xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ถอดรหัส "พล.ต.ท.(จ.)" เอี่ยวโคตรบ่อนพระราม 9 หนีไม่พ้น"จักรทิพย์ ชัยจินดา"??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“ยุคผม...ใหญ่แค่ไหนก็จับ”วาทะเด็ดของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.กลายเป็นประเด็นร้อนที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่างที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองคนดังทนไม่ไหว

ต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอร้องให้ ผบ.ตร.พูดจริงทำจริงตามที่พูด

โดยแฉไปถึงขบวนการบ่อนพระราม 9 ซึ่งมีการจับกุมพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก.และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรองผบช.ก.ไปก่อนหน้าแล้วโดยนายชูวิทย์ เชื่อว่ายังมีนายตำรวจที่เกี่ยวข้องและสมควรถูกดำเนินการด้วยอย่างน้อยอีก 2 คนคือ

"พล.ต.ท. จ."และนายตำรวจ ก. สร้างความฮือฮากลายเป็นกระแสข่าวในแวดวงสีกากีขึ้นมาอีก

นายตำรวจดังกล่าวคือใคร...วิธีบอกใบ้ของนายชูวิทย์ ถือว่าแสบสันต์อยู่พอสมควร เพราะถ้ามีคนสังเกตดีๆจังหวะแฉตรงกับวันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งโต๊ะแถลงรายละเอียดการจับกุมพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวกนั้นมีนายตำรวจ 6 คนนั่งเรียงเป็นหน้ากระดานโดยมี ผบ.ตร.นั่งกลาง ส่วนด้านซ้ายเมื่อหันหน้าไปจะเจอกับพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ส่วนด้านขวาคือ "พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา" รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง

เมื่อรวมกับข้อมูลที่นายชูวิทย์ ระบุถึง พล.ต.ท.จ แม้จะเพี้ยนยศไปบ้างแต่คงหนีไม่พ้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ไปได้เพราะ “หันขวา”ก็ใช่ อักษรย่อก็ใช่ และเมื่อไล่เรียงถอยหลังไปสมัยยังรับตำแหน่ง “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล”พล.ต.ท.จักรทิพย์ ก็คือนายตำรวจผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบเมืองหลวงในช่วงปี 2553- 2554 อันมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆเช่นการก่อเกิดของอภิมหาโคตรบ่อน (พระราม9/ โคลอนเซ่ และรัชดา)และการเซ็นใบอนุญาตแบบทิ้งทวนให้กับสถานบริการอาบอบนวดแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคู่กัดของนายชูวิทย์

ดังนั้น พล.ต.อ.สมยศไม่อาจละเว้นการตั้งกรรมการตรวจสอบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง เป็นใครมาจากไหนเชื่อว่าสังคมไทยคงทราบกันเป็นอย่างดีอยู่ แต่เบื้องหน้าเบื้องหลังการเข้าสู่อำนาจอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเข้าไปมีชื่อพัวพันกับ "ของเหม็น"มีข้อเท็จจริงหรือมีความเป็นมาเช่นไร...

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายถึงธรรมชาติตำรวจ(ไทย)ที่ประพฤติ ปฏิบัติเป็นเยี่ยงอย่างสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นเริ่มจากการเข้าสู่รั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนมีที่ไปทีมาแตกต่างกัน บางคนอยากรับราชการตำรวจเพราะเห็นเครื่องแบบโก้ บางคนมีครอบครัวเป็นตำรวจจึงถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น บางคนอยากเป็นเพราะอุดมการณ์ และหลายคนอยากเป็นเพราะตำรวจสามารถสร้างความร่ำรวยและอำนาจได้ ธรรมชาติของตำรวจอีกอย่างหนึ่งคือไม่ต้องการลงไปปฏิบัติหน้าที่ในถิ่นฐาน หรือง่ายๆคือบ้านเกิดของตัวเอง เหตุผลง่ายๆ แต่พอเข้าใจได้ก็คือเขาเชื่อว่าถ้าไปเป็นผู้หมวด เป็นสารวัตร หรือเป็นผู้กำกับ ในพื้นเพของตัวเองจะมีปัญหากับระบบอุปถัมภ์พ่อแม่พี่น้อง คนรู้จักจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงได้..รวมไปถึงการทำมาหากิน

พล.ต.อ.จักรทิพย์ มาจากครอบครัวมีฐานะใช้ได้ บิดาเป็นพ่อค้าคหบดีมีชื่อแห่งอ.อ่างศิลา จ.ชลบุรี

ทันทีที่ ป.ป.ช.เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินในฐานะที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ว่ามีเกือบพันล้านบาทแม้จะสร้างความฮือฮาอยู่บ้าง แต่เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้เพราะมีกิจการมั่นคงเพียงแต่บนเส้นทางของนายตำรวจผู้นี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เหตุใดนายตำรวจรุ่นเดียวกัน (นรต.36)บางคนยังเป็นเพียงแค่สารวัตรติดยศแค่ พ.ต.ท.-พ.ต.อ.ขณะที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก้าวพรวดๆๆ จนขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการ และใช้เวลาเพียง 5 ปีก็สามารถขึ้นมาจ่อรอคิวเป็นผู้นำสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติคนต่อไป แล้ว

เส้นทางของนายตำรวจผู้นี้คือสูตรสำเร็จของตำรวจหลายคนนั่นคือพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้นๆ เริ่มจาก ร.ต.ต.ทำอย่างไรให้เป็น พ.ต.ต. เป็นสารวัตร เป็นรองผู้กำกับ เป็นผู้กำกับแม้บางช่วงบางตอนอาจจะสะดุดไปบ้าง อาจจะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีคู่แข่งแต่เขาทนได้เพราะมีทุนครอบครัวสนับสนุนแต่สำคัญที่สุดคือเขาคือสุดยอดนักวางแผน ตามติดกับขั้วอำนาจโดยตลอดทั้งนักการเมือง นักธุรกิจหรือกระทั่งวงการนักเลงที่ต่างให้ความนับถือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ยังสามารถตอบสนองความต้องการของเจ้านาย มีเครือข่ายเพื่อนฝูง ลูกน้องทั้งในสายสีกากีและสีเทา เขาจึงเป็นนายตำรวจที่ครบเครื่องและไม่น่าแปลกใจว่าทำไมครั้งหนึ่งสามารถเข้าไปอยู่ในใจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พิสูจน์จากตำแหน่ง ผบก.สุวรรณภูมิ ในยุคนั้น และยังมาอยู่ในใจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จากตำแหน่ง ผบช.ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ต่อมาเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองนายอภิสิทธิ์ แหกสัตยาบันกับแก๊งสีน้ำเงิน โดยการสั่งปลดพล.ต.อ.พัชรวาท วงศ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้นจนเป็นที่มาของ “แผลใจ”ระหว่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับบุคคลในตระกูล “วงศ์สุวรรณ”

จนมาถึงไพ่ใบสุดท้ายเมื่อเปิดออกมา “จักรทิพย์”ไม่พลาดขบวนรถไฟสายอำนาจ นายตำรวจผู้นี้เข้ามาอยู่ในปีกของ “วงศ์สุวรรณ”อย่างเต็มตัว และเป็นนายตำรวจที่พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไว้เนื้อเชื่อใจอย่างที่สุดคนหนึ่ง

จนมีชื่อขึ้นแท่นเป็นว่าที่ ผบ.ตร.คนต่อไปสืบต่อจากพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.คนปัจจุบัน

แต่ยุทธจักรตำรวจ นอกจากไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวรแล้วยังเต็มไปด้วยเรื่องของการทรยศหักหลัง กระทำการทุกอย่างเพื่อให้เข้าถึงจุดสูงสุดของอำนาจ วันนี้และวันต่อไปหมู่บ้านกระสุนตกจึงมาลงที่รอง ผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ..ค่อยๆ ตกลงมาทีละลูกสองลูกจนกลายเป็นห่าใหญ่ จะหลบ จะหลีก จะอำพรางตัวต่อไปก็ไม่ได้

ศัตรูที่มองเห็นตัวและมองไม่เห็นจึงกระหน่ำไปที่ “แผล”ของนักรบ
บ่อนพระราม 9-โคลอนเซ่ มีความเป็นมามาอย่างไร มีใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง มีข้อมูลว่าช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มีอำนาจและพล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ เป็นผบช.น.มีบ่อนพนันในกทม.ประมาณ 6-7 บ่อนแต่เป็นบ่อนขนาดกลางและขนาดเล็ก จนมาถึงยุคพล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบช.น.ถือว่าเป็นช่วงเฟื่องฟูของบ่อนการพนันอย่างที่สุดรวมทั้งกิจการตู้ม้า แต่ที่เป็นตำนานหรือเป็นปรากฏการณ์ก็คือโคตรอภิมหาบ่อนพระราม 9ฯ ซึ่งเชื่อกันว่ามีบุคคลสำคัญเข้ามาเกี่ยวข้อง 3 กลุ่มใหญ่คือ

1.นายตำรวจที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงคือกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (อยู่ระหว่างสอบสวนดำเนินคดีพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์) กองบัญชาการตำรวจนครบาล และพ.ต.อ. ส.ชื่อเล่น อักษรย่อ ก.(ช่วงนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของพล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งนายชูวิทย์ กำลังเรียกร้องให้ ผบ.ตร.รับผิดชอบ) และมีข้อมูลเพิ่มเติมว่านอกจากทราบกันดีว่ามีการอ้างถึงบุคคลชั้นสูงแล้ว วงการตำรวจหรือวงการนักเลงจะรู้กันในชื่อบ่อน 3 ก.หรือ “กิ๊ก - โก-กุ่ย”

2.กลุ่มนักการเมืองคนสำคัญ อักษรย่อ ส.เสือ กับ ศ.ศาลา ทำหน้าที่รายงานเท็จกับผู้มีอำนาจ

3. กลุ่มทุน และกลุ่มเจ้ามือที่เข้ามาเช่าช่วงประกอบด้วยเสี่ยโจ้ บางนา เสี่ยถ่อ ประตูน้ำ เจ้ฮุ้ง เตี้ย บางรัก อ้วน รังสิต เจ้ง้อ เสี่ยโยชน์ เจ้มะลิ เป็นต้น

ส่วนการแบ่งโซนบริการ และแบ่งผลประโยชน์มีการพนันจัดไว้หลายอย่างเช่นบาคาร่า มีโต๊ะเล็กประมาณ 100 โต๊ะจัดเป็น 6 โต๊ะ 1 กลุ่มให้นักพนันเลือกเล่นตามใจชอบ โต๊ะใหญ่หรือวีไอพี ทั้งหมดประมาณ 10 โต๊ะไว้บริการเฉพาะขาใหญ่ นอกจากไพ่บาคาร่ายังมีไพ่ป็อก ไฮโลว์ รูเล็ต สล็อต ตู้ม้า คาดว่ามีเงินสะพัดวันละหลายร้อยล้านแต่ที่เป็นส่วยแบ่งรายวันกับตำรวจ - นักการเมืองและผู้เกี่ยวข้องกว่า 50 ล้านบาท

นี่คือความเป็นมาอย่างคร่าวๆ

จนเกิดเรื่องอื้อฉาวมีการขุดคุ้ยความเกี่ยวข้องกับอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง และวาทะกรรม “ยุคผม...ใหญ่แค่ไหนก็จับ”โคตรอภิมหาบ่อนพระราม 9-โคลอนเซ่ จงถูกนำมาฉายซ้ำ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นักการเมืองจอมฉวยไม่ยอมให้โอกาสทองนี้ผ่านไป เขาเตะลูกส่งให้ พล.ต.อ.สมยศ จัดการกับขยะในพรมด้วยการเสนอให้ พิจารณาคนข้างตัวแล้วจัดการตามคำพูดที่ประกาศไว้
ในฐานะผู้นำสูงสุด ผบ.ตร.จะทำอย่างไร

เพราะอีกภาพที่ปรากฏคือตำรวจใหญ่คนหนึ่งกำลังถูกตรวจสอบอย่างหนัก ทุกเส้นสายทุกเส้นทางถูกเรียกเค้นหาความจริงอย่างเอาเป็นเอาตาย

ขณะที่นายตำรวจ(ใหญ่)ข้างกายชนิดที่แค่เพียงหันหน้า(ไปทางขวา)ก็เจอแล้วกลับไม่ทำอะไร แถมยังมีท่าทีสนับสนุนให้เป็นทายาทขึ้นสู่ผบ. ตร.

ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148-149 คือจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์หรือเป็นพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ อาจจะขาดประจักษ์พยาน-หลักฐานแต่ถ้าสามารถมัดตำรวจกลุ่มหนึ่งได้ยากอะไรกับตำรวจกลุ่มที่สองซึ่งนายชูวิทย์ แฉออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาคือพล.ต.ท. จ.ซึ่งในระหว่างเปิดโคตรอภิมหาบ่อนพระราม9 - โคลอนเซ่ มีตำแหน่ง “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล”

หากเจ้าของบ้านไม่เอาด้วยบ่อนใหญ่กลางเมืองจะเปิดได้หรือ

ชำแหละกันอย่างไม่ไว้หน้าโดยจับประเด็นคำแถลงต่อศาลตอนหนึ่งที่ว่าแอบอ้างเบื้องสูงด้วยการเปิดบ่อนถั่วครอบ ก็ยิ่งพบพิรุธสุดพิลึกของตำรวจคนดีเพราะทราบกันว่าโคตรอภิมหาบ่อนพระราม 9-โคลอนเซ่ ไม่ต่างอะไรกับบ่อนมาตรฐานในลาสเวกัส ทั้งบาคาร่า รูเล็ต สล็อต การพนันกำถั่ว ไอโลว์ ตู้ม้า มีเปิดบริการทั้งหมด

แต่ที่แน่กว่าทุกบ่อนในโลกก็คือเมื่อเล่นได้เสียเกิดความเครียดนักพนันสามารถลงไปผ่อนคลายกับหมอนวดสาวสวยได้ เรียกว่าบ่อนพระราม 9 - โคลอนเซ่ ก็คือศูนย์รวมแหล่งอโคจรครบเครื่องเรื่องอบายมุขอันเกิดจากตำรวจ และนักการเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในยุคนั้นอย่างไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน

พฤติการณ์ปากกล้าขาสั่นแบบนี้คงเข้าทำนองกระทืบคนอื่นแต่กลัวเจ็บตีนตัวเองเลยออกอาการแหยงๆ

ดังนั้นหากมีการสอบในเบื้องลึก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความจริงใจโดยฉวยเอาสถานการณ์แก๊งตำรวจสอบสวนกลาง มากวาดล้างสังคมตำรวจอย่างจริงจังไม่ต้องไปตามเช็ดตามล้างที่ไหน เอาง่ายๆอย่างที่เสี่ยอ่างเขาว่าคือหันขวา หรือหันซ้ายเท่าที่สายตาผบ.ตร.มองเห็น

เก็บกวาดตรงนั้นก่อน สังคมไทยและตำรวจจะดีขึ้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น