ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 13
กังฟูเดินออกมามองซ้ายขวาด้วยความระมัดระวัง แล้วพาเป๋งกุ่ยเข้าไปในที่ลับตาคนภายนอก
“มีอะไรเหรอเป๋งกุ่ย” กังฟูถาม
“เมื่อวานพอเตี่ยผมรู้ว่าเฮียกังฟูช่วยชีวิตผมไว้ เตี่ยผมเลยให้ผมเอาของมาขอบคุณครับ” เป๋งกุ่ยบอก
เมื่อกังฟูเปิดถุงพลาสติกดูก็พบถุงอาหารมากมาย
“ขอบใจมากเป๋งกุ่ย...แต่ว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมาหาอั๊วที่นี่แล้วนะ อั๊วไม่อยากให้ใครรู้ว่าอั๊วอยู่ที่นี่ เข้าใจไหม” กังฟูบอก
“เข้าใจครับ”
“งั้นไปได้แล้ว อย่าอยู่นาน”
“ครับผม”
เป๋งกุ่ยเดินออกมาด้วยความสบายใจ
เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า เฮียเต๋า เฮียติงลี่ เมลดา มิเชล มาดามเหมยอิง สวย บู๊ลิ้มและหลินหลิน กำลังล้อมวงจะกินข้าวกัน มาดามเหมยอิงเปิดฝาชีออกมา เป็นไข่เจียวกับผักดอง พวกห้าเฮียทำหน้าเหม็นเบื่อไปตามกัน
“ไข่เจียวกับผักดองอีกแล้ว” เฮียเก้าว่า
“เฮ้ย มองในแง่ดีสิวะ มื้อนี้ไม่เหมือนมื้อที่แล้ว” เฮียหลอพูด
“ไม่เหมือนยังไง” เฮียเก้าถามงงๆ
“มื้อที่แล้วไข่เจียวกับผักดอง มื้อนี้ผักดองกับไข่เจียว” เฮียหลอบอก
“ถุย” เสียงดังมาจากเฮียเต๋า
“เฮ้ย ไปถุยที่อื่น คนเค้าล้อมวงกินกันอยู่ ดันถุยออกมาได้” เฮียติงลี่ว่า
“มันเบื่อนี่หว่า กินอยู่สองอย่างเค็มๆ เปรี้ยวๆ แค่เนี้ย อั๊วไปจับแมลงสาบมาแทะกินยังอร่อยกว่า” เฮียเต๋าว่า
“อย่าบ่นเลยน่ะ ก็รู้อยู่ว่าทำครัวก็ต้องหลบซ่อนๆ ข้าวของก็มีไม่มาก กินไปก่อนเถอะ เดี๋ยวคราวหน้าทำอย่างอื่นให้กิน” มาดามเหมยอิงเอ่ย
“มื้อหน้ามาดามจะทำอะไรให้กินเหรอคะ” เมลดาถาม
“ไข่เจียวใส่ผักดอง” มาดามเหมยอิงตอบ
พวกห้าเฮียที่รอลุ้น ได้ยินคำตอบแล้วหัวทิ่มไปตามกัน
“พวกคุณไม่รู้ตัวหรือไงว่าเรากำลังทำสงครามกับอสูรเทวาอยู่ ในยามสงครามมีอะไรก็กินอย่างนั้น กินอะไรก็ได้ขอให้มีแรงไปสู้รบก็พอแล้ว” มิเชลว่า
“สมน้ำหน้า โดนรุ่นลูกสั่งสอนถึงจะยอมฟัง” สวยพูด
“ให้ผมพูดด้วยมั้ยครับ จะได้โดนรุ่นหลานสอนด้วย” บู๊ลิ้มเอ่ย
“คือเราต้องอยู่เพื่อกิน ไม่ใช่กิน…” หลินหลินเริ่มพูด แต่ยังไม่ทันจบเฮียเก้าก็แทรกขึ้นว่า
“พอเลย ถ้าพูดมากเดี๋ยวจับต้มกินแก้เลี่ยนซะเลย”
“เอาเหอะ มิเชลพูดถูกละ กินข้าวกันเหอะ อย่าเยอะเลยวะ” เฮียเฉินเอ่ย
“ทุกคน เบื่อไข่เจียวกับผักดองใช่ไหม” กังฟูพูดขึ้นมา
“นี่เขาพูดเรื่องนี้จบไปแล้ว อย่ารื้อฟื้นอีกเลย มากินข้าวเร็ว” เมลดาว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมมีกับข้าวอย่างอื่นมาให้”
กังฟูเปิดประตูเข้ามา วางถุงพลบาสติกลงบนโต๊ะ หยิบถุงอาหารออกมาวางหลายอย่าง
“นี่ ขาหมู เป็ดย่าง ผัดคะน้าฮ่องกง ผัดหน่อไม้จีน เต้าหู้ทรงเครื่อง ไก่แช่เหล้า เนื้อผัดใบกระเพรา หมูตุ๋นยาจีน แล้วก็ไข่พะโล้”
ทุกคนร้องเฮ ปรบมือดีใจ
“เอามาจากไหนวะเนี่ย” เฮียเฉินว่า
“เมื่อวานผมช่วยชีวิตเป๋งกุ่ยเอาไว้ วันนี้เขาเลยเอาของกินมาให้เป็นการขอบคุณน่ะครับ” กังฟูบอก
“ไอ้เป๋งกุ่ยเนี่ยนะ งั้นผมว่าอย่ากินเลย ไอ้นี่มันไว้ใจไม่ได้” บู๊ลิ้มเอ่ย
“แต่เมื่อวานถ้าศิษย์น้องไม่ช่วยชีวิตเขา เขาก็ตายแล้วนะครับ เขาคงไม่เอาของบูดของเน่ามาให้ศิษย์น้องกินหรอก” กังฟูว่า
“ถึงยังไงก็เถอะ ไอ้นี่มันไว้ใจไม่ได้” บู๊ลิ้มบอก
“บู๊ลิ้ม ลื้อยังเป็นเด็ก ต้องหัดดูคนให้ลึกซึ้ง คนบางคนหน้าตาดีพูดจาดีแต่จิตใจต่ำทราม คนบางคนอย่างไอ้เป๋งกุ่ย หน้าตาอุบาทว์กิริยาชาติชั่ว แต่อาจเป็นคนดีก็ได้” เฮียเฉินเอ่ย
“ใครไม่กินก็ตามใจโว้ย อั๊วกิน” เฮียหลอว่า
“อั๊วก็กิน” เฮียเต๋าเอาด้วย
ทุกคนตักกับกินกันหนุบหนับหมุบหมับ
“หลินหลิน เธออย่ากินนะ” บู๊ลิ้มเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกบู๊ลิ้ม เป๋งกุ่ยเขาแค่กวนๆ ไม่ใช่คนเลวอะไร” หลินหลินว่า
“ตามใจ”
บู๊ลิ้มงอนเดินออกไป กังฟูเห็นใจ รีบเดินตามบู๊ลิ้มออกไป
เป๋งกุ่ยออกจากโรงงานเฮียเต๋าแล้วข้ามถนนมา เดินเข้าซอยซอยหนึ่ง มีรถเก๋งคันหนึ่งจอดอยู่ เมื่อมองหน้าหลังไม่เห็นใครตามมา ก็เปิดประตูเข้าไปในรถที่มีพายุกับจางซื่อนั่งอยู่ มีอาเฟยนั่งอยู่ตำแหน่งขับ
“เป็นไงบ้าง” พายุถาม
“เฮียกังฟูรับไป หน้าตาดีใจมาก เหมือนไม่ได้กินอะไรดีๆ มานาน ไม่สงสัยอะไรผมเลยครับ” เป๋งกุ่ยรายงาน
“เด็กดีๆ” พายุหัวเราะชอบใจ
“เป๋งกุ่ย แกทำได้ดีมาก” จางซื่อเอ่ยชม
เป๋งกุ่ยทำท่าคำนับ
“ก็ไม่มีอะไรยากนี่ครับ แค่ยกของกินไปให้แค่นี้เอง” เป๋งกุ่ยว่า
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องเอาของกินไปให้ ฉันหมายถึงเรื่องที่กังฟูช่วยชีวิตแกไว้ แต่แกยังอกตัญญูกล้าเอาอาหารใส่ยาพิษไปให้เขากิน นับว่าเลวจริงๆ” จางซื่อเอ่ยต่อ
เป๋งกุ่ยหน้าเสีย
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ท่านเจ้าสำนักชมลื้อนะ ยังไม่รีบขอบคุณอีก” พายุพูด
“ขอบคุณเจ้าสำนัก” เป๋งกุ่ยเอ่ย
“ยังเด็กแต่ทั้งหน้าด้านทั้งชั่วร้าย นับว่าเจ้ามีอนาคตยิ่งนัก ฮ่าๆๆ เอาไป” จางซื่อโยนเงินปึกหนึ่งที่เตรียมไว้ให้ เป๋งกุ่ยรับไว้ หน้าตาลิงโลดดีใจ โค้งคำนับหัวจรดพื้น
“ขอบคุณเจ้าสำนัก ขอบคุณเจ้าสำนัก” เป๋งกุ่ยเอ่ย ก่อนลงจากรถไป
จางซื่อหน้าเหี้ยมเกรียม
"เตรียมตัว เราจะบดขยี้พวกมันให้เละ"
ขณะนั้น ทุกคนในโรงงานเฮียเต๋ากำลังรับประทานอาหารที่ได้รับมาอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนหลินหลินกินแต่เพียงไข่เจียวและผักดองเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง บู๊ลิ้มเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ กังฟูเดินตามมา บู๊ลิ้มได้ยินเสียงฝีเท้าก็ดีใจ หันขวับกลับมา พอเห็นว่าเป็นกังฟูก็หน้าสลด
“ที่แท้ก็ศิษย์น้อง”
“ศิษย์พี่นึกว่าเป็นใคร...อ๋อ ศิษย์น้องโง่เขลา ไม่น่าถามเลย”
“ช่างมันเถอะเขาไม่เชื่อก็ตามใจ ว่าแต่ศิษย์น้องออกมาทำไม อย่าบอกนะว่าศิษย์น้องไม่ไว้ใจเป๋งกุ่ย”
“ศิษย์น้องเชื่อใจเป๋งกุ่ย อย่างน้อยก็เชื่อว่าของกินของเขาอร่อยแน่ๆ แต่ศิษย์น้องห่วงใยศิษย์พี่มากกว่า” กังฟูว่า
“ขอบใจ ไม่มีอะไรหรอก ... เอาจริงๆฉันว่าเป๋งกุ่ยมันก็คงไม่เลวขนาดจะวางยาอะไรในอาหารหรอกนะ แต่ศิษย์พี่ไม่ชอบขี้หน้ามัน เลยพาลไม่อยากกินของที่มันเอามา ไม่อยากให้ใครกินแล้วก็ชื่นชมมันด้วย โดยเฉพาะหลินหลิน”
“ที่แท้ศิษย์พี่ก็หึงนี่เอง”
“จะบอกยังงั้นก็ใช่”
บู๊ลิ้มดูจ๋อยๆ
“ศิษย์พี่อย่าคิดมาก หลินหลินเป็นคนฉลาด ไม่มีทางมองว่าเป๋งกุ่ยดีกว่าศิษย์พี่หรอก”
“ทำเป็นเข้าใจผู้หญิง”
“ผู้หญิงเข้าใจยาก แต่ไม่ใช่เข้าใจไม่ได้”
“โกวเล้งกล่าวว่าผู้ชายคนใดคิดว่าตัวเองเข้าใจผู้หญิง มันผู้นั้นคือตัวโง่งมที่แท้จริง”
“คำกล่าวนี้ศิษย์น้องไม่เห็นด้วย”
“อย่าเถียงกันเลย เถียงไปเถียงมาก็เท่านั้น”
“งั้นเรากลับเข้าไปกินข้าวกันเถอะ”
บู๊ลิ้มทำใจครู่หนึ่ง
“กินก็กิน...อย่างมากศิษย์พี่ก็กินแต่ไข่เจียวกับผักดองก็ได้”
กังฟูยิ้มเล็กน้อย ทั้งสองเดินกลับไปที่ห้องได้ไม่กี่ก้าว หลินหลินก็พรวดพราดออกมา หน้าตาตื่นตกใจ
“พี่กังฟู บู๊ลิ้ม...แย่แล้ว”
กังฟู บู๊ลิ้ม วิ่งตามหลินหลินเข้ามา เมื่อเปิดประตูห้องแล้วก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นพวกเฮียเฉินทุกคนนอนหมดสติ
“อาจารย์...คุณเม...เฮียเต๋า เฮียติงลี่” กังฟูวิ่งไปเรียกพวกเฮียเฉิน เมลดา เฮียเต๋า เฮียติงลี่ แต่ไม่มีใครตื่นเลย
“หลินหลิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น” กังฟูถาม
“ไม่รู้ จู่ๆ พวกเขาก็หลับไปพร้อมกัน”
“หรือว่า...อาหารของเป๋งกุ่ย” บู๊ลิ้มเอ่ยขึ้น
“แล้วทำไมหลินหลินไม่เป็นอะไร”
“ฉันไม่ได้กินอาหารของเป๋งกุ่ย”
“ทำไม หลินหลินเห็นพิรุธอะไรเหรอ” กังฟูถาม
“เปล่า...แต่ว่า...ฉันไม่อยากทำให้บู๊ลิ้มเสียใจ ก็เลยไม่กินของของเป๋งกุ่ย” หลินหลินตอบ
บู๊ลิ้มตื้นตันใจเมื่อได้ยิน ส่วนกังฟูอึ้งไป ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ความผิดของอั๊วเอง อั๊วไม่น่าเชื่อเป๋งกุ่ยเลย ความผิดของอั๊วเอง อาจารย์ ทุกๆคน อั๊วขอโทษ”
“ใจเย็นๆพี่กังฟู นี่ไม่ใช่เวลามาโทษตัวเอง” หลินหลินว่า
“ศิษย์น้อง หลินหลินพูดถูก ตั้งสติไว้ก่อน” บู๊ลิ้มเสริม
กังฟูข่มอารมณ์ กลอกดวงตาไปมา ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
อาเฟยลงมาเปิดประตูรถ จางซื่อลงจากรถ ขณะที่พายุลงจากรถอีกด้านหนึ่ง
“ลุย” จางซื่อเอ่ย
ลูกน้องอสูรเทวานับสิบโผล่พรึ่บ
จางซื่อเดินนำลูกน้องเข้าสู่โรงงานเฮียเต๋า
กังฟูกับบู๊ลิ้มวิ่งมาจากคนละที่จนสุดท้ายก็วิ่งมาเจอกัน บู๊ลิ๊มเข็นจักรยานคันเก่ามาหนึ่งคัน
“ศิษย์พี่ เจออะไรบ้างมั้ย” กังฟูถาม
“เจอแต่ไอ้นี่วางทิ้งเอาไว้” บู๊ลิ้มบอก
“ศิษย์น้องทิ้งเอาไว้เองแหละ”
“อ้าว”
“ศิษย์น้องเจอที่ห้องคนงาน เลยเข็นมา แต่พอถึงกลางทางก็รู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ คันแค่นี้จะไปทำอะไรได้ เลยโยนทิ้งไว้กลางทาง”
“ปู้โธ่ ความจริงศิษย์พี่ก็ว่างั้นแหละ” บู๊ลิ้มว่า
บู๊ลิ้มโยนจักรยานทิ้ง
“ช่วยไม่ได้ งั้นเราแบกหนีไปทีละคน” กังฟูเสนอ
“จะไหวเหรอศิษย์น้อง คนนะไม่ใช่ลูกแมว”
บู๊ลิ้มมองเข้าไปในห้องเห็นพวกที่โดนยานอนสลบกันเกลื่อน มีเสียงกึกๆ ดังขึ้น หลินหลินเข็นรถเข็นคันหนึ่งที่มีสี่ล้อและมีขนาดใหญ่พอสมควรเข้ามา
“ไอ้นี้ได้มั้ย” หลินหลินถาม
“สุดยอด” กังฟูบอก
บู๊ลิ้มรีบไปช่วยหลินหลินเข็นรถเข็นมา
“งั้นเราช่วยกันแบกทั้งเก้าคนขึ้นรถเข็นนี่แล้วกัน” กังฟูบอก
“เอ่อ...มันจะไหวเหรอคะ”
เสียงคนหัวเราะแบบเหนื่อยๆ ดังขึ้น ทั้งสามหันไปก็เห็นเฮียเต๋าที่ได้สติขึ้นมาแล้ว
“เฮียเต๋า”
“เจ่กเต๋าฟื้นแล้ว งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็คงจะฟื้น” บู๊ลิ้มบอก
เฮียเต๋าส่ายหน้า
“อั๊วกินนิดเดียวเอง พอดีเป็นแผลร้อนใน”
เฮียเต๋าปลิ้นปากให้ดู กังฟู บู๊ลิ้ม และหลินหลินเบือนหน้าหนี
“คนอื่นๆกินกันเต็มที่ ไม่ฟื้นแน่ๆ ... ไอ้รถเข็นแบบนั้น พวกลื้อแบกไปได้อย่างมากก็สามคน มากกว่านั้นไม่ไหวหรอก” เฮียเต๋าว่า
“งั้นต้องแบกสามรอบ” หลินหลินเสนอ
เฮียเต๋าส่ายหน้า
“ไม่ทันหรอก จางซื่อกำลังจะมาในไม่กี่นาทีนี้แล้ว ... ลื้อช่วยได้แค่สามคน”
“แล้วที่เหลือล่ะครับ” บู๊ลิ้มถาม
“แล้วแต่ดวง” เฮียเต๋าบอก
กังฟูมองคนที่นอนสลบอยู่แล้วก็ตัดสินใจไม่ถูก
“อั๊วช่วยคิดให้ พาเฮียเฉิน ติงลี่ แล้วก็เฮียหลอไป” เฮียเต๋าบอก
“ทำไม” กังฟูถาม
“พวกลื้อต้องอย่ายอมแพ้ ต้องตอบโต้ไอ้จางซื่อ เฮียเฉินเป็นผู้นำ ไอ้ติงลี่มันเจ้าเล่ห์ วางแผนสู้รบได้ เฮียหลอรู้เรื่องยา ให้ช่วยถอนพิษให้เฮียเฉินกับติงลี่ได้ ทำแบบนี้พวกลื้อถึงจะมีโอกาสกลับมาช่วยคนอื่น”
กังฟูมองคนที่เหลือ
“รีบไป ถ้าพวกลื้อหนีรอด ลื้อยังมีโอกาสกลับมาช่วยคนที่เหลือ เร็ว” เฮียเต๋า เฮียเต๋าบอก
จางซื่อ พายุ และอาเฟยเดินนำพวกลูกน้องเข้ามาถึงโรงงานจนเจอประตูรั้วที่เป็นประตูเมนปิดขวางอยู่ จางซื่อเตะโครมเดียวประตูก็ลอยละลิ่วตกลงไปในที่ว่างของโรงงานเสียงดังโครม จางซื่อกระโดดลอยตัวเข้าไป อาเฟยกับพายุกระโดดตาม ส่วนพวกลูกน้องวิ่งตามไป
กังฟูแบกร่างเฮียหลอมาวางบนรถเข็นที่มีร่างของเฮียเฉินกับติงลี่อยู่
“ไปเดี๋ยวนี้ พวกมันมาแล้ว” เฮียเต๋าบอก
กังฟูวิ่งมาที่ร่างเมลดา เมลดายังนอนหลับไม่ได้สติอยู่
“คุณเม...ผมจะกลับมาช่วยคุณให้ได้” กังฟูบอก
“ศิษย์น้อง เร็วๆ” บู๊ลิ้มเร่ง
กังฟูจับมือเมลดาบีบเบาๆ
“ผมสัญญา” กังฟูพูด
กังฟูตัดใจวิ่งมาที่รถเข็น บู๊ลิ้มกับหลินหลินวิ่งนำไปก่อนแล้ว ส่วนกังฟูเข็นรถตามไป
จางซื่อทิ้งตัวลงบริเวณกลางโรงงานแล้วใช้วิชาส่งเสียงพันลี้ประกาศเสียงดังกึกก้อง
“กังฟูอยู่ไหน ออกมาพบฉันหน่อย”
ไม่มีเสียงตอบ จางซื่อหัวเราะเสียงดังลั่น
“ยังนอนไม่ตื่นหรือไง เดี๋ยวจะส่งคนไปปลุกแก”
จางซื่อส่งสัญญาณให้อาเฟย ส่วนพายุไปหากังฟู ทั้งสองนำชายฉกรรจ์นับสิบคนวิ่งเข้าไปในตัวอาคาร
พายุกับอาเฟยตะลุยค้นทีละห้องจนมาถึงห้องที่พวกคนในโรงงิ้วอยู่กัน ประตูเปิดออกพายุกับอาเฟยก็เจอคนมากมายนอนสลบอยู่ พายุกับอาเฟยยิ้ม
“ไอ้พวกตะกละ ฮ่าๆๆ”
พายุกับอาเฟยเดินเข้ามามองหากังฟู
“กังฟูล่ะ” อาเฟยถาม
พายุอึ้ง อาเฟยรีบวิ่งออกมาสั่งลูกน้อง
“รีบกระจายกำลังกันค้นหากังฟุ มันยังหนีไปได้ไม่ไกลหรอก”
อาเฟยหันกลับมาสั่งพายุ
“พายุ ลื้อหาในนี้เพื่อมันแอบซ่อนตัวอยู่ อั๊วจะไปดูข้างนอก”
“ตกลง”
อาเฟยวิ่งออกไป พายุดูในห้องพอไม่เจอที่ซ่อนเขาก็ออกไปหาที่อื่น เฮียเต๋าลืมตาแล้วยิ้มอย่างอ่อนเพลีย
“หนีให้ได้นะกังฟู”
เฮียเต๋าคลานไปที่มุมห้องที่เป็นมุมทำกับข้าว เฮียเต๋าหยิบมีดมาเล่มหนึ่งแล้วซ่อนไว้ก่อนจะคลานต่อมาแกล้งสลบ
กังฟูเข็นรถเข็นวิ่งตะบึงหนี บนรถเข็นมีร่างของเฮียเฉิน หลอ ติงลี่, บู๊ลิ้มกับหลินหลินวิ่งนำหน้า
ทันใดนั้น ลูกน้องจางซื่อสองคนที่ออกค้นหาก็เดินออกมาจากซอกด้านหน้าพอดี เจอกัยหลินหลินบู๊ลิ้มแบบประจันหน้า ทั้งสองฝ่ายตกตะลึงไปทั้งคู่ ลูกน้องคนหนึ่งหยิบนกหวีดออกมาเพื่อจะเป่า แต่กังฟูกระโดดข้ามหลินหลินกับบู๊ลิ้มมากระชากนกหวีดแล้วเขวี้ยงทิ้งไป
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวถอยไป” กังฟูว่า
ลูกน้องทั้งสองคนโจมตีกังฟูพร้อมกัน กังฟูสวนหมัดออกไปกระแทกลูกน้องทั้งสองอย่างรวดเร็ว ลูกน้องทั้งสองทรุดฮวบลงไปแบบไม่ทันร้องซักแอะ หลินหลินกับบู๊ลิ้มตกตะลึง
“ศิษย์น้อง ร้ายกาจนัก” บู๊ลิ้มชม
“รีบไปต่อเถอะ” กังฟูบอก
ทั้งสามวิ่งตะบึงหนีต่อไป
อาเฟยมาจากอีกทางก็เห็นถนนช่วงหนึ่งที่มีฝุ่นทรายและมีรอยล้อรถเข็นอยู่บนฝุ่นทราย อาเฟยก้มลงดูที่รอยล้อรถ
“แบกคนไปสามคน...” อาเฟยพูด
อาเฟยรีบวิ่งตามรอยล้อไป แต่ฝุ่นทรายมีแค่ช่วงเดียวและไม่มีรอยล้อต่อไปอีก อาเฟยคาดเดาทิศทางแล้ววิ่งต่อไปด้วยตัวเอง อาเฟยวิ่งมาเห็นลูกน้องสองคนนอนกลิ้งบนพื้นช้าๆ อาเฟยเข้ามาดูทั้งสอง ก็เห็นว่ามีรอยช้ำอยู่จุดเดียว
“หมัดเดียวจอด...ไว้ชีวิตยังไม่คิดฆ่า”
อาเฟยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะรีบวิ่งต่อไป
พายุเดินมาหาจางซื่อที่ยังยืนรออยู่
“ท่านเจ้าสำนัก หาทั่วโรงงานแล้ว กังฟูไม่ได้ซ่อนในนี้” จางซื่อพูดหน้าเครียด
ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งมาหา
“ท่านเจ้าสำนัก...ที่ตรอกด้านหลังโรงงานมีพวกเราสองคนโดนเล่นงาน นอนสลบอยู่ครับ”
“อาเฟยล่ะ” จางซื่อถาม
“ไล่ตามไปแล้วครับ”
จางซื่อยิ้มพอใจ
“เก่งมากอาเฟย”
พายุแอบทำหน้าไม่พอใจ จางซื่อสั่งลูกน้องที่เหลือ
“จับพวกที่เหลือกลับสำนัก”
พวกลูกน้องรับคำแล้วจางซื่อก็เดินออกไป
ในซอยซอยหนึ่งที่ไม่ค่อยมีบ้านคน หลินหลินกับบู๊ลิ้มวิ่งมาถึงปากซอย ทั้งสองหันมาหากังฟูที่เข็นรถเข็นวิ่งตามมา
“หยุดก่อนศิษย์น้อง ข้างหน้าเป็นถนน ผู้คนมากมาย ศิษย์น้องเข็นรถออกไปแบบนี้มีปัญหาแน่ๆ”
“แล้วเอาไงดี” กังฟูถาม
“แถวนี้มีตึกร้างอยู่ เราหากระดาษคลุมๆรถเข็นไว้ก่อน แล้วไปหยุดพักที่ตึกร่างเถอะ”
บู๊ลิ้มรับคำก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบหนังสือพิมพ์เก่าๆแถวนั้นมาแจกแล้วช่วยกันคลุมร่างคนบนรถเข็น โดยเสียเวลาไปเยอะเหมือนกัน
อาเฟยวิ่งมาตามซอยจนเจอทางแยก อาเฟยตัดสินใจเลี้ยวไปทางหนึ่งแล้ววิ่งมาสักพักจนทันเห็นกังฟูเข็นรถที่มีกระดาษคลุมออกมาจากซอยแล้วเข็นไปบนฟุตบาธ อาเฟยยิ้มเหี้ยมแล้วรีบตามพวกกังฟูไป
ณ ตึกร้างแห่งหนึ่ง กังฟู บู๊ลิ้ม และหลินหลินเข้ามาช่วยกันแยกร่างเฮียเฉิน หลอ และติงลี่ลงจากรถเข็นมาไว้ที่ตึกร้าง บู๊ลิ้มกับหลินหลินหอบแฮ่ก ทั้งสามดูเหนื่อยและมีริมฝีปากแห้งผาก บู๊ลิ้มทิ้งตัวลงนอนบนพื้นตึก
“ทั้งเหนื่อยทั้งหิวเลย หิวน้ำด้วย”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปซื้อของกินมาให้” หลินหลินบอก
“หลินหลิน เธอพักก่อนเถอะ ฉันแกล้งพูดไปงั้นแหละ ไม่เหนื่อยอะไรหรอก ฉันไปซื้อเอง” บู๊ลิ้มบอก
บู๊ลิ้มลุกขึ้นด้วยทำท่าสดชื่น หลินหลินเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
“ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องไปทั้งนั้น”
เสียงกังฟูเครียดและเอาจริงจนบู๊ลิ้มกับหลินหลินเหวอ พอมองตามสายตากังฟูก็เข้าใจ อาเฟยเดินเข้ามาที่ตึกช้าๆ โดยผิวปากมาด้วยท่าทางใจเย็น
“ศิษย์พี่กับหลินหลินอยู่ตรงนี้ ห้ามลงไปเด็ดขาด...ศิษย์พี่”
“ว่าไง”
“ถ้าศิษย์น้องแพ้ ศิษย์พี่พาหลินหลินหนีไปซะ อย่าพยายามหาทางช่วย หนีไปหาที่ปลอดภัย เข้าใจไหม”
“ไม่ได้ เราเป็นพี่น้องกัน...” บู๊ลิ้มบอก
“เพราะเราเป็นพี่น้องกัน เราห้ามตายกันทั้งหมด” กังฟูว่า
กังฟูเดินออกไป
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 13 (ต่อ)
พวกลูกน้องช่วยกันยกร่างของพวกโรงงิ้วมาวางนั่งพิงบนเก้าอี้ในห้องที่เคยเป็นห้องประชุม
พายุเดินเข้ามาดูพอเห็นเมลดา เขาก็เดินเข้ามาหาแล้วลูบใบหน้าเมลดาอย่างพึงพอใจ
“คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมากคุณเม...แล้วก็...เซ็กซี่มากด้วย”
พายุมองเรือนร่างของเมลดาแล้วยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะเอื้อมมือออกไป แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็ได้ยินเสียงพวกลูกน้องนอกห้องทักจางซื่อ
“ท่านเจ้าสำนัก ขนพวกเชลยเข้ามาหมดแล้วครับ”
พายุรีบหดมือเข้ามาทันทีแล้วถอยออกไป จางซื่อเดินเข้ามาในห้อง เขาเดินดูพวกโรงงิ้วทีละคน จนกระทั่งผ่านสวยมาหยุดที่เฮียเก้า
“เจ็ดผู้กล้าคุณธรรม...กระจอกจริงๆ” จางซื่อว่า
จางซื่อเดินมาหามิเชลด้วยสีหน้าเย็นชา
“ศิษย์ชั่ว รอให้แกตื่นก่อน ฉันจะลงโทษแก”
จางซื่อเดินผ่านเมลดา ผ่านเฮียเต๋า แล้วเดินมาหาเหมยอิง เขาตรวจสภาพร่างกายแล้วหยุดมองเหมยอิงด้วยความสมเพช
“เหมยอิง ... เธอนี่มันโง่จริงๆ”
จางซื่อถอนใจแล้วหมุนตัวเดินกลับ เฮียเต๋าลุกพรวดแล้วใช้มีดในมือแทงเข้าไปที่ท้องจางซื่อสุดกำลังโดยเป็นการลงมือที่ไม่มีใครคาดคิด ทุกคนในห้องตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
เฮียเต๋าถาม “คิดไม่ถึงใช่มั้ยล่ะจางซื่อ”
จางซื่อค่อยๆเหยียดยิ้ม
“เก่งมากเฮียเต๋า...แต่สำหรับฉัน แกต้องเก่งกว่านี้”
จางซื่อเกร็งลมปราณจนใบมีดหักกระเด็นหายวับไป เฮียเต๋าตะลึงมองมีดในมือของเขาที่ใบมีดหักสะบั้นจนเหลือแต่ด้าม
“ถ้าอั๊วมีมีดที่ดีกว่านี้ล่ะก็...” เฮียเต๋าว่า
“โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้า” จางซื่อบอก
“ใช่...น่าเสียดาย”
“ฉันนับถือในความกล้าของแก เลยให้แกตายแบบรวบรัดไม่ทรมาน”
“จางซื่อ...”
“ฉันมองก็รู้ว่าแกฝึกวิชาระฆังทองได้แค่ด้านเดียว”
เฮียเต๋าตะแคงล้มลงไปในสภาพใบมีดที่หักกระเด็นมาเสียบอยู่ที่คอด้านขวาของเขา
“น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน” จางซื่อว่า
แล้วจางซื่อก็เดินต่อไป
“พายุ” จางซื่อเรียก
“ครับ เจ้าสำนัก”
“พวกตัวประกันพวกนี้ ให้แกดูแลให้ดี”
“ครับ”
จางซื่อเดินออกไป ร่างเฮียเต๋าล้มจากเก้าอี้ลงไปกองที่พื้นดังโครม
พายุโบกมือเรียกลูกน้อง ลูกน้องรีบแบกร่างเมลดาที่มีผ้าสีดำมัดตา มัดปาก มัดมือและเท้าเดินผ่านไป พายุรีบเดินตามลูกน้องไป
กังฟูเดินออกมาจากตัวอาคารแล้วเผชิญหน้ากับอาเฟย
“ชั่วชีวิตนี้ ฉันชอบการต่อสู้ที่สุด น่าเสียดาย คู่มือที่ดียิ่งมายิ่งหายาก ที่อ่อนด้อยกว่าสู้ไปก็ไม่เร้าใจ ที่เก่งกว่าสู้ด้วยก็เหนื่อยใจ ในรอบสิบปีนี้ แกนับว่าเหมาะสมที่สุด ขอขอบคุณ”
อาเฟยประสานมือขอบคุณ
“แต่ฉันเกลียดการต่อสู้แบบนี้ การต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิต” กังฟูบอก
“ถ้าไม่แลกด้วยชีวิตจะสนุกตรงไหน” อาเฟยว่า
“หวังว่าฉันจะสามารถชนะได้โดยไม่ต้องฆ่าแก”
อาเฟยหัวเราะ
“ถ้าผลออกมา ปรากฎว่าแกเหนือกว่าฉันได้ถึงขนาดนั้น ฉันคงต้องฆ่าตัวตายล้างอายแล้วล่ะ”
อาเฟยเกร็งลมปราณ เล็บนิ้วชี้นิ้วกลางที่ยื่นยาวเปลี่ยนเป็นสีดำ
“ขอเตือนก่อนว่าถ้าเล็บฉันสะกิดโดนผิวหนังแก พิษอสูรจะเข้าสู่เส้นเลือดแล้วแกก็จะตายในเวลาไม่กี่วินาที”
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน” กังฟูบอก
กังฟูประสานมือขอบคุณ อาเฟยยิ้มเหี้ยมด้วยท่าทางมีความคะนองและเชื่อมั่นตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม กังฟูตั้งท่าเพลงมวย แล้วทั้งสองก็บุกเข้าหากัน
หลินหลินกับบู๊ลิ้มยืนดูกังฟูกับอาเฟยต่อสู้กันด้วยความตื่นเต้นและเกร็งด้วยกันทั้งคู่
หลินหลินเอ่ยถาม “บู๊ลิ้ม...ใครเก่งกว่าอ่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน” บู๊ลิ้มตอบ
การต่อสู้ของกังฟูกับอาเฟยดุเดือดและเร้าใจขึ้นทุกที คมเล็บของอาเฟยกรีดเสื้อกังฟูขาดหลายครั้ง แต่ยังไม่โดนผิวหนัง ฝีมือของทั้งคู่สูสีกันมาก
หลินหลินหลับตา
“คุณพระคุณเจ้า ขอให้เฮียกังฟูปลอดภัยด้วยเถอะค่ะ”
บู๊ลิ้มลุ้นจัดและมีท่าทางหวาดเสียวมาก
“ศิษย์น้อง ระวังตัวนะ...”
ทั้งสองแยกออกจากกัน แล้วต่างก็หอบแฮ่กๆ จดจ้องอีกฝ่าย สักพักก็บุกเข้าหากันอีก แต่คราวนี้กังฟูไม่ตอบโต้เอาแต่ปัดป้องกับหลบหลีก อาเฟยยิ่งได้ใจจึงบุกหนัก
“ทำไมเฮียกังฟูไม่สู้เลยล่ะ เอาแต่หลบแบบนั้นเดี๋ยวก็โดนหรอก เล็บมันมียาพิษไม่ใช่เหรอ” หลินหลินถามบู๊ลิ้ม
“หรือว่าศิษย์น้องไม่ไหวแล้ว” บู๊ลิ้มสงสัย
“ว้าย...เห็นมั้ย เฉี่ยวไปนิดเดียวเอง...ว้าย ว้าย ว้าย” หลินหลินหวาดเสียว
“จะรอดมั้ยเนี่ย สงสัยจะสู้มันไม่ได้จริงๆ”
“ไม่ใช่”
หลินหลินกับบู๊ลิ้มหันไปเห็นเฮียเฉินได้สติแล้วก็ลุกขึ้นมาดูการต่อสู้ ท่าทางเฮียเฉินยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่ก็พยายามยันกายเบิ่งตาดู
“ป๊า”
“เจ่กเฉิน”
“กังฟูกำลังศึกษาการจู่โจมของอาเฟย” เฮียเฉินบอก “ยิ่งเขาหลบได้หวาดเสียวเท่าไหร่แปลว่าเขามั่นใจมากขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องหลบเยอะ หลบให้พ้นก็พอเพื่อรักษาระยะในการสวนกลับ”
“เอ่อ...หลินหลินกลัวเฮียกังฟูจะโดนซะก่อนน่ะสิคะ”
“จะสวนได้มั้ยเนี่ย”
หลินหลินกับบู๊ลิ้มเกร็งไปหมด
กังฟูหลบหลีกแต่อาเฟยบุกหนัก ในที่สุดกังฟูก็เห็นจุดอ่อนจึงต่อยสวนออกไปพร้อมๆกับที่อาเฟยแทงเล็บออกมา อาเฟยโดนต่อยกระเด็นจนไม่อาจควบคุมตัวเอง ร่างอาเฟยปลิวกระแทกพื้นดังโครม อาเฟยลุกขึ้นมา เล็บทั้งสองหักหลุดจากนิ้ว เลือดไหลโชก อาเฟยตะลึง
“เล็บอั๊ว...อั๊วแพ้แล้ว...อั๊วแพ้แล้ว” อาเฟยคร่ำครวญ
อาเฟยหันไปมองกังฟู กังฟูหอบแฮ่กๆ และยิ้มดีใจ
“กังฟู ลื้อแน่มาก ลื้อแน่มาก นับถือ”
อาเฟยประสานมือคำนับ
“นับถือเช่นกัน” กังฟูคำนับ
“กังฟู...อั๊วจะไม่ลืมชื่อนี้เลย...ลาก่อน”
อาเฟยหยุดมองเข้าไปในอาคารร้างแล้วไม่พูดอะไรก่อนจะเดินจากไปเฉยๆ กังฟูเป่าปากโล่งอก
หลินหลินกับบู๊ลิ้มร้องไชโยดีใจ แต่เฮียเฉินกลับมีสีหน้าเครียด กังฟูเดินกลับเข้ามา
“ศิษย์น้องสุดยอดเลย เก่งมาก” บู๊ลิ้มชม
“เฮียกังฟูเก่งที่สุดเลยค่ะ” หลินหลินชม
“แหม แค่นี้จิ๊บๆ ไม่อยากคุยแต่คุยซะหน่อย...อาจารย์ ท่านตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้างครับ” กังฟูถาม
“ยังมึนๆอยู่ แต่ว่าลื้อน่ะสิ” เฮียเฉินว่า
“ศิษย์?” กังฟูงง
เฮียเฉินมองที่สีข้างกังฟู กังฟูก้มลงมองตัวเองก็เห็นว่าที่สีข้างเสื้อผ้าขาดจนเห็นผิวหนังบริเวณนั้นมีแผลโดนกรีดจนเลือดสีดำไหลออกมา กังฟูหน้าซีด เฮียเฉินจะลุกไปหากังฟูแต่ก็ลุกไม่ไหว
เฮียเฉินบอก “เข้ามาใกล้ๆ”
กังฟูเดินเข้ามาหา เฮียเฉินสูดลมหายใจเข้าแล้วจี้สกัดจุดให้กังฟู เฮียเฉินมีท่าทางเหนื่อยมาก
“อั๊วสกัดพิษให้แต่ได้ชั่วคราว ... บู๊ลิ้ม รีบปลุกไอ้หลอเร็ว”
บู๊ลิ้มรับคำแล้วรีบไปเขย่าตัวเรียกเฮียหลอ ส่วนหลินหลินก็รีบไปปลุกติงลี่
เนตรนภาหลับอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู เนตรนภารีบลุกมาเปิดกลอนก็เจอพายุหน้าบึ้งกำลังแบกร่างเมลดาเข้ามา เนตรนภารู้สึกคุ้นๆแต่ก็จำไม่ได้
“ทำไมช้านัก หา” พายุว่า
“ขอโทษค่ะ” เนตรนภาบอก
พายุวางร่างเมลดาลงบนเตียง
เนตรนภาถาม “ใครเหรอคะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ...เอ๊ะ แต่อาจจะเกี่ยวกับเธอก็ได้นะ เธอได้ยินแล้วต้องทำใจหน่อยนะ...นี่คือว่าที่ภรรยาของฉัน”
พายุแกะผ้าผูกตาออก เนตรนภาจำได้ทันทีก็ยกมือปิดปากตัวเอง พายุหันมามอง เนตรนภาเอามือลงแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก พายุหัวเราะ
“ทำไม ตกใจล่ะสิ ไม่คิดว่าแฟนฉันจะสวยขนาดนี้ใช่ไหม...หึๆ เอาเป็นว่าถ้าเธอทำตัวดีๆ ว่านอนสอนง่าย ฉันก็จะไม่เขี่ยเธอทิ้งไปหรอกนะ จะให้อยู่ด้วยกัน แต่ฉันคงต้องให้ความสำคัญกับเธอคนนี้มากกว่า เค้าชื่อเมลดา เธอห้ามอิจฉาเขา เข้าใจไหม”
เนตรนภาตื่นเต้นตกใจจนปากคอสั่น
“ค...ค...ค่ะ”
พายุแก้เชือกที่มัดมือมัดเท้าเมลดาออก เขาเอากุญแจมือที่เตรียมไว้ออกมาซึ่งมีลูกกุญแจอยู่ด้วย พายุเอากุญแจมือคล้องมือเมลดาล่ามกับหัวเตียง
“ฉันต้องรีบกลับสำนัก ก่อนมานี่ฉันให้ยานอนหลับเขาไป เขาคงหลับอีกนานเลย ถ้าเขาตื่นมา เธอต้องดูแลเขาอย่างดี เข้าใจไหม”
เนตรนภาพยักหน้า พายุเดินเข้าไปในห้อง เนตรนภาชะเง้อมองตามเข้าไปก็เห็นพายุเปิดฝากล่องไม้ใบหนึ่งแล้วหย่อนลุกกุญแจลงไปก่อนจะปิดฝา พายุวางกล่องไม้ที่เดิมแล้วเดินออกมา เนตรนภารีบกลับมานั่งตามเดิม
“ฟังให้ดีนะ ถ้าเขาหนีไปได้...เธอตาย...ถ้าเขาบอกเขาจะคุ้มครองเธอได้ อย่าเชื่อ เพราะฉันจะตามล่าเธอแล้วเฉือนเธอทีละชิ้นๆจนกว่าเธอจะตาย เข้าใจไหม”
“ค่ะ”
พายุยิ้มเหี้ยมแล้วเดินออกไป เนตรนภามองเมลดาที่อยู่บนเตียง
เฮียเก้า มิเชล เหมยอิง และสวยได้สติ แม้ไม่มีศพของเฮียเต๋าแล้วแต่ก็ยังมีรอยเลือดหย่อมใหญ่ ทุกคนมองรอยเลือดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี สวยสติแตก ขณะที่เฮียเก้ากับมิเชลดูเฉยๆ
“มัน...มันเลือดใครคะนั่น” สวยถาม
“ฉันตื่นเป็นคนแรกก็เห็นรอยเลือดนั่นแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเลือดใคร”
“นอกจากพวกเราแล้วก็มีเฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเต๋า เฮียติงลี่ กังฟู เมลดา บู๊ลิ้ม...หลินหลิน”
สวยพูดชื่อหลินหลินด้วยความกลัวและไม่กล้ามองไปทางเหมยอิง
“เธออย่าเดามั่วเลย มันอาจเป็นเลือดหมูเลือดหมาที่ไอ้จางซื่อมาเทขู่เราก็ได้ ส่วนคนที่ไม่อยู่ พวกนั้นเขาอาจจะหนีไปได้ ก็เลยเหลือแต่พวกเรา” เหมยอิงบอก
“มาดามพูดถูกแล้ว อะไรที่ไม่รู้ก็ไม่ต้องไปเดา ทำลายกำลังใจตัวเองเปล่า” เฮียเก้าว่า
“ที่นี่คือสำนักอสูรเทวา อย่างน้อยที่สุดเราก็แน่ใจได้แล้วว่าคนที่จับเรามาคือพวกมัน...และที่แน่ใจได้ข้อที่สองคือจางซื่อมันจะใช้ประโยชน์จากพวกเราแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันคงฆ่าพวกเราไปแล้ว” มิเชลพูด
“แปลว่าเรายังมีโอกาสรอด ทำใจดีๆไว้ก่อน” เฮียเก้าบอก
“ค่ะ...เข้าใจแล้วค่ะ”
สวยหันมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้ามองกองเลือด เหมยอิงนั่งหลับตาแล้วก็พยายามข่มอารมณ์
เฮียเก้ากับมิเชลมองไปรอบๆห้องและครุ่นคิดหาทางรอด
อาเฟยเดินเข้ามาในสำนักอสูรเทวาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกลูกน้องกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ พอเห็นอาเฟยเหล่าลูกน้องก็ยิ้มแย้มประจบ
“ศิษย์พี่อาเฟย”
พอพวกลูกน้องเห็นว่าอาเฟยเล็บหักก็ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก อาเฟยไม่สนใจ เขาเดินผ่านพวกลูกน้องไป พออาเฟยผ่าน พวกลูกน้องก็จับกลุ่มซุบซิบทันที
จางซื่อนั่งทำงานอยู่แล้วก็มีเสียงเคาะประตู
“เข้ามา”
อาเฟยเปิดประตูเข้ามา จางซื่อยิ้มเล็กน้อย
“มาช้ากว่าที่คิดนะ กังฟูล่ะ” จางซื่อถาม
อาเฟยยกมือขึ้นให้เห็นเล็บที่หักกุด จางซื่อตกใจ
“นี่เจ้า...”
“ศิษย์แพ้มัน” อาเฟยบอก
“แพ้ใคร”
“กังฟู”
“เป็นไปไม่ได้”
“ศิษย์แพ้มันแล้ว”
“กังฟู...ไอ้ซีปังโต้วนั่นน่ะนะ”
อาเฟยพยักหน้า
“ยี่สิบปีแล้วศิษย์ไม่เคยแพ้ใคร ศิษย์ไม่เคยคิดว่าจะแพ้ใคร โดยเฉพาะมัน”
“ลูกจางเหลียง... ลูกจางเหลียง สมเป็นลูกจางเหลียง จางเหลียง ท่านร้ายกาจยิ่งนัก”
“อาจารย์ ศิษย์ขอลา”
จางซื่อหันขวับ “หมายความว่ายังไง”
“ดาบอยู่คนอยู่ ดาบหักคนตาย”
“อาเฟย...”
อาเฟยพลิกมือใช้เล็บที่กุดหักแทงเข้าคอหอยตัวเอง
จางซื่อร้องลั่น “อย่า”
จางซื่อพุ่งมาคว้าข้อมืออาเฟยแต่ก็ไม่ทันเพราะเล็บอาเฟยจมเข้าไปในคอหอยของเขาแล้ว
“อาจารย์ ท่านดีต่อศิษย์ยิ่งนัก ขอบคุณท่าน”
“อาเฟย”
“อภัยที่ศิษย์อกตัญญู ไม่อยู่รับใช้อาจารย์แล้ว”
อาเฟยหน้าเขียวคล้ำแล้วก็สิ้นใจตายในอ้อมกอดของจางซื่อ จางซื่อตะลึง
“อาเฟย”
จางซื่อวางร่างอาเฟยลงแล้วก็พยายามสงบสติอารมณ์
จางซื่อมีสีหน้าเรียบเฉยขณะดูลูกน้องแบกร่างอาเฟยออกไปข้างนอก พายุเดินเข้ามาในสำนักพอเห็นคนแบกศพอาเฟยเขาก็ตกใจและสงสัย พายุมองไปที่จางซื่อ พวกลูกน้องคนอื่นก็แตกตื่นสงสัย
จางซื่อดูเหมือนจะรู้ว่าทุกคนสงสัย
“อาเฟยพลาด สู้แพ้...สำหรับมันความพ่ายแพ้คือความตาย ฉันไม่ได้บอกว่าอาเฟยคิดถูก แต่ฉันก็ภูมิใจที่มันคิดแบบนี้ ต่อไปเมื่อคนนึกถึงอาเฟย จะนึกถึงความกล้าหาญและความทระนงของมัน อั๊วหวังว่าในตัวศิษย์อสูรเทวาทุกคนจะมีธาตุนักสู้แบบอาเฟย”
พวกลูกน้องอึ้งแล้วพากันโค้งคำนับศพอาเฟย
เฮียหลอกับติงลี่ฟื้นแล้ว เฮียหลอจึงตรวจชีพจรให้ติงลี่
“เหมือนของไอ้เฉินกับอั๊ว ไม่มีอะไร แค่ยาสลบ สรุปว่าพวกเราทุกคนโดนแค่ยาสลบ ไม่ใช่ยาพิษ”
“ทำไมเขาใช้แค่ยาสลบ ทำไมเขาไม่ใช้ยาพิษเลยล่ะครับ” บู๊ลิ้มถาม
“ยาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นเป็นของหายาก ยิ่งใช้วางยาหลายคนแพร่พิษลงอาหารมากมายปานนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เปลี่ยนเป็นใช้ยาสลบกลับไม่ยากเท่าไหร่” เฮียหลอบอก
“มิน่า เจ่กเต๋าบอกให้พวกเราเลือกช่วยเจ่กหลอ เพราะว่าเจ่กหลอเป็นผู้รอบรู้เรื่องยา” หลินหลินว่า
“แต่ก็สูญเปล่า ในเมื่อยาพวกนี้เป็นยาสลบ ไม่ต้องเลือกอั๊วก็ได้ .... พวกลื้อน่าจะเลือกมิเชล”
“ลื้อพูดเพราะมิเชลเป็นลูกสาวลื้อ แต่อย่าลืมว่ามิเชลบาดเจ็บอยู่ ช่วยออกมาก็ช่วยพวกเราไม่ได้เท่าไหร่” ติงลี่บอก
“อั๊วบอกควรเลือกมิเชลเพราะว่ามิเชลเป็นคนเดียวที่จางซื่อแค้นเป็นการส่วนตัว ตอนนี้มิเชลอาจจะถูกมันฆ่าไปแล้ว”
ทุกคนเงียบไป ห่างออกไปเล็กน้อย เฮียเฉินกำลังถ่ายทอดลมปราณให้กังฟู เฮียเฉินกับกังฟูนั่งสมาธิ กังฟูหันหลังให้เฮียเฉิน เฮียเฉินยกฝ่ามือทาบที่หลังของกังฟู สักพักเฮียเฉินก็ลืมตาขึ้นแล้วรั้งฝ่ามือกลับมาด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“เป็นไง” เฮียหลอถาม
“อั๊วเดินลมปราณขับพิษให้กังฟูไม่ได้ ลมปราณในตัวมันสับสนเกินไป”
เฮียเฉินหันหน้าไปพูดกับกังฟูที่หันกลับมาฟัง
“โดยเฉพาะไอ้ลมปราณเคลื่อนสุริยันที่พ่อลื้อถ่ายทอดไว้ให้ตั้งแต่ตอนลื้อเด็กๆน่ะ นอกจากทำประโยชน์อะไรไม่ได้แล้วยังป้องกันไม่ให้อั๊วขับพิษออกมาอีก”
กังฟูจ๋อย
“งั้นศิษย์ก็ต้องตายแน่ๆเหรอครับ....ศิษย์ยังไม่อยากตาย ศิษย์ยังไม่เคย...เลย”
“ไม่เคยอะไรวะ” เฮียหลอถาม
“นั่นแหละ” กังฟูอ้อมแอ้ม
เฮียเฉินถีบเปรี้ยง เฮียหลอกับติงลี่หัวเราะ
“ไอ้เวร จะตายอยู่แล้วยังจะลามกอีก เมื่อไหร่ลื้อจะเลิกหมกมุ่นซะทีวะ” เฮียเฉินว่า
“แหงสิ อาจารย์เคยแล้วก็พูดได้สิ ก็ศิษย์ยังไม่เคยนี่นา” กังฟูบอก
บู๊ลิ้มกับหลินหลินทำหน้างงเพราะตามไม่ทัน
“ไอ้กังฟู ลื้อใจเย็นๆ ยังไม่หมดหวัง เดี๋ยวเราจะพาลื้อไปหาคนคนหนึ่ง เขาอาจจะช่วยลื้อได้” เฮียหลอบอก
“มาม่าซังเหรอครับ” กังฟูถาม
เฮียหลอถีบกังฟูดังเปรี้ยง
“ช่วยเรื่องพิษโว้ย ไม่ใช่ช่วยเรื่องนั้น”
“กังฟู เลิกพูดเล่นได้แล้ว ถ้าเป็นเขาล่ะก็ ช่วยลื้อได้แน่ๆ” เฮียเฉินบอก
“งั้นอย่ามัวแค่คุยเลยครับ ไปเลยดีกว่า เดี๋ยวพิษกำเริบ ช่วยไม่ทัน ศิษย์จะอด” กังฟูบอก
“ใจคอลื้อคิดอยู่เรื่องเดียวเลยนะ ไอ้หื่น” ติงลี่ว่า
กังฟูหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนแต่แล้วก็ล้มโครม สีหน้าของกังฟูเริ่มเขียว
“ท่าทางจะแย่แล้ว รีบไป” เฮียเฉินบอก
ในซอยแห่งหนึ่งที่มีบ้านเรือน มีรถจอดอยู่หน้าบ้านหลายคัน ติงลี่มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใคร เขาเดินตรงไปที่รถคันหนึ่งที่จอดอยู่
“ขอยืมรถไปใช้ก่อนนะครับ”
ติงลี่เอาลวดแหย่เข้าไปในช่องเสียบรูกุญแจทันที
ติงลี่ขับรถที่มีเฮียเฉิน หลอ กังฟู บู๊ลิ้ม และหลินหลินนั่งอยู่ในรถด้วย
เฮียเฉินแบกร่างกังฟูขึ้นหลังพร้อมกับเฮียหลอ ติงลี่ บู๊ลิ้ม หลินหลินที่เดินตามเข้าไปในวัดจีน
เฮียเฉินแบกกังฟูเข้ามาในวัด กังฟูลืมตาแล้วก็พยายามมองไปรอบๆ
“ที่นี่ที่ไหน” กังฟูถาม
“วัดจีน ลื้อเคยมาแล้วจำได้ไหม” เฮียเฉินถามกลับ
กังฟูมองไปรอบๆ
“จำไม่ได้ครับ”
เฮียเฉินไม่พูดอะไรอีก
โลกที่กังฟูเห็นเป็นภาพเบลอๆไม่ชัดเจน กังฟูถูกวางลงนอนหงาย เขาเห็นฝ้าเพดานวัดเบลอๆ พระพุทธรูป พระสังกจายซึ่งมองมาที่เขาก็เบลอๆ แล้วก็มีใครบางคนเดินมาดู เขาพยายามเพ่งมองแต่เห็นหน้าไม่ชัด คนที่มาจับใบหน้าเขาลูบด้วยความรักและเป็นห่วง กังฟูเพ่งมองก็เห็นหน้าเบลอๆคล้ายฮูหยิน
“อาจารย์แม่”
แล้วกังฟูก็หมดสติไป
ฮูหยิน เฮียเฉิน และเฮียหลอนั่งคุยกับโกวเล้งซึ่งเป็นพระจีน วัยชรา ท่าทางสง่างามดูมีบารมี
“อาจารย์โกวคะ พวกฉันไม่มีที่พึ่งอื่นแล้ว ท่านนับเป็นเซียนในหมู่มนุษย์สามารถดึงฉันมาจากหลุมศพได้ ท่านอาจจะสามารถรักษากังฟูก็ได้” ฮูหยินบอก
“อมิตรพุทธ โยมมีวาสนาต่างหาก” โกวเล้งพูด
“อาจารย์ถ่อมตัวเกินไปแล้ว” เฮียหลอว่า “อาการของฮูหยินตอนนั้น เรียกว่าเดินขึ้นเกี้ยวยมบาลไปก้าวหนึ่งแล้ว เป็นอาจารย์รั้งนางกลับมาได้”
กังฟูยืนอยู่หน้าห้อง เขามองเข้าไปก็เห็นเฮียเฉินยืนดูร่างของฮูหยินที่อยู่บนเตียง ขณะที่บู๊ลิ้มกอดร่างฮูหยินร้องไห้ กังฟูทนดูไม่ได้จึงเดินจากไป บู๊ลิ้มยังคงกอดร่างอาจารย์แม่แล้วร้องไห้ สักพักหมอก็เดินเข้ามา
“อาการคนไข้แย่มากนะครับ คงต้องดูอีกสักระยะ”
ฮูหยินลืมตาขึ้นมาอย่างอ่อนล้า
“บู๊ลิ้ม ไม่ต้องห่วง ชีวิตคนเราฟ้าลิขิตไว้แล้ว”
“พักก่อนเถอะ อย่าพูดมากเลย รอให้หายแล้วค่อยพูดมากให้เหมือนเดิมก็ได้” เฮียเฉินบอก
ฮูหยินจับมือเฮียเฉิน
“อั๊วรู้ตัวดี อั๊วไม่รอดหรอก”
เฮียเฉินบีบมือฮูหยิน
ภาพในอดีตย้อนกลับมา เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า บู๊ลิ้ม เมลดา สวดมนต์ขอพรจนเสร็จ
“เทวดาทั้งหลาย หมอบอกฮูหยินหมดทางรักษาแล้ว พวกท่านช่วยต่อชีวิตให้นางด้วยเถอะ” เฮียเก้าบอก
ทุกคนยืนนิ่งกันครู่หนึ่ง เฮียเฉินลังเลนิดหนึ่งก่อนจะพนมมืออีกครั้ง
“จางเหลียง หากวิญญาณท่านรับรู้ ฮูหยินช่วยเลี้ยงลูกท่านจนโต ท่านต้องช่วยนางด้วย อย่าให้นางตายนะ”
เฮียเฉินคารวะ
“ไปกันใหญ่ละ รีบกลับกันเถอะ” เฮียหลอบอก
พวกเฮียเฉินกำลังจะกลับ หลวงจีนรูปหนึ่งเดินมาหา
“ประสก มีหลวงพ่อท่านหนึ่งขอเชิญพวกท่านไปพบ”
เฮียเฉินงง
“รีบกลับไปเยี่ยมฮูหยินเถอะ” เฮียเก้าบอก
เฮียเฉินมองลึกเข้าไปในวัดแล้วก็มีเซ้นส์อะไรบางอย่าง
“เชิญท่านนำทาง” เฮียเฉินพูด
หลวงจีนเดินนำไป เฮียเฉินเดินตาม คนอื่นๆงงแต่ก็เดินตามเฮียเฉินไป ขณะที่กังฟูที่อยู่ห่างออกไป หันหลังเดินไปทางอื่น
อ่านต่อตอนที่ 14