ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 4
เส้นด้ายนั้นสะบัดไปมาเหมือนงู คลื่นพลังที่แฝงอยู่ในด้ายพุ่งไปหาหลินหลิน มิเชลชะงักไปวูบหนึ่ง
“ตายซะ” มิเชลกดฝ่ามือลงไป
แต่ช้าไปแล้ว ร่างหลินหลินพุ่งวาบขึ้นสูง หลุดจากเงื้อมมือมิเชล มิเชลไม่ยอม เธอกระโดดตามฟาดฝ่ามือเข้าใส่
กังฟูกระตุกฝ่ามือ ร่างหลินหลินพลิกพุ่งไปอีกทาง มิเชลตะโกนลั่น พลิกตัวกลางอากาศ ถีบใส่หลินหลิน
กังฟูยกฝ่ามืออีก ร่างหลินหลินพุ่งกลับมาทางกังฟู ร่างมิเชลที่อยู่กลางอากาสหมดแรงส่งแล้วจึงตกลงบนพื้น เธอหันมามองร่างหลินหลินพุ่งกลับไปหากังฟู กังฟูยกแขนรอรับด้วยสีหน้าทรนงองอาจ แต่แล้วด้ายที่มัดตัวหลินหลินก็หลุดออกมา หลินหลินพุ่งผ่านมือกังฟูไป กังฟูตาเหลือก ตกใจร้องลั่น
“เฮ้ยๆๆๆ จะไปไหน” กังฟูวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน หลินหลินหล่นลงพื้น กลิ้งไปหลายทอด
“ตายแล้ว ซวยๆๆ” ในที่สุด กังฟูก็กระโดดตะครุบร่างหลินหลินไว้ได้
“หลินหลิน เป็นอะไรมั้ย” กังฟูถาม
“โอ๊ย เจ็บ…” หลินหลินร้องครางเบาๆ
“หา รู้สึกตัวแล้วเหรอ” กังฟูตาโตอีกครั้ง
หลินหลินพูดเพียงเท่านั้นก็สลบไปอีก
มิเชลมองกังฟูอย่างโกรธจัด
“ฆ่ามัน” มิเชลพูด
พวกลูกน้องของมิเชลรีบวิ่งมาหากังฟู ส่วนมิเชลวิ่งแล้วกระโดดแซงพวกลูกน้องพุ่งมาหากังฟูอย่างรวดเร็ว
กังฟูสะบัดฝ่ามือ ด้ายในมือหลุดออกไป ด้านหนึ่งพันขามิเชล ปลายอีกด้านที่เคยมัดตัวหลินหลินก็สะบัดไปพัน
กับเสา
มิเชลพุ่งวาบมา กำลังจะถึงตัวกังฟู ด้ายที่พันขาเธอก็ตึงวูบ ดึงขาเธอไว้ มิเชลเกือบล้มคว่ำ แต่เธอยังไวพอ
พลิกกายหมุนสะบัดขาจนด้ายขาด ใช้มือยันพื้นได้ทัน
กังฟูรีบอุ้มหลินหลินหนีลงไปที่ถนน เลี้ยวไปทางด้านซ้าย หายลับไป
มิเชลเงยหน้าขึ้นมา คำรามลั่น มีลูกน้องคนหนึ่งที่วิ่งตามมาถึง มิเชลฟาดแขนลูกน้องหงายผึ่ง ก่อนจะหยิบปืนลูกน้องออกมาแล้ววิ่งตามกังฟูไป
มีรถคันหนึ่งวิ่งสวนออกมา มองเข้าไปไม่เห็นคนขับ แต่เห็นเมลดานั่งข้างคนขับ โดยมีกังฟู หลินหลิน และชนะอยู่ด้านใน กังฟูยิ้มแหยๆให้มิเชล
“ขอโทษนะครับที่ต้องสู้กับผู้หญิง” กังฟูเอ่ย
รถขับหนีออกไปได้ มิเชลไล่ยิงตามหลังจนกระสุนหมด แล้วเขวี้ยงปืนอย่างหัวเสีย
เมลดาที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถ หันมาหากังฟูกับหลินหลิน
“พวกคุณปลอดภัยมั้ย”
“โอเค…” กังฟูตอบ ก่อนจะหันมาทางชนะ
“คุณอาเป็นไงบ้างครับ” กังฟูถาม
ชนะพูดไม่ออก สีหน้าเหยเก
เมลดาหันมาทางคนขับ ปรากฏว่าเป็นเนตรนภานั่นเอง
“พ่อดูไม่ดีเลยพี่”
“ฉันรู้แล้ว” เนตรนภาเอ่ยแล้วเหยียบคันเร่งอีก
รถของเนตรนภาจอดที่หน้าโรงพยาบาล เนตรนภา เมลดา กังฟู ลงจากรถทันที
“ช่วยด้วยค่ะ”
เจ้าหน้าที่รีบวิ่งมาพร้อมเตียง กังฟูกับเจ้าหน้าที่ช่วยกันแบกร่างชนะลงจากรถมาขึ้นเตียง เจ้าหน้าที่รับช่วงต่อเข็นเตียงไปทันที
“คุณไปเถอะ ผมดูหลินหลินเอง” กังฟูบอกเมลดา
เมลดาพยักหน้าขอบคุณกังฟู วิ่งตามเนตรนภาและชนะไป
เนตรนภากับเมลดายืนกระวนกระวายอยู่หน้าห้องผ่าตัด สักครู่หมอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เนตรนภากับเมลดาเข้ามาหาหมอทันที
“ผมเสียใจด้วยนะครับ คนเจ็บเสียชีวิตแล้วครับ” หมอเอ่ย
“ไม่…” เนตรนภาเอ่ย
เมลดาช็อคไป พูดอะไรไม่ออก
ขณะที่หมอกำลังจะเดินจากไป เนตรนภาก็เข้าไปหาหมอ
“แต่หมอที่รักษาพ่อฉันบอกว่าคุณพ่อกำลังจะหาย”
“คุณพ่อคุณไม่ได้เสียด้วยโรคมะเร็ง แต่เขาถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจนร่างกายทนไม่ไหวครับ อวัยวะภายในบอบช้ำ เสียเลือดจำนวนมาก” หมอเอ่ย
เนตรนภาอึ้งไปเมื่อได้ยินคำตอบ
เนตรนภากับเมลดาเข้ามาในห้อง พยาบาลสองคนกำลังเก็บอุปกรณ์อยู่ เดินสวนออกไป
เนตรนภากับเมลดาเข้ามาดูร่างของชนะที่นอนอยู่ เมลดาดึงผ้าคลุมหน้าออก กอดร่างชนะร้องไห้
“พ่อกำลังจะหายอยู่แล้ว...กำลังดีขึ้นแล้ว…” เนตรนภาพูดพึมพำ ก่อนหันขวับมาหาเมลดา
“เพราะแก ที่พ่อต้องตายก็เพราะแก ได้ยินมั้ย พ่อไม่ได้ตายเพราะมะเร็ง พ่อตายเพราะแกไปมีเรื่องกับคนอื่น” เนตรนภาตลวาดลั่น
“ฉัน…”
“แกมันตัวกาลี แกพาพวกมันมาหาพ่อ”
เมลดาก้มหน้า เถียงไม่ออก
“ฉันเกลียดแก”
พวกพยาบาลที่ได้ยินเสียงโวยวายรีบเข้ามาในห้อง
“เอ่อ คุณคะ ใจเย็นก่อนนะคะ” พยาบาลว่า
“ฉันเกลียดแก พ่อตายเพราะแก แกไปซะ ไปไกลๆ ไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีก ไปสิ” เนตรนภาว่า
เมลดายืนร้องไห้ เนตรนภาเข้ามาตบเมลดาสุดแรง เมลดาถลาลงไปฟุบกับฟื้น เนตรนภาจะตามมาตบอีก พยาบาลรีบเข้ามาห้ามไว้ เนตรนภาจะเข้ามาตบให้ได้ พยาบาลก็พยายามยื้อไว้
“ไปซะ อีลูกทรพี แกทำให้พ่อตาย” เนตรนภาโวยวาย
เมลดาลุกขึ้นมองศพชนะ ไหว้แทบเท้า
“ไปได้แล้ว อีเสนียดจังไร ไปซะ” เนตรนภาพูด
เมลดาเดินก้มหน้าร้องไห้ออกไป
“แกไม่ใช่ลูกพ่อ ไม่ใช่น้องฉัน ไม่ต้องกลับมาอีกนะ ไปเลย ไป” เนตรนภาตะโกนไล่หลังไป
เนตรนภาโผไปกอดศพชนะ ร้องไห้ “พ่อ”
มิเชลยืนก้มหน้าตรงหน้าเมฆา ที่นั่งจ้องเธออยู่
“มิเชล ฉันเตือนเธอแล้วใช่มั้ยว่าถ้าเธอทำผิดพลาดจะเกิดอะไรขึ้น” เมฆาว่า
“ถึงคุณไม่เตือนฉันก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” มิเชลเอ่ย
“พ่อฉันอาจจะฆ่าเธอก็ได้”
“ฉันรู้”
เมฆามองมิเชล โทรศัพท์บนโต๊ะดัง เมฆากดสปีกเกอร์โฟน
“สวัสดีครับ” เมฆารับสาย
“ฉันเอง” เสียงจางซื่อดังมาตามสาย
“ครับพ่อ”
“เป็นไงบ้าง ปิดเกมส์ได้มั้ย”
มิเชลหลับตา ข่มใจ
“เรียบร้อยครับ ไม่มีปัญหาครับ ทั้งหลินหลินแล้วก็ครูของมัน เราจัดการหมดแล้วครับ” เมฆาบอก
มิเชลตกใจ มองเมฆา จางซื่อหัวเราะด้วยความพอใจ
“ดีมาก ทำงานได้ดี ต่อไปนี้แกก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว เดินหน้าได้เต็มที่ ขยายอิทธิพลให้มากที่สุด เป็นเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย” จางซื่อว่า
“ครับ”
จางซื่อหัวเราะพอใจมาก แล้ววางสายไป
“คุณทำอะไรน่ะ ... ถ้าท่านอาจารย์รู้ว่าคุณโกหกท่านล่ะก็...ท่านอาจจะฆ่าคุณก็ได้นะ” มิเชลเอ่ย
“ฉันทำสิ่งที่ฉันต้องการทำ ฉันไม่สนใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่างมัน” เมฆาบอก
“เมฆา... “ มิเชลเอ่ย
“ที่เราทำได้คือต้องรีบหาหลินหลินกับเมลดา ฆ่ามันซะ ไม่ให้พ่อฉันรู้ความจริง ไม่อย่างนั้นเราสองคนคงไม่รอดแน่ๆ” เมฆาพูดก่อนจะลุกเดินออกไป
มิเชลเข้ามาขวาง
“นับแต่วันนี้ ฉันไม่ใช่คนของท่านอาจารย์ แต่ฉันคือคนของคุณ” มิเชลเข้ามากอดเมฆา
หลินหลินถูกพามานอนในที่พักของกังฟูที่เดิม โดยมีบู๊ลิ้มที่นอนเฝ้าดูอาการของหลินหลิน
“หลินหลินเป็นไงบ้าง ตื่นหน่อยสิ เมื่อกี้ศิษย์น้องบอกว่าเธอคืนสติขึ้นมาแล้วนี่นา ...ได้ยินฉันไหมหลินหลิน”
หลินหลินยังนอนนิ่ง
ขณะเดียวกัน เมลดานั่งร้องไห้ โดยมีกังฟูอยู่ข้างๆ กังฟูไม่รู้จะปลอบยังไง ได้แต่นั่งเป็นเพื่อน ทั้งสองนั่งอยู่แบบนั้นจนพระอาทิตย์ขึ้น
“คุณเม...ไปใส่บาตรกันมั้ยครับ” กังฟูเอ่ยชวน
กังฟูพาเมลดาไปใส่บาตร ส่วนตนเองยืนดูอยู่ใกล้ๆ
ที่งานศพของชนะซึ่งเป็นงานศพเล็กๆ คนมาไม่กี่คน มีเนตรนภาซึ่งเป็นเจ้าภาพยืนคอยต้อนรับแขกเหรื่อ มีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินปะปนอยู่ในบริเวณนั้นด้วย คอยมองหาเมลดา ส่วนเมลดากับกังฟูยืนดูอยู่ห่างๆ เมลดาสวมแว่นสีดำอันใหญ่ สวมวิกผมหยิกหยอง ขณะที่กังฟูก็สวมแว่นดำ วิกหยิกหยองแบบเดียวกัน เมลดายกมือไหว้ไปทางศาลา
“พ่อคะ หนูขอโทษค่ะ เป็นความผิดของหนูเอง ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ” เมลดาร้องไห้
“คุณลุงครับ ถึงผมจะรู้จักคุณลุงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็เสียใจมากที่คุณลุงจากไปแบบนี้ ... ผมโชคร้ายที่ไม่มีพ่อ แต่ถ้าผมโชคดีพอ ผมอยากมีลูกสาวที่น่ารักแบบที่ลุงมี ผมเชื่อว่าลุงคงรักและภูมิใจในลูกสาวคนนี้มาก” กังฟูยกมือไหว้ด้วย
เมลดาอึ้งไป หันมามองกังฟู
“ผมดูออกว่าลุงเป็นคนมีเหตุผล ลุงก็คงไม่เอาเขาเป็นแพะรับบาป โทษเขาในสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา ใช่ไหมครับ” กังฟูพูด
กังฟูหันมาทางเมลดา “ผมเดาว่าท่านตอบว่าใช่นะ เพราะถ้าไม่ล่ะก็ แปลว่าพ่อคุณเป็นคนมั่วมากๆ พ่อคุณเป็นคนแบบนั้นรึเปล่า”
“ไม่...พ่อเป็นคนมีเหตุผลมากที่สุด” เมลดาตอบ
“งั้นท่านก็ไม่โทษคุณหรอก คุณก็เลิกโทษตัวเองได้แล้ว” กังฟูว่า
“กังฟู…” เมลดามองกังฟูก่อนหันไปทางศาลางานศพพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อย
มิเชลกับเมฆากำลังทานข้าวด้วยกันอยู่ในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง
“ไอ้คนที่มาช่วยเมลดามันเก่งมากเหรอ ถึงเอาตัวหลินหลินกลับไปได้” เมฆาถาม
“ฉันดูไม่ออก เพราะไม่ได้สู้กับมันตรงๆ” มิเชลว่า
“แต่มันเอาหลินหลินกลับไปได้” เมฆาเอ่ย
มิเชลแค่นหัวเราะ
“เพราะฉันประมาท คิดไม่ถึงว่ามันจะมาไม้นี้....แล้วอีกอย่าง ไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนฝึกลมปราณลิ้นมังกรได้ขนาดนี้” มิเชลว่า
“ทำไมล่ะ ลมปราณลิ้นมังกรมันยากมากเหรอ” เมฆาถาม
“ไม่ยากเท่าไหร่ ใช้ต่อสู้ก็ไม่ค่อยได้ แถมมีอันตรายอีก ... แต่ไอ้หมอนี่ มันฝึกถึงขั้นใช้เส้นด้ายยกตัวหลินหลินได้ แปลว่ามันเกือบถึงระดับสามแล้ว” มิเชลบอก
“ถึงระดับสามแล้วเป็นไงเหรอ” เมฆาสงสัย
“ถ้าคุณรู้คุณจะหนาว ต่อให้ตายก็ไม่ยอมฝึกแม้แต่ขั้นที่หนึ่ง” มิเชลว่า
“ขนาดนั้นเชียว” เมฆาเอ่ย
มิเชลอดหัวเราะไม่ได้ เมฆายิ่งอยากรู้
ขณะเดียวกัน เมลดากับกังฟูเดินกลับจากวัดในซอยเล็กๆ
“ขอบใจนะที่อยู่เป็นเพื่อน ฉันรู้สึกดีมากเลย” เมลดาเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วคุณจะทำยังไงต่อล่ะ” กังฟูถาม
“ยังไม่รู้เลย”
“คุณเจอมาเยอะ ผมเห็นใจ อยากช่วยให้มากกว่านี้แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง”
เมลดายิ้มให้กังฟู กังฟูกลับเดินไปเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง
“ดอกไม้นี่สวยจัง...กลิ่นก็ฮ้อมหอม”
เมลดามองกังฟูอย่างงงๆ
“ดูไม่ออกเลยนะว่านายจะชอบดอกไม้”
“ไม่รู้สิ เมื่อก่อนคงยังไม่รู้ตัวเอง แต่ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่าชอบแบบนี้”
กังฟูใช้สองมือจับดอกไม้มาดมอย่างทนุถนอม เมลดายิ่งงงมากขึ้น
ที่คณะงิ้วฟ้าดิน เฮียหลอเล่าเรื่องถ่ายทอดลมปราณลิ้นมังกรให้เฮียเฉินกับเฮียเก้าฟัง
“ลมปราณขั้นสองครึ่ง!” เฮียเฉินและเฮียเก้าอุทานอย่างตกใจ
“จุ๊ๆ เดี๋ยวฮูหยินได้ยิน” เฮียหลอว่า
“อั๊ยหยา ไอ้หลอ ลื้อทำอะไรลงไปวะ ลื้อถ่ายทอดลมปราณลิ้นมังกรขั้นสองครึ่งให้กังฟูเนี่ยนะ โอย” เฮียเฉินเอ่ย
“อั๊วไม่ตั้งใจนี่หว่า แต่ไอ้กังฟูมันเอาวิสกี้มาล่อ อั๊วก็ใจอ่อน ถ่ายทอดลมปราณขั้นที่สองให้มัน” เฮียหลอว่า
ภาพขณะเฮียหลอถ่ายทอดพลังลมปราณให้กังฟูย้อนกลับมา ขณะนั้น เฮียหลอพากังฟูออกมาที่ลานโล่ง ส่งเชือกมนิลาเส้นโตเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งเซ็นติเมตรขดใหญ่ให้ เฮียหลอจับปลายเชือกมะนิลาผูกกับขวดน้ำพลาสติกใบหนึ่งซึ่งมีน้ำอยู่เต็มขวด แล้วถอยมา ถือปลายอีกด้านในมือ เกร็งพลัง เดินลมปราณ
“ลมปราณลิ้น...เอ๊ย ลมปราณมัดบ๊ะจ่างเนี่ย ขั้นที่หนึ่งมัดบ๊ะจ่างได้ว่องไว ขั้นที่สองบังคับเชือกได้ดังใจ ขั้นที่สาม เส้นด้ายตัดภูผา” เฮียหลอว่า
“หมายความว่ายังไงครับ” กังฟูถาม
“ก็กำลังจะสอนอยู่นี่ไง ... ดู...ย้าก” เฮียหลอกระตุกข้อมือ เชือกขยับวูบ คลื่นพลังวิ่งไปตามเส้นเชือก จนถึงขวดน้ำ ขวดน้ำลอยขึ้นสูง แล้วตกลงบนมือเฮียหลอ เฮียหลอหยุดและหอบเล็กน้อย
“เป็นไง จ๊าบมั้ย...ไหน ลื้อลองมั่งซิ” เฮียหลอเอ่ย แล้วหลอโยนขวดน้ำไปที่เดิม
กังฟูจับปลายเชือก เกร็งลมปราณ “ย้าก”
เส้นเชือกกระตุกวูบเหมือนมีชีวิต คลื่นพลังรวดเร็วรุนแรง วิ่งไปหาขวดน้ำ ขวดน้ำพุ่งพรวดเข้าหน้าเฮียหลอ แต่เฮียหลอยกมือมารับได้ทัน
“ศิษย์ขอโทษ ศิษย์ไม่ตั้งใจ” กังฟูพูดอย่างตกใจ
“เอ่อ...ไม่เป็นไร...แต่ว่า ทำไมขวดน้ำของลื้อมันพุ่งแรงกว่าของอั๊วอีกวะเนี่ย” เฮียหลอเอ่ย
“ศิษย์ไม่ทราบเหมือนกัน ... ท่านอาจารย์ ศิษย์สามารถใช้เชือกที่เล็กกว่านี้ ยกของที่หนักกว่านี้ได้หรือไม่”
“ลองฝึกดู ถ้าฝึกหนักๆอาจจะทำได้” เฮียหลอพูดแล้วเดินจากไป ปล่อยให้กังฟูฝึกตามลำพัง
กลับมาที่ปัจจุบัน เฮียหลอเล่าเรื่องให้อาจารย์ทั้งสองฟังต่อ
“อั๊วก็ไม่ได้คิดอะไร รู้ดีว่าต่อให้ฝึกยังไงมันก็ได้แค่นั้น อย่างเก่งก็ยกของได้หนักขึ้นนิดหน่อย แต่ที่โกหกมันเพราะอยากเอาเวลามากินเหล้ามากกว่า เหล้ามันดีจริงๆ กินเพลินเลยกว่าจะรู้ตัวก็ตอนบ่ายของอีกวัน ก็เลยว่าจะให้กังฟูไปหาข้าวมาให้กิน…”
ภาพในอดีตขณะที่เฮียหลอสอนพลังลมปราณให้กังฟูผุดขึ้นมาอีกครั้ง เฮียหลอเดินตามหากังฟู เจอกังฟูยังซ้อมอยู่ที่เดิม
“ อะไรของมัน ฝึกตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เลยเหรอ…” เฮียหลอว่า แล้วเดินออกไป
“กังฟู อั๊วหิวแล้ว ลื้อช่วย…” เฮียหลอว่า ก่อนจะตาค้าง พูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เมื่อเห็นกังฟูฝึกลมปราณลิ้นมังกร กังฟูท่าทางคร่ำเคร่งมาก เหงื่อตก อิดโรยแต่ยังมุ่งมั่น เขาจดจ่อมากจนไม่ได้ยินเสียงเฮียหลอผู้เป็นอาจารย์ กังฟูใช้เชือกไหมพรม สะบัดมือแล้วคลื่นพลังวิ่งไปตามไหมพรม ยกเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งลอยพุ่งกลางอากาศ กังฟูสะบัดมือ เก้าอี้พุ่งไปอีกทาง กังฟูสะบัดมืออีกครั้ง เก้าอี้พุ่งมาหากังฟู กังฟูกระโดดนั่งบนเก้าอี้
เฮียหลอถึงกับตาเหลือก พูดกับตัวเองเบาๆ
“แบบนี้เกินขั้นที่สองแล้ว...ภายในคืนเดียวเนี่ยนะ”
กังฟูมองไหมพรมในมือ แล้วพูดออกมาว่า “ต้องใช้เชือกที่เล็กกว่านี้อีก”
เมื่อเฮียหลอได้ยินก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก
กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน
“อั๊ยหยา…” เฮียเฉินกับเฮียเก้า อุทานพร้อมกัน
“ลมปราณลิ้นมังกรของมันตอนนี้คงอยู่ที่ขั้นสองครึ่ง” เฮียหลอพูดต่อ
เฮียเก้าถีบเฮียหลอล้มแล้วชี้หน้าด่า
“ลื้อมันซี้ซั้ว ครั้งที่แล้วก็เพิ่งคุยกันหยกๆว่าไอ้กังฟูมันได้เลือดพ่อ สอนอะไรนิดเดียวมันก็ต่อยอดได้หมด ลื้อยังจะถ่ายทอดลมปราณให้มันอีก”
“ลื้อก็รู้ คนอย่างอั๊วพอเห็นเหล้าก็ลืมหมดแหละ” เฮียหลอเอ่ย
“นี่ไม่ใช่เวลาทะเลาะกันโว้ย ปัญหาคือทำยังไงไม่ให้มันฝึกถึงขั้นที่สาม” เฮียเฉินว่า
“เท่าที่ฟังดู คงห้ามมันไม่ได้แล้วล่ะ ยิ่งถ้ามันใช้ลมปราณนี้บ่อยๆ ยังไงมันก็ต้องไปถึงขั้นที่สามจนได้” เฮียเก้าว่า
“กังฟูเอ๊ย ถ้าลมปราณของลื้อถึงขั้นที่สามเมื่อไหร่ล่ะก็…” เฮียเฉินพูด
“ลื้อจะเป็นตุ๊ด!” เฮียเก้าและเฮียหลอประสานเสียง
เพลงงิ้วดังขึ้น กังฟูแต่งเป็นนางเอกงิ้วเดินออกมา ชื่นชมมวลดอกไม้ กังฟูลีลาเหมือนกะเทยมาก
เมลดานั่งดูอยู่ ตอนแรกแค่ยิ้มๆ แต่เจอลีลาเล่นหูเล่นตาของกังฟูก็อดขำไม่ได้ เมลดาปรบมือให้
“เป็นไงครับ สนุกมั้ย” กังฟูถาม
“สนุกมาก แต่ฉันไม่มีมาลัยไปคล้องหรอกนะ” เมลดาว่า
“ไม่ต้องหรอก ช่วยให้คุณหายเครียดได้บ้างผมก็พอใจแล้ว”
“นายเก่งมาก ถ้าไม่รู้มาก่อนฉันต้องนึกว่านายเป็นกะเทยแน่ๆเลย”
“ผมเล่นได้หมดทุกบทแหละครับ อืม แต่จะว่าไป ผมก็ไม่เคยเล่นตัวนางได้ดีขนาดนี้นะเนี่ย”
กังฟูนั่งลงข้างๆเมลดา
“อ้ะ กินน้ำหน่อย เสียงแห้งหมดแล้ว” เมลดาว่า
เมลดาส่งน้ำให้ดื่ม กังฟูยิ้มแล้วรับแก้วมา ก่อนจะก็สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเห็นมือที่ยื่นไปรับมีนิ้วก้อยโผล่ออกมา กังฟูเก็บนิ้วก้อยเข้าไป ตอนนั้นเอง บู๊ลิ้มก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแล้วตะโกนลั่น
“แย่แล้วๆ”
“ว้าย หอยถลอก” กังฟูตกใจแบบแต๊ดแต๋ออกมา
“อะไรนะ” เมลดาถามงงๆ
“เปล่าจ้ะ เอ๊ย เปล่าครับ ไม่มีอะไร” กังฟูตอบ รู้สึกงงตัวเองมาก
“บู๊ลิ้ม มีอะไรเหรอ” เมลดาถาม
“หลินหลินครับ” บู๊ลิ้มเอ่ย
“หลินหลินทำไม” เมลดาถามต่อ
กังฟู เมลดา บู๊ลิ้ม รีบมากันที่ห้องกังฟู พบว่าหลินหลินฟื้นแล้ว เธอนั่งอยู่ในห้องและมองไปรอบๆ
เมลดาเข้าไปหาหลินหลินทันที
“หลินหลิน รู้สึกยังไงบ้าง” เมลดาถาม
หลินหลินมองเมลดาด้วยสายตาว่างเปล่า
“หิว” หลินหลินเอ่ย
“สงสัยยังงงอยู่” บู๊ลิ้มว่า
“ไม่งง บอกแล้วไงว่าหิว” หลินหลินพูด
บู๊ลิ้ม กังฟูและหลินหลินมองหน้ากัน
หลินหลินกินข้าวปลาอาหารที่กังฟูหามาให้แบบมูมมาม กังฟูกับเมลดาออกมายืนมองอยู่ห่างๆ
“โอ้โฮ แน่ใจนะว่าคุณหนู กินมูมมามยิ่งกว่าจับกังอีก” กังฟูเอ่ย
“เอ่อ ปกติเขาเป็นเด็กเรียบร้อยนะ เคยได้รางวัลมารยาทดีบ่อยๆ นี่คงหิวมากน่ะ” เมลดาว่า
หลินหลินหยุดกิน วางช้อนส้อมลงข้างจาน
“นี่ เห็นมั้ย บอกแล้วว่ามารยาทดี” เมลดาพูดทันที
หลินหลินอ้าปาก เอามือไปเขี่ยเศษอาหารที่ติดซอกฟันกราม
“เย้ย...ไม่ใช่แล้ว...หลินหลิน ทำอะไร น่าเกลียดจัง” เมลดาเอ่ย
หลินหลินแคะขี้ฟันสำเร็จ ดีดออกไปโดนบู๊ลิ้มที่อยู่ข้างๆพอดี บู๊ลิ้มร้องลั่น รีบหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้า
“นี่ได้รางวัลมารยาทดีแล้วเหรอ ไอ้พวกไม่ได้รางวัลนี่ไม่อยากนึกเลย” กังฟูพูด
“ฉันว่ามีอะไรแปลกๆนะ” เมลดาเอ่ย ก่อนจะมานั่งร่วมโต๊ะกับหลินหลิน
“หลินหลิน อิ่มรึยังคะ” เมลดาถาม
“อื้อ” หลินหลินตอบรับ
เมลดายื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ หลินหลิน
“หลินหลินจ๊ะ”
หลินหลินเรอเอิ๊กเข้าหน้าเมลดาพอดี เมลดาหลับตาปี๋
“หลินหลิน ทำไมดูแปลกๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า”
หลินหลินมองหน้าเมลดา
“ฉันชื่อหลินหลินเหรอ”
“ความจำเสื่อมเหรอเนี่ย” เมลดาอึ้งไปทันที
“งานเข้าละทีนี้” บู๊ลิ้มเอ่ย
กังฟูก็ตกใจ เขายกสองมือปิดปาก ห่อปาก ตาโต
“โอ้ว์ คุณพระ” กังฟูอุทาน
บู๊ลิ้ม เมลดา และแม้แต่หลินหลินก็หันมามองกังฟู กังฟูรีบเอามือลง กระแอมเสียงทุ้มๆ
หลินหลินนั่งอ่านการ์ตูนโดราเอมอนอยู่ ท่าทางหลินหลินสนุกมาก ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง บู๊ลิ้ม กังฟู เมลดา กำลังซุบซิบปรึกษากัน
“ไอ้เล่มนี้อ่ะ ผมเคยเห็นหลินหลินเค้าอ่านที่โรงเรียนหลายรอบแล้ว แต่นี่อ่านสนุกยังกะไม่เคยอ่าน ผมว่าความจำเสื่อมจริงๆนะเนี่ย” บู๊ลิ้มว่า
“ต้องพาไปหาหมอมั้ยครับ” กังฟูถาม
“ฉันไม่กล้า กลัวพวกเมฆารู้เรื่อง หลินหลินเดือดร้อนแน่ๆ” เมลดาบอก
“งั้นเราจะเอายังไงดี” กังฟูถามต่อ
“ดูอาการไปก่อนละกัน” เมลดาเอ่ย
กังฟูมองหลินหลินอย่างสงสาร เผลอถอนหายใจทอดยาวด้วยมาดกะเทย บู๊ลิ้มมองกังฟูทันที เมื่อกังฟูรู้ตัวก็รีบเก๊กแมน
“ศิษย์น้องเป็นอะไรรึเปล่า ดูแปลกๆไปนะเนี่ย” บู๊ลิ้มบอก
“ไม่มีอะไรหรอกศิษย์พี่” กังฟูพูดแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 4 (ต่อ)
วันต่อมา เมฆาเดินออกมาจากคฤหาสน์พร้อมมิเชล
“เธอรู้รึยังว่าเมลดากับหลินหลินอยู่ที่ไหน” เมฆาถาม
“ยัง”
“ฉันจะหานักสืบเอกชนให้ช่วยสืบให้”
“ไม่ต้อง ฉันมีวิธีของฉัน...ฉันจะทำให้มันมาหาฉันเอง”
เมฆามองมิเชลแล้วกล่าวว่า “แน่ใจนะ”
“คราวนี้ฉันจะไม่ให้พลาดเด็ดขาด” มิเชลบอก
เมฆาไม่พูดอะไร เดินไปที่รถ มิเชลตามไปด้วย แต่เมฆายกมือกันไว้
“ไม่เป็นไร วันนี้มีแต่ประชุม เธอไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์ เอาเวลาไปจัดการเมลดาดีกว่า”
เมฆาเอ่ยแล้วเดินไปขึ้นรถ รถวิ่งออกไป มิเชลมองตามรถเมฆาไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ตกกลางคืน เมลดาเดินเข้ามาในวัดกับกังฟู แต่งตัวแบบใส่แว่นดำ ใส่วิกหยิกหยอง มองไปข้างหน้าก็เอะใจ ที่เห็นคนจับกลุ่มกันที่ศาลา
“มีอะไรกันน่ะ” เมลดาถาม
“คุณเมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปดูให้” กังฟูเอ่ย
เมื่อกังฟูเดินเข้าไปดูที่ศาลาแล้วก็ตกตะลึง เมื่อเห็นสภาพศาลาถูกทำลายเละเทะ โลงก็หล่นลงมา เห็นศพที่ถูกมัดตราสังกลิ้งออกมา ดูอุจาดตามาก พวกเจ้าหน้าที่วัดเข้ามาถึงพอดี
“โอ้โห เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย...เฮ้อ คนเรา ทำอะไรกันขนาดนี้ เอาโว้ย พวกเราช่วยกันเก็บหน่อยเว้ย เร็วๆ” เจ้าหน้าที่พูด
เนตรนภานั่งร้องไห้อยู่โดยมีคนคอยปลอบ กังฟูเดินเข้าไปหาเนตรนภา
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณเนตร” กังฟูถาม
“ฉันมาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว มีคนเล่าว่ามีนักเลงกลุ่มหนึ่งเข้ามาทำลายงานศพพ่อฉัน ไม่มีใครกล้าห้าม”
“ฝีมือใครเนี่ย…”
“ฝีมือผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ”
เนตรนภาหยิบรูปตั้งข้างศพของชนะที่หล่นอยู่ที่พื้น มีรอยรองเท้าส้นสูงอยู่กลางหน้าชนะ
“เมอยู่ไหน”
“เอ่อ…”
“นักเลงพวกนั้นทิ้งไอ้นี่ไว้ให้เขา”
เนตรนภายื่นซองจดหมายให้ มีจ่าหน้าว่า ถึงเมลดา กังฟูยื่นมือไปหยิบ แต่เมลดายื่นมือมาหยิบแทน
กังฟูตกใจ
“คุณเม ... มาทำไมครับ ตำรวจอาจอยู่แถวนี้” กังฟูเอ่ย
เมลดาไม่สนใจ มองไปรอบๆ
“พวกมันทำขนาดนี้เชียวเหรอ” เมลดาว่า
“เห็นมั้ยว่าแกสร้างปัญหาอะไรบ้าง ... นี่ก็เพราะแกอีกแล้ว ทำไมแกไม่ไม่ให้มันจับตัวไป” เนตรนภาพูด
“ฉันรับผิดชอบเอง” เมลดาเอ่ยแล้วก็เดินออกไป โดยมีกังฟูรีบตามไป
เมลดากับกังฟูอยู่ในซอกเล็กๆข้างโรงงิ้วที่ไว้เก็บของอุปกรณ์การแสดง ไม่มีคนอื่นอยู่แถวนั้นเลย
เมลดาฉีกซองออก ข้างในเป็นรูปถ่ายโพลารอยด์หลายใบ เป็นรูปตอนชนะถูกจับแล้วถูกซ้อม แต่ละรูปเห็นถึง
ร่องรอยการทำร้ายร่างกายที่โหดเหี้ยมและเห็นความเจ็บปวดของชนะ สองรูปสุดท้ายถ่ายที่ศาลาตั้งศพ รูปแรกเป็นเท้ารูปมิเชล เหยียบรูปตั้งข้างโลงของชนะ เมลดาเปิดดูอีกรูป เมลดาตัวสั่น เป็นรูปเท้ามิเชลเหยียบหัวศพที่โดนมัดตราสังที่หล่นออกมาจากโลง หลังรูปใบสุดท้าย มีลายมือเขียนว่า “เจอกันที่เดิมนะที่รัก จาก มิเชล”
“มิเชล…” เมลดาอุทาน เธอเก็บรูปเข้าซอง ดวงตาวาวโรจน์ ผลุนผลันออกไป
“คุณเม คุณจะไปไหนน่ะ” กังฟูรีบตามไป
“ฉันจะไปฆ่ามัน” เมลดาว่า
“เฮ้ย ไปไม่ได้นะ มันเป็นกับดักชัดๆ ขนาดแป๊ะยิ้งอย่างผมยังดูออกเลย คุณห้ามไปนะ” กังฟูบอก
“ฉันไม่สนใจ ตายก็ตาย แต่ฉันต้องแก้แค้นให้พ่อฉันให้ได้” เมลดาพูด
“ไปไม่ได้” กังฟูวิ่งไปห้ามและขวางทางไว้
เมลดาถีบเปรี้ยงจนกังฟูหงายแล้วก็วิ่งแซงไป
เมลดาวิ่งออกจากตรอกเก็บของมาที่ซอยแคบๆ ที่เป็นบ้านคน กังฟูยังคงตามมา
“คุณเม” กังฟูวิ่งมาจับแขน เมลดาหันมาถีบสวน กังฟูกระเด็นไปอีกรอบ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ ขอโทษนะครับ” กังฟูวิ่งตามมา ยกแขนฟันคาราเต้ที่ก้านคอ
เมลดาร้องโอ๊ย หันขวับมา
“ทำอะไร” เมลดาเอ่ย
“เอ่อ...ตั้งใจจะทำให้คุณสลบน่ะ” กังฟูว่า
“สลบเหรอ ต้องทำอย่างนี้” เมลดาเตะก้านคอกังฟูฉาด กังฟูทรุดฮวบเมลดารีบออกไป
กังฟูกัดฟันลุกขึ้น วิ่งตามไปแบบจุกๆ แล้วก็เห็นเชือกราวตากผ้าก็ชาวบ้านแถวนั้น
เมลดาวิ่งออกมาจากซอยมาที่ถนนใหญ่ โบกมือจะเรียกแท็กซี่ ทันใดนั้นในตรอกก็มีเชือกตากผ้าพุ่งวาบออกมาจากในซอย พันขาเมลดาไว้สองข้าง จนเมลดาเสียหลักล้มลง
“ลมปราณมัดบ๊ะจ่างเหรอ” เมลดาเอ่ย
กังฟูเดินออกมาจากในซอย ปลายเชือกอีกด้านอยู่ในมือเขา
“ขอโทษนะครับที่ต้องใช้วิธีนี้” กังฟูว่า
“นึกว่าหยุดฉันได้เหรอ” เมลดาว่า
“ย่ะ” กังฟูจิกใส่แบบกะเทย แต่พอรู้ตัวก็รีบเก๊กแมน หยิบเชือกขึ้นมาตั้งท่า
“พลังลมปราณ…” กังฟูยังพูดไม่จบ เมลดาก็กระโดดเข่าลอยทันที เข้ากลางอกกังฟูจนกระเด็นหงาย
เมลดาบุกต่อยเตะราวพายุจนกังฟูโดนเน้นกลิ้งไปหลายทอด
“มัดบ๊ะจ่าง” กังฟูสะบัดข้อมือ เชือกพุ่งวาบรัดข้อมือเมลดาได้ เมลดาพุ่งเข้าหากังฟู เตะต่อยเป็นพายุ กังฟูสะบัดข้อมือ คลื่นพลังวิ่งตามเชือกจนไปถึงข้อมือเมลดา ร่างเมลดาลอยกระเด็นออกไป แต่ลงมายืนทัน ดึงเชือกตึง กังฟูก็ดึงเชือกกลับ เมลดาปล่อยเชือกหลุดจากมือ กังฟูเสียหลัก ล้มกระแทกก้นจ้ำเบ้า
เมลดาวิ่งมา ก่อนที่กังฟูจะหลักหลัก เมลดาคุกเข่ากดที่ข้อมือกังฟูแนบกับพื้น เงื้อหมัดจะต่อยหน้า
“ฉันต้องแก้แค้นให้พ่อ อย่ามายุ่งกับฉัน” เมลดาเอ่ย
“ผมจะห้าม คุณต่อยผมลงก็ต่อยเลยสิ” กังฟูว่า
เมลดาต่อยโครม กังฟูแสยะยิ้ม
“ถ้าผมยังไม่สลบ ผมจะห้ามคุณให้ได้” กังฟูบอก
“กังฟู คุณบังคับฉันเองนะ” เมลดาว่า
“คุณไม่กล้าหรอก…” กังฟูพูด
ทว่า เมลดาต่อยรัวซะจนกังฟูหน้าหงาย เมลดาหอบแฮ่ก ลุกขึ้นจะเดินจากไป แต่กังฟูยังไม่หมดสติ จับขาเมลดาไว้
“ห้ามไป”
เมลดาหันมองกังฟูก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันต้องแก้แค้น”
เมลดาหันขวับ ง้างเท้า จะเตะหน้ากังฟู
ตอนนั้นเอง บู๊ลิ้มวิ่งหอบมา
“พี่เม...ช่วยไปดูหลินหลินเร็วครับ” บู๊ลิ้มว่า
เมลดายั้งขาไว้ที่ปลายคางกังฟูพอดี
เมลดา กังฟู บู๊ลิ้ม มาที่ห้องของกังฟู กังฟูกำลังจะเปิดประตูเข้าไป
“ระวังนะศิษย์น้อง เขากำลังอาละวาดเต็มที่เลย” บู๊ลิ้มเตือน
กังฟูพยักหน้าแล้วเปิดประตูห้องเข้ามา เจอช้อนกับตะเกียบพุ่งเข้ามา กังฟูหลบซ้ายหลบขวา แล้วก็เจอชามข้าว กังฟูยกมือรับไว้ แต่ข้าวในชามไม่หยุด พุ่งใส่หน้ากังฟู กังฟูหน้าเบะ เช็ดเศษข้าว แล้วพ่นเศษอาหารที่ติดเข้าไปในปากออกมา กังฟูมองไปเห็นหลินหลินหน้าบึ้งอยู่ ภายในห้องเละเทะ ข้าวของกระจัดกระจาย
“หลินหลิน ใจเย็นๆนะครับ อย่าทำแบบนี้นะ” กังฟูว่า
หลินหลินตอบด้วยการเขวี้ยงถาดอาหารใส่ กังฟูรีบก้มหลบ
“นายหลีกไป หลินหลิน เป็นอะไรไปเหรอ” เมลดากันกังฟูออกไป แล้วเดินไปหาหลินหลิน
หลินหลินเดินมาหาเมลดาแล้วก็ร้องไห้ กอดเมลดาทันที
เมลดานั่งคุยกับหลินหลินสองคน โดยมีกังฟูกับบู๊ลิ้มนั่งดูอยู่ห่างๆ
“ก่อนศิษย์น้องมา ศิษย์พี่กล่อมยังไงหลินหลินก็ไม่ฟัง อาละวาดยังกะหมาบ้า ศิษย์พี่กลัวอาจารย์แม่จะได้ยิน เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ เลยต้องไปตามพี่เมให้มาช่วย” บู๊ลิ้มพูด
“ตอนนี้โลกทั้งใบของหลินหลินเหลือแต่คุณเมเท่านั้น” กังฟูเอ่ย
ขณะเดียวกัน เมลดากำลังนั่งคุยกับหลินหลิน
“หนูเป็นใครกันแน่ หนูจำอะไรไม่ได้เลย แต่หนูรู้ว่าหนูไว้ใจพี่ได้...เราเคยสนิทกันใช่ไหมคะ” หลินหลินถาม
เมลดาเช็ดน้ำตาบนหน้าหลินหลินอย่างทะนุถนอม
“จ้ะ เราสนิทกันมากด้วย สนิทกันจนพี่รู้ด้วยว่าเธอน่ะชอบเขาทราย” เมลดาตอบ
“เขาทรายคือใครคะ” หลินหลินถาม
“เขาทรายคือนักมวยฉายาซ้ายทะลวงไส้” เมลดาพูด
“หนูจำเขาทรายไม่ได้...ทำไมหนูจำใครเลยล่ะคะ จำพ่อแม่ก็ไม่ได้ หนูมีพ่อแม่มั้ยคะ” หลินหลินถามต่อ
เมลดานิ่งไป ก่อนจะตอบว่า
“หนูเคยมีพ่อแม่จ้ะ แต่พ่อแม่หนูเสียไปหมดแล้ว”
“แล้วพี่น้องล่ะคะ” หลินหลินเอ่ย
เมลดาฝืนยิ้ม
“ไม่มี หนูเคยมีพี่ชายแต่เราเข้าใจผิด เขาไม่ใช่พี่หนู”
“แล้วหนูมีใครบ้างคะ” หลินหลินถามอีก
เมลดาอึ้งไป หลินหลินจับมือเมลดา
“พี่ หนูเหลือพี่คนเดียวใช่ไหมคะ พี่อย่าทิ้งหนูไปนะคะ” หลินหลินเอ่ย
เมลดาพยักหน้าช้าๆ หลินหลินกอดเมลดาแน่น
ตกกลางคืนในขณะเดียวกัน มิเชลนั่งรออยู่ตามลำพัง สายตามองไปที่ทางเข้า
“ไม่แค้นฉันเหรอไง เมลดา ... มาแก้แค้นสิ ฉันกำลังรออยู่”
ในเงามืด มีกลุ่มชายฉกรรจ์แอบอยู่เป็นสิบ
หลินหลินหลับไปแล้ว นอนอยู่บนเตียง เมลดาลูบผมหลินหลินเบาๆ ก้มลงจุ๊บที่หน้าผาก แล้วลุกเดินออกมา กังฟูนั่งอยู่ที่หน้าห้อง
“ฝากดูหลินหลินด้วยนะ” เมลดาว่า
“คุณจะไปไหนเหรอ” กังฟูถาม
“ไปหามิเชล” เมลดาบอก
กังฟูงง “ผมนึกว่าคุณเปลี่ยนใจแล้ว”
“หลินหลินไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน แต่พ่อคือพ่อของฉัน” เมลดาว่า
“หลินหลินไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ...แต่คุณเป็นทุกอย่างของหลินหลินนะ” กังฟูบอก
“พ่อคือพ่อของฉัน” เมลดาเอ่ยแล้วเดินจากไป
“คุณคิดว่าพ่ออยากให้คุณทำแบบนี้เหรอ” กังฟูพูด
“ฉันต้องทำ”
เมลดาเดินออกไป กังฟูตามไป
“เมลดา” กังฟูเรียก
ทว่าเมลดาเดินต่อไปโดยไม่สนใจ
แท็กซี่คันหนึ่งวิ่งมาจอดหน้าตึกร้าง เมลดาลงมาจากแท็กซี่ เมลดากำหมัดแน่น
ขณะเดียวกัน กังฟูเดินมาดูหลินหลินที่นอนหลับอยู่ในห้อง
“พี่เมล่ะศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มถามเมื่อเดินเข้ามา
“ไปแล้ว” กังฟูว่า
“ไปแก้แค้นเหรอ แล้วทำไมศิษย์น้องไม่ห้ามเขา” บูีลิ้มถาม
“ศิษย์น้องไม่สามารถ น่ากลัวไม่มีใครสามารถด้วย”
“ศิษย์น้องก็รู้ไม่ใช่เหรอ ปล่อยพี่เมไปแบบนั้นเท่ากับเดินไปหากับดักของศัตรู”
“อาจารย์แม่เคยบอกศิษย์น้องว่าความแค้นนั้นน่ากลัว วันนี้ศิษย์น้องจึงรู้ว่าอาจารย์แม่พูดผิด ความแค้นไม่เพียงน่ากลัว มันยังน่าเศร้าด้วย ความแค้นไม่เพียงทำร้ายศัตรู ยังทำร้ายคนที่คิดแค้น และถึงกับทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องอีกด้วย”
บู๊ลิ้มมองหน้ากังฟูที่ยับเยิน
“หมายถึงตัวศิษย์น้องเหรอ”
“เปล่า” กังฟูเอ่ย พลางมองหลินหลินด้วยความสงสาร
มิเชลนั่งอยู่ในตึกร้าง สักพักก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินตรงเข้ามา มิเชลยิ้ม ลุกขึ้นยืน พวกชายฉกรรจ์ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดเตรียมตัวลงมือ
“แค้นฉันมากสินะเมลดา” มิเชลเอ่ย
ปรากฏว่าเจ้าของเสียงฝีเท้ากลับเป็นเมฆา
“เมฆา”
“เมลดายังไม่มาเหรอ” เมฆาถาม
มิเชลเงียบ
“เขาคงไม่มาแล้วล่ะ”
มิเชลก้มหน้า
“กลับเถอะ มิเชล อย่าเสียเวลาเลย เมลดาไม่หลงกลเธอแล้วล่ะ”
มิเชลหน้าเครียด
กังฟูนอนบนพื้น ประตูห้องเปิดออก กังฟูลืมตาขึ้นก็เจอเมลดา กังฟูแปลกใจมาก
“คุณจัดการมิเชลได้เหรอเนี่ย” กังฟูถาม
“เปล่า ฉันเปลี่ยนใจ ไม่ได้ไปหามิเชล” เมลดาเอ่ย
“ทำไมล่ะ”
“ถึงเขาจะไม่มีความผูกพันทางสายเลือดกับฉัน แต่ฉันก็ทิ้งเขาไปไม่ได้”
“คุณรู้ใช่ไหมว่าเขารักคุณ”
“ฉันรู้ และนั่นก็ทำให้ฉันต้องปล่อยความแค้นไปชั่วขณะหนึ่ง...ฉันจะรอจนกว่าหลินหลินโตพอจะช่วยตัวเองได้แล้วฉันจะไปหามิเชลอีกครั้ง”
กังฟูยิ้มให้เมลดา
“ผมว่าคุณทำถูกแล้วล่ะครับ...เจ๊ปรบมือให้นะยะนังชะนี”
ประโยคหลังกังฟูหลุดแต๋วเต็มตัว เมลดามองกังฟูแบบไม่ไว้ใจ กังฟูเองก็ตะครุบปากตัวเองไว้
“นี่อั๊วเป็นอะไรไปวะเนี่ย” กังฟูเอ่ย
วันใหม่ กังฟูมาเล่าเรื่องให้ เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียหลอฟัง
“ท่านอาจารย์โปรดช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์ป่วยเป็นโรคพิลึกอะไรกันเนี่ย”
ทั้งสามมองหน้ากัน ตัดสินใจบอกความจริง
“เรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับลมปราณมัดบ๊ะจ่างของลื้อด้วย” เฮียเฉินกล่าว
“ศิษย์ไม่เข้าใจ” กังฟูเอ่ย
“ลมปราณมัดบ๊ะจ่างที่เจ้าฝึก จริงๆแล้วมันคือลมปราณลิ้นมังกร” เฮียเก้าพูด
“ลมปราณลิ้นมังกร? แต่ตอนนั้น…” กังฟูเอ่ย
“ตอนนั้นอั๊วสอนลื้อเพื่อให้มัดบ๊ะจ่างก็เลยเรียกลมปราณมัดบ๊ะจ่าง ใครจะรู้ว่าลื้อจะฝึกต่อมาถึงขั้นนี้วะ” เฮียเฉินพูด
“ลมปราณลิ้นมังกรนั่นเป็นลมปราณสายอ่อนหยุ่น ที่จริงแล้วเหมาะกับเพศหญิง เพศชายก็ฝึกได้ พวกอั๊วก็ฝึกกันแต่ฝึกถึงแค่ขั้นที่สอง เพราะถ้าใครไปถึงขั้นที่สาม...ก็จะกลายเป็น...ตุ๊ด” เฮียเก้าว่า
“ตุ๊ด! ละ...ละ...แล้วศิษย์ฝึกถึงขั้นไหนแล้วครับ” กังฟูรีบถาม
“ที่อั๊วถ่ายทอดให้ลื้อน่ะคือขั้นที่สอง แต่ลื้อฝึกเกินขั้นที่สองไปแล้ว ดูจากหน่วยก้านแล้วอั๊วว่าน่าจะสองจุดห้า” เฮียหลอว่า
“อั้ยหยา อั๊วห่างจากการเป็นตุ๊ดแค่จุดห้า...(แต๋วแตก) อร๊ายยยยย กิ๊บฟี่รับไม่ได้ ทำไมชะตาชีวิตอั๊วมันอับเฉาซาลาเปาหนมจีบไส้อั่วแบบนี้” กังฟูเผลออุทานแต๋วแตก
“โอ้โห กิ๊ปฟี่... มีไส้อั่วด้วย แบบนี้อั๊วว่าสองจุดเก้าแล้วล่ะ” เฮียเฉินว่า
กังฟูรีบกลับมาเก๊กแมน
“อาจารย์ช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์ไม่อยากเป็นตุ๊ด”
“ทำไมวะ เป็นตุ๊ดก็ดีนะ ตอนนี้คนมันล้นโลก ลื้อเป็นตุ๊ดไม่มีลูก ถือว่าช่วยลดการใช้ทรัพยากรโลกนะเว้ย” เฮียเก้าว่า
“ถ้าลื้อเป็นตุ๊ดเต็มตัว เดี๋ยวพวกอั๊วจะช่วยดันให้เป็นนางเอกงิ้วตัวจริงเสียงจริง รับตังเหนาะๆเลยนะ” เฮียหลอเสริม
เฮียเฉินเพ่งมองหน้ากังฟู แล้วกล่าวว่า
“ความจริงลื้อก็มีแววนะ ให้หมอเลื่อยกรามหน่อย บีบจมูกนิดนึง แล้วกันคิ้วออกเยอะๆ ลื้อก็สวยนะเนี่ย”
“ไม่เอา อั๊วไม่เอา...ถ้าท่านอาจารย์ช่วยไม่ได้ ศิษย์ไปถามอาจารย์แม่ดีกว่า” กังฟูลุกออกไป สามอาจารย์รีบห้าม ร้องเฮ้ยๆๆ ลุกไปดึงกังฟูกลับมา
“ห้ามให้เมียอั๊วรู้เรื่องนี้เด็ดขาด” เฮียเฉินว่า
ขณะนั้นเอง ฮูหยินก็เดินเข้ามาพอดี
“ไม่ให้อั๊วรู้เรื่องอะไร หา ไอ้เฉิน”
“เอ่อ…”
เฮียเฉินนึกมุขไม่ทัน สะกิด เฮียหลอ ส่วนเฮียหลอก็สะกิด เฮียเก้า เฮียเก้าสะกิดคนข้างๆต่อ แต่นึกได้ว่าไม่มีใครแล้ว เลยต้องด้นสด พยายามถ่วงเวลา
“ก็ไอ้กังฟูน่ะซี้...เฮ้อ...ไม่น่าเล้ย...ทำไมเป็นคนแบบนี้น้า...ใช้ไม่ได้...กลุ้มใจๆ...เฮ้อ....ไม่ไหวๆ…”
“บ่นพอแล้ว เรื่องอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้” ฮูหยินว่า
ในที่สุด เฮียเก้าก็นึกมุกออกได้ทันเวลา
“มันไปอ๊อฟผู้หญิงมา แล้วก็ไม่มีเงินจ่ายเขาน่ะสิ”
“อ๋อ เมื่อวันก่อนน่ะเหรอ”
สามอาจารย์พยักหน้า ฮูหยินหันมาทางกังฟู
“เหลวไหลมากนะกังฟู” ฮูหยินว่า
“แหม อาจารย์แม่ก็…” กังฟูแต๋วแตกทำท่าเง้างอด
ฮูหยินสตั๊นไปหนึ่งวิ มองหน้ากังฟู พวกสามอาจารย์กระสับกระส่าย
“ลื้อมาไม้ไหนวะเนี่ย” ฮูหยินงง
“ไม้ป่าเดียวกันน่ะสิฮะ”
ฮูหยินไม่เก็ท “ป่าเดียวกัน ป่าอะไรวะ”
“ป่าอะไรก็ได้ฮ่ะ ป่าดงดิบก็ได้ รกดี... ป่าเบญจพรรณก็หร็อมแหร็มหน่อย แต่ถ้าเป็นป่าเสื่อมโทรมก็โล่งโจ้ง เพราะเขาถอนซะเกลี้ยงเลย เตรียมจะทำรี “สอดดด” กัน อิๆ” กังฟูแต๋วแตกเต็มที่
“อั๊วงงโว้ย ลื้อจะไปเที่ยวป่าเหรอไงเนี่ย” ฮูหยินว่า
“ไปมั้ยฮะ ไปดูเก้งดูกวาง วิ่งควบกันตั้บๆๆๆๆๆๆๆ” กังฟูยังต่อ
“เฮ้ย!!!” สามอาจารย์พร้อมใจกันตะโกนลั่น จนกังฟูตกใจ รีบตั้งสติ กลับมาแมน
“ไม่มีอะไรหรอกอาจารย์แม่ ศิษย์สบายดี แหะๆ”
เฮียเฉินรีบพาฮูหยินออกไป
“เอ้าน่า เดี๋ยวเรื่องนี้ให้พวกอั๊วอบรมมันละกัน มันต้องคุยกันแบบลูกผู้ชาย เชื่ออั๊ว นะๆๆ” เฮียเฉินว่า
เฮียเฉินรีบวิ่งกลับมาบอกเฮียเก้ากับเฮียหลอ
“พวกลื้อหาทางแก้ปัญหาไปก่อนนะ อั๊วจะพาเมียไปที่อื่นเอง”
เฮียเฉินวิ่งกลับไปหาฮูหยิน ปล่อยให้เฮียเก้ากับเฮียหลอมองกังฟู ครุ่นคิดหาวิธีช่วย
เมลดาเดินคุยกับกังฟูมาตามทางที่ทอดยาว
“มีด้วยเหรอ ลมปราณที่ฝึกแล้วเป็นตุ๊ด” เมลดาถาม
“มีสิครับ เมื่อก่อนก็มีจอมยุทธ์อย่างงักปุกคุ้ง กับตงฟางปุ๊ป้าย ที่ฝึกวิชาจนเป็นตุ๊ด วิทยายุทธจีนน่ะล้ำลึกมากนะครับ” กังฟูบอก
“แล้วถ้าอาจารย์หาทางช่วยไม่ได้คุณจะเป็นตุ๊ดเหรอ” เมลดาว่า
“ก็...ครับ”
“อย่านะ ฉันเสียดาย”
เมลดาโพล่งออกมาเพราะหลุดปาก กังฟูฟังแล้วก็งง
“เสียดายอะไรเหรอครับ” กังฟูถาม
“ก็...เสียดาย...เอ่อ...”
เมลดายังไม่ทันตอบ ฮูหยินก็เดินมาเจอทั้งคู่พอดี ฮูหยินหยุดมองเมลดาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตารังเกียจมาก
“อาจารย์แม่” กังฟูเอ่ยออกมา
“เนี่ยเหรอ ไอ้ผู้หญิงที่ว่าลื้อติดเงินอีอยู่น่ะ” ฮูหยินถาม
“เอ่อ...คือว่า...” กังฟูอึกอัก
“กังฟู ลื้อพายัยนี่มาอยู่ด้วยหลายวันแล้วใช่มั้ย มิน่า หมู่นี้ทำตัวลับๆล่อๆ นี่ โรงงิ้วอั๊วไม่ใช่ม่านรูดนะ”
กังฟูอึกอัก “คือ...ศิษย์...”
ฮูหยินผลักกังฟูกระเด็นก่อนจะเดินมาหาเมลดา
“นี่ ยัยหยำฉ่า ลูกศิษย์อั๊วติดเงินลื้อเท่าไหร่ หา” ฮูหยินถาม
เมลดางง “ติดเงิน?”
“ว่ามา อั๊วจ่ายเอง”
เมลดาหันมามองกังฟู พอเห็นกังฟูทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ เมลดาก็พอจะเข้าใจ เธอหันมาหาฮูหยิน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณยาย...”
ฮูหยินตกใจ “ว้าย ใครเป็นยายลื้อวะ ตายซะเหอะยัยหลกทง”
ฮูหยินเกร็งพลัง เมลดารีบเปลี่ยนคำพูด
“ใจเย็นค่ะคุณพี่ น้องพูดผิดไปค่ะ”
ฮูหยินค่อยสงบลง
“นับว่าลื้อยังมีมารยาท เอ้า ว่ามา ลูกอั๊วติดค่า...ค่าไอ้อย่างนั้นเท่าไหร่ บอกมาเลย ลื้อซิวจี๊ คิดตังมาเลย”
“เอางี้ละกัน” เมลดาพูด “เห็นแก่คุณพี่ให้น้องอยู่บ้านหลายวัน งั้นน้องไม่คิดค่า “ไอ้อย่างนั้น” แล้วกันค่ะ สรุปว่าฟรีค่ะ”
“อั๊ยหยา มีฟรีด้วยเหรอ”
“ค่ะ”
เมลดากำลังจะเดินออกไป แต่ฮูหยินยังไม่ยอม
“เดี๋ยวก่อน นับว่าลื้อยังมีน้ำใจ แต่ลื้อคิดเงินมาดีกว่า ของแบบนี้ถ้าไม่คิดเงินมันจะกลายเป็นว่าพวกลื้อมีใจกัน หม่ายๆๆ อั๊วไม่เอาหลกทงมาเป็นสะใภ้ ซิวจี๊มา”
“งั้นก็ตามใจ อั๊วคิดหนึ่งหมื่นอ่ะ” เมลดาบอก
“อั้ยหยา หนึ่งหมื่น ลื้อเลี่ยมทองมาเหรอไงวะ ทำไมมันแพงอย่างงี้” ฮูหยินว่า
“จะเลี่ยมทองเลี่ยมเหล็กก็เรื่องของอั๊ว ลื้อน่ะแหละ บอกให้อั๊วคิดตังก์ พออั๊วบอกราคาก็หาว่าแพงอีก”
“ก็แพงไปนี่หว่า”
“แล้วถ้าเป็นลื้อลื้อคิดเท่าไหร่ล่ะ อั๊วเอาตามนั้นก็ได้”
“สามพันอ่ะ” ฮูหยินบอก
“อ๋อ ถ้าเป็นลื้อลื้อคิดสามพันเหรอ” เมลดาสวน
ฮูหยินสะดุ้งสุดตัวเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของเมลดา
“เฮ้ย ลื้อหลอกด่าอั๊วนี่หว่า ยัยตัวแสบ”
กังฟูพูด “อาจารย์แม่ ศิษย์ขอโทษด้วยที่ทำเรื่องวุ่นวาย ความจริงแล้วผู้หญิงคนนี้น่ะ...”
เมลดารีบเหยียบขากังฟูไม่ให้พูด เมลดาพูดกับกังฟู
“เอาเป็นว่าอั๊วไม่คิดเงิน” เมลดาหันไปพูดกับฮูหยิน “คุณพี่ก็ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ แค่สามสี่วันแค่นี้อั๊วไม่สึกหรออะไรหรอก จิ๊บๆ”
“จิ๊บๆเนี่ยนะ...ลื้อฝึกลมปราณอะไรมา บอกอั๊วหน่อย”
“ไม่ได้ฝึกหรอกค่ะ สวัสดีค่ะ ไปก่อนนะคะ”
เมลดารีบเดินออกไป กังฟูเดินตาม
“กังฟูไปไหน” ฮูหยินถาม
“ไปส่งเขาครับ” กังฟูตอบ
กังฟูรีบตามเมลดาไป
อ่านต่อหน้าที่ 3
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 4 (ต่อ)
กังฟูพาเมลดามากินตือฮวนจุกบี้ กังฟูใช้ตะเกียบคีบจุกบี้จุ่มซีอิ๊วหวานกิน แล้วก็ตักต้มตือฮวนเข้าปากตาม เมลดามองแล้วก็กินตาม
“อร่อยนะเนี่ย เขาเรียกอะไรนะ” เมลดาถาม
“นี่ก็ต้มตือฮวน ข้าวเหนียวเขาเรียกตือฮุ้งเตี้ยจุกบี้ เรียกง่ายๆรวมกันว่า ตือฮวนจุกบี้” กังฟูอธิบาย
“แปลกดี ฉันไม่เคยกินมาก่อนเลย”
กังฟูพูดจาแต๋วแตก “ไม่เคยกินจุกบี้เหรอ แล้วเคยบี้จุกมั้ยล่ะ อยากลองมั้ยจ๊ะ”
เมลดามองกังฟู “เอ่อ...กังฟู...”
กังฟูได้สติก็รีบเก๊กแมน
“อะแฮ่ม ..เมื่อกี้ผมต้องขอโทษด้วย เรื่องที่ต้องโกหกอาจารย์แม่ว่าคุณเมเป็นผู้หญิงแบบนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก ความจริงฉันก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ฉันกับหลินหลินอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆไม่ได้หรอก”
“แล้วคุณเมจะทำยังไงครับ” กังฟูถาม
“ฉันจะหาห้องเช่าอยู่กับหลินหลิน เปลี่ยนชื่อใหม่ ปลอมตัวซะหน่อยให้คนจำไม่ได้แล้วหางานทำ ดูแลจนกว่าหลินหลินจะโต หวังว่าถึงตอนนั้นเมฆาจะเลิกไล่ล่าหลินหลินแล้ว”
“ก็ดีครับ ผมช่วยหาห้องเช่าแถวนี้ให้ได้ครับ”
“แถวนี้เหรอ?” เมลดาถาม
“อย่างน้อยที่สุดแถวนี้ยังมีผมกับบู๊ลิ้มคอยช่วยเหลือคุณด้วยนะครับ” กังฟูบอก
“ขอบคุณค่ะ” เมลดาตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เมลดาปลอมตัวโดยการสวมแว่นกันแดด ใส่วิกผมหยิกหยองซุ่มดูหน้าบ้านของตัวเองเป็นระยะเวลานานพอสมควรแต่เธอก็ไม่เห็นใครเฝ้าหรือแอบดูอยู่เลย
เมลดาแบกถุงทะเลใบหนึ่งเข้ามาในบ้านของตัวเอง เธอมองไปรอบๆ แล้วภาพแห่งความหลังก็ฉายวาบขึ้นมา เป็นภาพตอนเธอทานข้าวกับชนะ โดยสองพ่อลูกดูมีความสุขมาก
เมลดาน้ำตาซึม เธอสลัดภาพเหล่านั้นออกไปก็เห็นแค่โต๊ะกินข้าวฝุ่นจับที่ไม่มีใครนั่งอยู่ เมลดาหยิบข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นใส่เป้ เช่น เอกสารต่างๆ สมุดบัญชีธนาคาร ในขณะที่เก็บของเสร็จแล้วกำลังจะออกไป เธอก็เห็นรูปใบใหญ่ใส่กรอบตั้งไว้อยู่บนตู้โชว์ รูปนั้นเป็นรูปชนะกับภรรยา
เหตุการณ์ในอดีต ชนะนั่งอ่านหนังสืออยู่ ในขณะที่เมลดากำลังทำความสะอาดบ้านโดยการถูบ้าน เธอทำไม้ถูพื้นไปโดนขาตู้ทำให้ภาพครอบครัวที่อยู่บนตู้ตกลงมา ชนะตกใจแต่เมลดายังไวพอจึงยื่นขาไปรับไว้ไม่ให้ตกลงพื้น เมลดาก้มลงเก็บกรอบรูปขึ้นมา
“เกือบไปค่ะ” เมลดาบอก
ชนะถอนใจด้วยความโล่งอก เขาเดินมาหยิบกรอบรูปไปจากมือเมลดาด้วยท่าทางฉุนมาก
“ระวังหน่อยสิ รูปนี้มันสำคัญกับพ่อมาก”
“หนูขอโทษค่ะ” เมลดาจ๋อย
ชนะเห็นเมลดาจ๋อยก็เสียงอ่อนลง
“มันสำคัญกับพ่อมากกว่าที่ลูกคิด...สักวันหนึ่งลูกจะเข้าใจ”
ชนะตั้งรูปไว้ที่เดิม
เหตุการณ์ปัจจุบัน เมลดาหยิบรูปครอบครัวลงเป้ไปด้วย
เมลดาพาหลินหลินเดินออกมาหยุดอยู่หน้าทำร้านทำผม เธอถอดวิกออกแล้วโยนลงถังขยะก่อนจะเดินเข้าไปในร้านทำผม
เจ๊ยี้กำลังนัดแนะเด็กผู้ชายท่าทางบื้อๆคนหนึ่งอายุประมาณ 8 ขวบอยู่ที่มุมลับตาคนของบ้านเฮียป้อ
“นี่ อั๊วจะทบทวนให้ฟังอีกที ... นี่ อาเป๋งกุ่ย ตั้งใจฟังสิ เดี๋ยวบั๊ด...อันนี้เขาเรียกว่าคัทเอ๊าท์ ลื้อแอบดูอั๊วกับเฮียป้อตรงนี้ พออั๊วพูดคำว่า จุ๊กกะดุ๋ย ลื้อก็สับคัทเอ๊าท์ลงมาแบบนี้ เข้าใจมั้ย”
เจ๊ยี้ทำท่าสับคัทเอ๊าท์ให้ดู เด็กพยักหน้าว่าเข้าใจ
“เก่งมาก ถ้าลื้อทำงานนี้สำเร็จ อั๊วให้ค่าขนม 20 บาท” เจ๊ยี้บอก
เด็กคนนั้นยิ้มแป้น
เจ๊ยี้อธิบายต่อ “แล้วพอสับคัทเอ๊าท์เสร็จแล้ว ลื้อรีบออกไปเลย ถ้าจับได้ว่าแอบดูต่อ อั๊วจะไม่ให้ซักสลึงเข้าใจมั้ย”
เด็กพยักหน้าอย่างแข็งขัน
เฮียป้อเดินแคะขี้ฟันเข้ามาในบ้านก็เจอเจ๊ยี้นั่งรออยู่ที่มานั่งยาวในบ้าน
“อ้าว อายี้ มาหาอั๊วเหรอ” เฮียป้อถาม
“ก็ใช่สิจ๊ะ” เจ๊ยี้ตอบ
“โทษที อั๊วออกไปกินข้าวมา”
“อั๊วรู้แล้วก็เลยมาดักรอก่อนไง”
“รู้ว่าอั๊วไม่อยู่เลยมานั่งรอ ทำอะไรแปลกๆนะลื้อเนี่ย มีอะไรเหรอ”
“เมื่อคืนอั๊วฝันร้าย”
“ฝันว่าอะไร”
“ฝันว่าโดนงูรัด แล้วก็กัด แล้วในฝันน่ะ งูหน้าเหมือนลื้อเลย”
“หน้าอั๊วเนี่ยนะเหมือนงู”
“ไม่ใช่ หน้างูน่ะเหมือนลื้อ ตาอย่างงี้ จมูกอย่างงี้ แล้วก็ปากอย่างงี้...หูก็อย่างงี้”
เจ๊ยี้ไม่พูดเปล่าแต่เดินเข้ามาประชิดเฮียป้อ พอพูดว่าตาเธอก็ชี้ตาของเขา พอพูดว่าจมูกเธอก็แตะปลายจมูก พอพูดว่าปากก็ลากนิ้วลงมาที่ปากแล้วเขี่ยริมฝีปากเบาๆ จนเฮียป้อเกร็ง พอพูดว่าหู เจ๊ยี้ก็ลากนิ้วไปที่ใบหู แล้ววนไล้ไปมาในช่องหูจนเฮียป้อถึงกับสยิ้วกิ้วเคลิบเคลิ้มจนครางซี้ด
“อู้ว์ ...พอก่อน อั๊วจั๊กกะจี๋”
ทันใดไฟก็ดับทำให้มืดจนมองอะไรไม่เห็น ได้ยินแต่เสียง
“เฮ้ย ทำไมอยู่ดีๆไฟดับ” เฮียป้องง
เจ๊ยี้โวยลั่น
“เมื่อกี้มันจั๊กกะจี๋ ฟังดีๆสิวะ” เจ๊ยี้ว่า
เด็กที่แอบอยู่สะดุ้งแล้วแลบลิ้นเพราะรู้ว่าทำผิด จึงรีบดันคัทเอ๊าท์ใหม่ทำให้ไฟสว่างพรึบ
เจ๊ยี้บ่นพึมพำ “ต้องบิ๊วกันใหม่เลย”
เฮียป้องง “ลื้อว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ... เนี่ย แล้วที่แปลกคืออะไรรู้มั้ย พออั๊วตื่นขึ้นมา ตรงที่ฝันว่างูกัดน่ะ มันดันมีรอยกัดจริงๆด้วย” เจ๊ยี้บอก
“ฮ้า”
“เป็นรอยปากคน”
“ฮ้า”
“อั๊วก็เลยสงสัยว่าลื้อจะแกล้งปลอมเป็นงู เลื้อยๆๆ ขึ้นไปหาอั๊วบนเตียง แล้วก็กัดอั๊ว ใช่หรือเปล่า”
“เฮ้ย ไม่ใช่ หม่ายนา อายี้ อั๊วไม่ทำแบบนั้นหรอก”
“งั้นต้องพิสูจน์ ดูว่ารอยฟันลื้อกับรอยฟันบนตัวอั๊ว มันเท่ากันรึเปล่า ถ้ามันเท่า แปลว่าลื้อนั่นแหละคือตัวการ”
“แล้วงูมันกัดลื้อตรงไหนเหรอ” เฮียป้อถาม
เจ๊ยี้ลุกขึ้นชี้ที่ซอกคออันขาวผ่อง เฮียป้อลุกมาดูซอกคอเจ๊ยี้ใกล้ๆ
“ไม่เห็นมีรอยอะไรนี่หว่า”
เจ๊ยี้ส่ายหน้า นิ้วที่แตะที่ซอกคอตัวเองลากลงมาที่ทรวงอก เฮียป้อเคลื่อนหน้าตามนิ้วมาหยุดที่ทรวงอก แล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก แต่เจ๊ยี้ยังส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่ เธอลากปลายนิ้วลงมาอีกแล้วหยุดที่สะดือ เฮียป้อเลื่อนหน้ามองตามอย่างโคตรลุ้น เขาจ้องตรงสะดือเจ๊ยี้แต่เจ๊ยี้ก็ส่ายหน้าอีก เจ๊ยี้ลากปลายนิ้วต่ำลงมาอีก เฮียป้อทำหน้าเหยเกพร้อมกับเลื่อนใบหน้าตามนิ้วเจ๊ยี้ลงมา เจ๊ยี้ลากนิ้วเลยผ่านสะโพก ต้นขา เรียวขา เฮียป้อลากหน้าตามไปจนนิ้วเจ๊ยี้ไปหยุดที่ตาตุ่มที่ใส่ถุงเท้ากับรองเท้าอยู่
“ตรงนี้อ่ะเหรอ” เฮียป้อถาม
“ใช่ ลื้อถอดถุงเท้ารองเท้าออกมาสิ” เจ๊ยี้บอก
เฮียป้อถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก เจ๊ยี้ร้องลั่น
“อร้าย”
“เฮ้ย ลื้อเป็นอะไรวะ”
“อั๊วอายน่ะสิถามได้ โบราณว่าถอดถุงเท้ารองเท้า เหมือนถอดเสื้อผ้าชุดชั้นใน”
“งั้นเดี๋ยวอั๊วใส่กลับให้”
“ไม่ต้อง...ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว ลื้อทาบรอยปากซิ ว่าพอดีกับรอยกัดมั้ย”
เฮียป้อก้มมองที่เท้าของเจ๊ยี้ซึ่งมีรอยฟันกัดแต่คล้ายๆ กับรอยปากกาเขียน
“เหมือนรอยปากกาเลยนะอั๊วว่า” เฮียป้อบอก
“ไม่เหมือนซักหน่อย ไหน ลื้อลองทาบซิ เร็วๆ” เจ๊ยี้เร่ง
เฮ้ยป้อชี้ที่ปากตัวเองแล้วชี้ที่เท้าเจ๊ยี้
“ปากอั๊วทาบลงเท้าลื้อเนี่ยนะ”
“เออสิ เร็วๆ อั๊วจะได้รู้ว่าใช่ลื้อรึเปล่า”
เฮียป้อทำใจครูหนึ่งก่อนจะก้มลงแล้วอ้าปากทาบรอยกัดที่เท้าเจ๊ยี้
เจ๊ยี้ครวญคราง “อู้ววววว จุ๊กกะดุ๋ย”
เด็กที่ถูกจ้างมัวแต่มองแล้วก็ทำหน้าขยะแขยง
“ยี้ ทำไปได้ไงวะ จะอ้วก แอวะ”
เจ๊ยี้ชักฉุนจึงพูดเสียงดังลั่น
“จุ๊กกะดุ๋ย ๆๆ”
เด็กนึกได้ก็รีบสับคัตเอาท์ทันที ทำให้ทุกอย่างมืดจนได้ยินแต่เสียง
“เอ๊ะ ทำไมไฟมันดับๆติดๆวะ แล้วลื้อพูดอะไรของลื้อวะ จุ๊กกะดุ๋ยๆเนี่ย” เฮียป้อสงสัย
“อั๊วพูดเพราะลื้อทำให้อั๊วสยิวกิ้วนี่นา ลื้อกัดเก่งจัง” เจ๊ยี้บอก
“ไฟดับแบบนี้แล้วจะเทียบรอยกัดยังไงวะ” เฮียป้อว่า
“ที่จริงงูมันยังกัดที่อื่นด้วยนะ”
“มีตรงไหนอีก”
“เอามือมา...ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้”
“อั้ยหยา...อั้ยหยา....หา ตรงนี้ด้วยเหรอ หม่ายๆๆๆ อั้ยหยา”
“ลื้อกัดตรงนี้สิ อั๊วจะได้รู้ว่าใช่ลื้อมั้ย”
“ไม่ๆๆ อั๊วไม่กล้า โอ๊ย อย่ากดหัวอั๊ว....อุ๊บ” เฮียป้อพูดเสียงอู้อี้ๆ เหมือนหายใจไม่ถนัด
ทันใดนั้นไฟก็สว่างขึ้น เฮียป้อกับเจ๊ยี้ผุดลุกขึ้นมาจากหลังพนักพิงของม้านั่งยาวในสภาพผมยุ่งทั้งคู่
เจ๊ยี้เดือดดาลมาก
“เปิดไฟอีกทำไม ... ว้าย กังฟู”
เจ๊ยี้ร้องลั่นเมื่อเห็นกังฟูยืนขยุ้มคอเสื้อเด็กแปดขวบอยู่
“อั๊วเข้ามาเห็นไอ้เป๋งกุ่ยกำลังเล่นคัทเอ๊าท์อยู่ อั๊วก็เลยจับตัวให้ ... นี่ ซนมากนะเรา มาแกล้งปิดไฟบ้านคนอื่นเล่นแบบนี้น่ะ”
“อั๊วเปล่านะ ก็เจ๊ยี้เขา...”
เจ๊ยี้ลุกพรวดมาบิดหูเด็กในสภาพเสื้อผ้าติดกระดุมไม่เรียบร้อย เจ๊ยี้เอ็ดตะโรลั่น
“มานี่เลย ไอ้เด็กแสบ ซนจริงๆ ซนที่สุด” เจ๊ยี้ว่า
เจ๊ยี้ลากเป๋งกุ่ยมาหน้าบ้าน แอบส่งแบ๊งค์ยัดใส่มือเด็กเป๋งกุ่ยแล้วผลักออกไป
“ไปได้แล้ว ไม่งั้นจะตีให้ตาย ซนจริงๆเลย”
เจ๊ยี้หันมายิ้มให้ทุกคนแล้วพูด
“เด็กพวกนี้ก็งี้แหละ”
ทุกคนหันกลับไปโดยไม่มีใครสนใจเด็กอีกเลย เจ๊ยี้แอบพึมพำพร้อมทั้งค้อนกังฟู
“ฮึ้ย เกือบจะเสียตัวอยู่แล้วเชียว เข้ามาขัดจังหวะทำไมฟะ ไอ้กังฟู ไอ้ซีปังโต้ว”
เจ๊ยี้ขุ่นเคืองใจมากก่อนจะเดินจากไป
เฮียป้อยิ้มให้กังฟู
“ขอบใจนะกังฟู ตอนแรกอั๊วนึกว่าไฟตก...เออ แล้วลื้อมาหาอั๊วทำไม อย่าบอกนะว่าฝันว่าโดนงูกัดอีกคน”
“อั๊วจะพาคนมาเช่าห้องที่ว่างอยู่น่ะ” กังฟูบอก
“อ๋อ ใครล่ะ” เฮียป้อถาม
กังฟูพยักหน้า หลินหลินเดินเข้ามาตามมาด้วยเมลดาที่ลากกระเป๋าใบโตเข้ามาด้วย ใบหน้าเมลดาดูแปลกตาไปเพราะเธอทำผมหยิกหยองแล้วกัดสีผมจริงๆ ส่วนหลินหลินก็แต่งทั้งเสื้อผ้าหน้าผมให้เป็นเด็กผู้ชาย
เฮียป้อเปิดประตูห้องมาก็เห็นห้องเช่าเล็กๆ เก๋ๆ บนดาดฟ้าตึก
เฮียป้อหันมาถาม “ไง ชอบมั้ย”
เมลดาพาหลินหลินเดินเข้าไปดู เฮียป้อแอบสะกิดถามกังฟู
“เมียกับลูกลื้อเหรอ”
“ใช่ที่ไหนเล่าเฮีย...เพื่อนอั๊ว” กังฟูบอก
“โห มีเพื่อนสวยน่ารักขนาดนี้เชียว ไปรู้จักได้ไงวะ” เฮียป้อถาม
“รู้จักโดยบังเอิญครับ แต่ตอนนี้เขามีเรื่องเดือดร้อน ต้องหาที่อยู่กะทันหัน อั๊วเลยพามาที่นี่”
เมลดาเดินมาหาเฮียป้อ
“เป็นไง ชอบมั้ย” เฮียป้อถาม
“ตกลงค่ะ เราเช่าที่นี่ค่ะ” เมลดาบอก
กังฟู เมลดา และหลินหลินช่วยกันจัดห้อง เฮียป้อช่วยหาเก้าอี้ โต๊ะ ที่ไม่ได้ใช้มาให้เมลดาด้วย
เวลาผ่านไป ห้องถูกจัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว กังฟู เมลดา และหลินหลินนั่งพัก
“ขอบคุณนะกังฟู นี่เป็นห้องที่น่ารักมาก” เมลดาบอก
“ถ้าคุณชอบผมก็ดีใจ...ชอบมั้ยครับ” กังฟูหันมาถามหลินหลิน
หลินหลินตอบสั้นๆ “ชอบ”
สักพักเฮียป้อก็ยกถาดเครื่องดื่มขึ้นมาให้
“เหนื่อยมั้ย กินอะไรหวานๆเย็นๆกันหน่อย” เฮียป้อบอก
“ขอบคุณครับเฮีย” กังฟูขอบคุณ
เมลดาพูด “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ...เออ นี่ ชื่ออะไรกันน่ะ ยังไม่รู้เลย จะได้เรียกกันถูก”
เฮียป้อหันมาถามหลินหลิน
“ชื่ออะไรจ๊ะหนูน้อย”
“อ่อ นี่ชื่อหลิน...” กังฟูบอก
เมลดาแอบสะกิดกังฟูให้เงียบ
“ชื่อหลิน...เอ่อ...หลินปิงค่ะ” เมลดารีบแก้
“อาตี๋ใช่มั้ยเนี่ย แต่ตาหวานจัง” เฮียป้อชม
เมลดาตอบ “อาตี๋ค่ะ”
“อ้อ อาตี๋ ชื่อหลินปิงเหมือนหมีแพนด้าเลยนะ ตอนพ่อแม่ตั้งชื่อให้คงไม่รู้หรอกนะว่าจะมีหมีแพนด้าชื่อนี้ ฮะๆๆ แล้วลื้อล่ะ” เฮียป้อถาม
“เอ่อ...หลิน...หลินฮุ่ย” เมลดาตอบมั่วๆ
เฮียป้อกับกังฟูหัวทิ่มพร้อมกัน กังฟูเอียงหน้ามากระซิบ
“ทำไมไม่เอาหลินอย่างอื่น”
“ก็ฉันรู้ภาษาจีนที่ไหนเล่า” เมลดาว่า
เมลดายิ้มแห้งๆให้เฮียป้อ เฮียป้อมองเมลดา พอจะรู้ว่าไม่บอกชื่อจริงกังฟูก็รีบกลบเกลื่อน
“เอาเหอะๆ ยังไงก็ได้รู้จักกันแล้ว ถือว่ามีวาสนาร่วมกัน ... เรามาดื่มอวยพรให้หมีแพนด้า เอ๊ย ให้สองพี่น้องนี้มีความสุขมากๆดีกว่าครับ”
“ขอบคุณค่ะ” เมลดาพูด
เฮียป้อไม่ติดใจอะไร ทั้งสี่ยกแก้วเครื่องดื่มชนกันแล้วก็ดื่ม
หลินหลินกับเมลดานั่งบนดาดฟ้าเพื่อมองวิวและคุยกัน
“เมื่อก่อนหนูชื่อหลินหลินเหรอคะ” หลินหลินถาม
“ใช่จ้ะ” เมลดาตอบ
“แล้วทำไมหนูต้องเปลี่ยนชื่อแล้วก็ปลอมเป็นเด็กผู้ชายด้วย” หลินหลินถามต่อ
“เราต้องหลบหนีคนบางคน เป็นคนที่ใจร้ายมากๆ” เมลดาบอก
“เราต้องหลบเขานานไหมคะ”
“คงนานเหมือนกัน”
“แล้วถ้าเขาเจอเราล่ะคะ”
“ถ้าเขาเจอเรา...พี่จะช่วยหลินหลินเอง พี่จะสู้กับพวกมัน แต่หลินหลินไม่ต้องห่วงพี่ ให้หนีไปก่อนเลย เข้าใจไหม”
“แต่หนูไม่อยากทิ้งพี่ไว้นี่คะ”
“ไม่อยากก็ต้องทำ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆเราสองคนจะไม่แยกจากกัน”
“สัญญานะคะ” หลินหลินถามย้ำ
“สัญญา” เมลดาบอก
หลินหลินยื่นนิ้วก้อยมา เมลดาเกี่ยวนิ้วก้อยกับหลินหลินแล้วยิ้มให้กัน
บนถนนเส้นหนึ่งในยามค่ำคืนที่ไม่มีผู้คน มีแต่หมอกปกคลุมถนนจนดูลี้ลับ จางซื่อยืนอยู่บนถนนเส้นนั้นตามลำพัง จางซื่อมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางหวาดระแวงไม่ไว้ใจ ทันใดนั้นทางด้านหลังของเขาก็มีเงาคนวิ่งผ่านจากซ้ายไปทางขวา
จางซื่อหันขวับ “ใคร”
ไม่มีใครตอบ สักพักก็มีเงาคนวิ่งไปทางด้านหลังของเขาอีก จางซื่อหันขวับ
“ใคร ออกมานะ”
จางซื่อหมุนรอบตัวพร้อมกับกำหมัดเกร็งพร้อมจะลุย ด้านหน้าจางซื่อมีเงาเด็กคนหนึ่งเดินมาหาเขา มีแสงสาดจากด้านหลังทำให้จางซื่อเห็นหน้าเด็กไม่ชัด
“แกเป็นใครไอ้หนู”
เด็กน้อยเดินมาหาแล้วยื่นของให้ จางซื่อยื่นมือออกไปรับก็พบว่าเป็นเมล็ดถั่วเมล็ดงา
“เมล็ดถั่วเมล็ดงา...เอามาให้อั๊วทำไม” จางซื่องง
จางซื่อเงยหน้ามองแล้วก็ตกใจที่เห็นเด็กกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วผู้ใหญ่คนนั้นก็ต่อยใส่หน้าเขาทันที
จางซื่อสะดุ้งตื่นแล้วมองไปรอบๆ ก็พบว่าเขานั่งหลับอยู่ในสำนักอสูรเทวา จางซื่อรู้สึกทั้งโกรธทั้งกลัว
จางซื่ออยู่ในตรอกแคบๆแห่งหนึ่งที่ดูเก่าแต่สะอาด จางซื่อเล่าความฝันของตัวเองให้ซินแสคนหนึ่งฟัง
“พอมันต่อยหน้าอั๊ว อั๊วก็ตื่น อั๊วฝันแบบนี้มาหลายคืนแล้ว มันหมายความว่ายังไง ซินแส”
ซินแสเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับนับนิ้วไปมา
“เด็กนั่นให้ถั่วกับงาใช่ไหม” ซินแสถาม
“ใช่” จางซื่อตอบ
“ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา...คนเราทำอะไรกับใครไว้ ก็จะได้สิ่งนั้นตอบแทน ถ้าในอดีตลื้อเคยช่วยคน ทายาทของเขาก็กำลังจะมาทดแทนบุญคุณ”
“ถ้าอั๊วทำร้ายคนล่ะ” จางซื่อถามต่อ
“ทายาทของเขาก็กำลังจะมาแก้แค้นลื้อ”
“แต่มันตายไปแล้ว มันจะเป็นผีมาหลอกหลอนอั๊วเหรอไง”
ซินแสหัวเราะ
“หนี้มีเจ้า แค้นมีเป้า คนตายย่อมล้างแค้นไม่ได้ หากมีคนล้างแค้น กลัวว่าไม่ใช่คนตาย”
ซินแสไม่พูดอะไรอีก จางซื่อส่งเงินให้ จางซื่อลุกขึ้นแล้วเดินออกมา
“หรือว่าจริงๆแล้วจางฟุยังไม่ตาย” จางซื่อบ่นพึมพำ
เนตรนภาร้องเพลงอยู่บนเวที พายุนั่งดูตาไม่กระพริบ จู่ๆติงลี่ก็เดินมานั่งข้างๆ แล้วกอดคอพายุ
“ไงพายุ เห็นเด็กเสิร์ฟบอกลื้อมานั่งทุกวันเลยเหรอ”
“ครับ...แต่เฮียไม่ต้องเลี้ยงผมแล้วนะครับ ผมเกรงใจ” พายุบอก
“เฮ้ย เฮียไม่ได้ถามเพราะเรื่องนั้นหรอก ลื้ออยากกินอยากดื่มอะไรก็เอาเถอะ แต่ที่ถามเนี่ยเพราะอยากรู้ว่าติดใจอะไรเหรอ” ติงลี่อยากรู้
พายุก้มหน้าแต่ไม่ตอบ ติงลี่มองไปที่เนตรนภาที่อยู่บนเวทีแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องตอบก็พอรู้ เรื่องแบบนี้นะ เฮียจะบอกให้ ก่อนอื่นต้องรวยก่อน ถ้ามีเงินอะไรก็ง่าย ถ้าไม่มีเงินอะไรก็ยาก”
“ถ้าเงินมันหล่นจากฟ้าได้ ผมจะรอเก็บครับ” พายุบอก
“รอไปเถอะ โลกนี้ที่แก่งแย่งกันมากที่สุดก็คือเงินนี่แหละ ของแบบนี้รับรองไม่มีหล่นจากฟ้าแน่ อยากได้ต้องขวนขวาย อยากได้ต้องแย่งชิง”
พายุประสานมือคำนับ “เฮียติงลี่โปรดชี้แนะด้วย”
“อั๊วเป็นคนเรียนน้อย ไม่กล้าใช้คำว่าชี้แนะ อั๊วแค่ผ่านประสบการณ์มาพอสมควร พายุ ถ้าลื้ออยากรวย ขั้นแรกลื้อต้องกล้า”
“ถ้าได้สิ่งที่ผมต้องการ ผมกล้าครับ”
“กล้าไม่พอ ต้องกล้ามากกว่าคนอื่นด้วย คิดมากไม่ได้ ถึงไหนต้องถึงกัน เสี่ยงก็เสี่ยง ตายก็ตาย หลักการนี้อยู่วงการไหนก็เหมือนกันหมด เป็นพ่อค้ากลัวเจ๊งก็ไม่รวย เป็นอั้งยี่กลัวตายก็ไม่ใหญ่ ลื้อเข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ ขอบคุณเฮียที่สั่งสอนครับ”
ติงลี่เงียบไปพร้อมกับมองพายุอย่างพิจารณา
“อั๊วกำลังจะเอาคืนไอ้เต๋า ไปด้วยกันไหม บอกก่อนว่างานนี้อันตรายถึงตาย ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไร เฮียไม่ว่าเลย ยังไงลื้อก็เป็นคนกันเองกับเฮียเหมือนเดิม แต่ถ้าลื้อไปด้วย เราเสี่ยงตายด้วยกัน รอดมาได้ เราคือพี่น้อง”
พายุมองติงลี่แล้วก็มองไปรอบๆ สายตาของพายุไปหยุดที่เนตรนภาแว่บหนึ่งก่อนจะกลับมาประสานสายตากับติงลี่
“ผมไปครับ”
ติงลี่ยิ้มด้วยความพอใจ
เฮียป้อนั่งแทะเม็ดก๋วยจี๊พร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์จีนไปด้วยอยู่เพียงลำพัง เจ้ยี้เดินนวยนาดเข้ามา
“อยู่คนเดียวเหรอคะเฮียป้อ”
“อ้าว อายี้...ใช่ อั๊วอยู่คนเดียว” เฮียป้อบอก
เจ๊ยี้ปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามานั่งข้างๆ เฮียป้อกระเถิบหนีเล็กน้อย เจ้ยี้กระเถิบตามจนเฮียป้อไม่มีที่ให้กะเถิบหนีอีก
“ลื้อจะมานั่งเบียดอั๊วทำไมเนี่ย ไม่ร้อนเหรอ”
“ร้อนสิ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งร้อน” เจ๊ยี้ว่า
เจ๊ยี้ดึงคอเสื้อออกจนเฮียป้อเห็นเนินอก เฮียป้ออ้าปากหวอทำให้เม็ดก๋วยจี๊หล่นจากมือ เฮียป้อจะหยิบเม็ดก๋วยจี๊
เจ๊ยี้รีบบอก “พี่ไม่ต้อง น้องทำเอง”
เจ๊ยี้หยิบเม็ดก๋วยจี๊มาส่งเข้าปากช้าๆ แล้วทำปากห่อแบบเซ็กซี่ก่อนจะขบเปลือกเม็ดก๋วยจี๊เป๊าะ เฮียป้อกลืนน้ำลายเอื๊อก เจ๊ยี้บรรจงวางเม็ดก๋วยจี๊บบนปลายลิ้นของตัวเองแล้วยื่นให้อย่างเชิญชวน
“มากินสิคะ”
เจ๊ยี้ยั่วยวน
อ่านต่อหน้าที่ 4
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 4 (ต่อ)
เมื่อโดนเจ๊ยี้ยั่วยวน เฮียป้อก็ตาลอยเหมือนโดนสะกด เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาเจ๊ยี้ทอแววสุขสม
เสียงหลินหลินพูดขึ้น “ขอกินด้วยคนนะครับ”
หลินหลินเดินลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้โดยเดินผ่าเข้ามาตรงกลางระหว่างเฮียป้อกับเจ๊ยี้ เธอมองเฮียป้อ
กับเจ๊ยี้ที่อ้าปากค้างเพราะโดนหลินหลินบังมิด สักพักเฮียป้อก็ได้สติ
“เอาสิจ๊ะ อาหลินปิง” เฮียป้อบอก
“ขอบคุณครับ”
เฮียป้อเทเม็ดก๋วยจี๊ให้ หลินหลินนั่งไขว่ห้างแทะเม็ดก๋วยจี๊ด้วยท่าทางกุ๊ยมาก
“ได้แล้วก็รีบๆไปกินที่อื่นสิ ไอ้เด็กบ้า” เจ๊ยี้ว่า
ประตูเปิดผลัวะ บู๊ลิ้มเดินเข้ามาพร้อมกับถือถุงอะไรมาด้วย
บู๊ลิ้มเรียก “หลิน...หลินปิง”
หลินหลินมองบู๊ลิ้ม บู๊ลิ้มเดินเข้ามาหาหลินหลิน เด็กทั้งสองนั่งข้างๆเฮียป้อ
เจ๊ยี้เซ็ง “เอาเข้าไป”
หลินหลินมองหน้าบู๊ลิ้ม
“เธอชื่อบู๊ลิ้มใช่มั้ย” หลินหลินถาม
“จำเราได้แล้วเหรอ” บู๊ลิ้มถามกลับ
“จำได้ ตอนฉันไม่สบายเธอช่วยดูแลฉัน ขอบใจเธอมากเลยนะ” หลินหลินบอก
บู๊ลิ้มยิ้มเขิน
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กน่ะ” บู๊ลิ้มว่า
“แต่ก่อนหน้านั้นยังจำไม่ได้นะ” หลินหลินบอก
“อืม นี่ไง ฉันเอาการ์ตูนที่เธอชอบอ่านมาให้อีก เผื่อเธอจะจำอะไรเพิ่มได้” บู๊ลิ้มบอก
“ขอบใจนะ อู้หู มีตั้งหลายเรื่องแน่ะ”
บู๊ลิ้มหยิบการ์ตูนออกมาวางจนเต็มไปหมด หลินหลินเห็นแล้วก็ตื่นเต้น
เฮียป้อมอง “อู้หู บางเรื่องนี่เฮียก็เคยอ่านตอนเป็นเด็กๆนะเนี่ย ขอเฮียดูบ้างนะ”
“เอาเลยครับ” บู๊ลิ้มบอก
เฮียป้อหยิบการ์ตูนมาดูด้วยท่าทางมีความสุข หลินหลินมองบู๊ลิ้มแล้วยิ้มหวานให้ บู๊ลิ้มเขินมาก ส่วนเจ๊ยี้นั่งหน้าเซ็งสุดๆ
เฮียเฉินกับฮูหยินนั่งกินข้าวกันอยู่เงียบๆ จู่ๆอินโทรเพลง I’ll survive ก็ดังขึ้น เฮียเฉินกับฮูหยินงงแล้วก็มองซ้ายขวา นางโชว์พัทยานางหนึ่งที่คอสตูมจัดเต็มเดินปิดหน้านวยนาดเข้ามา เฮียเฉินกับฮูหยินชะงักแล้ววางตะเกียบมองตาค้าง
ฮูหยินพึมพำ “เฮ้ย ตัวอะไรวะเนี่ย มาดีมาร้ายวะ”
นางโชว์เปิดหน้าก็เห็นเป็นกังฟูที่แต่งหน้าเข้ม ลิปซิงก์อินเนอร์ล้น และเต้นท่าทางแรดมาก
เฮียเก้าสำลักจึงพ่นข้าวพรวด
“กังฟู อะไรของลื้อวะเนี่ย” ฮูหยินถาม
ฮูหยินสะบัดตะเกียบไปโดนปลั๊กเครื่องเสียงที่เปิดเพลงขาด ทำให้เพลงหยุดลง กังฟูกระเง้ากระงอด
“จานแม่อ่ะ” กังฟูว่า
“ลื้อทำอะไรวะ” ฮูหยินถาม
“อั๊วจะให้คณะเราเล่นงิ้วเรื่องใหม่ Phantom of the opera” กังฟูพูดแบบใส่เอ๊กเซ่นเต็มๆ “เพลงเลิศๆ แด๊นซ์กันให้โบท็อกซ์กระฉอกออกมาทางหูเลย”
ฮูหยินเอะใจจึงมองกังฟู
“กังฟู ลื้อไปฝึกลมปราณพลังหยินมารึเปล่าเนี่ย” ฮูหยินถาม
เฮียเฉินสะดุ้งจึงรีบกลบเกลื่อน
“ลมปงลมปราณอะไรเล่าฮูหยิน ลื้อก็ซี้ซั้วต่า กังฟูมันแค่อยากให้คณะเรามีงิ้วเรื่องใหม่ๆมาเล่นบ้าง เล่นกันแต่กอชิงฮู แจปีหวย อะไรเงี้ย คนดูก็เบื่อ”
“แต่ว่าอั๊วว่าท่าทางมันแปลกๆ”
“แปลกยังไงเหรอยะเจ๊ เจ๊มีตาแค่ชั้นเดียวมองอะไรไม่ออกหรอก นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของกิ๊ปฟี่
กังฟูมองจิกๆพร้อมเชิดใส่”
“อั๊วว่าน่าเกลียด” ฮูหยินว่า
“ต๊าย แล้วแกสวยมากเหรอไงยัยซิ้มโบ๊ะยัยโป๊ะแตกยัยแก่รกโลกยัยเหี่ยวเหม็นเปรี้ยว เดี๋ยวแม่ตบปากด้วยห่อหมกซะเลย” กังฟูด่าเป็นชุด
ฮูหยินอ้าปากค้าง
“ไม่มีอะไร อีซ้อมบทงิ้วของอั้งม้อน่ะ” เฮียเฉินแก้ตัวให้
เฮียเฉินรีบเข้ามาจิกผมกังฟูแล้วลากออกไปก่อนจะหันไปพูดกับฮูหยิน
“เดี๋ยวอั๊วคุยกับกังฟูเอง จะเอางิ้วมาเล่นเรื่องของอั้งม้อไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เดี๋ยวอั๊วคุยเองนะ”
เฮียเฉินลากกังฟูออกมาจนเหลือฮูหยินตามลำพัง
“งิ้วอั้งม้ออะไรวะ ทำไมมีซิ้มโบ๊ะด้วย” ฮูหยินงง
เฮียเฉินลากเฮียหลอกับเฮียเก้ามา
“อะไรของลื้อวะไอ้เฉิน” เฮียหลอถาม
“ดูซะ” เฮียเฉินบอก
เฮียเฉินพาเฮียหลอกับเฮียเก้ามาดูกังฟูที่กำลังนั่งรออยู่ เฮียหลอกับเฮียเก้าเห็นคอสตูมกับเมคอัพของกังฟู ก็ร้องจ๊ากและผงะกันไป กังฟูหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้
“อาจารย์ ช่วยศิษย์ด้วย ศิษย์ใกล้จะเป็นตุ๊ดเต็มทีแล้ว” กังฟูบอก
เฮียเฉินลากเฮียหลอกับเฮียเก้ามาสุมหัวกัน
“เมียอั๊วก็เกือบจะรู้ความจริงแล้วด้วย ลื้อต้องหาทางช่วยมันเดี๋ยวนี้” เฮียเฉินบอก
“ความจริงวิธีก็มี แต่มันเสี่ยง ดีไม่ดีมันจะไปกันใหญ่ อั๊วเลยว่าจะหาวิธีที่มันปลอดภัยให้มากขึ้น” เฮียเก้าว่า
“ไม่มีเวลาแล้ว กว่าลื้อจะเจอวิธีปลอดภัย อั๊วคงเจออันตรายไปก่อนแล้ว บอกมาดิ๊ วิธีอะไร” เฮียเฉินถาม
เฮียเก้าซุบซิบกับเฮียหลอและเฮียเฉิน ทั้งสามเฮียมีท่าทางซีเรียส
“เราไม่มีทางเลือกแล้ว เอาวิธีของลื้อแล้วกัน”
“กังฟู มานี่” เฮียเก้าเรียก
กังฟูลุกเดินมาคุกเข่าต่อหน้าอาจารย์ทั้งสาม
เฮียหลอพูด “พวกอั๊วช่วยกันคิดหาวิธีช่วยลื้อมาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็คิดได้วิธีหนึ่ง”
กังฟูรีบโค้งคำนับด้วยความดีใจมาก
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
“อย่าเพิ่งดีใจ ฟังให้จบก่อน วิธีนี้คือหนามยอกเอาหนามบ่ง ตอนนี้ลื้อเป็นตุ๊ดเพราะลื้อฝึกลมปราณสายอ่อนหยุ่น พวกอั๊วก็เลยจะสอนลมปราณสายแข็งกร้าวให้ ถ้าลมปราณทั้งสองสายรวมตัวกันได้ ก็จะทำให้สมดุลกลับมาเหมือนเดิม” เฮียเฉินบอก
“ศิษย์จะฝึก” กังฟูบอก
“แต่วิธีนี้ก็มีอันตราย” เฮียเก้าเตือน “ถ้าร่างกายลื้อทนลมปราณสองแบบนี้ไม่ได้ ลมปราณไม่รวมเป็นหนึ่งแต่วิ่งไล่กัน เดี๋ยวลื้อก็จะเป็นตุ๊ด อีกพักก็จะเป็นกุ๊ย เป็นตุ๊ดเป็นกุ๊ยเป็นตุ๊ดเป็นกุ๊ยไม่นานลื้อก็เสียคนกลายเป็นคนบ้าซาจี๊”
เฮียหลอถาม “ลื้อกล้าเสี่ยงมั้ย”
กังฟูอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ศิษย์ขอเสี่ยง ศิษย์ไม่กลัว” กังฟูบอก
“ดีมาก กังฟู ลื้อกล้ากว่าที่อั๊วคิด งั้นอั๊วจะบอกตามตรง ลื้อทนไม่ได้หรอก ลื้อต้องเป็นบ้าแน่ๆ” เฮียเฉินบอก
“พวกอั๊วฝึกลมปราณอ่อนหยุ่นแค่ระดับสอง แต่ของลื้อตอนนี้ไปถึงระดับสามแล้ว พวกอั๊วก็ต้องใส่ลมปราณแข็งกร้าวระดับสามเข้าไป มันแรงเกินไป ยากที่ใครจะทนได้ พวกอั๊วก็ทนไม่ได้”
“แต่ถ้าลื้อไม่ฝึก เมียอั๊วก็ต้องรู้เรื่องนี้ อั๊วต้องตายแน่ๆ” เฮียเฉินว่า
“ศิษย์เข้าใจ ศิษย์ยอมเป็นบ้า ไม่ยอมให้อาจารย์โดนอาจารย์แม่ทำร้าย” กังฟูบอก
“เจ้าช่างกตัญญูนักกังฟู” เฮียเฉินชม
เฮียเฉินตบบ่ากังฟูในสภาพน้ำตาซึม
เฮียเก้าลุกเดินออกมา
“ในหยินมีหยาง ในหยางมีหยิน ลมปราณอ่อนหยุ่นคือลมปราณลิ้นมังกร ลมปราณแข็งกร้าวที่ลื้อต้องฝึกคือ..ลมปราณหงส์แดง”
กังฟูชะงักกึกแล้วมองหน้าเฮียเก้าด้วยสีหน้าสับสน
“แต่ศิษย์เชียร์แมนยู”
เฮียเก้าถีบกังฟูจนล้มกลิ้ง
“มันเกี่ยวอะไรกันเล่า...” เฮียเก้าว่า
กังฟูนั่งสมาธิ เฮียเก้า เฮียหลอ และเฮียเฉินนั่งอยู่ด้านหลังของกังฟู พร้อมกับทาบฝ่ามือเพื่อถ่ายทอดพลังให้
เฮียหลอ เฮียเก้า และเฮียเฉินช่วยกันตบจุดบนร่างของกังฟูจนกังฟูหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
“ทนไว้ พวกอั๊วต้องเปิดจุดให้ลมปราณแข็งกร้าวโคจรในตัวเจ้า”
สามเฮียพูดไปตบจุดไป กังฟูได้แต่อดทน
เฮียหลอบอก “ใกล้เสร็จแล้ว”
กังฟูมีหน้าตาเจ็บปวดมาก ทั้งสามเฮียตบจุดอีกเป็นชุด
สักพักเฮียเฉินก็บอก “เสร็จแล้ว”
กังฟูกระอักเลือดแล้วก็ล้มคว่ำลง ทั้งสามเฮียตกใจ
“ทำไมมันกระอักเลือดวะ ลมปราณหยินหยางตีกันไม่น่าจะกระอักเลือดนี่หว่า” เฮียเฉินว่า
เฮียเก้าเดินเข้ามาแมะ
“ชีพจรสับสนมาก”
เฮียหลอทาบฝ่ามือที่กลางหลังของกังฟู
“แปลกมาก มีลมปราณอีกแบบอยู่ในตัวมัน”
กังฟูทำหน้าบิดเบี้ยว
ในความมืด กังฟูค่อยๆ มองเห็นหน้าจางเหลียงปรากฏขึ้นมา หน้าจางเหลียงเข้ามาใกล้และเบลอมาก
จางเหลียงพูด “จางฟุ จำไว้ สิ่งสำคัญที่สุดของจอมยุทธ ไม่ใช่แก้แค้น แต่เป็น...”
กังฟูลืมตาขึ้นลุกพรวด สามเฮียที่ดูอาการกังฟูอยู่ตกใจและถอยออกมา กังฟูงงๆ
“เมื่อกี้เหมือนศิษย์ฝันถึงใครบางคน” กังฟูบอก
“ยังไม่ทันไรบ้าแล้วเหรอวะ” เฮียเก้าว่า
“ลมปราณลื้อเป็นไงมั่ง” เฮียหลอถาม
กังฟูลองเดินพลังลมปราณดู “ลมปราณหงส์แดง”
กังฟูสูดลมหายใจเข้าเต็มที่
“ขาก...ถุย”
กังฟูพ่นเสลดพุ่งตรงมาที่หน้าเฮียหลอ เฮียหลอยกมือกันไว้ได้ทัน เฮียหลอทำหน้าขยะแขยงก่อนจะเอามือป้ายกางเกง กังฟูใช้นิ้วโป้งอุดรูจมูกข้างหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจออก ทำให้เสมหะพุ่งออกจากจมูกอีกข้างแล้วพุ่งตรงมาที่เฮียเฉิน เฮียเฉินจับมือเฮียเก้ายกขึ้นมาบังเสมหะ เฮียเก้าร้องอี๋แ้วป้ายกางเกงเฮียหลอ เฮียหลอไม่ว่าอะไร
“ทำไมไอ้กังฟูมันสถุลงี้วะ” เฮียเฉินสงสัย
“ก็นี่มันลมปราณสายแข็งกร้าว มันออกแนวลูกผู้ชายสุดขั้ว มันก็เป็นแบบนี้แหละ” เฮียเก้าบอก
กังฟูเการักแร้แกรกๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนท่านั่ง จากนั่งกุ๊ย มานั่งแบบผู้หญิงฮ็อตๆ ดึงคอเสื้อเป่าปาก มองสามเฮียด้วยสายตาเร่าร้อน
“อร้าย ตะเอง เค้าร้อนจังเลย ตะเองเอาน้ำแข็งมาลูบไล้แผ่นหลังให้เค้าให้หน่อยจิ” กังฟูแต๋วแตก
“ลมปราณสองสายตีกันแล้ว” เฮียเก้าว่า
จู่ๆกังฟูก็เปลี่ยนมานั่งแคะขี้มูก ดึงขนจมูก สักพักก็เปลี่ยนมาทำท่าสะบัดบ๊อบแล้วก็เปลี่ยนมาเอามือขวาแคะหู มือซ้ายส่งจูบให้เฮียทั้งสาม
“มันแบ่งซ้ายขวาแล้ว” เฮียเก้าว่า
“อดทนไว้นะกังฟู ควบคุมร่างกายตัวเองให้ได้ ไม่งั้นลื้อจะเป็นบ้านะ”
กังฟูสะบัดมือสะบัดขาเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้คล้ายๆเจ้าเข้า
“ไม่รอดจริงๆด้วย โทรเรียกตำรวจจับมันไปโรงพยาบาลบ้าเหอะ” เฮียเฉินบอก
กังฟูพยายามควบคุมตัวเอง ในที่สุดเขาก็ค่อยๆควบคุมร่างกายได้ กังฟูนั่งลงก้มหน้านิ่งด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน สามเฮียมองตามแบบลุ้นๆ
“กังฟู เป็นไงวะ” เฮียเฉินถาม
กังฟูเงยหน้าขึ้น สามเฮียลุ้น
กังฟูร้องออกมา “อร้าย อะไรกันเนี่ย แม่เจ้า”
สามเฮียสลด
“ไม่สำเร็จ มันกลายเป็นตุ๊ด” เฮียหลอว่า
“เปล่าๆๆ อาจารย์ เมื่อกี้มันค้างท่อ ศิษย์หายเป็นปกติแล้ว” กังฟูบอก
“จริงเหรอ” เฮียเก้าถาม
“จริงๆครับ ศิษย์ไม่ได้เป็นตุ๊ด ไม่ได้เป็นกุ๊ย แล้วก็ไม่ได้เป็นบ้าด้วย”
ทั้งสามเฮียโล่งอก
เฮียหลอ เฮียเฉิน และเฮียเก้านั่งกินข้าวต้มอยู่ด้วยกัน
“เฮ้อ จัดการปัญหาไอ้กังฟูได้ โล่งใจเหมือนตัดเล็บขบ กลุ้มใจอยู่ตั้งหลายวัน” เฮียเฉินว่า
“ไอ้กังฟูนี่ชักไม่ธรรมดาแล้วนะ ลื้อคิดดูเด๊ะ โลกนี้จะมีกี่คนจะผสานลมปราณสองสายได้แบบนั้นวะ” เฮียเก้าบอก
เฮียหลอโพล่งออกมา “อั๊วว่าใกล้ถึงเวลาของมันแล้วล่ะ”
“เวลาอะไรวะ” เฮียเก้างง
“ไอ้กังฟูมันลูกพยัคฆ์ ต่อให้เราเลี้ยงมันแบบลูกแมว ถึงเวลามันก็ต้องโตเป็นพยัคฆ์เหมือนพ่อมันนั่นแหละ” เฮียหลอบอก
“แล้วพ่อมันเป็นพยัคฆ์ธรรมดาซะที่ไหน” เฮียเฉินพูด “เป็นโคตรพยัคฆ์อันดับหนึ่งของบู๊ลิ้ม ไอ้กังฟูก็อาจจะเป็นพยัคฆ์ร้ายอีกตัว”
“แต่ก็ไม่แน่หรอก ลื้อดูก๊วยเจ๋งเด๊ะ สุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแต่พอรุ่นลูกไม่เห็นได้เรื่องเท่าไหร่” เฮียเก้าบอก
“แต่อั๊วยังติดใจลมปราณแปลกๆอีกสายในตัวมัน” เฮียหลอว่า
“ลมปราณของพ่อมันรึเปล่าวะ” เฮียเก้าสงสัย
เฮียหลอบอก “อั๊วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันแปลก...อาเฉิน เหมยอิงเคยเล่าอะไรให้ลื้อฟังรึเปล่าวะ”
“ไม่แน่ใจว่ะ ตอนนั้นอั๊วหูอื้อ” เฮียเฉินตอบ
เฮียเก้าถาม “เป็นหวัดเหรอ”
“เปล่า โดนเมียตบ คือตอนเหมยอิงพากังฟูมาหา เมียอั๊วนึกว่าอั๊วไปไข่ทิ้งไว้ เลยซัดบ้องหูอั๊วจนแก้วหูอักเสบ เหมยอิงพูดอะไรมา อั๊วเลยได้ยินมั่งไม่ได้ยินมั่ง”
“แล้วได้ข่าวเหมยอิงบ้างไหมวะ ตอนนี้เขาเป็นยังไง” เฮียหลอสงสัย
“ไม่รู้ ตั้งแต่อีเอากังฟูมาให้ก็หายไปเลย ไม่รู้ป่านนี้มีผัวใหม่รึยัง” เฮียเฉินบอก
เหมยอิงนั่งเหม่อดูรูปถ่ายครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วยเหมยอิง เจ้าสัว ซ้อสอง เมฆา และหลินหลิน ทุกคนในรูปมีท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส
เสียงจางซื่อถาม “อาลัยอาวรณ์มันมากเหรอไง เหมยอิง”
เหมยอิงหันขวับมาเห็นจางซื่อ
“จางซื่อ แกมาทำไม”
“เธอจะคิดถึงพวกมันทำไม มันตายไปหมดแล้ว ฉันกับเมฆาคือครอบครัวที่แท้จริงของเธอ”
“นั่นคือเรื่องที่ฉันเสียใจที่สุด ฉันมีตาแต่ไม่มีแวว แต่งงานกับแก ฉันอยากควักลูกตาฉันออกมาให้สาสมกับความผิด แต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้ ไม่ใช่เพราะกลัวตาบอดหรอกนะ แต่อยากจะเก็บไว้ดูวันที่แกสองพ่อลูกพินาศย่อยยับ ชดใช้กรรมที่สร้างเอาไว้”
“ทำไมเธอไม่มองโลกในแง่ดี ทั้งผัวทั้งลูกกำลังจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่สองแผ่นดิน เธอจะได้เป็นนางพญาทั้งที่ฮ่องกงและกรุงเทพ รู้มั้ยว่ามีผู้หญิงกี่คนที่ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นอย่างเธอ”
“ผู้ยิ่งใหญ่?...คนจอมปลอมอย่างพวกแกไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่หรอก พวกแกเก่งแต่ลอบกัดทั้งพ่อทั้งลูก ... เมฆา แกอย่านึกว่าจางซื่อมันเก่งนักหนานะ ถ้ามันไม่ใช้วิธีลอบกัดแบบไร้ยางอายล่ะก็ มันไม่มีวันนี้หรอก”
จางซื่อได้ยินก็หัวเราะ
“พูดได้ดี...สอนได้ดี...เมฆา แกได้ยินแล้วใช่ไหม จำเอาไว้นะ เก่งวรยุทธไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็อยู่ที่ความเด็ดเดี่ยว ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะฉันเด็ดเดี่ยว ไม่แยแสเรื่องหยุมหยิม” จางซื่อว่า
“ไอ้หน้าด้าน แกมันไร้คุณธรรม” เหมยอิงด่า
“คุณธรรม? คุณธรรมสำคัญยังไงเหรอ ถ้าคุณธรรมมันดีจริงพี่ชายเธอคงยังไม่ตายมั้ง แล้วตอนนี้พี่ชายเธออยู่ไหน ไม่ใช่โดนดินกลบอยู่เหรอ” จางซื่อถาม
เหมยอิงแค้นจนพูดอะไรไม่ออก
“เอาเถอะ เหมยอิง วันนี้ฉันมาหาเธอไม่ได้อยากชวนทะเลาะหรอกนะ แต่ฉันมีเรื่องต้องถามเธอ” จางซื่อบอก
“เรื่องอะไร” เหมยอิงถาม
“ศพจางฟุอยู่ไหน” จางซื่อถาม
“จางฟุ? แกจะเอาศพจางฟุไปทำอะไร”
“ฉันอยากรู้ว่ามันตายจริงมั้ย” จางซื่อบอก
“จางฟุตายอย่างอเน็จอนาถ ฉันไม่มีเงินทำศพ มีมูลนิธิมาช่วย ทำพิธีเผารวมกับศพอื่นๆลอยอังคารที่แม่น้ำไปเมื่อยี่สิบปีก่อนแล้ว”
“มันตายที่โรงพยาบาลอะไร มูลนิธิอะไรที่มาช่วย บอกชื่อมา ฉันจะไปสืบต่อเอง”
เหมยอิงคว้าปากกามาจดชื่อโรงพยาบาลกับมูลนิธิส่งให้จางซื่อ
“ฉันจะไปตรวจสอบ ถ้าเธอโกหกฉันล่ะก็...”
จางซื่อจ้องเหมยอิงด้วยดวงตาวาวโรจน์แลดูน่ากลัว
“เชิญ ฉันไม่กลัวหรอก” เหมยอิงบอก
จางซื่อเดินออกมาโดยทิ้งเหมยอิงเอาไว้
เมฆากับมิเชลมาส่งจางซื่อขึ้นรถที่หน้าคฤหาสน์
จางซื่อยื่นกระดาษที่ได้จากเหมยอิงส่งให้เมฆา
“ตรวจสอบอย่างละเอียดนะ”
เมฆารับคำ “ครับ”
มิเชลโค้งคำนับจางซื่อ จางซื่อขึ้นมาบนรถ คนขับรถปิดประตูให้แล้วรถก็เคลื่อนออกมา
เสียงเหมยอิงดังขึ้นในหัวของเมฆา “เมฆา แกอย่านึกว่าจางซื่อมันเก่งนักหนานะ ถ้ามันไม่ใช้วิธีลอบกัดแบบไร้ยางอายล่ะก็ มันไม่มีวันนี้หรอก”
จางซื่อกำหมัดแน่นแล้วก็หวนคิดถึงอดีต
ยี่สิบห้าปีก่อน สำนักอสูรเทวาดูยิ่งใหญ่ เคร่งขรึมและเก่าแก่มาก
สำนักอสูรเทวาจัดงานศพซึ่งมีแขกเหรื่อมากพอสมควร ในบรรดาแขกเหรื่อมีชายฉกรรจ์อยู่ด้วยห้าคน ทั้งห้าคนดูภายนอกเหมือนแขกคนอื่นที่มาร่วมงานกำลังจับกลุ่มปรึกษากัน
“ในรอบสิบปีนี่คือโอกาสดีที่สุดที่เราจะฆ่าจางเหลียง ห้ามพลาดเด็ดขาด”
“แม้มันจะมีวิทยายุทธเลิศล้ำ แต่เมียมันเพิ่งป่วยตาย ต้องส่งผลต่อจิตใจมันไม่มากก็น้อย ถ้าไม่ฉวยโอกาสนี้เกรงว่าภายภาคหน้าจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก”
“พวกเราห้าเจ้าสำนักร่วมมือกัน ต้องฆ่ามันได้แน่ๆ”
ชายทั้งห้าคนประสานมือกันแล้วพากันเดินเข้าไปสู่ตัวงาน จางเหลียงยืนอยู่ในชุดไว้ทุกข์โดดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้างาน
จางเหลียงเห็นชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนก็คำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คำนับท่านห้าเจ้าสำนัก” จางเหลียงบอก
ชายทั้งห้าคำนับตอบ
“คำนับท่านจางเหลียง”
“เชิญ” จางเหลียงผายมือเชิญทั้งห้า แล้วก็เดินนำทั้งห้าตรงไปที่คำนับศพ ทั้งห้าสบตากันแล้วก็ลงมือทันที ชายคนหนึ่งใช้ดาบ, ชายคนที่สองใช้หมัด, ชายคนที่สามใช้กระบี่, ชายคนที่สี่ใช้เท้า, ส่วนชายคนที่ห้าใช้ฝ่ามือ
ทั้งห้าคนลงมือโดยพร้อมเพรียงจากด้านหลังของจางเหลียง จางเหลียงรู้ตัวก่อนเลยหมุนตัวกลับมาแล้วใช้วิทยายุทธ์ขั้นสุดยอดหลบได้ทุกดอกอย่างพอดิบพอดี ไม่ขาดไม่เกิน จางเหลียงไม่เพียงหลบการจู่โจมได้แต่ยังโจมตีกลับจนสามารถสยบชายทั้งห้าได้
“เจ้าโจรชั่วจางเหลียง เจ้าฆ่าเราทั้งห้าคนเถอะ”
“เจ้าสำนักทั้งห้า ท่านจะฆ่าข้าทำไม” จางเหลียงถาม
“สำนักอสูรเทวาของเจ้า ก่อกรรมทำเข็ญ สร้างความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ไม่ฆ่าเจ้าแล้วฆ่าใคร”
จางเหลียงเงียบไปแล้วก็พูดกับทุกคนในงาน
“เขาพูดไม่ผิด ที่ผ่านมาข้าจางเหลียง ทำเรื่องเลวร้ายมากมาย แต่วันก่อน ข้ารับปากเมียข้าที่กำลังจะตายว่าจะเลิกทำชั่ว ยึดถือคุณธรรม ข้าขอถือโอกาสนี้ประกาศให้ทั้งยุทธภพรู้กัน อีกสามวันเสร็จงานศพเมียข้า ข้าจะยุบสำนักอสูรเทวา ตั้งสำนักเทิดทูนคุณธรรม เรื่องชั่วไม่ทำ ทำแต่เรื่องดี ขอให้ทุกท่านเป็นพยาน”
ทุกคนเงียบกริบ เจ้าสำนักทั้งห้าปรบมือให้ แขกเหรื่อคนอื่นๆพากันปรบมือตามจนเสียงดังกระหึ่มไปทั้งงาน จางเหลียงประสานมือคำนับรอบทิศ แต่พวกอสูรเทวากลับไม่ได้ปรบมือชื่นชมกลับยืนอึ้งๆ มองกันงงๆ”
จางซื่อที่ยืนอยู่ในฝ่ายของสำนักอสูรเทวามองจางเหลียงด้วยสายตาขุ่นมัว
จางซื่อหมุนตัวเดินจะออกไปจากงาน
จางเหลียงถามขึ้น “จางซื่อ จะไปไหน”
“จู่ๆห้องนี้ก็บรรยากาศไม่ดี ข้าขอตัว” จางซื่อบอก
จางซื่อเดินออกไป พวกศิษย์สำนักอสูรเทวาและคนอื่นมองตามจางซื่อแล้วหันมามองจางเหลียง
จางเหลียงมองจางซื่อด้วยสายตาเย็นเยียบ
อ่านต่อตอนที่ 5