ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 1
บนถนนสายหนึ่งในย่านคนจีน ขณะที่ทหารสี่คนกำลังแบกเกี้ยวที่ตกแต่งอย่างสวยหรู มีแม่ทัพผู้หนึ่งขี่ม้านำขบวนเกี้ยว โดยที่ตรงกลางถนนมีชายคนหนึ่งสะพายดาบเล่มใหญ่ นั่งอยู่บนเก้าอี้มองมาอย่างใจเย็น
“บังอาจ นี่เป็นขบวนเกี้ยวองค์หญิงหลานหลิง ถ้าไม่อยากตายรีบไสหัวไป” แม่ทัพพูดแทบเป็นตวาด
“บังเอิญนัก ข้าก็กำลังตามหาองค์หญิงหลานหลิงพอดี” นักฆ่าเอ่ย
“สารรูปอย่างเจ้ามีธุระอะไรกับองค์หญิง”
“มีคนจ้างให้ข้ามาฆ่าองค์หญิงไงล่ะ ข้าคือนักฆ่าดาบเดียว ซิมเซ่งอี่” นักฆ่ากระโดดขึ้น ชักดาบฆ่าแม่ทัพในดาบเดียว พวกคนแบกเกี้ยวต่างพากันตกใจและวิ่งหนีหายไป
นักฆ่าหัวเราะ กระโดดแทงดาบเข้าไปในเกี้ยว เกี้ยวระเบิดออก กังฟูที่อยู่ในเกี้ยวชักกระบี่ฟาดฟันนักฆ่า กระบี่กระทบดาบไฟแล่บแปลบปลาบ ทั้งสองแยกออกจากกัน นักดาบยืนบนถนนแต่กังฟูกระโดดถอยยืนบนขอบหลังคา นักฆ่าถอยไปด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“เจ้าเป็นใคร ไปอยู่ในเกี้ยวองค์หญิงได้ยังไง” นักฆ่าถาม
“ยี่สิบปีก่อน เจ้าเข่นฆ่าครอบครัวของขุนนางตงฉินคนหนึ่ง วันนี้ข้าจะมาล้างแค้นให้พวกเขา” กังฟูเอ่ย
“หรือว่าเจ้าคือ…”
“ถูกต้อง ลูกชายของอำมาตย์สี่ ข้าคือสี่เหวินเฉียง”
นักฆ่าได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะฆ่าองค์หญิง ข้าจึงปลอมตัวมาในเกี้ยว ซิมเซ่งอี่ วันนี้คือวันตายของเจ้า” กังฟูพูดต่อ
“ฮ่าๆๆ ข้าจะฆ่าให้ตายทั้งพ่อทั้งลูก” นักฆ่าว่า
กังฟูทำท่าคารวะ พูดกับท้องฟ้า
“ฟ้าเป็นพยาน วันนี้ข้าจะล้างแค้นท่านพ่อของข้า ล้างแค้นให้ อาอี๊ อาโกว ตั่วเจ่ก ยี่เจ่ก โซ้ยเจ่ก ยี่ซิ่ม โซ้ยซิ่ม อากู๋ อากิ๋ม อาเหล่าอึ้ม อาเหล่าโกว…”
“เฮ้ย เยอะไปแล้ว” นักฆ่าเอ่ยขัดขึ้น
“อย่าเพิ่งขัดสิวะ...ลืมเลย...ถึงใครแล้วเนี่ย...เอ่อ...บรรพบุรุษทุกท่าน ข้าจะล้างแค้นให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”
กังฟูพูดจบก็ตั้งท่ากระบี่
“เซียนเหินจากฟ้า” กังฟูกระโดดพุ่งลงมาพร้อมแทงกระบี่ ฟาดฟันกับนักฆ่าอย่างดุเดือด
วันต่อมา กังฟูนั่งอ่านนิยายจีนอย่างเพลิดเพลิน มือก็หยิบถั่วลิสงคั่วเกลือใส่ปากกินไปด้วย กินไปอ่านไป อย่างเมามัน ทันใดนั้น บู๊ลิ้มก็แอบย่องเข้ามา หยิบก้อนหินแถวนั้นใส่ลงไปในชามถั่ว กังฟูหยิบเข้าปาก เคี้ยวกึก ร้องโอ๊ย บ้วนหินออกมาดู บู๊ลิ้มหัวเราะก๊าก
“ศิษย์พี่ แกล้งศิษย์น้องทำไมเนี่ย” กังฟูพูด
“ใครใช้ให้ศิษย์น้องอ่านนิยายจีนเมามันขนาดนั้นล่ะ ดีนะไม่หยิบอึหมาใส่ลงไปน่ะ” บู๊ลิ้มว่า
กังฟูยิ้มแหยๆ ก่อนตอบ “ก็อ่านแล้วมันมันส์นี่นา ศิษย์น้องอยากเป็นจอมยุทธอย่างในนิยายกำลังภายในมาก แก้แค้นให้บรรพชน เข่นฆ่าพวกอธรรม พิทักษ์สาวงามผู้สูงส่ง วะ วะ ว้าว” เมื่อพูดจบก็เก๊กท่าจอมยุทธ หันมาหาบู๊ลิ้ม ประสานมือคารวะ
“สหายให้เกียรติมาเยือน มิทราบมีอันใดสอนสั่ง”
บู๊ลิ้มรับมุข ประสานมือตอบ “คำสอนสั่งมิกล้าใช้ เพียงแต่มีเรื่องเล็กน้อยมาบอก”
“เชิญท่าน ข้าพเจ้าล้างหูรอรับฟัง”
“บัดนี้เวลาสิบโมงแล้ว ได้เวลาทำงานของท่านจอมยุทธแล้ว”
กังฟูชะงัก หันขวับไปดูนาฬิกาที่ฝาห้อง “เหยย”
เสียงเพลงสนุกๆดังขึ้น
ช่วงเวลากลางวันที่ท้องถนนย่านเยาวราช มีรถราวิ่งขวักไขว่ ริมถนนมีรถหกล้อคันเล็กๆน่ารักๆที่ดัดแปลงตกแต่งเป็น ร้านขายติ่มซำ-ซาลาเปา-ขนมจีบ ชื่อร้านติดข้างตัวถังรถว่า “ติ่มซำสะท้านบู๊ลิ้ม”
“เร่เข้ามาครับ เร่เข้ามา ติ่มซำสะท้านบู๊ลิ๊มอร่อยเหาะที่สุดในสามโลก ขนมจีบ ติ่มซำ ซาลาเปา หมั่นโถว่ ทำกันสดๆ นึ่งกันร้อนๆ รับรองว่าหอเจี๊ยะ ๆๆๆๆ” บู๊ลิ้มทำเสียงเอคโค่เรียกลูกค้าสุดฤทธิ์ จนเริ่มมีลูกค้าเข้ามายืนมุง บู๊ลิ้มจึงหันไปพยักหน้าให้ศิษย์ผู้น้อง
กังฟูก้าวเข้ามาพร้อมกับยิ้มมุมปากแบบกวนๆ คาดผ้ากันเปื้อน มีผ้าขนหนูมัดที่หน้าผาก
ตรงหน้ากังฟูคือโต๊ะนวดแป้งห่อซาลาเปา กังฟูกระชับท่าเตรียมนวดแป้งอย่างทะมัดทะแมง จากนั้นก็เอาแป้งขึ้นมาโชว์โยนไปมาซ้ายๆขวาๆ ก้อนแป้งลอยกลางอากาศก่อนจะใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ
“ย๊ากกกกกก !!!”
กังฟูใช้ฝ่ามือนวดๆคลึงๆแป้งอย่างคล่องแคล่วเลียนแบบวิชากำลังภายใน พอคลึงแป้งได้ที่ก็ปั้นเป็นก้อนกลม เล็กๆแล้วโยนสลับไปมากลางอากาศ
ระหว่างนั้นเสียงเอะอะโหวกเหวกดังมาแต่ไกลเพราะเกิดเหตุการณ์ตำรวจไล่กวดจับโจรวิ่งราว 2 คนเข้ามา
ลูกค้าหน้าร้านโดนโจรชนกระเด็นล้มใส่โต๊ะนวดแป้งพังระเนระนาด ข้าวของพังเสียหาย กังฟูมองตามด้วยสีหน้า ของผู้ผดุงความยุติธรรมสุดฤทธิ์
“ไอ้พวกนี้..ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ !!” กังฟูเอ่ย ก่อนหันไปหาบู๊ลิ้ม “ศิษย์พี่..ฝากร้านด้วยนะ”
“ระวังตัวด้วยนะศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มพยักหน้ารับ
กังฟูไล่ตามไปทันทีด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
ตำรวจวิ่งไล่ตามโจรวิ่งราวแล้วหาโจรไม่เจอ ตำรวจมองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินออกไป ครู่หนึ่งโจรวิ่งราวจึงค่อยโผล่มาจากที่ซ่อนตัว มันชอบใจที่หลบรอดสายตาตำรวจ แต่ยังไม่ทันจะเดินออกไป กังฟูก็ก้าวเข้ามาขวางทาง
“เอาของที่ขโมยมาไปคืนเจ้าของเขาซะ” กังฟูเอ่ย
“หึ..ไอ้น้องหุ่นอย่างกับกุ้งแห้งแบบนี้ อย่าทำตัวเป็นฮีโร่หน่อยเลย อยู่เฉยๆน่ะดีแล้ว จะได้ไม่เจ็บตัว” โจรไม่สนใจกังฟูจะเดินออกไป
กังฟูเห็นมันไม่กลัวเลยหันไปเตะกระป๋องน้ำอัดลมเปล่าแถวนั้นกระเด็นใส่หัวโจรเต็มๆ โจรชะงักหันขวับชักสีหน้าเอาเรื่อง
“ไอ้กุ้งแห้ง..ว่าจะไม่ตื้บแล้ว..แบบนี้เป็นผีเฝ้าตรอกอยู่ตรงนี้เลยดีกว่ามั้ง” โจรโมโหบิดคอดังกรอบ
กังฟูเห็นมันขู่เอาจริงก็ชะงัก แต่ยังทำใจเด็ดไม่กลัว ตั้งท่าเชิงมวยกำลังภายในสวยงามพร้อมรับมือเต็มที่ พวกโจรปรี่เข้ามารุม กังฟูเล่นงานพวกโจรด้วยท่าทางแบบเฉินหลงที่ดูเหมือนเก่ง แต่อาศัยลูกฟลุ๊คเอาตัวรอด หลอกล่อ ทะเล้น กวน ใช้สิ่งของรอบๆตัวเป็นอาวุธเล่นงานมากกว่าจะเป็นวรยุทธ์ กว่าจะเล่นงานคนหนึ่งให้สลบกังฟูก็หลอกล่อจนเหนื่อย แถมโดนอีกคนที่เหลือยังยันโครมเข้ากลางอกจนเจ็บจุก
“ตีนหนักแบบนี้ผมเอาจริงแล้วเพ่” กังฟูว่า
“เพ่ก็รอให้น้องเอาจริงอยู่นี่แหละ..ไอ้กุ้งแห้ง” โจรตอบพร้อมกับชักอีโต้ที่เหน็บหลังเอวออกมา คมอีโต้คมกริบจนกังฟูสะดุ้งโหยง หันไปคว้าท่อนไม้ใกล้มือขึ้นมาสู้กับอีโต้
โจรฟันอีโต้ใส่กังฟูไม่หยุด จนท่อนไม้ในมือกังฟูก็กุดลงเรื่อยๆจนเหลือแค่ฟุตเดียว ทำเอากังฟูเหวอ มันฟัน ฉับมาอีกที กังฟูเบี่ยงตัวหลบแต่ไม่พ้น เลยโดนคมอีโต้บาดเข้าที่ต้นแขนได้เลือดซิบๆ
“หึๆๆ ไปเป็นพระเอกต่อในนรกเถอะมึง” โจรเงื้ออีโต้จะฟันใส่ กังฟูหลับตาปี๋
แต่ระหว่างนั้นตำรวจบุกเข้ามาพอดี ยกปืนจ่อขู่เสียงดัง
“วางมีดลงเดี๋ยวนี้..เร็ว!”
โจรหน้าเสีย เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงยอมทิ้งมีดแล้วชูมือยอม
กังฟูเป่าปากโล่งอก
‘เฮียเฉิน’ กำลังยืนดูนักแสดงงิ้วสาวร้องและร่ายรำบทนางงิ้วให้ดูอยู่ที่คณะงิ้วฟ้าดิน เขาเอามือลูบคางแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้ๆๆ จะเล่นงิ้วให้คนดูประทับใจ แค่ร้องเป็นรำเป็นมันไม่พอนะจ๊ะหนู” เฮียเฉินเอ่ยขึ้น
เด็กสาวมีสีหน้าสงสัย เฮียเฉินเลยถือโอกาสโอบไหล่
“ไม่ต้องห่วงจ้ะ หนูมาฝึกเล่นงิ้วกับเฮียเฉินรับรองว่าเฮียจะถ่ายทอดทุกอย่างให้หนูเอง เอาล่ะ หนูเริ่มทำตามที่เฮียบอกนะ จะร้องงิ้วให้เพราะลมปราณมีส่วนสำคัญ ดูนะ” เฮียเฉินสูดลมเข้าปอดให้ลมยกหน้าอกเชิดขึ้นอย่างขึงขัง
เด็กสาวลองทำตามสูดลมแล้วยกหน้าอกขึ้น
เฮียเฉินเหล่มองหน้าอกแล้วเอ่ยต่อ “ไม่ๆๆๆลมปราณจากภายในของหนูยังไม่พอ ต้องเรียกมันขึ้นมาอีก”
เด็กสาวลองสูดลมหายใจเข้าปอดลึกให้อกเด้งขึ้น เฮียเฉินถึงกับตาโตเมื่อเห็นร่องอกขาวๆ จากคอเสื้อเว้าๆ
“ยะ..ยัง...ยังไม่พอจ้ะหนู..ลมปราณต้องมากกว่านี้ ขึ้นมาอีก ขึ้นมาเยอะๆ” เฮียเฉินว่า
เด็กสาวยิ่งเชิดหน้าอกแอ่นจนกระดุมเสื้อแทบปริ ส่วนเฮียเฉินยิ่งตะลึงตึงตังตามระดับหน้าอก
ทันใดนั้น ‘ฮูหยิน’ ภรรยาของเฮียเฉินเดินเข้ามา เธอกัดฟันกรอดๆ ส่วนเฮียเฉินยังไม่รู้ตัว ตายังถลนมองหน้าอกเด็กสาว
ฮูหยินกำหมัดแน่น จิกตาเอาเรื่องจนลมปราณแห่งความหึงแผ่ซ่านออกมาจากตัว ม้านั่งไม้ที่อยู่ ใกล้ๆเริ่มสั่น เศษกระดาษที่พื้นเริ่มปลิว
เฮียเฉินเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของบรรยากาศรอบๆตัว ประหนึ่งรังสีอำมหิตที่คุ้นเคยกำลังแผ่ซ่านเข้ามาใกล้...โครม !!! โคมจีนที่แขวนอยู่เหนือเพดานตกลงมาใกล้ๆ เฮียเฉินสะดุ้งโหยงหันขวับ !! เห็นฮูหยินยืนกัดกรามตาดุ รังสีอำมหิตแผ่ออกมารอบๆตัว ดูแล้วน่ากลัวมากๆ
เฮียเฉินกลืนน้ำลายเอื๊อก “หนู หนูจ้ะ คือ หนูฝึกไปก่อนนะ เฮียเรียกลมปราณมาเยอะไปหน่อยเลยรู้สึกหน่วงๆ อยากเข้าห้องน้ำแป๊บนึง ไปก่อนนะ” เฮียเฉินรีบวิ่งลงจากเวทีแล้วอ้อมไปด้านหลังโรงงิ้วอย่างรีบเร่ง
ฮูหยินจิกตามอง “คิดจะหนีเรอะ ไอ้เฉิน!”
เฮียเฉินวิ่งหนีภรรยาเข้ามาในห้องเก็บอุปกรณ์ หันรีหันขวางอย่างตื่นกลัว ก่อนจะเห็น ‘เฮียหลอ หมาตื่น’ นอนกอดไหเหล้าหลับปุ๋ยอยู่ที่มุมห้อง เฮียเฉินรีบเข้าไปปลุก
“ไอ้หลอ ไอ้หลอ ตื่น ตื่นสิเว้ย ตื่นมาช่วยอั้วก่อน ไอ้หลอ!”
เฮียเฉินเรียกเท่าไหร่เฮียหลอก็ไม่รู้สึกตัว เฮียเฉินหันหลังไปเห็นฮูหยินตามเข้ามาก็ยิ่งขนลุก
“ถึงเวลาเดือดร้อนทีไร ช่วยไม่ได้สักที โธ่เว้ย” เฮียเฉินไม่อยู่รอให้ฮูหยินเล่นงาน เขารีบหนีออกจากห้องเก็บอุปกรณ์ทันที ทิ้งให้เฮียหลอนอนกอดไหเหล้าไป
ฮูหยินเดินเข้ามาหยุดข้างๆเฮียหลอด้วยสายตาเอาเรื่อง หางตามองเฮียหลอนิดนึงก่อนจะตามผู้เป็นสามีไป
เฮียหลอค่อยๆ หรี่ลืมตาขึ้นมามองตามฮูหยิน แล้วเป่าปากโล่งอก
“รอดตัวไป ไม่งั้นซี้แหงแก๋แน่”
เฮียหลอยกไหเหล้ากระดกดื่มแล้วยิ้มชอบใจกับรสชาติของสุรา
เฮียเก้ากำลังควงปังตอด้วยวิทยายุทธ์การใช้มีดอย่างคล่องแคล่วอยู่ในโรงครัวคณะงิ้วฟ้าดิน เขาโยนกะหล่ำปลีขึ้นไปกลางอากาศแล้วฟัน กะหล่ำปลีตกลงตะกร้า เส้นบางละเอียดยิบ
“ไอ้เก้า ไอ้เก้า ช่วยอั้วด้วย” เฮียเฉินตะโกน
“เอาอีกแล้วเหรอวะไอ้เฉิน เมื่อไหร่ลื้อจะเลิกยั่วโมโหอาซ้อเขาซะที”
“อั้วเปล่ายั่วนะเว้ย อั้วกำลังสอนเด็กใหม่ให้หัดงิ้ว”
ฮูหยินตามเข้ามา “เห็นจะๆคาหนังคาเขาจ้องหน้าอกตาถลนแบบนั้น เฮียยังกล้าบอกว่าหัดงิ้วให้เด็กอีกเหรอ”
เฮียเฉินกับกับเฮียเก้าสะดุ้งโหยง หันขวับไปก็เห็นฮูหยินยืนหน้าตาถมึงทึงพร้อมกับทวน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงงิ้ว
“เมียจ๋า เฮียสอนเด็กให้ฝึกลมปราณจริงๆนะ”
ฮูหยินจิกหน้าเอาเรื่อง ไม่สนใจคำแก้ตัว เดินเข้าไปพร้อมกับทวน เฮียเฉินรีบหันไปผลักเฮียเก้าให้ออกไปรับหน้าแทน ฮูหยินชี้ปลายคมทวนไปที่หน้าเฮียเก้า
“ถ้าคิดจะช่วยเพื่อนล่ะก็ คิดให้ดีๆนะเฮียเก้า”
“ไอ้เฉินมันก็ดีแต่เจ้าชู้ ให้เอาจริงมันก็ไม่กล้าหรอกฮูหยิน เคยเห็นมั้ยหมาที่เก่งแต่เห่า” เฮียเก้าว่า
“ใช่จ้ะเมียจ๋า เก่งแต่เห่า” เฮียเฉินสำทับ
“หมายความว่าเฮียคิดจะช่วยเพื่อน” ฮูหยินถาม จิกหน้าเอาจริง กำทวนในมือแน่น
เฮียเก้าสะดุ้งกลืนน้ำลายเอื๊อก “เอ่อ ในคณะงิ้วนี้ ใครจะกล้ากับอาซ้อล่ะ โชคดีนะไอ้เฉิน เรื่องผัวๆเมียๆ เจรจาต้าอ๋วยกันเองเว้ย” เฮียเก้ารีบชิ่งเอาตัวรอด
“ไอ้เก้า ไอ้เก้า!” เฮียเฉินทำเนียนจะตามออกไป
ฮูหยินพุ่งทวนไปปัก..ฉึก! ที่เสาไม้ใกล้ๆเฉียดหน้าเฮียเฉินไปนิดเดียว พร้อมกับจิกหน้าร้าย เอาเรื่องสุดๆ
เฮียเฉินหลังชนฝา ไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว
ฮูหยินนั่งแอคท่ารอให้เฮียเฉินยกถาดน้ำชาเข้ามาที่ห้องโถงของคณะงิ้ว เฮียเฉินมีสภาพหน้าตาฟกช้ำ มีทิชชู่อุดจมูกเพราะเลือดกำเดาไหล มือสั่นจนแก้วชาสั่น
“รับ..รับน้ำชาขอขมาจากเฮียได้มั้ยจ๊ะ...เมียจ๋า” เฮียเฉินว่า
ฮูหยินหรี่ตามอง แล้วเชิดหน้า
“เฮียผิดไปแล้ว เฮียขอยอมรับผิด ต่อไปนี้เฮียจะไม่ยั่วโมโหเมียให้ต้องเพลียหัวใจอีก จริงๆนะจ๊ะเมียจ๋า”
ฮูหยินลุกขึ้น จ้องผัวเขม็งแล้วอบรมสั่งสอน “คนที่ไม่เชื่อมั่นตัวเองคำพูดจะสับสน คนที่ใส่ร้ายคนดีคำพูดจะเรรวน คนที่จิตใจหงุดหงิดร้อนรนจะพูดมาก คนที่กำลังจะทรยศ คำพูดจะส่อความละอายใจ และคนที่มีคุณธรรมสูงจะพูดน้อย”
เฮียเฉินสะดุ้งเฮือก “ใช่จ้ะ...ถูกต้องตามตำราอี้จิงเลยจ้ะเมียจ๋า แต่เฮียขอเสริมอีกอย่างนะจ๊ะ และคนที่รักเมียม๊ากกกมาก ต่อให้พูดว่ารักน้ำไหลไฟดับก็ไม่เท่ากับจูบเดียวที่มีให้เมีย” เฮียเฉินกระพริบตาปริบๆ พูดไปก็ทำเนียนดึงมือฮูหยินมาจูบออดอ้อนออเซาะ ทำเอาฮูหยินสั่นสะเทิ้มไปชั่วครู่ ก่อนจะนึกได้แล้วรีบชักมือกลับ
“พอได้แล้วเฮีย…ก็เพราะเฮียชอบทำแบบนี้ไง ยั่วให้โกรธแล้วก็มายั่วให้รัก” ฮูหยินว่า
“แหม ก็มันลีลาเฉพาะตัวของเฮียเฉิน หน้าหล่อนี่จ๊ะ ไม่งั้นจะมีไอ้บู๊ลิ้มเอาตอนแก่ได้ไง” เฮียเฉินพูดไปก็ยักคิ้วยิ้มยั่วเมียแล้วโอบไหล่เมียเนียนๆ
ฮูหยินทำยิ้มชอบเขินอายก่อนจะกระทุ้งศอกใส่จนจุก
“นี่แน่ะ เอาเป็นว่าวันนี้ชั้นขี้เกียจออกแรงแล้ว แต่จำไว้ด้วย ต่อไปอย่าทำให้อารมณ์เสียอีก รู้ใช่มั้ยว่าจะเป็นยังไง”
“ระ...รู้จ้ะ..เมีย..เมียจ๋า” เฮียเฉินตอบแบบจุกๆ
ฮูหยินใช้หางตามองใส่เฮียเฉิน ก่อนจะเห็นคนงานลูกศิษย์คณะงิ้วถืออุปกรณ์ซ้อมงิ้วเดินผ่าน
“เดี๋ยว..ลื้อน่ะมานี่สิ เห็นไอ้กังฟูรึเปล่า ตั้งแต่เช้าอาจารย์ยังไม่เห็นหัวมันเลย” ฮูหยินถาม
“อ๋อ..ไอ้กังฟูเหรอครับ สงสัยมันจะไปมีเรื่องมาครับอาจารย์ เห็นเจ็บตัวเลือดเต็มเลย” ลูกศิษย์ตอบ
ฮูหยินชะงักไป ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ซวยแล้วศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มที่แอบดูพ่อกับแม่อยู่ได้ยินก็หน้าเสียแล้วบ่นออกมาเบาๆ
กังฟูเพิ่งพันผ้ารักษาแผลโดนฟันที่ต้นแขนเสร็จ บู๊ลิ้มรีบเข้ามาอย่างรีบร้อน
“งานเข้าแล้ว งานเข้า แม่ศิษย์พี่รู้เรื่องที่ศิษย์น้องไปมีเรื่องมาแล้ว รีบไปจากที่นี่ก่อนเถอะ ตอนนี้แม่กำลังอารมณ์เสียด้วย ถ้าเจอหน้าศิษย์น้องล่ะก็ โล้งเล้งเม้งแตกแน่” บู๊ลิ้มว่า
กังฟูมองบู๊ลิ้ม แล้วหันมาจัดการกับแผลตัวเองต่อ
“ยังนั่งอยู่อีก เดี๋ยวก็โดนด่าหูตูบเหมือนทุกครั้งที่ศิษย์น้องแอบเอามวยกังฟูไปใช้กับคนข้างนอกหรอก” บู๊ลิ้มเอ่ย
กังฟูถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แล้วลุกเดินไปหยุดมองหุ่นไม้ฝึกมวยกังฟู ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“แต่ที่จริงศิษย์น้องก็ไม่ได้ทำอะไรผิด การฝึกมวยกังฟูเป็นการฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย และกฏข้อนึงของการฝึกก็คือการช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่า ส่วนคนที่ใช้แต่พลังแล้วข่มเหงคนอื่น คนนั้นต่างหากที่ไม่ควรฝึกกังฟู”
กังฟูระบายความรู้สึกออกมาแล้วตั้งท่าก่อนจะออกหมัดปัดป่ายเพลงมวยกับแขนหุ่นที่ยื่นออกมาจากเสาไม้
บู๊ลิ้มมองศิษย์น้องอย่างเข้าใจ “เฮ้อ ศิษย์พี่เข้าใจ แต่ว่า”
บู๊ลิ้มพูดไม่ทันขาดคำก็ชะงักเพราะเจอแม่มายืนกอดอกมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฮูหยินโบกมือไล่ลูกชายให้ออกไป แล้วเดินเงียบๆเข้าไปข้างหลังกังฟูที่ยังฝึกมวยกับแขนหุ่นไม้อย่างตั้งใจ
“ขนาดพี่พายุ อาจารย์หญิงยังฝึกให้ได้ แล้วทำไมต้องมาห้ามไม่ให้เราฝึกด้วย” กังฟูเอ่ยพร้อมกับกระแทกหมัดใส่แขนหุ่นไม้อย่างแรง ก่อนจะหันมาชะงักหน้าเสียเมื่อเจออาจารย์หญิงหน้าโหดใส่
“อาจารย์หญิง!”
ฮูหยินนิ่งมองกังฟูด้วยแววตาคมกริบ มองที่แขนซึ่งมีผ้าพันแผลบ่งบอกถึงการไปมีเรื่องมาและมองไปที่หุ่นไม้
“เอาไอ้หุ่นไม้ฝึกมวยไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของ อย่าให้เห็นมันที่นี่อีก” ฮูหยินเอ่ย
“แต่ว่า..”
ฮูหยินจิกหน้าดุ แล้วพูดต่อ “เสร็จแล้วก็ตามไปที่โรงงิ้ว พร้อมรับการลงโทษที่ฝ่าฝืนคำสั่งอาจารย์”
ฮูหยินเดินออกไป กังฟูหน้าสลด
“ศิษย์น้อง…” บู๊ลิ้มเอ่ยอย่างสงสาร
กังฟูมองหน้าบู๊ลิ้มแล้วหันไปมองหุ่นไม้ฝึกกังฟู ก่อนจะตัดสินใจเดินตามอาจารย์หญิงไปด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ไม่ยอมทำตามคำสั่ง
“ศิษย์น้อง!” บู๊ลิ้มเอ่ยอย่างตกใจ
ฮูหยินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าเวทีในโรงงิ้ว เงยหน้ามองป้ายภาษาจีนของคณะงิ้วฟ้าดินได้ครู่หนึ่งกังฟูก็ตามเข้ามาด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจมากๆ โดยมีบู๊ลิ้มตามหลังมาไม่ห่าง
“ผมขอร้องล่ะครับ ทั้งชีวิตของผมทำตามคำสั่งของอาจารย์หญิงมาตลอด แล้วทำไมถึงไม่ให้โอกาสผมบ้าง” กังฟูเอ่ย
“ถ้าชั้นไม่ให้โอกาสเธอ ป่านนี้เธอคงเป็นไอ้กุ๊ยข้างถนนไปแล้วกังฟู” ฮูหยินว่า
“ไม่จริงครับ..ผมไม่เคยคิดรังแกคนอื่น”
“จริงๆนะครับแม่..พี่กังฟูเป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคน แม่ควรจะสอนมวยให้พี่กังฟู” บู๊ลิ้มยืนยันอีกแรง
“บู๊ลิ้ม..นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก..เข้าไปในบ้าน” ฮูหยินไล่
“แต่ว่า” บู๊ลิ้มยังลังเล
“แม่สั่ง!” ฮูหยินพูดเด็ดขาด
บู๊ลิ้มหน้าจ๋อยเดินเข้าบ้านไป ส่วนฮูหยินหันมามองหน้ากังฟูอย่างจริงจัง
“ชั้นดีใจนะกังฟูที่เธอเป็นคนมีคุณธรรมตามที่ชั้นพร่ำสอนเธอมาตลอด” ฮูหยินเอ่ย
“งั้นอาจารย์หญิงก็ให้โอกาสผมนะครับ ผมสาบานต่อหน้าป้ายสำนักเลยว่าผมจะไม่ใช้วิชาของสำนักไปทำเรื่องผิดๆ” กังฟูคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินอย่างอ้อนวอน แววตามุ่งมั่นเต็มที่
ฮูหยินเกือบจะใจอ่อน แต่ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ลุกขึ้นเถอะกังฟู ต่อให้เธอคุกเข่าอยู่ตรงนี้เป็นเดือนเป็นปี ชั้นก็ยังยืนคำเดิม เธอไม่มีสิทธิ์ฝึกวรยุทธ์”
“แต่ว่า…”
ฮูหยินขึ้นเสียง “กังฟู !! ที่เธอเป็นคนดีได้เพราะการสั่งสอนเลี้ยงดูจากอาจารย์ แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเธอ แต่ถ้ายังไม่พอใจอีกก็เชิญออกไปจากสำนักฟ้าดินได้ เพราะที่นี่ไม่เลี้ยงคนที่ไม่ฟังคำสั่งอาจารย์”
“อาจารย์หญิง….” กังฟูหน้าเสียและสลด
ฮูหยินมองอย่างใจแข็งก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
เวลาต่อมาฮูหยินเดินหัวเสียออกมามุมหนึ่ง ถอนใจเฮือกใหญ่ได้ครู่หนึ่งเฮียเฉินก็เข้ามา
“จนป่านนี้แล้ว เฮียว่าอดีตของไอ้กังฟูมันคงไม่น่าห่วงแล้วมั้ง” เฮียเฉินว่า
“เฮียไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี ที่ยุทธภพวุ่นวายมาตลอดก็เพราะคำว่า 10 ปีล้างแค้นก็ยังไม่สายนี่แหละ” ฮูหยินเอ่ย
“มันก็ใช่ แต่เดี๋ยวนี้ยุทธภพเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย ไม่เหมือนสมัยบรรพบุรุพเราแล้ว”
“ชั้นไม่เถียงว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่คนไม่ได้เปลี่ยนตามนี่เฮีย คนมันก็ยังเหมือนเดิม ยังชิงดีชิงเด่น ยังโกงกินยังละเลยคุณธรรม ต่อให้โลกพัฒนาไปอีกร้อยปี ถ้าใช้วรยุทธ์ในทางที่ผิดมันก็คืออาวุธอันตรายดีๆนี่เอง”
“เราเลี้ยงไอ้กังฟูมาตั้งแต่มันแบเบาะ คุณธรรมของพวกเราซึบซับอยู่ในตัวมันหมดแล้ว”
“แต่สายเลือดมันไม่ใช่ ชาติกำเนิดมันเป็นลูกพยัคฆ์จะให้เปลี่ยนไปเป็นมังกรคงไม่ได้”
เฮียเฉินจะเถียงเมียอีกแต่เจอฮูหยินชี้หน้า
“พอได้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความเจ้าชู้ของเฮีย เห็นผู้หญิงแล้วใจอ่อนทุกที สำนักฟ้าดินของเราก็คงอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกับสำนักอื่นๆในยุทธภพ ให้ผิดคำสั่งของบรรพบรุษหรอก!” ฮูหยินว่า
เฮียเฉินเถียงไม่ออก หน้าจ๋อยยอมรับแต่โดยดี
‘เมลดา’ สาวสวยหุ่นเซ็กซี่ กำลังซ้อมลงนวมกับกระสอบทราย แต่ละหมัดของเธอหนักแน่นดุดัน ท่วงท่ามวยไทยสวยงาม ยิ่งช่วงขายาวๆ เตะใส่กระสอบทราย ยิ่งขับให้เธอดูสวยยิ่งขึ้น
ระหว่างที่เมลดาซ้อมมวยอยู่ ‘ชนะ’ ครูมวยวัยกลางคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับสวมนวมเข้ามาด้วย เมลดาชะงักมอง สองพ่อลูกนิ่งมองกันอย่างไว้เชิงซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำกันอยู่เป็นประจำ
“เข้ามาเลย” ชนะเอ่ย
เมลดายิ้ม แล้วปรี่เข้าไปแย็บหมัดซ้ายขวาอย่างดุดันและรวดเร็ว ชนะโยกตัวหลบอย่างคล่องแคล่วได้ทุกหมัด ก่อนจะสวนหมัดเข้าหน้าเมลดา เปรี้ยง! เมลดาผงะหน้าหงาย รู้สึกเจ็บนิดหน่อย
“เอาจริงเลยเหรอคะพ่อ” เมลดาถาม
“เอ้า ต้องให้สมกับเป็นลูกสาวครูมวยหน่อยสิ” ชนะว่า
“ก็ได้ค่ะพ่อ” เมลดาตั้งท่ายิ้มๆ
ชนะเต้นฟุตเวิร์คหลบพายุหมัดที่เมลดาทั้งหมัดแย็บ ทั้งหมัดตรง และควงเท้าเตะ เข้ามาในบริเวณสนามหญ้า จากนั้นชนะก็สวนหมัดกลับทันที แต่คราวนี้เมลดาฟุตเวิร์คหลบหมัดของพ่อบ้าง เธอหลบได้ทุกหมัดแถมยังสวนกลับเข้าหน้าอย่างว่องไว ก่อนที่เธอจะชะงักหมัดค้างห่างจากหน้าพ่อแค่ไม่ถึงนิ้ว
“เป็นไงคะพ่อ..สมกับเป็นลูกสาวครูมวยรึยัง” เมลดาว่า
ชนะยิ้มให้ลูกสาวแล้วมองตาลงต่ำให้เมลดาดูเองว่า หมัดของเขาจ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ของลูกสาว
“เก่งมากลูก แต่ก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้” ชนะเอ่ย
“พ่ออ่ะ!” เมลดางอนแก้มป่องถอดนวมหน้าปั้นปึ่ง “ไม่เอาแล้ว เมไปทำงานดีกว่า”
“งานพิเศษที่บ้านเจ้าสัวน่ะเหรอ พ่อนึกว่าจะเป็นงานประจำของลูกไปแล้วซะอีก” ชนะว่า
“แหมพ่อเนี่ย ก็ลูกศิษย์หนูน่ารักนี่” เมลดาว่า
“ลูกศิษย์น่ารักหรือพี่ชายเขาน่ารักกันแน่” ชนะพูด
เมลดาชะงัก อายหน้าแดง “พ่ออ่ะ..ไม่เอาแล้ว”
เธอหันไปอีกทาง ยกมือพนมขึ้น “แม่คะ คืนนี้แม่ช่วยมาเข้าฝันพ่อด้วยนะ เอาให้หัวโกร๋นเลย”
ชนะสะดุ้ง “อ้าวเฮ้ย เล่นแบบนี้ พ่อก็มีเสียวน่ะสิยัยเม”
เมลดาขำชอบใจแล้วรีบเดินออกไป ทิ้งให้ชนะมองตามลูกสาว เขายิ้มมีความสุขก่อนจะรู้สึกผิดปกติ ไอแห้งๆติด กันหลายครั้ง ก่อนจะพบว่ามีเลือดติดมือ ชนะนิ่ง มองเลือดในมือด้วยสีหน้าเครียด
เมลดากำลังสอนให้ ‘หลินหลิน’ เด็กสาววัย 13 หน้าตาน่ารัก สดใสหัดรำนาฏศิลป์ไทยอยู่ในคฤหาสน์เจ้าสัวเพ้ง ทั้งสองมีท่วงท่าอ่อนช้อยสวยงาม ระหว่างนั้น ‘มาดามเหมยอิง’ เมียหลวงของเจ้าสัวเพ้งก็เดินเข้ามาในสวนเธอหยุดยืนดูด้วยสีหน้าชื่นชม
“รำได้สวยมากจ้ะหลินหลิน” มาดามเหมยอิงเอ่ย
“จริงเหรอคะแม่ใหญ่ หลินหลินรำสวยแล้วจริงๆนะคะ” หลินหลินถามอย่างดีใจ
“จริงสิจ๊ะหลินหลิน ใช่มั้ยจ๊ะหนูเม” มาดามเหมยอิงตอบ พร้อมกับหันไปถามเมลดา
“ค่ะซ้อใหญ่ หลินหลินมีพรสวรรค์ทางนี้มาก หนูแค่ชี้แนะไม่เท่าไหร่ก็ทำได้ดีกว่าเด็กรุ่นเดียวกันแล้ว” เมลดาเอ่ยพร้อมหันไปยิ้มให้หลินหลินอย่างภูมิใจ
“หลินหลินทำได้ดีเพราะมีครูเก่งๆที่คอยเอาใจใส่ดูแล นอกจากสอนพิเศษนาฏศิลป์ให้แล้วเธอยังสอนเรื่องอื่นๆให้หลินหลินอีก ถ้าเบื่องานประชาสัมพันธ์ที่ทำอยู่เมื่อไหร่ บอกชั้นเลยนะ ชั้นจะจ้างให้เธอมาคอยดูแลหลินหลินแบบเต็มเวลาเลย” มาดามเหมยอิงว่า
“แม่ใหญ่ไม่ต้องขอหรอกค่ะ เพราะอีกหน่อยพี่เมเขาก็ต้องลาออกจากงานแล้วมาอยู่ที่นี่กับหลินหลินทุกวันอยู่แล้ว” หลินหลินว่า
“หมายความว่ายังไงจ๊ะหลินหลิน” มาดามเหมยอิงสงสัย
“ก็พี่เมกับพี่เมฆาเขาตกลงเป็น…” หลินหลินกำลังจะเอ่ย แต่เมลดารีบขัดจังหวะทันที
“หลินหลิน!”
“อ๋อ..ในที่สุดก็เป็นอย่างที่ชั้นคิดจริงๆ ไม่ต้องเกรงใจชั้นหรอกจ้ะ รู้แบบนี้แล้วชั้นยิ่งดีใจซะอีกที่ลูกชายชั้นเลือกผู้หญิงถูกคนและถูกใจชั้นซะที” มาดามเหมยอิงแตะแขนเมลดาอย่างสนิทสนมแล้วยิ้มให้
หลินหลินแอบชูนิ้วโป้งเชียร์พี่เมลดาสุดฤทธิ์
อ่านต่อหน้า 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 1 (ต่อ)
‘เมฆา’ ชายหนุ่มหน้าตาดีดูสุภาพเรียบร้อย ลูกชายคนเดียวของมาดามเหมยอิง หยิกแก้มหยอก หลินหลินน้องสาวต่างสายเลือดอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน
“นกแก้วนกขุนทองจริงๆนะเรา ชิงตัดหน้าพี่แบบนี้ เสียแผนเปิดตัวของพี่หมด”เมฆาเอ่ย
“แหม กว่าแผนทำตัวเป็นแม่สื่อให้พี่เมใจอ่อนยอมเป็นแฟนกับพี่ชายได้ หลินหลินก็ลุ้นจนเหนื่อย ถึงเวลาก็ต้องเป็นหลินหลินนี่แหละที่ประกาศความสำเร็จ” หลินหลินว่า
“เดี๋ยวนะ..เมื่อกี้นี้หลินหลินบอกว่าทำตัวเป็นแม่สื่อเหรอ” เมลดาถาม
หลินหลินชะงัก หน้าเสีย “เอ่อ ซวยแล้วเรา คือว่า หลินหลินชอบพี่เมมาก ก็เลยอยากให้พี่มาเป็นพี่สาวของหลินหลินจริงๆนี่คะ”
“เจ้าเล่ห์ที่สุดเลยนะหลินหลิน” เมลดาว่า
“แต่ถ้าน้องสาวผมไม่คิดวางแผนช่วย ผมก็คงพิชิตใจคุณไม่ได้” เมฆาหยอดคำหวาน สบตาซึ้งกับเมลดาทำเอาเธอชะงักเขิน
หลินหลินกระแอมขัด “เดี๋ยวคะพี่ชาย ก่อนจะหวานใส่พี่เม พี่ชายยังติดหนี้พาหลินหลินไปเลี้ยงมื้อใหญ่กับช้อปปิ้งอยู่นะ ห้ามลืม”
“แหม ทวงทันทีเลยนะ ได้จ้ะ ไปตอนนี้เลย อยากได้อะไรเชิญน้องสาวชี้นิ้วตามสบาย” เมฆาว่า พร้อมกับหันไปที่เมลดา
“ไปด้วยกันนะครับ ห้ามปฏิเสธ”
“เจ้าเล่ห์พอกันทั้งพี่ทั้งน้อง มัดมือชกชั้นตลอด” เมลดาพูด
เมฆายิ้มรับ หลินหลินดีใจ
ระหว่างนั้นสันต์ลูกน้องคนสนิทของเมฆาเดินเข้ามาหยุด เมฆาหันไปมองครู่หนึ่ง
“หลินหลินนั่งรถไปกับพี่เมก่อนนะ พี่มีงานต้องเคลียร์อีกนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวตามไปเจอกันที่ห้าง” เมฆาว่า
“ตามไปเร็วๆนะคะพี่ชาย”
“สัญญาจ้ะ” เมฆาเกี่ยวนิ้วก้อยสัญญากับหลินหลินแล้วหันมายิ้มหวานชื่นกับเมลดา
เมลดากับหลินหลินนั่งเบาะหลังอยู่ในรถ หลินหลินเปิดกระเป๋าพกของเธอออกมา เป็นกระเป๋าพลาสติกสีหวาน ใส่เศษสตางค์และของจุกจิก มีช่องเก็บรูปถ่ายหลายช่อง หลินหลินหยิบรูปเมลดาออกมา เมลดาเห็นเข้าพอดี
“รูปพี่นี่นา ทำอะไรเหรอ” เมลดาถาม
“หลินหลินจะย้ายมาเก็บช่องนี้”
“ทำไมล่ะคะ”
“อยู่กับพี่เมฆา เวลาพับเก็บจะได้จุ๊บกันจุ๊บกันแบบนี้” หลินหลินพับเก็บให้ดู รูปเมลดากับรูปเมฆามาชนกัน
เมลดาหน้าแดง
“ไม่เอานะหลินหลิน เกินไปแล้ว จุ๊บแจ๊บอะไรก็ไม่รู้ ไว้ที่เดิมแหละ”
หลินหลินเอากระเป๋าหลบ เมลดาแย่ง แย่งกันไปมารูปใบอื่นก็หลุดออกมาด้วย เมลดาเห็นแล้วตาโต
“อุ๊ย ทำไมมีรูปเขาทรายด้วยล่ะ”
หลินหลินยิ้มแหยๆ
“หลินหลินแอบชอบเขาน่ะค่ะ หมัดหนักดี อิๆ ปั้กๆๆ ต่อยไส้ขาดเลย”
เมลดามองหลินหลินแบบนึกไม่ถึง พร้อมกับดูรูปใบอื่นๆ
อุ๊ย ดั๊มมัซซึโมโต้ อุ๊ย ลีหมกโช้ว แหม ไอ้เราก็นึกว่าเด็กเรียบร้อยคุณหนูจ๊ะจ๋า ...ที่แท้แอบแรงนะเนี่ย”
หลินหลินหัวเราะเขินๆ
เมลดาหยอกเอินหลินหลินได้ครู่ก็ชะงัก มองรถกระบะคันหนึ่งที่อยู่ๆก็แซงขึ้นมาประกบข้างรถที่ตัวเองกำลังนั่ง ทันใดนั้นกระบะก็พุ่งไปปาดหน้าอย่างแรงทำให้คนขับรถต้องเบรครถอย่างแรง
คนร้าย 2 คนสวมไอ้โม่งพรางหน้า ถือปืนลงมาจากรถ ก่อนจะตรงดิ่งมากระชากประตู ลากตัวคนขับรถออกมาทุบต้นคอจนสลบ ก่อนจะไปเปิดประตูหลังแล้วกระชากตัวเมลดากับหลินหลินออกมา
หลินหลินกรีดร้องเสียงดังอย่างตกใจ เมลดาเป็นห่วงหลินหลินจึงฉวยโอกาสหันไปเล่นงานคนร้ายที่กำลังคุมตัวเธออยู่ ด้วยฝีมือเชิงมวยที่ถูกฝึกมาจากพ่อ เมลดาจัดการมันได้ไม่ยากเย็นแล้วจะเข้าไปช่วยหลินหลิน แต่คนร้ายกลับยกปืนจ่อ
“หมัดหรือจะสู้ลูกปืน คิดผิดแล้วน้องสาว”
คนร้ายที่โดนเมลดาเล่นงานตามเข้ามาชกเมลดาเข้าที่ท้องจนจุกตัวงอ
“พี่เม! อย่านะ อย่าทำอะไรพี่เม ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
หลินหลินพยายามดิ้นและจะเข้าไปหาเมลดา คนร้ายคนหนึ่ง จึงเอาผ้าที่ชุบยาสลบมาปิดปากปิดจมูก หลินหลินดิ้นอยู่ครู่หนึ่งก็แน่นิ่งไป เมลดาเป็นห่วง เธอพยายามจะลุกแต่คนร้ายอีกคนยกปืนขู่
“บอกไอ้เจ้าสัว ถ้าอยากได้ลูกสาวคืน อย่าให้เรื่องถึงตำรวจแล้วรอรับโทรศัพท์เรียกค่าไถ่”
เมื่อบอกเมลดาเสร็จ คนร้ายก็รีบพาหลินหลินขึ้นรถกระบะออกไป เมลดาซวนเซยังเจ็บและจุก
“หลินหลิน...หลินหลิน” เมลดาพยายามเรียก
เมลดายืนคว้างอยู่ครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็รีบไปที่รถหยิบโทรศัพท์ที่ตกอยู่ที่เบาะขึ้นมากดโทรออกทันที
“คุณเมฆา ช่วยหลินหลินด้วย หลินหลินถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่!”
มาดามเหมยอิงโอบไหล่ปลอบใจซ้อสอง เมียคนที่สองของเจ้าสัวเพ้งซึ่งเป็นแม่ของหลินหลิน ทั้งสองอยู่กันที่คฤหาสน์
“ฮือๆๆๆ หลินหลิน หลินลูกแม่ ฮือๆๆๆ” ซ้อสองร้องไห้
“ใจเย็นๆ หลินหลินจะต้องปลอดภัย” เหมยอิงพยายามปลอบใจ แต่ยังหน้าเครียดๆ รู้สึกเป็นห่วงและกังวลก่อนจะหันไปเห็นเจ้าสัวกับเมฆาเข้ามา
“คุณ เป็นยังไงบ้างคะ ได้ข่าวของหลินหลินรึยัง” เหมยอิงถาม
“ผมให้คนของเราออกตามหาแล้วแต่ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย” เจ้าสัวส่ายหน้า
“แล้วพวกมันยังไม่ติดต่อมาเหรอคะ ถ้ามันอยากได้ค่าไถ่ตัวเท่าไหร่ก็ให้มันไป ชั้นสงสารหลินหลิน ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไง” เหมยอิงว่า
“เรื่องเงินน่ะไม่ใช่ปัญหาเลย ขออย่าให้มันทำร้ายหลินหลินก็พอ ไม่งั้นผมเอามันตายแน่” เจ้าสัวตอบ
“งั้นชั้นว่าเราควรจะพึ่งตำรวจนะ” เหมยอิงว่า
“เรื่องตำรวจ ผมว่าอย่าเพิ่งเลยดีกว่าครับแม่” เมฆาเอ่ย
“เมฆา ถ้าไม่ให้ตำรวจมาช่วยแล้วถ้าเกิดมันทำร้ายหลินหลินล่ะ”
“เท่าที่ผมคุยกับเม พวกมันกล้าลงมืออุกอาจกลางถนนได้แบบนี้ มันคงเตรียมตัวมาอย่างดี ที่มันสั่งว่าอย่าให้เรื่องถึงตำรวจคงไม่ใช่แค่ขู่”
“อย่าให้หลินหลินเป็นอะไรนะคุณ” ซ้อสองเอ่ย
“แม่ครับ ผมว่าทางออกของเราตอนนี้ เราควรจ่ายเงินให้มันไปก่อนแล้วค่อยเรียกตำรวจจัดการ ดีกว่าทำให้มันตกใจแล้วลงมือกับหลินหลิน” เมฆาพูด
เจ้าสัวกับเหมยอิงนิ่งฟังแล้วมองหน้ากันเห็นด้วยกับเมฆา เหมยอิงเลยเข้าไปจับมือลูกชาย
“ต้องช่วยน้องให้ได้นะเมฆา ถึงน้องจะไม่ใช่” เหมยอิงเอ่ย
เมฆาพยักหน้ารับ “ถึงหลินหลินจะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆของผม แต่เราก็ครอบครัวเดียวกัน ถ้าคนในครอบครัวไม่ดูแลกันเองแล้วเราจะหวังให้ใครมาช่วยเราล่ะครับ”
เจ้าสัวภูมิใจ เข้าไปตบบ่าเมฆา “ขอบใจนะเมฆา”
เมฆาพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป เจ้าสัวโอบไหล่เหมยอิงกับซ้อสองอย่างให้กำลังใจ
เมลดารีบเดินเข้ามาหาเมฆาที่ห้องโถง ใบหน้าของเธอยังมีรอยฟกช้ำจางๆ จากฝีมือโจรลักพาตัว
“คุณเมฆาคะ เรื่องหลินหลินเป็นยังไงบ้างคะ” เมลดาเอ่ยถาม
“ยังต้องรอมันติดต่อมา” เมฆาตอบ
“โธ่หลินหลิน เป็นความผิดของชั้นเองที่ปล่อยให้พวกมันได้ตัวหลินหลินไป”
“อย่าโทษตัวเองเลย คุณทำดีที่สุดแล้ว พยายามปกป้องน้องสาวผมจนตัวเองต้องเจ็บตัวไปด้วย”
เมฆาน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับใช้มือสัมผัสเบาๆที่รอยฟกช้ำบนใบหน้าเมลดาและสบตาเธออย่างอ่อนโยน
“สำหรับชั้นเจ็บตัวแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ยังไงชั้นก็ต้องรับผิดชอบชีวิตหลินหลินด้วย”
ระหว่างนั้นสันต์เดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์
“คุณเมฆาครับ พวกมันติดต่อมาแล้ว” สันต์ว่า
เมฆารีบรับโทรศัพท์จากสันต์มานิ่งมองสีหน้าเคร่งเครียด เมลดาใจเต้นตึกตัก
“ชั้นเป็นพี่ชายหลินหลิน พวกแกต้องการค่าไถ่ตัวน้องสาวชั้นเท่าไหร่ บอกมา!”
สันต์เอารถมาจอดรอ เมฆาเดินถือกระเป๋าใส่เงินออกมาเตรียมจะขึ้นรถ แต่เมลดารีบตามออกมา
“คุณเมฆา เดี๋ยวค่ะ ชั้นขอไปด้วย” เมลดาว่า
“ผมให้คุณไปด้วยไม่ได้ มันอันตรายเกินไป”
“แต่ชั้นต้องไปรับตัวหลินหลินด้วยตัวเอง นะคะชั้นขอร้อง”
“ผมเป็นห่วงคุณนะ แค่ที่พวกมันทำกับคุณผมก็รู้สึกแย่มากแล้ว”
“แต่ว่า…”
“เชื่อผม..ไอ้พวกนั้นมันก็แค่โจรกระจอก ผมเตรียมเงินตามที่พวกมันต้องการไว้แล้ว ยังไงหลินหลินก็ต้องปลอดภัยกลับมา” เมฆาจับมือเมลดามาบีบเบาๆก่อนจะผละจากเธอแล้วขึ้นรถไปกับสันต์
เมลดามองตามสีหน้าครุ่นคิด
กังฟูขับรถมอเตอร์ไซค์มาที่สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง เขาจอดรถไว้ที่ข้างทาง ส่วนตัวเองมายืนคนเดียวเงียบๆสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักใจ
“ที่เธอเป็นคนดีได้เพราะการสั่งสอนเลี้ยงดูจากชั้น..แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับเธอ แต่ถ้ายังไม่พอใจอีกก็เชิญออกไปจากสำนักฟ้าดินได้ เพราะที่นี่ไม่เลี้ยงคนที่ไม่ฟังคำสั่งอาจารย์” เสียงของฮูหยินดังก้องในความคิดของกังฟู
กังฟูเหม่อมองไปที่ผิวน้ำแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินมาที่มอเตอร์ไซค์หยิบหมวกกันน็อคมาสวมบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทเครื่อง
ขณะนั้นเอง บู๊ลิ้มเข้ามาเรียกหากังฟูในที่พัก
“ศิษย์น้อง ศิษย์น้อง”
บู๊ลิ้มเข้าไปเคาะประตูเรียกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป กังฟูไม่อยู่ในบริเวณนั้น เขาจึงเดินออกมาเรียกและหารอบๆ
“ศิษย์น้อง คิดจะทิ้งกันไปจริงๆเหรอเนี่ย” บู๊ลิ้มน้ำตาคลอเบ้า เขารู้สึกเสียใจมาก
รถของเมฆาจอดติดไฟแดงอยู่ ส่วนรถของเมลดาที่แอบขับตามมาก็อยู่ถัดไปไม่กี่คัน เมฆานั่งอยู่ในรถด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมกับกระเป๋าเงินไถ่ตัวหลินหลินที่อยู่ข้างตัว เขาเหลือบไปข้างหลังเหมือนจะเห็นเมลดาตามมา ส่วนเมลดาก็พยายามก้มหัวลงต่ำเพื่อหลบ ทันใดนั้นสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นไฟเขียว สันต์แตะคันเร่งเพื่อออกตัว เมฆาละสายตาจากด้านหลัง ส่วนเมลดารีบเร่งขับตามรถของเมฆาเพราะกลัวตามไม่ทัน
รถของเมฆาขับมาตามถนนด้วยความเร็ว โดยมีรถของเมลดาขับตามทิ้งระยะห่างพอสมควร จนกระทั่งมาถึงบริเวณทางกลับรถ เมลดาขับมาเร็วจนไม่ทันมองมอเตอร์ไซค์ของกังฟูที่กำลังกลับรถ เธอบีบแตรเสียงดังลั่นก่อนจะหักพวงมาลัยหลบ
รถของเมลดาพุ่งปีนฟุตบาตขึ้นไปจอดแน่นิ่ง กังฟูตกใจรีบจอดมอเตอร์ไซค์เข้าข้างทางแล้วรีบตามไปดู เห็นเมลดาร้องเจ็บเพราะหัวกระแทกพวงมาลัย
“คุณ เป็นอะไรรึเปล่า คุณ” กังฟูถาม
เมลดาไม่เป็นอะไรมากแต่ยังมึนๆและตกใจไม่หาย หันไปมองชายหนุ่มที่พยายามเคาะกระจกเรียก
“คุณ คุณ!”
เมลดาพยายามตั้งสติแล้วนึกขึ้นได้ว่ากำลังคลาดกับเมฆาเลยรีบเปิดประตูรถออกมากระแทกกังฟู..ผลั๊ก !!
แล้วรีบออกไปที่ริมถนน แต่เมื่อมองไป เธอก็มองไม่เห็นรถของเมฆาแล้ว
“โธ่เอ้ย เพราะคุณคนเดียวเลย” เมลดาหันมาต่อว่ากังฟู
“อ้าว กลายเป็นผมผิดซะงั้น คุณขับรถเร็วอย่างกับพายุแบบนี้ ถ้าชนผมเข้าไปล่ะก็ ผมตายเป็นศพอยู่กลางถนนแน่”
เมลดามองกังฟูหัวจรดเท้า “แต่คุณก็ไม่เป็นอะไรนี่ ชั้นต่างหากที่เจ็บตัว”
เมลดาจับหัวตัวเองที่กระแทกพวงมาลัยจนเจ็บแล้วเข้าไปสตาร์ทรถเพื่อจะตามไปต่อ แต่สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด
“โธ่เอ้ย ติดสิ ติด”
“จะรีบไปไหนเหรอคุณ..ให้ผมโทรตามรถพยาบาลให้ดีกว่ามั้ย” กังฟูถามอย่างสงสัย
“หลบไปไม่ต้องมายุ่ง ชั้นกำลังรีบ” เมลดาว่า
เมลดาพยายามสตาร์ทอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ รถใช้การไม่ได้เลยออกไปที่ริมถนนเพื่อมองหารถแท็กซี่
“แท็กซี่หายไปไหนหมดเนี่ย” เมลดาบ่น
“ท่าทางรีบมากแบบนี้ มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย เผื่อผมจะช่วยได้” กังฟูถามอีก
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมายุ่ง เพราะคุณนั่นแหละที่ทำให้ชั้นต้องเสียเวลา”
“ก็ได้ๆๆ ตามใจคุณแล้วกัน ถ้าคิดว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ก็ขอบคุณนะครับที่เกือบบี้หัวผมแบะให้เละเป็นโจ๊กคาถนน” กังฟูพูดประชดแล้วเดินที่มอเตอร์ไซค์ บิดกุญแจเตรียมจะไปต่อ
เมลดาหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์ของเขาก็นึกได้
“เดี๋ยว มอเตอร์ไซค์คุณสวยดีนี่ ท่าทางจะซิ่งดีนะ” เมลดาเอ่ย
กังฟูมองอย่างสงสัย “อะไรของคุณเนี่ย หัวกระแทกจนต๊องไปรึเปล่า”
“ไม่ต้องมากวนประสาทชั้น ชั้นมีเรื่องจำเป็นต้องรีบตามเพื่อนชั้นไปเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณช่วยชั้นได้ ชั้นมีค่าจ้างให้”
กังฟูนิ่ง มองเมลดาที่สีหน้าดูเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ
ตกกลางคืน รถของเมฆามาถึงโกดังร้างแห่งหนึ่ง เมฆาลงจากรถพร้อมกับสันต์ได้ครู่ หนึ่งในคนร้ายเรียกค่าไถ่ก็เดินออกมาพร้อมเอาปืนจ่อ
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ พวกแกมากันแค่นี้แน่นะ” คนร้ายเอ่ย
“ชั้นเป็นห่วงชีวิตของน้องสาว รับรองว่าไม่เอามาเสี่ยงกับพวกแกแน่” เมฆาว่า
คนร้ายคนหนึ่งมองหน้าเมฆาแล้วยังไม่ลดปืนกลับ เดินออกมาสำรวจมองไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจ
“ตอนนี้เด็กยังไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าแกตุกติกไม่ทำตามคำสั่ง รับรองว่าเด็กนั่นโดนหั่นเป็นชิ้นๆแน่” คนร้ายว่า
“เงินอยู่นี่แล้ว เรื่องนี้ไม่มีตำรวจมาเกี่ยวข้องแน่นอน ชั้นสัญญา”
คนร้ายคนหนึ่งมองเมฆาแล้วขยับเข้าไปใช้ปืนขู่ไว้ จากนั้นจึงใช้มือตบไปตามตัวเพื่อตรวจหาอาวุธทั้งเมฆาและสันต์
“ ดีมาก ถ้าเชื่อฟังกันแบบนี้ ทุกอย่างมันก็ง่ายหน่อย เดินไป ชั้นจะพาแกไปรับตัวเด็กเอง”
คนร้ายยิ้มพอใจ พร้อมกับผลักไหล่เมฆากับสันต์ให้เดินนำหน้าเข้าไปด้านในโกดังโดยที่มันยังเอาปืนขู่ไว้
หลินหลินนอนหมดสติอยู่ที่พื้นในโกดัง มีผ้าปิดตาและถูกมัดมือเอาไว้ โดยมีคนร้ายอีกคนเฝ้าอยู่พร้อมกับปืน
ระหว่างนั้น มีเสียงคนเดินเข้ามา คนร้ายที่เฝ้าหลินหลินอยู่รีบคว้าปืนขึ้นมาส่องอย่างระวังทันที แต่มองไปแล้วกลับเงียบกริบ เขาคิดว่าคงไม่มีอะไรเลยลดปืนลง แต่ไม่ทันไรโคมไฟที่อยู่เหนือหัวก็แตกดังเพล้ง! แสงไฟริบหรี่เหลือเพียงแสงจากโคมอีกดวง คนร้ายเริ่มรู้สึกตัวถึงความผิดปกติ
“ใครวะ! แน่จริงก็โผล่ออกมา..ไม่งั้น นังเด็กนี่โดนลูกปืนแน่..ออกมา!”
บรรยากาศรอบตัวยังเงียบและเป็นปริศนา จนคนร้ายต้องขึ้นไกปืนกวาดไปรอบๆ สักครู่ ‘มิเชล’ มือสังหารสาว สวยจัดจ้าน หุ่นเซ็กซี่ในชุดรัดรูป หน้าสวยแต่แฝงความโหดเหี้ยมก็ค่อยๆโผล่เข้ามาข้างหลังมันช้าๆ
คนร้ายเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนอยู่ข้างหลังก็หันปืนขวับแล้วจะลั่นไก แต่กลับเจอความว่องไวของมิเชลจับปืนเสียก่อนแล้วปลดปืนจากมือถอดแม็กกาซีนและรางปืนแยกเป็นชิ้นๆอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนร้ายถึงกับอึ้ง
เมื่อคนร้ายเหลือมือเปล่าก็ปรี่เข้าไปจะชก แต่มิเชลยิ้มร้ายมุมปากนิดเดียวและยืนเฉยปล่อยให้มันกระหน่ำชกทั้งๆ ที่เธอยืนอยู่เฉยๆแต่แค่ขยับตัวไปมา คนร้ายชกไม่โดนแม้แต่หมัดเดียวจนเหนื่อย
“นังนี่ เก่งนักเหรอวะ เจอนี่หน่อยเป็นไง” คนร้ายชักมีดพกออกมาจากเอวแล้วกวัดแกว่งไปมา
มิเชลเห็นแล้วแสดงสีหน้าสมเพช เธอยื่นมือออกไปแล้วกระดิกนิ้วอย่างยั่วยุ คนร้ายปรี่เข้าไปจ้วงแทงแต่ก็เจอวิชามวยกังฟูเล่นงานเข้าไปหลายหมัดจนมันสะบักสะบอม ซวนเซเลือดกลบปากและถอยหลังขอยอมแพ้
“ยอม ยอมแล้ว เอาตัวเด็กไปเถอะ ไม่เอาแล้ว”
มิเชลเหลือบตาไปมองหลินหลินที่ยังนอนหมดสติ แต่ไม่ได้สนใจหลินหลินแม้แต่นิดเดียว มิเชลยิ้มร้ายแล้วร่ายรำเชิง มวยก่อนจะปล่อยวรยุทธ์อัดกระแทกผ่านอากาศจนเป็นแรงอัดก้อนใหญ่ใส่คนร้ายจนกระเด็น ลอยไปกระแทกกับเสาแล้วทรุดลงมาคอหักตายคาที่ เธอยืนดูผลงานตัวเองด้วยความพอใจ
กังฟูขี่มอเตอร์ไซค์พาเมลดาเข้ามาที่หน้าโกดัง
“จอดตรงนี้แหละ” เมลดาบอกแล้วรีบลงจากมอเตอร์ไซค์ เธอเข้าไปดูที่รถของเมฆาที่จอดทิ้งไว้ มั่นใจว่าหลินหลินต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
“คุณตามรถคันนี้มาเหรอ แล้วเจ้าของรถเขาอยู่ไหน” กังฟูถามอย่างสงสัย
เมลดาไม่ตอบ เธอเดินไปรอบๆรถมองหาเมฆาโดยไม่สนใจกังฟู
“นี่คุณ รถหรูๆแบบนี้มาจอดทิ้งไว้ในที่แบบนี้ มันผิดปกติจนน่าสงสัยนะ” กังฟูว่า
“ชู่วววว์...เงียบๆได้มั้ย นี่ไม่ใช่ธุระอะไรของนายแล้ว เลิกสงสัย เลิกถามแล้วก็กลับไปซะที” เมลดาว่า
“อ้าว..มาส่งให้ถึงที่แล้วไล่อย่างกับหมูกับหมาเลยเนี่ยนะ สงสัยที่บ้านจะไม่เคร่งเรื่องมารยาท” กังฟูพูด
“ปากเสีย...เงินค่าจ้างชั้นให้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นเชิญกลับไป..ไปสิ!!” เมลดาว่า
กังฟูมองหน้าเมลดาแล้วล้วงเงินในกระเป๋ากางเกงยื่นคืนให้
“ผมช่วยใครไม่เคยหวังผลตอบแทน ถ้าไม่อยากให้ยุ่งผมก็ไม่ยุ่ง..ลาเลยแล้วกัน”
กังฟูเซ็งๆกำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
เมลดานึกบางอย่างขึ้นได้
เมฆากับสันต์ถูกปืนจี้หลังพาเข้ามาข้างในโกดัง
“หยุดอยู่ตรงนี้แหละ เด็กอยู่ข้างในนั้น เอากระเป๋าเงินมา แล้วเดี๋ยวจะพาเด็กออกมาส่ง” คนร้ายว่า
“ชั้นจะแน่ใจได้ยังไง..ยังไม่เห็นกับตาว่าน้องสาวชั้นยังปลอดภัย” เมฆาเอ่ย
“มาถึงนี่แล้วแกไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งนั้น..เอามา !!”
เมฆายังกำกระเป๋าไว้แน่น คนร้ายเลยเอาปืนตบหน้าเมฆาจนหน้าหัน สันต์ขยับจะเอาเรื่องแต่ก็เจอปืนจ่อ
“อย่านะเว้ย..บอกแล้วไง..อยากให้ทุกอย่างมันง่าย..ก็ต้องทำตัวง่ายๆ”
เมฆาพยักหน้าให้สันต์อยู่เฉยๆแล้วโยนกระเป๋าเงินให้ คนร้ายรับกระเป๋าเงินแล้วเดินเข้าไปด้านในไม่ไกลจากที่เมฆายืน แต่ภาพที่มันเห็นตรงหน้ากลับทำให้มันตกใจ เมื่อเห็นเพื่อนถูกจับมัดห้อยหัวลงมาในสภาพตายอย่างน่าสมเพช มันรีบหันปืนไปทางเมฆาทันที
“เล่นไม่ซื่อเหรอไอ้เวร กินลูกปืนเถอะมึง”
เมฆานิ่งมองคนร้ายที่เล็งปืนมาที่ตัวเอง ไม่มีสีหน้าของความตกใจกลัวเลยแม้แต่นิดเดียว
ขณะเดียวกัน กังฟูกับเมลดาคุยกันอยู่ที่หน้าโกดัง
“อะไรอีก..หรือว่านึกขึ้นได้แล้วว่าที่บ้านก็สอนเรื่องมารยาทเหมือนกัน” กังฟูว่า
“นี่..หยุดกวนประสาทชั้นได้แล้ว เอาเป็นว่าชั้นขอโทษคุณแล้วกัน ชั้นกำลังมีเรื่องเดือดร้อนอยู่ อยากให้คุณช่วยชั้นอีกเรื่อง”
กังฟูนิ่งคิด “ก็ได้..อยากให้ผมช่วยอะไรอีก”
“ช่วยโทรตามตำรวจมาที่นี่ พอดีชั้นลืมโทรศัพท์ไว้ในรถ”
“ตำรวจ ?...ผมว่าคุณบอกผมมาดีกว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่” กังฟูยิ่งสงสัย
เมลดามองหน้ากังฟูอย่างลังเล ทันใดนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้นจากข้างในโกดัง...เปรี้ยง !!!
“คุณเมฆา !!!” เมลดาหันขวับไปทางโกดังอย่างตกใจ
จากเสียงปืนที่ดังก้องไปทั่วโกดัง เมื่อสิ้นเสียงปืนร่างของคนร้ายที่ยกปืนจะยิงใส่เมฆาก็ร่วงลงตายคาที่เพราะถูกจับหักคอจากด้านหลังด้วยฝีมือของมิเชล กระสุนที่ยิงจากปืนจึงพลาดเป้าเฉียดฉิวไม่โดนเมฆา เมฆากับมิเชลมือสังหารสาวสวยหุ่นเซ็กส์ซี่สบตากันแล้วนิ่ง สันต์ไม่พอใจชักปืนแล้วเข้าไปเล็งมิเชลทันที
“สันต์ !!” เมฆาเอ่ยห้าม
“คุณเมฆาครับ ถ้ามิเชลมาช้ากว่านี้ คุณโดนยิงไปแล้ว”
“ชั้นรู้ว่ามิเชลจงใจ เธอก็แค่อยากทดสอบว่าชั้นมีคุณสมบัติกล้าและบ้าบิ่นพอที่จะร่วมหัวจมท้ายกับอสูรเทวารึเปล่า” เมฆายิ้มมุมปากดูร้ายกาจแล้วเข้าไปใกล้มิเชลใช้มือลูบแก้มอย่างเจ้าชู้
มิเชลปัดมือเมฆาน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ “ชั้นทำหน้าที่ปิดปากไอ้พวกนี้เสร็จแล้ว ที่เหลือก็คือหน้าที่ของคุณ”
“หึๆๆ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง กลับไปบอกเขาด้วย ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแน่”
“แต่กำลังมีเรื่องนอกเหนือจากแผนที่เราวางเอาไว้” มิเชลเอ่ย
“หมายความว่าไง ?” เมฆาสงสัย
“ข้างนอกนั่น…คนที่ไม่เกี่ยวข้องคุณควรกำจัดให้พ้นทาง”
เมฆากับสันต์หันไปที่ทางเข้า แต่หันกลับมาอีกที มิเชลก็หายตัวไปแล้วอย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอยด้วยวิชาตัวเบา
เมลดาพยายามวิ่งเข้าไปข้างโกดังอย่างเป็นห่วงเมฆาหลังได้ยินเสียงปืน กังฟูรีบตามมาดึงเธอไว้
“เดี๋ยวคุณ..เข้าไปไม่ได้นะ จะบ้าเหรอไง..เสียงปืนดังแบบนั้น หลบมานี่ก่อน” กังฟูว่า
“ปล่อยชั้นนะ” เมลดาพูดกับกังฟูก่อนหันไปตะโกนเรียกเมฆาอย่างเป็นห่วง “คุณเมฆา !!!”
“ผมไม่ปล่อยให้คุณเข้าไปโดนลูกหลงหรอก” กังฟูบอก
“อย่ามาดูถูกเห็นว่าชั้นเป็นผู้หญิงนะ” เมลดาผลักกังฟูแล้วปล่อยหมัดชกเข้าที่ลิ้นปี่
กังฟูจุกตัวงอ “ผู้หญิงอะไรวะเนี่ย หมัดหนักเป็นบ้า..เล่นซะจุกเลย..อู้ยยยย”
เมลดารีบเข้ามาในโกดังแล้วเจอเมฆาอุ้มหลินหลินที่หมดสติออกมาพร้อมกับสันต์
“คุณเมฆา !! หลินหลิน !!”
“เมลดา..นี่คุณมาที่นี่ได้ยังไง” เมฆาสงสัย
“ชั้นเป็นห่วงคุณ เป็นห่วงหลินหลินก็เลยแอบตามมา แต่เมื่อกี้นี้ชั้นได้ยินเสียงปืน เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“ผมเอาค่าไถ่มาให้พวกมันแต่พวกมันทะเลาะกันเองเรื่องส่วนแบ่ง ผมเลยฉวยโอกาสช่วยหลินหลินออกมา” เมฆาตอบ
“แล้วพวกมันล่ะคะ”
“มีพวกมันฆ่ากันตายเองไปสองคน แต่มีบางคนที่หนีไปได้พร้อมกับเงิน”
ระหว่างเมฆาบอกเมลดา กังฟูตามเข้ามา สันต์ไม่รู้จักก็ยกปืนขู่
“เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆครับ..ผมไม่ใช่คนร้าย” กังฟูรีบบอก
“คุณเมฆาคะ..เขาเป็นพลเมืองดีช่วยพาชั้นมาที่นี่ค่ะ”
เมฆามองกังฟูชายแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าสั่งให้สันต์ลดปืนลง
“ตอนนี้หลินหลินปลอดภัยแล้ว ผมว่าเรารีบพากลับบ้านดีกว่า ปล่อยให้สันต์จัดการเคลียร์กับตำรวจทางนี้ไป”
เมลดาพยักหน้ารับแล้วออกไปพร้อมกับเมฆา ทิ้งให้กังฟูยืนมองตามปริบๆ ก่อนจะหันมาชะงักกับสายตาของสันต์ที่มองเขาเหมือนจะเอาเรื่อง
พอกังฟูยิ้มให้ก็โดนทำหน้าดุใส่
อ่านต่อหน้า 3
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 1 (ต่อ)
พระอาทิตย์โพล่พ้นขอบฟ้ายามอรุณรุ่ง ชีวิตผู้คนย่านเยาวราชเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ฮูหยินกำลังออกกำลังยามเช้าด้วยการรำไทเก็กที่ลานงิ้วด้วยท่วงท่าตามหลักการบริหารลมปราณ ตั้งแต่กระบวนท่า “ปรับลมปราณ” ต่อด้วย “ยืดอกขยายทรวง” ตามด้วย “เฉิดฉายสายรุ้ง” และ “ตะวันเบิกฟ้า”
ส่วนเฮียเก้านั่งจิบน้ำชา อ่านหนังสือพิมพ์ภาษาจีนอยู่ ระหว่างนั้นบู๊ลิ้มในชุดนักเรียนก็ถือกระเป๋าเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“ผมไปโรงเรียนแล้วนะครับแม่” บู๊ลิ้มบอก
“เดี๋ยวก่อนบู๊ลิ้ม..” ฮูหยินเรียก “กินข้าวเช้าก่อนไปโรงเรียนรึยัง”
“ผมไม่ค่อยหิวครับ”
ฮูหยินหยุดรำไทเก๊กแล้วเดินมาหาบู๊ลิ้ม “ลูกกำลังจะโทษแม่ที่เป็นคนไล่กังฟูไปใช่มั้ย”
บู๊ลิ้มเงียบ
“สิ่งที่แม่สอนสั่งให้กังฟูทำตาม มันคือความหวังดีของแม่ ถ้าเขาไม่รักดีไม่รู้จักความกตัญญู ก็สมควรแล้วที่ต้องไปจากที่นี่”
กังฟูเดินเข้ามา “ใช่แล้วครับอาจารย์หญิง เพราะว่าผมยังรักดีและยังกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ผมถึงไม่ยอมไปจากที่นี่”
ฮูหยินกับบู๊ลิ้มหันไปเห็นกังฟูยืนอยู่ บู๊ลิ้มดีใจจึงรีบวิ่งเข้าไปหา ฮูหยินยืนมองกังฟูนิ่ง
ฮูหยินจะเดินกลับเข้าไปแต่กังฟูรีบตามไปขวางแล้วคุกเข่าลงตรงหน้า
“ศิษย์สำนึกผิดที่ทำให้อาจารย์ไม่พอใจ ยกโทษให้ศิษย์ด้วย” กังฟูพูด
“เธอก็รู้ว่าฝ่าฝืนความผิดอะไร ถ้าอยากให้ยกโทษให้ ชั้นต้องมั่นใจว่าเธอจะไม่ทำผิดอีก”
“ผมจะเชื่อฟังอาจารย์หญิง จะไม่แอบฝึกมวยอีกครับ” กังฟูบอก
บู๊ลิ้มตกใจ “ศิษย์น้อง !!”
ฮูหยินนิ่งมองกังฟูอยู่ครู่นึงก่อนจะเดินผ่านไปเหมือนไม่สนใจแล้วเดินไปหยุดที่แท่นเสียบกระบี่สำหรับใช้ฝึกซ้อมงิ้ว หยิบ เขากระบี่ขึ้นมา กังฟูกับบู๊ลิ้มนึกว่าฮูหยินจะไม่ยกโทษให้ เฮียเก้าก็คิดเหมือนกันจนถึงกับหยุดอ่านหนังสือพิมพ์แล้วช้อนตาขึ้นมามองฮูหยิน
“รู้มั้ยว่าทำไมกระบี่ต้องมีฝัก” ฮูหยินถาม
กังฟูกับบู๊ลิ้มนิ่งเงียบ ฮูหยินชักกระบี่ออกจากฝักแล้วชี้ปลายคมกระบี่ไปที่หน้ากังฟู
“ที่กระบี่ต้องมีฝัก เพราะต้องซ่อนคมเอาไว้ไม่ให้ชักออกมาฆ่าฟันกันง่ายๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าเธอพร้อมสำหรับการฝึกจริงๆ เธอถึงจะได้รับอนุญาต” ฮูหยินบอก
กังฟูนิ่งมองคมกระบี่ตรงหน้าแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ อาจารย์หญิงโยนฝักกระบี่ให้กังฟู
“ตอนนี้ที่ฉันให้เธอได้คือฝักกระบี่เท่านั้น” ฮูหยินบอก
ฮูหยินวางกระบี่บนเก้าอี้ที่อยู่บริเวณนั้น
“อาจารย์ยกโทษให้ศิษย์แล้วใช่ไหมครับ” กังฟูถาม
“พูดมากจัง ไปส่งบู๊ลิ้มเร็วๆ เดี๋ยวก็สายพอดี แล้วอย่าลืมเก็บกระบี่ให้ด้วยล่ะ” ฮูหยินบอก
กังฟูรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ
“ขอบคุณครับอาจารย์หญิง..ขอบคุณครับ”
ฮูหยินเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไรอีก กังฟูรีบถือฝักกระบี่ไป หยิบกระบี่ขึ้นมาสอดใส่ฝัก ขณะที่เฮียเก้าซึ่งมองเหตุการณ์นี้อยู่แบบไม่คิดอะไรมากก็เอะใจเหมือนเห็นอะไรบางอย่างแวบหนึ่ง
เฮียเก้าเรียก “กังฟู”
“ครับ อาจารย์”
“เมื่อกี้นี้น่ะ...”
เฮียเก้ายังพูดไม่จบ ฮูหยินก็เดินกลับเข้ามา
“เกือบลืมแน่ะ กังฟู ไปส่งบู๊ลิ้มแล้วแวะไปรอรับพายุที่สนามบินด้วย วันนี้เขาจะกลับมาจากเมืองจีนแล้ว”
“ได้ครับอาจารย์”
ฮูหยินเดินกลับเข้าไป กังฟูหันมาทางเฮียเก้า
“เมื่อกี้อาจารย์ว่าอะไรนะครับ” กังฟูถาม
“ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ”
“ไปเถอะ ศิษย์น้อง”
บู๊ลิ้มกับกังฟูเดินออกไปด้วยกัน เฮ้ยเก้ามองตามกังฟูไป
เฮียเก้าเดินเข้ามาที่มุมหนึ่งของคณะงิ้ว จนเจอขวดเหล้าจีน เหล้าฝรั่ง เหล้าไทยวางอยู่ ข้างๆมีเฮียหลอกับเฮียเฉินนอนหลับอยู่ข้างกันบนโต๊ะ แต่หันหัวไปคนละทาง เฮียหลอนอนคว่ำ ส่วนเฮียเฉินนอนตะแคงกอดร่างเฮียหลออยู่
มือเฮียเฉินตะปปอยู่ตรงแก้มก้นเฮียหลอพอดี เฮียเก้าส่ายหน้า
“ล่อสามกษัตริย์เลยนะ มิน่า เมาเละกันซะขนาดนี้ ...เลวจริงๆ...ไม่ชวนกันเลย” เฮียเก้าว่า
เฮียเฉินบีบก้นเฮียหลอหมุบหมับพร้อมกับส่งเสียงละเมอ
“อาหมวยจ๋า อั๊วว่าหยินหยางลื้อไม่สมดุล จอปอดบวมขนาดนี้ เดี๋ยวอั๊วจะใช้กำลังภายในดูดพลังหยางให้ปอดลื้อ”
เฮียเก้าได้ยินก็ตกใจจึงร้องเสียงดังเพื่อปลุกเฮียเฉิน
“เฮ้ย ไอ้เฉิน ตื่นเว้ย อย่าทำอะไรอุบาทว์แบบนั้นนะ เดี๋ยวซวยซี้กันทั้งคณะ”
เฮียเฉินละเมอต่ออย่างไม่สนใจ เขาบีบก้นเฮียหลอสนุกมือ
“ปอดเด้งดึ๋งๆแบบนี้ อาการหนักนะเนี่ย ต้องรักษานานหน่อยนะหมวยจ๋า” เฮียเฉินละเมอ
เฮียเฉินทำปากจุ๊บจั๊บเตรียมจะดูดพลังหยาง เฮียเก้าต้องรีบมาดึงหน้าเฮียเฉินไว้
“อย่านะเว้ยไอ้เฉิน”
เฮียเฉินยื่นหน้าจะดูดพลังหยางให้ได้ เฮียเก้าปล่อยมือแล้วเปลี่ยนวิธีโดยดัดเสียงเป็นเสียงฮูหยิน
“ไอ้เฉิน ลื้อทำอะไร”
เฮียเฉินสะดุ้งพรวดแล้วก็ตกโต๊ะดังโครมก่อนจะละล่ำละลักร้องโวยวาย
“เปล่าๆๆๆ อั๊วไม่ได้ทำอะไรจริงๆ อั๊วจะรักษาโรคปอดบวมให้อาหมวย...”
เฮียเฉินมองรอบๆ แล้วก็รู้ว่าฝันไปก่อนจะหันมาเจอเฮียเก้า
“โธ่ ไอ้เก้า ปลอมเสียงเมียอั๊วทำไมวะ เจี๊ยะป้าบ่อสื่อรึไง (กินอิ่มไม่มีงานทำ) อั๊วกำลังฝันดีแท้ๆ”
“แต่ถ้าไม่ปลุกลื้อ อั๊วฝันร้ายแน่ๆเพราะภาพอุบาทว์ๆมันติดตา” เฮียเก้าว่า
เฮียเฉินบ่นพึมพำ ขณะที่เฮียหลอยังหลับไม่รู้ตัว
“เฮ้ย ไอ้เฉิน อั๊วจะถามอะไรลื้อหน่อย” เฮียเก้าว่า
“ก็ถามมาเดะ” เฮียเฉินบอก
“ลื้อสอนวิชายุทธให้ไอ้กังฟูรึเปล่าวะ”
เฮียเฉินสะดุ้งมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวฮูหยินได้ยิน
“ซี้ซั้วต่า” เฮียเฉินว่า “ไม่เคยโว้ย เดี๋ยวเมียอั๊วมาได้ยินนึกว่าจริง อั๊วก็ตายสิวะ พูดอะไรของลื้อเนี่ย”
“แต่เมื่อกี้อั๊วเห็นไอ้กังฟูจับกระบี่ ท่ามันออกว่ามันคือจอมยุทธ”
“เหลวไหลน่า ฟลุ๊คมั้ง หรือไม่ก็ลื้อตาถั่ว”
“ของแบบนี้จะดูผิดได้ไงวะ” เฮียเก้าว่า
เฮียเฉินงง เฮียหลอหันมามองนิ่ง ก่อนจะนึกแล้วตอบ
“อั๊วรู้แล้ว ...ตอนนั้นไง”
“อะไรของลื้อวะ” เฮียเฉินถาม
“ตอนที่ทำบ๊ะจ่างไม่ทันน่ะ”
เฮียหลอบอก
เฮียเก้า เฮียหลอ และเฮียเฉินช่วยกันทำบ๊ะจ่างยิกๆ เฮียเก้ากับเฮียหลอใส่ข้าวใส่เครื่องลงห่อใบจ่างก่อนจะส่งต่อให้เฮียเฉินกับกังฟูมัดรอนึ่ง ฮูหยินโผล่หน้าเข้ามาถาม
“เสร็จยังเนี่ย ทำไมมันช้าอย่างงี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้เอาออกไปขาย เมื่อคืนมัวแต่กินเหล้า เช่าวีดิโอโป๊มาดูใช่มั้ย เดี๋ยวถ้าอั๊วไปตลาดกลับมาแล้วยังไม่เสร็จนะ...พวกลื้อตาย”
ทั้งสี่หนุ่มหน้าซีดไปตามๆ กัน ฮูหยินเดินออกไป เฮียเก้ากับเฮียหลอสูดหายใจเข้าเพื่อผนึกลมปราณ
“พลังลมปราณกรอกดาวลงเหว” ทั้งสองพูดพร้อมกัน
เฮียเก้าเฮียหลอกรอกข้าวกรอกเครื่องใส่ห่อใบจ่างโดยทำได้เร็วขึ้นมาก
“ใช้ได้ว่ะ อั๊วเอาบ้าง...พลังลมปราณลิ้นมังกร” เฮียเฉินทำตาม
เฮียเฉินสะบัดเชือกมัดบ๊ะจ่างอย่างรวดเร็ว
เฮียเก้ากับเฮียหลอหันกลับไปกรอกอย่างเร่งมือ ส่วนเฮียเฉินก็เร่งมือห่อ ทุกคนกำลังทำงานด้วยอัตราเร่งเต็มสปีด
“เดี๋ยว...หยุด”
เฮียเก้ากับเฮียหลอหยุดแล้วมองตามเฮียเฉินก็เห็นกองบ๊ะจ่างที่รอมัดที่ส่งมาจากเฮียหลอกับเฮียเก้ามีเยอะมาก
ทั้งสามมองเลยไปเห็นกังฟูตั้งอกตั้งใจมัดช้าๆ ทีละใบๆ เฮียเฉินตบโต๊ะดังปังแล้วชี้หน้าด่า
“ไอ้กังฟู ไอ้เก๋าเจ้ง ลื้ออยากให้พวกอั๊วตายโหงรึไงวะ” เฮียเก้าว่า “พวกอั๊วรีบกันเป็นลิง ลื้อมามัดต้วมเตี้ยมๆแบบนี้มันจะเสร็จทันได้ไง หา”
“ทำเร็วๆไม่ได้หรือไง ไอ้ซื่อบื้อ” เฮียหลอว่า
“ศิษย์ขออภัย ศิษย์พยายามทำให้เร็วที่สุดแล้ว แต่มัดบ๊ะจ่างมันยากนะครับ ถ้าเรามัดไม่ แน่น ไส้ทะลักออกมา จะเสียชื่อเสียงสำนักเรานะครับ” กังฟูบอก
ทั้งสามเฮียมองหน้ากันก่อนจะแยกวงมาปรึกษากันโดยปล่อยให้กังฟูมัดบ๊ะจ่างไป
“มันก็พูดถูกของมัน แต่ถ้าปล่อยไปอย่างงี้ เราซี้แน่ๆ” เฮียหลอบอก
“เราต้องถ่ายทอดลมปราณลิ้นมังกรให้มัน” เฮียเฉินพูด
“เฮ้ย ไหนว่าเราจะไม่สอนวิทยายุทธให้มัน” เฮียเก้าว่า
“ก็สอนเฉพาะวิชามัดเชือกสิวะ ไม่สอนหมัด ฝ่ามือ เตะ ถีบ โหม่ง ก็ไม่นับว่าเป็นวิทยายุทธหรอก” เฮียเฉินบอก
“แต่ถ้าคนอื่นรู้เข้า โดยเฉพาะฮูหยิน...” เฮียหลอพูด
“อั๊วไม่พูด ลื้อไม่พูด ใครจะรู้ ไอ้กังฟูเองก็ไม่รู้ เราเป็นอาจารย์มัน เราบอกดำมันก็ไม่กล้า เถียงว่าขาวหรอก” เฮียเฉินบอก
เฮียเก้ากับเฮียหลอพยักหน้าเห็นด้วย
เฮียเก้า เฮียหลอ และเฮียเฉินทาบฝ่ามือตรงกลางหลังของกังฟูเพื่อถ่ายทอดพลังลมปราณให้
“ไอ้กังฟู พวกอั๊วจะถ่ายทอดลมปราณให้ ชื่อลมปราณมัดบ๊ะจ่าง” เฮียเฉินว่า
“มันเป็นวิชาทำกับข้าว หาใช่วิทยายุทธไม่ เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดห้ามบอกใครเด็ดขาด”
“มิเช่นนั้นเจ้าอื่นอาจจะทำบ๊ะจ่างได้อร่อยเท่าเรา เป็นที่อับอายแก่บรรพชน เข้าใจมั้ย” เฮียหลอถาม
“ศิษย์เข้าใจแล้วครับ”
กังฟูได้รับการถ่ายทอดลมปราณแล้วก็ยืนอยู่ตรงหน้ากองบ๊ะจ่างด้วยท่าทางตั้งใจเกินร้อย สามเฮียยืนอยู่ข้างหลัง เพื่อรอดูผลงาน
“ลมปราณมัดบ๊ะจ่าง” พูดจบกังฟูก็ร้องย้าก แล้วสะบัดเชือก มัดบ๊ะจ่างได้อย่างรวดเร็ว”
ทั้งสามเฮียที่ลุ้นอยู่ตีมือกันร้องเยส ! แล้วสี่หนุ่มก็ใช้ลมปราณทำบ๊ะจ่างอย่างรวดเร็วจนเสร็จสิ้น
เฮียเก้า เฮียหลอ เฮียเฉิน รำลึกความหลัง
“เฮ้ย ตอนนั้นเราแค่สอนมันมัดบ๊ะจ่างนะ มันเกี่ยวอะไรกับท่าจับกระบี่วะ” เฮียเก้าบอก
เฮียหลอถอนใจเบาๆ ก่อนพูด
“เรามัวแต่นึกว่ามันเป็นพวกซื่อบื้อ ลืมนึกไปว่ามันสืบสายเลือดมาจากใคร”
“จริงของลื้อ ม้าดีแค่เห็นแส้ก็วิ่งได้ เราสอนมันนิดเดียว มันกลับรู้ได้มากมาย...เราพลาดไปจริงๆ” เฮียเฉินบอก
“ถ้างั้นก็...”
“เงียบๆไว้ก่อนแล้วกัน” เฮียเฉินบอก “ถ้าเราโชคดี มันคงได้แค่ช่วยเรามัดบ๊ะจ่างไปเรื่อยๆนั่นแหละ”
สามเฮียเงียบไปโดยมีสีหน้าไม่เห็นด้วยกับที่เฮียเฉินพูด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
รถขายติ่มซำจะขับพาบู๊ลิ้มไปส่งโรงเรียนจอดอยู่ที่หน้าโรงงิ้ว
“ศิษย์น้องไปรับปากกับแม่ศิษย์พี่ว่าจะไม่ฝึกวิทยายุทธ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำจริงๆใช่มั้ย” บู๊ลิ้มถาม
“เป็นลูกผู้ชายถ้ารักษาสัจจะไม่ได้ ก็อย่าเป็นซะดีกว่านะศิษย์พี่” กังฟูว่า
“แต่ว่า..”
“ศิษย์พี่ควรตั้งใจเรียน อาจารย์หญิงยอมจ่ายค่าเทอมแพงๆ เพื่อให้ศิษย์พี่ได้เข้าโรงเรียน ดีๆ จบมาจะได้มีงานดีๆทำ ไม่ต้องห่วงศิษย์น้องหรอก”
“แม่พยายามจะให้ศิษย์พี่เป็นเหมือนพี่พายุ แต่อยากรู้นักถ้าศิษย์พี่ได้นิสัยแย่ๆเหมือนพี่ พายุมา แม่จะดีใจหรือเสียใจ” บู๊ลิ้มว่า
“ไม่เอาน่าศิษย์พี่..เขาเป็นพี่ชายศิษย์พี่นะ”
“ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆซะหน่อย ก็เด็กรับมาเลี้ยงเหมือนกับศิษย์น้อง แต่ทำไมรักไม่เท่ากัน ก็ไม่รู้” บู๊ลิ้มพูดแล้วก็ชะงัก “เอ่อ..ศิษย์พี่ขอโทษ ไม่ตั้งใจจะพูดแบบนี้”
กังฟูยิ้มรับ “ไม่เป็นไรหรอกศิษย์พี่ รีบไปโรงเรียนกันดีกว่า เดี๋ยวรถจะติด”
กังฟูเดินไปเปิดประตูเพื่อนั่งที่คนขับ บู๊ลิ้มมองตามแล้วนึกได้
“เดี๋ยวศิษย์น้อง..ยังไม่บอกเลยว่าเมื่อคืนหายไปไหนมา”
กังฟูยิ้มให้แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ที่คอนโซลหน้ารถยื่นให้
“อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ใช้สติครุ่นคิด แต่ดันไปเจอเรื่องตื่นเต้นมา เลยเสียเวลาให้ปาก คำกับตำรวจอยู่ทั้งคืน” กังฟูบอก
บู๊ลิ้มแปลกใจเลยดูที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ซึ่งพาดหัวข่าวตัวใหญ่ “ลูกสาวเจ้าสัวพันล้าน รอดหวุดหวิด โจรเรียกค่าไถ่”
“ลูกสาวเจ้าสัวพันล้าน ?” บู๊ลิ้มดูรูปที่หน้าหนึ่งแล้วชะงักเพราะว่าเขารู้จัก
หลินที่อยู่ในห้องนอนเพิ่งจะหลับสนิทอยู่บนตักเมลดาที่ดูแลเธอมาตลอดทั้งคืน ระหว่างนั้นมาดาม
เหมยอิงก็เดินเข้ามา
“หลินหลินเป็นยังไงบ้างจ๊ะเมลดา”
“ตกใจกลัวแล้วก็ร้องไห้ทั้งคืนจนเหนื่อย เพิ่งจะหลับสนิทจริงๆเมื่อครู่นี้เองค่ะมาดาม” เมลดาบอก
เหมยอิงมองด้วยความสงสาร “โธ่หลินหลิน”
เหมยอิงเข้าไปข้างเตียง ช่วยเมลดาขยับหลินหลินจากตักให้นอนบนเตียงแล้วก็ห่มผ้า
เหมยอิงเดินลงมาจากชั้นสอง พร้อมกับเมลดา
“ชั้นต้องขอบใจเธอมากเลยนะ ต้องมาอดหลับอดนอนคอยช่วยดูแลหลินหลิน” เหมยอิงบอก
“เมลดารู้สึกผิดค่ะ ถ้าตอนนั้นช่วยหลินหลินได้ หลินหลินก็คง...”
“สถานการณ์แบบนั้นเธอทำดีที่สุดแล้ว..ถือว่าเป็นโชคดีของหลินหลินที่มีผู้หญิงดีๆอย่าง เธอคอยดูแล รับปากชั้นได้มั้ยว่าเธอจะมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา”
มาดามพูดไปก็จับมือเมลดามากุมแล้วถามเมฆาที่ยืนอยู่ข้างหลังเมลดา
“ใช่มั้ยเมฆา ผู้หญิงดีๆอย่างนี้ อย่ามัวแต่ชักช้าอยู่ล่ะ”
เมลดาชะงัก
“แม่ถามผมแบบนี้แม่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เรื่องแบบนี้จะให้ผมปรบมือข้างเดียวได้ยังไง” เมฆาว่า
“ก็เราน่ะมัวแต่ทำงาน บ้างานอยู่ได้ทุกวัน ถ้าผู้หญิงดีๆอย่างเมลดาหลุดมือไปล่ะก็ อย่าหวังว่าแม่จะรับคนอื่นมาเป็นสะใภ้”
“งั้นผมขอเมลดาแต่งงานต่อหน้าแม่ตรงนี้เลยแล้วกัน ถ้าผมถูกปฏิเสธแม่จะได้ช่วยผม” เมฆาว่า
เมลดารีบเบรค “คุณเมฆาคะ..พอเถอะค่ะ อย่าทำอย่างนี้”
“เห็นมั้ยครับแม่ ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายาม” เมฆาบอก
“เล่นทะเล่อทะล่าพูดแบบนี้ แล้วผู้หญิงที่ไหนเขาจะยอมตกลง” เหมยอิงว่า
“มาดามคะ..คือ..เมลดาว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดเรื่องนี้กันนะคะ หลินหลินยัง ต้องได้รับการดูแล คนร้ายที่ลักพาตัวหลินหลินก็ยังลอยนวลอยู่”
เหมยอิงยิ้มรับ “จ้ะเมลดา..แต่รับปากชั้นนะ ว่าถ้าผ่านพ้นเรื่องร้ายๆนี้ไปได้เมื่อไหร่ เธอจะไม่ ปฏิเสธลูกชายชั้น”
เมลดายิ้มรับแล้วหันไปมองเมฆา
เมฆาเดินออกมาที่หน้าคฤหาสน์ที่รถจอดรออยู่
“คุณไม่ต้องไปส่งชั้นก็ได้ค่ะ เรื่องที่บ้านคุณยังวุ่นวายอยู่ เจ้าสัวคงอยากให้คุณอยู่ใกล้ๆ” เมลดาว่า
เมฆานิ่งมอง “เมลดา”
“คะ” เมลดาตอบรับ
เมฆาสบตาเมลดาแล้วค่อยๆจับมือเธอขึ้นมาสัมผัสที่แผ่นอกตรงบริเวณหัวใจอย่างซึ้ง ทำเอาเมลดาใจเต้นตึกๆ
“เรื่องเมื่อคืนที่คุณแอบตามผมไป รู้มั้ยว่าคุณทำให้ผมใจหาย”
“ชั้นขอโทษค่ะ..แต่ชั้นเป็นห่วงทั้งคุณและหลินหลิน”
“แต่คุณก็เห็นแล้วว่าผมจัดการทุกอย่างได้”
เมลดาพยักหน้ารับ
“งั้นต่อไปนี้คุณต้องสัญญากับผม ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก คุณต้องไม่เข้ายุ่ง”
เมลดานิ่งไปครู่นึง “ค่ะคุณเมฆา”
เมฆายิ้มรับแล้วบรรจงหอมหน้าผากเธอเบาๆ “ผมรักคุณนะ”
เมลดายิ้มมีความสุขแล้วเดินไปขึ้นรถ เมฆาช่วยปิดประตูรถให้ ระหว่างนั้นรถอีกคันก็เข้ามาจอดต่อท้าย เมลดาหันไปมองก็เห็นหญิงสาวแต่งชุดสูททะมัดทะแมง ลงจากรถพร้อมกับชายหนุ่มในชุดสูทสีดำอีกคน ทั้งคู่เดินเข้าไปหาเมฆา จับมือทักทายเขาก่อนจะพากันเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เมลดามองตามจนลับตาด้วยความสงสัยว่าใคร
มาดามเหมยอิงมองมิเชลกับลูกน้องที่เมฆาพาเข้ามา
“สองคนนี้น่ะเหรอที่จะจ้างมาให้เป็นบอร์ดี้การ์ดหลินหลินกับเจ้าสัว” เหมยอิงถาม
“ครับแม่” เมฆายื่นแฟ้มประวัติให้เหมยอิงดู “มิเชลกับทีมงานเคยทำงานเป็นบอร์ดี้การ์ดให้กับบุคคลสำคัญมาหลายคนแล้ว ผมเห็นว่าฝีมือดีเลยอยากให้มาคอยดูแลน้องกับพ่อเป็นพิเศษ”
“แต่พ่อไม่ชอบให้มีใครมาคอยเดินตาม มันดูเหมือนเป็นเจ้าพ่อมากกว่าเป็นนักธุรกิจ” เจ้าสัวบอก
“พ่อครับ อย่างที่ผมบอกพ่อไป พอผมได้เผชิญหน้ากับพวกมัน ผมก็รู้ว่าพวกมันไม่ใช่โจรเรียกค่าไถ่ธรรมดา ผมว่ามีคนที่บงการพวกมันอยู่อีกที”
“ใครเหรอเมฆา” ซ้อสองถาม
“ผมยังไม่ทราบหรอกครับ แต่คิดว่าน่าจะเป็นพวกคู่แข่งธุรกิจที่จ้องจะทำลายเรา ผมถึง ไม่ไว้ใจใครนอกจากคนในครอบครัวเราครับ”
เหมยอิงนิ่งพิจารณาดูแฟ้มของมิเชลแล้วมองมิเชลกับลูกน้องอีกที “เท่าที่ดูประวัติแล้ว ชั้นเห็น ด้วยกับเมฆาค่ะ เราไม่รู้ว่าคนที่ต้องการเล่นงานเราเป็นใคร สู้กับผีในที่มืดยังไงก็ไม่ชนะ”
“คุณคะ..ชั้นไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับหลินหลินอีก” ซ้อสองบอก
“ก็ได้..แต่แกต้องสืบมาให้ได้นะเมฆา หาตัวไอ้คนที่จ้องทำลายครอบครัวให้เจอ” เจ้าสัวว่า
“ครับพ่อ”
เมฆายิ้มรับแล้วหันไปสบตากับมิเชล
บู๊ลิ้มเดินมองหาบ้านของเมลดาอยู่บริเวณถนนในซอยหน้าบ้านเมลดา
บู๊ลิ้มมองหา “หลังไหนหว่า...หลังไหน”
บู๊ลิ้มมองหาอยู่ครู่แล้วตกใจเมื่อเจอกังฟูขับรถขายติ่มซำมาจอดใกล้ๆ
“โดดเรียนมาหาใครเหรอศิษย์พี่” กังฟูถาม
บู๊ลิ้มตกใจ “เย้ย..มาได้ไงเนี่ย”
บู๊ลิ้มจะวิ่งหนีแต่กังฟูรีบเปิดประตูรถตามไปคว้าคอเสื้อเอาไว้ทัน
“จะหนีไปไหน..ศิษย์พี่ทำอย่างนี้ทำไม พ่อแม่อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนดีๆ แต่กลับหนีเรียน”
“ศิษย์พี่มีธุระด่วน” บู๊ลิ้มบอก
“จะมีธุระอะไรสำคัญกว่าการเรียน โชคดีนะที่ศิษย์น้องไปส่งที่โรงเรียนแล้วบังเอิญรถเสีย จอดซ่อมรถแถวรั้วโรงเรียน เลยเห็นศิษย์พี่แอบปีนรั้วหนีออกมา..ไป..กลับไปเรียนหนังสือต่อเลย”
“ไม่เอาน่าศิษย์น้อง..ศิษย์พี่เป็นห่วงเพื่อน อยากรู้ว่าเพื่อนเป็นยังไงบ้าง”
“ห่วงเพื่อน ?”
บู๊ลิ้มหยิบหนังสือพิมพ์ออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้กังฟู “ลูกสาวเจ้าสัวที่โดนลักพาตัว..เขาเป็นเพื่อนศิษย์พี่เอง”
“เป็นเพื่อนกัน..แต่ทำไมศิษย์พี่ไม่เคยเล่าให้ฟัง”
บู๊ลิ้มชะงัก “ก็..ก็..”
บู๊ลิ้มเก้อๆเขินๆ ที่จะพูด ยิ่งพยายามหลบตากังฟูบู๊ลิ้มก็ยิ่งมีพิรุธ
“หลุกหลิกหลบตาแบบนี้..ไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วมั้ง แฟนใช่มั้ย”
“โอ้ย..ใช่แฟนก็ดีสิ..อุ๊บส์ !!” บู๊ลิ้มรีบปิดปาก
บู๊ลิ้มไม่อยากถูกจับผิดจึงเอามือปิดปากแล้วรีบเดินหนีทันที
รถที่มาส่งเมลดาจอดส่งหน้าประตูบ้าน
“ขอบคุณมากนะคะ” เมลดาพูด
คนขับรถขับรถออกไปได้ครู่หนึ่ง เมลดายังไม่ทันจะไขกุญแจเข้าบ้านก็เหลือบไปเห็นบู๊ลิ้มกับกังฟู
“ไม่ !! ศิษย์พี่ไม่กลับ ขอศิษย์พี่ไปทำธุระให้เสร็จก่อน” บู๊ลิ้มว่า
“ไม่ได้ !! ศิษย์พี่ต้องกลับไปเรียนหนังสือ” กังฟูกำชับ
“บู๊ลิ้ม..เกิดอะไรขึ้น” เมลดาชะงักเห็นกังฟูแล้วก็จำได้ “นี่นายเองเหรอ..ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ !!”
เมลดาเข้าไปผลักกังฟูจนเซแล้วดึงบู๊ลิ้มมาหลบข้างหลัง
เมลดาชี้หน้า “ตัวโตซะเปล่าแต่มาหาเรื่องแกล้งเด็กแบบนี้ อยากเจ็บตัวอีกใช่มั้ย”
“อ้าวคุณ..อย่ามาชี้หน้าด่าคนอื่นมั่วๆแบบนี้สิ มีปากก็ถามก่อนว่าผมรู้จักกับเด็กรึเปล่า ไม่ได้คิดแต่จะใช้กำลัง อยากเป็นวีรสตรีจนตัวสั่น”
เมลดาฉุน “นี่นาย !!”
บู๊ลิ้มรีบห้าม “พี่เมครับ…อย่ามีเรื่องกับศิษย์น้องผมเลยครับ”
เมลดาชะงัก “ศิษย์น้อง ?”
“เอ่อ..ผมหมายถึง..พี่กังฟู ลูกศิษย์คณะงิ้วของแม่ผมน่ะครับ” บู๊ลิ้มบอก
เมลดาพยักหน้าอ๋อแล้วมองกังฟูที่ยิ้มยียวนใส่เธออย่างงุนงง
เมลดาพาบู๊ลิ้มกับกังฟูเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่น
“เป็นห่วงเพื่อนน่ะเป็นเรื่องดี แต่ถึงกับแอบโดดเรียนมาแบบนี้ พี่ไม่เห็นด้วยเลยนะบู๊ลิ้ม” เมลดาว่า
“ผมขอโทษครับ แต่ผมอยากรู้ว่าหลินหลินเป็นยังไงบ้าง อยากไปเยี่ยมที่บ้านด้วย แต่ว่า ถ้าไปที่บ้านเธอเขาคงไม่ให้ผมเข้าไป” บู๊ลิ้มบอก
“เธอก็เลยมาตามหาพี่ อยากให้พี่พาไปเยี่ยมหลินหลิน”
บู๊ลิ้มยิ้มรับแหะๆ ระหว่างนั่งฟังมาตลอด กังฟูกอดอกคิ้วขมวดด้วยความสงสัยก่อนจะดึงบู๊ลิ้มมาสะกิดกระซิบถาม
“ศิษย์พี่..ถามจริงๆเถอะ แฟนก็ไม่ใช่ แถมยังเรียนคนละห้องอีก วันๆเรียนหนังสือบ้างรึเปล่า ทำไมถึงมาสนิทสนมกับครูสอนพิเศษเขา ถึงขนาดรู้จักบ้านด้วย” กังฟูว่า
“ศิษย์น้องยังไม่มีความรัก ศิษย์น้องไม่รู้หรอกว่าความรักทำให้เรากล้าทำอะไรบ้าง ถ้าไม่ ตามติดชีวิตเธอแล้วเราจะรู้จักเธอได้ยังไง” บู๊ลิ้มยักคิ้วเพราะคิดว่าเท่
“อ๋อเหรอ” กังฟูยิ้มกวนแล้วจัดการดีดติ่งหูบู๊ลิ้มทันที..”นี่แน๊ะ..หนวดไม่ทันขึ้นแต่ริทำตัวเลียนแบบเล็กเซียวหงส์ เจ้าชู้โดดเรียนมาตามหญิง”
บู๊ลิ้มสะดุ้งโหยงด้วยความเจ็บ เมลดาไม่พอใจจึงดุใส่กังฟูทันที
“นี่ ! หยุดเดี๋ยวนี้นะนายกังฟู เอะอะๆก็ลงมือกับเด็ก เป็นพวกรังแกเด็กแล้วมีความสุขเหรอไง..โรคจิต !!”
กังฟูสะดุ้ง “โอ้โห..ซัดมาเป็นชุดเลย ถามจริงเถอะคุณ อาชีพหลักที่ไม่ได้เป็นครูสอนพิเศษ เนี่ยทำงานเป็นแม่ชีดูแลเด็กๆอยู่ที่โบสถ์ไหนเหรอ”
เมลดาฉุน “นี่นาย !!”
บู๊ลิ้มรีบแยกทั้งคู่ “หยู้ดดด..หยุดๆๆ อย่าทะเลาะกันเลยครับ สงสารเด็กบ้าง ผู้ใหญ่ไม่ควร ให้เด็กอยู่ท่ามกลางความรุนแรง เพราะมันคือการบ่มนิสัยก้าวร้าวให้กับเด็ก”
เมลดากับกังฟูหันขวับมาจ้องเขม็งที่บู๊ลิ้มที่ช่างพูดซะจริง บู๊ลิ้มยิ้มแหะๆ ระหว่างนั้นชนะหิ้วถุงกับข้าวเข้ามา
“อ้าว..เม..มีแขกอยู่เหรอลูก พอดีเลย..พ่อซื้อกับข้าวมาเดี๋ยวกินข้าวด้วยกันสิ” เมลดาหันไปมองกังฟูกับบู๊ลิ้มด้วยสีหน้าไม่ค่อยอยากรับแขกอย่างกังฟูเท่าไหร่นัก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ พอดีคุยธุระกันเสร็จแล้วค่ะ” เมลดาบอก
เมลดาเดินออกมาส่งกังฟูกับบู๊ลิ้มโดยไม่ชวนให้กินข้าวด้วยกัน
“บู๊ลิ้มให้พี่กังฟูพากลับไปเรียนหนังสือเถอะนะ เรื่องแค่นี้อย่าถึงกับต้องโดดเรียนมาเลย ไว้พี่ไปเจอหลินหลินพี่จะบอกเขาว่าบู๊ลิ้มเป็นห่วง” เมลดาว่า
“แต่ผมอยากไปเยี่ยมหลินหลิน” บู๊ลิ้มบอก
“พี่เป็นแค่ครูสอนพิเศษเขา คงพาคนนอกเข้าไปบ้านเจ้าสัวไม่ได้หรอก”
บู๊ลิ้มทำหน้าเซ็งแล้วนึกขึ้นมาได้ “งั้นผมฝากเครื่องรางคุ้มครองของผมไปให้หลินหลินได้มั้ยครับ”
บู๊ลิ้มรีบแกะฮู้ เครื่องรางคุ้มครองของคนจีนที่พับอยู่ในถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงเล็กๆ ซึ่งผูกติดกับซิปกระเป๋าเหมือนพวง กุญแจส่งให้ เมลดารับฮู้จากมือบู๊ลิ้มแล้วยิ้มรับ
“เวลาแม่ไปไหว้เจ้าทีไร แม่ต้องขอเครื่องรางคุ้มครองมาให้ผมพกติดตัวเสมอ ผมอยากให้หลินหลินปลอดภัยด้วยครับ” บู๊ลิ้มบอก
“ได้จ้ะ..แล้วพี่จะเอาไปให้หลินหลิน” เมลดาว่า
กังฟูกระซิบหยอกบู๊ลิ้ม “หล่อมากศิษย์พี่ ลงทุนแบบนี้ จีบไม่ติดก็ให้มันรู้ไป”
เมลดาพูดเสียงดุ “นี่คุณ..สอนเด็กแต่ละอย่างดีๆทั้งนั้น เป็นตัวอย่างที่ดีกับเด็กไม่ได้เหรอไง”
“เอาอีกแล้ว..ถ้าผมมันเป็นพวกตัวอย่างที่ไม่ดีล่ะก็ ถามหน่อยเถอะ ใครคือพลเมืองดีที่ ช่วยกันคุณไม่ให้เข้าไปอยู่ในดงลูกปืน แถมขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
เมลดาชะงักมองกังฟูด้วยความหมั่นไส้
“พอได้แล้วศิษย์น้อง..ศิษย์พี่หมดธุระแล้ว” บู๊ลิ้มบอก
กังฟูยักคิ้วกวนๆให้เมลดาแล้วพากันเดินออกไป เมลดาทำเชอะใส่
เมลดาเดินเข้ามาในบ้านโดยปากก็บ่นไป
เมลดาบ่น “ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย หน้าตาก็ดีแต่ปากอย่างกับกรรไกร”
ชนะเอาข้าวมาวางบนโต๊ะพอดี “งึมงัมๆบ่นอะไร..หึ..เมลดา”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพ่อ” เมลดาดูกับข้าว “โห..เมนูประจำเลยนี่คะ” เมลดายิ้ม “ร้านป้านวลหน้าปากซอย
ด้วยใช่มั้ยคะ ระวังนะพ่อจากร้านอาหารตามสั่งจะเป็นร้านความรักตามใจ”
“นี่..ไม่ต้องมาหาเรื่องจับคู่ให้พ่อเลย เดี๋ยวนั่งกินข้าวแล้ว ลูกต้องเล่ามาให้ละเอียดเลย” ชนะบอก
“เรื่อง?”
“ก็เรื่องที่หนูหลินหลินถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่น่ะสิ ตอนนี้ที่บ้านเจ้าสัวคงวุ่นวายน่าดู”
เมลดาถอนหายใจยาวแล้วหันไปหยิบจานเปล่าตักข้าวจากหม้อหุงข้าวควันฉุยโดยไม่ได้หันไปมองพ่อที่เริ่มมี อาการผิดปกติบริเวณหน้าอก พ่อของเธอหายใจติดขัด หอบถี่ และหน้าเริ่มซีด
เมลดาตักข้าวไปเล่าไป “ก็ต้องวุ่นวายสิคะพ่อ ถึงหลินหลินจะปลอดภัยแล้วแต่ก็ยังไม่หาย ตกใจ ส่วนพวกโจรเรียกค่าไถ่ก็ยังมีพวกที่หนีรอดไปได้อีก ต่อไปนี้ทุกคนในบ้านเจ้าสัว คงต้องระวังตัวกันมากขึ้น”
เมลดาตักข้าวเสร็จหันมาแล้วชะงักเพราะเห็นพ่อยืนหายใจหอบถี่ซวนเซพยุงตัวไม่อยู่ก่อนจะล้มมือปัดจาน อาหารบนโต๊ะหล่นกระจัดกระจาย
เมลดาตกใจ “พ่อ !!”
กังฟูพยายามสตาร์ทรถขายติ่มซำแต่ก็สตาร์ทติดๆดับๆ
“ไอ้ติ่มซำมันเก่าจนจะไม่ไหวอยู่แล้วนะศิษย์น้อง ขยันทำงานมีเงินเก็บตั้งเยอะตั้งแยะ เอามาถอยรถใหม่ดีกว่ามั้ง” บู๊ลิ้มบอก
“อยู่แบบประหยัดมัธยัตถ์ดีกว่าศิษย์พี่ ซ่อมไปใช้ไปไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ” กังฟูว่า
กังฟูบอกบู๊ลิ้มแล้วสตาร์ทจนกระทั่งเครื่องติด
“เห็นมั้ย..ใช้ได้แล้ว” กังฟูตบคอนโซล “ดีมากติ่มซำลูกพ่อ”
ยังไม่ทันที่กังฟูจะแตะคันเร่งขับออกไป เมลดาก็วิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่นตกใจและน้ำตานองหน้าเมลดาขวางหน้ารถไว้
“ช่วยด้วย..ช่วยพาพ่อชั้นไปโรงพยาบาลด้วย” เมลดาบอก
กังฟูกับบู๊ลิ้มเห็นเข้าก็ตกใจ
เมลดานั่งหน้าเครียดน้ำตายังคลอเบ้าเพราะเป็นห่วงพ่ออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน กังฟูกับบู๊ลิ้มนั่งอยู่ใกล้ๆ บู๊ลิ้มสะกิดกังฟูแล้วพยักหน้าสั่ง
“เข้าไปสิศิษย์น้อง”
กังฟูงง “อะไรศิษย์พี่”
“สุภาพบุรุษไง เข้าไปปลอบใจพี่เม เขาจะได้เลิกเกลียดขี้หน้าศิษย์น้อง”
“เพิ่งเจอหน้ากันแค่ 2 ครั้งเอง จะให้ไปปลอบใจอะไรเขาล่ะศิษย์พี่” กังฟูย้อนถาม
“ไปเถอะน่า..ทำเรื่องดีๆเดี๋ยวก็ดูดีมีสกุลขึ้นมาเองแหละ”
บู๊ลิ้มผลักกังฟูให้เข้าไปหาเมลดา กังฟูเซไปเกือบถึงตัวแต่แล้วก็ยืนทำตัวไม่ถูกจนเมลดาหันมามอง
“เอ่อ..ผมว่า..อีกไม่นานหมอก็คงจะออกมาแล้วล่ะ แล้วเขาก็ต้องบอกคุณว่ายินดีด้วย ครับ คุณพ่อของคุณปลอดภัยแล้ว เหมือนเวลาที่เราดูละครไง” กังฟูพูด
เมลดานิ่งมองว่ากังฟูพูดอะไรไร้สาระ
กังฟูหน้าเสียก่อนจะหันไปมองบู๊ลิ้มที่ถึงกับส่ายหน้าว่าไม่ไหวๆ แล้วบู๊ลิ้มก็โบกมือไล่ให้เข้าไปปลอบใจอีกที กังฟูพยักหน้ารับแล้วนึกขึ้นได้เมื่อมองไปเห็นโทรศัพท์สาธารณะที่อยู่ไม่ไกล เลยล้วงเศษเหรียญขึ้นมา
“นี่คุณ..ผมมีเศษเหรียญ เผื่อคุณอยากจะโทรบอกแม่ว่าพ่อคุณเข้าโรงพยาบาล” กังฟูบอก
“แม่ชั้นเสียไปหลายปีแล้ว” เมลดาว่า
กังฟูชะงัก “เอ่อ..ขอโทษครับ งั้นโทรบอกญาติพี่น้อง”
“ชั้นอยู่กับพ่อแค่ 2 คน”
“งั้นคุณก็เหมือนผมเลย ผมก็ไม่มีญาติพี่น้อง ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เกิด อาจารย์หญิงบอก ว่าพ่อแม่ผมตาย ผมก็เลยเป็นกำพร้า หัวอกเดียวกันแบบนี้ เดี๋ยวก็ทำใจได้”
เมลดาลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้ากังฟูด้วยความไม่พอใจทันที “นี่คุณ..พ่อชั้นยังไม่ตาย เขาจะต้องไม่เป็นอะไร”
กังฟูตกใจ “ใจเย็นครับคุณเม ผมไม่ได้แช่งพ่อคุณ ผมแค่อยากปลอบใจ”
“ขอบใจสำหรับความหวังดี ขอบใจที่ช่วยพาพ่อมาส่งโรงพยาบาล แต่ถ้าอยากปลอบใจ ชั้น ก็อย่าพูดอะไรเลยดีกว่า”
เมลดาบอกกังฟูแล้วหันไปมองที่ประตูห้องฉุกเฉินน้ำตาซึม กังฟูหน้าจ๋อยเดินคอตกหงอยๆ กลับมาที่บู๊ลิ้ม
“เฮ้อออ..เก่งทุกเรื่องยกเว้นอยู่เรื่องเดียวอ่ะศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มว่า
ระหว่างนั้นหมอก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน เมลดารีบเข้าไปถามอาการของพ่อทันทีกังฟูเห็นเมลดาคุยกับหมออยู่สองสามประโยค สีหน้าหมอดูเคร่งเครียด
ขณะที่เมลดาตกใจหน้าเสีย เพราะข่าวร้ายจากอาการที่ตรวจพบแล้วรีบเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที
อ่านต่อหน้า 4
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 1 (ต่อ)
เมลดารีบเข้ามาหาพ่อที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยยังไม่รู้สึกตัว เมลดาจับมือพ่อมากุมแล้วร้องไห้เสียใจ กังฟูกับบู๊ลิ้มเดินตามเข้ามาพร้อมกับหมอก็เห็นเมลดาจับมือพ่อร้องห่มร้องไห้ดูแล้วน่าเวทนาสงสาร
กังฟูหันไปถามหมอ “เกิดอะไรขึ้นกับพ่อคุณเมเหรอครับหมอ”
“หมอตรวจพบมะเร็งปอด อาการอยู่ในระยะสุดท้ายแล้วครับ” หมอบอก
กังฟูกับบู๊ลิ๊มชะงักด้วยความตกใจ
ณ ตรอกโรงงิ้ว บริเวณตลาดของชุมชนชาวตรอกที่มีร้านค้าหลายร้าน ชาวบ้านในตรอกกำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ กังฟูพาบู๊ลิ้มเดินมาตามทางเพื่อจะไปส่งบ้าน แต่บู๊ลิ้มบ่นอุบ
“เดี๋ยวแวะหาอะไรกินก่อนนะศิษย์น้อง ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย...หิวจัง”
“กลับไปกินที่บ้านแล้วกัน ศิษย์น้องรับปากอาจารย์หญิงว่าจะไปรับพี่พายุ” กังฟูบอก
“ไปทันอยู่แล้วไม่ต้องห่วงหรอก” บู๊ลิ้ม
บู๊ลิ้มไม่สนใจเดินไปนั่งที่เก้าอี้ร้านข้างทาง กังฟูส่ายหน้าแล้วตามเข้าไปนั่ง
“เออ..จะว่าไปนะศิษย์น้อง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของพี่เมขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะน่าสงสาร เขามาก ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง..ชีวิตอาภัพเหมือนศิษย์น้องไม่มีผิด”
ระหว่างนั้น ‘เจ๊ยี้’ หญิงเจ้าของร้านขายน้ำเต้าหู้วัย 40 ก็เดินเข้ามายืนเท้าสะเอวจ้อง
“อาบู๊ลิ้ม..อากังฟู..นี่ไม่ใช่ร้านกาแฟให้พวกลื้อมานั่งแช่เล่นกัน ถ้าพวกลื้อไม่สั่งน้ำเต้า หู้อั้ว..ก็ไปนั่งที่อื่น..ไป..ชิ้วๆ”
“โห..เจ๊ยี้ งกไปมั้ยเนี่ย แค่นั่งตูดไม่ทันร้อนเจ๊ก็มาแว้ดๆๆใส่แล้ว” กังฟูบ่น
“ลื้อเห็นป้ายร้านอั้วใช่มั้ย..เขียนว่าอะไร” เจ๊ยี้ถาม
กังฟูอ่านป้าย “เล้งยี้ น้ำเต้าหู้หมวยแซ่บ”
“ถูกต้องอั้วยังเป็นอาหมวยไม่ใช่อาซิ้ม..พวกลื้อจะสั่งอะไร..รีบสั่ง ก่อนที่พวกลื้อจะโดนหมวยแซ่บสั่งสอน !!”
“แหม..แค่นี้ก็ทำดุ..เหมือนเดิมแล้วกันครับเจ๊ ใส่ทุกอย่างเพิ่มฟองเต้าหู้” บู๊ลิ้มสั่ง
“ผมก็เหมือนเดิมครับเจ๊” กังฟูสั่งตาม
“ก็แค่นั้นแหละ..ชิ” เจ๊ยี้บอก
เจ๊ยี้เดินกลับไปแต่ยังไม่ทันจะตักน้ำเต้าหู้ใส่ชาม พวกแม่ค้าและชาวบ้านก็พากันแตกตื่นทิ้งร้านส่งเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น ? มีอะไรกัน ?” เจ๊ยี้สงสัย
“เมียเฮียป้อไม่ไหวแล้ว..อีใกล้จะซี้แหงแล้ว”
เจ๊ยี้ กังฟูและบู๊ลิ้มได้ยินก็พากันตกใจ
เจ๊ยี้ กังฟูกับบู๊ลิ้มมาสมทบกับพวกชาวบ้านที่กำลังจับกลุ่มมุงหน้าบ้าน ‘เฮียป้อ’ ชายเชื้อสายจีนวัย 45 ซึ่งกำลังร้องไห้ฟูมฟายจับมือเมียอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังหายใจรวยรินเพราะอาการป่วยเรื้อรังมานาน
“อาดอกท้อ..ลื้อแข็งใจไว้นะ อย่าเพิ่งทิ้งอั้วไป อั้วเรียกรถพยาบาลมาแล้ว อย่าเพิ่งขี้เกียจ หยุดหายใจนะอาดอกท้อ” เฮียป้อบอก
“ฮะ..เฮีย..เฮีย..อั้ว..อั้วไม่ไหวแล้ว เฮีย..เฮียต้องสัญ...สัญญากับอั้วนะ” ดอกท้อละลักละล่ำ
“ลื้อจะให้อั้วทำอะไร” เฮียป้อถาม
“รับปากอั้วว่าเฮีย..เฮียจะไม่..ไม่..ไม่มีเมีย..เมีย..ใหม่” ดอกท้อบอก
ดอกท้อหายใจเฮือกใหญ่แล้วตาค้างแข็งก่อนจะสั่งเสียจบร่างก็ชักกระตุกแล้วแน่นิ่งไป
เฮียป้อตะโกนลั่น “อาดอกท้อ !!!”
เฮียป้อกอดร่างเมียร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ บรรยากาศเศร้าสลดขึ้นมาทันที กังฟู เจ๊ยี้และบู๊ลิ้มค่อนข้างสนิทสนมกับเฮียป้อเพราะเป็นชาวบ้านในตรอกเดียวกันมานานเลยเข้าไปปลอบใจ
“เฮียป้อครับ” กังฟูเรียก
“อากังฟู เมียอั้วยังไม่ตาย อั้วเรียกรถพยาบาลไปตั้งนานแล้ว ป่านนี้ยังไม่มาเลย ลื้อไปดู ให้อั้วหน่อยได้มั้ย” เฮียป้อบอก
“ผมไปดูให้เองดีกว่าครับเฮียป้อ” บู๊ลิ้มบอก
“ขอบใจนะบู๊ลิ้ม” เฮียป้อบอก
บู๊ลิ้มรีบเดินออกไป เฮียป้อยังกอดร่างเมียไม่ยอมปล่อยกลายเป็นภาพที่น่าสลด เจ๊ยี้รีบดันกังฟูให้หลบทางเพราะ
เห็นว่าเป็นโอกาสงาม เจ๊ยี้เข้าไปจับมือเฮียป้อมากุมแล้วพยายามปลอบใจเอาหน้าสุดฤทธิ์
“เฮียป้อขา น้องยี้เสียใจด้วยจริงๆ น้องยี้เห็นใจเฮียเหลือเกิน แต่ทุกชีวิตเกิดมาแล้วก็ต้อง มีดับ คิดซะว่าอาดอกท้อไปดี ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเพราะโรคประจำตัวอีกแล้ว”
เฮียป้อซึ้งใจ “อา..อายี้”
“โอ๋..มามะเฮีย..มาให้ยี้ปลอบใจนะเฮียป้อของน้องยี้..เอ้ย..เฮียป้อคนดี”
เจ๊ยี้ได้โอกาสดึงเฮียป้อมาซุกอกปลอบใจสุดฤทธิ์ แต่จังหวะนั้นเองอยู่ๆดอกท้อก็สะดุ้งเฮือกแล้วพูดเสียงดัง
“เฮียป้อ !!!”
กังฟูกับเจ๊ยี้ตกใจร้องเสียงหลงพร้อมกัน “เย้ยย !!”
“อาดอกท้อ..ลื้อ..ลื้อยังไม่ตาย” เฮียป้อดีใจ
“เฮีย..เฮียยัง..ยังไม่รับ..รับปาก..อั้ว” ดอกท้อว่า
“เฮียรับปาก..ลื้อจะให้เฮียทำอะไร เฮียสัญญาทุกอย่าง”
“ดี..ดีมากเฮีย..” ดอกท้อหันไปที่เจ๊ยี้ “อา..อายี้..ลื้อ..ลื้อเป็นเพื่อนอั้ว ลื้อต้องช่วยดู..ดูผัวอั้วด้วย อย่า..อย่าให้มีเมียใหม่เด็ด..เด็ดขาด”
“หา..เอ่อ..อั้ว..อั้วทำไม่ได้หรอกอาดอกท้อ” เจ๊ยี้ว่า
ดอกท้อคว้ามือเจ๊ยี้มาบีบแน่นแล้วมองตาเขม็ง “งั้นอั้วไม่เก็บค่าเช่าร้านลื้อตลอดชีวิต ลื้อทำได้มั้ย”
“เอ่อ..งั้น..งั้นก็ได้” เจ๊ยี้พูดแต่แอบเอามือไขว้นิ้วอุบอิบไว้ข้างหลัง
“งั้น..งั้นอั้วก็ตาย..ตายตาหลับเลี้ยว”
ไม่ทันขาดคำดอกท้อก็คอพับตายคาที่จริงๆ
เฮียป้อตะโกนลั่น “อาดอกท้อ !!!”
กังฟูรีบเข้าไปตรวจลมหายใจและจับชีพจร “เฮีย..คราวนี้อาซ้อตายจริงๆแล้ว”
เจ๊ยี้ถามย้ำ “ตายจริงๆนะกังฟู”
กังฟูพยักหน้ารับ “ตายจริงๆเจ๊”
เจ๊ยี้ปากแบะบีบน้ำตาเล่นละครสุดฤทธิ์ “ฮือๆๆ เฮียป้อ..อั้วสงสารเฮียเหลือเกิน
เจ๊ยี้ดึงเฮียป้อมากอดมาซบผสมโรงร้องไห้ แถมกอดแน่นไม่ยอมปล่อย แต่กลับมองศพดอกท้อโดยมีรอยยิ้ม
ม้านั่งพักผ่อนบริเวณคณะงิ้ว เฮียเก้ากับเฮียหลอนั่งกอดอกนิ่งอย่างกับรูปปั้น สายตาจับจ้องที่กระดานหมากรุกจีนตรงหน้า ทั้งคู่ต่างใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อเอาชนะกันบนกระดาน
ระหว่างนั้นแมลงวันตัวหนึ่งบินวนเวียนผ่านเข้ามาส่งเสียงดังหึ่งๆ รบกวนสมาธิ เฮียหลอหรี่ตามองแมลงวันแล้ว หยิบเม็ดก๊วยจี๋ในถ้วยที่ใช้กินแกล้มเล่นหมากรุกดีดใส่ด้วยวรยุทธ์ เสียงแมลงวันที่น่ารำคาญเงียบไป เฮียหลอยิ้มมุมปากเท่ๆแล้วจะเดินหมากที่คิดไว้ แต่เสียงแมลงวันดังขึ้นอีก เฮียหลอชะงักแล้วคว้าเม็ดก๊วยจี๊ขึ้นมาดีดใส่อีกเม็ด แต่คราวนี้เสียงแมลงวันไม่เงียบกลับดังหึ่งๆ ไม่หยุดยิ่งสร้างความรำคาญมากกว่าเดิม เฮียหลอเลยคว้าเม็ดก๋วยจี๋มาเป็นกำแล้วระดมดีดใส่ไม่หยุด
เสียงแมลงวันเงียบไป เฮียหลอยิ้มชอบใจแล้วหันไปสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นหน้าเฮียเก้ามีเม็ดก๋วยจี๋แปะอยู่เต็มหน้า
“เย้ยย !!”
“ไอ้หลอ..ถ้าเหล้าไม่เข้าปาก วรยุทธ์ลื้อมันก็แค่เด็กอ่อนหัด” เฮียเก้าว่า
เฮียเก้าเอามือลูบหน้าปัดเม็ดก๋วยจี๋ออกจนหมด เสียงแมลงวันดังหึ่งๆ ขึ้นมาอีก
“งั้นถ้าลื้อคิดว่าวรยุทธ์ลื้อแน่กว่าอั้ว..ลื้อก็จัดการสิวะไอ้เก้า”
เฮียเก้ายิ้มรับเท่ๆ “จับตาดูวรยุทธ์อั้วให้ดีแล้วกันไอ้หลอ”
เสียงแมลงวันบินรบกวนหึ่งๆๆ เฮียเก้านั่งนิ่งไม่ขยับ สายตาของเขานิ่งเหมือนกำลังเรียกใช้วรยุทธ์ขั้นสูง ทันใดนั้นเขาก็คว้าไม้ตีแมลงวันขึ้นมาจากข้างตัวแล้วฟาดดังผัวะ !!
เฮียหลอสะดุ้ง “เฮ้ย !! วรยุทธ์อะไรของลื้อวะเนี่ย”
“เพลงดาบไม้ตีแมลงวัน อันละ 5 บาทหาซื้อได้ตามตลาดนัดทั่วไป ส่วนหมากในกระดานนี้ ลื้อก็แพ้อั้วแล้ว”
เฮียหลอมองที่กระดานแล้วตกใจเพราะหมากโดนล้อมจนหมดทางรุก
“เฮ้ย..ลื้อโกงอั้ว..ไม่ลง ไม่เล่นมันแล้วโว้ย”
เฮียเก้าปัดหมากกระจายแล้วลุกเดินออกไปทันทีอย่างหัวเสีย
เฮียหลอเดินหัวเสียกำลังจะมาหยิบไหเหล้าหมักที่ตัวเองหมักไว้กินเอง เฮียเก้ารีบเดินตามมา
“เดี๋ยวสิวะไอ้หลอ ลื้อแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ ไม่ใช่ทำตัวเป็นอันธพาลเดินหนีมาแบบนี้” เฮียเก้าว่า
“ลื้อจะเอาอะไรกับอั้ว เงินเดือนออกเมื่อไหร่ อั้วให้ลื้อแน่ไม่ต้องตามมาทวง” เฮียหลอบอก
“อั้วไม่ได้ตามมาทวงเงินลื้อ แต่ไม่พอใจที่ลื้อแก่จนหัวจะหงอกหมดกะบาลแล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆ ขี้แพ้ชวนตี ไอ้จิวแป๊ะทง”
“เฮ้ย !! มาว่าอั้วเป็นไอ้เฒ่าทารก แล้วลื้อล่ะหนุ่มกว่าอั้วนักเหรอไง” เฮียหลอบอก
“อั้วไม่เถียงว่าอั้วก็แก่ แต่อั้วก็ยังดีกว่าลื้อ เพราะลื้อมันสันดานแบบนี้ไง เมียลื้อถึงได้หอบลูกหนีลื้อไป”
เฮียหลอชะงักด้วยความไม่พอใจ “ไอ้เก้า..ถ้ายังนับถือกันเป็นสหาย ลื้ออย่าพูดเรื่องนี้อีก”
“ทำมาเป็นยอมรับไม่ได้ ต่อให้ลื้อเอาน้ำทั้งแม่น้ำมาต้มเหล้ากิน มันก็ไม่ได้ช่วยให้ลื้อลืม ความจริงได้หรอก ว่าลื้อมันหยำเปจนไม่มีใครเอา”
เฮียหลอโกรธจัด “ไอ้..ไอ้เก้า ลื้อยั่วโมโหอั้วเกินไปแล้ว”
เฮียหลอโกรธจัดหันไปคว้าไหเหล้าที่ต้มเอาไว้ขึ้นมายกกระดกซดเอาๆ เฮียเก้าเห็นเข้าก็ชะงัก
“ไอ้หยา..หาเรื่องแล้วเรา มันเอาจริงนี่หว่า”
เพล้ง ! เฮียหลอกระดกเหล้าจนหมดไหแล้วเหวี่ยงทิ้งจนแตกกระจาย เฮียเก้าแก้มแดงก่ำ หน้ากึ่มๆ อย่างเอาเรื่อง
รถแท๊กซี่คันหนึ่งจอดที่หน้าประตูคณะงิ้ว ‘พายุ’ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำ สูง เท่ และแต่งตัวเสื้อผ้าอย่างดีตามยุคสมัยนั้น พายุสวมแว่นดำอย่างเท่ก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าเดินทาง รถแท๊กซี่ขับออกไป พายุกำลังจะก้าวเข้าคณะงิ้วแต่ชะงักเท้าเพราะเกือบเหยียบแอ่งน้ำสกปรก
“เกือบไปแล้ว..ไม่อยากกลับมาก็เพราะอย่างนี้แหละ” พายุว่า
พายุเงยหน้ามองคณะงิ้วที่อย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินต่อ ทันใดนั้นประตูคณะงิ้วก็ถูกกระแทกออกมาอย่างแรง เฮียเก้ากระเด็นมาชนพายุจนล้มลงไปคาแอ่งน้ำสกปรก เสื้อผ้าอย่างดีราคาแพงเลอะเทอะ
“เฮ้ย !! อะไรกันวะเนี่ย”
เฮียเก้าไม่ได้สนใจพายุเพราะกำลังเจ็บและจุก เฮียหลอตามเข้ามาในสภาพโซซัดโซเซด้วยเชิงมวยหมัดเมา
“ไอ้หลอ..อั้วเตือนเพราะยังเห็นลื้อเป็นสหายนะเว้ย ไม่อยากเห็นลื้อแก่ตายเป็นหมาข้าง ถนนไม่มีคนเหลียวแล” เฮียเก้าบอก
เฮียหลอตาปรือแก้มแดงเดินเป๋เซไปเซมาแบบเมาไม่รับรู้ไม่สนใจ เขาเข้าไปใช้เพลงมวยหมัดเมาเล่นงานอีก แต่คราวนี้ เฮียเก้าใช้วิชามวยสายเส้าหลินของตัวเองตั้งรับตอบโต้กลับรับได้ทุกกระบวนท่า การต่อสู้สนุกดุเดือด
พายุหัวเสีย “เลิกตีกันได้แล้ว เสื้อผ้าแพงๆผมเสียหายหมด เพราะฝีมือพวกอาจารย์อาเนี่ยเห็นมั้ย !”
สองเฮียรุ่นเก๋าไม่สนใจยังซัดหมัดใส่กันพันตู พอพายุจะเข้าไปห้ามก็โดนหมัดลูกหลงของเฮียหลอซัดเข้าหน้า พายุโดนลูกเตะของเฮียเก้าซัดเข้าตัวจนกระเด็นออกไป รอยบาทาเปรอะที่อกเสื้อราคาแพงของพายุอีก
พายุฉุนจัด “รู้มั้ยว่าเสื้อตัวนี้ราคาเท่าไหร่..ถ้าห้ามไม่ฟัง ได้เห็นดีกันแน่”
พายุโกรธจนไม่นับถือผู้หลักผู้ใหญ่ตั้งท่าเพลงมวยที่ไปฝึกมาจากเมืองจีนสายทางมวยหย่งชุนบุกเข้าไปพันตูเล่นงานทั้งเฮียหลอและเฮียเก้าจนทั้งคู่ถูกจับแยกกันโดยอัตโนมัติ พายุซัดหมัดหนักๆเน้นๆ ใส่เฮียหลอที่ไม่ทันตั้งตัว หมัดคู่กระแทกเข้าหน้าอกจนเฮียหลอกระเด็นไปกระแทกผนังแล้วลงไปทรุดสลบเหมือด เฮียเก้าเห็นเพลงมวยของพายุก็ชะงัก พายุเลยได้ทีเข้าไปซัดเพลงมวยใส่ เฮียเก้าตั้งรับได้สองสามเพลงมวยก็รู้สึกได้ถึงพลังอันหนักหน่วงของเพลงมวยที่พายุใช้ซึ่งมันผิดไปจากเดิม
ระหว่างนั้นฮูหยินกับเฮียเฉินได้ยินเสียงโครมครามก็ออกมาดู พายุหันไปเห็นพอดีเลยรีบเล่นละครตบตาแกล้งยื่นหน้าเข้าไปรับหมัดของเฮียเก้าเต็มๆจนกระเด็นล้มเลือดกลบปาก
ฮูหยินตกใจ “ว๊ายย ตายแล้ว พายุ !!”
พายุทำสำออยว่าเจ็บ “อาจารย์แม่ครับ..โอ้ย”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย พวกลื้อว่างงานกันมากเหรอไงถึงได้ตีกันจนลูกอั้วต้องมาเจ็บตัวไป ด้วยแบบนี้” ฮูหยินว่า
เฮียเก้านิ่งไปไม่พูดอะไรเพราะเห็นแล้วว่าพายุกำลังสำออยใส่ฮูหยิน เลยเดินพยุงเฮียหลอที่หมดสติไป
“เฮียเก้า..อั้วยังคุยกับเฮียไม่จบนะ”
“ไม่เอาน่า..พาไอ้พายุเข้าบ้านก่อนดีกว่า..ไปๆๆ”
ฮูหยินช่วยพยุงพายุที่ออกอาการออเซาะสุดฤทธิ์
ฮูหยินเอากล่องปฐมพยาบาลมาช่วยป้ายยาที่มุมปากที่แตกให้พายุ
“โอ้ย..แสบๆๆครับอาจารย์แม่” พายุร้อง
“นิดเดียว..เดี๋ยวก็หาย” ฮูหยินว่า
“ครับ..แต่อาจารย์แม่อย่าไปว่าอาจารย์อาทั้งสองเลยนะครับ ผมต่างหากที่ดันไม่ดูตาม้า ตาเรือ คิดแต่จะเข้าไปห้ามไม่ให้เขาทะเลาะกัน”
“แต่พวกอาจารย์อาของลูกก็ไม่ไหว เล่นหมากรุกด้วยกันทีไร เป็นต้องลงไม้ลงมือกันทุกที” ฮูหยินค้อนใส่ผัว “เฮียต้องไปเตือนพวกคู่หูของเฮียด้วยนะ”
“อ้าว..ทำไมต้องมาลงที่เฮียด้วยล่ะเมียจ๋า พวกมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่หนุ่มๆ ไม้แก่น่ะ ยังไงก็ดัดยาก ให้เฮียชักแม่น้ำฮวงโหมาพูดพวกมันก็ไม่ฟังหรอก”
“ก็ได้เฮีย..ถ้าไม้แก่มันดัดยากนัก ชั้นจะดัดไม้อ่อนไว้คอยสั่งสอนไม้แก่ วรยุทธ์ทุกอย่าง ของสำนักเรา ชั้นจะทยอยถ่ายทอดให้พายุให้หมด”
เฮียเฉินชะงัก “เมียจ๋าแต่ว่ากฏสำนักเราต้องเป็นบู๊ลิ้มสายเลือดเราเท่านั้นนะ”
“ชั้นรู้ แต่ก็เพราะเฮียนั่นแหละ..ถ้าน้ำยาของเฮียออกฤทธิ์ตั้งแต่หนุ่มๆ ป่านนี้บู๊ลิ้มก็โตพอ ที่จะได้รับการสืบทอดแล้ว”
“อ้าว..มาโทษน้ำยาเฮียซะงั้น”
“ก็มันใช่มั้ยล่ะ..ขยันแต่แจกน้ำยาคนอื่น แต่กับเมียตัวเอง..ไม่ได้เรื่อง !!”
“อาจารย์แม่ครับ อย่าทะเลาะกันเลย กฏของสำนักเป็นยังไงก็ต้องให้เป็นตามนั้น”
“ไม่เป็นไรหรอก แม่เป็นผู้สืบทอดมรดกของบรรพบุรุษ สิทธิ์ขาดอยู่ที่แม่เป็นคนตัดสินใจ เพราะเห็นว่าลูกมีความพร้อมทุกด้าน ยิ่งเรียนจบสูงๆกลับมา แม่ก็ยิ่งมั่นใจว่าลูกจะรับ ช่วงกิจการจากแม่ไปดูแล”
“ผมจะพยายามครับอาจารย์แม่”
“ลูกทำได้อยู่แล้ว..เออ..แล้วนี่กลับมายังไงล่ะ แม่ให้กังฟูไปรับไม่ใช่เหรอ”
ฮูหยินถามพายุด้วยสีหน้าสงสัย
ณ ย่านชุมชมคนจีน กังฟูนั่งคุกเข่ารับผิดต่อหน้าฮูหยินเหมือนเดิมอยู่ที่โถงด้านหน้า
บู๊ลิ้มพยายามช่วยอธิบาย “เป็นความผิดของผมเองครับแม่ อย่าลงโทษศิษย์น้องเลย เพราะผมเป็นต้นเหตุ ศิษย์น้องก็เลยไม่ได้ไปรับพี่พายุ”
“ต้นเหตุอะไร ?” ฮูหยินถาม
“เอ่อ..คือ..ผมโดดเรียนครับ ศิษย์น้องก็เลยไปตามผมจนเสียเวลาทั้งวัน แถมพอพากลับ มาส่งบ้านก็ยังเจอเรื่องเมียเฮียป้อตายกระทันหันอีก..แม่ควรลงโทษคนที่เป็นต้นเหตุ”
ฮูหยินอึ้งไป “กังฟู..จริงรึเปล่า”
กังฟูนิ่งไปครู่นึงแล้วหันไปมองบู๊ลิ้มที่พยักหน้าให้บอก “จริงครับอาจารย์หญิง”
“แม่อุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนดีๆแพงๆ แต่ลูกกลับรักดีไม่ได้ครึ่งของพี่พายุเขาเลย คราวนี้ลูกโดนคาดโทษหนักแน่ ส่วนกังฟูก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องรับผิด ถ้าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังรับผิดชอบไม่ได้ แล้วต่อไปจะฝากฝังให้ช่วยพายุดูแลคณะงิ้วนี้ได้ยังไง”
“ผมว่าตักเตือนศิษย์น้องแค่นี้ก็พอแล้วล่ะครับ โตๆกันแล้ว จะมานั่งลงโทษกันเหมือนที่ ผ่านมาก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าเข็ดจริงก็คงจำไปนานแล้ว”
ฮูหยินถอนใจยาว “แม่ล่ะเหนื่อยใจจริงๆ ถ้าต่อไปคณะงิ้วเราไม่ได้หากินได้ง่ายๆเหมือนสมัยนี้ เกิดหมดทางทำมาหากินกันขึ้นมา แล้วคนรุ่นหลังอย่างพวกเธอจะทำยังไง”
“งั้นเปลี่ยนจากคณะงิ้วแล้วใช้วิชาวรยุทธ์ของสำนักเปลี่ยนเป็นคณะกายกรรมแทน เหมือนอย่างเส้าหลินไงครับแม่”
ฮูหยินโกรธขึ้นมาทันที “บู๊ลิ้ม !! กฏเหล็กข้อแรกของสำนักฟ้าดินคืออะไร”
บู๊ลิ้มชะงักหน้าจ๋อยก่อนตอบ “ห้ามแสดงวรยุทธ์ต่อหน้าคนนอกเด็ดขาดครับแม่”
“รู้แล้วยังออกความเห็นแบบนั้นอีก..แม่ว่าลูกชักจะเหลวไหลตามกังฟูเข้าไปทุกวันแล้ว เข้าบ้านไปเดี๋ยวนี้..ไป !!”
บู๊ลิ้มหน้าจ๋อยเดินคอตกเข้าไปในบ้าน ฮูหยินหันมาที่กังฟูอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ผมว่าวันนี้อาจารย์แม่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนเถอะครับ กับกังฟูผมจะดูให้เอง” พายุบอก
ฮูหยินพยักหน้ารับ “ก็มีแต่พายุนี่แหละ..ที่ทำให้แม่หายเหนื่อย แม่ฝากศิษย์น้องด้วยแล้วกัน”
ฮูหยินเดินตามบู๊ลิ้มเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้พายุมองกังฟูแล้วยิ้มแบบดูมีเลศนัย
ห้องพักเฮียหลอที่มีแค่เตียงเก่าๆกับข้าวของเครื่องใช้ไม่กี่อย่าง นอกนั้นก็มีแต่ไหเหล้าที่หมักเอาไว้ เฮียหลอยังนอนหมดสติอยู่ที่เตียง เฮียเก้าเอาอ่างน้ำพร้อมผ้าชุบน้ำมาช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้แล้วปลดกระดุมเสื้อเพื่อจะเช็ดตัว แต่เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อเห็นรอยช้ำจากสองหมัดที่พายุเล่นงานใส่เฮียหลอ
ภาพการต่อสู้ที่เฮียหลอโดนเพลงมวยของพายุ และเฮียเก้าได้ปะทะมวยกับพายุก่อนที่พายุ จะเล่นละครตบตาหลอกฮูหยินย้อนกลับมา
เฮียเก้านั่งคิดด้วยความสงสัย เป็นจังหวะที่เฮียหลอรู้สึกตัว พอเห็นตัวเองถูกจับถอดเสื้อเฮียหลอก็ตกใจ
“เฮ้ย !! นี่ลื้อทำอะไรอั้ววะไอ้เก้า คิดจะลวนลาม แตะอั๋งอั้วเหรอไงวะ”
เฮียหลอรีบถอยเอามือกอดอกปิดหัวนมอย่างกับสาวน้อยบริสุทธิ์ที่กำลังถูกไอ้หื่นลวนลาม
เฮียเก้าตกใจ “เฮ้ย !!..อั้วเปล่านะเว้ย อั้วช่วยเช็ดตัวให้ลื้อรีบๆฟื้นต่างหาก”
“ก็อั้วไม่ไว้ใจลื้อนี่หว่า..อายุปูนนี้แล้วเห็นลื้อยังไม่แต่งงาน ไม่มีเมียกับเขาสักที”
“ที่อั้วไม่แต่งงานเพราะอั้วยังหาแม่นางถูกใจอั้วไม่ได้เว้ย ไม่เหมือนลื้อหรอก..มีเมียดีๆ อยู่ทั้งคนแต่กลับ..”
เฮียหลอชี้หน้า “พอเลยไอ้เก้า..ถ้ายังขุดเรื่องอั้วมาพูดอีก..มีมวยรอบสองแน่”
“ถุย..ไอ้หลอ หมาเห่า ดูสภาพลื้อตอนนี้ซะก่อนเถอะว่าโดนอะไรมา ไม่ใช่เมาจนไม่รู้เรื่อง”
เฮียหลอชะงักเพราะนึกได้ว่ายังเจ็บระบมเลยก้มมองหน้าอกตัวเองเพื่อดูรอยช้ำที่เกิดจากหมัด
กังฟูเดินตามพายุมาตามทางเดินด้วยความสงสัย
“ศิษย์พี่จะไปไหน” กังฟูถาม
“ออกมาจากคณะงิ้วแล้ว ไม่ต้องมาเรียกชั้นแบบนั้น อายุเราก็เท่ากัน ส่วนไอ้เรื่องที่แม่จะ ให้ชั้นลงโทษแก ยืนแบกถังน้ำ นั่งยองถ่างขามีธูปลนตูด...ไร้สาระหมดยุคไปแล้ว” พายุว่า
“แต่ว่า..”
“เอาเป็นว่าแกติดหนี้ชั้นดีกว่า ถ้าคอยฟังคำสั่งชั้น ทำตามทุกอย่างที่ชั้นบอก ชั้นจะช่วย ไม่ให้แกโดนอาจารย์หญิงด่าอีก โอเคมั้ยกังฟู”
กังฟูมีสีหน้าไม่ค่อยเห็นด้วยและไม่ทันจะตอบอะไร รถเก๋งสปอร์ตคันสวยก็แล่นมาจอดตรงหน้า
“รถของชั้นมาแล้ว”
กังฟูงง พายุยิ้มกวนๆไม่ตอบอะไรแล้วมือไวล้วงกระเป๋าตังค์กังฟูออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว
“รายได้จากธุรกิจติ่มซำข้างถนนของแกนี่มันอู้ฟู่เหมือนเดิมนะ ชั้นขอยืมไปจ่ายค่าเช่ารถ คันนี้ก่อนแล้วกัน” พายุว่า
พายุควักแบงค์หลายใบจากกระเป๋าตังค์กังฟูแล้วโยนกระเป๋าตังค์คืนให้ก่อนจะเดินไปจ่ายให้คนขับรถที่เอารถมาส่ง พายุลูบๆคลำรถสปอร์ตคันสวยอย่างพอใจ ในขณะที่กังฟูยังงงอยู่
“ไม่ต้องยืนงง..ชั้นไม่ได้อยู่เมืองไทยมาหลายปี คิดถึงบรรยากาศเก่าๆว่ะ ขึ้นรถเร็ว !!”
กังฟูนิ่งมองพายุที่กวักมือเรียก ขณะที่พายุแตะคันเร่งรถเบิ้ลเครื่องเสียงดัง
เฮียหลอเอาเสื้อมาสวมแต่ยังเปิดหน้าอกทำให้เห็นรอยช้ำ
“จะเป็นฝีมือของไอ้พายุได้ยังไง ลื้ออย่ามามั่วตอนอั้วเมาไม่รู้เรื่องดีกว่า ถึงอาซ้อจะสอน วรยุทธ์ให้มัน แต่ก็ยังห่างชั้นกับพวกเราเยอะ” เฮียหลอว่า
“นั่นมันก่อนที่อาซ้อจะส่งเสียให้ไอ้พายุไปเรียนเมืองจีน มันอาจจะไปแอบเรียนวิชาจาก สำนักอื่นมาก็ได้” เฮียเก้าบอก
“แต่นั่นผิดกฏสำนัก มันจะกล้าทำได้ยังไง ยิ่งถ้าอาซ้อรู้เรื่องเข้ามีหวังโดนขับออกจากที่นี่แน่ อั้วว่าบังเอิญมากกว่า ลื้อชกอั้วแล้วมันก็มาซ้ำพอดี อู้ยยย...พูดไปแล้วจุก”
เฮียหลอบ่นแล้วหันไปคว้าไหเหล้ามาเปิดฝาดมกลิ่นอันได้ที่
“กลิ่นแบบนี้..แสดงว่าได้ที่..แก้ฟกช้ำได้ผล..ฮ่าๆๆ”
เฮียหลอถือไหเหล้าเดินออกไป แต่เฮียเก้ายังมีสีหน้าครุ่นคิดสงสัย
“ไอ้หลอ..ลื้อมันดีแต่เมา ถ้าที่อั้วสงสัยมันเป็นเรื่องจริง เห็นทีลูกเสือลูกพยัคฆ์ที่อาซ้อกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้สำนักเรา คงไม่ได้มีแค่คนเดียว”
ชนะยังนอนหลับพักอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น เมลดานั่งเฝ้าข้างเตียงจับมือพ่อมากุมด้วยความเป็นห่วง ระหว่างนั้นเมฆาก็เดินเข้ามา
“เมลดา..คุณอาเป็นยังไงบ้าง” เมฆาถาม
“หมอให้อยู่โรงพยาบาล เพราะต้องรอดูอาการวันต่อวันค่ะ” เมลดาตอบ
“โธ่คุณอา..ผมขอโทษที่กว่าจะมาได้ก็มืดค่ำแล้ว พอดีมีงานที่ผมติดพันอยู่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ..ชั้นเข้าใจ”
เมลดาพูดไปก็มองพ่อแล้วน้ำตาคลอเบ้าอย่างเสียใจ เมฆาเข้าไปโอบไหล่แล้วดึงเธอเข้ามาปลอบใจ
“ผมรู้จักหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งหลายคน ผมรับปากว่าจะช่วยพ่อคุณให้ได้”
“ขอบคุณมากค่ะคุณเมฆา แต่หมอบอกว่าอาการของพ่อจะอยู่ได้แค่...” เมลดาบอก
“เมลดา..เชื่อมั่นในตัวผม..ผมจะพาคุณผ่านเรื่องร้ายๆนี้ไปให้ได้”
เมลดานิ่งมองเมฆาที่พยายามให้กำลังใจเธอ เขาจับมือเธอมาแตะหน้าอกตัวเขาเองจนเธอพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ..คืนนี้ผมว่าคุณกลับไปพักผ่อนดีกว่า อย่าเฝ้าอยู่ที่นี่เลยเดี๋ยวจะป่วยไปอีกคน”
เมฆาบอก เมลดานิ่งมองเมฆา
ไม่นานต่อมาเมฆาพาเมลดาเข้ามาส่งถึงในบ้าน
“แน่ใจนะว่าคุณอยู่คนเดียวได้ ไปค้างบ้านผมดีกว่า ผมจะได้ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วง”
“ชั้นอยู่ได้ค่ะคุณเมฆา ที่นี่เป็นบ้านที่ชั้นโตมานะคะ สมัยที่พ่อออกไปตระเวณชกมวย ชั้นก็อยู่คนเดียวบ่อยๆ”
“แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่เรื่องความปลอดภัย ผมห่วงเรื่องสภาพจิตใจคุณด้วย”
เมฆานิ่งมองเมลดาแล้วขยับเข้าไปใกล้จนใบหน้าแทบชิด เขาใช้มือปัดไรผมและสบตาเธอตลอด
“ยิ่งคุณคือผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกผมในอนาคต ผมยิ่งต้องใส่ใจดูแล ทุกครั้งที่คุณ ห่างสายตาผม ผมก็ยิ่งเป็นห่วง”
คำหวานของเมฆาทำหัวใจเมลดาเต้นตึกตัก เมฆาได้โอหาสค่อยๆหอมหน้าผากแล้วลดลงมาจนเกือบจะจูบปาก
“คืนนี้ผมค้างกับคุณที่นี่แล้วกัน ผมจะได้ดูแลคุณในอ้อมแขนผม”
เมฆาหยอดสุดฤทธิ์เพราะหวังได้ตัวเมลดา แต่เธอยังมีสติไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไม่ให้เกินเลยก่อนเวลาที่ควร
เมลดารีบดันตัวเขาออกห่าง “ไม่ดีหรอกค่ะคุณ พ่อชั้นอยู่โรงพยาบาล ถ้ามีใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
เมฆาหัวเสียแต่เก็บอาการ “ผมขอโทษ..ผมแค่เป็นห่วงคุณ”
“ค่ะ..ชั้นทราบ ดึกมากแล้ว คุณกลับไปก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ชั้นจะโทรหา”
เมฆานิ่งมองเมลดา
เมฆาเดินหงุดหงิดเข้ามาที่รถหรูของตัวเองซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านเมลดา
“ทำเป็นเล่นตัว..เสียเวลาเว้ย !!”
เมฆามองตัวบ้านแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในรถ แต่ต้องชะงักตกใจเมื่อเจอมิเชลนั่งอยู่ที่เบาะข้าง
“มิเชล !! นี่เธอตามชั้นมาทำไม”
มิเชลใช้หางตามองด้วยหน้านิ่งไร้ความรู้สึก “อาจารย์รู้เรื่องผู้หญิงคนนี้กับคุณแล้ว เลยสั่งให้ชั้นคอยจับตาดูด้วย”
“กับแค่ผู้หญิงคนเดียวเนี่ยนะ ต้องให้เรื่องถึงเขาด้วยเหรอ หึ..ไม่รู้ว่าชั้นคิดถูกหรือคิดผิด ที่ร่วมมือกับอสูรเทวา”
เมฆาพูดไม่ทันจบมีดสั้นจากมือมิเชลก็จี้ที่คอเขาอย่างรวดเร็วพร้อมแววตาข่มขู่จากมิเชล
“ถ้ายังไม่แน่ใจว่าการเจรจาธุรกิจนี้ คุณคิดถูกหรือคิดผิด..จะให้ชั้นพาคุณไปพบท่าน อาจารย์อีกครั้งมั้ย”
เมฆาชะงักมองมิเชลแล้วก็มีสีหน้าไม่ดี
ณ ตึกธุรกิจพันล้านของเจ้าสัวเพ้งเป็นอาคารสูงหลายสิบชั้น มีตัวอักษรสีเงินหน้าตึกเด่นเป็นสง่าตาม หลักฮวงจุ้ยท่ามกลางน้ำพุว่า “ Red Dragon Group ” เมฆาเดินหัวเสียสุดๆออกมาจากตึกแล้วตรงไปที่รถประจำตำแหน่งคันหรูที่จอดรอรับ สันต์ซึ่งทำหน้าที่ขับรถให้ ด้วยปิดประตูรถให้เจ้านายแล้วเข้าประจำที่นั่ง เมฆาสั่งเสียงดังอย่างหัวเสียและโกรธสุดๆ
“ไปให้พ้นจากที่นี่..ชั้นเกลียดขี้หน้ามันเต็มทนแล้ว !!”
สันต์แปลกใจแต่ก็ทำตามคำสั่งด้วยการขับรถพาเมฆาออกไป
รถของเมฆาวิ่งไปตามถนนนอกเมืองโล่งๆ เมฆากัดฟันกรามจนขึ้นสัน ส่วนมือกำโทรศัพท์มือถือรุ่นกระติกน้ำแน่น ภายในใจลุกโชนไปด้วยความเกลียดชัง แล้วระเบิดอารมณ์จึงเอาโทรศัพท์กระแทกประตูไม่ยั้งมือ
“โธ่เว้ย..ไอ้แก่เฮงซวย แก่จวนจะไปอยู่ฮวงซุ้ยอยู่แล้วยังงกไม่เข้าท่า”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณเมฆา” สันต์ถาม
“ก็ไอ้แก่พ่อเลี้ยงชั้นน่ะสิ วันนี้ชั้นบังเอิญได้ยินมันคุยกับทนาย มันจะยกทุกอย่างให้หลินหลิน แล้วให้ชั้นเป็นแค่ผู้ดูแล มีอำนาจเป็นแค่ลูกจ้างนังเด็กงี่เง่านั่น”
“เจ้าสัวทำอย่างนั้นได้ยังไงครับ ที่ทุกวันนี้บริษัทเติบโตมากกว่ายุคของเจ้าสัวก็เพราะฝีมือของคุณเมฆา”
“เพราะไอ้ความคิดโบราณคร่ำครึของมันไง ชั้นไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของมัน ชั้นถึงไม่มี สิทธิ์อะไร..ไอ้เวรเอ้ย !! เกลียดขี้หน้ามัน..เมื่อไหร่จะตายๆไปซะทีวะ”
เมฆาหงุดหงิดเต็มที่ ระหว่างนั้นก็มีรถเก๋งสีดำทะมึน 2 คันเข้ามาเข้ามาประกบข้างตีคู่ไปกับรถเมฆาที่วิ่งไปตามถนน
“มีอะไรน่ะสันต์..” เมฆาถาม
“ไอ้รถสองคันนี่มันมาจากไหนก็ไม่รู้ครับ มันเบียดไม่ให้เราไปไหนได้เลย”
เมฆาสงสัย รถสองคันที่ขนาบข้างค่อยๆลดกระจกลง ชายใส่สูทดำสวมแว่นดำยกปืนขึ้นจ่อพร้อมกันจากทั้ง 4 บานหน้าต่างเล่นเอาเมฆาถึงกับอึ้ง
“เอาไงดีครับคุณเมฆา” สันต์ถาม
เมฆาหน้าเครียดทำอะไรไม่ได้เพราะปืนจ่อรอบทิศ รถเมฆาถูกรถสองคันขนาบคู่บังคับให้มุ่งไปตามทางที่พวกมันต้องการพาเมฆาไป
รถเมฆาถูกบังคับพามาจอดหน้าตึกร้าง สันต์ถูกลูกน้องอสูรเทวาเล่นงานจนสลบนอนหมดสติอยู่ที่ข้างรถ ส่วนเมฆาถูกพวกมันใช้ปืนจี้บังคับ
“พวกแกเป็นใครวะ..ต้องการอะไร”
พวกลูกน้องไม่ตอบแต่พยายามจะกระชากตัวเมฆาให้เดินเข้าไป แต่เมฆาพอมีฝีมืออยู่บ้างจึงอาศัยโอกาสที่มันกำลังเผลอเข้าไปแย่งปืนจากมือพวกมันได้คนหนึ่งแล้วยิงใส่ดังเปรี้ยง !! ลูกน้องอสูรเทวาเลือดสาดไปหนึ่งคน
เมฆากวาดปืนไปทั่วเพื่อขู่ “อย่านะเว้ย !! อย่าเข้ามา”
เมฆาใช้ปืนขู่แล้วจะถอยหนี โดยไม่ทันสังเกตมิเชลที่โผล่มาข้างหลังเงียบๆพร้อมกับมีดสั้นที่ยื่นมาจ่อคอ
“เราแค่ต้องการเชิญคุณมาคุยธุรกิจกันดีๆ..อย่าทำให้มันยุ่งยากดีกว่าคุณเมฆา” มิเชลพูด
“คุยธุรกิจบ้าอะไรของพวกแกวะ” เมฆาถาม
“ถ้าอยากรู้ก็ทิ้งปืนไปซะแล้วเราจะได้คุยกันดีๆ”
“แต่ถ้าอยากคุยกันดีๆจริงๆ แกคงไม่เอามีดมาจ่อคอชั้นแบบนี้หรอก”
เมฆาไม่ยอมทิ้งปืนทันใดนั้นเสียงของจางซื่อก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโดยไม่รู้ว่าจากทิศทางไหน
“ปล่อยเขามิเชล จะขี่ม้าออกศึกแต่ไปบังคับเฆี่ยนตีมัน ม้าที่ไหนจะพาเราเข้าสนามรบ”
เสียงนั้นฟังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม จนมิเชลยอมถอนมีดสั้นจากคอเมฆาแล้วถอยไปยืนห่างๆ รวมกลุ่มกับพวกลูกน้องสูทดำ เมฆาเริ่มแปลกใจกับบรรยากาศที่น่าสงสัย เงาดำทะมึนแวบผ่านด้านข้างเขาไปอย่างรวดเร็ว เมฆากวาดปืนไปหาทันทีพร้อมกับลั่นไกดังเปรี้ยง !!
เมฆายิ้มย่องชอบอกชอบใจ เพราะคิดว่าที่ยิงไปนั่นโดนชายลึกลับเต็มๆ แน่นอน
อ่านต่อตอนที่ 2