัน โดยเดินทางผ่านลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีรถตำรวจนำและปิดท้ายขบวนอย่างแน่นหนา
ผู้สื่อข่าวรายงาน ในรถที่ได้ออกไปในเที่ยวที่สอง ในรถได้มีการนำเอากระดาษหนังสือพิมพ์ปิดเอาไว้ คาดว่ารถคันดังกล่าวจะเป็นบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องในคดีนี้
ฝากขังชุดแรก 4 คน
เมื่อเวลา 15.40 น. ที่ศาลอาญา พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ควบคุมตัว พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผู้บังคับหมู่ บก.ปพ. ซึ่งเป็นคนขับรถของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ด.ต.ฉัตรินทร์ หรือจักรินทร์ เหล่าทอง ผู้บังคับหมู่ บบก.ปพ. ผู้ต้องข้อหา คดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ฯ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 157 และนางสวงค์ มุ่งเที่ยง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 19 และ 47 และนายชอบกับนางปิยพรรณ ชินนะประภา สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในคดีเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาเพื่อจะยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย.- 5 ธ.ค.57 เนื่องจากยังสอบปากคำพยานไม่แล้วเสร็จ รวมทั้งยังต้องรอผลตรวจประวัติผู้ต้องหา และอื่นๆ โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษร้ายแรง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนายชอบและนางปิยพรรณ พนักงานสอบสวนยังทำสำนวนคำร้องไม่เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวทั้งสองกลับไปควบคุมตามกฎหมาย ซึ่งสามารถควบคุมตัวได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมงก่อน และจะนำตัวมายื่นคำร้องฝากขังครั้งแรกใหม่ในวันที่ 25 พ.ย. ขณะที่ศาลได้พิจารณาคำร้องฝากขัง พ.ต.อ.วุฒิชาติ, ด.ต.สุรศักดิ์, ด.ต.ฉัตรินทร์ และนางสวงค์ ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนและอนุญาตให้ฝากขังได้
ตร.ปล่อยข่าวให้ประกันลวงนักข่าว
ภายหลัง พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการกองอารักขาและควบคุมฝูงชน (ผบก.อคฝ.) กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้รับมอบหมายให้นำตัวผู้ต้องหามาฝากขังเพียง 4 คน ส่วนนายชอบ และนางติยะพรรณ พนักสอบสวนได้คุมตัวกลับไปสอบสวนเพิ่ม เนื่องจากคำร้องฝากขังยังไม่เสร็จสิ้น เพราะ ซึ่งเพิ่งถูกควบคุมตัวเมื่อคืนวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 คน ประกอบด้วย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ต.โกวิทย์ พล.ต.ต.บุญสืบ และ พ.ต.อ.โกวิท ได้รับแจ้งว่า ไม่ประสงค์จะนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังต่อศาล เข้าใจว่าคงได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบกรณีที่ พ.ต.อ.เอกรักษ์แจ้งว่า ได้ให้มีการประกันตัวในชั้นสอบสวน 4 ผู้ต้องหานั้นเป็นการปล่อยข่าวทางกลยุทธ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องการให้กองทัพสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศออกจากพื้นที่บริเวณศาลอาญาเท่านั้น
คุม “บิ๊กกิ๊ก” เข้าค่ายทหารสอบต่อ
จนเมื่อเวลา 17.45 น. ได้มีรถตู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 3 คัน ขับเข้ามาในพื้นที่ใต้ถุนศาลอาญา นำโดย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.ภ.1 ควบคุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ต.โกวิทย์ พล.ต.ต.บุญสืบ และ พ.ต.อ.โกวิท รวม 4 คน มายังบริเวณใต้ถุนศาลอาญา โดยกันไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ซึ่งสวมชุดลำลองเสื้อคอกลมสีขาว มีสีหน้าเคร่งเครียด เดินลงจากรถตู้มาคนแรก และถูกคุมตัวพร้อมพวกเข้าห้องพิจารณาฝากขังทันที
ต่อมาเวลาประมาณ 18.45 น. ตำรวจได้คุมตัว พล.ต.ต.โกวิทย์ และ พล.ต.ต.บุญสืบ ขึ้นรถตู้ออกจากศาลอาญา และในเวลา 19.00 น. ก็ได้ควบคุมตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ขึ้นรถตู้อีก 1 คัน ออกจากศาลอาญา
จากนั้น พ.ต.ต.เอกรักษ์ เปิดเผยอีกครั้งว่า หลังจากที่ศาลอนุญาตฝากขังแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ไปสอบสวนต่อยังสถานีตำรวจนครบาล โดยไม่ระบุพื้นที่ว่าจะนำไป สน.ใด โดยหลังจากสอบสวนเสร็จแล้ว จะส่งตัวเข้าไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อไป ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ และ พล.ต.ต.บุญสืบ และผู้ต้องหาชายคนอื่น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้ว ขณะที่นางสวงค์ถูกควบคุมตัวต่อที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการฝากขังพนักงานสอบสวนได้ขอนำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง โดยไม่ระบุสถานที่ เพื่อทำการสืบสวนขยายผลเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินต่อไป
พฤติการณ์ทำผิด กม.เป็นหางว่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ต.ค.53 - 11 พ.ย.57 ขณะที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสอบสวนกลาง มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ได้สมรู้ร่วมคิดกับ พล.ต.ต.บุญสืบ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิ่มรัตน์ อดีต ผกก.1 ป. (เสียชีวิตแล้ว) และ พ.ต.อ.วุฒิชาติ เรียกรับเงินจากข้าราชการตำรวจที่ประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ รายละ 3-5 ล้านบาท เพื่อที่จะไปรับตำแหน่ง โดยจะมีการส่งเงินให้กับกลุ่มผู้ต้องหาเป็นรายเดือน รวมแล้วเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท ส่วน พล.ต.ต.บุญสืบ พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.54 - 18 ก.ค.57 ขณะที่ผู้ต้องหาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ ได้มีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง มีการเรียกเก็บเงินค่าส่วยน้ำมันเดือนละ 1-2 ล้านบาท ส่งเงินให้กับพล.ต.ต.โกวิทย์ จำนวน 35 ล้านบาท และส่งเงินให้กับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นเงินจำนวน 118 ล้านบาท
ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ พนักงานสอบสวนระบุว่ามีพฤติการณ์เปิดบ่อนการพนัน (ถั่วครอบ) ย่านห้วยขวาง โดยร่วมกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แอบอ้างว่าจะนำเงินไปถวายให้สถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนยังจะต้องสอบปากคำพยานกว่า 50 ปาก รอผลการตรวจประวัติผู้ต้องหา จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. - 5 ธ.ค.57 โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสอนได้คัดค้านการประกัน เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของพนักงานสอบสวน
ผบ.ตร.สั่งสอบวินัยร้ายแรง
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่ง สตช.ที่ 633/2557 ลงวันที่ 23 พ.ย.57 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย โดยระบุว่า ตามที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พล.ต.ต.โกวิทย์ พล.ต.ต.บุญสืบ พ.ต.อ.วุฒิชาติ ด.ต.สุรศักดิ์ และ ด.ต.ฉัตรินทร์ ที่ต้องคดีอาญาแล้วได้มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เลขที่ 632/2557 ไปแล้วนั้น อาศัยตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 86 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องดังกล่าวประกอบด้วย พล.ต.อ.ชนินทร์ ปรีชาหาญ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี ผบช.สตม. มีคำสั่งเลขที่ 257/ 2557 ลงวันที่ 23 พ.ย.57 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน พ.ต.อ.โกวิท เช่นกัน
โดยให้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดดำเนินการสอบสวนพิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา พ.ศ.2557 ให้แล้วเสร็จ แล้วเสนอสำนวนการสอบสวนมาเพื่อพิจารณาต่อไป
อดีต ผกก.ตม.-เมีย เหตุข้อหาเบา
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีนี้ออกหมายผู้ต้องหาทั้งสิ้น 12 คน โดยแบ่งเป็นตำรวจ 7 คน พลเรือน 5 คน สำหรับตำรวจ 7 คนนั้นมีการควบคุมตัวตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมด้วย นางสวงค์ ส่วน นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช นั้นได้หลบหนีไปก่อน แต่ล่าสุดควบคุมตัวได้แล้วที่ จ.เชียงราย กำลังนำตัวมาดำเนินคดี ส่วนนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ภรรยา พ.ต.อ.โกวิท ผู้ต้องหาในคดีบุกรุกป่า เพิ่งเข้ามอบตัวในวันนี้
“ขณะนี้ถือว่าได้ตัวผู้ต้องหาที่ออกหมายจับครบแล้ว และนำตัวฝากขังแล้ว เหลือเพียงนายเริงศักดิ์ที่กำลังเดินทาง โดยให้ประกันตัว 2 คน คือ พ.ต.อ.โกวิท และนางสุดาทิพย์ ภรรยา เนื่องจากทั้งคู่ทำผิดในข้อหาบุกรุกแผ้วถางป่า รุกล้ำลำธาร สร้างอาคารในลำคลองเท่านั้น จึงให้ประกันในชั้นพนักงานสอบสวน ส่วนคนอื่นๆรวมทั้ง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ไม่มีการให้ประกันตัวแต่อย่างใด” พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าว
จับเพิ่ม 2 ผัวเมียนอมินีฟอกเงิน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ นายชอบ และนางติยะพรรณ ที่ถูกออกหมายจับในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 และ 5 โดยมีพฤติการณ์เป็นนอมินี นำเงินที่ได้จากการกระทำผิดไปฟอก ส่วนนางสวงค์ และนายเริงศักดิ์ นั้น ทำร้านค้าของเก่า งาช้าง สัตว์ป่าซึ่งพัวพันกับของกลางที่ยึดได้และสามารถจับกุมตัวได้แล้วตั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหา นับเป็นผู้ต้องหาคนที่ 11 และ 12 ที่ถูกจับกุมในคดีนี้ สำหรับ พล.ต.ต.ชัยทัต บุญขำ ผบก.ป.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร.ซึ่งถูกย้ายในช่วงเวลาเดียวกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แต่ไม่ปรากฏชื่อถูกออกหมายจับดำเนินคดีนั้น เนื่องจากพยานหลักฐานสาวไปไม่ถึง ทั้งนี้ ผบ.ตร.ได้ลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์และพวก โดยให้ได้ผลการสอบสวนภายใน 30 วัน
โฆษก สตช.เปิดเผยอีกว่า ในวันที่ 25 พ.ย. เวลา 10.30 น. ที่ สตช. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. และตนจะทำการแถลงข่าวรายละเอียดในคดีนี้อีกครั้ง โดยจะนำภาพของกลางที่ยึดได้แสดงต่อสื่อมวลชนได้ ทั้งนี้ไม่มีการนำผู้ต้องหามาร่วมแถลงแต่อย่างใด
“บิ๊กต๊อก” อ้ำอึ้งรับคดีพิเศษ
อีกด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่พบทรัพย์สินมูลค่านับพันล้านบาทภายในบ้านของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ว่า เบื้องต้นทราบข้อมูลตามที่เป็นข่าว ส่วนในเรื่องที่เจอทรัพย์สินในบ้านผู้ต้องหานั้น สตช.สามารถจัดการเองได้ โดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินหรือสินทรัพย์ทั้งหมดนั้น เนื่องจากต้องการข้อมูลที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ รวมทั้งทาง สตช.ยังไม่ได้ประสานมา แต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้รายงานให้ตนทราบว่ามีข้าราชการบางกลุ่มร่วมมือกับเอกชนทำธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน แต่ไม่ได้ระบุลึกว่าเป็นข้าราชการกลุ่มไหน กระทั่งล่าสุดทราบว่ากลุ่มค้าน้ำมันเถื่อนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายภาคใต้ที่ถูกจับกุมได้ไปก่อนหน้านี้ด้วย สำหรับกรณีที่ดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น ต้องรอดูว่าเข้าข้อกฎหมายและคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ด้วย
เผย “โกวิทย์” ตัดทางหากิน “เสี่ยโจ้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชื่อของ พล.ต.ต.โกวิทย์ได้ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ หลังนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ “เสี่ยโจ้” เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เลขที่ 103/49 ถนนนาเกลือ หมู่ 8 ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี ผู้นำเข้าไม้ เจ้าของเรือประมงหลายลำ และค้าน้ำมันในทะเล ที่หลบหนีคำพิพากษาของศาลจังหวัดปัตตานี ซึ่งสั่งจำคุก 1 ปี 9 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ฐานปลอมแปลงเอกสารตราประทับ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ให้การช่วยเหลือหลบหนี คือ ร.ต.ต.อรุณ ศรีทองสุข อายุ 59 ปี รอง สวป.สภ.เมือง จ.ปัตตานี ที่ทำหน้าที่คุมผู้ต้องหาประจำศาลจังหวัดปัตตานี จนถูกศาลพิพากษาจำคุก 3 เดือน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 โดย ร.ต.ต.อรุณซัดทอดนายดาบตำรวจ 4 นายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ศูนย์ข่าวภาคใต้ ได้นำเสนอรายงาน เมื่อวันที่ 15 ต.ค.57 ชื่อเรื่อง “แฉสัมพันธ์ 2 นักโทษหนีคุก! “เสี่ยโจ้” ใต้ปีกโอบระบอบทักษิณ” โดยนำเสนอภาพถ่ายเมื่อช่วงสงกรานต์ปีเดียวกัน ซึ่ง นายสหชัยได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคำพิพากษาไปอยู่ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมจดหมายขอความเป็นธรรม และขอพึ่งบารมี พ.ต.ท.ทักษิณ
แฉ “โกวิทย์”ขนน้ำมันเถื่อนแข่ง
จดหมายฉบับดังกล่าวมีใจความว่า "ทำที่ จ.ปัตตานี วันที่ 3 เมษายน 2557 เรื่องขอความเป็นธรรม และขอบารมีฯพณฯ กราบเรียนฯพณฯนายกฯทักษิณ ชินวัตร กระผมนายสหชัย เจียรเสริมสิน ครับ กระผมทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมันนอกน่านน้ำประเทศไทย ก่อนหน้านี้กระผมได้รบกวนบารมีฯพณฯมาแล้ว ก็แก้ไขได้ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้มี “รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์)” ได้ส่ง “พ.ต.อ. ...(ขอสงวนชื่อ-สกุล เนื่องจากไม่มีรายชื่อในหมายจับ) ลงมาเป็น ผกก.ตำรวจน้ำสงขลา ผมได้พยายามเจรจา ดูแล และช่วยภารกิจต่างๆ แต่ท่านโกวิทย์ฏิเสธ ไม่ยอมรับการดูแลของกระผม โดยสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปิดท่าเรือในสงขลา ปัตตานี และนราธิวาส ห้ามเรือในเครือข่ายของกระผมออกจากฝั่ง แต่อนุญาตให้คู่แข่งของกระผมทำการได้ กระผมทราบว่าท่านรองผู้บัญชาการโกวิทย์ ร่วมมือกับนักธุรกิจน้ำมันรายใหม่ เข้าทำการค้าน้ำมันแข่งกับกระผม จึงจำเป็นต้องขออาศัยบารมีฯพณฯอีกครั้งหนึ่ง ขอได้โปรดช่วยกระผมด้วยครับ ช่วยขอความอนุเคราะห์จากผู้เกี่ยวข้องให้กระผมมีที่ยืนบ้าง ทั้งนี้กระผมเองขอกราบเรียนด้วยว่า ที่ผ่านมาได้สนับสนุนการเมืองฝ่ายเราด้วยความเสียสละ และจริงใจเสมอมา โดยจะคงยืนหยัดเช่นนี้ตลอดไปครับ”