xs
xsm
sm
md
lg

ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 10
พายุเดินหงอยๆ ออกมาจากห้องประชุม เมื่อได้ยินเสียงคนคุยหัวเราะกัน เขาก็เงยหน้าขึ้นมาดู เจอกังฟูกับเมลดากำลังช่วยกันเอาชุดงิ้วมาปัดฝุ่นแล้วผึ่งแดด ทั้งสองคุยกัน หัวเราะคิกคัก แตะเนื้อต้องตัวกัน พายุมองริมฝีปาก ทรวงอกและเรียวขาของเมลดา

“ทำไมแฟนไอ้กังฟูมันเซ็กซี่งี้วะ เซ็กซี่กว่าเนตรนภาอีก” พายุคิด เขามองกังฟูที่คุยกับเมลดาแล้วก็หัวเราะเต็มที่ ดูๆ ไปก็เหมือนเด็กปัญญาอ่อน
“ไอ้คนโง่ๆ อย่างไอ้กังฟูเนี่ยนะ ลูกชายอัจฉริยะอย่างจางเหลียง ส่วนอั๊วเป็นแค่ลูกกรรมกรงั้นเหรอ” พายุรำพึง เม้มปากแน่น

อีกด้านหนึ่ง จางซื่อกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้องทำงานโดยมีอาเฟยยืนอยู่ด้านหลัง เขามองออกไปนอกห้อง เห็นความเคลื่อนไหวผิดปกติของพนักงานและเห็นตำรวจด้วยสองคนกำลังพูดคุยกับพนักงานประชาสัมพันธ์
“อาเฟย ไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น” จางซื่อเอ่ยขึ้น
“ครับ” อาเฟยรับคำ
อาเฟยเดินออกไปสักครู่ก็เดินกลับเข้ามาก่อนรายงานว่า
“ตำรวจบอกว่ามีคนพบศพผู้ชายคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นใคร ไม่มีบัตรที่มีรูปถ่าย มีแต่นามบัตรพนักงานที่นี่ ชื่อคมสันต์”
“คมสันต์ คนสนิทของเมฆานี่” จางซื่อพูดขึ้นมา
“ครับผม ตำรวจมาสอบถามว่าใช่คนของเราจริงหรือเปล่า”
จางซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า
“ตอนนี้เมฆาไม่อยู่ เรื่องนี้อาจมีเบื้องหลัง ให้คนอื่นไปคงไม่ดี อาเฟย แกตามตำรวจไปแล้วกัน ดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ได้ครับ”
“เดี๋ยว เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกเมฆา รู้อะไรให้มาบอกฉันก่อน” จางซื่อบอก
“ครับ” อาเฟยรับคำ แล้วเดินออกไป

ขณะนั้น เป๋งกุ่ย บู๊ลิ้ม หลินหลิน และเด็กผู้ชายคนอื่นๆ เล่นเตะบอลกัน ตอนนั้นเอง หลินหลินก็ได้บอลมา
“ทางนี้” บู๊ลิ้มพูดขึ้น
หลินหลินส่งบอลให้บู๊ลิ้ม
“เก่งมาก” บู๊ลิ้มยกนิ้วให้
เป๋งกุ่ยมองบู๊ลิ้มแบบไม่สบอารมณ์ ต่อมาบู๊ลิ้มได้บอลและกำลังเลี้ยงขึ้นไป เป๋งกุ่ยก็วิ่งมากระแทกบู๊ลิ้มจนเซหกล้มแล้วได้บอลไป บู๊ลิ้มลุกขึ้นรีบวิ่งตามไป
เป๋งกุ่ยส่งบอลให้เพื่อน บู๊ลิ้มตามมากระแทกเปรี้ยงจนเป๋งกุ่ยหกล้ม เขาลุกพรวด เข้ามาค้ำคอบู๊ลิ้ม
“มึงเอาไงวะไอ้บู๊ลิ้ม” เป๋งกุ่ยว่า
“มึงแหละเอาไง เมื่อกี้กระแทกกูทำไม” บู๊ลิ้มพูด
“ก็กูแย่งบอล ไม่อยากโดนกระแทกก็ไปเล่นหมากเก็บเดะ”
“กูก็กระแทกบ้างดิ มึงนั่นแหละไปเล่นตุ๊กตาดีกว่า”
เป๋งกุ่ยกับบู๊ลิ้มจะต่อยกัน เพื่อนๆ เข้ามาห้าม พยายามแยกทั้งสองออกจากกัน แต่ทั้งคู่ก็ไม่ฟัง
“นี่ พอได้ยัง คนอื่นเขาจะเล่นบอล ถ้าไม่หยุดทะเลาะกันก็ออกไปมีเรื่องข้างนอกไปเกะกะ” หลินหลินพูดขึ้น
“เออ ใช่ หลินหลินพูดถูก ได้ยินไหมไอ้บู๊ลิ้ม” เป๋งกุ่ยว่า
บู๊ลิ้มมองหน้าหลินหลินแบบน้อยใจแล้วเดินก้มหน้าออกไป หลินหลินร้อนตัวจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“ฉันหมายถึงทั้งสองคนนั่นแหละ”
บู๊ลิ้มหันมา เขายิ้มออก
“ก็ได้ เห็นแก่หลินปิง พอก็ได้”
บู๊ลิ้มยื่นมือให้เป๋งกุ่ย เป๋งกุ่ยจับมือด้วย หลินหลินยิ้ม เธอไม่รู้ว่าขณะนั้น เป๋งกุ่ยมองบู๊ลิ้มด้วยสีหน้าที่บอกว่ายังไม่ยอมจบ

ต่อมา บู๊ลิ้มได้บอล เป๋งกุ่ยเข้ามาแย่ง มีการกระแทกกันไปมา จู่ๆ เป๋งกุ่ยก็แกล้งเอามือกุมหน้า ร้องลั่นเซลงไปนอนดิ้น เกมส์ชะงัก ทุกคนวิ่งมาดู
“บู๊ลิ้ม ทำไมเล่นนอกเกมส์ล่ะ เมื่อกี้จับมือกันแล้วนี่หว่า” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ย
ทุกคนมองบู๊ลิ้มจนเขาร้อนตัว
“เฮ้ย ฉันไม่ได้ทำอะไรมันเลยนะ อยู่ดีๆมันก็ลงไปนอนดิ้นเอง” บู๊ลิ้มว่า
“อะไรวะบู๊ลิ้ม แกหาว่าฉันโกหกเหรอ แกศอกใส่หน้าฉันชัดๆ ถือว่าเป็นมวยจีนเลยแกล้งคนไม่มีทางสู้เหรอ” เป๋งกุ่ยเอ่ย
ทุกคนมองบู๊ลิ้มด้วยสายตารังเกียจ
“ฉันเปล่าจริงๆ” บู๊ลิ้มพยายามบอกทุกคน
“ใครๆ ก็เห็นเหมือนกันหมดแล้ว หลินปิงดูสิ ขนาดเมื่อกี้มันรับปากเธอแล้ว มันยังแกล้งฉันอีก” เป๋งกุ่ยว่า
“ถ้าแกโกหกอีกคำอีกคำ ฉันต่อยแกแน่”
“ฉันไม่ได้โกหก แกศอกฉันจริงๆ”
บู๊ลิ้มพุ่งเข้าใส่เป๋งกุ่ย
“อย่านะ” หลินหลินเข้ามาห้าม
บู๊ลิ้มผลักหลินหลินออกไปจนเธอเซถอยหลังแล้วเหยียบลูกบอลพอดี หลินหลินเสียหลัก ล้มหงายหลังหัวกระแทกพื้น บู๊ลิ้มกับเป๋งกุ่ยไม่สนใจ ซัดกันนัว จนเพื่อนๆ เริ่มเอะใจเมื่อเห็นหลินหลินนอนนิ่ง
“เฮ้ย หลินปิงสลบโว้ย” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
บู๊ลิ้มกับเป๋งกุ่ยแยกออกจากกันทันทีแล้วรีบวิ่งมาดู
“หลินปิง” บู๊ลิ้มเขย่าตัวเรียกหลินหลิน แต่หลินหลินไม่รับรู้
“ฉันไม่เกี่ยวนะโว้ย เมื่อกี้แกเป็นคนผลักเขานะ ทุกคนเห็นใช่มั้ย เป็นพยานให้ด้วยนะ” เป๋งกุ่ยหน้าซีด
“หลินปิง หลินปิง” บู๊ลิ้มพยายามเรียก
เพื่อนคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดี วิ่งไปที่บ้านเฮียป้อแล้วเรียก
“เฮียป้อ เฮียป้อ”
สักพักก็วิ่งกลับมาแล้วบอกว่า
“เฮียป้อไม่อยู่”
“หลินหลินจะตายมั้ยวะเนี่ย” เพื่อนอีกคนเอ่ย
“ฉันไม่เกี่ยวนะเว้ย” เป๋งกุ่ยว่า แล้วรีบวิ่งออกไป
“เฮ้ย เรียกแท็กซี่ให้ฉันที” บู๊ลิ้มอุ้มหลินหลินขึ้นมาแล้วพูดขึ้น
“เออ” เพื่อนๆ รับคำ แล้วรีบวิ่งไปที่ถนนใหญ่

หลินหลินนอนสลบอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล มีบุรุษพยาบาลเข็นเตียงเข้าไปในห้องตรวจ ส่วนที่นอกห้องตรวจ พยาบาลกำลังคุยกับบู๊ลิ้ม
“ผู้ปกครองของเพื่อนน้องอยู่ไหนคะ ติดต่อได้มั้ยคะ” พยาบาลถาม
“พี่สาวเขาอยู่โรงงิ้ว ยังไม่กลับ รักษาเพื่อนผมก่อนเถอะ เงินไม่ปัญหา ถ้าพี่สาวเขาไม่มาเดี๋ยวผมโทรไปบอกที่บ้าน ยังไงก็มีจ่ายครับ” บู๊ลิ้มว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้น เรารักษาเพื่อนน้องแน่ๆ แต่ต้องลงทะเบียนน่ะค่ะ” พยาบาลบอก
“ให้ผมกรอกได้ไหมครับ” บู๊ลิ้มเอ่ยถาม
“ได้ค่ะ แต่ห้ามกรอกเล่นนะคะ” พยาบาลพูด
บู๊ลิ้มรับเอกสารมา เริ่มกรอกอย่างตั้งอกตั้งใจ

พยาบาลคนหนึ่งกับบุรุษพยาบาลกำลังเตรียมอุปกรณ์กันอยู่ แล้วหมอเดินเข้ามา
“เป็นไงมั่ง” หมอถาม
“ผู้ป่วยเล่นบอลกับเพื่อนแล้วหกล้มหัวฟาดพื้นหมดสติ ประมาณครึ่งชั่วโมงมาแล้วค่ะ” พยาบาลรายงาน
หมอพยักหน้ารับรู้ เดินมาดูหลินหลิน หมอทำหน้าสงสัย แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เด็กผู้หญิงนี่”
พยาบาลมองอย่างพิจารณา
“ผู้หญิงจริงๆ ด้วยค่ะ หมอเก่งจัง” พยาบาลพูด
หมอเอียงคอมองไปมา
“หลินหลินนี่” หมอพูดต่อ
“โห หมอ เก่งเกินไปรึเปล่าคะ ดูหน้าแล้วรู้ชื่อด้วยเหรอ” พยาบาลเอ่ยอย่างสงสัย
“เค้าเป็นลูกสาวมาดามเหมยอิง ที่มารักษาที่นี่ประจำนั่นแหละ” หมอเฉลย
“มาดามเหมยอิงเหรอคะ”
“แล้วแม่เขารู้เรื่องรึยังเนี่ย”
“คงยังมั้งคะ”
“รีบโทรบอกแม่เขาเร็วเข้า เบอร์อยู่ในแฟ้มคนไข้”
“ค่ะ” พยาบาลรับคำแล้ววิ่งออกไป

พยาบาลมาที่เคาเตอร์เพื่อมาหาเบอร์โทรศัพท์มาดามเหมยอิงจากคอมพิวเตอร์ เมื่อได้เบอร์ก็กดโทรออก ห่างออกไปไม่มาก บู๊ลิ้มยังคงพยายามกรอกข้อมูลอยู่อย่างตั้งใจ โดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

เหมยอิงนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ที่คฤหาสน์ โดยมีสวยคอยนวดขาให้ เมื่อมีโทรศัพท์ดัง สวยก็เดินไปรับสาย
“สวัสดีค่ะ...สักครู่นะคะ” สวยส่งโทรศัพท์ให้เหมยอิง
“สายจากโรงพยาบาลค่ะ” สวยรายงาน
มาดามเหมยอิงรับสายด้วยท่าทางแปลกใจและกังวลนิดๆ
“สวัสดีค่ะ... มีอะไรรึเปล่าคะ ...ว่าไงนะคะ...คุณแน่ใจเหรอ...ค่ะๆๆ ฉันจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
มาดามเหมยอิงวางสายแล้วอุทานออกมา
“คุณพระช่วย”
“มีใครเป็นอะไรเหรอคะมาดาม” สวยถาม
มาดามเหมยอิงมองซ้ายขวา แล้วกระซิบบอกสวย
“จำคุณหมอสุกิจได้มั้ย” มาดามเหมยอิงเอ่ย
“ค่ะ หมอที่มาดามไปรักษาด้วยบ่อยๆ มีอะไรเหรอคะ”
“เค้ารู้จักหลินหลิน...เมื่อกี้เค้าโทรมา บอกว่าตอนนี้หลินหลินรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
“คุณหนูหลินหลินอยู่ที่โรงพยาบาล!”
สวยตกใจจะอุทานออกมา มาดามเหมยอิงรีบปิดปากสวยแล้วมองไปรอบๆ สวยมองตาเหมยอิงแล้วพยักหน้าเข้าใจ เธอจึงเอามือออกจากปากสวย
“คุณหมออาจจะจำผิดก็ได้ แต่ว่ายังไงเราก็ต้องไปดู” มาดามเหมยอิงกระซิบเสียงเบา
สวยพยักหน้า
เมฆาผ่านมาได้ยินพอดี เขาอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มดีใจ

เฮียป้อเดินไปเดินมา ท่าทางกระวนกระวาย ชะเง้อชะแง้มองไปไกลๆ
“เฮ้ย ทำไมยังไม่กลับซะที ไปเที่ยวไหนกันว้า”
พอเฮียป้อเห็นเมลดากับกังฟูเดินมาก็รีบเข้าไปหา
“อาหลินฮุ่ย อั๊วรอลื้ออยู่ตั้งนาน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“เรื่องอะไรเหรอคะเฮียป้อ” เมลดาถาม
“อาหลินปิง อีเล่นฟุตบอล แล้วหกล้มหงายหลัง สลบไม่ได้สติ” เฮียป้อบอก
“หา...แล้วตอนนี้เค้าอยู่ไหนคะ” เมลดาถามอย่างตกอกตกใจ
“อาบู๊ลิ้มเรียกแท็กซี่พาไปส่งโรงพยาบาลแล้ว เมื่อกี้เพิ่งโทรมาบอกว่าหมอกำลังรักษาอยู่” เฮียป้อเล่า
“หลินหลิน” เมลดาอุทาน
“งั้นเรารีบไปกันเถอะครับ คุณเม” กังฟูพูด
กังฟูกับเมลาดารีบเดินมาที่ริมถนน โบกมือเรียกแท็กซี่

ตกกลางคืน ตำรวจและเจ้าหน้าที่เดินนำอาเฟยเข้าไปที่ห้องชันสูตร ที่กลางห้องมีศพตั้งอยู่บนเตียง มีผ้าสีขาวคลุมศพอยู่
“ทางนี้ครับ” เจ้าหน้าที่เอ่ย แล้วเปิดผ้าคลุมศพออกให้เห็นเฉพาะบริเวณใบหน้าศพ อาเฟยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“ใช่คนของคุณรึเปล่า” ตำรวจถาม
อาเฟยไม่ตอบ
ตำรวจเอาผ้าเช็ดหน้าอุดจมูกแล้วถอยออกมา ขณะที่อาเฟยกลับก้มดูที่ใบหน้าศพแบบใกล้มากโดยไม่มีท่าทางเหม็นหรือรังเกียจอะไร อาเฟยดูจนแน่ใจค่อยเปิดผ้าคลุมศพออก เห็นศพที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้า
“เอ่อ คือว่า…” เจ้าหน้าที่ทำท่าจะห้าม
อาเฟยยกมือปราม เขาจ้องหน้าเจ้าหน้าที่ด้วยแววตาเย็นเยียบอำมหิตจนเจ้าหน้าที่ไม่กล้าพูดอะไรอีก
อาเฟยดูตามรอยฟกช้ำตามตัวสันต์อย่างละเอียดจนตำรวจชักเอะใจ
“ว่าไงคุณ ใช่คนของคุณรึเปล่า” ตำรวจถามขึ้น
“คล้ายๆ ครับ” อาเฟยตอบ
“ใช่หรือไม่ใช่” ตำรวจถามย้ำ
“ดูยากครับ ผมบอกไม่ได้ครับ” อาเฟยว่า
ตำรวจงงไปเมื่อได้ยินคำตอบ อาเฟยไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะเดินออกไป
“อ้าว เฮ้ยๆ แล้วจะไปไหนเนี่ย กลับมาก่อน” ตำรวจร้องเรียก
แต่อาเฟยไม่สนใจ เดินออกไปเลย
“อะไรของมันวะ” ตำรวจเอ่ยงงๆ
“ท่าทางเขาแปลกๆ นะครับ” เจ้าหน้าที่เอ่ยขึ้น
“แปลกยังไงครับ” ตำรวจถาม
“ตอนที่เขาดูศพ เขาดูแต่รอยฟกช้ำ... ปกติเวลาเชิญคนมาดูว่าใช่คนที่เขารู้จักรึเปล่าเขาจะดูกันแค่หน้าก็พอ แต่นี่ท่าทางเหมือนหมอที่กำลังหาสาเหตุการตายมากกว่า” เจ้าหน้าที่เล่า
ตำรวจเหมือนจะงงมากกว่าเดิม

บู๊ลิ้มเดินไปเดินมาวนเวียนอยู่หน้าห้องตรวจที่โรงพยาบาล เขาพยายามจะมองผ่านกระจกฝ้าหน้าประตูเข้าไปด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างนั้นพยาบาลคนหนึ่งก็เดินมา กำลังจะเข้าไปในห้อง
“คุณพยาบาลครับผมเข้าไปได้รึยังครับ” บู๊ลิ้มถาม
“รอคุณหมอตรวจคนไข้ก่อนนะคะ” พยาบาลบอก
บู๊ลิ้มทำใจ เดินวนเวียนต่อไป
พยาบาลคนนั้นเดินเข้ามาในห้องแล้วยื่นแฟ้มให้หมอ หมอเปิดแฟ้มเพื่อดูรายงานการตรวจ ขณะนั้น หลินหลินที่นอนหลับอยู่เริ่มกระดุกกระดิก ลืมตาขึ้นมา
“คุณหมอคะ คนไข้รู้สึกตัวแล้วค่ะ” พยาบาลรายงาน
หมอเดินมาดู หลินหลินลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ งงๆ
“สวัสดีจ้ะ” หมอทักทาย
“นี่หนูมาอยู่ตรงนี้ได้ไงคะเนี่ย” หลินหลินเอ่ย
“จำอะไรได้มั่งมั้ย” หมอถาม
หลินหลินมองหน้าหมอครู่หนึ่ง แล้วยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ คุณหมอสุกิจ”

พายุนั่งอยู่คนเดียว มองไปรอบๆ โรงงิ้ว แล้วเฮียเก้าก็เดินมาหา
“พายุ อยู่ตรงนี้เอง อั๊วเดินหาซะทั่ว ทำอะไรอยู่” เฮียเก้าถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คิดอยู่ว่าผมโตที่นี่ อยู่มาตั้งแต่เด็ก ถ้าไม่ได้เห็นที่นี่อีก จะรู้สึกยังไง” พายุพูด
“อ๋อ กลัวสู้กับพวกอสูรเทวาแล้วจะไม่ได้อยู่จนกลับมาเหยียบที่นี่อีกใช่มั้ย” เฮียเก้าว่า
“อาจจะตรงกันข้ามก็ได้ครับ” พายุยิ้มมีเลศนัย
“หมายความว่ายังไงวะ” เฮียเก้าสงสัย
“ถ้าผมยังอยู่ แต่ที่นี่ไม่อยู่…”
เฮียเก้าไม่ทันเอะใจ ไม่ได้คิดมากอะไร
“เฮ่ย อย่าเพิ่งคิดมากเลย มองในแง่ดีเหอะ”
“อาจารย์เก้ามาตามผม มีธุระอะไรรึเปล่าครับ” พายุเปลี่ยนเรื่อง
“ในที่สุดพวกเราคิดหาวิธีต่อสู้กับไอ้จอมมารจางซื่อได้แล้ว อั๊วเลยมาตามลื้อให้ไปฟังด้วย”
“ด้วยความยินดีครับ” พายุยิ้ม

เฮียเฉิน เฮียหลอ และฮูหยินรออยู่ที่ลานโล่งแล้ว เฮียเก้ากับพายุตามมาสมทบ
“พายุ พวกเราคิดหาวิธีสู้กับจางซื่อได้แล้ว” ฮูหยินเอ่ย
“ผมได้ข่าวว่าจอมมารจางซื่อมันเก่งมาก ถ้าเราจะเอาชนะมันคงต้องใช้วิทยายุทธที่ไม่ธรรมดา” พายุว่า
“ถูกต้อง ลื้อวิเคราะห์ได้ฉลาดมาก สมกับที่เป็นศิษย์เอกของพวกเรา พอดีเรามีวิทยายุทธที่จะใช้สู้กับมันได้ เราจะใช้ค่ายกลดอกเหมย” ฮูหยินว่า
“ค่ายกลดอกเหมย?” พายุสงสัย
“เป็นค่ายกลโบราณ บุกรุมโจมตีต่อเนื่อง ไม่ให้พักไม่ให้หนี ช่วงแรกเบาบาง ช่วงสองหนักหน่วง ช่วงสามพิฆาต หากศัตรูแข็งแกร่ง กลับไปที่ช่วงหนึ่งใหม่ เราได้พักแต่ไม่ให้มันพัก วนเวียนได้ไม่รู้จบ สุดท้ายศัตรูต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กไหลก็ต้องตายคาค่ายกล” เฮียเฉินเฉลย
“ค่ายกลนี้ใช้คน 5 คน เพราะฉะนั้นลื้อต้องฝึกร่วมกับพวกเราด้วยเพื่อให้ลงมือสอดคล้องกัน” เฮียเฉินพูดต่อ
“มีอะไรสงสัยไหม” ฮูหยินถาม
“มีเรื่องนึงครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องค่ายกล แต่ผมอยากรู้” พายุว่า
“ว่ามา” ฮูหยินพูดขึ้น
“เรื่องที่กังฟูเป็นลูกจางเหลียง ผมเป็นลูกช่างก่อสร้างเนี่ย นอกจากพวกอาจารย์ทั้งสี่แล้ว มีใครรู้เรื่องนี้อีกไหมครับ” พายุถาม
“ไม่มีแล้ว เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด” ฮูหยินบอก
“ลื้อถามทำไมเหรอ” เฮียเก้าสงสัย
พายุยิ้มเยือกเย็น
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ... เอาล่ะครับ ผมพร้อมจะฝึกค่ายกลแล้วครับ” เขาเอ่ย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นอย่าเสียเวลาเลย...มา” เฮียหลอว่า
“ตำแหน่งยืนห้าตำแหน่ง มีประตูเป็น ประตูหนี ประตูข่ม ประตูหลอก และประตูตาย ห้าประตูนี้ต้องมีคนประจำตำแหน่ง เข้าออกรุกถอยต้องทดแทนสลับกันห้ามผิดพลาด” เฮียเฉินจัดตำแหน่งการยืน เริ่มการฝึกซ้อม

อีกด้านหนึ่ง แท็กซี่วิ่งมาจอดที่โรงพยาบาล มาดามเหมยอิงกับสวยลงจากรถแล้วเข้าไปในโรงพยาบาล รถของเมฆาวิ่งมาจอดริมทาง เมฆาเป็นคนขับ ส่วนมิเชลนั่งข้างๆ
“หลินหลินรอดไปได้หลายครั้งแล้ว เราพลาดอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพ่อฉันอาจจะรู้เรื่องนี้ เราเดือดร้อนแน่ๆ” เมฆาเอ่ย
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก เด็กนั่นยังเป็นพยานเรื่องที่คุณฆ่าเจ้าสัวเพ้งด้วย มันคือจุดตายของเรา ฉันจะเก็บมันให้ได้” มิเชลว่า
“อย่าให้กระโตกกระตากนะ ต้องให้แนบเนียนด้วย ถ้าเกิดเหตุวุ่นวายกลายเป็นข่าวล่ะก็ เรื่องเข้าหูพ่อฉันแน่ “ เมฆาพูด
“ไม่ต้องห่วง ตอนอยู่ฮ่องกงฉันเคยทำเรื่องแบบนี้ให้อาจารย์หลายครั้งแล้ว” มิเชลรับคำก่อนลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาล

สวยติดต่อกับนางพยาบาลที่เคาเตอร์ แล้วเดินมาหามาดามเหมยอิง
“คุณหมอสุกิจให้พยาบาลติดต่อมาหาเราจริงๆค่ะ ไม่มีคนอื่นใครสวมรอยค่ะ แล้วก็มีคนป่วยเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ ด้วยค่ะ” สวยรายงาน
มาดามเหมยอิงอึ้งไป ดูตื่นเต้นมาก
“หมายความว่า หลินหลินยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เหรอเนี่ย ตอนนี้เขาอยู่ไหน เขาเป็นไงบ้าง เป็นอะไรมากมั้ย” มาดามเหมยอิงถามต่ออย่างตื่นเต้น
“ไม่รู้ค่ะ พยาบาลเค้าบอกให้รอแป๊บนึงค่ะ” สวยว่า
เหมยอิงหยิบยาดมออกมาสูดดม
“มาดามใจเย็นก่อนนะคะ มาดามดูตื่นเต้นมากเลย สวยกลัวมาดามหัวใจวายก่อนจะได้เจอคุณหนู” สวยเอ่ย
“ทะลึ่ง” มาดามเหมยอิงพูดแล้วผลักสวยออกไป สวยแอบหัวเราะ
มาดามเหมยอิงดูผ่อนคลายมากขึ้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ห่างออกไป มิเชลกำลังจับตามองมาที่เธออยู่

เมฆารออยู่สักพักก็ขับรถออกไป หลังจากรถเมฆาออกไปแล้ว สามล้อคันหนึ่งก็วิ่งมาจอดหน้าโรงพยาบาล กังฟูกับเมลดาลงจากรถ วิ่งเข้าไปในโรงพยาบาล

อีกด้านหนึ่ง อาเฟยกำลังรายงานผลให้จางซื่อฟัง
“ศพนั่นเป็นศพของสันต์ ลูกน้องคุณเมฆาครับ” อาเฟยเริ่มรายงาน
“มันเป็นอะไรตาย” จางซื่อถาม
“ถูกฆ่าด้วยวิทยายุทธ ไม่มีบาดแผลจากอาวุธ”
“ลื้อเห็นอะไรบ้าง”
“ร่องรอยการต่อสู้บนศพแบ่งได้สองช่วง ระยะห่างกันประมาณหนึ่งวัน ร่องรอยแรกมีเพียงรอยหมัด น่าจะเกิดจากการต่อสู้ พลังหมัดรุนแรง เข้าเป้า เกือบถึงขั้นฆ่าคนตายได้ในหมัดเดียว”
“สันต์เป็นมือขวาของเมฆา ย่อมต้องมีฝีมือเก่งกล้ากว่าคนธรรมดา จัดการกับคนระดับนี้ได้ในหมัดเดียว แปลว่าคนลงมือคนแรกต้องมีวิทยายุทธสูงพอสมควร เข้าขั้นยอดฝีมือคนหนึ่ง” จางซื่อเอ่ย
“ศิษย์ก็คิดเช่นนั้น แต่ร่องรอยมีน้อยเกินไป บอกไม่ได้ว่าเป็นใคร” อาเฟยพยักหน้าเห็นด้วย
“ต่อไป” จางซื่อพูดขึ้น
“บาดแผลชุดที่สองเข้าจุดชีวิตสองจุด ส่วนหมัดที่เหลืออีกสิบกว่าหมัดเป็นการชกมั่วซั่ว เน้นแรงไม่เน้นจุดคนลงมือคนคนแรกทำให้สันต์แค่บาดเจ็บ คนลงมือคนที่สองจึงเป็นฆาตกรที่ฆ่าสันต์”
“ในความเห็นเจ้า คนแรกกับคนที่สองเป็นคนเดียวกันหรือไม่” จางซื่อถามต่อ
“ไม่ใช่ ตำแหน่งที่โดนต่อยแสดงว่าเป็นการลงมือขณะต่อสู้กัน หมัดเดียวก็เห็นผล แปลว่าคนแรกมีนิสัยซื่อตรงเปิดเผย คนที่สองลอบทำร้าย จู่โจมไม่มียั้ง แสดงว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ โหดเหี้ยม” อาเฟยวิเคราะห์
“ดี...อาเฟย ลื้อวิเคราะห์ได้ดี ... คาดเดาได้หรือไม่ว่าใครคือฆาตกร” จางซื่อถามต่ออีก
“ศิษย์โง่เขลา คาดเดาไม่ได้” อาเฟยว่า
“ฉันจะบอกให้ ฆาตกรมีฝีมือสูงพอสมควรแปลว่าต้องไม่ใช่พวกปลายแถว มันลอบทำร้ายได้แปลว่าเป็นคนที่สันต์รู้จักจึงไม่ทันระวัง การฆ่าแบบนี้เป็นการฆ่าปิดปาก ไม่ใช่การวิวาทหรือขัดแย้ง ภารกิจล่าสุดของสันต์คือเก็บศพของติงลี่ที่อพาร์ตเม้นต์เมียน้อย แต่ตอนนี้ศพติงลี่หายไป คนสุดท้ายที่รู้ว่าศพติงลี่อยู่ที่ไหนคือสันต์” จางซื่อเฉลย
“ทำไมต้องฆ่าสันต์เพราะศพติงลี่” อาเฟยถาม
“ตรงกันข้าม มันฆ่าสันต์เพราะไม่มีศพติงลี่” จางซื่อว่า
“อาจารย์หมายความว่าอย่างไร”
“เพราะติงลี่ยังไม่ใช่ศพ ... ฉันคิดว่ามันยังไม่ตาย สันต์รู้เรื่องนี้จึงจะรายงาน แต่ก็ถูกฆ่าปิดปาก”
“คนที่รับหน้าที่ฆ่าติงลี่คือพายุ...มันมีคุณสมบัติตรงกับที่อาจารย์วิเคราะห์ทุกข้อเลยนี่เป็นการลงมือของพายุหรือครับ”
“เท่าที่สันนิษฐานในตอนนี้”
“ถ้าอย่างนั้น แล้วจอมยุทธคนแรกล่ะครับ มันสู้กับสันต์เรื่องอะไร แล้วทำไมมันไม่ฆ่าสันต์”
“เรื่องนี้ฉันไม่รู้”
อาเฟยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อาจารย์ เรื่องนี้ต้องบอกเมฆาหรือไม่”
“ไม่”
“อาจารย์ เมฆาเป็นลูกชายท่าน หากไม่รู้ความจริง อาจจะถูกพายุทรยศได้”
“เพราะมันเป็นลูกฉัน มันต้องเอาตัวรอดให้ได้ ฉันดีใจจริงๆที่มีคนแบบพายุ มันคือบททดสอบที่ดีที่สุดสำหรับเมฆา”
“แต่ว่าพายุทั้งเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยม ฝีมือสูง ลูกชายคนเดียวของอาจารย์อาจจะถูกเขาฆ่าได้”
“ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่ดีพอที่จะเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน ไม่ดีพอที่จะสืบทอดอสูรเทวา” จางซื่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าเยือกเย็น

อีกด้านหนึ่ง พยาบาลเดินนำมาดามเหมยอิงกับสวยมาตามทางเดิน
“ทางนี้ค่ะมาดาม”
มาดามเหมยอิงทั้งตื่นเต้น หวาดกลัว ใจคอไม่ดี เธอจับมือสวยแน่น เดินตามนางพยาบาลไปตามทางเดิน สวยเห็นมือมาดามจับแน่นจนขาวซีดเอ็นขึ้นเลยเอานิ้วจิ้มเอวเหมยอิง
“จั๊กจี๋” สวยทะเล้น
“อะไรของเธอ” เหมยอิงสะดุ้ง ตวาดเบาๆ
“ก็มาดามเครียดอีกแล้วนี่คะ” สวยว่า
มาดามเหมยอิงถอนหายใจเธอค้อนสวยแต่ก็ยิ้มออกมาได้นิดหนึ่งแล้วเดินตามนางพยาบาลไป เธอนำมาดามเหมยอิงกับสวยมาที่ห้องห้องหนึ่งแล้วเปิดประตูให้ มาดามเหมยอิงเดินตามเข้าไปก็เห็นบู๊ลิ้มนอนหลับอยู่บนโซฟา เห็นหลินหลินนอนหลับอยู่บนเตียง ก็ตาโต ปิดปาก ตัวสั่น เดินเข้ามาหาหลินหลินช้าๆ
“หลินหลิน ... หลินหลินจริงๆ ด้วย” มาดามเหมยอิงจับมือหลินหลินแน่น แล้วเอามือหลินหลินมาแนบแก้มของเธออยู่ครู่ใหญ่
สวยมองดูเหตุการณ์ เธอรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาคลอ
“เขาเป็นอะไรมากไหมคะ” มาดามเหมยอิงหันมาถามนางพยาบาล
“เดี๋ยวมาดามคุยกับคุณหมอแล้วกันนะคะ” พยาบาลว่า
มาดามเหมยอิงพยักหน้ารับรู้ เธอมองและลูบใบหน้าของหลินหลินแล้วยิ้มออกมา หันมองออกไปนอกหน้าต่าง มองบนฟ้า ยกมือไหว้
“ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิที่ดลบันดาลให้ฉันได้เจอหลินหลินอีกครั้ง ขอบคุณมากค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เหมยอิงกับสวยสะดุ้ง หันไปมองบู๊ลิ้ม บู๊ลิ้มละเมอเคี้ยวปากจั๊บๆ
“นี่ ตะเอง ตื่นสิ” สวยเข้ามาเคาะดีดพุงบู๊ลิ้ม
บู๊ลิ้มลืมตาตื่นขึ้น เจอมาดามเหมยอิงก็ตกใจ
“มาดาม…”
“สวัสดีจ้ะ...เพื่อนหลินหลินใช่ไหม” มาดามเหมยอิงทักทาย
“ถ้าจำไม่ผิด ชื่อบู๊ลิ้มใช่ไหม” สวยเอ่ย
“ครับ...เอ่อ...คือว่า....” บู๊ลิ้มอึกอัก
“ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรค่อยๆ เล่าก็ได้ ฉันไม่รีบ” มาดามเหมยอิงปลอบ

อีกมุมหนึ่งในโรงพยาบาล ประตูห้องเก็บของเปิดออก นางพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมา เป็นมิเชลนั่นเอง มิเชลมองเข้าไปในห้อง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมแต่ชุดชั้นในนอนสลบอยู่ มีผ้าคลุมร่างกาย
มิเชลปิดประตูแล้วเดินตรงไปตามทางเดิน เธอเดินผ่านห้องของหลินหลินก็เห็นเหมยอิง บู๊ลิ้ม สวย อยู่ในห้อง แต่เธอไม่สนใจและเดินต่อไป เลี้ยวเข้าไปในเนิร์สสเตชั่น มาที่ตู้ยา ตรวจดูรายชื่อยา แล้วเห็นหลอดยาที่ต้องการ
“เอ๊ะ คุณมาจากวอร์ดไหนคะเนี่ย…” นางพยาบาลหนึ่งเดินเข้ามาพอดี
“แวะมาเอาของน่ะค่ะ ช่วยดูหน่อยสิคะ พอดีไม่ได้ใส่แว่น” มิเชลหันมายิ้ม
พยาบาลเดินเข้ามา พาซื่อมองเข้าไปในตู้ มิเชลต่อยใส่จุดสลบจนนางพยาบาลร่วง มิเชลรีบรับร่างไว้ ลากเข้าไปในห้องน้ำ

หลินหลินนอนอยู่ในห้องพัก โดยมีสวยอยู่ด้วยคนเดียว สวยนั่งเซ็งๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เปิดทีวี เสียงทีวีดังขึ้นมา สวยตกใจ รีบกดลดวอลลุ่ม มองไปที่หลินหลิน หลินหลินยังนอนหลับอยู่ สวยโล่งอก เดินมายืนหน้าทีวี เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ
อ่านต่อหน้าที่ 2


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 10 (ต่อ)
มิเชลอยู่ที่ที่ตู้ยา ดูรายชื่อยาแล้วหลอดยาออกมาหลอดหนึ่ง หยิบไซริงค์ดูดยาออกมาจนเต็มหลอด เธอมองไซริงค์ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

มิเชลกำลังจะเดินออกไป พยาบาลกลุ่มหนึ่งสามคน เดินเข้ามาพอดี มิเชลรีบหลบเข้าไปในห้องน้ำ พยาบาลสามคนเดินเข้ามา
“เอ๊ะ แก้วอยู่ไหนนะ เมื่อกี้เห็นเดินเข้ามาในนี้นี่นา” พยาบาลคนหนึ่งเอ่ย
“สงสัยอยู่ในห้องน้ำมั้ง” พยาบาลอีกคนว่า
“แก้ว เสร็จแล้วตามไปนะจ๊ะ”
พยาบาลทั้งสามล้างอุปกรณ์ เตรียมอุปกรณ์โดยไม่รู้เลยว่า มิเชลอยู่ในห้องน้ำอย่างเยือกเย็น

ขณะนั้น มาดามเหมยอิงและบู๊ลิ้มกำลังคุยกับหมอ โดยมีนางพยาบาลอยู่ด้วย
“บู๊ลิ้มบอกว่าก่อนหน้านี้หลินหลินมีอาการความจำเสื่อม...คือเขาถูกทำร้ายแล้วก็มีเรื่องร้ายแรงมากๆ เกิดขึ้นกับเขาด้วย” มาดามเหมยอิงเริ่มเล่า
“ใช่ครับ แล้วนิสัยก็เปลี่ยนไปนิดนึง ดูห้าวๆ ชอบเตะบอล โผงผาง แต่ยังเป็นคนดีน่ารักอยู่เหมือนเดิม” บู๊ลิ้มว่า
“แล้วทำไมไม่รีบพาไปหาหมอรักษาอาการป่วยล่ะ” หมอถาม
“มันมีความจำเป็นบางอย่างน่ะครับ” บู๊ลิ้มตอบเพียงแค่นั้น
“เขาเล่าให้ฉันฟังแล้ว แต่บางเรื่องฉันเล่าให้หมอฟังไม่ได้ เอาเป็นว่าสนใจเรื่องอาการของหลินหลินก่อนดีกว่าค่ะ” มาดามเหมยอิงเอ่ย
หมอพยักหน้ารับรู้ หันไปผลซีทีสแกนในมอนิเตอร์
“ผลการสแกนทุกอย่างปกติดี แปลว่าถ้าหลินหลินเคยได้รับความกระทบกระเทือน ตอนนี้ร่างกายเธอก็เยียวยาตัวเองจนหายดีแล้ว” หมอรายงาน
“แล้วความจำหลินหลินจะกลับมาไหมครับ” บู๊ลิ้มถาม
“ตอบไม่ได้ครับ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจเธอด้วย” หมอว่า
“เมื่อกี้หมอบอกว่าตอนหลินหลินฟื้นขึ้นมา เธอจำหมอได้” มาดามเหมยอิงเอ่ย
“ครับ ถือเป็นสัญญาณที่ดี การที่เธอล้มหัวกระแทกวันนี้ อาจทำให้สมองกลับมาทำงานตามปกติ แต่ก็ไม่แน่ อาจจะเป็นแค่ช่วงสั้นหรือหายขาดเลยก็ได้ ผมอยากให้เราดูตอนเธอฟื้นก่อนดีกว่า” หมอบอก
“หลินหลินจะฟื้นเมื่อไหร่ครับ หมอให้ยานอนหลับเขาเหรอครับ” บู๊ลิ้มถาม
“เปล่าครับ เขาอ่อนเพลียเลยหลับไปเอง เดี๋ยวก็คงตื่นมั้งครับ” หมอตอบ
“งั้นเราไปดูหลินหลินกันเถอะครับ” บู๊ลิ้มเอ่ย
“ไปสิจ๊ะ” มาดามเหมยอิงรับคำ

นางพยาบาลทั้งสามคนทำธุระเสร็จ นางพยาบาลคนหนึ่งมองห้องน้ำ
“แก้ว เป็นอะไรรึเปล่า” นางพยาบาลคนหนึ่งเอะใจจึงเดินตรงไปที่ห้องน้ำ แต่พยาบาลอีกคนจับแขนไว้
“ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเขาก็ตามไปเองแหละ”
พยาบาลทั้งสามจึงเดินออกไป
สักครู่ประตูก็เปิดออก มิเชลเดินออกมา ปิดประตูห้องน้ำตามเดิม แล้วเดินออกไปจากห้อง

หมอ เหมยอิง บู๊ลิ้ม รอลิฟต์อยู่ตรงโถงลิฟท์ สักครู่ลิฟต์ก็ส่งสัญญาณเตือน ทั้งสามเดินมารอขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออก ในลิฟท์มีคนอยู่เยอะจึงเข้าไปไม่ได้ ทั้งสามรอลิฟท์ตัวใหม่ก่อนจะเข้าลิฟท์ไป

หลินหลินยังนอนหลับอยู่ในห้อง ส่วนสวยลากเก้าอี้ไปนั่งหน้าจอทีวีแล้วเปิดดูละครเสียงเบาๆ สวยอินกับละครมาก กำลังเคลิ้มบทเลิฟซีน
“อึ๊ย อร๊าย ว้าย เขิลไปหมดแล้ว ต๊ายตายๆๆๆ จุ๊บเลยๆๆๆๆ อะจึ๋ยๆๆๆ” สวยเอาเล็บจิกหมอนที่กอดอยู่
มีเสียงเคาะประตู
“ขออนุญาตนะคะ” มิเชลเอ่ย เป็นเธอนั่นเองที่เดินเข้ามา
สวยหันมองมิเชลภายในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีแล้วรีบหันไปดูละครต่อ
“เชิญค่ะ” สวยเอ่ย
มิเชลเดินผ่านสวยไปง่ายๆ ตรงมาที่เตียงที่หลินหลินนอนอยู่ มิเชลหันไปมองสวยที่มัวแต่จิกหมอนดูละคร ไม่สนใจเธอเลย
มิเชลจับแขนหลินหลินวางหงายลง หยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา กดปลายเข็มลงที่เส้นเลือดที่ข้อแขนของหลินหลิน
“ว้าย” สวยร้อง
มิเชลหันขวับมามอง ปรากฎว่าสวยไม่ได้ร้องเพราะมิเชลแต่เพราะอินกับละครมากไป
“อึ๋ยอะจึ๋ยอ๊าง” สวยร้องต่อ
มิเชลหันกลับมา กดปลายเข็มจะเดินยาเข้าเส้นเลือด หลินหลินลืมตาขึ้นมาเจอมิเชล มิเชลอึ้งไป หลินหลินมองมิเชล กระพริบตาปริบๆ แล้วก็ยิ้มให้
“ฉีดยาเหรอคะ” หลินหลินถาม
“เอ่อ...จ้ะ” มิเชลตอบงงๆ
“เจ็บไหมคะ” หลินหลินดึงแขนกลับ มิเชลจับแขนไว้
“ไม่ต้องกลัวหรอก พี่ฉีดเบาๆ จ้ะ สัญญา”
มิเชลกำลังจะฉีด หลินหลินก็เอ่ยขึ้น
“พี่นี่สวยจังเลยค่ะ โตขึ้นหนูอยากสวยแบบพี่จัง”
มิเชลรู้สึกคาใจ จึงยังไม่เดินยา
“เธอจำพี่ไม่ได้เหรอ” มิเชลเอ่ยถาม
หลินหลินส่ายหน้า
“เราเคยเจอกันเหรอคะ...หนูขอโทษนะคะ คือหนูเป็นโรคความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้”
“โรคความจำเสื่อมเหรอ”
หลินหลินพยักหน้า
“เธอชื่ออะไร”
“ชื่อหลินปิงค่ะ”
มิเชลหัวเราะ
“ชื่อยังกะหมีแพนด้า...ตอนนี้เธออยู่กับใครล่ะ”
“อยู่กับพี่สาวหนูค่ะ ชื่อหลินฮุ่ย”
มิเชลหูผึ่งทันที
“พี่สาวเหรอ...พี่สาวสวยเหมือนหนูมั้ยเอ่ย”
“หน้าตาเค้าไม่เหมือนหนูหรอกค่ะ เค้าสวยมากเลยค่ะ สวยพอๆ กับพี่เลย แต่พี่สาวหนูเขาเป็นนักมวย ต่อยมวยไทยเก่งอย่างนี้เลย”
มิเชลยิ้มเล็กน้อย แน่ใจว่าหมายถึงเมลดา เธอเริ่มดึงเข็มออกห่าง
“เหรอ แล้วพวกเธอสองพี่น้องพักอยู่ที่ไหนเหรอ”
“อยู่บ้านเช่าน่ะค่ะ”
“อยู่แถวไหนล่ะ”
“อืม บอกไม่ถูกค่ะ หนูจำชื่อถนนไม่ได้ แต่หนูเขียนแผนที่ได้นะคะ”
“จริงเหรอ เขียนให้ดูหน่อยได้มั้ย”
“ได้สิคะ...พี่ช่วยหยิบกระดาษกับดินสอให้หนูหน่อยสิคะ”
มิเชลวางเข็มฉีดยาลง หันไปหยิบกระดาษกับดินสอที่โต๊ะแถวนั้น
ตอนนั้นเอง ประตูห้องเปิดออก มาดามเหมยอิง หมอและบู๊ลิ้ม เดินเข้ามา
“เธอ…” มาดามเหมยอิงจำมิเชลได้ทันที
มิเชลกำหมัด แต่ในวินาทีนั้น หลินหลินที่อยู่ด้านหลังมิเชล ก็หยิบเข็มฉีดยาลุกพรวดมาปักที่ก้านคอมิเชล มิเชลร้องลั่นสะบัดแขน กระแทกหลินหลินไปชนกำแพง ไซริงค์หลุดจากมือ
มิเชลมองไป เห็นยาในไซริงค์เหลือครึ่งหนึ่ง มิเชลหน้าซีด หันขวับมองหลินหลิน
“ยัยเด็กเปรต” มิเชลเอ่ย
“แกฆ่าพ่อแม่ฉัน” หลินหลินว่า เธอกระโดดพุ่งเข้าใส่มิเชล มิเชลถีบหลินหลินออกไป
หมอออกไปนอกห้อง ตะโกนลั่น
“ยาม ... เรียกยาม”
มิเชลจะวิ่งออกไปนอกห้อง สวยวิ่งเข้ามาหา มิเชลถีบสวยออกไป มาดามเหมยอิงหยิบถาดแสตนเลสเขวี้ยงใส่ มิเชลหลบแล้วต่อยมาดามเหมยอิงจนทรุด บู๊ลิ้มวิ่งเข้ามากระโดดถีบ มิเชลเตะสวน บู๊ลิ้มกระเด็น หลินหลินพุ่งเข้ามาอีกที จิกกระชากผมมิเชล
“แกฆ่าพ่อแม่ฉัน” หลินหลินร้อง
มิเชลร้องลั่น กระชากหลินหลินมาเหวี่ยงออกไปนอกห้อง กระแทกพื้นทางเดินนอกห้อง พยาบาลนอกห้องร้องกรี๊ด มิเชลตามออกมา
“แก ตาย” มิเชลเกร็งฝ่ามือแล้วฟาดลงไป
ตอนนั้นเอง เมลดาโผล่มาเตะสวน มิเชลหลบไม่ทันจนกลิ้ง เมื่อหันมาก็เจอเมลดามากับกังฟู
มิเชลหอบแฮก สายตาของเธอที่มองมายังกังฟูกับเมลดาเริ่มเบลอๆ
กังฟูเข้าไปหาหลินหลิน
“หลินหลินเป็นไงบ้าง” กังฟูเอ่ย
มิเชลยืนขึ้น เดินขาไม่มั่น โงนเงนๆ แล้ววิ่งหนี เมลดาวิ่งตามไปทันที พลางบอกกังฟู
“นายเฝ้าหลินหลินไว้ เผื่อมีพวกมันอีก”
“ระวังตัวด้วยนะครับ” กังฟูบอก
มิเชลวิ่งออกไปทางบันไดหนีไปโดยมีเมลดาตามไป

มาดามเหมยอิงลุกขึ้นมาเมื่อหันมาเห็นกังฟูก็งตกใจ
“กังฟู” มาดามเหมยอิงอุทาน
“ครับ...คุณรู้จักผมด้วยเหรอครับ” กังฟูถาม
มาดามเหมยอิงอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
“มีอะไรรึเปล่าครับ” กังฟูถามต่อ
มาดามเหมยอิงยังคงพูดอะไรไม่ออก กังฟูงง

มิเชลวิ่งโซซัดโซเซออกมาจากทางออกบันไดหนีไฟ โดยมีเมลดาตามมาติดๆ เธอสะดุดหกล้มกลิ้ง ลุกขึ้นยืน แทบจะยืนตรงไม่ได้ แต่ยังแข็งใจ หันกลับมาตั้งท่ามองเมลดา ทั้งที่สายตาที่มองเมลดาพร่าเลือนไปมากแล้ว
“จะหนีไปไหน มิเชล ฉันรอเจอแกมานานแล้ว มาเคลียร์เรื่องเราดีกว่า คงไม่ลืมนะว่าแกทำอะไรไว้” เมลดาเอ่ย เธอตั้งท่า แล้วบุกเข้ามา มิเชลสวนออกไป แต่เปะปะมากจนโดนเมลดาถีบหงายหลั

“แกเป็นอะไร” เมลดาหยุดมองมิเชล
มิเชลลุกขึ้นมา
“เรื่องของฉัน” มิเชลว่า
“ไม่สบายเหรอ” เมลดาถามต่อ
“ไม่ต้องพูดมาก”
เมฆาขับรถมาจอดเอี๊ยด
“มิเชล มานี่เร็ว”
เมลดามองเมฆา แล้วหันกลับมามองมิเชล มิเชลตาลอย แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว
“เข้า...มา…” มิเชลพยายามพูด
เมลดาตั้งท่า กำหมัดแน่น เดินเข้าหามิเชล

วันใหม่ พนักงานรักษาความปลอดภัยมาอยู่หน้าห้องหลินหลินหลายคน ภายในห้องมีมาดามเหมยอิง สวย บู๊ลิ้ม หลินหลินและกังฟู
“ตอนนี้ที่นี่ปลอดภัยแล้ว ผมขอไปหาคุณเมก่อนนะครับ” กังฟูว่า
“รีบไปเถอะ อย่าให้เมเป็นอะไรไปนะ” มาดามเหมยอิงเอ่ย
กังฟูรับคำ แล้วรีบออกมาจากห้อง
หลินหลินกำหมัดแน่น
“ขอให้พี่เมเอาชนะมันให้ได้” หลินหลินว่า
“หลินหลิน ความจำเธอกลับมาแล้วใช่มั้ยเนี่ย” มาดามเหมยอิงถาม
“ค่ะ...แม่ใหญ่ ... หนูคิดถึงแม่ใหญ่” หลินหลินพูด แล้วกอดมาดามเหมยอิง ทั้งสองกอดกันร้องไห้
สวยกับบู๊ลิ้มยืนมอง น้ำตาคลอ ซาบซึ้งใจไปด้วย

ส่วนอีกด้านหนึ่ง กังฟูวิ่งออกมาหาเมลดา
“คุณเม...คุณเม…” กังฟูร้องเรียก
กังฟูเห็นเมลดายืนอยู่คนเดียว เหม่อมองไกลออกไป กังฟูวิ่งไปหา
“คุณเม”
เมลดาหันมามองกังฟูแวบหนึ่ง
“ฉันปลอดภัยดี” เมลดาเอ่ย
“มิเชลล่ะ”
“ไปแล้ว”
“คุณแพ้เขาเหรอ”
“เปล่า เขาบาดเจ็บอยู่ เราเลยไม่ได้สู้กัน”
กังฟูงง
“ฉันแค้นเขามาก ฉันอยากฆ่าเขาด้วยมือของฉันเอง แต่พอเห็นสภาพเขาเป็นแบบนั้นแล้ว ฉันทำเขาไม่ลง ฉันเลยปล่อยให้เขาหนีไป”
ภาพระหว่างเมลดากับมิเชลในตอนนั้นผุดขึ้นมา ขณะนั้น เมลดาเดินเข้ามาหามิเชลด้วยดวงตาสับสน ส่วนมิเชลยืนเซไปเซมา
เมลดาตั้งท่า แล้วเตะเปรี้ยง แต่ข้อเท้าหยุดอยู่ห่างจากก้านคอมิเชลเพียงนิดเดียว มิเชลได้แต่ยืนเฉย ทั้งสองมองหน้ากัน ค้างอยู่ในท่านั้น ลมพัดกรูผ่านมาแต่ไม่มีใครขยับ เมลดาเอาขาลง
“ไปซะ” เมลดาเอ่ย
มิเชลงง
“ฉันจะรอจนกว่าเธอจะหายดี แล้วเรามาสู้กันอีกครั้ง”
มิเชลพยักหน้าให้เมลดา
“ได้...ฉันจะสู้กับเธอ”
มิเชลหันหลัง เดินเซไปเซมา เมฆารีบวิ่งออกมาจากรถ ประคองมิเชลไปขึ้นรถ มิเชลขึ้นมาบนรถ มองเมลดาที่มองมาที่เธอ
เมฆาขับรถออกไป สองสาวยังคงจ้องกันจนลับสายตา
กลับมาที่ปัจจุบัน เมลดาเล่าเรื่องต่อ
”ฉันก็ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า แต่ฉันสู้กับเขาในสภาพแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ฉันอยากแก้แค้นให้พ่อ แต่ฉันทำเขาไม่ลง” เมลดาเอ่ย
“ผมว่าคุณทำถูกแล้วครับ พ่อคุณสอนคุณให้เป็นนักสู้ ไม่ได้สอนให้คุณเป็นอันธพาล” กังฟูว่า
“คงเป็นอย่างที่นายพูด ... ฉันจะล้มมิเชลในแบบที่พ่อสอนฉัน”
“นับถือ” กังฟูประสานมือแบบจอมยุทธ
“เล่นมุขอะไรรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่าครับ นับถือจริงๆครับ หัวใจคุณเมยิ่งใหญ่มาก นับถือๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งสองยิ้ม จับมือกัน เดินกลับเข้าไปในตัวโรงพยาบาล

ตกกลางคืน รถของเมฆาจอดอยู่ด้านหน้าคลินิกห้องแถวแห่งหนึ่ง ส่วนห้องข้างๆ ปิดไฟมืดหมดแล้ว มิเชลนอนหน้าซีด ให้น้ำเกลืออยู่ หมอถอดถุงมือล้างมือ
“ขอบคุณมากหมอที่ช่วย” เมฆาเอ่ย
“ไม่เป็นไร คุณเคยช่วยผม เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่” หมอว่า
“แล้วมิเชลเป็นยังไงบ้าง” เมฆาถาม
“ถ้าคุณพาเธอมาช้ากว่านี้ เธอตายแน่ๆ แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” หมอรายงานผลการรักษา
“ฉันจะหายเป็นปกติเมื่อไหร่” มิเชลเอ่ยถาม
“อีก 2-3 วัน ออกจากคลินิกผมไปก็ไปหาที่นอนพักซะ ถ้าออกแรงอาจจะตายได้เข้าใจไหม” หมอพูดก่อนจะเดินออกไป
เมฆาเดินมาหามิเชล
“ขอโทษนะเมฆา ฉันพลาดอีกแล้ว พลาดอย่างใหญ่หลวงด้วย นอกจากฉันจะฆ่ายัยเด็กนั่นไม่ได้แล้ว ฉันยังเกือบถูกมันฆ่าด้วยซ้ำ ฉันผิดหวังตัวเองจริงๆ ฉันใช้การไม่ได้เลย”
“ช่างมันเถอะ” เมฆาตอบสั้นๆ
“คราวนี้อาจารย์คงต้องรู้เรื่องแน่ๆ” มิเชลว่า
เมฆาถอนหายใจ สีหน้ากังวล
“ใช่”
“คุณไม่ต้องห่วง ฉันจะรับผิดชอบเอง ฉันจะบอกอาจารย์ว่าฉันโกหกคุณอีกที”
“ไม่ต้อง ผมไม่ใช่คนหน้าตัวเมียขนาดนั้น คุณอย่าเพิ่งพูดอะไรมาก ไม่ต้องคิดเรื่องพ่อผมหรือเรื่องผม ตอนนี้อันดับแรกคือคุณต้องพักรักษาตัวให้แข็งแรงเป็นปกติให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม” มิเชลพยักหน้า เธอจับมือเมฆา น้ำตาไหล

มาดามเหมยอิง สวย หลินหลิน กังฟู เมลดา และบู๊ลิ้ม นั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“ความจำหนูกลับมาตั้งแต่ตอนที่ฟื้นที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ แต่ตอนเจอมิเชลหนูแกล้งทำเป็นจำเขาไม่ได้ เพราะไม่งั้นเขาต้องฆ่าหนูตายแน่ๆ” หลินหลินเล่า
“เก่งมากหลินหลิน” มาดามเหมยอิงเอ่ยชม ก่อนหันมาพูดกับเมลดา
"หนูเม ฉันต้องขอบใจเธอมากเลยนะ ที่ดูแลหลินหลินตลอดมา เธอคงลำบากแย่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มาดามอย่าคิดมากเลยค่ะ”
มาดามเหมยอิงหันมาทางบู๊ลิ้ม
“ขอบใจเธอด้วยนะบู๊ลิ้ม จอมยุทธน้อย”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อหลินหลิน เรื่องเล็กครับ”
บู๊ลิ้มยิ้มให้หลินหลิน หลินหลินยิ้มรับอายๆ มาดามเหมยอิงหันมาหากังฟู
“ขอบใจเธอด้วยกังฟู สำหรับทุกอย่างที่เธอทำเพื่อหลินหลิน”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ทำสิ่งที่ต้องทำน่ะครับ”
“เธอรู้มั้ยเธอพูดจาเหมือนใคร”
“เหมือนใครเหรอครับ”
มาดามเหมยอิงถอนใจ
“เหมือนพ่อของเธอ”
“พ่อผม...คุณรู้จักพ่อของผมเหรอ”
มาดามเหมยอิงพยักหน้า
“พ่อของเธอ...คือพี่ชายของฉัน”
ทุกคนตกใจเพราะคาดไม่ถึง

อีกด้านหนึ่ง ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียหลอ เก้า และพายุ กำลังตั้งท่า ประจำจุดค่ายกล
“ค่ายกลดอกเหมยลงมือ” ฮูหยินเอ่ย
ทั้งห้าคนลงมือซักซ้อมค่ายกล ดูสวยงาม อันตราย

เมื่อทั้งห้าคนซ้อมค่ายกลเสร็จแล้ว ก็นั่งพักจิบน้ำชากับขนมจันอับกัน
“ค่ายกลดอกเหมยของพวกเราร้ายกาจจริงๆ เพิ่งซ้อมกันไม่กี่ครั้งแต่ลงมือสอดคล้องประสานกันเหมือนฝึกกันมาเป็นสิบปี” ฮูหยินเอ่ย
เฮียหลอชี้หน้าพายุ
“ลื้อร้ายกาจมากพายุ ลื้อยังหนุ่มอายุยังน้อย แต่ฝีมือกลับสูงส่ง ไม่เป็นรองพวกเรา ไม่เป็นจุดอ่อนของค่ายกลเลย”
“นี่ถ้าตอนอยู่ฮ่องกง มีลื้ออยู่ด้วย พวกเราไม่ต้องกลัวจางเหลียงหรอก ชนกับมันไปเลย” เฮียเก้าว่า
“พวกอาจารย์ชมเชยศิษย์เกินไปแล้ว” พายุเอ่ย
เฮียเฉินมองพายุ สายตาแสดงความชื่นชม
“นึกไม่ถึงจริงๆ เด็กตัวกะเปี๊ยกขี้มูกโป่งเมื่อยี่สิบก่อน โตขึ้นจะเป็นหนุ่มหล่อเก่งกล้าได้ขนาดนี้ อั๊วชื่นใจจริงๆ” เฮียเฉินพูดขึ้น
“อั๊วก็ภูมิใจในตัวลื้อ” เฮียเก้าว่า
“ลื้อไม่ทำให้พวกเราผิดหวังจริงๆ” เฮียหลอเอ่ย
“ลูกรักของอั๊ว” ฮูหยินยิ้มแป้น ท่าทางมีความสุขมาก
พายุลุกขึ้น คุกเข่าต่อหน้าอาจารย์ทั้งสี่
“อาจารย์ทั้งสี่เปรียบเหมือนพ่อแม่บังเกิดเกล้า ศิษย์มีหน้าที่ต้องกตัญญูต่อพวกท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เรื่องแค่นี้อาจารย์ไม่ต้องชมเชยศิษย์ เพื่ออาจารย์ แม้ศิษย์ต้องบุกน้ำลุยไฟถูกสับเป็นหมื่นชิ้น ศิษย์ก็ยินดีทำ ไม่ต้องการคำชมเชยจากอาจารย์”
“เออ ไม่ชมก็ได้วะ ทุกคนตามอั๊วมานี่” เฮียเฉินเรียกทุกคน แล้วเดินออกไป
ทุกคนตามไปงงๆ

ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า และพายุ จุดธูปกันที่หน้าโรงงิ้ว
“พวกเราศิษย์อาจารย์ เกิดไม่พร้อมกัน แต่ขอปฏิญาณจะตายพร้อมกัน เพื่อทำลายล้างจอมมาร เสียสละชีวิตส่วนตัวเพื่อส่วนรวม” เฮียเฉินเอ่ยนำ
“ตายพร้อมกัน เพื่อทำลายล้างจอมมาร เสียสละชีวิตส่วนตัวเพื่อส่วนรวม” ทั้งสี่คนที่เหลือกล่าวตาม
ทั้งห้าปักธูปลงตรงธรณีประตู
“เราใช้ชื่อเจ็ดผู้กล้ามานานเกินไปแล้ว ไร้สาระมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องประกาศให้โลกรู้ว่าครั้งนี้เราเอาจริง”
เฮียเฉินมองขึ้นไปบนป้าย กระโดดขึ้นไป สะบัดกระบี่ ปาดป้ายชื่อควับๆๆๆ แล้วลงมา
ที่ป้ายชื่อ เจ็ดผู้กล้าคุณธรรม ตรงเลขเจ็ดของภาษาจีน ถูกคมกระบี่ขีดเส้นเพิ่มให้กลายเป็นเลขห้า
ฮูหยิน เฮียหลอ เก้า พายุ มองขึ้นไปบนป้ายแล้วยิ้มพอใจกันทุกคน

“ห้าผู้กล้าคุณธรรม...เยี่ยมมาก เป็นชื่อที่เยี่ยมมาก” เฮียหลอเอ่ย
“พวกเราห้าคน ขอพิชิตจางซื่อให้ได้” เฮียเก้าว่า
“ได้ร่วมสู้กับพวกอาจารย์ ศิษย์แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต” พายุพูด
“พูดได้ดีพายุ พูดได้ดี” ฮูหยินน้ำตาคลอ กอดพายุ
พายุจับมือฮูหยิน
อ่านต่อหน้าที่ 3


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 10 (ต่อ)
บริเวณทางเดินเลียบแม่น้ำยามดึกที่คนไม่ค่อยมี เหมยอิงกับกังฟูนั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งริมแม่น้ำ

“ชื่อของเธอคือจางฟุ” เหมยอิงทวน
“จางฟุ” กังฟูบอก
“พ่อของเธอชื่อจางเหลียง...รู้จักกันในนามจอมมารจางเหลียง” เหมยอิงบอก
“จอมมาร? ทำไมครับ”
“เขาเป็นจอมยุทธอัจฉริยะ ไม่ใครสู้เขาได้ เขาตั้งใจจะรวมยุทธภพให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อลดความขัดแย้ง แต่ถ้ามีคนไม่เห็นด้วยก็จะโดนเขาปราบจนสิ้นซาก จนเลือดนองทั่วยุทธภพผู้คนจึงเรียกเขาเป็นจอมมาร”
“ทำไมเขาโหดร้ายแบบนี้”
“เขาบอกว่าจะทำการใหญ่ ต้องไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย แต่พอแม่ของเธอตั้งครรภ์ เขาก็เปลี่ยนไป ตั้งใจจะเปลี่ยนวิธีการ ใช้อ่อนสยบแข็ง ใช้อหิงสาเป็นอาวุธ แต่ยังไม่ทันได้ทำตามความคิดก็ถูกพวกเดียวกันหักหลัง พ่อกับแม่เธอตาย ส่วนฉันพาเธอหนีมาเมืองไทยคนที่ฉันรู้จักและไว้ใจได้ก็มีแต่เฮียเฉิน แล้วก็โชคดีที่เขารับอุปการะเธอ”
“พวกอาจารย์รับผมทั้งๆที่รู้ว่าเป็นลูกจอมมารอย่างนั้นน่ะเหรอครับ”
เหมยอิงพยักหน้า
“ต่อมาฉันแต่งงานกับพ่อหลินหลิน ฉันเป็นห่วงเธอแต่ก็กลัวพวกอสูรเทวาตามมารังควานนานๆจึงแอบมาดูความเป็นไปของเธอเป็นระยะๆ ... ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเธอ ยิ่งเห็นเธอโตขึ้นเป็นผู้ชายแบบที่ฉันต้องการ ฉันยิ่งดีใจ”

ภาพในอดีตตามคำเล่าของเหมยอิงผุดขึ้นมา
ดช.กังฟูใส่รองเท้าแตะวิ่งเล่นออกมาจากโรงงิ้ว
เสียงฮูหยินดังตามหลัง “กังฟู รีบไปรีบกลับอย่าเถลไถลนะ”
“ครับ”
เหมยอิงแอบดูอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม เธอมองกังฟูไม่วางตา
“เหมือนพ่อเลย...พี่จางซื่อ พี่เห็นมั้ยน นั่นไงกังฟู ลูกชายของพี่”
ดช.กังฟูเห็นลูกบอลลูกหนึ่งกลิ้งมา เขาวิ่งง้างเท้าเข้าไปหา สีหน้าแววตาของ ดช.กังฟูเต็มไปด้วยความร่าเริงและเชื่อมั่น

เวลาผ่านไป กังฟูกลายเป็นหนุ่มนักศึกษาเดินออกมาจากโรงงิ้ว เหมยอิงแอบดูอยู่ฝั่งตรงข้าม กังฟูเห็นลูกบอลลูกหนึ่งกลิ้งมาก็ง้างเท้าเข้าไปหา สีหน้าแววตาของกังฟูดูร่าเริงและเชื่อมั่น

หลังจากนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เหมยอิงก็ยิ้มอย่างมีความสุข กังฟูยิ้มเขินๆ
“ที่แท้คุณก็มาแอบดูผมตลอด ช่วงนั้นผมก็ดูดีจริงๆแหละครับ ใครๆก็ชมว่าสง่าผ่าเผย”
“เปล่า ฉันดีใจเพราะเธอไม่ได้เรื่องเลยต่างหาก ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

ภาพในอดีต ดช.กังฟูง้างเท้าเตะเปรี้ยงแต่กลับเตะขุดดินจึ้กทำให้ลูกบอลอยู่นิ่ง กังฟูร้องจ๊ากแล้วกุมเท้าที่เลือดไหลแดงฉาน เหมยอิงที่แอบดูอยู่ตกใจแต่แล้วก็ยิ้มและหัวเราะเล็กน้อย
“พี่จางซื่อ ลูกชายพี่...ซีปังโต้ว ซื่อบื้อจริงๆ ฮิๆ”

ภาพตอนที่กังฟูเป้นนักศึกษา เขาง้างเท้าเตะเปรี้ยงแต่จั่วลมวืด กังฟูเสียหลักก้นกระแทกพื้น เหมยอิงที่แอบดูอยู่ขำก๊ากแต่ก็ต้องปิดปากและพยายามกลั้นหัวเราะ

เหมยอิงดูกังฟูด้วยแววตามีความเอ็นดู
“เธอซุ่มซ่าม เฟอะฟะ ไม่มีวี่แววของจอมยุทธเลย”
กังฟูรู้สึกเหมือนโดนสะกิดแผลเก่า เขาพูดด้วยความน้อยใจ
“ที่ผมเป็นอย่างนี้เพราะพวกอาจารย์ไม่มีใครสอนกังฟูให้ผมเลยครับ แม้แต่ขั้นพื้นฐานก็ไม่สอนให้”
“ดีแล้วล่ะ ไม่มีใครอยากให้มีจอมมารจางเหลียงคนที่สองหรอก” เหมยอิงว่า
“ถึงพ่อผมจะเป็นยังไงแต่ผมไม่ใช่พ่อ ที่ผ่านมาพวกอาจารย์ก็เลี้ยงดูผมให้ผมโตเป็นคนดี”
“เธอเป็นคนดีก็ดีแล้ว วรยุทธไม่จำเป็นสำหรับคนดีหรอก”
กังฟูเดือดขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ผมอยากเป็นจอมยุทธที่พิทักษ์คุณธรรม ถ้าผมได้ฝึกวิทยายุทธตั้งแต่แรก วันนี้ผมอาจจะเอาชนะจางซื่อก็ได้ เอาชนะมิเชลก็ได้ แล้วทุกคนรวมทั้งคุณก็จะไม่มีใครต้องเดือดร้อน”
“ฉันรู้ว่าเธออยากเป็นวีรบุรุษ จางเหลียงพ่อของเธอก็เริ่มต้นด้วยความคิดที่ดีงามแบบนี้รวบรวมทุกสำนักเป็นหนึ่งเดียว ขจัดความแตกแยก แต่สุดท้ายเขาก็เป็นจอมมารของบู๊ลิ้ม”
“ทำไมทุกคนถึงเอาความดีเลวของพ่อมากำหนดความดีเลวของผม ผมกับพ่อไม่ใช่คนคนเดียวกัน”
“ใจเย็นก่อน จางฟุ” เหมยอิงเตือน
“ผมไม่ใช่จางฟุ ผมชื่อกังฟู”
กังฟูลุกเดินออกไป
“จางฟุ”
กังฟูไม่สนใจ เขาเดินดุ่มจากไปทันที

บริเวณโป๊ะท่าเรือมีเพียงกังฟูนั่งอยู่เพียงลำพัง เขามองแม่น้ำที่เวิ้งว้าง ใครสักคนเดินตามลงมา กังฟูหันมาเห็นว่าเป็นเมลดา
“คุณเม...”
เมลดามานั่งข้างๆเขา
“มาดามเล่าเรื่องให้ฉันฟังแล้ว ท่านร้อนใจมากเลยนะที่นายเข้าใจอะไรผิดๆแล้วเป็นแบบนี้เนี่ย”
กังฟูถอนใจ
“จะให้ผมรู้คิดยังไงล่ะครับ ผมสงสัยมาตลอดเลยว่าทำไมอาจารย์แม่ถึงได้บึ้งตึงเย็นชากับผม ที่แท้ที่ท่านเลี้ยงดูผมก็ด้วยความจำใจ กลัวว่าถ้าผมไปโตที่อื่นผมจะกลายเป็นจางเหลียง”
“ตั้งสติหน่อยกังฟู คิดดูดีๆ ที่นายพูดน่ะมันใช่รึเปล่า”
“ทำไมจะไม่ใช่ บารมีจอมมารจางเหลียงมันคงทำให้ทุกคนเกรงกลัวจนตัวสั่น กลัวแม้กระทั่งเด็กแบเบาะที่1เป็นลูกของจางเหลียง อาจารย์แม่เลี้ยงผมมาด้วยความกลัว ไม่ใช่ความรัก”
“กังฟู นายอย่าฟูมฟายนักสิ”
“ผมไม่เถียง ผมฟูมฟาย แต่ก็เพราะผมรักและเคารพพวกอาจารย์เหมือนพ่อแม่ผมจริงๆ”
“พวกท่านก็รักนาย ถ้าไม่อย่างนั้นนายจะไม่โตมาแบบนี้เหรอก ถ้าท่านกลัวนายจะเป็นจอมมาร เอาง่ายๆก็แค่หักแขนหักขานาย นายก็เป็นจอมมารไม่ได้แล้ว แต่นี่ท่านเลี้ยงดูนายเป็นอย่างดี จะบอกว่าท่านไม่รักนายได้ยังไง”
กังฟูอึ้งไป
“แต่...ท่านไม่ยอมสอนวิทยายุทธให้ผมเลย...ห้ามเด็ดขาด...ทั้งๆที่ผมอยากฝึกวิทยายุทธใจแทบขาด เมื่อก่อนไม่รู้เหตุผลก็เดาไปเองเรื่อยเปื่อย แต่พอรู้เหตุผล ผมน้อยใจมาก พวกท่านเลี้ยงผมมากับมือ ทำไมไม่เชื่อว่าผมจะเป็นคนดีตามที่ท่านสอนสั่ง”
“กังฟู นายลองมองเรื่องนี้จากมุมของพวกท่านดูนะ...ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าโตขึ้นมานายจะเป็นคนดี คนบางคนมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนอบรมแต่โตมาก็เป็นอาชญากรใจบาป คนบางคนโตมาท่ามกลางสังคมแก่งแย่งชิงดีแต่กลับเป็นคนดีมีธรรมะ เราไม่รู้ซึ้งถึงจิตใจคน ถ้าเขาสอนวิทยายุทธให้นาย แล้วนายเอาไปสร้างความเดือดร้อน เขาจะรู้สึกผิดแค่ไหน”
“แต่พวกเขาเลี้ยงดูผมมา เขาดูไม่ออกเลยเหรอว่าผมเป็นคนยังไง เขาไม่เชื่อใจในตัวผมเลย”
“แต่ตอนนี้นายก็มีวิทยายุทธแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่นายจะพิสูจน์ให้พวกท่านเห็นว่านายเป็นคนยังไง”
กังฟูฉุกใจคิดเพราะเห็นด้วยกับเมลดา
“จริงของคุณ...ผมจะสู้กับพวกจางซื่อ ผมจะแสดงให้พวกอาจารย์เห็นว่าผมคือกังฟู ลูกของพวกท่าน ไม่ใช่ทายาทจอมมารของจางเหลียง”
เมลดายิ้มให้ กังฟูยิ้มตอบ

กังฟู เมลดา และหลินหลินพาเหมยอิงกับสวยมาที่บ้านเฮียป้อ
“เมว่ามาดามกับสวยมาพักกับเมก่อนดีกว่าค่ะ ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วพวกจางซื่อต้องหาทางเก็บหลินหลินให้ได้ เพราะหลินหลินเป็นพยานที่เล่นงานเมฆาได้ มาดามกับสวยก็พลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย เพราะรู้ว่าหลินหลินอยู่ที่ไหน”
“เรื่องนี้ฉันเข้าใจดี คนอย่างจางซื่อไม่มีเรื่องไหนทำไม่ได้หรอก ไม่ว่ามันจะชั่วช้าแค่ไหนก็ตาม” เหมยอิงว่า
“แปลว่าเรากลับบ้านไม่ได้เหรอคะ” สวยถาม
“ยังไม่ใช่เวลานี้” เหมยอิงบอก
กังฟูเดินนำเข้าไปในบ้านจนเจอกับเฮียป้อ
“หวัดดีครับเฮียป้อ”
“หวัดดีกังฟู พาใครมาด้วยอ่ะเนี่ย” เฮียป้อถาม
“สองคนนี้เขาจะมาอยู่กับหลินฮุ่ยกับหลินปิงน่ะ”
“คนนี้ชื่อสวย นี่มาดามเหมยอิงค่ะ”
เฮียป้อยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ ยินดีที่รู้จักครับ เรียกผมอาป้อก็แล้วกันนะครับ”
“ค่ะ ขอรบกวนหน่อยนะคะ” เหมยอิงว่า
“อย่าพูดอย่างนั้นครับ ไม่รบกวนหรอกครับ มีคนมาอยู่เยอะๆก็ดีครับ จะได้เป็นเพื่อนคุยกัน ไม่เหงา”
“ยินดีค่ะ”
เหมยอิงกับเฮียป้อยิ้มให้กัน เสียงกระแอมเสียงดังลั่นจนทุกคนตกใจ ทุกคนหันไปเจอเจ๊ยี้จ้องมาที่เหมยอิงด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่าน เจ๊ยี้กระแอมอีกทีแล้วตามมาด้วยขู่คำรามในลำคอเสียงต่ำๆเหมือนแมวตอนจะกัดกัน
“อายี้ เป็นอะไร มีเสมหะติดคอเหรอ” เฮียป้อถาม
“ไม่มีหรอก คออั๊วไม่มีเสมหะ แต่มันกำลังจะมีก้าง...มีก้างมาขวางคอ ...ก้างแก่ๆเหี่ยวๆ” เจ๊ยี้ว่า
เจ๊ยี้จ้องหน้าเหมยอิงไม่วางตา
“เจ๊ยี้ อั๊วขอแนะนำน้า คนนี้คือสวย คนนี้คือเหมยอิง แล้วนี่เจ๊ยี้” กังฟูแนะนำ
“สวัสดีค่ะ” เหมยอิงทักทาย
“สวัสดี ลื้อมีผัวรึยัง” เจ๊ยี้ยิงคำถาม
เหมยอิงสะอึกแต่ยังตอบตามมารยาท
“เคยมี แต่สามีฉันเสียไปแล้วค่ะ”
“อ้อ แต่แถวนี้ไม่มีสามีใหม่ให้ใครนะคะ” เจ๊ยี้บอก
“เอ๊ะ คุณยี้พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ”
“เป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าค่ะ จะมาอ้างทีหลังว่าไม่รู้ ไม่เห็นมีป้ายแขวน หรือสมบัติผลัดกันชม ไม่ได้นะคะ ถึงตายค่ะ ขอบอก”
เหมยอิงขมวดคิ้วแต่ไม่โต้ตอบ สวยเข้ามายืนข้างหน้าเหมยอิง
“แหม กลัวจังเลย นี่ สติยังดีอยู่หรือเปล่าคะเนี่ย ขู่ซะยิ่งกว่าหมาหวงก้างอีก เฮียป้อกับมาดามเขาคุยกันดีๆตามมารยาทไม่เห็นมีอะไร ไม่ต้องออกตัวแรงขนาดนี้หรอกยิ่งขู่แบบนี้น่ะ คนอื่นเขารู้หมดว่าเธอกำลังอดอยากปากแห้งแต่ไม่ได้กินอะไรเลย”
“อี...แกว่าใครอดอยากปากแห้ง หา ยัยคนใช้”
สวยจ้องหน้าเจ๊ยี้แล้วทำท่าจะบุกตบแต่แล้วเปลี่ยนใจ สวยปลดไหล่เสื้อข้างหนึ่งก่อนจะเดินยักย้ายมาหาเฮียป้อพร้อมทั้งเอามือลูบไล้ใบหน้าเฮียป้อ
“คนอะไรเนี่ยหล่อจังเลย...อยากได้อ่ะ”
เฮียป้อกลืนน้ำลายเอื๊อก เจ๊ยี้ร้องกรี๊ดแล้วบุกเข้ามา สวยรออยู่แล้วจึงตั้งท่า กังฟูกับเมลดาต้องรีบเข้ามาแยก
“สวย พอเถอะ ถอยมา”
“เจ๊ยี้ อย่าทำแบบนี้เลยครับ หมดสวยเลยนะครับ”
เจ๊ยี้สะดุ้งเพราะได้สติ เธอมองเฮียป้อแว่บหนึ่งแล้วรีบยืนสงบเสงี่ยม
“เอ่อ คุณแม่คะ พี่สวย หนูทั้งเหนื่อยทั้งง่วงเลย ขึ้นไปนอนกันเถอะค่ะ” หลินหลินบอก
“จริงซีนะ ดึกมากแล้วนะเนี่ย ไปเถอะ” เหมยอิงว่า
เหมยอิง เมลดา สวย และหลินหลินเดินขึ้นไปบนห้องพัก เจ๊ยี้กับสวยยังจ้องตากันแบบไม่ถูกชะตา

เมลดา สวย หลินหลิน และเหมยอิงช่วยกันจัดห้องใหม่ให้กลายเป็นที่อยู่ของคนสี่คน
“มาดามคะ ห้องอาจจะคับแคบแล้วก็สกปรกไปบ้าง มาดามอาจจะอยู่ลำบากสักหน่อย แต่ว่า...”
เหมยอิงยกมือปรามเมลดาแล้วพูด
“โบราณว่าไว้นอนบนพื้นในกระท่อมที่มีเพื่อนยังสบายใจกว่านอนบนฟูกในวังที่มีศัตรู ... เธออย่าคิดว่าฉันเป็นมาดามแล้วทุกอย่างต้องเลิศหรู เมื่อก่อนฉันเคยใช้ชีวิตแบบนี้ วันนี้ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เมลดาบอก
“สวยง้วงง่วง ขอนอนก่อนนะคะ”
สวยพูดจบก็ล้มตัวลงนอนข้างหลินหลินที่หลับไปก่อนแล้ว
“หวังว่าจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้เร็วๆ ฉันสงสารหลินหลิน” เหมยอิงบอก
“หลินหลินเป็นเด็กเข้มแข็งกว่าที่เราคิดค่ะ” เมลดาบอก
“ย้อนนึกถึงตอนที่เห็นเขาเล่นงานมิเชล ฉันยังไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง นึกว่าฝันไป...เธอพูดถูก เขาเข้มแข็งกว่าที่เราคิด”
เมลดายิ้มให้ เฮียป้อเคาะประตูที่เปิดอยู่เบาๆ เหมยอิงกับเมลดาหันไปมอง เฮียป้อยิ้มแหยๆ


เฮียป้อนั่งคุยกับเหมยอิง
“ผมต้องขอโทษมาดามด้วยครับ เรื่องเจ๊ยี้นะครับ” เฮียป้อบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้อ ชีวิตฉันตอนนี้มีที่ซุกหัวนอนก็ถือว่าบุญแล้ว เรื่องอื่นๆยังไงก็ได้” เหมยอิงว่า
“ถึงมาดามจะหนีร้อนมาพึ่งเย็นหรือมาเที่ยวเล่นแก้กลุ้ม ผมก็ต้องต้อนรับมาดามในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ไม่ควรปล่อยให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”
“แล้วคุณยี้ล่ะค่ะ” เหมยอิงถาม
“เขากลับไปแล้วครับ”
“ท่าทางคุณยี้เขาจะรักคุณป้อมากนะคะ”
“ใช่ครับ แต่ผมเป็นผู้ชายหัวโบราณ ความรักที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายบุกเนี่ย ผมทำตัวไม่ค่อยถูก”
“แล้วคุณป้อรักเขารึเปล่าล่ะคะ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมกับเขาสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก...ในความเห็นผม ความรักควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เราไม่ควรไปกำหนดกะเกณฑ์มัน ถ้าจะมีมันก็มีของมันเอง”
“ฉันเห็นด้วยค่ะ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน

ฮูหยินเรียกเมลดามาคุยด้วย
“ตอนนี้ที่โรงงิ้วมีเรื่องวุ่นวายมากมาย แต่ฉันเล่ารายละเอียดให้เธอฟังไม่ได้ เอาเป็นว่างิ้วเรื่องใหม่คงต้องเลื่อนไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด ถ้าเธอไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องเข้ามาที่นี่อีก อาจจะเกิดอันตรายกับเธอได้ ไว้พอจบเรื่องแล้วฉันจะติดต่อไปหาเธอเอง”
“อาจารย์แม่มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ” เมลดาถาม
ฮูหยินยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ขอบใจจ้ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก”
“หนูเป็นมวยไทยนะคะ ถึงจะไม่เก่งมากแต่ก็ฝึกฝนมาตลอดสิบกว่าปี ใครจะล้มหนู ไม่ใช่เรื่องง่าย”
“เม เธอเป็นคนดีมีน้ำใจ ฉันรักเธอ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ หยากไย่ในบ้านฉัน ฉันปัดกวาดเอง”
ฮูหยินหยิบซองกระดาษที่เตรียมไว้ให้เมลดา
“นี่เป็นค่าแรงล่วงหน้าของเธอ ช่วงที่ไม่ได้เล่นงิ้วเธอจะได้มีเงินไว้ใช้จ่าย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูยังมีเงินเก็บอยู่”
“ห้ามปฏิเสธ เอาล่ะ เธอไปได้แล้ว ฉันมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”
เมลดามองฮูหยินด้วยความเป็นห่วง
“ไปได้แล้ว” ฮูหยินบอก
“ขอบคุณมากค่ะ...ถ้าอาจาย์แม่อยากให้หนูช่วยอะไร บอกได้เลยนะคะ” เมลดาว่า
ฮูหยินไม่พูดอะไรแล้วก็ลุกเดินออกไป


เมลดาเดินออกมา เห็นพวกคนงานหลายคนในโรงงิ้วถือข้าวของกระเป๋าเดินทางออกไป เมลดาก็ถอนใจเบาๆ เมลดาเดินมาเจอพายุยืนยิ้มกริ่มก่อนจะเข้ามาทัก
“สวัสดีครับน้องเมลดา”
“สวัสดีค่ะ”
“เสียใจด้วยนะครับที่ไม่ได้เล่นงิ้วแล้ว”
“ค่ะ”
“แล้วช่วงที่ไม่ได้เล่นงิ้วนี้ น้องเมลดาจะอะไรครับ มีงานอื่นหรือเปล่าครับ”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ”
พายุจับมือเมลดา
“ถ้ายังไงให้พี่พายุช่วยไหมครับ พี่พายุรู้จักคนเยอะแยะ อยากทำงานแบบไหนบอกได้เลยหรือจะทำงานกับพี่พายุก็ได้นะครับ เป็นเลขาพี่พายุก็ได้ รับรองรายได้ดีครับ งานก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลพี่พายุดีๆก็พอ”
เมลดาดึงมือออก
“ขอบคุณมากค่ะ แต่เมอยากหางานดีๆทำค่ะ”
“งานเลขาก็เป็นงานที่ดีนะครับ อย่าดูถูกงานเลขานะครับ”
“ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าฉันหมายถึงอะไรก็แล้วแต่ค่ะ เอาเป็นว่าไม่ต้องหางานให้ฉันหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
เมลดาเดินออกมา พายุหน้าบึ้งเพราะเข้าใจความหมายของเมลดา แต่พายุก็ตามมาดักหน้า
“อ๋อ ที่บอกว่างานไม่ดีนี่หมายถึงทำงานกับพี่พายุใช่มั้ย”
เมลดายิ้มเล็กน้อย
“ต้องทำงานร่วมกับไอ้กังฟูใช่มั้ย ถึงจะเป็นงานที่ดีน่ะ”
เมลดายิ้มแทนคำตอบก่อนจะเดินเลี่ยงหลบจากมา พายุตามมาดักหน้าอีก
“พี่ว่าน้องเมคิดผิดแล้วล่ะ คนอย่างพี่เทียบกับไอ้กังฟูเหมือนทองคำกับก้อนดิน คนอย่างไอ้กังฟูไม่มีอะไรดีเลย ความรู้ไม่มี ฝีมือไม่มี อนาคตของมันต้องจมปลักอยู่ในโรงงิ้วซอมซ่อนี่แหละ น้องเมอยากจมปลักอยู่ในที่ห่วยๆแบบนี้เหรอ”
“คุณอาจจะมองว่าที่นี่ซอมซ่อ แต่ฉันมองว่าที่นี่อบอุ่น คุณอาจจะมองกังฟูว่าไม่มีอะไร แต่ฉันมองว่าเขามีทุกอย่างเหนือกว่าคุณ”
พายุหัวเราะ
“ไอ้กังฟูเนี่ยนะมีทุกอย่างเหนือกว่าฉัน ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงสวยๆอย่างน้องเมจะมีความคิดที่น่าหัวเราะแบบนี้ มันมีอะไรเหนือกว่าฉันเหรอ”
“อย่างน้อยที่คุณเขามีความกตัญญูรู้คุณเหนือกว่าคุณ กังฟูไม่มีวันบอกว่าโรงงิ้วที่ชุบเลี้ยงเขามาจนโตเป็นสถานที่ซอมซ่อห่วยๆเด็ดขาด”
พายุหน้าเขียว
“เธอด่าฉันเหรอ” พายุโมโห
“ขอตัวก่อนนะคะ ไม่ต้องตามมาแล้วนะคะ”
เมลดาเดินจากไป พายุมองตามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและความต้องการ เขาพูดกับตัวเอง
“เมลดา อวดดีไปเถอะ ซักวันเธอต้องเป็นผู้หญิงของฉัน”
พายุมองตามเมลดาไปโดยมองเน้นที่เรือนร่างและเรียวขาของเธอ

พายุเข้ามาในห้อง เนตรนภาที่นั่งเหม่ออยู่สะดุ้งแล้วหันมามองพายุ
“เฮียติงลี่ยังไม่ได้กลับมาที่นี่เลย” เนตรนภาบอก
“หึ เรื่องของมัน ฉันไม่ได้มาหาไอ้ติงลี่ ฉันมาหาเธอ” พายุว่า
เนตรนภามองสายตาที่พายุมองเธอแล้วก็ถอยอย่างลืมตัว
“มีเรื่องอะไร”
“ไอ้ติงลี่ไม่อยู่แล้ว ต่อให้ยังไม่ตายก็ใกล้เคียง มันคงไม่มีปัญญากลับมาที่นี่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอคือเมียของฉัน ฉันมาหาเธอก็ด้วยเรื่องแบบผัวๆเมียๆ เข้าใจรึยัง”
“ไม่ ฉันไม่ใช่เมียของคุณ”
พายุเดินเข้าไปหา
“อ้อ เป็นเมียไม่ชอบ ชอบเป็นชู้ใช่ไหม มิน่า ตอนติงลี่ยังอยู่ถึงได้ชวนฉันขึ้นห้อง”
เนตรนภาตบหน้าพายุ พายุจับมือเนตรนภาไว้ได้
“เธอไม่อยากเป็นเมียฉันก็ได้ แต่ฉันคือผัวของเธอ จำไว้นะ ต่อไปนี้ ถ้าฉันต้องการเมื่อไหร่ เธอต้องตอบสนอง”
พายุผลักเนตรนภาลงบนเตียงแล้วตามลงไป
เนตรนภาหวีดร้อง “ไม่...”


พายุนอนเปลือยกายหลับอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียง เนตรนภานอนลืมตามองเพดานโดยใบหน้ามีร่องรอยถูกทำร้าย แก้มแดงบวม และปากเจ่อ เนตรนภาหันมามองพายุด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เนตรนภาหยิบผ้าห่มคลุมกายแล้วก็ลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ อย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดัง แต่ออกไปสักพักเธอก็เดินกลับมาสวมเสื้อคลุม ในมือของเธอมีมีดทำครัวเล่มหนึ่ง เนตรนภาเดินมาที่เตียง เงื้อมีดขึ้น แล้วจ้องมองพายุ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ไม่กล้าปักมีดลง เนตรนภาปล่อยแขนตกลงข้างกายเพราะไม่กล้าแทงพายุ พายุยิ้มแล้วพูดทั้งๆที่ยังหลับตา
“เธอโชคดีมากนะที่ไม่แทงฉันน่ะ”
เนตรนภาตกใจ พายุลืมตาขึ้นมองเธอ
“เพราะนอกจากจะฆ่าฉันไม่ได้แล้ว ฉันจะฆ่าเธอด้วย”
“พายุ...คุณปล่อยฉันไปเถอะ”
พายุลุกขึ้นจากเตียงแล้วสวมเสื้อผ้า
“ฉันไม่ปล่อยเธอไปหรอก ถ้ากล้า ก็หยิบมีดมาแทงฉันสิ แทงตอนนี้เลย”
เนตรนภาหยิบมีดแต่ก็ไม่กล้าแทง เธอร้องไห้
“ถ้าเธอไม่กล้าฆ่าฉัน ก็ต้องอยู่เป็นเมียฉัน ถ้าเธอหนี ฉันจะตามไปสุดหล้าฟ้าเขียว ใครก็ตามที่ช่วยเธอ ฉันจะฆ่ามันเหมือนที่ฉันฆ่าติงลี่”
พายุเดินออกไปนอกห้อง เนตรนภาได้แต่ร้องไห้

เมฆากับมิเชลเดินออกมาจากบ้านก็เจอกับอาเฟยรออยู่ที่หน้าประตู อาเฟยยิ้มให้
“ศิษย์พี่” มิเชลเรียก
อาเฟยตวัดมือวูบจนเล็บนิ้วชี้กับนิ้งกลางที่ยาวและคมดุจมีดจ่ออยู่ที่คอหอยเมฆา
“หมายความว่ายังไง” มิเชลถาม
“อาจารย์ให้พวกเธอไปหาท่านเดี๋ยวนี้ ถ้าพวกเธอปฏิเสธให้ฆ่าได้ทันที” อาเฟยบอก
มิเชลตกใจ เมฆามีท่าทีที่นิ่งกว่าก่อนจะผลักมืออาเฟยออกไป
“เอาเล็บของแกออกไป ถ้าพ่อฉันเรียก ฉันก็จะไปหา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีแกอยู่ตรงนี้ก็ตาม” เมฆาบอก
เมฆาเดินผ่านหน้าอาเฟยไป อาเฟยมองตามแล้วแสยะยิ้ม
“งั้นฉันขับรถให้พวกแกเอง”
อาเฟยเดินแซงทั้งสองตรงไปที่รถ แล้วผลักคนขับรถที่รออยู่เซออกไป อาเฟยเข้าไปนั่งแทนที่คนขับ
มิเชลตามเมฆาไปด้วยท่าทางร้อนใจ เมฆาพูดเบาๆ
“ใจเย็นๆไว้ก่อนมิเชล ไม่ต้องกลัวนะ ยังไงผมก็จะอยู่ข้างคุณ” เมฆาบอก
เมฆาจับมือมิเชล มิเชลมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

ณ สำนักอสูรเทวา เมฆากับมิเชลลงจากรถ อาเฟยเดินตามลงมาแล้วผายมือ
“เชิญ”
เมฆามองอาเฟยแว่บหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจ เขาเดินตรงไปที่ประตูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิเชลเดินตามเมฆาไป
“เราหนีตอนนี้ยังทันนะ” มิเชลบอก
“ไม่มีประโยชน์หรอก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่างมากก็แค่ตาย”
เมฆาเดินตรงไป มิเชลตามไปแต่ก็ดูไม่นิ่งสงบเท่าเมฆา

เมฆากับมิเชลเดินเข้ามาแต่ภายในไม่มีคนอื่นอยู่มีเพียงจางซื่อที่นั่งอยู่บนบัลลังก์บนเวทีเพียงคนเดียว
“ปิดประตูซะ” จางซื่อสั่ง
มิเชลปิดประตู เมฆากับมิเชลเดินไปที่กลางฟลอร์ เมฆากับมิเชลทำท่าคำนับจางซื่อ
“ท่านพ่อ”
“อาจารย์”
จางซื่อตวัดมือ ดาบเล่มหนึ่งพุ่งวาบตกลงมาตรงหน้าเมฆา
“ฉันรู้เรื่องหลินหลินแล้ว” จางซื่อบอก
“ท่านพ่อ...ความจริงเรื่องนี้...” เมฆาจะอธิบาย
แต่จางซื่อยกมือห้าม
“ไม่ต้องแก้ตัว...กฎสำนักอสูรเทวศักดิ์สิทธ์เข้มงวด พวกแกทำผิดต้องถูกลงโทษ แต่แกเป็นลูกฉัน ฉันจะให้โอกาสที่ไม่เคยให้กับใคร”
เมฆายิ้มออกมาได้
“ขอบคุณท่านพ่อ”
“ฉันใหโอกาสแกแก้ตัว...แกต้องฆ่ามิเชล แล้วฉันจะบอกทุกคนว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของมิเชล”
เมฆากับมิเชลตกตะลึง
“ท่านพ่อ...” เมฆาอึ้ง
“ถ้าแกไม่ฆ่ามิเชล ฉันจะฆ่าพวกแกทั้งสองคน” จางซื่อบอก
จางซื่อนั่งรอดู เมฆาดูดาบที่ตกลงตรงหน้าของเขา
“ผมทำไม่ได้” เมฆาบอก
“เมฆา” มิเชลอึ้ง
จางซื่อตวาดเสียงดังลั่น
“บังอาจ...คิดว่าฉันพูดเล่นรึไง ฆ่ามิเชลซะ”
มิเชลถือดาบขึ้นมา
“อาจารย์ เรื่องนี้เป็นความผิดของศิษย์จริงๆ ศิษย์ขอลงโทษตัวเอง” มิเชลบอก
มิเชลหันมาพูดกับเมฆา
“เมฆา...ฉันเกิดมาบนโลกนี้ ฉันไม่เคยคิด ไม่กล้าฝันว่าจะมีใครที่รักฉัน...แต่คุณก็รักฉันมันทำให้ฉันมีความสุขมาก และทำให้ฉันภูมิใจมาก ทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกับคนอื่นๆ ไม่ใช่นักฆ่าอย่างที่อาจารย์เลี้ยงฉันมา..ขอบคุณคุณมากนะ”
“มิเชล...อย่า...”
“อย่าห้ามฉัน”
มิเชลยกดาบขึ้นพาดคอตัวเอง
“ลาก่อน” มิเชลพูด
มิเชลจะเชือดคอตัวเอง จางซื่อดีดนิ้ว ลูกเหล็กในมือพุ่งวาบเข้าใส่ข้อมือมิเชลจนดาบหลุดจากมือหล่นลงพื้น
“ฉันสั่งให้เมฆาฆ่าแก แกไม่มีสิทธิ์ฆ่าตัวตาย” จางซื่อบอก
“ท่านพ่อ...ท่านโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว” เมฆาว่า
“กฎของอสูรเทวา คนทรยศต้องตายอย่างทรมาน พวกแกคงยังไม่ลืมกฎข้อนี้หรอกนะ”
เมฆากับมิเชลพูดไม่ออก
จางซื่อหยิบขวดนาฬิกาทรายออกมาตั้งทำให้ทรายเริ่มไหลลง
“ฉันให้เวลาแค่นี้”
มิเชลกับเมฆามองหน้ากัน
“คุณไม่ต้องลำบากใจ ฉันจะฆ่าตัวตาย อาจารย์หยุดฉันไม่ได้หรอก” มิเชลบอก
“มิเชล ...”
“อย่าลืมฉันนะ” มิเชลสั่งเสีย
มิเชลหยิบดาบทำท่าจะแทงตัวเองแล้วแล้วเปลี่ยนทิศทางดาบกะทันหันโดยกระโดดพุ่งเข้าหาจางซื่อ
“ตายซะเถอะจางซื่อ”
จางซื่อหัวเราะแล้วดีดลูกเหล็กในมืออีกลูกไปโดนดาบมิเชลหล่น มิเชลยังไม่หยุด เธอกำหมัดพุ่งเข้าหาจางซื่อแล้วระดมต่อยไม่ยั้ง จางซื่อปาดมือวูบทำให้มิเชลหมุนคว้าง จางซื่อดันมิเชลจนกระเด็นลอยกลับมาตกที่เดิมข้างๆเมฆา
“อุบายตื้นไปหน่อยมิเชล คิดจะฆ่าฉันเพื่อให้ฉันฆ่าแกงั้นเหรอ ฮ่าๆๆ ถ้าฉันบอกให้เมฆาฆ่าแก ในโลกนี้ก็มีแต่เมฆาเท่านั้นที่ฆ่าแกได้...เมฆา เวลาจะหมดแล้วนะ”
มิเชลร้องไห้โฮ
“เมฆา คุณฆ่าฉันเถอะ”
มิเชลหยิบดาบพาดคอตัวเองแล้วยื่นด้ามไปให้เมฆา เมฆามือสั่นเหมือนจะจับด้ามดาบแต่เขาก็ไม่จับทรายไหลจนหมดขวด เมฆาจับด้ามดาบ มิเชลหลับตารอความตาย จางซื่อรอดู เมฆาโยนดาบทิ้ง จางซื่อชะงักแล้วตาหรี่ลงก่อนที่่ดวงตาจะฉายแววอำมหิต มิเชลลืมตาขึ้น
“เมฆา คุณ...”
“ผมไม่ยอม พ่ออยากทำอะไรกับผมก็เชิญ แต่ผมยอมตายไม่ยอมฆ่าคนที่ผมรัก” เมฆาบอก
จางซื่อด่า “ไอ้โง่”
เมฆาบอกมิเชล “หนี”
เมฆากับมิเชลวิ่งหนีตรงไปที่ประตู มิเชลถีบเปรี้ยงจนประตูเปิด เมฆากับมิเชลวิ่งออกมาแล้วเมฆาก็หันมาปิดประตู

เมฆาปิดประตูแล้วผลักมิเชล
“หนีไป”
“ไม่...ฉันไม่ทิ้งคุณ” มิเชลบอก
อาเฟยกับลูกน้องนั่งคุยกันอยู่ห่างออกไป ทั้งสองได้ยินเสียงโวยวายก็หันขวับมาดู
“เฮ้ย...” อาเฟยรีบวิ่งมาที่ประตู
อ่านต่อหน้าที่ 4


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 10 (ต่อ)
เมฆาจับมิเชลแล้วมองที่เธอ

“มิเชลฟังผม ผมขอร้อง หนีไป...”
“เมฆา...”
ประตูสำนักอสูรเทวรระเบิดตู้ม ฝุ่นควันตลบฟุ้งกระจาย จางซื่อเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มควัน
เมฆาเห็นจางซื่อเดินเข้ามาช้าๆ ก็หันไปมองอีกด้านจนเจออาเฟยกำลังวิ่งตรงเข้ามา เมฆาหันมาหามิเชล
“อย่าอยู่ตรงนี้เลย ถ้าคุณยังอยู่ ผมจะตายอย่างทรมานเพราะเป็นห่วงคุณ แต่ถ้าคุณหนีไป ผมจะมีความสุขกว่า แล้วผมก็เป็นลูกคนเดียวของเขา เขาไม่กล้าฆ่าผมหรอก”
มิเชลเป็นห่วง “เมฆา...”
“ไป!”
มิเชลพยักหน้าทั้งน้ำตาแล้วก็วิ่งหนีไป เมฆาหันกลับมา จางซื่อเห็นมิเชลหนีไปก็โกรธมาก
“มิเชล กลับมาเดี๋ยวนี้”
จางซื่อตั้งท่าจะตามมิเชลไปโดยไม่สนใจเมฆา
เมฆาพูดขึ้นมา “พ่อ...ผมขอโทษ”
เมฆาเมฆาชักปืนออกมาสองกระบอกแล้วระดมยิงใส่จางซื่อที่พุ่งมาหาเขาเปรี้ยงๆๆ จางซื่อหยุดยืน สองฝ่ามือของเขาหมุนเป็นวงราวจักรผันปัดลูกปืนกระเด็นออกไป แล้วจางซื่อก็หัวเราะ
“เยี่ยมมาก สมเป็นลูกฉัน กล้ายิงพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง เรื่องนี้ฉันชอบ แต่ที่ฉันเกลียดคือแกฆ่าผู้หญิงที่แกรักไม่ลง... อ่อนแอจริงๆ”

อาเฟยวิ่งมาจะถึงตัวมิเชลแล้ว แต่มิเชลวิ่งเข้าไปในรถได้ทัน
อาเฟยเรียก “กลับมาเดี๋ยวนี้”
อาเฟยวิ่งไปหา แต่มิเชลสตาร์ทเครื่องออกตัวดังเอี๊ยดแล้วขับหนีไป อาเฟยตามไปไม่ทัน อาเฟยไม่ยอมแพ้ คนขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี อาเฟยจึงผลักคนขี่มอเตอร์ไซค์ล้มลง แล้วแย่งมอเตอร์ไซค์มาขี่ไล่ตามมิเชลไป

เมฆาเห็นเหตุการณ์แล้วยิ้มออกมาได้จึงโยนปืนทิ้ง
“พ่อจะทำอะไรผมก็เชิญ” เมฆาบอก
จางซื่อโกรธจนตัวสั่น “แก...”
จางซื่อต่อยหมัดใส่เมฆา เมฆากระเด็นไปชนผนังตึกแต่ก็ยังไม่ตาย จางซื่อเดินมาหา
“ฉันจะไม่ให้แกตายง่ายๆหรอก ถึงแกจะเป็นลูกฉัน แต่ในเมื่อแกทรยศฉันถึงสองครั้ง แกก็ต้องรับโทษตามกฎ”

มิเชลขับรถหนี อาเฟยขับมอเตอร์ไซค์ตามอย่างไม่ลดละ มิเชลเริ่มเหนื่อยจนอ่อนเพลีย เธอเห็นถนนข้างหน้าเริ่มเบลอ มิเชลพยายามเรียกสติ

มิเชลขับรถ ทันใดนั้นก็มีอาแปะเข็นรถเข็นออกมาจากซอย มิเชลร้องลั่นแล้วก็หักหลบได้ทัน แต่ก็ไปต่อไม่ได้ทำให้รถตั้งลำขวางกลางถนน มิเชลรีบลงจากรถก่อนจะวิ่งเซซัดไปที่โรงงิ้ว อาเฟยเจอรถขวางก็ทิ้งมอเตอร์ไซค์แล้ววิ่งตามมิเชลไป มิเชลวิ่งมาที่โรงงิ้ว
“พ่อ...ช่วยฉันด้วย...”
มิเชลวิ่งมา อาหล่อ เฮียเก้า เฮียเฉิน ฮูหยิน เดินออกจากโรงงิ้วไปทางอื่นพอดี มิเชลพยายามวิ่งตามไป แต่ก็วิ่งอย่างตุปัดตุเป๋เต็มที มิเชลตะโกนเรียก
“พ่อ”
อาเฟยกระโดดมาขวางทางแล้วเตะมิเชลกระเด็น มิเชลมองเลยอาเฟยไปก็เห็นพวกอาจารย์โรงงิ้วเดินเลี้ยวไป
มิเชลพยายามเรียก “พ่อ”
เฮียหลอได้ยินเสียงแว่วๆ
“ใครได้ยินเสียงอะไรรึเปล่าวะ”
“อั๊วไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
ฮูหยินจะไปต่อแต่เฮียเฉินกลับหยุด
“ลื้อกลับไปดูเดะ เสียงอะไรของลื้อ” เฮียเฉินว่า
เฮียหลอเดินกลับไป เฮียเก้าดึงเฮียหลอมา
“รีบไปเหอะ อั๊วหิวแล้ว” เฮียเก้าบอก
เฮียหลอยังคลางแคลงใจแต่เฮียเก้าก็ดึงเฮียหลอไปด้วย

อาเฟยเตะอัดมิเชลอีกครั้งจนมิเชลล้มกลิ้ง อาเฟยหัวเราะ
“ตอนแรกที่ฉันได้ยินว่าเธอเสียท่าเด็กผู้หญิงอย่างหลินหลิน ฉันนึกว่าข่าวลือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง นี่ยังไม่ฟื้นจากยาพิษสินะ ถึงได้นอนให้ฉันเตะเล่นแบบนี้น่ะ ทุเรศจริงๆ มิเชล แพ้เด็กตัวกะเปี๊ยกแบบนั้น ถ้าเป็นฉันฉันฆ่าตัวตายไปแล้วล่ะ”
“ถ้าฉันเกิดมาเป็นคนทุเรศอย่างแก ฉันฆ่าตัวตายไปตั้งแต่ตอนเกิดแล้วล่ะ” มิเชลว่า
“พูดได้ดี ฉันจะเล่นแกให้แกทรมานที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วค่อยจับแกไปส่งให้อาจารย์ตอบแทนความอวดดีเย่อหยิ่งของแก”
อาเฟยตวัดเล็บขึ้น ตำรวจสองนายวิ่งเข้ามาถาม
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“ช่วยด้วยค่ะ เขาจะฆ่าฉัน” มิเชลบอก
ตำรวจหันขวับมาทางอาเฟย
มิเชลเตือน “ระวังนะคะ”
มิเชลเตือนไม่ทันขาดคำ อาเฟยก็ลงมือโดยใช้เล็บที่นิ้วชี้และนิ้วกลางในมือขวาต่างมีดสั้น จู่โจมตำรวจทันที ตำรวจนายแรกไม่ทันตั้งตัวจึงโดนเสียบทะลุหัวใจ ตำรวจอีกนายตกใจจึงชักปืนออกมา อาเฟยพุ่งวาบใช้เล็บตัดมือตำรวจที่ถือปืนจนขาดกระเด็น ตำรวจร้องลั่น อาเฟยเตะเปรี้ยงจนเขาสลบกลางอากาศ แล้วอาเฟยก็มองมาที่มิเชล
“การลงทัณฑ์บทแรกนะมิเชล”
อาเฟยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะตวัดเล็บมือฟาดใส่มิเชล มิเชลร้องลั่น ใบหน้าของเธอโดนกรีดเป็นแผล อาเฟยสะใจจึงฟาดอีกหลายที มิเชลโดนไปหลายดอกจึงกลิ้งไปกลิ้งมา เสื้อผ้าของเธอขาดเป็นทางเหมือนถูกของมีคมกรีด อาเฟยตวัดเล็บลงมาอีก มิเชลถีบกำแพงกลิ้งหนีไปได้ อาเฟยเดินตาม มิเชลหอบแฮ่กๆ ด้วยท่าทางจะไปไม่ไหว
“ยังมีแรงคลานหนีอีกเหรอ งั้นฉันตัดเอ็นข้อเท้าแกก่อนดีกว่า จะได้เป็นยัยเป๋ ฮ่าๆๆอาเฟยตวัดเล็บ มิเชลกัดฟันเตรียมตัวรับความเจ็บปวด”
กังฟูเข้ามาขวางแล้วตีโต้กลับไป อาเฟยถอยวูบ
“กังฟู...” อาเฟยมอง
“กังฟู” มิเชลตกใจ
กังฟูพูดกับมิเชล “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“คุณ...คุณมาช่วยฉันทำไม”
“ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมผ่านมาแล้วเห็นเรื่องนี้ ผมทนดูคุณถูกฆ่าไม่ได้” กังฟูบอก
“หนีไปเถอะ กังฟู คุณสู้มันไม่ได้หรอก”
กังฟูไม่ตอบ เขาจ้องเล็บของอาเฟย
“ถึงผมจะสู้เขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยร่างกายผมก็ยังแข็งแรงอยู่” กังฟูพูดกับอาเฟย “ที่ฉันเกลียดที่สุดคือการรังแกคนไม่มีทางสู้ เป็นวิธีการของคนขี้ขลาด ถึงวิทยายุทธสูงส่งระดับไหนก็เป็นแค่คนขี้ขลาด”
อาเฟยโดนจี้ใจดำจึงเดือดดาลขึ้นมา
“งั้นก็ตายกันทั้งคู่เลยแล้วกัน”
อาเฟยใช้อาวุธเล็บต่างดาบสั้นเข้าจู่โจมกังฟู มิเชลเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากดู
“กังฟู...”

แต่แล้วมิเชลก็เอะใจเพราะได้ยินเสียงการต่อสู้ มิเชลหันกลับไปก็เห็นกังฟูต่อสู้กับอาเฟยได้อย่างสูสีและดุเดือด มิเชลตกตะลึง
“กังฟู...”
อาเฟยมองกังฟูอย่างไม่เชื่อสายตา
“มิเชล ไหนแกบอกอาจารย์ว่าไอ้นี่ฝีมือต่ำชั้นมากไง”
มิเชลมองกังฟูอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ใช่ฝีมือฉันต่ำชั้นจริงๆ แต่แกทำอะไรชั้นไม่ได้ แปลว่าแกก็ต่ำชั้นเหมือนกับฉันนั่นแหละ”
อาเฟยตั้งท่าแล้วมีดวงตาดุดันเอาจริง เขาตั้งท่าไม้ตาย เล็บที่นิ้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ
“วิชามีดอสูร...กังฟู ระวังอย่าให้โดนเล็บมันนะ ถึงตาย” มิเชลเตือน
กังฟูตั้งท่า กังฟูกับอาเฟยจ้องหน้ากันเพื่อเตรียมลงมือ รถหวอวิ่งมา อาเฟยมองไปก็เห็นรถตำรวจวิ่งมา อาเฟยชี้หน้ากังฟู
“ครั้งหน้านะ”
อาเฟยเผ่นหายไป กังฟูรีบประคองมิเชลให้หลบออกไป รถตำรวจเข้ามาจอด ตำรวจสี่นายลงมาจากรถ โดยถือปืนเตรียมพร้อมต่อสู้ แต่ก็ไม่เห็นใคร ตำรวจนายหนึ่งเก็บปืนแล้วไปดูอาการตำรวจที่บาดเจ็บ ตำรวจที่เหลือกราดปืนไปรอบๆ เพื่อคุ้มกันให้เพื่อน


อาเฟยมาหาจางซื่อ ขณะที่เมฆานอนหมดสติอยู่บนโต๊ะแถวนั้น
“อาจารย์ ศิษย์จับตัวมิเชลกลับมาไม่ได้” อาเฟยบอก
“ไม่เป็นไร ในเมื่อมันไม่มาหาฉัน ฉันก็จะส่งคนไปฆ่ามันเอง” จางซื่อว่า
อาเฟยงง
“อาจารย์จะส่งใครไปฆ่ามันครับ”
“คนที่มันรักที่สุด และที่คนที่รักมันที่สุด” จางซื่อบอก
“แต่เมฆามันจะยอมฆ่ามิเชลเหรอ” อาเฟยถาม
“ถ้าฉันสั่ง มันต้องทำตาม” จางซื่อว่า
จางซื่อหัวเราะเหี้ยม
“ยิ่งมันเป็นลูกของฉันแต่กลับทรยศฉัน โทษทัณฑ์ของมันต้องหนักกว่าของคนอื่นหลายเท่า”
จางซื่อเดินมาที่โต๊ะแล้วเปิดลิ้นชักออก เขาหยิบกล่องไม้ใบเล็กๆออกมา พอเปิดออกมาก็เห็นว่ามีหนอนตัวหนึ่งอยู่ในนั้น
อาเฟยถาม “อะไรครับ”
“นี่คือแมลงกู่ เป็นหนอนพิษชนิดหนึ่ง เป็นวิชามารของพวกชนเผ่าทางตอนใต้ของจีน ตัวที่แกเห็นนี่หายากมาก และพิษของมันก็จัดได้ว่าอันตรายที่สุด” จางซื่ออธิบาย
จางซื่อหัวเราะก่อนจะเอามีดกรีดแขนเมฆาแล้ววางแมลงกู่ลงบนปากแผล จากตอนแรกที่ไม่ไหวติงเหมือนตาย สักพักแมลงกู่ก็เริ่มขยับแล้วดูดเลือดที่ไหลย้อยออกมาก่อนจะคลานผลุบเข้าไปในแผล ใต้ผิวหนังเมฆามีก้อนดุ๊บๆ ไต่เรื่อยไปตามแขนจนหายเข้าไปในตัวแล้วไปโผล่ที่ต้นคอ แล้วมันก็ไต่ดุ๊บๆหายเข้าไปในศีรษะ
เมฆาร่างกระตุกเหมือนได้รับความเจ็บปวด อาเฟยดูแล้วก็รู้สึกสะอิดสะเอียนในขณะที่จางซื่อหัวเราะ


กังฟูพาเมลดามาที่ห้องของเขา เขาเปิดประตูเข้าไปก็เจอมิเชลนอนหมดสติอยู่บนเตียงโดยมีเฮียเต๋ากับติงลี่คอยดูแลอยู่
“ผมไม่อยากพามิเชลไปที่ห้องคุณเม กลัวว่าหลินหลินจะทำใจช่วยเขาไม่ได้” กังฟูบอก
“แต่ฉันก็แค้นแม่นี่เหมือนกันนะ” เมลดาว่า
“ผมรู้ แต่ผมคิดว่าคุณเมแยกออกระหว่างความแค้นกับคุณธรรม” กังฟูบอก
เมลดาถอนใจมองมิเชล
“ดูสภาพก็น่าสงสารจริงๆ ... แล้วนี่นึกไง ปล่อยผู้หญิงสวยๆอย่างมิเชลให้อยู่กับผู้ชายลามกสองคนแบบนี้เนี่ย”
“ลืมแล้วหรือไงว่าพวกเราฝึกวิชาระฆังทองอยู่” เฮียเต๋าย้อนถาม
“อ้อ จริง ฉันลืมไป” เมลดาว่า
“ได้แค่ดู ทำอะไรไม่ได้หรอก” ติงลี่บอก
“แต่ดูก็ไม่ได้ ตอนนี้พวกคุณต้องออกไปก่อน ฉันจะเช็ดตัวทำแผลให้เขา”
เฮียเต๋ากับติงลี่เดินบ่นพึมพำออกไป กังฟูยังยืนทำหน้าซื่อตาใสอยู่ที่เดิม
“เอาเลยครับ จะให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาเลย”
เมลดายิ้มหวาน
“อ๋อ อยากช่วยเหรอจ๊ะ” เมลดาถาม
กังฟูพยักหน้าแข็งขัน เมลดาหน้าบึ้งก่อนจะต่อยกังฟูเปรี้ยงจนกังฟูถลาไปนอกห้อง
“นายก็ออกไปด้วย”
เมลดาปิดประตูดังปัง


กังฟู เฮียเต่า และติงลี่ นั่งจับเจ่าตบยุงกันอยู่ที่ข้างนอก เฮียเต่าตะโกนเข้าไปในห้อง
“เฮ้ย เร็วๆหน่อย ข้างนอกยุงเยอะนะ”
“ถ้ากลัวเราเห็นของดี จะผูกตาเราก็ได้” ติงลี่ตะโกนบอก
“หรือเพื่อความยุติธรรม ให้เราเดินแก้ผ้าเข้าไปก็ได้” เฮียเต๋าเสริม
“ได้ยินบ้างมั้ยเนี่ย ว่ายุงเยอะ” ติงลี่บ่น
เมลดาไม่ตอบอะไร
กังฟูพูดกับทั้งสองเฮีย “อย่าเพิ่งรบกวนเขาสิครับ” กังฟูตะโกนบอกเมลดา “ตามสบายนะคุณเม ไม่ต้องรีบ ผมเอาใจช่วยคุณอยู่นะครับ”
ติงลี่กับเฮียเต๋าทำหน้ารังเกียจกังฟู
“ผมเอาใจช่วยคุณอยู่นะครับ...อ้วกแตก” ติงลี่ว่า
“เอาใจเข้าไป ไอ้กังฟู แกอย่านึกว่าฉลาดนะ แกเอาใจเขาอย่างนี้ อีกหน่อยแต่งงานไปแกจะเป็นทาสเขานะบอกให้ แล้วจะเสียใจ จะบอกให้”
“เป็นทาสผู้หญิงอย่างคุณเม ผมยอมครับ” กังฟูว่า
เฮียเต๋ากับติงลี่ทำเสียงอ้วกพร้อมกัน

เมลดารักษาอาการเจ็บให้มิเชลจนมิเชลรู้สึกตัวสะลึมสะลือ มิเชลลืมตาขึ้นเห็นเมลดากำลังช่วยเธออยู่ มิเชลก็ตกใจ
“เมลดา”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร”
“เมลดา ทำไม...”
“บอกว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร”
มิเชลเงียบลงโดยปล่อยให้เมลดารักษาอาการบาดเจ็บให้เธอ แล้วมิเชลก็หมดสติอีกครั้ง

พายุเดินเข้ามาในสำนักจนเจอจางซื่อนั่งอยู่ โดยมีอาเฟยประกบอยู่ด้านหลัง
“คำนับท่านเจ้าสำนัก”
“รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเมฆาและมิเชลแล้วใช่ไหม” จางซื่อถาม
“ครับ”
“สิ่งที่สองคนนั้นทำไม่สำเร็จ คือการฆ่าเด็กที่ชื่อหลินหลิน ถ้าแกทำได้ แกจะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งของเมฆา”
พายุตกใจและตื่นเต้น ขณะที่อาเฟยขมวดคิ้ว
“ท่านเจ้าสำนัก...ผมเกรงว่าความสามารถผมยังไม่ถึง และพี่น้องร่วมสำนักอาจไม่เชื่อถือผม จะนำความเสียหายมาสู่ท่านเจ้าสำนักด้วย”
“คำพูดของฉันคือประกาศิต ใครไม่เชื่อต้องตาย”
พายุเห็นอาเฟยมวดคิ้วก็แอบยิ้มที่มุมปากแล้วปั้นหน้าว่าลำบากใจ
“แต่ทำแบบนี้...เกรงว่าจะเป็นการทำเกินหน้าพี่อาเฟย พี่อาเฟยอาจจะไม่พอใจ”
พายุพูดเหมือนเกรงใจพร้อมทั้งมองอาเฟยไปด้วย จางซื่อยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันพายุ
“ใครจะคิดยังไงไม่ใช่เรื่องของแก อย่าใช้ฉันเป็นเครื่องมือข่มอาเฟย”
พายุตกใจ “ผมไม่บังอาจ”
จางซื่อพูดต่อ “พายุ แกเป็นคนฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยม แต่อย่าเอามาใช้กับฉัน ไม่อย่างนั้นแกจะเสียใจ”
พายุหน้าซีด เขารีบลนลานคุกเข่าคำนับจางซื่อ
“ผมขอโทษท่านเจ้าสำนัก ขอโทษพี่อาเฟย...ผมจะจงรักภักดีต่อท่านเจ้าสำนัก เคารพพี่อาเฟย ท่านเจ้าสำนักโปรดยกโทษให้ผมด้วย”
จางซื่อสั่ง “ไปจัดการหลินหลินซะ”
“ผมจะตั้งใจทำงานรับใช้ท่านเจ้าสำนักด้วยชีวิตครับ”
“ดี...อาเฟย”
อาเฟยเดินเข้ามา
“เบาะแสของหลินหลินคือมีคนชื่อหลินฮุ่ยกับกังฟูช่วยมันไว้” อาเฟยพูด
“หลินฮุ่ย กังฟู...ทั้งสองคนนี้อยู่ที่โรงงิ้วฟ้าดิน”
“โรงงิ้วที่แกอยู่น่ะเหรอ”
“ใช่ครับ...แต่ความจริงแล้ว...”
“ความจริงอะไร” จางซื่อถาม
พายุลังเลนิดหนึ่งว่าจะพูดดีหรือเปล่า

เหตุการณ์ในอดีต ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า และพายุจุดธูป
เฮียเฉินกล่าว “พวกเราศิษย์อาจารย์ เกิดไม่พร้อมกัน แต่ขอปฏิญาณจะตายพร้อมกัน เพื่อทำลายล้างจอมมาร เสียสละชีวิตส่วนตัวเพื่อส่วนรวม”
ฮูหยิน เฮียหลอ เฮียเก้า และพายุพูดพร้อมกัน “ตายพร้อมกัน เพื่อทำลายล้างจอมมาร เสียสละชีวิตส่วนตัวเพื่อส่วนรวม”
ทั้งห้าปักธูปลงตรงธรณีประตู

เหตุการณ์ปัจจุบัน จางซื่อมองหน้าพายุ
“พายุ ตอบคำถามอาจารย์”อาเฟยบอก
พายุตื่นจากภวังค์แล้วก็ตัดสินใจแน่วแน่จึงยิ้มประจบจางซื่อกับอาเฟย
พายุพูด “ความจริงแล้ว พวกโรงงิ้วคือเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม เมื่อยี่สิบปีก่อน พวกเขาหนีจากฮ่องกงมาที่เมืองไทย”
จางซื่อขมวดคิ้วเพื่อทบทวนความทรงจำครู่หนึ่ง
“เจ็ดผู้กล้าคุณธรรม...ฉันจำได้แล้ว เจ็ดผู้กล้าที่มีอยู่สี่คน ใช่ไหม” จางซื่อถาม
“ถูกต้องครับ” พายุตอบ
“เป้าหมายเราอยู่ที่หลินหลิน ถ้าพวกมันคิดจะปกป้องหลินหลินค่อยจัดการมัน แต่ถ้าไม่ก็ถือว่าน้ำคนละบ่อ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน”
พายุเงียบไป

พายุนึกถึงตอนที่เขาคุยกับฮูหยิน
“เรื่องที่กังฟูเป็นลูกจางเหลียง ผมเป็นลูกช่างก่อสร้างเนี่ย นอกจากพวกอาจารย์ทั้งสี่แล้ว มีใครรู้เรื่องนี้อีกไหมครับ” พายุถาม
“ไม่มีแล้ว เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด” ฮูหยินบอก

เมื่อนึกถึงคำพูดของฮูหยิน พายุก็เอ่ยขึ้น
“แต่ทว่า...”
“แต่อะไร” จางซื่อถาม
“ผมลำบากใจจริงๆ” พายุบอก
“พูดมา” อาเฟยบอก
“พวกเขาเลี้ยงดูผมมา บุญคุณยิ่งใหญ่...แต่ว่า...แต่ว่า พวกเขาวางแผนจะฆ่าท่านเจ้าสำนักครับ”
“อะไรนะ”
“พวกเขาซ้อมค่ายกลดอกเหมยเพื่อเตรียมจัดการกับท่านเจ้าสำนักครับ”
“ค่ายกลดอกเหมย...น่าสนใจ...ดีมาก พายุ เจ้าทำได้ดีมาก” จางซื่อบอก
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ชมเชย” พายุพูด
จางซื่อยิ้มเหี้ยม
“เจ็ดผู้กล้าคุณธรรมงั้นเหรอ หึๆ”


เฮียเต๋ากับติงลี่นอนกอดก่ายกันหลับสนิท มือเฮียเต๋าจับหัวติงลี่บีบๆขยำๆ ดูท่าทางฝันดีกันทั้งสองคน
“คราวหลังอั๊วจะมาสระกับลื้อตลอดเลย อีหนูเอ๊ย ลื้อนวดหัวเก่งจริงๆ สบายเหลือเกิน” ติงลี่ละเมอ
“ของลื้อทั้งใหญ่ทั้งแข็งเลยอาหมวย ใหญ่กว่าหัวเด็กอีก มันหย่ายมาก” เฮียเต๋าละเมอ
ขณะที่ มิเชลนอนหลับอยู่บนเตียงอีกด้านหนึ่ง กังฟูกับเมลดายืนดูมิเชลอยู่ มิเชลเหมือนฝันร้ายเพราะมีท่าทางกระสับกระส่าย
มิเชลเพ้อ “เมฆา หนีไป...เมฆา หนีไป...”
พายุชวนเมลดาออกไปข้างนอก

กังฟูคุยกับเมลดา
“คุณมิเชลเป็นไงบ้าง”
“มีแต่บาดแผลภายนอกแล้วก็ร่างกายอ่อนเพลีย คงเพราะที่โดนหลินหลินฉีดยาใส่ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว” เมลดาบอก
“แต่เขายังไม่ได้สติเหรอครับ”
เมลดาส่ายหน้า
“เอาแต่ละเมอให้เมฆาหนีไป”
“ผมสงสัยจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณมิเชลถึงถูกพวกเดียวกันตามล่าแบบนี้”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน รู้เขารู้เรา เราจะได้ไม่เสียเปรียบเกินไป” เมลดาบอก
“แต่ที่แน่ๆผมรู้อยู่อย่างนึง”
“รู้อะไร”
“รู้ว่าผมรักผู้หญิงไม่ผิดคนจริงๆ การที่คุณช่วยมิเชลทั้งๆที่เขาเป็นคนฆ่าพ่อคุณน่ะ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งมาก”
“ขอบคุณค่ะ แต่มิเชลก็เคยทำร้ายคุณ แต่คุณก็เสี่ยงช่วยเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ..แปลว่าฉันก็รักผู้ชายไม่ผิดคนเหมือนกัน”
กังฟูยิ้มปลื้ม
“ขอบคุณเช่นกันครับ”
ทั้งสองมองตากันอย่างมีความสุข

โรงงิ้วดูโล่งจนเงียบเหงา กังฟูกำลังปัดกวาดลานโล่งหน้าโรงงิ้ว รถคันหนึ่งจอดหน้าประตู กังฟูเงยหน้ามอง เห็นคนลงมาจากรถซึ่งก็คืออาเฟยนั่นเอง กังฟูทิ้งไม้กวาดทันที อาเฟยหยุดมองกังฟู ทั้งสองเผชิญหน้ากัน
“ใจเย็น วันนี้ไม่ได้มาหาเรื่อง” อาเฟยบอก
“แล้วมาทำไม” กังฟูถาม
อาเฟยหยิบซองจดหมายสีแดงขึ้นมาแทนคำตอบ
อ่านต่อตอนที่ 11

กำลังโหลดความคิดเห็น