xs
xsm
sm
md
lg

ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 8 
ภาพในอดีตระหว่างเมลดาและเมฆาในช่วงเวลาที่ทั้งสองหวานชื่นกันอยู่ผุดขึ้นมา

ขณะนั้น เมฆากับเมลดาทานอาหารด้วยกันในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง เมฆานั่งมองเมลดาจนเธอรู้สึกเขิน
“มองอะไรอยู่ได้คะ” เมลดาเอ่ยขึ้น
“วันแรกที่ผมเจอคุณ ผมก็บอกตัวเองว่าคนนี้แหละใช่เลย ผู้หญิงที่ผมอยากจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกับเธอตลอดไป” เมฆาพูด
“ปากหวานจังนะคะ” เมลดาว่า
“เม ผมรักคุณ” เมฆาเอ่ย ก่อนจับมือเมลดาจนเธอเขินอาย
“เป็นแฟนผมนะ” เมฆาพูดต่อ
“เมดีใจนะคะที่คุณมอบความรู้สึกดีๆ ให้เม แต่ว่า เมว่ามันเร็วไปนะคะ เราลองให้เวลาตัวเองอีกสักช่วงนึงดีกว่า”
“คุณเมไม่สงสารหลินหลินเหรอครับ เขาอยากให้คุณเมเป็นแฟนผมมากเลยนะ”
“อย่าขี้โกงสิคะ เอาน้องสาวมาอ้างเลยเหรอเนี่ย”
“ไม่เห็นใจผมก็น่าจะเห็นใจหลินหลิน”
เมลดาหัวเราะ
“คุณเมครับ ในเมื่อเราเจอคนที่ใช่แล้ว เราจะเสียเวลาไปทำไมล่ะครับ หนึ่งวันที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันเป็นการสูญเปล่า แต่หนึ่งวันที่เราได้อยู่ด้วยกันมันคือรางวัลของชีวิต เป็นแฟนผมนะครับ”
เมลดาหัวเราะเขินๆ แล้วพยักหน้า เมฆายิ้มแป้น เขาจับมือเมลดามาจูบอย่างอ่อนโยน
“ผมสัญญา จะรักและลูแดความรักของเราอย่างดี ตลอดไป”
“ขอบคุณค่ะ เมก็เช่นกันค่ะ”

กลับมาที่ปัจจุบัน เมลดานั่งอยู่นอกห้อง เธอมองไปบนท้องฟ้า พลางคิดคำนึงถึงความหลัง ใบหน้าของเธอมีความเจ็บปวด แต่กลับไม่ร้องไห้
“กังฟู ถึงฉันจะไม่ได้รักเมฆาลึกซึ้งมากนัก แต่บาดแผลที่เขาสร้างไว้ให้ฉันมันยังไม่หายดี หัวใจเป็นอวัยวะที่บอบบาง แค่รอยแผลเล็กๆ ก็สร้างความเจ็บแสบร้าวลึกได้เนิ่นนาน”
เมลดากำหมัด ลุกขึ้น ต่อยเตะอากาศเป็นชุดแบบน็อนสต็อปจนหอบ
“ถึงร่างกายฉันจะแข็งแกร่งขึ้นแต่หัวใจฉันยังเจ็บปวดอยู่” เมลดาปล่อยหมัดปล่อยเท่าอีกรอบอย่างดุดันกว่าเดิม
“ฉันจะ...ไม่...รัก...ใครอีกต่อไป”
แม้หมัดจะรุนแรง แต่น้ำเสียงไม่กลับเด็ดขาด สีหน้าของเธอแสนจะสับสน

วันใหม่ ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียหลอและเมลดากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ กินไปคุยไป เฮียเฉินนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“เฮ้ย เขาทรายจะชกอีกแล้วโว้ย”
เฮียเฉินแอบสะกิดเฮียเก้า
“เดี๋ยวไปดูที่ร้านข้าวต้มกันดีกว่าเนอะ” เฮียเก้าว่า
ฮูหยินเอาตะเกียบชี้หน้าเฮียเฉิน
“อย่าเอามวยมาอ้าง ไอ้เก้าไอ้หลออยากไปไหนก็ไป แต่ลื้อห้ามไปอั๊วไม่หลงกลหรอก” ฮูหยินดักคอ
เฮียเฉินได้ยินแบบนั้นก็เซ็งๆ ฮูหยินหันมาเจอกังฟูที่เดินเข้ามาพอดี
“เฮ้ย ไอ้กังฟู เมื่อวานลื้อหายไปไหนมาวะ” ฮูหยินเอ่ยถาม
“ศิษย์ไม่สบายครับ” กังฟูตอบ
“แล้วหายดีรึยัง” เฮียเฉินเอ่ย
“หายแล้วครับ” กังฟูพูด เขายิ้มสดใสแถมยังตีลังกาโชว์ให้ดู
“พอๆๆ แค่ถามเฉยๆ” เฮียเก้าว่า
กังฟูเดินมานั่งร่วมโต๊ะ เขาตักข้าวใส่ชามแล้วกินอย่างตะกละ ฮูหยินกับสามเฮียมองกังฟูอย่างอึ้งๆ แต่เมลดาไม่สนใจ เธอกินต่อไปตามปกติ
“กินช้าๆ หน่อยโว้ย หิวมาจากไหนวะกินยังกะหมาวัด” เฮียหลอพูด
“ศิษย์ขออภัย เมื่อวานศิษย์ไม่ได้กินอะไรเลยซักคำ เมื่อเช้าตื่นมาหิวมาก กินจนของหมดห้อง ศิษย์เลยมาหาของกินต่อที่นี่” กังฟูตอบทั้งๆ ที่ยังกินอยู่ แถมข้าวยังกระเด็นออกมาด้วย พวกอาจารย์ผงะหนีด้วยความรังเกียจ
เมลดายังคงไม่สนใจกังฟู เธอกินต่อจนเสร็จแล้วก็เก็บชาม ก่อนจะลุกเดินออกไป กังฟูมองตามเมลดาไปแวบหนึ่ง
ขณะที่ฮูหยินมองกังฟูด้วยความแปลกใจ
“แปลกนะ นี่ถ้าอั๊วไม่รู้มาก่อน มาเห็นแบบนี้คงนึกว่าลื้อฝึกลมปราณสายพิสดารมา” ฮูหยินเอ่ย
“เป็นไงวะ ลมปราณสายพิสดาร” เฮียเฉินถาม
“เป็นลมปราณที่ขาดการสืบทอดไปแล้ว คนที่ฝึกลมปราณแบบนี้เวลาได้รับบาดเจ็บจะนอนจำศีลอยู่ บาดแผลจะหายเร็วมาก แต่พอตื่นมาก็จะกินๆๆ เหมือนหมี แบบไอ้กังฟูนี่แหละ” ฮูหยินอธิบาย
“อั๊วเคยได้ยินว่ามีคนฝึกลมปราณแบบนี้นี่หว่า ลมปราณของไอ้จาง..” เฮียเก้าเอ่ยขึ้น เขากำลังจะพูดชื่อจางเหลียงออกมา แต่ฮูหยินเดาออกจึงเอาตะเกียบจิ้มปากเฮียเก้าได้ทัน
“บอกว่าหายสาบสูญก็หายสาบสูญสิวะ จะพูดชื่อใครขึ้นมาทำไม” ฮูหยินพูด ถลึงตามองเฮียเก้า พลางปรายสายตามองกังฟู เฮียเก้ารู้ตัวว่าหลุดปากก็ยอมเงียบลง ขณะที่กังฟูไม่สนใจ โซ้ยอย่างเดียว
“เมื่อกี้ท่านอาจารย์พูดว่าอะไรนะครับ” กังฟูเอ่ย
“ไม่มีอะไรหรอก เชิญลื้อยัดห่านตามสบาย” เฮียหลอว่า
“หู ทำไมอาจารย์ต้องด่าศิษย์ด้วย” กังฟูถาม
“ด่ายังไงวะ ก็นี่ห่านพะโล้ ลื้อกินแบบนี้ก็ต้องเรียกยัดห่าน ด่าตรงไหน”
“เดี๋ยวพอลื้อยัดห่านเสร็จ ไปตามอาหลินฮุ่ยมา พวกอั๊วจะหางิ้วเรื่องใหม่ให้เล่นกัน” ฮูหยินว่า
กังฟูพยักหน้า โดยไม่หยุดกินเลย

เมลดากำลังเช็ดถูอุปกรณ์เสื้อผ้างิ้วให้เรียบร้อยก่อนเก็บเป็นระเบียบอยู่ที่ห้องอุปกรณ์งิ้ว
“คุณเม” เสียงกังฟูดังมา
เมลดาจำเสียงกังฟูได้ แต่ไม่หันกลับไปมอง
“มีอะไรเหรอ” เธอเอ่ย
“เอ่อ...อาจารย์ให้มาตามคุณเมไปคุยเรื่องงิ้วเรื่องใหม่น่ะครับ”
“รู้แล้วค่ะ เดี๋ยวตามไป”
“คุณเม...คุณโกรธผมเรื่องอะไรรึเปล่าครับเนี่ย ท่าทางคุณดูแปลกๆ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่จริงง่ะ ดูคุณเมินๆ ผม ขนาดตอนนี้ยังไม่หันมาคุยกับผมเลย”
เมลดาถอนใจ เธอหันกลับมา แล้วก็สะดุ้งเฮือกร้องว้ายเมื่อเห็นกังฟูพุงหลามยังกะคนท้อง 8 เดือน
“อะไรเนี่ย”
“สงสัยเมื่อกี้กินเยอะไปหน่อย แหะๆ ดีใจจัง คุณเมหันมาคุยกับผมแล้ว”
“ฉันเสร็จธุระแล้ว ไปคุยกับอาจารย์แม่เถอะ”
เมลดาเดินผ่านกังฟูโดยไม่มองหน้าออกไปนอกห้อง กังฟูก้มหน้าด้วยสีหน้ากลุ้มใจ ก่อนเดินพุงโย้ตามไป

กังฟูหน้านิ่ว เขาเอาเรื่องมาปรึกษาเฮียป้อ
“อั๊วไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เห็นแต่เฮียป้อนี่แหละที่เป็นผู้ใหญ่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” กังฟูเอ่ย
“เฮียไม่อยากยอตัวเองหรอกนะ แต่เรื่องแบบนี้เนี่ยต้องให้ผู้รู้อย่างเฮียช่วย กังฟู ลื้อมาหาถูกคนแล้วล่ะ” เฮียป้อลูบคาง เก๊กท่าให้สมเป็นผู้รู้
“ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นเฮียคิดว่าทำไมอาหลินฮุ่ยเค้าถึงไม่ยอมคุยกับอั๊ว ไม่มองหน้าอั๊วล่ะครับ”
“มันน่าจะอยู่ที่คืนสุดท้ายที่ลื้ออยู่กับเขา ไหนลองเล่ามาอีกทีซิ ว่ามันเป็นยังไงนะ”
“คืออั๊วไม่สบาย พองิ้วเลิกอั๊วก็แอบกลับมาก่อน เจอนักเลงมาหาเรื่อง มันก็ซ้อมอั๊วแล้วก็หนีไป อั๊วก็ล้มลงกองอยู่ข้างทาง แล้วหลินฮุ่ยก็มาเจออั๊ว ประคองอั๊วไปส่งที่ห้อง แล้วเค้าบ่นว่าในห้องมันร้อน หรืออะไรร้อนนี่แหละ ... อั๊วจำได้แค่นี้ที่เหลืออั๊วลืมหมดเลย”
เฮียป้อหลับตา นึกภาพตาม
“ถ้าอย่างนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่า...อืม พูดลำบากเหมือนกัน”
“อั๊วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เจ๊ยี้ในชุดเซ็กซี่โผล่พรวดมาจากหลังหมอนอิงบนโซฟา
เฮียป้อกับกังฟูตกใจ
“อายี้ ลื้อมาแอบอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย” เฮียป้อกล่าว
“มาตั้งแต่ก่อนกังฟูจะเข้ามา” เจ๊ยี้ว่า
“แล้วเจ๊ยี้มาซุ่มแบบนี้ทำไมเนี่ย” กังฟูถาม
“อั๊วพรางตัวมาล่าเหยื่อ” เจ๊ยี้พูดพลางปรายตามองเฮียป้อ แยกเขี้ยวเลียปากแผลบๆ
“แต่ลื้อเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน” เจ๊ยี้หันมาพูดกับกังฟู
“ขอโทษครับ ผมไม่ตั้งใจ” กังฟูว่า
“ช่างมันเถอะ กลับมาเรื่องของลื้อดีกว่า อั๊วว่าลื้อเนี่ยนะ หึๆๆ” เจ๊ยี้พูดขึ้น
“อั๊วทำไม” กังฟูถามงงๆ
“ปล้ำอาหลินฮุ่ยเป็นเมียไปแล้ว” เจ๊ยี้เอ่ย
“หา!” กังฟูตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วรีบปฏิเสธ
“ไม่จริงง่ะ เฮียป้อ เฮียว่าไง”
“เอ้อ กังฟู อั๊วก็ไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะ แต่อั๊วเห็นด้วยกับอายี้ ลื้อต้องปล้ำอาหลินฮุ่ยไปแล้วแน่ๆ” เฮียป้อเอ่ย
“แต่ว่า อั๊ว อั๊วไม่ใช่คนแบบนั้นนะ เฮียป้อ ลื้อรู้จักอั๊วแต่เด็ก ลื้อรู้ว่าอั๊วเป็นคนยังไง” กังฟูพูดขึ้น
“ตอนนั้นลื้อบอกหลินฮุ่ยประคองลื้อมาตั้งไกล อีก็อวบๆ นุ่มๆ ตลอดทางมันก็ต้องมีโดนกันมั่งอะไรกันมั่ง บิ๊วกันมาตั้งนาน แล้วกลิ่นเหงื่อกลิ่นจั๊กกะแร้ดมไปดมมาพอถึงห้องมัน ก็สปาร์คพอดี แถมลื้อบอกลื้อไม่สบาย มันก็ขาดสติ ลื้อก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำตามจิตใต้สำนึก” เฮียป้อร่ายยาว
“จิตใต้สำนึกผมเป็นยังไง” กังฟูถาม
“เป็นไอ้บ้ากาม” เฮียป้อว่า
“อั๊วเนี่ยนะเป็นไอ้บ้ากาม”
“เออ”
“แล้วอาหลินฮุ่ยอีมีเขินๆ มั่งมั้ย” เจ๊ยี้ถามขึ้น
“ไม่มีเลยครับเจ๊ยี้ เมินตลอด ขนาดอั๊วแกล้งเอาหมอนยัดพุงให้ตลกๆ เค้ายังไม่สนใจเลย” กังฟูตอบ
“แปลว่าลื้อไม่ใช่แค่ปล้ำเค้า แต่ลื้อปล้ำเค้าแบบวิปริตวิตถารด้วย” เจ๊ยี้ว่า
“หา” กังฟูร้อง
“ลื้อต้องใช้กระบวนท่าต้องห้ามแน่ๆ” เจ๊ยี้ว่า
“ท่าต้องห้าม มันเป็นยังไงเหรอ” กังฟูงง
“คืออย่างงี้ สมมุติมือขวาเป็นลื้อ มือซ้ายเป็นอาหลินฮุ่ยนะ” เจ๊ยี้วาดมือวาดไม้ ตั้งท่าจะอธิบาย
เฮียป้อจับมือเจ๊ยี้ลงแล้วแทรกขึ้นว่า
“เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วลื้อไม่ต้องขยายผลหรอก เอางี้นะกังฟู เฮียว่าในฐานะลูกผู้ชายเราต้องแสดงความรับผิดชอบนะ”
“รับผิดชอบเหรอ” กังฟูทำหน้าลำบากใจ

ตกกลางคืน กังฟูมาเคาะประตูห้องเมลดา สักครู่เธอก็เปิดประตูออกมามองหน้ากังฟู กังฟูยิ้มให้
“มีอะไรเหรอ” เมลดาถาม
“คุณเม ผม เรื่องเมื่อคืนก่อนน่ะครับ” กังฟูเอ่ย
“เรื่องเมื่อคืนก่อน...ทำไม มีอะไรเหรอ”
“คือผมก็จำไม่ได้ชัดเจนว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“แล้วไง”
“แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ ถึงผมจะจำไม่ได้แต่ผมก็พร้อมจะรับผิดชอบการกระทำของผม”
“ไม่ใช่แค่การกระทำ ปากของนายด้วย” เมลดาหมายถึงตอนที่กังฟูบอกรักตน แต่กังฟูจำไม่ได้
“ปาก ผมใช้ปากทำอะไรเหรอ” กังฟูถามแล้วจับปากตัวเอง
“จำไม่ได้จริงๆ เหรอ ไม่ใช่แค่นั้นนะ” เมลดาพูดต่อ
“ผมทำอะไรเสียหายอีกเนี่ย” กังฟูถาม
“ที่ก้นของฉัน” เมลดาหมายถึงตอนที่นิ้วกังฟูเกี่ยวดิ้นประดับที่ก้นของเธอขาด
แต่กังฟูคิดไปคนละเรื่อง เขาถึงกับหน้าซีด
“กะ...ก้น...ก้นด้วยเหรอ” กังฟูพูดอึ้งๆ
“ใช่น่ะสิ” เมลดาว่า
กังฟูเอาหัวโขกผนัง
“ผมขอโทษ...ผมขอใช้ความตายชดใช้ความผิด”
เมลดาตกใจ รีบห้าม
“ทำอะไรน่ะ”
“ผมขอโทษที่ปล้ำคุณ ตอนแรกผมตั้งใจจะแต่งงานชดใช้ความผิด แต่ผมทำเกินเลยไป ผมขอตาย”
“เดี๋ยวๆๆ ใครบอกว่านายปล้ำฉัน” เมลดาว่า
กังฟูมองเมลดาแล้วพูดต่อ
“ปล้ำแบบวิปริตวิตถารด้วย”
“เพ้อเจ้ออะไรของนายเนี่ย” เมลดาว่า

กังฟูนั่งคุยกับเมลดา
“นายไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก สบายใจเถอะ” เมลดาเอ่ย
“ก็เห็นคุณเมโกรธผม ผมก็เลยนึกว่าผมทำอะไรไม่ดีให้” กังฟูพูด
“ฉันไม่ได้โกรธนาย”
“แต่ว่าวันนี้…”
“ฉัน...คือฉันไม่รู้จะทำหน้ายังไง”
“เมื่อคืนผมทำอะไรคุณกันแน่...หรือว่า…”
กังฟูมองเมลดา
“จำได้แล้วเหรอ” เมลดาเอ่ย
“ผมแก้ผ้าให้คุณดู”
เมลดาหัวทิ่ม
“ไม่ใช่ย่ะ ไอ้บ้า ไม่ต้องเดาแล้ว ฉันเล่าให้ฟังก็ได้”
“ก็น่าจะเล่ามาตั้งแต่แรก ไม่รู้จะยึกยักทำไม” กังฟูพูด
“นายบอกว่านายรักฉัน” เมลดาเอ่ยขึ้น
กังฟูอ้าปากหวอ สตั๊นท์ไปสองวิ แล้วก็เปลี่ยนเป็นหน้าแดงก่ำ
“ผม...คือ...เอ่อ…”
“นี่ เป็นอะไร” เมลดาถาม เห็นสภาพกังฟูแล้วอดยิ้มไม่ได้
“ผม...เอ่อ...คือ…” กังฟูยิ้มแหยๆ
“ผมบอกไปแล้วใช่ไหม”
“ใช่”
“ความจริงผมก็อยากจะบอกคุณมาสักพักแล้วล่ะ แต่ไม่ได้จังหวะซักที”
“กังฟู...คือว่าเรื่องนี้น่ะ…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเม พอผมรู้ว่าเรื่องอะไรผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงหนีหน้าผม ผมขอโทษที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป คุณคงอึดอัดใจมาก เอาเป็นว่าคุณลืมมันไปก็ได้ คิดซะว่าผมไม่ได้พูดได้ไหมครับ” กังฟูว่า
“กังฟู ฉันว่านายกำลังเข้าใจอะไรผิดอยู่นะ”
“คุณเมไม่ต้องห่วงครับ ผมทำใจได้ คุณไม่รักผมก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรายังเป็นเพื่อนกันได้ เล่นงิ้วด้วยกัน พูดคุยกินข้าวด้วยกันได้เหมือนเดิม”
“กังฟู...นายเป็นคนดีมากเลยรู้ตัวมั้ย”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก เอ่อ งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
กังฟูลุกขึ้นแล้วจะเดินออกไป แต่เมลดาจับมือกังฟูไว้
“เดี๋ยว”
กังฟูมองมือเมลดาที่จับมือเขา เมลดาจับแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ฉันบอกว่ากลัวนายเข้าใจผิด ท่าทางนายจะเข้าใจผิดจริงๆ” เมลดาว่า
“เรื่องอะไรครับ”
เมลดาดึงมือกังฟูให้นั่งลง
“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่ไม่รักนาย”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ฉันยังไม่พร้อมที่จะคิดเรื่องนี้ พ่อฉันถูกฆ่า ฆาตกรยังลอยนวล หลินหลินยังไม่หายดี แล้วฉันก็เพิ่งถูกผู้ชายที่เคยบอกว่ารักฉันทรยศฉันอย่างเจ็บปวด ฉันยังไม่พร้อมที่จะรักใคร”
“ผมเข้าใจครับ แล้วผมก็พร้อมจะเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ...เหมือนที่ผ่านมา”
“ฉันซึ้งใจมาก ฉันต้องอธิบาย เพราะฉันไม่อยากให้นายเข้าใจผิดว่าฉันไม่รักนาย...กังฟู ฉันรู้จักหัวใจตัวเองดี ถ้าไม่มีเรื่องเหล่านี้ เราคงเป็นแฟนกันไปแล้ว”
“ผมเข้าใจครับ แค่นี้ผมก็ปลื้มใจที่สุดแล้ว...คุณเมครับ ผมพร้อมจะทำทุกอย่างให้คุณผ่านพ้นสถานการณ์แย่ๆเหล่านั้น ขอแค่เห็นคุณมีความสุขผมก็มีความสุขเช่นกัน ความรักของผมไว้ทีหลังเถอะครับ” กังฟูยิ้มเศร้าๆ
“ขอบคุณมากค่ะ”
กังฟูยิ้ม แล้วจังหวะนั้นเอง เมลดาก็ยื่นหน้ามาจูบกังฟู เขาตกตะลึง
“มัดจำค่ะ ห้ามคุณไปรักใครจนกว่าฉันจะพร้อม”
“ผมจะเก็บมัดจำคุณไว้ตลอดชีวิตเลยครับ”
ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้มให้กันอย่างมีความสุข

กังฟูมาส่งเมลดาที่หน้าบ้านเฮียป้อ
“เออ มีอีกเรื่องนึงครับคุณเมที่คุณต้องรู้ เป็นเรื่องสำคัญมาก” กังฟูเอ่ย
“เรื่องอะไรคะ”
“คนที่ทำร้ายผมวันก่อนน่ะ คือผู้หญิงที่จับตัวพ่อคุณไปตอนนั้น”
“มิเชล”
“ครับ”
“เขาจำคุณได้มั้ย”
“จำไม่ได้หรอกครับตอนนั้นผมแต่งหน้างิ้วอยู่ แต่ผมจำเขาได้แม่น”
“เขารู้แล้วเหรอว่าฉันกับหลินหลินอยู่ที่นี่”
“ผมว่าไม่รู้ แต่เป็นเรื่องบังเอิญ เขามาตามหาคนอีกคนแต่เข้าใจผิดว่าเป็นผม แต่ยังไงก็ตาม ช่วงนี้คุณต้องระวังตัวหน่อย อาจจะเจอคุณโดยไม่ตั้งใจก็ได้ “
“ขอบคุณมากที่เตือน ฉันจะระวังตัวให้มากขึ้น” เมลดารับคำ

ตกกลางคืน เจ๊ยี้อยู่ในชุดรัดรึง สีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์ ดูเป็นนางร้ายในหนังฟิล์มนัวร์มาก เธออยู่ที่ฝั่งตรงข้ามบ้านเฮียป้อ เมื่อมองไปก็เห็นเฮียป้อกำลังปัดกวาดเช็ดถูบ้านอยู่ตามลำพังพร้อมกับร้องเพลงจีนคลอไปด้วย
เจ๊ยี้แสยะยิ้ม มองเฮียป้อเหมือนเสือมองเหยื่อ
“หึๆ เฮียป้อ ลื้อนึกไม่ถึงล่ะสิว่าลื้อจะชี้โพรงให้กระรอกเอง ครั้งนี้ ลื้อเสร็จอั๊วแน่ๆ”
ตอนนั้นเอง ชายฉกรรจ์ตัวล่ำสองคนก็เดินออกมาจากเงามืดด้านหลังเจ๊ยี้
“จำไว้นะ แค่เบาะๆ พอ อย่าทำรุนแรงเกินไป” เจ๊ยี้สั่ง
ชายฉกรรจ์สองคนพยักหน้า
“ลงมือได้” เจ๊ยี้ชูแบงค์ร้อยสองใบซ้ายขวาข้างละใบ ชายฉกรรจ์เดินผ่านเจ๊ยี้หยิบไปคนละใบ

ขณะนั้น เฮียป้อกำลังกวาดบ้านอยู่ ชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามาไม่พูดพล่ามทำเพลง มาถึงก็ชี้หน้าเฮียป้อทันที
“ไอ้ป้อใช่มั้ย” ชายคนหนึ่งเอ่ย
“เอ่อ...จ้ะ อั๊วเอง” เฮียป้อว่า
ชายฉกรรจ์สองคนเข้ามาซ้อมเฮียป้อทันที ทั้งสองเตะต่อยตุ้บตั้บจนเฮียป้อสู้ไม่ได้เลย แต่ชายทั้งสองก็ลงมือไม่รุนแรงมากนัก เมื่อพวกโจรซ้อมจนได้ที่ ก็ทำท่าเอะใจ
“เอ๊ะ หน้าไม่เหมือน ลื้อป้ออะไรวะ” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ตั่วป้อจ้ะ...อ๋อย” เฮียป้อตอบ
“อ้าว นึกว่าอุ้ยเซี่ยวป้อ โทษทีโว้ย จำผิดคน” ชายคนหนึ่งว่า แล้วทั้งสองก็เดินออกไปนอกร้าน ทิ้งเฮียป้อนอนกองไว้
เจ๊ยี้ชายทั้งสองคนเดินไปเรียบร้อยแล้วก็ทำทีเดินเข้ามา
“อุ๊ย เฮียป้อ เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย” เจ๊ยี้รีบเข้ามาประคอง
“พวกมันจำคนผิดน่ะ” เฮียป้อว่า
“ว้า ซวยจริงๆ เดี๋ยวอั๊วช่วยประคองลื้อเข้าห้องนะ” เจ๊ยี้หน้าตาเจ้าเล่ห์
“แล้วหลินฮุ่ยก็มาเจออั๊ว ประคองอั๊วไปส่งที่ห้อง”
“อีก็อวบๆ นุ่มๆ ตลอดทางมันก็ต้องมีโดนกันมั่งอะไรกันมั่ง บิ๊วกันมาตั้งนาน” เสียงของกังฟูที่สนทนากับเฮียป้อเมื่อตอนกลางวันผุดขึ้นมาในหัวเจ๊ยี้ เธอประคองเฮียป้อ จงใจให้ตรงนู้นตรงนี้เบียดกับตรงโน้นตรงนั้นของเฮียป้อ
“ขอบใจมากอายี้…” เฮียป้อเอ่ย
เจ๊ยี้ประคองเฮียป้อวนไปวนมา ตอนแรกเฮียป้อก็ยังไม่เป็นอะไรมาก แต่พอประคองไปประคองมา เฮียป้อก็ชักเริ่มมีปฏิกิริยา
“อดทนอีกนิดนะเฮียป้อ” เจ๊ยี้ว่า
เจ๊ยี้กระพือเสื้อไล่กลิ่นเข้าจมูกเฮียป้อ เฮียป้อดมๆ แล้วชักชื่นมื่น สูดดมใหญ่ เจ๊ยี้แอบมอง ยิ้มกริ่ม แผนทำท่าจะสำเร็จ
“เดี๋ยวอั๊วประคองเข้าห้องนอนลื้อดีกว่านะ” เจ๊ยี้ประคองเฮียป้อตรงไปที่ห้องนอน ไปที่เตียง
“อายี้...อั๊ว…” เฮียป้อทำหน้ากลัดมันมาก
“ลื้อขาดสติแล้วใช่มั้ย”
“แฮ่” เฮียป้อมองเจ๊ยี้อย่างหิวกระหาย กำลังจะลงมือฟัด เจ๊ยี้บิดตัวยั่วยวน
“อย่านะ อย่านะ”
เฮียป้อจับปกเสื้อเจ๊ยี้กำลังจะกระชาก ตอนนั้นเอง นาฬิกาปลุกที่หัวเตียงก็ดังขึ้น เขาชะงักดูนาฬิกา สามทุ่มตรง
“ลื้อตั้งนาฬิกาตอนสามทุ่มทำไมเนี่ย” เจ๊ยี้ถาม
เฮียป้อได้สติก็ลงจากเตียงวิ่งออกไปนอกห้อง
“เฮียป้อ ลื้อจะไปไหน” เจ๊ยี้ถาม
“วันนี้เขาทรายต่อยตอนสามทุ่ม” เฮียป้อโผล่หน้ามาตอบ แล้วหายแวบไป
“อ๊าย...ทำไมต้องมาต่อยวันนี้ด้วย” เจ๊ยี้อยากจะกรี๊ด ทำท่าจะบ้าตาย

เจ๊ยี้เดินน้อยใจมาตามถนน ก้มหน้ากลับบ้านด้วยความช้ำใจ เดินผ่านบ้านไหนก็มีเสียงเชียร์มวยดังลอดออกมา
“อั๊วไม่เข้าใจ ดูคนต่อยกันมันสนุกตรงไหน ต่อยกันทำร้ายกันมันดีกว่ากอดกันจูบได้ยังไง ฮึ” เธอรำพึง

อีกด้านหนึ่ง เฮียป้อกำลังนั่งคุยกับรูปดอกท้อ
“อาท้อ มวยจบแล้ว ... ถ้าไม่มีมวยวันนี้ อั๊วอาจจะเผลอใจทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับลื้อ เกือบไปแล้ว อาท้อ อั๊วไม่ใช่พระอิฐพระปูน อั๊วคงจะทนได้อีกไม่นาน"
เฮียป้อคิดอะไรได้ หยิบปากกาตราม้าแถวนั้น มาเขียนที่ข้อมือว่า ดอกท้อ
“เอางี้อาท้อ อั๊วเขียนชื่อลื้อที่ข้อมือ ถ้าลื้อไม่คิดมาก อยากให้อั๊วมีเมียใหม่ ก็บันดาลให้ชื่อลื้อหายไป แต่ถ้าลื้ออยากให้อั๊วรักษาสัญญา อยู่เป็นโสดต่อไป ก็ขอให้ชื่อลื้อชัดเจนแจ่มแจ๋วตลอดไป โอเคมั้ย ตกลงตามนี้นะ”
อ่านต่อหน้าที่ 2


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 8 (ต่อ)
วันต่อมา กังฟูกำลังอ่านบทงิ้ว โดยมีฮูหยินนั่งอยู่ด้วย

“บทงิ้วเรื่องใหม่นี่ยาวจังเลยนะครับ” กังฟูเอ่ย
“พูดแล้วจะหาว่าคุย มันอยู่ในหัวอั๊วทุกหน้าทุกบรรทัดเลย ลื้ออยากถามอะไรก็ถามได้เลย” ฮูหยินว่า
“ถามอะไรก็ได้แน่นะครับ”
“แน่นอน ตอบไม่ได้เลิกเรียกฮูหยินได้เลย”
“ใครคือจางเหลียงครับ”
“ใครนะ” ฮูหยินชะงัก
“จางเหลียง” กังฟูย้ำ
“มันอยู่หน้าไหนวะ” ฮูหยินรีบคว้าบทของกังฟูไปดู
“ไม่ได้อยู่ในบทหรอกครับ แต่วันก่อนมีคนมาบอกว่าผมคือลูกจางเหลียง”
ฮูหยินอ้าปากค้าง สตั๊นไปหลายวิ
“จางเหลียงคือพ่อผมจริงหรือเปล่าครับ” กังฟูถามต่อ
“ใครเป็นคนถาม” ฮูหยินถามมือไม้สั่น
“ผมก็ไม่รู้จักเขาครับ แต่เขาเรียกผมว่าจางฟุ”
ฮูหยินทำอะไรไม่ถูก มองหน้ากังฟู แล้วจู่ๆ ก็ร้องโอ๊ย จนกังฟูตกใจ
“อาจารย์แม่ เป็นอะไรครับ”
“ปวดหัวไม่รู้เป็นอะไร”
“ปวดหัวหรือปวดหู” กังฟูเอ่ย
“ปวดหัวโว้ย...กังฟู วันนี้พอแค่นี้ ลื้อกลับไปก่อน อั๊วปวดหัวสุดๆ เลย”
“ถ้าปวดมากให้ผมพาไปหาหมอไหมครับ”
“ไม่ต้อง ไปไหนก็ไป ไปๆๆ รีบๆ ไป” ฮูหยินทั้งผลักทั้งดันกังฟูจนกังฟูออกไปนอกห้อง
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ฮูหยินรำพึง หน้าซีดเผือด

ฮูหยินเล่าเรื่องให้เฮียเฉิน เฮีนหลอ และเฮียเก้าฟัง อาจารย์ทั้งสี่นั่งหน้าเครียด
“ไอ้กังฟูไม่ได้บอกเหรอว่าไอ้คนที่มาถามมันเป็นใคร” เฮียเฉินถาม
“มันไม่รู้หรอก” ฮูหยินว่า
“ถึงไม่รู้ว่าใครก็พอจะเดาออกแหละ ยังไงก็ต้องเกี่ยวกับพวกอสูรเทวาแน่ๆ” เฮียเฉินเอ่ย
“พวกมันรู้ได้ยังไงวะ” เฮียหลอถาม
“นอกจากพวกเราสี่คน ก็มีอีกแค่คนเดียวที่รู้เรื่องนี้ คือเหมยอิง” เฮียเฉินตอบ
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะเอาไงต่อดี” ฮูหยินถาม
“ในเมื่อชะตากรรมของไอ้กังฟูมันตามมาถึงที่นี่ ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงทั้งหมดแล้วปล่อยมันไป” เฮียเฉินว่า
“บุญคุณความแค้นในยุทธภพซับซ้อนเกินไป ปล่อยคนอย่างไอ้กังฟูไปก็เหมือนปล่อยไปตาย ลื้อทำใจได้เหรอ” เฮียเก้าเอ่ยขึ้น
ทุกคนอึ้ง
“ลื้อพูดก็จริง เราเลี้ยงมันมาตั้งแต่ตัวแค่นั้น ไม่ใช่ลูกก็เหมือนลูก” เฮียเฉินว่า
“ลูกสาวอั๊วหายตัวไป ก็มีมันนี่แหละที่ช่วยให้อั๊วรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง” เฮียหลอพูดขึ้น
“แต่ถ้าเรารั้งมันไว้ ความเดือดร้อนก็จะมาถึงตัวเรา” ฮูหยินเอ่ย
“อั๊วไม่กลัว” เฮียเฉินตบโต๊ะ
“ไม่กลัวไม่ได้” ฮูหยินเสียงกร้าว
ทว่าเฮียเฉินกร้าวกลับ ไม่ยอมหงอเหมือนทุกครั้ง
“ครั้งที่แล้วอั๊วเชื่อลื้อ ยอมหนีมาเมืองไทย จะให้หนีอีกเหรอวะ ป้ายเจ็ดผู้กล้าคุณธรรมจะเก็บมันไว้ทำไม เผามันทิ้งไปเถอะ”
“อาเฉิน…” ฮูหยินตกใจที่เจอเฮียเฉินกร้าวใส่
“อั๊วจะไม่หนีอีก ถ้ามีเภทภัยเข้ามาหา ลื้อพาบู๊ลิ้มหนีไป อั๊วขอสู้ตาย “ เฮียเฉินพูดแล้วเดินออกไป
ฮูหยินตกใจ เฮียเก้ากับเฮียหลอต่างคนต่างคิดอะไรในใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

พายุกินข้าวกับเนตรนภา ท่าทางใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เนตร ผมมีเรื่องอยากขอร้องคุณ” พายุเอ่ย
“เรื่องอะไรคะ”
“คุณลาออกจากไนท์คลับเถอะ”
“คุณหึงฉันเหรอ” เนตรนภามองพายุ ยิ้มอ่อนหวาน
“ใช่ คุณเป็นของผม”
“พายุคะ มองโลกในแง่ดีเถอะ การที่ฉันได้มาอยู่กับคุณแบบนี้เนี่ยมันคือน้ำครึ่งแก้วจากที่เคยเป็นแก้วเปล่าโล่งนะคะ”
“ผมต้องการน้ำเต็มแก้ว”
“คุณเลี้ยงดูฉันไหวเหรอ ตำแหน่งรองหัวหน้าของคุณอาจทำให้คุณได้กินฟรีเที่ยวฟรี แต่ไม่ได้เงินมากเท่าไหร่หรอก คุณเลี้ยงดูฉันไหวเหรอ แล้วอีกอย่าง ถ้าฉันลาออกแล้วเฮียเขารู้เหตุผล เขาจะไล่คุณออก คุณจะเอารายได้จากที่ไหน”
พายุเงียบไป พูดไม่ออก
“ฉันดีใจนะที่คุณหึงฉัน แต่มันไม่มีประโยชน์หรอก เรารักกันแบบคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วดีกว่าค่ะ” เนตรนภาสรุป
พายุกำหมัดแน่น พยายามข่มโทสะตัวเอง

พายุกับเนตรนภาควงกันอี๋อ๋อออกมาจากร้าน กังฟูขี่จักรยานผ่านมาพอดี
“ศิษย์พี่...ฮั่นแน่” กังฟูร้อง
พายุตกใจแต่ไม่ทันว่าอะไร กังฟูขี่จักรยานเลยไป
“ใครเหรอคะ” เนตรนภาถาม เธอไม่ทันเห็นหน้ากังฟูชัดเจน
“รุ่นน้องน่ะครับ” พายุตอบ
เนตรนภาไม่ติดใจอะไร เดินเคลียคลอไปกับพายุต่อไป

กังฟูล้างจานล้างชามกองใหญ่อยู่โดยมีบู๊ลิ้มช่วยเก็บนู่นนี่เล็กๆน้อยๆ
“ความจริงศิษย์น้องไม่ต้องมาล้างชามที่นี่แล้วก็ได้นะ ใช่ป่ะ” บู๊ลิ้มว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับศิษย์พี่ ถ้าศิษย์น้องไม่ทำ อาจารย์แม่ก็ต้องทำหรือไม่ก็บังคับอาจารย์เฉินทำอยู่ดี ศิษย์น้องทำแทนเลยดีกว่า” กังฟูเอ่ย
“ศิษย์น้องประเสริฐยิ่งนัก”
“มิกล้ารับ”
พายุเดินเข้ามา หน้าตาเคร่งเครียด
“บู๊ลิ้ม ออกไปก่อน อั๊วมีเรื่องจะคุยกับกังฟู” พายุว่า
“ก็คุยสิ นี่บ้านอั๊ว อั๊วอยากอยู่ตรงนี้” บู๊ลิ้มพูด
พายุเดินเข้ามาจับคอเสื้อบู๊ลิ้มแล้วยกลอยขึ้น บู๊ลิ้มร้องลั่น
“ศิษย์พี่ทำอะไร ปล่อยนะ” กังฟูจับมือพายุ
“กล้าหือกับอั๊วเหรอ” พายุจ้องหน้ากังฟู
“ศิษย์น้องมิกล้า” กังฟูหลบตา
“หาเรื่องเจ็บตัวเองนะ” พายุตบหน้ากังฟู
กังฟูหลบวูบ ปล่อยหมัดสวนจะต่อยหน้าพายุ แต่หยุดหมัดตรงหน้าพายุได้ทัน
“ลื้อจะต่อยอั๊วเหรอ” พายุอึ้ง
“ศิษย์น้องขอโทษ ศิษย์น้องไม่ตั้งใจ มือมันไปของมันเอง” กังฟูเองก็อึ้งไม่แพ้กัน
พายุตบหน้ากังฟูเพี๊ยะ
“จะลองของกับอั๊วเหรอ”
กังฟูก้มหน้าเงียบ บู๊ลิ้มรีบเข้ามาขวางหน้ากังฟู
“เอาเถอะ พอได้แล้ว อั๊วออกไปก็ได้ ไม่ต้องลงมือกับศิษย์น้องแล้วนะ” บู๊ลิ้มพูดแล้วเดินออกไป
พายุเข้ามาหากังฟู
“กังฟู ผู้หญิงที่ลื้อเห็นเมื่อกี้ ลื้อรู้ใช่ไหมว่าเขาทำงานที่ไนท์คลับเฮียติงลี่”
“จำได้ครับ”
“งั้นลื้อฟังให้ดีๆนะ เรื่องที่ลื้อเห็นอั๊วกับผู้หญิงนั่นน่ะ ห้ามบอกเฮียติงลี่เด็ดขาด”
“ศิษย์น้องทราบแล้ว”
“ถ้าลื้อปากโป้งล่ะก็ ลื้อเจ็บ...เจ็บหนักด้วย รู้มั้ย”
พายุตบหน้ากังฟูอีกที แล้วเดินออกไป
เลือดไหลย้อยออกมาจากมุมปากกังฟู แต่เขาไม่รู้ตัว ยังล้างจานชามต่อไป

กังฟูเดินออกมาจากโรงงิ้วก็เจอเมลดารออยู่
“หิวจัง ไปหาอะไรกินกันมั้ย” เมลดาถาม
“ไปสิครับ”
เมลดาเอะใจเมื่อเห็นรอยเลือดที่มุมปากกังฟู
“ไปโดนอะไรมาอ่ะ” เมลดาถาม
“อ๋อ เมื่อกี้ศิษย์พี่ตบหน้าน่ะครับ” กังฟูบอก
เมลดาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดให้
“ทำไมเขาป่าเถื่อนอย่างนี้นะ” เมลดาว่า
“อย่าไปว่าเขาเลยครับ เออใช่ เมื่อกี้ผมเห็นเขาอยู่กับพี่สาวคุณด้วย” กังฟูพูด
“พี่เนตร เขารู้จักกันได้ไง”
“คงรู้จักกันที่ไนท์คลับของเฮียติงลี่น่ะครับ แต่คุณอย่าไปบอกเฮียติงลี่นะครับ”
“ทำไมล่ะ”
“พี่สาวคุณเป็นผู้หญิงของเฮียติงลี่ แต่การที่ศิษย์พี่ขู่ผมไม่ให้บอกเฮียติงลี่ ก็แปลว่าสองคนนั้นคงมีอะไรกันแน่ๆ”
“เขาเป็นชู้กันเหรอ”
กังฟูไม่ตอบ
“เนตร…”
เมลดาหันมาหากังฟู
“กังฟู ไปหาเนตรเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันอยากไปเตือนเขา”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องพายุ ฉันรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายอันตราย เขาจะทำให้เนตรเสียใจแน่ๆ”
“ไปสิครับ”

เนตรนภากำลังจะเดินเข้าอพาร์ตเม้นต์ ส่วนเมลดายืนซุ่มอยู่กำลังจะออกไปทัก แต่แล้วก็ลังเล จนในที่สุดเนตรนภาก็เดินผ่านเมลดาไป
“เนตร” เมลดาเดินออกไปเรียก
เนตรนภาหันกลับมาเจอเมลดา ทั้งสองมองกันครู่หนึ่ง
“มีอะไร” เนตรนภาเอ่ย
“มาดูว่าเป็นไงมั่ง” เมลดาถาม
“ยังไม่ตาย”
“อือ”
“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
“อย่ารู้เลย เดี๋ยวจะเดือดร้อน”
“มีธุระอื่นอีกไหม”
“เอ่อ…”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ไปซะ หรือถ้ามีฉันก็ไม่อยากรับรู้ บอกไม่แล้วไงว่าไม่อยากเห็นหน้าเธออีก”
“คือว่า...ฉันมีเรื่องอยากมาเตือน”
“ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม” เนตรนภาเดินจากไป
กังฟูที่หลบอยู่แถวนั้น เดินออกมาหาเมลดา
“ตอนแรก ที่พายุตบหน้าคุณ ฉันว่าแย่แล้วนะ...แต่ตอนนี้ถ้าเนตรเค้าตบหน้าฉันบ้าง ฉันยังรู้สึกดีกว่าเขาเดินไปเฉยๆแบบนี้” เมลดาเอ่ย
“แต่คุณก็ไม่ได้รั้งเขาไว้นี่ครับ ไอ้ที่บอกจะเตือนก็เลยไม่ได้เตือน” กังฟูว่า
เมลดามองหน้ากังฟู
“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องเสียใจแน่ๆ” กังฟูพูดขึ้น
“ใช่ เนตรต้องเสียใจ” เมลดาเอ่ย
“เปล่า ผมหมายถึงพ่อคุณ พี่น้องเกลียดกันเอง คนที่เสียใจที่สุดคือพ่อแม่”
เมลดาอึ้งไปเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากกังฟู

วันต่อมา หลินหลินเดินออกมาจากโรงเรียนเมื่อเลิกเรียนแล้ว บู๊ลิ้มยืนรออยู่ห่างออกมา พอเห็นหลินหลิน บู๊ลิ้มก็รีบแอบหลังเสาไฟ ตั้งท่าจะจ๊ะเอ๋
แต่ทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาปิดตาเธอจากด้านหลัง
“จ๊ะเอ๋” เสียงเป๋งกุ่ยดังขึ้น
“นี่ เล่นเป็นเด็กอีกแล้วนะบู๊ลิ้ม” หลินหลินว่า
“ทายผิด ให้ทายใหม่” เป๋งกุ่ยพูด
“นายเป็นใคร” หลินหลินชะงัก
“จำเสียงเราไม่ได้เหรอ”
หลินหลินหยุดคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เป๋งกุ่ย”
“เก่งมาก” เป๋งกุ่ยปล่อยมือออก
หลินหลินลืมตา เห็นเป๋งกุ่ยยื่นบัตรให้หลินหลินดู
“นี่ หลินปิง เราตอบปัญหารายการวิทยุได้คูปองกินไก่ทอดฟรีด้วย” เป๋งกุ่ยว่า
“เก่งจัง” หลินหลินชม
“เราเลยจะมาชวนเธอ เอ๊ย นายไปกินกับเรา ไปด้วยกันนะ”
“ได้สิ ไปชวนบู๊ลิ้มด้วยมั้ย”
“บัตร 1 ใบใช้ได้แค่สองคนเอง ไปเถอะ”
“เอ...งั้นนายไปกับบู๊ลิ้มเถอะ”
“มันหมดเขตวันนี้ ถ้าไม่เจอบู๊ลิ้มก็เสียของสิ ไปเถอะ ไปด้วยกันนะ” เป๋งกุ่ยคะยั้นคะยอ

ทางด้านบู๊ลิ้มก็ยังรออยู่หลังเสาไฟ ในที่สุดก็มีเด็กผู้ชายท่าทางคล้ายๆ หลินหลินเดินผ่านมา บู๊ลิ้มกระโดดเข้าไปปิดตา
“จ๊ะเอ๋ ใครเอ่ย”
“ใครวะ”
บู๊ลิ้มได้ยินเสียงแล้วก็ชะงัก เอะใจปล่อยมือ เด็กหันมาเป็นเด็กผู้ชายมีหนวด หน้าตาเอาเรื่อง มีรอยสักคล้ายๆ เนวัดดาว
“มึงเป็นใครเนี่ย” เด็กคนนั้นถาม
“เอ่อ...เรา...เรา…” บู๊ลิ้มอึ้งๆ
“กูเป็นเพื่อนมึงเหรอ ไอ้ตี๋ หา” เด็กคนนั้นว่า
“ขอโทษ เราทักผิดคน ขอโทษนะๆ” บู๊ลิ้มเอ่ย เขามองซ้ายมองขวาก็เห็นหลินหลินเดินไปกับเป๋งกุ่ย ก็รีบวิ่งตามไป

บู๊ลิ้มเดินเร่งฝีเท้ามา มองซ้ายมองขวาไปด้วย แล้วก็หันไปเห็นภาพที่ชวนตกตะลึงผ่านกระจกร้านฟาสต์ฟู้ดวัยรุ่น เขาเห็นเป๋งกุ่ยกับหลินหลินนั่งกินอาหารกัน
บู๊ลิ้มยืนคอตก ขณะที่เป๋งกุ่ยกับหลินหลินหยอกล้อกัน ยิ้มหัวเราะ ดูมีความสุข

บู๊ลิ้มเดินอกหักผ่านฝนที่ตกหนักไป เมื่อกลับถึงบ้าน ก็อยู่ในสภาพสภาพชุดเปียก ผมลู่ เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก เหม่อลอยแบบแมนๆ
มีเสียงเคาะประตูห้อง บู๊ลิ้มเดินมาเปิดประตู ก็เจอหลินหลินถือถุงอาหารอยู่
“ทำอะไรอยู่อ่ะ”หลินหลินเอ่ย
“มีอะไรเหรอ”
“วันนี้เป๋งกุ่ยเขาพาฉันไปกินไก่มา เนี่ย ฉันเลยเอามาฝากให้ ไม่ใช่ของเหลือนะ ฉันตั้งใจสั่งให้นายเลย”
“ไม่เอา ไม่อยากกิน เอากลับไปเหอะ”
“นี่เมนูใหม่นะ ฉันกินกับเป๋งกุ่ยแล้วอร่อยจริงๆ”
หลินหลินคะยั้นคะยอให้ บู๊ลิ้มปัดมือ ถุงไก่หล่นพื้นตกกระจาย
“เอ่อ…” บู๊ลิ้มตกใจ
“ทำไมทำงี้อ่ะ” หลินหลินเอ่ย
“ก็จะทำอย่างงี้อ่ะ มีไรมั้ย” บู๊ลิ้มปรี๊ดแตกแบบไม่มีเหตุผล
“เป็นบ้าอะไรของนาย”
“เออ ถ้าบ้าก็อย่ามายุ่งกับฉันเดะ ไปหาไอ้เป๋งกุ่ยไป”
“งี่เง่าว่ะ” หลินหลินสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้อง
“เธออ่ะดิงี่เง่า อะโด่” บู๊ลิ้มปิดประตูปัง มองถุงไก่บนพื้น เตะเปรี้ยงจนไก่กระจาย
“ใครอยากกินวะ” บู๊ลิ้มว่า เขาฮึดฮัดๆ สักครู่ก็เดินมา ค่อยๆ แง้มประตูออกไป เมื่อมองออกไปก็ไม่เจอใครเลย มองซ้ายมองขวา ไม่มีใครอยู่สักคน บู๊ลิ้มปิดประตู
“ไปเลยก็ดี เชอะ ใครง้อวะ”

เนตรนภาควงพายุเดินเข้ามาในอพาร์ตเมนท์ ผู้จัดการที่นั่งอยู่ชำเลืองมองทั้งสองโดยทั้งสองไม่รู้ตัว เขามองไปจนทั้งสองขึ้นลิฟท์ แล้วรีบหยิบสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ออกมาเปิดหาเบอร์คนที่จะโทร จนเห็นชื่อติงลี่ แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้น

อีกด้านหนึ่ง ติงลี่มองไปบนเวทีที่นักร้องสาวคนหนึ่งร้องเพลงอยู่
“ทำไมเนตรนภาไม่ขึ้นเวทีวะ” ติงลี่เอ่ย
“หมู่นี้คุณเนตรมามั่งไม่มามั่งอ่ะครับ” พนักงานคนหนึ่งเอ่ย
ติงลี่ขมวดคิ้ว ท่าทางไม่ค่อยแฮปปี้ มีพนักงานคนหนึ่งเดินมาหาติงลี่จากเคาน์เตอร์
“โทรศัพท์ครับคุณติงลี่” พนักงานอีกคนเอ่ย
“จากไหนวะ” ติงลี่ถาม
“ผู้จัดการอพาร์ตเมนท์ครับ”
ติงลี่เดินมาที่เคาน์เตอร์ รับสาย
“หวัดดีอาเหว่ย จะมาทวงค่าห้องของเนตรเหรอ จ่ายล่วงหน้าไปแล้วนะโว้ยอย่ามั่ว ไม่ใช่เหรอ แล้วเรื่องอะไรวะ อะไรนะ ขึ้นห้องเลยเหรอ หน้าตามันเป็นยังไงวะ” ติงลี่บีบหูโทรศัพท์แน่น

พายุเข้ามาในไนท์คลับ พนักงานที่รออยู่แล้วเข้ามาหาทันที
“พี่พายุครับ เฮียเชิญพบที่ห้องมุกมังกรครับ”
พายุพยักหน้า
“เฮ้อ อั๊วโดนเฮียใช้หัวไม่วางหางไม่เว้นเลยโว้ย ทำไงได้ ดันเป็นคนมีฝีมือก็อย่างงี้แหละวะ” พายุบ่นๆ
“มิน่าพี่พายุได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าทุกคนเลย สุดยอดเลยครับพี่” พนักงานชื่นชม
“แต่มันต้องแลกด้วยความสามารถอ่ะนะ หึๆ” พายุตบบ่าพนักงาน แล้วเดินออกไป
“ไอ้ตะกวดเอ๊ย ไม่เคยทิปกูซักบาท กินฟรีอย่างเดียว ถุ๊ย” พนักงานนินทาลับหลังเมื่อพายุเดินไป

พายุเดินเข้ามาในห้องมุกมังกร เจอเฮียติงลี่นั่งกินหอยทอดอยู่คนเดียว
“นั่งก่อนสิพายุ” ติงลี่ว่า
พายุนั่งลง ติงลี่เอาตะเกียบคีบหอยทอดขึ้นมาเข้าปาก แต่ไม่เคี้ยว คีบกลับออกมา น้ำลายเยิ้ม ยื่นให้พายุ
“กินหอยทอดหน่อยสิ เจ้านี้อร่อยมาก”
“เอ่อ…” พายุชะงัก มองหอยที่เปียกน้ำลาย
“กินสิ ทำไมไม่กินล่ะ” ติงลี่ถาม
“ก็…”
ติงลี่เอาหอยชิ้นเดิมเข้าปาก คราวนี้เคี้ยว 2-3 ครั้ง แล้วเอาออกจากปาก หอยกระรุ่งกระริ่ง ยื่นแทบทิ่มหน้าพายุ
“กินสิ” ติงลี่พูดต่อ
พายุเบือนหน้าหนี
“เป็นไร ทีงี้แดกไม่ลง แล้วผู้หญิงของอั๊วทำไมลื้อแดกลง หา” ติงลี่อาละวาด ขว้างตะเกียบใส่หน้าพายุ
พายุตะลึง รู้แล้วว่าติงลี่หมายถึงอะไร
“เอ่อ เฮียติงลี่ ผม…” พายุเอ่ย
“พายุ อั๊วจะสอนลื้อนะ คนอย่างอั๊ว ไม่ถือความรู้ ไม่ถือมารยาท ใครไม่เรียนหนังสือ พูดจาไม่เพราะก็ทำงานกับอั๊วได้ อั๊วถือสาอยู่สามเรื่อง อันดับหนึ่งกตัญญู คนไม่กตัญญูก็ไม่ใช่คน สองคุณธรรมน้ำมิตร สามฝีมือ ต้องเป็นคนเก่ง ลื้อเป็นคนเก่ง แต่ถ้าลื้อทรยศเพื่อน อกตัญญู ลื้อไสหัวออกไปจากที่นี่ได้เลย”
พายุลนลานลุกคุกเข่าโค้งหัวจรดพื้น
“ผมผิดไปแล้วครับเฮียติงลี่ ผมขอโทษครับ ให้โอกาสผมแก้ตัวอีกสักครั้งเถอะนะครับ”
ติงลี่เห็นท่าทีของพายุแล้วค่อยใจเย็นลง
“โบราณว่าไว้ ผู้หญิงเหมือนเสื้อผ้า พี่น้องเหมือนแขนขา เข้าใจไหม”
“เฮียติงลี่พูดถูกแล้วครับ ผมมันโง่เอง”
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่ลื้อเคยช่วยชีวิตอั๊ว อั๊วจะให้โอกาสลื้ออีกครั้ง หวังว่าจะไม่พลาดอีกนะ เพราะไม่งั้นล่ะก็ อย่าหาว่าอั๊วไร้น้ำใจ” ติงลี่ถอนหายใจ
“ครับๆ ผมรู้แล้วครับ ผมจะไม่ทำผิดอีกแล้วครับ ขอบคุณเฮียติงลี่ที่เมตตาผม” พายุก้มกราบกราน
“รู้สำนึกก็ดี แต่ทำผิดแล้วก็ต้องถูกลงโทษ พายุ อั๊วปลดลื้อแล้ว ลื้อไม่ใช่รองหัวหน้าอีกต่อไป”
“เฮียติงลี่…” พายุชะงัก
“ออกไปได้แล้ว”
“เฮียติงลี่ ได้โปรด…”
“บอกให้ออกไป”
“เฮียติงลี่ อย่าปลดผมเลยครับ”
ติงลี่ไม่สนใจพายุอีกเลย ทำเหมือนพายุไม่มีตัวตน พายุร้องไห้
“เฮียติงลี่ อย่าทำแบบนี้เลยครับ สงสารผมเถอะครับ”
“นักเลงที่ไหนร้องไห้วะ ทุเรศลูกตาจริงๆ ถ้าลื้อไม่ออกไปอั๊วจะไล่ลื้อออกไปจากแก๊งค์เดี๋ยวนี้”
“ครับๆ ผมไม่ร้องแล้วครับ” พายุสะอื้นฮักๆ รีบลุกเดินถอยหลังออกไปนอกห้อง
พอพ้นห้องเท่านั้น พายุก็เปลี่ยนไป กำหมัดแน่น
“อย่าให้ถึงทีอั๊วบ้างละกันไอ้ติงลี่ “
พายุเดินออกมา 2-3 ก้าวก็ชะงัก นึกอะไรขึ้นมาได้
“ติงลี่รู้เรื่องเนตรนภาได้ไงวะ หรือว่า...ไอ้กังฟู”
อ่านต่อหน้าที่ 3


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 8 (ต่อ)
กังฟูเดินกลับบ้านตามปกติบนทางที่ค่อนข้างเปลี่ยว คนชุดดำใส่หน้ากากซุ่มอยู่ในเงามืดข้างทางเพื่อรอกังฟูเดินผ่าน คนชุดดำลงมือโจมตีกังฟูทันทีแบบทั้งเร็ว ทั้งดุดัน กังฟูรีบตั้งรับ เขาถอยหลังแต่ไม่ลนลาน คนชุดดำลงมือดุขึ้นและเร็วขึ้น ในที่สุดก็เตะหน้ากังฟูได้ทำให้กังฟูเซไปแทบสลบ กังฟูดูคนชุดดำที่แขนขาล่ำและทรงพลัง

กังฟูเอ่ยถาม “ลื้อเป็นใครวะ”
คนชุดดำไม่ตอบ เขาชี้หน้ากังฟูแล้วเอานิ้วปาดคอประมาณว่าจะฆ่าให้ตาย กังฟูจ้องคนชุดดำเขม็ง

ภาพในจินตนาการของกังฟู เขาเห็นคนชุดดำจู่โจม กังฟูหลบและตอบโต้ คนชุดดำจู่โจมอีกท่า กังฟูก็โต้กลับอีกแบบ

ที่เหตุการณ์จริง กังฟูสืบเท้าเข้าหาคนชุดดำแล้วจู่โจมก่อนทันที คนชุดดำตอบโต้เหมือนที่กังฟูจินตนาการเมื่อครู่ กังฟูจึงโต้ตอบไปตามที่คิดค้น ในที่สุดก็จัดการคนชุดดำได้ คนชุดดำถอยไปตั้งหลักแล้วจู่โจมกลับมาด้วยท่าใหม่ กังฟูจับตามองแบบตาไม่กระพริบ คนชุดดำออกหมัดจู่โจมกังฟู กังฟูหลบและตอบโต้กลับ

คนชุดดำจู่โจมใส่กังฟูไม่ยั้งมือ
“เพลงหมัดแปดทิศ” กังฟูว่า
กังฟูหลบและโจมตีตามที่คิดไว้ คนชุดดำโดนเข้าไปก็เซแซ่ดๆ คนชุดดำตั้งท่ามวยบุกเข้ามาใหม่ คราวนี้เขาลงมือได้สำเร็จโดยการกระแทกกังฟูแรงจนแทบสลบ กังฟูลุกขึ้นมาได้ก็จ้องคนชุดดำเขม็งแล้วบุกเข้าไปใหม่ คราวนี้กังฟูซัดคนชุดดำจนล้มกลิ้ง คนชุดดำจะลงมืออีก
“ถอดหน้ากากก่อนก็ได้ จะได้ลงมือได้คล่องขึ้น” กังฟูบอก
คนชุดดำส่ายหน้า
“ผมจำคุณได้...คุณเม” กังฟูบอก
คนชุดดำชะงักแล้วถอดหน้ากากออกมาก็เห็นว่าคือ เมลดา

กังฟูนั่งคุยกับเมลดาบริเวณที่ว่างหน้าห้องเช่า เมลดาถอดเสื้อผ้าชุดดำออกทำให้เห็นว่าเธอใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงรัดรูปโดยที่แขนขามีกระดาษปั้นไปแปะแล้วเอาเชือกมัดให้ดูบึ้กๆ
“นายจำฉันได้ไงเนี่ย ฉันอุตส่าห์แต่งให้ดูล่ำๆหน่อยแล้วนะ” เมลดาว่า
“ผมจมูกดีครับ จำกลิ่นเต่าคุณได้” กังฟูบอก
เมลดาชะงักมองรักแร้ตัวเองแบบเหวอๆ
“ล้อเล่นครับ” กังฟูบอก
“บ้า ถามจริงๆ” เมลดากังวล
“จำมวยพหุยุทธได้ครับ” กังฟูบอก
“แต่ฉันไม่ได้ใช้ท่าเดิมนะ”
“แต่แนวทางมันใช่ครับ ผมพอจะมองออก”
“แล้วทำไมนายแก้ทางมวยได้เร็วมากเลย”
“พอคุณใช้ครั้งนึงผมก็จำท่าได้แล้ว แล้วก็นึกภาพในหัวว่าต้องแก้ยังไง”
“รู้ตัวมั้ยว่านายเก่งมากเลยนะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ”
เมลดาถอนใจ
“ฉันนึกว่าจะใช้มวยพหุยุทธล้างแค้นให้พ่อฉัน แต่เอาเข้าจริงๆ ยังสู้นายไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ไปสู้กับมิเชล”
“ไม่นะครับ ผมรู้สึกมวยพหุยุทธน่ะร้ายกาจมาก เพียวแต่คุณยังไม่ชำนาญพอ”
เมลดาหยิบตำรามวยพหุยุทธส่งให้กังฟูดู
“ฉันยอมรับว่ายังฝึกได้ไม่เท่าไหร่” เมลดาบอก
กังฟูเปิดดู
“ผมว่ามันเป็นมวยจู่โจมที่เด็ดขาดและอันตรายมาก ถ้าคุณเมฝึกจนแตกฉานล่ะก็ผมว่าคุณสู้มิเชลได้”
“แต่มันยากมาก...ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่สิบปี”
“คงไม่นานขนาดนั้นหรอกครับ...มา ผมจะช่วยคุณเอง” กังฟูมั่นใจ

กังฟูกับเมลดาฝึกมวยพหุยุทธด้วยกัน ทั้งสองซักซ้อมกันอย่างจริงจัง
“ลองดูนะ...ผมไม่ยั้งนะ” กังฟูบอก
“มาเลย” เมลดาตั้งรับ
กังฟูเตะเปรี้ยง เมลดารับแต่ทานน้ำหนักไม่ไหวจึงเซแซ่ดๆๆ
“เอาใหม่” เมลดาบอก
“ครับ”
กังฟูเตะเปรี้ยง เมลดารับคราวนี้รับได้แล้วจับกังฟูทุ่มจนกลิ้งไปหลายตลบ
“เยี่ยม” กังฟูชม

กังฟูกับเมลดาซ้อมมวยด้วยกัน กังฟูซัดเมลดาแรงมากซึ่งเมลดาก็รับได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ทั้งสองก็ฝึกฝนจนเมลดาทำได้ เมลดานั่งพัก กังฟูลองเอาตำรามาอ่าน จากตอนแรกเขาทำท่าตามตำราพหุยุทธ ต่อมาก็เริ่มพลิกแพลง
“ทำไมท่าของนายดูแปลกๆล่ะ” เมลดาว่า
“ผมลองเอามาผสมกับมวยแปดทิศดูน่ะครับ” กังฟูบอก
“เอ๊ะ น่าสนใจนะ”
“ผมก็ว่างั้น ต้องลองดูครับ” กังฟูบอก
พูดจบกังฟูก็หลับตา

ในจินตนาการ กังฟูฝึกมวยพหุยุทธกับมวยแปดทิศต่างเวลากัน แล้วกังฟูทั้งสองร่างก็ค่อยๆ รวมกันกลายเป็นกังฟูคนเดียวพร้อมท่ามวยแบบใหม่
กังฟูลืมตาขึ้น
“ผมพร้อมแล้วครับ”

เมลดาตั้งท่าโจมตี
“เอาล่ะนะ”
กังฟูตั้งท่าเตรียมรับ
“มาเลยครับ”
เมลดาร้องย้ากแล้วบุกเข้าไป กังฟูตั้งท่าที่ใหม่และดูเท่มาก
“แปดทิศพหุยุทธ!”
เมลดาบุกถึงตัว กังฟูร้องย้าก เมลดาต่อยโดนหน้ากังฟูเต็มๆ ดังเปรี้ยง กังฟูกระเด็นแล้วล้มกลิ้งก่อนจะลุกขึ้นมาในสภาพเลือดกำเดาทะลัก เมลดาตกใจจึงรีบเข้ามาดู
“เป็นไรรึเปล่า”
“มะ..ไม่เป็นไร...ซี้ด” กังฟูสูดเลือดกำเดากลับเข้าไป
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ ทำไมโดนเต็มๆเลยล่ะ” เมลดาว่า
“คงยังไม่คุ้นน่ะครับ เพิ่งคิดเมื่อกี้”
“ไหวมั้ยเนี่ย”
“ไหวครับ...ขออีกทีครับ” กังฟูบอก

เมลดาพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
กังฟูพูดเสียงดัง “แปดทิศพหุยุทธ!”
เมลดาเตะก้านคอกังฟูเต็มเหนี่ยวจนกังฟูเซแซ่ดๆแทบจะล้มทั้งยืน เมลดาวิ่งเข้ามาจะประคอง กังฟูยกมือห้าม
“ไม่เป็นไรครับ ไหวๆ”
“ยังไหวมั้ย” เมลดาถาม
กังฟูเดินเซไปมาหลายก้าว
“ไหวๆ...รู้สึกแผ่นดินไหวๆ” กังฟูบอก
“สงสัยน้ำในช่องหูนายกระฉอกมากกว่า” เมลดาว่า
กังฟูตั้งหลักได้
“ผมรู้แล้ว มันไม่ใช่แปดทิศพหุยุทธ ผมเรียงผิด” กังฟูบอก

เมลดาบุกเข้ามา
“พหุยุทธแปดทิศ!”
เมลดาจามศอกลงกลางกบาลกังฟู กังฟูทรุดฮวบทันที
เมลดาตกใจ “ว้าย...ตายแล้ว”
“ยะ...ยะ...ยังครับ ยังไม่ตาย...ขออีกทีครับ” กังฟูบอก
“ไหวจริงง่ะ” เมลดาถาม
“เกือบได้แล้ว อีกนิดเดียว”

เมลดากระโดดเข่าลอยเข้ากลางหน้ากังฟูดังเปรี้ยง เมลดาปล่อยหมัดฮุคเข้าปลายคางกังฟู ตามด้วยจระเข้ฟาดหางเข้าก้านคอกังฟู กังฟูหมุนคว้างหลายรอบแต่ยังไม่ล้ม เขายืนเซไปเซมาอยู่ครู่นึง
“อืม ผมรู้ผมพลาดตรงไหน ขออีกทีครับ ทีนี้ได้แน่ๆ” กังฟูว่า
เมลดาถาม “แน่ใจนะ”
“ครับ”
“ระวังนะ”
“คุณเมก็ต้องระวังนะครับ พอผมเจอทางแล้ว ปล่อยออกมามันจะเหมือนระเบิดเลย”
“เข้าใจแล้ว...ย้าก”
เมลดาบุกเข้ามา
กังฟูพูดเสียงยานๆ “พหุยุทธ แปด แปด หกสิบสี่ทิศ...”
กังฟูวาดมือไม้ด้วยท่วงท่าสง่างาม
เมลดาถีบเข้ากลางหน้ากังฟูเต็มฝ่าเท้า กังฟูล้มทั้งยืน

กังฟูกับเมลดานั่งกินอาหารที่ร้านอาหารทะเลริมทางร้านหนึ่ง กังฟูหน้าตาเขียวช้ำบวมปูดจนดูแทบไม่ได้
เมลดาถาม “ไหวมั้ย”
“ไม่ไหวแล้วครับ อีกยกนี่ตายแน่ๆ” กังฟูบอก
“เฮ้อ อุตส่าห์ดีใจ นึกว่านายผสมผสานการต่อสู้สองแบบจนกลายเป็นวิชาใหม่ได้”
“มันคงฝืนธรรมชาติไปมั้งครับ มวยไทยมวยจีนคงมีพื้นฐานต่างกันมากเกินไป”
“เอาเหอะ ฉันก็ฝึกมวยไทยต่อ ส่วนนายก็ฝึกมวยจีนของนายต่อไปแล้วกัน”
“ครับ”
กังฟูมองไปรอบๆ
“วันนี้อยากกินอาหารทะเลเหรอครับ ถึงมาร้านนี้”
“ใช่ อาหารจีนนายก็ลามก เปลี่ยนเป็นอาหารไทยนายก็ลามกอีก ลองเปลี่ยนเป็นอาหารทะเลมั่ง”
บริกรเดินมาหาพร้อมยื่นเมนูให้ “เดี๋ยวมารับออเดอร์นะครับ”
กังฟูรับเมนูมาดู
“มีอะไรมั่งอ่ะ”
กังฟูอ่าน “เมนูแนะนำเดือนนี้...”
กังฟูอ่านแล้วก็เงยหน้ามองเมลดาก่อนจะหัวเราะหึๆ
“หัวเราะอะไร”
กังฟูอ่านไปขำไป
“สดจากชลบุรี หอยนมสาวยำมะม่วง” กังฟูอ่าน
เมลดาถาม “มีจริงง่ะ”
กังฟูยื่นเมนูให้เมลดาดู
“แล้วไป”
กังฟูอ่านต่อ
“พิเศษจากฮ่องกง ไข่ปูขน”
“เอาเข้าไป” เมลดาเซ็ง
กังฟูอ่านต่อ “อิมพอร์ตจากเกาหลี ปลากะจู๋”
เมลดากุมขมับ
“แล้วก็ ไข่แมงดาผัดผงกะหรี่ ...เอ่อ ผมว่าคุณเมเลือกร้านผิดแล้วล่ะ”
“ฉันว่าเป็นเรื่องของดวงมากกว่า มากับนายทีไรเป็นอย่างงี้ทุกที” เมลดาว่า
“ถ้าคุณเมไม่ชอบก็ย้ายร้านดีกว่าครับ”
“ไม่เป็นไร ไหนๆก็ไหนๆ สั่งมาให้หมด ไข่แมงดา หอยนมสาว ปลากะจู๋ แล้วก็ขนไข่ปู”
“ปูขนไข่ครับ เอ๊ย ปูไข่ขน เอ๊ย...ไข่ปูขน...เออ กว่าจะเรียกถูก”
กังฟูกับเมลดาหัวเราะออกมาด้วยกัน

สันต์ยื่นรายงานให้เมฆา โดยที่มิเชลอยู่ข้างๆเมฆา
“นี่ครับ รายละเอียดของเฮียสาม กับพายุ” สันต์บอก
เมฆารับมาดูแล้วเปิดแฟ้มทั้งสองออกก็เห็นรูปของเฮียสามซึ่งเป็นที่ปรึกษาของติงลี่กับรูปของพายุ โดยที่ในรายงานมีทั้งภาษาไทยและภาษาจีน มิเชลดูแล้วก็จำพายุได้ทันที
“ฉันจำผู้ชายคนนี้ได้” มิเชลบอก
“ใครเหรอ” เมฆาถาม
“ฉันเคยสู้กับเขา ฝีมือเขาดีมาก”
“สู้กับเขาเนี่ยนะ”
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”
เมฆาอ่านประวัติของทั้งสอง
“เฮียสามผ่านโลกมามาก สุขุม รู้อะไรควรไม่ควร ขณะที่พายุเป็นคนหนุ่ม มีความทะเยอทะยาน โลภมาก หลงผู้หญิง หยิ่งจองหองหลงตัวเอง คนแบบนี้เหมาะสมมากที่จะเป็นหนอนบ่อนไส้ให้เรา”
“แต่อาจารย์อาจจะอยากฆ่าคนคนนี้” มิเชลบอก
“เล่ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้น” เมฆาคาดคั้น


เมฆายื่นแฟ้มพายุให้จางซื่อดู จางซื่ออ่านคร่าวๆ แล้วก็หัวเราะเบาๆ
“สมกับเป็นลูกจางเหลียง เลวเหมือนพ่อมันไม่มีผิด” จางซื่อว่า
“ถ้ามันเป็นลูกศัตรู งั้นเราก็ต้องฆ่ามันใช่ไหมครับ” เมฆาถาม
“ฉันจะฆ่ามันเพราะกลัวมันจะล้างแค้นให้พ่อมัน แต่เท่าที่เห็น ฝีมือมันด็ก็จริงแต่เทียบพ่อมันได้เลย แถมนิสัยชั่วช้าแบบนี้ เราให้มันไปทำงานที่เราไม่อยากทำจะดีกว่า...ไม่ต้องฆ่ามันหรอก”
“งั้นผมจะใช้มันทรยศติงลี่เพื่อที่เราจะได้เข้าไปแทนที่ได้”
“ดีมาก จัดการได้เลย”
จางซื่อดูรูปพายุแล้วก็ยิ้มเยาะ

จางซื่อเดินเข้ามาในห้องที่เหมยอิงกับสวยนั่งดูทีวีกันอยู่ จางซื่อหยิบรีโมทมากดปิดทีวี เหมยอิงกับสวยหันมา เหมยอิงเห็นจางซื่อก็หยุดมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“มีอะไรก็ว่ามา” เหมยอิงบอก
“แค่จะมาบอกลาน่ะ ฉันเสร็จธุระที่กรุงเทพแล้ว” จางซื่อบอก
“เรื่องของแก ฉันไม่อยากรู้ ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย”
“แน่ใจเรอะ ธุระของฉันมันเกี่ยวกับหลานของเธอนะ...ไอ้จางฟุน่ะ”
เหมยอิงมองหน้าจางซื่อแล้วก็หัวเราะ
“ก็บอกว่าตายไปแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ”
“งั้นฉันอาจจะเข้าไปผิด ที่ไปเจอจางฟุที่โรงงิ้วฟ้าดิน” จางซื่อว่า
เหมยอิงชะงักแล้วก็สีหน้าซีดเผือด จางซื่อเห็นแล้วก็หัวเราะลั่น
“แก...” เหมยอิงกำหมัดแน่นและพยายามระงับสติอารมณ์
“แก...พูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” เหมยอิงว่า
“ไม่รู้เรื่อง...ก็ดี งั้นถ้าฉันฆ่ามัน เธอก็คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย ในเมื่อมันไม่ใช่จางฟุนี่” จางซื่อบอก
จางซื่อเดินออกไป เหมยอิงทนไม่ได้จึงลุกพรวดไปดึงจางซื่อให้หันหน้ากลับมา
“บอกมานะ แกทำอะไรเค้า” เหมยอิงคาดคั้น
จางซื่อเห็นท่าทีของเหมยอิงก็ยิ้มพอใจ
“ยอมรับแล้วเหรอว่าโกหกฉัน” จางซื่อถาม
“แกฆ่าเค้าแล้วเหรอ” เหมยอิงถามกลับ
“ยัง...แต่จะฆ่ามันเมื่อไหร่ก็ได้ ลำบากแค่ยกมือ”
เหมยอิงร้องไห้
“อย่าฆ่าเขานะ จางซื่อ อย่าฆ่าเขาเลยนะ”
“ก็ได้ แต่เธอต้องตอบคำถามฉันมาก่อน ... มันรู้ตัวรึเปล่าว่ามันเป็นลูกจางเหลียง”
“ไม่...พวกที่รับเลี้ยงเขาไม่ได้บอกเรื่องจางเหลียง”
“ลื้อไปหามันบ่อยไหม มันเคยเห็นหน้าลื้อมั้ย” จางซื่อถาม
“ฉันไปหาเขาปีละครั้ง แอบไปดู เขาไม่รู้จักฉันหรอก”
“ใครสอนวิทยายุทธให้มัน” จางซื่อถามต่อ
“ฉันก็ไม่รู้”
จางซื่อเดินเข้ามาหาเหมยอิง
“ใครที่โกหกฉันต้องตาย”
เหมยอิงหน้าซีด สวยวิ่งเข้ามาขวาง
“อย่าทำอะไรมาดามนะคะ” สวยบอก
จางซื่อปาดมือเบาๆ ทำให้สวยกระเด็นออกไป แล้วจางซื่อก็เดินเข้ามาโดยยกฝ่ามือขึ้นแล้วพูด
“แต่ฉันยังเห็นเธอเป็นเมียอยู่นะ ผัวเมียโกหกกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ทำอะไรเธอ แต่อย่าให้มีอีก ... ผัวเมียฆ่ากันตายก็เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกัน”
จางซื่อเดินจากมา เหมยอิงวิ่งตามมารั้งไว้
“ฉันขอร้องล่ะ ปล่อยจางฟุไปเถอะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร เขาไม่แก้แค้นหรอก”
“เรื่องของจางฟุ ฉันจะให้เมฆาจัดการ”
จางซื่อสะบัดมือเหมยอิง แล้วเดินออกไปนอกห้อง

จางซื่อนั่งรถออกไป เมฆาส่งจางซื่อเสร็จก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน เขาเจอเหมยอิงและสวยนั่งอยู่ข้างๆเหมยอิง
“เดี๋ยว เมฆา แม่มีเรื่องจะพูดด้วย” เหมยอิงบอก
“เรื่องอะไรครับ” เมฆาถาม
“จางซื่อบอกว่าชะตากรรมของจางฟุอยู่ในมือลูก”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ครับ”
“แม่มีเรื่องขอร้อง ปล่อยจางฟุไปเถอะ อย่าไปยุ่งอะไรกับเขาเลย”
“ถ้าจะว่าไป จางฟุคือญาติแท้ๆของผม ถูกไหมครับ”
“ใช่ แกกับเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน อย่าทำร้ายเขาเลย”
“นอกจากจะไม่ทำร้ายเขา ผมจะส่งเสริมเขาด้วยซ้ำ”
“ไม่ แม่ไม่อยากให้ยุ่งกับเขา”
“ผมว่าแม่ไม่เกี่ยว”
“เมฆา”
“แม่อยู่เฉยๆเถอะครับ ปล่อยให้เป็นเรื่องของผมกับพ่อดีกว่า”
“เมฆา”
“สวย พาแม่เข้าไปพักผ่อนได้แล้ว” เมฆาสั่ง
สวยลำบากใจ “เอ่อ..”
เมฆาเร่ง “เร็วสิ หูหนวกรึไง”
“ค่ะ”
สวยรีบเข้าหาเหมยอิง แต่ไม่กล้าทำอะไร
เหมยอิงพูดขึ้น “เมฆา ทำไมลูกถึงได้เห็นผิดเป็นชอบแบบนี้ ลูกไม่กลัวบาปกรรมบ้างหรือไง”
“สวย บอกให้พาแม่ไปพักผ่อน ถ้าแกไม่พาแม่ไปพักผ่อน แกเดือดร้อนแน่”
สวยหน้าเสีย เหมยอิงโกรธจนตัวสั่นก่อนจะชี้หน้าเมฆา เธอโกรธจนพูดไม่ออกและเสียใจจนน้ำตาคลอ
“แก...”
เหมยอิงสะบัดหน้าเดินเข้าไปในห้อง สวยรีบตามไป เมฆาแค่นหัวเราะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังไงผมก็ไม่ให้ไอ้พายุมันตายหรอก”
เหมยอิงกำลังจะเข้าห้องอยู่แล้วแต่ก็ชะงักแล้วหันมาเรียก
“พายุ”
“ไม่ว่าผมจะเรียกเขาว่าจางฟุ หรือ พายุ มันก็เหมือนกัน มันคือลูกของจางเหลียงผู้ยิ่งใหญ่แต่มันกำลังจะเป็นคนงานของผม ฮ่ะๆๆ”
เหมยอิงมองหน้าเมฆาแล้วไม่พูดอะไร เธอเดินเข้าห้องไป เมฆาหัวเราะอย่างสะใจ

เหมยอิงเดินเข้ามา โดยมีสวยเดินตามเข้ามา เหมยอิงนั่งนิ่งรอจนสวยปิดประตูห้องแล้วค่อยเดินเข้ามาหาสวยด้วยท่าทางร้อนรนพร้อมกับพูดเสียงแผ่วเบา
“เมื่อกี้ได้ยินไหม เมฆาเรียกจางฟุว่าพายุ”
“ค่ะ เขาคงเข้าใจผิดว่าจางฟุคือพายุ” สวยบอก
“ทำไมคนฉลาดอย่างพวกเขาถึงได้เข้าใจผิด” เหมยอิงสงสัย
“คนไทยบอกว่าสี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ถึงยังไงเขาก็เป็นคน ขอเพียงเป็นคนก็รู้จักทำผิดพลาดกันทั้งนั้น”
เหมยอิงพยักหน้าเห็นด้วย
“ว่าแต่ว่า ... ใครคือพายุ” เหมยอิงถาม
“พายุเป็นลูกบุญธรรมคนโตของบ้านงิ้ว อายุไล่เลี่ยกับกังฟูมาก เป็นคนฉลาด ไปเรียนต่อเมืองนอกเพิ่งกลับมา” สวยอธิบาย
“ทำไมรู้ละเอียดจัง”
“แหม ก็เวลาสวยไปดูโปรแกรมงิ้วให้มาดาม สวยก็คุยกับคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยอ่ะค่ะ”
เหมยอิงใคร่ครวญเรื่องราวในใจ
“สวย เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าเพิ่งแสดงพิรุธอะไรออกไปนะ”
สวยรับปาก “ค่ะ”


เมลดาเดินหากังฟู
“กังฟู...กังฟู...”
เมลดาเดินมาเจอเฮียหลอยืนอยู่หน้าห้องน้ำด้วยหน้าตาบึ้งตึง
“อาจารย์หลอ เห็นกังฟูไหมคะ” เมลดาถาม
“ลื้ออยากเห็นเหรอ” เฮียหลอถาม
“ค่ะ หนูจะตามไปซ้อมงิ้วน่ะค่ะ เมื่อกี้เห็นอยู่แว้บๆ” เมลดาบอก
“ดี อยากเห็นก็ดี ลื้อคอยดูนะ”
เฮียหลอยกเท้าถีบเปรี้ยงจนลูกบิดประตูห้องน้ำหลุดพรวดเข้าไปในด้านทำให้เห็นเป็นรูโหว่
“นี่ ดูเลย มันอยู่ข้างใน”
เมลดาร้องว้ายแล้วปิดตาทันที
กังฟูร้องลั่น “ว้าย อาจารย์ทำอะไร ศิษย์ยังไม่เสร็จธุระเลยครับ”
“ก็เสร็จซักทีสิวะ อั๊วรอลื้อมาตั้งนานแล้วนะโว้ย” เฮียหลอไม่พอใจ
“ศิษย์ไม่รู้จะทำยังไงนี่ครับ มันทำท่าจะเสร็จๆแต่มันก็ไม่เสร็จซักที”
“ทำให้มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสิวะ อย่าอ้อยสร้อย” เฮียหลอบอก
“ครับๆๆ”
กังฟูเงียบไปสักพักก็เปิดประตูออกมา เฮียหลอยิ้มแป้นแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เมลดาถาม “ท้องผูกเหรอ”
“ท้องเสียครับ...สงสัยไข่ปูขนเมื่อวานแน่ๆเลย”
“ฉันไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
“แต่ผมนี่อย่างหนักเลยครับ...อูย มาอีกแล้ว”
กังฟูเปิดประตูพรวดแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ
“เฮ้ยๆๆ ทำอะไรของลื้อวะไอ้กังฟู” เฮียหลอตกใจ
“อาจารย์ ศิษย์ขออภัยอย่างแรง”
เฮียหลอถูกผลักออกมาจากห้องน้ำในสภาพกางเกงถูกถอดหลุดมาอยู่ที่เข่าแล้ว เฮียหลอต้องดึงชายเสื้อมาปิดท่อนล่าง เมลดาร้องว้ายและปิดตาแน่น
“ไอ้กังฟู ไอ้ศิษย์อกตัญญู”
เฮียหลอวิ่งเข้าไปในห้องน้ำอีกที แต่แล้วก็ต้องรีบถอยออกมาพร้อมกับปิดประตูให้ด้วย
“โอ้โฮ ดูไม่ได้เลย เละเทะมาก ..เอออั๊วยอมให้ลื้อวันนึงก็ได้วะ แล้วล้างให้สะอาดด้วยนะเว้ย”
เฮียหลอนุ่งกางเกงให้เรียบร้อยแล้วหยุดมองเมลดาที่ยังปิดตาร้องว้ายอยู่ เฮียหลอตบหัวเมลดาเปรี้ยงจนเธอเซคะมำไป
“อีนี่ก็วี้ดๆอยู่ได้ โดนข้าวสารเสกรึไง”
“ก็หนูนึกว่าอาจารย์โป๊อยู่นี่นา”
“แหม ทำเป็นไม่เคยเห็นไปได้”
“ไม่เคยจริงๆค่ะ”
“อ๋อ เหรอ...เอ๊ะ นั่นอะไร”
เฮียหลอมองไปด้านข้าง เมลดาหลงกลมองตาม เฮียหลอจึงผลักเมลดาชนประตูแรงจนหลุดเข้าไปในห้องน้ำ เมลดากับกังฟูร้องตกใจเสียงดังลั่น เฮียหลอหัวเราะก๊ากอย่างสะใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 8 (ต่อ)
เหตุการณ์ในอดีต จางเหลียงรำกระบี่ด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย สักครู่ เงาร่างจางเหลียงก็ถูกซ้อนด้วยเงาร่างของกังฟู ใบหน้าของจางเหลียงกลายเป็นใบหน้าของกังฟู

“เป็นไงจางซื่อ นี่คือท่ากระบี่พิชิตกวาง...ข้าขอถ่ายทอดให้เจ้าเพียงผู้เดียว เพราะเจ้าคือคนที่ข้าไว้ใจที่สุด”
“ขอบคุณศิษย์พี่” จางซื่อพูด
“ไม่ต้องขอบคุณ เราพี่น้องกัน มากเรื่องทำไม ฮ่าๆๆ”
กังฟูโอบไหล่จางซื่อแล้วหัวเราะ จางซื่อพลอยหัวเราะไปด้วย ทั้งสองดูสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก แต่กังฟูยังไม่หยุดหัวเราะ เสียงหัวเราะยิ่งมากก็ยิ่งดังจนแผ่นดินไหว แต่เขาก็ยังหัวเราะจนจางซื่อต้องอุดหูแล้วมีหน้าตาเหยเก กังฟูยังหัวเราะเสียงดังจนจางซื่อทนไม่ได้ถึงขั้นลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้น

จางซื่อที่นอนหลับอยู่ลืมตาพรวดมาแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ จางซื่อมีสีหน้าเครียดและกังวล
“หรือว่าเราเข้าใจผิด”

จางซื่อมาหาหมอดูคนเดิมแล้วเล่าความฝันให้ฟัง
“ไอ้คนที่อั๊วเห็นในฝัน มันคือลูกของจางเหลียงรึเปล่า” จางซื่อถาม
หมอดูไม่ตอบแต่ยื่นมือจับชีพจรจางซื่อตรวจอยู่ครู่หนึ่ง
“ร่างกายลื้อไม่ปกติ ฝันแบบนี้ไม่แน่นอน บางทีอาจเป็นลางบอกเหตุ แต่ก็อาจจะเพราะตัวลื้อฟุ้งซ่านไปเอง” หมอดูบอก
“ถ้าอั๊วฟุ้งซ่านเองก็แปลว่าไม่มีความหมายอะไร”
“ใช่ ใครๆก็ฝัน แต่ไม่ใช่ทุกฝันที่ควรจะใส่ใจ”
“แต่ถ้ามันเป็นฝันบอกเหตุล่ะ มันแปลว่าอะไร คนที่อั๊วเห็นในฝันหมายความว่ายังไง”
“มันไม่เพียงเป็นลูกจางเหลียง จะยิ่งใหญ่กว่าจางเหลียงอีกด้วย”
“มันจะฆ่าอั๊วได้รึเปล่า”
หมอดูเงียบไปก่อนจะนับนิ้วคำนวณ
“ลิขิตสวรรค์ บอกไม่ได้”
จางซื่อเงียบไปก่อนจะประสานมือคารวะหมอดู อาเฟยวางเงินให้ จางซื่อกับอาเฟยเดินออกมา จางซื่อขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“โทรหามิเชลที”
อาเฟยรับคำ “ครับ”
อาเฟยหยิบมือถือออกมากดเบอร์ส่งให้
“มิเชลเหรอ รอเดี๋ยวนะ”
อาเฟยส่งมือถือให้จางซื่อ

เมลดาประคองกังฟูออกมาจากโรงงิ้ว
“ขอโทษนะครับคุณเม วันนี้เลยไม่ได้ซ้อมอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายเถอะ ถ่ายทั้งวันแบบนี้ จะไปหาหมอมั้ย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ มันหยุดแล้วล่ะ กลับไปนอนเดี๋ยวก็หาย”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งนะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ คุณเมรีบกลับไปหาหลินหลินเถอะครับ”
เมลดาลังเล
“ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ จริงๆ”
กังฟูทำท่ากระฉับกระเฉงให้เมลดาดู
“ก็ดี ฝืนทำท่าแข็งแรงๆไว้ก็ดี จะได้แข็งแรงจริงๆ”
กังฟูหัวเราะ
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
“ครับผม ขอบคุณมากครับ”
กังฟูกับเมลดาแยกกันไปคนละทาง

กังฟูเดินอยู่ตามลำพังในตรอกมืดๆ มิเชลแอบซุ่มอยู่ พอกังฟูเดินผ่านหน้าเธอ มิเชลก็ออกจากที่ซ่อนแล้วเดินตามกังฟูไปด้วยสีหน้าดุดัน
เสียงจางซื่อที่เคยคุยกับเธอดังในหัวของมิเชล
“ฉันระแวงว่ากังฟูอาจจะแกล้งทำเป็นไร้ฝีมือ เพราะฉะนั้นเธอต้องบีบให้มันแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา”
“แต่ถ้าไม่มีฝีมือจริงๆ ศิษย์อาจจะพลั้งมือฆ่ามันก็ได้นะ” มิเชลบอก
“ถ้าเผลอฆ่ามันก็อย่าเผลอทิ้งหลักฐานไว้ก็แล้วกัน เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ”
มิเชลกำหมัดแน่นมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมิเชลก็ยิ้มมุมปาก


เมลดาเดินๆอยู่ก็มีคนเอื้อมมือมาแตะบ่าเธอจากด้านหลัง เมลดาไหวตัวทันจึงจับข้อมือคนที่มาแตะบิด แต่คนที่ตามมาบิดข้อมือหลุดออกไปได้ เมลดาตั้งท่าเตรียมลุย แต่แล้วก็ค่อยเห็นว่าเป็นเฮียหลอ
“อาจารย์หลอ”
“ปฏิกิริยาโต้ตอบไวมากนะ อาหลินฮุ่ย ไวเกินคนธรรมดานะ ลื้อฝึกวิทยายุทธด้วยเหรอ”
“เปล่าค่ะ หนูแค่เคยเรียนมวยไทยกับพ่อน่ะค่ะ”
เฮียหลอจับตามองเมลดาแบบค้นหาความจริงแว่บหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“เอาเถอะ เออ ลื้อเห็นกังฟูไหม อั๊วจัดยาจะให้มันกิน แต่หามันไม่เจอ”
“เพิ่งแยกกันเมื่อกี้เองค่ะ เขากลับไปอีกทาง” เมลดาบอก
“ขอบใจนะ”
เฮียหลอเดินไปอีกทาง


กังฟูเดินอยู่ก็เจอมิเชลมายืนขวางทางอยู่ข้างหน้า
มิเชลถาม “กังฟูใช่มั้ย”
กังฟูเพ่งมองไปในความมืด
“คุณ...ผู้หญิงเมื่อวันก่อน”
“ขอโทษที่ลืมบอกชื่อ ฉันชื่อมิเชล ... วันนี้คุณไม่ได้แต่งงิ้วนี่นา ไหน เขยิบเข้ามาดูหน้าชัดๆ หน่อยซิ ตรงนั้นมันมืด ฉันเห็นหน้าคุณไม่ชัด”
กังฟูถอย
“ผมไม่ให้ดู คุณมีอะไรกับผม”
“ไม่ดูก็ไม่ดู ... ฟังให้ดีนะ ที่ฉันยอมบอกชื่อให้คุณรู้เพราะฉันกำลังจะฆ่าคุณ แต่ฉันจะไม่ใช้อาวุธ ใช้แค่หมัดกับเท้า เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่สู้ คุณก็ตาย”
“คุณจะฆ่าผมเรื่องอะไร ผมไปทำอะไรให้คุณ”
“แค่คุณชื่อกังฟู นั่นก็เป็นเหตุผลแล้ว”
มิเชลตั้งท่าเตรียมบุก กังฟูตั้งท่ารับ
กังฟูพูด “มวยแปดทิศ”
มิเชลแค่นหัวเราะก่อนจะบุกเข้าไป
กังฟูหันหลังให้แล้วเบี่ยงหน้ามาดูโดยไม่ยอมให้มิเชลเห็นหน้าตรงๆ มิเชลชะงัก
“มวยแปดทิศอะไรของแก” มิเชลงง
“มวยแปดทิศหันหลังครับ” กังฟูบอก
“นึกว่าฉันล้อเล่นรึไง ดี จะเอาให้ตายเลย”
มิเชลบุกเข้ามา กังฟูมองด้วยหางตาก่อนจะถอยร่นจนมาถึงที่สว่าง กังฟูยังหันตะแคงหน้าเพื่อไม่ให้มิเชลเห็นหน้า กังฟูตั้งรับ มิเชลเตะมา กังฟูมองการจู่โจมของมิเชล กังฟูหลบและรับการจู่โจมของมิเชลได้
“ฉันขอเตือนอีกครั้งนะ ถ้าคุณไม่สู้คุณตายแน่ๆ” มิเชลบอก
“ผมเอาจริงล่ะนะ”
มิเชลหัวเราะหยันแล้วบุกเข้ามา
กังฟูเห็นการเคลื่อนไหวของมิเชลทั้งหมดจึงโยกหลบหมัดมิเชลได้ เขาใช้สะโพกช่วยจู่โจมแล้วต่อยสวนออกไป หมัดกังฟูโดนสีข้างมิเชลดังแปะแบบคนไม่มีแรง มิเชลเตะสวนโครมทำให้กังฟูตัวลอยลงไปนอนกอง มิเชลบุกเข้ามาอีก กังฟูหลบได้ก่อนจะปล่อยหมัดคู่สวนใส่กลางตัวมิเชล แต่มิเชลไม่สะเทือน เธอฟาดฝ่ามือกลับมา
จนกังฟูล้มกลิ้ง
“มีฝีมือแค่นี้อ่ะเหรอ งั้นก็เตรียมตัวตายได้”
“จะให้สู้ยังไง ผมเพิ่งท้องเสีย จู๊ดๆจนหมดแรงอ่ะ” กังฟูบอก
“ตลกละ”
มิเชลบุกเข้ามา ใครคนหนึ่งกระโดดมาขวางหน้ากังฟูแล้วรับมิเชลก่อนจะยันกลับไปได้ มิเชลหยุดมอง ก็พบว่าเป็นเฮียหลอ
มิเชลถาม “แกเป็นใคร”
“เป็นอาจารย์ของมัน” เฮียหลอตอบ
“จะมาช่วยมันเหรอ”
“ใช่”
“งั้นก็ตายทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์เลยแล้วกัน”
เฮียหลอตั้งท่ามวยพิลึกกึกกือ มิเชลเห็นแล้วก็หัวเราะ
“ท่าอะไรของแกตาแก่ นี่ของจริงนะไม่ใช่เล่นงิ้ว”
“อั๊วว่าลื้อน่ะแหละเข้าใจผิด มวยอย่างลื้อน่ะยังห่างไกลจากของจริงอยู่หลายลี้ แค่มวยเล่นงิ้วเท่านั้นแหละ”
“งั้นคอยดูแล้วกันนะตาแก่”
มิเชลบุกเข้ามา เฮียหลอตั้งรับสบายๆ แบบชิลๆ พอได้จังหวะเขาก็ฟาดกลับจนมิเชลล้มกลิ้งไป
“บอกแล้วว่ามวยลื้อมันมวยเล่นงิ้ว”
มิเชลปรี๊ดแตกจึงกำหมัดบุกเข้ามาใหม่
เฮียหลอว่า “หาเรื่องเจ็บตัวจริงๆ”
เฮียหลอเอาจริงจึงมีหน้าตาดุดันและคำรามลั่น เพียงไม่กี่กระบวนท่าเขาก็ซัดมิเชลปั้กๆๆจนมิเชลถอยกรูด เพราะสู้ไม่ได้ มิเชลกัดฟันบุกเข้ามาอีกก็เจอเฮียหลอซัดถอยออกมาอีก มิเชลยืนหอบด้วยความเจ็บตัวแต่ก็ยังคิดจะสู้ต่อ เฮียหลอมองมิเชลแล้วก็ขมวดคิ้ว
“อั๊วเคยเจอลื้อที่ไหนมาก่อนรึเปล่าเนี่ย”
มิเชลจ้องเฮียหลอกลับ
มิเชลตอบ “ไม่เคย”
มิเชลบุกเข้ามาก็เจอเฮียหลอเตะสั่งสอนอีก มิเชลถอยกรูดในสภาพเลือดไหลมุมปาก เธอรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ก็จ้องกังฟูอย่างรู้ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว แล้วมิเชลก็จ้องหน้าเฮียหลอ
มิเชลถาม “แกชื่ออะไร”
เฮียหลอเก๊กหล่อ
“ชอลิ้วเฮียง”
“ไอ้แก่ อย่ามุกมาก บอกมา แกชื่ออะไร”
“บอกชื่อลื้อมาก่อน แล้วอั๊วจะบอกชื่ออั๊ว”
มิเชลจ้องหน้าเฮียหลอด้วยความเดือดดาลก่อนจะขยี้เท้า แล้วรีบจากไปหายไปในซอกมืดๆ เฮียหลอเดินเข้ามาหากังฟู
“เป็นไรมากมั้ย”
กังฟูส่ายหน้า เขาลุกขึ้นยืนได้แม้จะฝืนๆ
“ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยเหลือ”

มิเชลคุยโทรศัพท์อยู่กับจางซื่อ
“มีคนมาช่วยมันไปได้ค่ะ” มิเชลรายงาน
“มันเก่งกว่าเธอเหรอ” จางซื่อถาม
“ค่ะ”
จางซื่อเงียบไปก่อนจะถามต่อ
“แล้วตัวกังฟูล่ะ”
“ถ้าไม่มีคนมาช่วย ศิษย์ฆ่ามันได้แน่ๆ”
“ทำไมเธอถึงมั่นใจ”
“ฝีมือมันอ่อนมาก ป้องกันตัวไม่ได้เลย ครั้งที่แล้วเป็นยังไงครั้งนี้ก็เป็นอย่างนั้น ... ถ้ามันเก่งจริงอย่างที่อาจารย์สงสัย คงไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วยแบบนี้หรอก”
จางซื่อเงียบไปอีกพร้อมกับครุ่นคิด
“ตกลง ฉันเชื่อเธอ”
“แล้วจะให้ศิษย์ไปหาโอกาสฆ่ากังฟูอีกทีไหม” มิเชลถาม
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ... ขอบใจมาก”
จางซื่อวางสายด้วยท่าทีผ่อนคลาย

ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเก้านั่งคุยกัน
“ถ้าอั๊วไม่เข้าไปช่วย ไอ้กังฟูตายแน่ๆ”
“เฮ้อ แล้วใครจะช่วยมันได้ตลอดทุกครั้งวะ ตายแน่ๆไอ้กังฟูเอ๊ย เป็นถึงลูกจอมมารอันดับหนึ่งแต่ฝีมือดันอ่อนปวกเปียก”
“ไม่ใช่ วันนี้ที่มันแพ้เพราะมันท้องเสีย ... ความจริงอั๊วยืนดูมันสักพักแล้ว ถ้ามันมีแรง คนที่แพ้คือผู้หญิงคนนั้น”
ทุกคนตกใจ
“ที่กังฟูใช้คือมวยแปดทิศ แต่กลับจู่โจมเข้าจุดตายของผู้หญิงคนนั้นได้ทุกครั้ง” เฮียหลอบอก 15
“เหลวไหลละไอ้หลอ มวยแปดทิศมันจะไปสู้ใครเขาได้วะ” เฮียเก้าว่า
“ลื้อลุกขึ้นมา...ตอนอั๊วมาถึง เห็นผู้หญิงคนนั้นใช้ท่ากระเรียนจิกปลา”
“อืม...มวยของอสูรเทวาจริงๆ” เฮียเก้าบอก
เฮียเก้าตั้งท่ากระเรียนจิกปลาซึ่งเป็นท่าเดียวกับที่มิเชลใช้จู่โจมใส่เฮียหลอ เฮียหลอโยกหลบแบบกังฟู แล้วทำท่าต่อยสวนออกไปโดยหมัดโดนสีข้างเฮียเก้า ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียเก้าตกใจจึงอุทานพร้อมกัน
“อั๊ยย้า หมัดแปดทิศจริงๆด้วย”
“ยังมีอีก ผู้หญิงคนนั้นจู่โจมด้วยท่าแม่ทัพโบกธง” เฮียหลอเล่า
“นี่ก็ท่ามวยอสูรเทวา” เฮียเก้าบอก
เฮียเก้าจู่โจม เฮียหลอหลบแล้วทำท่าปล่อยหมัดคู่ใส่กลางตัวเฮียเก้าแบบกังฟู ฮูหยินกับพวกอาจารย์ตะลึง
“หมัดแปดทิศทำลายเพลงมวยอสูรเทวาได้จริงๆเหรอเนี่ย ถ้าไม่เห็นกับตา อั๊วไม่เชื่อเด็ดขาด” ฮูหยินบอก
“ถ้าลื้อไม่ทำให้ดู ให้ตายอั๊วก็นึกไม่ถึง มันใช้ก้นเป็นหมัด” เฮียเฉินบอก
“ใช่ หมัดแปดทิศถอยหลัง คดได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว” เฮียเก้าว่า
“ก็จริง แต่อั๊วก็รู้สึกว่าที่ไอ้กังฟูหันหลังสู้เพราะมันไม่อยากให้ผู้หญิงเห็นหน้ามัน”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นอีไม่ตกใจเหรอ โดนหมัดแปดทิศข่มแบบนั้น”
“ผู้หญิงคนนั้นยังเด็กเกินไป ดูเรื่องนี้ไม่ออก ยังนึกว่ากังฟูไม่มีฝีมือด้วย”
ฮูหยินกับอาจารย์ทั้งสามพูดอะไรไม่ออกไปช่วงหนึ่ง
“กังฟู...จางฟุ...ลูกพยัคฆ์ ถึงเราจะเลี้ยงให้มันเป็นสุนัข สุดท้ายมันก็ยังเป็นพยัคฆ์อยู่ดี” เฮียหลอบอก
“แล้วใครสอนหมัดแปดทิศให้มัน” ฮูหยินถาม
“หมัดพื้นฐานแบบนี้ ใครๆก็สอนได้วะ เหมือนสอนทำปาท่องโก๋นั่นแหละ”
“ยังดีที่มันเป็นแค่หมัดแปดทิศ นี่ถ้ามีวิชาลมปราณด้วยล่ะก็...”
คราวนี้เฮียทั้งสามเงียบไป สองเฮียกระเถิบถอยไปข้างหลังเฮียเฉิน เฮียเฉินเอานิ้วเข้าปากตัวเองก่อนจะแกว่งไปมาแบบเด็กๆ แล้วก็เข้ามาสะกิดฮูหยินเบาๆ
“แหะๆ...ตะเอง เค้ามีอะไรจะบอกตะเองล่ะ ตะเองอย่าโกรธเค้านะ คือว่าเค้าสอนลมปราณให้ไอ้กังฟูไปด้วยล่ะ”
ฮูหยินตกใจ “อะไรนะ ลมปราณอะไรวะ”
“ลมปราณลิ้นมังกรกับลมปราณหงส์แดงจ้ะ” เฮียเฉินบอก
ฮูหยินปรี๊ดแตกจึงรวบคอเสื้อเฮียเฉินกระชากเข้ามาแล้วง้างหมัดจะต่อย
“ไอ้แก่ อั๊วย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามสอนวรยุทธให้มัน ลื้อทำอย่างงี้แปลว่าอะไร...เอ๊ะ เดี๋ยว...เมื่อกี้ลื้อบอกลมปราณลิ้นมังกรกับลมปราณหงส์แดงเหรอ”
“จ้ะ”
“อะไรวะ แล้วไอ้กังฟูมันไม่เป็นบ้าได้ไง ลมปราณหยินหยางอยู่ด้วยกันแบบนั้น”
“ตอนนั้นพวกเราก็แปลกใจเหมือนกัน” เฮียเก้าบอก
“ไม่ใช่แค่นี้นะ จำตอนที่มันบอกว่ามันไม่สบายแล้วหายเองได้ ไอ้เก้ายังทักเลยว่ามันเหมือนลมปราณของจางเหลียง” เฮียหลอว่า
คนที่เหลือพูดพร้อมกัน “ลมปราณเคลื่อนตะวัน!”
“ก่อนจางเหลียงจะตาย อาจจะถ่ายทอดลมปราณเคลื่อนตะวันให้มัน” เฮียเก้าสัณนิษฐาน
“แต่ตอนนั้นมันยังเป็นเด็กเบบี๋อยู่ ถ่ายทอดให้ทั้งหมดไม่ได้ อย่างมากก็ครึ่งนึง ... มิน่าตอนพวกเราถ่ายทอดลมปราณให้มัน ถึงไม่เจอลมปราณเคลื่อนตะวัน” เฮียหลอบอก
“แปลว่าตอนนี้ในตัวมันมีทั้งลมปราณลิ้นมังกร ลมปราณหงส์แดง และลมปราณเคลื่อนตะวันครึ่งนึง โอ้ว์ ซับซ้อนยิ่งนัก” เฮียเฉินว่า
ฮูหยินเอามือตบหน้าผากตัวเอง
“อั๊วไม่รู้ละ”

กังฟูตั้งท่ามวยไทย เมลดาเข้ามาดูอย่างใกล้ชิด
“นี่คือท่าพื้นฐานของมวยไทย การตั้งรับการรุกจะวางเท้าอยู่บนรูปสามเหลี่ยมแบบนี้ เรียกว่า ย่างสามขุม”
กังฟูลองฝึกตามเมลดา
“ท่าเดินของนายดูเก้ๆกังๆจังเลย” เมลดาว่า
“ก็เพิ่งเคยเรียนมวยไทยเป็นครั้งแรกนี่ครับ”
เมลดาหยุดมองกังฟู
“นายจะเรียนมวยไทยไปเพื่อผสมกับมวยจีนให้ได้เลยเหรอ”
“เปล่าครับ”
“แล้วจะเรียนมวยไทยไปทำไม”
“เพื่อคุณเมไงครับ”
“เพื่อฉัน?”
“ครับ เวลาซ้อมพหุยุทธกัน ถ้าผมรู้พื้นฐานมวยไทยบ้าง จะรับส่งกับคุณเมได้คล่องแคล่วขึ้น ทำให้การซ้อมได้ประสิทธิภาพเต็มที่ ฝีมือคุณเมจะได้ก้าวหน้าเร็วขึ้นด้วย”
เมลดาอึ้งไป
“ขอบใจมากนะกังฟู ... จริงๆฉันก็คิดแบบนายนะ แต่ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง คิดไม่ถึงว่านายจะยอมฝึกมวยไทยเพื่อมาซ้อมกับฉัน”
“เรื่องเล็กครับ เพื่อคุณเมผมทำได้อยู่แล้ว”
กังฟูพูดซื่อๆ เมลดาซึ้ง กังฟูยิ้มทะเล้น
“ไงครับ พูดแบบนี้แล้วหล่อมั้ยครับ อิๆ”
เมลดาเขิน “บ้า”

เมลดาสอนกังฟูเตะแบบมวยไทย ตามด้วยสอนการศอกแบบมวยไทย และตีเข่าแบบมวยไทย

พายุนั่งจ่อมอยู่คนเดียวอย่างเหงาๆ เนตรนภาเดินเข้ามา พายุมองเนตรนภาแล้วก็ยิ้ม
“คุณเนตร”
พายุกำลังจะลุกไปหา แต่เนตรนภาทำหน้าเฉยและไม่ทักตอบ เธอเมินและเดินหนีไป พายุอึ้งแล้วก็นั่งลงอีกครั้ง พายุถอนใจอย่างเซ็งๆ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะคิกคัก พายุหันไปเจอบริกรกับ พนง.บัญชีที่เค้าเตอร์กำลังมองมาทางเขาพร้อมทั้งเม้าท์กระซิบกระซาบและหัวเราะคิกคัก แต่พอเห็นเขาหันไปมองทุกคนก็หยุดเม้าท์ทันที พายุลุกพรวดเดินไปหา บริกรทำท่าเดินหนี พายุกระชากไหล่บริกรให้หันมา
“ลื้อหัวเราะเยาะอั๊วเหรอ” พายุถาม
“เปล่าครับพี่ พี่เข้าใจผิดแล้วครับ”
“เข้าใจผิด นึกว่าอั๊วโง่หรือไงวะ”
“เปล่าจริงๆครับ”
พนง.บัญชีรีบเข้ามาปราม
“เปล่านะคะ เราคุยกันเรื่องอื่นค่ะ ท่านรองหัวหน้า”
พายุหันขวับมา
“เยาะเย้ยอั๊วเหรอ เรียกอั๊วว่ารองหัวหน้านี่เยาะเย้ยอั๊วใช่มั้ย”
“เปล่าค่ะ หนู...”
พายุตบ พนง.ฉาดจนกระเด็นไป เขาหันมาต่อยใส่บริกรไม่ยั้ง
“หัวเราะเยาะอั๊วต้องเจอแบบนี้ นี่ จำไว้เลย นี่”
ระหว่างที่พายุอัดพนง.อยู่ เมฆากับมิเชลก็อยู่อีกด้านหนึ่งของคลับโดยดูพายุอาละวาด เมฆาหัวเราะเบาๆ
“ตลกอะไรคะ” มิเชลถาม
“ไม่ได้ตลกหรอก แค่ดีใจน่ะ” เมฆาว่า
“ดีใจเรื่องอะไร”
“เธอบอกมันเก่งมากใช่มั้ย”
“ใช่ ฝีมือดีมาก”
“แต่โง่งี่เง่ามาก คนเก่งแต่โง่แบบนี้หลอกใช้ง่าย หายากนะ เวลาเจอฉันก็เลยดีใจไง”
มิเชลมองตามเมฆาไปก็เห็นพายุยังเดือดดาลอยู่ เธอยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ
“ฉันว่าคุณพูดถูกนะ หึๆ”

พายุเดินออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด มิเชลเดินมาหา
“สวัสดีค่ะคุณพายุ”
พายุหันมาเจอมิเชลก็งง
“คุณรู้จักผมเหรอ” พายุถาม
“รู้จักมากกว่าที่คุณคิด” มิเชลบอก
พายุหรี่ตามองมิเชล
“คุณเป็นใครกันแน่ ต้องการอะไรจากผม” พายุถาม
“ฉันตอบคำถามคุณแน่ แต่ก่อนหน้านั้น คุณถามตัวเองดีกว่าว่าคุณอยากได้อะไรจากฉัน...คุณจางฟุ”
อ่านต่อตอนที่ 9

กำลังโหลดความคิดเห็น