ล่าดับตะวัน ตอนที่ 9
หน่วยอรินทราช 6 คน พร้อมหัวหน้าชุดปฏิบัติการสนับสนุน มาถึงหน้าห้องวีไอพีแล้ว พากันหยุดรอตั้งหลัก จนกระทั่งหัวหน้าชุดพยักหน้าให้ลงมือ ทั้งทีมจึงเปิดประตูบุกชาร์จเข้าไป แต่ไม่มียี่เส่งอยู่ในห้องแล้ว เห็นแต่สาวเซ็กซี่สี่นางนั่งอยู่ในห้อง และแต่ละนางต่างพากันร้องโวยวายขึ้น เป็นที่น่ารำคาญ
พวกที่บุกชาร์จเข้ามากระจายกันค้นหา แต่ก็ไม่พบแม้เงา
หัวหน้าชุดวิทยุรายงานอัคคเดชไปว่า
“ไม่มีครับ ผู้กำกับ”
เสียงหัวหน้าชุดรายงานดังกลับมาทางวอ ที่ห้องรับรองพิเศษ อัคคเดชได้ยินถึงกับหน้าเหวอ
ตะวันหัวเราะขัน เหมือนจงใจเยาะเย้ยหยามหยันอัคคเดช ทั้งสองจ้องตากันเขม็ง อัคคเดชทั้งเจ็บใจ ทั้งแค้นที่ถูกหลอกอีกแล้ว
ตะวันยั่วยิ้มด้วยแววตา สีหน้าของเขาสะใจเป็นที่สุดๆ เสียงโทรศัพท์ของอัคคเดชจะดังขึ้น เห็นเป็นข้อความจาก P ว่า “หนีออกด้านหลัง”
อัคคเดชอ่านแล้วรีบยกวอขึ้นสั่งการ
“ให้กำลังส่วนหนึ่งไปปิดทางออกด้านหลังคลับ”
ตะวันได้ยินถึงกับชะงัก ออกอาการตกใจอยู่ในที แต่พยายามเก็บอาการไม่ให้เป็นพิรุธ
อัคคเดชกำชับชบาว่า “เฝ้าเอาไว้”
จากนั้นจึงโลดแล่นออกประตูไป มุ่งหน้าไปทางออกด้านหลัง ชบาฮึดฮัดขัดใจ แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง อึดใจต่อมาอ้อยโผล่เข้ามาในห้อง ชบายิ้มดีใจเมื่อเห็น บอกขึ้นเร็วปรื๋อว่า
“ฝากด้วยนะคะหมวดอ้อย”
หมวดชบาแล่นตามหลังอัคคเดชไปอีกคน
ปราการคุ้มกันนายพลยี่เส่งหนีออกมาทางหลังคลับ พร้อมทีมการ์ดอารักขาเต็มอัตรา โดยมีหมอกและภูผาตามมาคุ้มกันด้วย ทั้งหมดกำลังออกสู่ถนนด้านหลังคลับที่เป็นซอยย่อยๆ ปราการ หมอก และ ภูผา หยิบหน้ากากขึ้นมาปิดหน้าเพื่อไม่ให้ตำรวจเห็น ก่อนจะพากันวิ่งตามกันไป
อัคคเดชตามมาสบทบกับหน่วยอรินทราชที่บุกไปจับยี่เส่งในห้องพิเศษแต่คว้าน้ำเหลว ก่อนจะพากันออกประตูหลังไป ชบาตามมาเห็นหลังไวๆ รีบตามไปติดๆ
ปราการวิ่งนำทางยี่เส่งหนีมาตามถนนหลังคลับภัสสร โดยมีรถ 191 สองคันแล่นมาสกัดดักหน้า ห่างออกมาไม่ไกล อยู่ในระยะยิงได้ ตำรวจลงจากรถ 5 คน กระจายกำลัง ปราการชะงัก ทุกคนชะงักตาม
หัวหน้าชุด 191 ตะโกนบอก “นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยอมให้จับเสียโดยดี”
ขาดคำ ลูกน้องยี่เส่งทั้งหกคน ก็งัดเอาเอ็มพีไฟว์ ที่ซ่อนอยู่ในเสื้อนอกออกมา ยืนเรียงหน้ากระดานเปิดฉากยิงใส่ตำรวจแบบไม่ยั้ง จนตำรวจกระเจิงต้องหลบกันวุ่น ในขณะที่มีสองคนถูกยิงล้มคาที่
ปราการพานายพลหลบเข้าที่กำบังโดยไว หมอกกับภูผาเช่นกัน ทั้งสี่ชักปืนพกประจำตัวออกมาเตรียมสู้ ภูผาชักสีหน้าที่เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามแผน หมอกตื่นตัว ระวังภัย แต่ยังไม่ร่วมยิงด้วย ปราการกับยี่เส่ง ระวังตัวแจ ยังไม่ได้ร่วมยิงเช่นกัน
ตำรวจตั้งหลักได้ ยิงสวนกลับมา ลูกน้องยี่เส่งต้องคอยหลบ จนยี่เส่งโมโห “ยิงสู้มันซิ”
ปราการยิงใส่ตำรวจคนหนึ่งล้มลง หมอกกับภูผา ยิงใส่ ไปคนละนัด แต่ไม่เล็ง
อัคคเดชกับหน่วยอรินทราชที่ตามมาชะงักเมื่อได้ยินเสียงปืน ก่อนจะเร่งฝีเท้าแล่นตามไปในทิศทางที่มาของเสียงปืน พร้อมชักอาวุธ เตรียมปลดเซฟตี้ เพื่อปะทะ ชบาที่ไล่หลังแล่นตามไปติด ทำแบบเดียวกัน
ลูกน้องยี่เส่งบุกชาร์จเล่นงานตำรวจสองคนที่เหลือด้วยทักษะที่เหนือกว่า จนตายเกลี้ยงในที่สุด ปราการ ยี่เส่ง ภูผา และหมอก พากันออกจากที่กำบัง ภูผามองตำรวจที่นอนตายเกลื่อนแล้วใจหาย
ยี่เส่งหันไปเห็นอัคคเดชกับพวกตามมาทัน จึงเปิดฉากยิงใส่ก่อน
พวกอัคคเดชต้องกระจายกันหาที่กำบัง ลูกน้องยี่เส่งดาหน้ามายิงสกัด ปราการสบช่องพานายพลยี่เส่งวิ่งหนีต่อ หมอกกับภูผา แล่นตามไป ทิ้งให้ลูกน้องยี่เส่งปะทะเดือดอยู่ด้านหลัง
อัคคเดชยิงปะทะ ออกอาการร้อนใจ ตะโกนก้อง
“อย่าให้มันหนีไปได้”
พร้อมกับว่า ผู้กำกับหันไปยิงสกัด ปราการที่นำยีเส่งหนี ทั้งสี่ต้องชะงักถอยกลับหาที่กำบังอีกครั้ง ไม่กล้าฝ่าดงกระสุนไป ทั้งสองฝ่ายยิงปะทะกันเดือด
ชบาตามมาถึงรีบโผเข้าหาที่กำบังใกล้ๆ อัคคเดช พร้อมช่วยยิงสู้ อัคคเดชหันมามองแปลกใจ
“ผมให้คุณเฝ้านายตะวันไง”
“หมวดอ้อยเฝ้าแทนแล้วค่ะ”
อัคคเดชส่ายหน้า ไม่มีเวลาเฉ่ง หันไปยิงปะทะต่อ ชบายิ้ม ไม่โดนด่าช่วยยิงสู้ต่อ
ภูผาแอบชำเลืองหมอกที่กำลังช่วยยิง คิดหนักว่าจะเอายังไงดี หมอกหันมามองเมื่อรู้ว่าถูกจ้อง ภูผาต้องรีบหลบตา ทำเนียนไม่รู้เรื่อง หมอกแปลกใจอยู่ได้แว่บเดียว แล้วหันไปยิงสู้ต่อ
การยิงปะทะยังเดือดอยู่ ลูกน้องยี่เส่งถูกอรินทราชเก็บไปหนึ่ง ยี่เส่งเห็นไม่พอใจ
“อยู่แบบนี้ไม่ได้นะ จะถูกล้อมจับ เราต้องฝ่าออกไป”
ปราการรับเอาคำ “ได้ครับ” แล้วรีบสั่งการหมอก และภูผา “หมอก ภูผา เราต้องพาท่านนายพลหนี”
ทั้งสองพยักหน้ารับคำ ปราการหันไปพยักหน้ากับนายพลคนดัง
ยีเส่งสั่งการคนของตน “เปิดทางถอย”
ลูกน้องยี่เส่งพากันเปลี่ยนแม็กเป็นชุดเต็ม แล้วเปิดฉากระดมยิงใส่พวกอัคคเดชจนโงหัวๆ ไม่ขึ้น เพื่อเปิดทางให้ยีเส่งวิ่งหนีได้ โดยมีปรากร หมอก ภูผาตามไปคุ้มกัน
อัคคเดชกับอรินทราชพยายามยิงสู้
ยี่เส่ง ปราการ หมอก ภูผา วิ่งฝ่าดงกระสุนที่พยายามยิงสกัด รอดไปได้
อรินทราชคนหนึ่งถูกยิง ล้มลง
เมื่อลูกน้องยี่เส่งเห็นนายพ้นไปได้ จึงถอยตาม
อัคคเดชและพวกยิงสกัด คนของยี่เส่งถูกยิงไปอีกคนหนึ่ง
ชบาโผล่ออกจากที่กำบังยิงสกัดช่วย ลูกน้องยี่เส่งคนหนึ่งหันมาเห็นยิงใส่ อัคคเดชโผเข้าผลักให้พ้นทางกระสุนได้อย่างหวุดหวิด กระสุนถากผ่านตัวไป ชบาเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
อัคคเดชเอ็ด “อยากตายรึไง”
“ไม่ค่ะ”
“ระวังตัวเองด้วย”
“ค่ะ”
อัคคเดชผละจากชบาหันมายิงสู้ต่อ คนของยี่เส่งล่าถอยตามหลังนายไป
อัคคเดชกับพวกออกไล่ตามไม่ลดละ
ทั้งสองฝั่งยิงพลางหนีพลางมาตามถนนร้านข้างทาง แล้วสาดกระสุนใส่กัน ชาวบ้านแตกตื่น
แล้วยี่เส่งหนีไปอีกทาง อรินทราชถูกเก็บไปอีกหนึ่ง ลูกน้องยี่เส่งคนที่ยิง โดนยิงสวนดับเช่นกัน
อัคคเดชกับพวกไล่ล่ายี่เส่งไป
ปราการพาวิ่งหนีมาในย่านชุมชน ผู้คนแตกตื่น ปราการคอยชี้บอกทางให้ยีเส่งวิ่งต่อ
อัคเดชตามไล่บี้กระชั้นมา ลูกน้องยี่เส่งปักหลักสกัด ยิงปะทะกันอีกรอบ อรินทราชเข้าชาร์จเล่นงานคนของยี่เส่งที่ปักหลักยิงสกัด ลูกน้องยี่เส่งทั้งหมดถูกเก็บเกลี้ยงในที่สุด
อัคคเดชรีบออกวิ่งตามกลุ่มยีเส่งไป ชบาไปด้วย พร้อมอรินทราช
ข้างๆ คลับของภัสสร เป็นโรงแรมเล็กๆ ห้องพักไม่มากนัก ลักษณะเป็นตึกแถวที่เป็นอาคารติดๆ กัน สามารถหนีได้หลายทาง มีตรอกซอกซอยแยะ เหมาะแก่การไล่ล่า หลอกล่อกันของโจรกะตำรวจ
ปราการนำยี่เส่งผ่านป้ายโรงแรมเข้าไปในล็อบบี้ แขกและพนักงานแตกตื่นเมื่อทั้งหมดเข้ามาพร้อมอาวุธ ปราการชะงักหันมาสั่งหมอก กับภูผา
“สกัดเอาไว้ฉันจะพาท่านนายพลหนี ถ้าคลาดกัน ก็ตัวใครตัวมัน หาทางหนีกันเอาเอง”
ทั้งสองพยักหน้ารับเอาคำ ก่อนหันมองสบตากัน ปราการพยักหน้ากับนายพลให้ตามไป แล้วนำขึ้นบันได หมอกกับภูผาเปลี่ยนแม็กใหม่ ต่างคนต่างแยกไปคนละทาง
พวกอัคคเดชที่ตามมาถึง ชบาตามมาด้วย แต่ไม่มีใครอยู่ตรงที่ทั้งสี่คุยกันก่อนหน้านี้แล้ว อัคคเดชสั่งการด้วยสัญญาณมือ ให้อรินราชแยกไปตามทางที่คิดว่าคนร้ายจะหนีไปเป็นคู่ๆ แบ่งได้สักห้าคู่รวมอัคคเดชกับชบา
ปราการพายี่เส่งขึ้นมาถึงดาดฟ้า แล้วพาวิ่งหนีไปตามดาดฟ้าอาคารข้างๆ หนีไปได้โดยฉลุย
ภูผาแยกกับหมอกมาได้ รีบหาที่ลับตาคน หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร.หาอัคคเดช
อัคคเดชกับชบาค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นตึกไปอย่างระมัดระวัง เสียงโทรศัทพ์ที่ดังขึ้นเรียกให้สองคนที่กำลังเคลื่อนที่อย่างระมัดระวังสะดุ้ง ต้องโผเข้าที่กำบัง ชบาส่องปืนไปที่ทิศทางตรงหน้าที่ศัตรูอาจบุกเข้ามา อัคคเดชรีบฉากหลบรับสาย คุยเสียงดังพอได้ยิน
“ฮัลโหล”
ภูผาเป็นคนโทร.มาจากชั้นบน “ผมเอง”
“อยู่ไหน”
“อยู่ข้างบน ปราการกำลังพานายพลยีเส่งหนีขึ้นดาดฟ้า ผมแยกกับเมฆรับหน้าที่คุ้มกันให้หนี”
“มันหนีขึ้นไปได้เหรอ งั้นผมจะรีบตามไป ส่วนคุณถ้าจัดการเมฆได้ ทำเลยนะ ฝีมือมันไม่เบา มีโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ก็จัดการเลย”
“ครับ”
“ระวังตัวด้วย ไม่มีใครรู้ฐานะที่แท้จริงของคุณ”
“ผมทราบครับ”
แม้ได้ยินไม่ถนัด แต่ชบาคอยแอบมองแอบฟังอย่างสนใจ
ภูผากดวางสายแล้วรีบเคลื่อนออกจากตำแหน่งโดยไว
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทางด้านหมอกซุ่มอยู่ แอบชะโงกมองที่ช่องบันได จนเห็นอรินทราชคู่หนึ่งกำลังเคลื่อนขึ้นบันไดมาช้าๆ หมอกรีบหาที่ซ่อนตัว
อรินทราชคู่เดิมขึ้นมาถึงชั้นที่หมอกอยู่ แล้วสุ่มชาร์จตามห้องพัก แต่ไม่เจอใคร
มาถึงห้องหนึ่ง แต่ยังไม่ทันเปิดเข้าไป คนในห้องเปิดประตูออกมาอรินทราชเล็งปืนใส่ เป็นเป็นแขกโรงแรมโดนปืนจ่อหน้า กลัวจนตัวสั่น ก่อนจะเห็นหมอกย่องมาทางด้านหลัง อรินทราชรู้ตัวแต่ช้าไป
หมอกถึงตัวคว้าปืนรั้งไว้ไม่ให้ยิงได้ แล้วใช้ทักษะเทพเล่นงาน คนแรกคว่ำในหมดเดียวกัน ก่อนหันมาเล่นงานอีกคน ด้วยมวยชุด หลับกลางอากาศไปอีกคน หมอกหันมาสบตาแขกคนเมื่อครู่ ถามไปว่า
“เมื่อกี้เห็นอะไร”
“ไม่รู้ ไม่เห็นเลยจริงๆ”
แขกส่ายหัวแกล้งทำเป็นละเมอกลับเข้าห้องไปเนียนๆ
หมอกอมยิ้มแล้วหายตัวไปอย่างว่องไว
อัคคเดชกับชบากำลังค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาที่ใกล้ๆ แถวนั้นอย่างระมัดระวัง ต่างคนต่างสอดส่ายสายตาแลปากกระบอกปืนไปในทิศทางต้องสงสัยที่อาจมีคนซ่อนตัวอยู่
จนมาถึงทางแยกขึ้นชั้น อัคคเดชทำมือให้ชบาหยุด แล้วจึงเรียกวิทยุ
“อินทรีเรียก เอ 1 เปลี่ยน”
เงียบไม่มีเสียงตอบ
อัคคเดชเรียกครั้งที่ 2 “อินทรีเรียก เอ 1 เปลี่ยน”
ไม่มีเสียงตอบเช่นเดิม
อัคคเดชหันมองสบตาชบา ก่อนออกคำสั่งให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ทั้งสองเคลื่อนตัวเข้าไปตามแบบยุทธิวิธี แต่สิ่งที่พบคือร่างไร้สติของอรินทราชที่ถูกหมอกเล่นงาน
ชบารีบตรงเข้าเช็ค โดยมีอัคคเดชคุ้มกันให้
“ยังไม่ตายคะ แต่หมดสติไปเฉยๆ ค่ะ”
อัคคเดชอึ้งไปด้วยความแปลกใจ ทำไมคนร้ายไม่ยิง
“ทีม 2 3 ระวังตัวให้ดี ฝ่ายตรงข้ามมีทักษะการต่อสู้ชั้นสูง เปลี่ยน เป้าหมายขึ้นดาดฟ้าไปแล้วเปลี่ยน”
ทีมอรินทราช 2 ที่กำลังเคลื่อนที่อยู่อีกที่ ระมัดระวังตัวมากขึ้น
อรินทราชทีมที่ 3 เคลื่อนที่ขึ้นไปบนดาดฟ้า แต่ไม่พบใครแล้ว จึงระมัดระวังมากขึ้น ขณะกลับลงไป
ภูผาแอบย่องหนีมา ทว่าเหลือบไปเห็นอรินทราชทีมหนึ่งกำลังขึ้นบันไดมา จึงหันหนีมาอีกทาง
ทีมอรินทราชที่ขึ้นมา เลยยังไม่เจอกับภูผา
ฝ่ายหมอกแอบซุ่มอยู่ ค่อยๆ หายเข้ามุมมืดไป ทีมอรินทราชสองคนกำลังขึ้นมา ทั้งสองกวาดตามองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเมื่อไม่เห็นใครที่นั่น
ทั้งสองเคลื่อนผ่านจุดที่หมอกหายไปในความมืด พอคล้อยหลังหมอกก็ออกมาคว้าคนที่อยู่หลังเล่นงาน แต่คนที่ถูกเล่นงานหันมาเห็นเสียก่อน ตั้งรับแต่หลบไม่ทันโดนอัดสลบ เพื่อนอีกคนจึงหันปืนมาเล็งใส่หมอกกะปลิดชีพ
หมอกพลิกเหลี่ยมหลบกระสุนในระยะประชิด เฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปด
ภูผาได้ยิน รีบแจ้นตามเสียงไป อัคคเดช และ ชบาได้ยินรีบตามไปเช่นกัน
หมอกหลบกระสุนแล้วจึงจับอรินทราชปลดอาวุธอีกคน แต่คนนี้สู้ตอบ สู้กันอีกหน่อยก่อนหมอกจะเล่นงานได้ในที่สุด อัคคเดช และ ชบาเข้ามาเจอพอดี ชบายิงใส่ก่อน
หมอกได้อาวุธอรินทราชติดมือไป หันมายิงโต้เพื่อสกัดไม่ให้ตาม
ชบากับอัคคเดชรีบหาที่หลบ แล้วนิ่งหยั่งเชิง จนไม่มีเสียง หรือการเคลื่อนไหวใดๆ
อัคคเดชมองไปเห็นปากกระบอกปืนโผล่ออกมานิดหนึ่ง จึงทำมือบอกแผนชบาว่าจะอ้อมไปชาร์จให้ยิงคุ้มกันให้ ชบาพยักหน้ารับเข้าใจตรงกัน อัคคเดชนับหนึ่ง สอง สาม แล้วแล่นออกไป ชบายิงคุ้มกันให้
อัคคเดชชาร์ทถึงที่ซึ่งเห็นปากกระบอกปืนโผล่ พบว่ามีแต่ปืนหลอกอยู่เท่านั้น อัคคเดชอึ้งไปอย่างทึ่งๆ ชบาตามมาก็อึ้งมองอย่างไม่เชื่อสายตาอีกคน หายไปได้ยังไง
ด้านภูผาบังเอิญจ๊ะเอ๋กับอรินทราช อีกทีม อรินทราชเปิดฉากยิงใส่ก่อน ภูผาหลบ ยิงสกัด แล้วรีบเผ่น อรินทราชไล่ตามไป
หมอกกำลังเคลื่อนที่ได้ยินเสียงระวังตัว หันมองหาที่มาของเสียง
ภูผาหนีมาตามทาง แล้วบังเอิญเห็นหมอกกำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน จึงรีบหาที่หลบ
หมอกที่ลงมาในพื้นที่ที่เป็นทางหนีของภูผา ค่อยเคลื่อนมา แล้วจ๊ะเอ๋กับอรินทราชที่ไล่กวดตามหลังภูผามา ในระยะประชิด หมอกชิงลงมือในชั่วกระพริบตาเล่นงานทั้งสองคนให้ต้องสู้ด้วยพร้อมกันทั้งสองคน ไม่เปิดโอกาสให้ใช้ปืน หมอกพยายามปลดปืน แต่ต้องสู้สองคนพร้อมกัน จึงไม่ง่าย ภูผาคิดนี่อาจเป็นจังหวะที่ดีที่จะจัดการเมฆ จึงตัดสินใจเล็งปืนไปทางหมอก แต่เล็งยังไงก็ไม่ได้จังหวะยิ่งเพราะเคลื่อนตัวตลอด หมอกกำลังต่อสู้อยู่ ไม่รู้เลยว่ากำลังถูกเล็งหมายชีวิต
สุดท้ายอรินทราชโดนหมอกเล่นงานสลบไปเสียก่อน ส่วนภูผาที่กำลังเล็งปืนทางหมอกไม่ทันระวังตัว อรินทราชกำลังมาทางด้านหลัง หมอกหันไปเห็นพอดี จึงยิงสาดกระสุนไปให้ก่อน ภูผาจึงหันไปเห็นแล้วจัดการอรินทราชคนนี้จนคว่ำ เมื่อเรียบร้อยแล้ว ภูผาเดินเข้าไปหาหมอกทั้งสองมองจ้องตากันแว่บหนึ่ง ก่อนเสียงฝีเท้าคนเคลื่อนเข้ามา พร้อมกับเห็นตัวไวกำลังจะมาถึง ทั้งสองหลบ
อัคคเดชกับชบาเจอกับทีมสุดท้ายที่เหลือ จึงชะงักประเมินสถานการณ์ เงียบไม่มีการเคลื่อนไหว หมอกเล็งปืนไปทางอัคคเดช ภูผาดึง
“อย่า”
หมอกชะงักแปลกใจแต่ไม่พูดอะไร
“เสียเวลา อย่ายื้อทางนี้ไว้เลย ป่านนี้ท่านนายพลหลบออกไปได้แล้วแหละ แยกกันหนีออกจากที่นี่
ไปก่อนดีกว่า”
หมอกพยักหน้ารับ ภูผาเห็นทางหลบด้านหน้า จึงส่งสัญญาณบอกหมอกให้หลบไปทางโน้น ทั้งสองรีบหลบออกไป อัคคเดชหันไปเห็นแว้บๆ ว่าเป็นภูผา จึงทำเป็นไม่เห็น
“มันหนีไปได้แล้วแน่ๆ”
อัคคเดชกับชบาชาร์จตามมาเจออรินทราชสองคนที่เหลือรอดนอนเจ็บร้องครวญครางอยู่ อัคคเดชจึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจชบา
“เรียกรถพยาบาล”
“ค่ะ” ชบากดวิทยุโดยไว “เหตุฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ ขอรถพยาบาลด่วน”
อัคคเดชเดินห่างออกมาพยายามมองหาภูผา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาภูผา
ภูผาเดินออกมาจากมุมมืดของซอกตึกออกมาสู่ริมถนน เห็นเป็นเบอร์อัคคเดชจึงกดรับสาย
“เรียบร้อยดีนะ แล้วเมฆล่ะ”
“ออกมาพร้อมๆกัน น่าจะออกจากตึกไปได้เหมือนกัน”
อัคคเดชถามต่อ “มันเกิดอะไรขึ้นทำไมยีเส่งถึงรู้ตัวก่อน”
“หลังจาก มีข้อความเข้า นายตะวันหยิบดูแล้วก็หันมาสั่งให้พายีเส่งหนี”
อัคคเดชอึ้งไป สีหน้าตกใจคาดไม่ถึง
“ข้อความเข้าเหรอ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะรู้ นอกจากต้องมีสายของเรารายงานมัน” อัคคเดชชักกังวลขึ้นมาอีกห่วงภูผา “เอาเป็นว่าตอนนี้คุณปลอดภัยผมก็สบายใจ ไว้เราค่อยคุยกัน รักษาตัวด้วย”
“ครับ”
ภูผากดวางสายแล้วรีบหาทางออก เจอทางโล่งสะดวกพอดี และมีแท็กซี่ผ่านมา ภูผาทำเนียน โบกเรียกแล้วรีบขึ้นรถไป
อัคคเดชวางสาย สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ ใครกันที่ส่งข้อความหาตะวัน!
หมอกหนีพ้นมาได้ รีบถอดเสื้อนอกออกทิ้งถังขยะ แล้วเดินต่อ จนมาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวริมถนนหมอกทำเนียนเข้ามานั่งในร้าน มีรถสายตรวจกำลังตามหาแล่นผ่านไปช้าๆ
“ใหญ่แห้ง กับเกาเหลา”
คนขายรับคำ
หมอกเตรียมตะเกียบพร้อมแอบสังเกตการณ์ว่ามีใครสงสัยหรือเปล่า มีรถสายตรวจแล่นผ่านไปอีกคัน แต่ไม่ติดใจสงสัยอะไร
ด้านชบาพยายามเดินออกห่างทุกคน พยายามสอดตามองหาภูผาไม่ลดละ เผื่อฟลุคเจอ แต่ก็ไม่มีแม้เงา ชบาคุมแค้น
“เจ็บใจจริงๆ พวกมันหนีรอดไปได้”
ที่โกดังจุดพักยาของตะวัน ปิงขับรถยกที่ไปยกรถข้างทาง ขับเข้ามาในลานกว้างหน้าโกดัง ก่อนจะเอารถลงจอด
ปิงเปิดหาห่อยาที่ซ่อนอยู่ข้างในช่องลับถังน้ำมันดัดแปลง พอเจอมันยิ้มกริ่มกดโทรศัพท์หาตะวันทันที
ตะวันยังถูกควบคุมตัวอยู่ในห้องวีไอพีที่คลับของภัสสรมีหมวดอ้อยอยู่ในห้องนั้นด้วย เสียงโทรศัทพ์ดังขึ้น ตะวันเห็นว่าเบอร์ปิงโทร.มา จึงรีบรับสายมาดนิ่ง
“ว่าไง”
“ของเก็บเข้าที่แล้วครับนาย”
“ดีมาก ไม่เสียแรงที่ฉันมอบหมายงานใหญ่ให้”
ตะวันยิ้มในสีหน้าขณะกดวางสาย
ฝ่ายปิงลั้นลาที่ตะวันออกปากชม มันกระโดดท่าลูบเป้าอันโด่งดังของไมเคิล แจ็คสัน แต่ดันเตะขาพลาด เสียหลักหน้าทิ่มพื้นเสียฟอร์ม
แต่ปิงกลับยิ้มแป้นแล้นเมื่อนึกถึงที่ถูกนายชมขึ้นมาอีก
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ที่ห้องรับรองวีไอพีในคลับภัสสร ทนายประจำตัวของตะวัน ถูกโทร.ตามตัวมา และเพิ่งเปิดประตูเข้ามา ยิ้มทักตะวัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวผมจัดการให้ครับ”
ตะวันพยักหน้า ทนายจึงหันไปหาหมวดอ้อยที่ควบคุมตัวตะวันอยู่
“ขอโทษนะครับคุณตำรวจ ไม่ทราบว่า ลูกความผมทำความผิดอะไร ถึงได้โดนกักตัวแบบนี้”
อ้อยอึ้งไปนิด นึกหนาคำตอบ ก่อนเสียงหนึ่งจะตอบแทนขึ้น
“ไม่ใช่กักตัว แต่เป็นการขอความร่วมมือต่างหาก”
เจ้าของเสียงคือ อัคคเดช ที่เข้ามาพร้อมชบา ตะวันหันมองสบตาอัคคเดช
อัคคเดชมองสบตาตอบพร้อมกับเดินเข้ามาประจันหน้ากับทนาย
"งั้นก็แสดงว่าไม่มีการแจ้งข้อหา"
“ก็ไม่มีข้อหาอะไรให้ต้องแจ้งนี่ครับ แค่มาเที่ยวผู้หญิงไม่มีความผิด ยกเว้นแต่จะซื้อบริการผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 18 ลูกความคุณมีพฤติกรรมแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ”
พร้อมกับว่าอัคคเดชหันมองสบตาตะวัน อีกฝ่ายมองสบตาตอบ ยิ้มเยาะอยู่ในที
“ผมคงไม่กล้าทำอะไรอุบาทว์อย่างที่ท่านผู้กำกับคิดหรอกครับ”
อัคคเดชมองจ้องตาตะวัน จนทนายถามขึ้น
“ถ้าอย่างงั้น ลูกความผมก็กลับได้แล้วซิ”
“แน่นอนครับ”
ตะวันยิ้มพรายบนใบหน้า
“ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกผมได้นะครับผู้กำกับ เห็นแก่ที่เราเคยเป็นเพื่อนกันมา” เขาเดินไปแล้วทำเป็นนึกบางอย่างได้ “อ้อ แล้วเรื่องคดีว่าที่เจ้าสาวถูกยิงตาย เมื่อไหร่ผู้กำกับจะจับคนร้ายได้ซักทีล่ะครับ”
ตะวันจงใจพูดเรื่องพิม อัคคเดชกำมือแน่น
“จำได้มั้ยหรือผู้กำกับลืมไปหมดแล้ว”
ตะวันเหลียวกลับมามองสบตา ทั้งสองจ้องกันทุกคนในที่นั้น หันมองอัคคเดชเป็นตาเดียวว่าสองคนคุยอะไรกัน ทำอัคคเดชตัวสั่นด้วยความโกรธ
“หาตัวให้ได้นะครับ ผมอยากรู้จริงๆว่ามันเป็นใคร”
ตะวันมองสบตาเขม็ง แล้วยกนิ้วชี้หน้าอัคคเดชพร้อมกับระเบิดหัวเราะออก เดินจากไปอย่างสะใจ
ทิ้งให้อัคคเดชดื่มกินความแค้น ด้วยสีหน้าถมึงทึง จนทุกคนในนั้นพากันสยอง ไม่กล้าเข้าใกล้เลย
ภัสสรคุยกับพรชัยที่มารายงานเรื่องยี่เส่ง
“นายพลยีเส่งหนีไปได้ครับ”
ภัสสรฮึดฮัดไม่พอใจ นึกอิจฉาตะวันอยู่ในที
“งั้นพวกมันก็ต้องส่งมอบอาวุธกัน”
ภัสสรเจ็บใจ ที่ตะวันทำงานนี้สำเร็จ
รถยนต์ของตะวันแล่นมาตามถนน ในรถตะวันนั่งหน้าเข้มมาตลอดทาง จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เห็นเป็นชื่อปราการโทร.มา ตะวันกดรับสาย
“ว่าไงปราการ เรียบร้อยมั้ย”
จากอีกมุมหนึ่งในกรุงเทพฯ ปราการยืนคุยสาย รอคนของนายพลยี่เส่งมารับตัวนายพลคนดังไป
“เรียบร้อยครับ ท่านนายพลหนีออกมาได้”
“ทำได้ดีมาก”
“ท่านนายพลจะเรียนสายด้วยครับ”
ปราการส่งโทรศัพท์ให้ยี่เส่ง
“คุณตะวัน” ยี่เส่งทัก หน้าตายิ้มแย้มทั้งที่เพิ่งผ่านวิกฤตชีวิตมาไก้
“ไม่เป็นไรนะครับท่านนายพล”
“ไม่เป็นไร ตื่นเต้นดี ได้ออกกำลังกายตอนดึก แล้วคุณล่ะ”
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“คุณนี่ก็กล้าดีเนอะ ขนาดสงสัยว่าจะมีสายในแก๊ง ยังกล้าให้ตำรวจมันมาเหยียบจมูกเล่น ดีนะที่เตรียมแผนพาผมหนีออกมาได้ทัน ไม่งั้นผมคงได้ถูกส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปยิงเป้าที่บ้านแน่”
“ขอโทษด้วยนะครับท่าน”
ยี่เส่งหัวเราะชอบอกชอบใจ
“ไม่เป็นไรๆ ก็สนุกดีเหมือนกัน”
“สำหรับคนของท่านที่เสียชีวิต เดี๋ยวผมจัดค่าทำขวัญให้ครอบครัวพวกเขาเองครับ”
“คุณมีน้ำใจดี ผมชอบ เอาเป็นว่าผมเป็นตัวแทนขอบใจแทนพวกนั้นแล้วกัน มีอะไรอยากให้ช่วยก็บอก ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง หรือเกินกำลังความสามารถผมช่วยแน่”
“ขอบคุณครับ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับท่าน”
ตะวันยิ้มรับในความสำเร็จขั้นสำคัญ เพราะได้นายพลยี่เส่งมาเป็นพวก แต่แล้วรอยยิ้มค่อยๆ มลายไปกลายเป็นหน้านิ่งใช้ความคิดหนัก
“ใครมันเป็นหนอนกันแน่ แต่ไม่ว่าแกจะเป็นใคร แกไม่มีวันพ้นเงื้อมือฉันไปได้”
แววตาตะวันดุดันขึ้นมาเห็นชัดแจ้ง
อีกฟาก ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์ คืนเดียวกันนี้
ปานวาดกำลังถูกสอบสวนโดยจ่ามนตรี และมีจ่ายักษ์ร่วมสอบด้วย
“ให้ความร่วมมือดีกว่านะคุณ ว่าคุณไปรับของอะไรกันแน่”
ปานวาดมองมนตรีด้วยสายตาเยาะหยัน เชิดใส่ บอกย้อนไปด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
“คุณเห็นอะไรในกระเป๋า ก็ไอ้นั้นแหละ”
“แล้วทำไมต้องโยนของลงมาแบบนั้นด้วย”
“ก็ขี้เกียจวนรถไปเจอกัน โยนให้แบบนั้นก็สะดวกดี”
“แต่มันผิดกฎหมายนะคุณ” ยักษ์แทรกขึ้น
ปานวาดก็ตั้งข้อหามาซิคะ อย่างมากก็ถูกปรับ โยนของลงจากที่สูงบนถนนหลวง ใช่มั้ยคะ
ยักษ์กับมนตรีอึ้งมองหน้ากัน ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น เป็นอัคคเดชโทร.มา มนตรีรีบรับสาย
“ครับผู้กำกับ”
เสียงอัคคเดชดังออกมาว่า “สอบปากคำ ปานวาดอยู่ใช่มั้ย”
“ครับ”
“ปล่อยไป”
“ห๊า” มนตรีแหกปากดังลั่น “เออ ครับๆ”
มนตีวางสายแล้วพูดอย่างขัดใจ
“ปล่อยตัว”
ยักษ์สงสัย พยายามจะถาม แต่มนตรีก็ทำท่าฮึดฮัดใส่
“ไม่รู้โว๊ย ผู้กำกับสั่ง”
ปานวาดยิ้มพรายสาแก่ใจยิ่งนัก
ปานวาดเดินมายังรถที่จอดอยู่ที่ลานจอด กำลังไขกุญแจก็มีใครบางคนแอบมาด้านหลัง ปานวาดรู้สึกตัวหันไป แต่โดนมือปิดปากหมับ ปานวาดเห็นเป็นภูผาที่ทำท่าบอกให้เงียบแล้วขึ้นรถ ทั้งสองรีบขึ้นรถไป
“ตกใจหมด แล้วมาที่นี่ทำไม เมฆล่ะ” ปานวาดถามถึงคนรักในตอนท้าย
ภูผาตัดพ้ออย่างน้อยใจ “เห็นหน้าผมก็ถามถึงเมฆเลยนะ”
“ก็เป็นห่วงเมฆนี่นา”
“ปลอดภัยอยู่ครบสามสิบสอง สบายใจรึยัง”
ปานวาดโล่งใจ
“แล้วนายใช้ให้มาหาวาดที่นี่เหรอ”
ภูผารับสมอ้างไป
“อืม...”
ปานวาดไม่เชื่อ “โกหก นายไม่มีทางสั่งหรอก ทีหลังไม่ต้องทำแบบนี้นะภูผา มาที่นี่มันอันตราย”
ภูผาพยักหน้ารับ ทำเป็นโวยวายกลบ
“เออๆๆ รู้แล้วน่า นานๆ ทีจะเป็นห่วงไม่ได้รึไง”
ปานวาดยิ้มขำ “แล้วเป็นไงบ้าง ตกลงงานสำเร็จมั้ย”
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลย รีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
ปานวาดรับเอาคำ รถแล่นพาทั้งสองคนออกไป
หมอกกลับมายังบ้านสวน เวลานี้กำลังนั่งใช้ความคิด
เขาคาใจตอนเห็นภูผากำลังเล็งปืนทางตน ซึ่งไม่ทันระวังตัว อรินทราชกำลังมาทางด้านหลัง หมอกหันไปเห็นพอดี หมอกจึงยิงสาดกระสุนไปให้ก่อน ภูผาจึงหันไปเห็นแล้วจัดการอรินทราชคนนี้จนคว่ำ
หมอกคิดหนัก
“มันคิดจะทำอะไรเมฆแน่ๆ”
มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เห็นเป็นเบอร์ปานวาดโทร.มา
“ฮัลโหล” หมอกกดรับ
ปานวาดขับรถมาตามทาง คุยสายโทรศัพท์ด้วยบลูทูธ มีภูผานั่งข้างๆ ปานวาดทำท่าเป็นเชิงบอกไม่ให้ภูผาส่งเสียงกลัวเมฆได้ยินว่าอยู่ด้วยกัน
“เห็นว่ามีเรื่องน่าตื่นเต้นต้องพานายพลยี่เส่งหนีตำรวจเลยเหรอ”
“ใช่ ปะทะกันนิดหน่อย แล้ววาดล่ะ
ปานวาดถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่รู้นายเล่นตลกอะไร ให้วาดไปรับตุ๊กตา แต่ก็ดี ตำรวจไปล้อมจับพอดี เลยไม่มีของกลาง”
ภูผาได้ฟังก็แปลกใจเช่นกัน
“ตุ๊กตา” หมอกอึ้งไป ทวนคำอย่างแปลกใจ “ของในกระเป๋าเป็นตุ๊กตาเหรอ”
“ใช่ สรุปแล้ววาดไม่ได้ถูกให้ไปรับยา เหมือนนายใช้ให้มาเป็นตัวล่อตำรวจที่แอบสะกดรอยตามมากกว่า”
ภูผาเก็บข้อมูล
“อย่างงั้นเหรอ วาดไม่เป็นอะไรนะ”
“ไม่เป็นไร ถูกปล่อยตัวแล้วกำลังจะกลับบ้าน”
“งั้นก็ขับรถระวังๆ ล่ะ”
ปานวาดดีใจ “เป็นห่วงเค้าเป็นเหมือนกันเหรอ”
ภูผาฟังแล้วเศร้าไปนิดๆ
“โอเค งั้นแค่นี้ก่อนนะ”
รอจนปานวาดวางสาย ภูผาจึงถามขึ้น
“นี่วาดไม่รู้จริงๆ เลยเหรอว่าไม่ได้ไปรับยา”
“ไม่รู้เลยจริงๆ วาดยังตกใจเลยตอนกระเป๋าเปิดมา เอ ว่าแต่ถ้ายาไม่ได้อยู่ที่วาดแล้วยาอยู่ที่ใครล่ะ”
สองคนมองหน้ากันต่างคนต่างพึมพำ แล้วนึกได้พร้อมๆ กัน
“ใคร ไม่ใช่พวกเรา...ปิง”
ปานวาดหัวเราะชอบอกชอบใจที่เจ้านายฉลาดล้ำ
“โห นายนี่สุดยอดจริงๆ ทำเอาเดาไม่ออกเลยอ่ะ”
ส่วนภูผาลอบทำหน้าหนักใจ งานนี้ตะวันมาเหนือเมฆมาก คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
ทางด้านหมอกนั่งครุ่นคิดเรื่องที่เพิ่งคุยกับปานวาดเมื่อครู่ แล้วหันไปมองชาร์ตที่ทำไว้เกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยฆ่าเมฆ เวลานี้มีลำดับเลขแสดงกำกับไว้ที่รูป
ตะวัน อันดับ 1
ภูผา และ ปราการ อันดับ 2
อัคคเดช อันดับ 3
หมอกเดินไปเปลี่ยนรูปภูผาขึ้นมาเป็นอันดับ1 แล้วไล่อันดับคนอื่นๆ ใหม่หมด
สายตาของเขามองเลยไปยังรูปหลินที่แอบถ่ายมา ที่เขียนกำกับไว้ว่า “เบาะแสสุดท้าย” พร้อมกับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว
“แล้วหลักฐานที่อยู่ในแจกันล่ะ”
หมอกมองจ้องรูปหลิน คล้ายมีแผนการณ์อยู่ในใจ
เช้าแล้ว แต่ร้านดอกไม้น้องหลินยังปิดประตูอยู่ ยังไม่เปิดให้บริการ และดูเหมือนวันนี้จะปิด เพราะมีป้าย “CLOSED” ติดอยู่ หมอกเพิ่งเดินมาถึง มองประตูร้านอย่างเสียดาย แต่พอจะหันกลับ หลินก็เปิดประตูออกมาจากในร้าน หมอกหยุด ยิ้มดีใจเดินตรงเข้าไปทัก
“คุณหลิน”
หลินอึ้งไปนิดๆ ก่อนทักตอบ “คุณเมฆ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“มาซื้อดอกไม้เหรอคะ”
“ครับ”
“วันนี้ร้านปิดคะ พอดีวันนี้หลินจะไปทำบุญให้พ่อแม่น่ะค่ะ”
หมอกเสียดายโอกาส “เหรอครับ”
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณต้องมาเสียเที่ยว”
“ไม่เป็นไรครับ” หมอกเว้นระยะไปนิดหนึ่ง “แล้วจะไปวัดไหนครับเนี่ย”
“วัดใกล้ๆ แถวนี้แหละคะ นัดกับป้าที่ขายของหน้าร้านหลินไว้แล้ว”
“แล้วจะไปยังไงครับ”
“เดี๋ยวเรียกรถแถวนี้ไปส่งค่ะ”
หมอกคิดปราดเดียว “งั้นให้ผมไปส่งมั้ยครับ”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจ”
“ไม่เป็นไรครับ พอดดีผมมีธุระอยากคุยกับคุณหลินด้วย”
“ธุระกับหลิน ธุระอะไรคะ”
หลินแปลกใจเอาการ
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
สองคนเดินไปที่รถ หมอกคอยเดินข้างช่วยดูแลหลินไปด้วย พร้อมกับชวนคุย
“คืออาการความจำเสื่อมของผมมันยังไม่ดีขึ้น แต่มีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ให้เรียบร้อย แต่ผมยังจำไม่ได้ ผมก็เลยอยากจะถามคุณเกี่ยวกับผมว่า ก่อนหน้านี้ ผมเป็นยังไง เคยคุยเรื่องอะไรกับคุณบ้าง”
หลินนิ่วหน้าฉงน “เพื่ออะไรคะ”
“คือ หมอเค้าแนะนำมาน่ะครับ”
หลินพยักหน้า ถึงบางอ้อ “อย่างนี้นี่เอง”
หมอกยิ้มให้ หลินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนบอกขึ้นว่า
“คุณเมฆก็เป็นคนขี้เล่นกว่านี้ค่ะเมื่อก่อน เวลามาที่ร้านจะชอบแกล้งหลิน”
“แกล้งคุณ” หมอกชะงัก
“ค่ะ แกล้งว่าหลินจะจำคุณได้รึเปล่า”
“อ๋อ” หมอกพยักหน้า
“อย่างครั้งหนึ่ง คุณเปลี่ยนน้ำหอมมา แต่หลินก็ยังจำได้ว่าเป็นคุณ”
“จากเสียงเหรอครับ” หมอกทึ่ง
“ไม่ใช่ค่ะ จากฝีเท้าค่ะ มันเป็นนิสัยที่ไม่เปลี่ยน”
หมอกฟังแล้วแอบก้มมองการเดินเท้าตัวเอง แล้วอดคิดไม่ได้ว่าหลินน่าจะรู้ว่าตนเดินไม่เหมือนเมฆ
“เหรอครับ แล้วผมเดินเหมือนเดิมมั้ยครับ”
หลินหยุดเดิน แล้วบอกว่า “ไม่ค่ะ” หลินนิ่งนึก “คุณเหมือนคนๆ นึง”
“เอ่อ...ใครครับ”
หลินนึกถึงใครคนที่เคยช่วยเธอ แต่คิดไปคิดมาก็ชักสับสนเหมือนกัน
“ไม่มีอะไรค่ะ หลินคงคิดไปเอง”
หมอกรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ถามต่อ
“แล้วผมมาบ่อยมั้ยครับ”
“ก็เฉลี่ยอาทิตย์ละครั้ง บางอาทิตย์ก็สองครั้ง แล้วแต่”
“แล้วครั้งสุดท้ายที่ผมมาก่อนที่ผมจะความจำเสื่อม ผมคุยอะไรกับคุณ พอจะจำได้มั้ยครับ”
หลินนึกอยู่ครู่หนึ่ง “คุณแกล้งลองภูมิหลินอย่างที่เล่าไป แล้วก็ถามเรื่องแจกันค่ะ”
หมอกได้ข้อมูล รีบซักต่อ
“แจกัน...แจกันอันไหนเหรอครับ”
“แจกันที่หน้ารูปพ่อแม่หลินในร้านไงคะ มันเป็นแจกันของพ่อที่หลินเก็บไว้เป็นที่ระลึกน่ะค่ะ”
หมอกยิ้มออกทันที มีความคิดบางอย่างวาบขึ้นในหัว
อีกฟากหนึ่ง ที่สำนักงานกองบังคับการกองปราบปรามตำรวจแห่งชาติ
อัคคเดชพาตัวเองมาอยู่ในห้องทำงานผู้การเด่นชาติ สีหน้าผู้กำกับเครียดขรึมขณะเอ่ยขึ้น
“ผมต้องขอโทษท่านด้วยครับที่การปฏิบัติการล้มเหลว”
“ไม่เป็นไร ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่งั้นเราคงไม่ต้องไล่ล่ามันมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ยิ่งคนร้ายประกบร่าง ร่วมมือกันแบบนี้ นายตะวันก็เจ้าเล่ห์ ยี่เส่งก็เจ้าพ่อยาเสพติดชื่อดัง เสือมันต้องมีลาย ถ้าไม่มีลายก็คงไม่อยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงขนาดนี้”
อัคคเดชยิ้มบางๆ
“ตามต่อไป ยังไงวันหนึ่ง หางมันต้องโผล่ให้เราจับจนได้”
“ครับ” อัคคเดชใช้ความคิดอยู่ช่วงหนึ่ง “ผมมีเรื่องจะเรียนปรึกษาท่านด้วยครับ”
“ว่ามา”
“ผมสงสัยว่าในหน่วยมีหนอน”
“ห๊า” ผู้การตกใจมากเอาการ “คุณแน่ใจเหรอ”
“แค่สงสัยครับ เพราะสายผมบอกว่าเหมือนตะวันรู้ตัวก่อนว่าพวกเราจะบุก เลยพายี่เส่งหนีไปก่อน”
ผู้การนิ่งคิด “แล้วคุณจะให้ผู้ช่วยอะไร จะให้ ปปป. เข้ามาสอบสวนอย่างงั้นเหรอ”
“ยังครับ ผมอยากหาเองก่อน หากไม่จริง ผมเกรงเด็กๆ จะเสียกำลังใจที่ถูกสงสัย”
“ก็ได้ ผมอนุญาต”
“ขอบคุณครับ”
หมอกขับรถแล่นเข้ามาจอดในลานวัด หลินหันมาบอกขอบคุณหมอก
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”
หลินยิ้มให้ แล้วหันจะไปเปิดประตูลงจากรถ หมอกเห็นหลินต้องทำอะไรคนเดียวจึงทัก
“เอ่อ เดี๋ยวครับ ถ้าไม่รังเกียจ ขอผมอยู่ทำบุญด้วยได้มั้ยครับ”
หลินยิ้มหวาน
“ได้สิคะ ดีซะอีก เผื่อบุญกุศลจะช่วยให้คุณจำเรื่องที่ผ่านมาได้”
หมอกยิ้มรับอย่างยินดี
หมอกช่วยประครองหลินขึ้นบันไดมาบนศาลาวัด ป้าขายของหน้าร้าน เตรียมของถวายสังฆทานอยู่บนศาลาก่อนหน้าแล้ว หันมามองทั้งสองอย่างแปลกใจ
“หนูหลินทางนี้” หมอกพาหลินเดินไปหา “คุณรูปหล่อก็มาด้วย”
หมอกมองอย่างแปลกใจ “ป้ารู้จักผมด้วยเหรอครับ”
“รู้ซิคะ ก็ป้าขายของอยู่หน้าร้านหนูหลิน คุณยังเคยซื้อของป้าบ่อยๆ เลย”
หมอกพยักหน้า ถึงบางอ้อ
หลินเตรียมดอกไม้ถวายพระอยู่ข้างๆ ป้าจัดสำรับอาหารไป ก่อนถามขึ้น
“ทำไมถึงได้มากับคุณรูปหล่อได้ล่ะหนูหลิน”
“พอดีเค้ามาซื้อดอกไม้ และมีเรื่องอยากถามหลินด้วย ก็เลยอาสามาส่งค่ะ”
ป้าถามทีเล่นทีจริง “อ้างหรือเปล่า จริงๆ แล้วอยากจะใกล้ชิดกับหนูหลินมากกว่า”
“อุ้ย ไม่ใช่หรอกคะ คุณเมฆเค้ามีแฟนแล้ว ที่เค้ามาซื้อดอกไม้บ่อยๆ ก็เอาไปให้แฟนเค้า”
“แต่ป้าไม่เคยเห็นแฟนเค้ามาด้วยซักที ไม่แน่เค้าอาจจะสนหนุหลินอยู่ก็ได้นะ”
หลินบอกอย่างเจียมตัว “ไม่หรอกค่ะ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว และอีกอย่างต่อให้ไม่ใช่คุณเมฆคนตาบอดอย่างหลินก็ไม่มีใครมาสนใจหรอกค่ะ”
“มันก็ไม่แน่ หนูหลินก็ไม่ได้ขี้ริ้วขึ้เหร่อะไรนี่นา สวยจะตาย”
หลินปราม “ป้า”
ป้าหันไปมองหมอกที่นั่งรออยู่มุมหนึ่งของศาลา ส่วนหลินส่ายหัวที่ป้าพูดอะไรไม่เข้าเรื่อง
พระนั่งลำดับเจริญพุทธมนต์ โดยมีหมอก หลิน และป้า พนมมือรับเอาคำ จากนั้นสามคนช่วยกันถวายภัตตราหาร
ป้าบอกให้หมอกช่วยหลินยกของถวาย แล้วลอบมองทั้งสองคนสีหน้ายิ้มแย้ม เพราะดูสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก
พระเจริญพุทธมนต์ให้ศีลให้พร หลินกรวดน้ำ หมอกก็กรวดด้วย ป้าแตะตัวหลินอาศัยใบบุญตามความเชื่อไทยๆ
หมอกกรวดน้ำพร้อมกับอธิษฐานในใจ “ขอให้ไปสู่สุขคตินะเมฆ”
วัดแห่งนี้มีศาลาริมน้ำสวยๆ ให้พุทธศาสนิกชนมาทำบุญให้อาหารปลาในวังปลาแห่งนี้
หมอกให้อาหารปลาอยู่ในศาลา เห็นหลินเดินเข้ามาหา แต่แล้วสะดุดหลุมตรงหน้า หมอกรีบร้องเตือน
“ระวังคุณหลิน”
พร้อมกับว่า หมอกถลันเข้าไปรับไว้ ใบหน้าหลินกับหน้าเขาใกล้กันแค่คืบ หมอกเริ่มรู้สึกแปลกๆ หลินสวย หวาน แววตาน่าสงสารเหลือเกิน หมอกปิ๊ง
“ขอบคุณค่ะ”
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ”
หลินชวนคุย “เมื่อกี้ทำอะไรอยู่คะ”
“อ๋อ ให้อาหารปลาครับ”
หลินหัวเราะ “ถึงได้...”
“ถึงได้อะไรครับ”
“กลิ่นอาหารปลาที่มือคลุ้งเลยค่ะ”
หมอกยกมือตัวเองที่เพิ่งให้อาหารปลามาดม พบว่าเหม็นจริง
“จริงด้วย”
หมอกอดยิ้มไม่ได้ พอเริ่มรู้สึกตัวว่ายิ้มเป็น ซึ่งปกติไม่เคยยิ้มเลย ก็รีบดึงตัวเองกลับมาโหมดขรึมตามเดิม
“ทำบุญแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีครับ ผมมันพวกห่างวัด นานๆ จะได้เข้าวัดทำบุญกับเค้าสักที”
“แสดงว่าเข้าแล้วร้อน” หลินยิ้มขำๆ
“คงอย่างงั้น” หมอกขำๆ ตามกันไป
“งั้นก็ต้องเข้าวัดบ่อยๆ แล้วล่ะค่ะ แบบนี้ จะได้หายร้อน พอหายร้อยก็จะเย็น สบาย ใส แล้วก็สะอาด”
“อะไรครับ เย็น สบาย ใส แล้วก็สะอาด”
“เย็นมาจากใจเย็นไงคะ เข้าวัดแล้วเรื่องร้อนๆ วางไว้นอกวัด ใจก็เย็นขึ้น พอใจเย็นขึ้น ก็สบายใจ ไม่มีเรื่องให้ต้องคิด เมื่อไม่มีเรื่องต้องคิด ก็จิตใจก็ผ่องใส นิ่งเป็นสมาธิ พอใจมีสมาธิก็มีสติพิจารณาผิดชอบชั่วดี ก็ทำให้ใจสะอาดในที่สุด”
“ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
“เค้าเรียกว่าหลักอิทัปปัจจยตาค่ะ หลักแห่งความเป็นเหตุเป็นผล ศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เป็นวิทยาศาสตร์ พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราพิสูจน์ก่อนด้วยตัวเองแล้วจึงเชื่อ อย่างมีเหตุมีผลค่ะ”
"คุณหลินพูดอย่างกับพวกคนแก่ ที่เข้าวัดเป็นประจำเลยนะครับ"
“งั้นหลินก็แก่ด้วยซิคะ”
“เปล่าครับ”
หลินยิ้มหัวเราะขัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนบอกขึ้นต่อว่า “หลินชอบศึกษาธรรมะค่ะ ว่างๆก็ฟังธรรม ดีนะคะ เพราะทำให้เรารู้ว่าชาตินี้ที่เราอยู่ในสภาพนี้ ก็ต้องบอกว่าเพราะกรรมที่เคยทำไว้ ถ้าเราเชื่อว่าเพราะกรรมไม่ดีทำให้เราเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องตั้งใจทำแต่กรรมดี เผื่อเจ้ากรรมนายเวรเขาจะอโหสิกรรมให้บ้าง”
หมอกได้ฟังก็ยิ่งสะท้อนใจ ทั้งสงสารและเข้าใจถึงสิ่งที่หลินพูด บอกปลอบไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มว่า
“คุณหลินคิดดี ทำดีแบบนี้ ผมเชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรของคุณหลินจะอโหสิกรรมให้ครับ”
หลินยิ้มรับเห็นงามด้วย หมอกมองจ้องหน้าหลิน ด้วยความรู้สึกที่แปลกไป ผู้หญิงคนนี้จิตใจงดงาม และน่าทะนุถนอมเหลือเกิน
หมอกกลับมาที่บ้านสวน นั่งมองรูปหลินใช้ความคิดหนัก แล้วนึกถึงคำพูดของหลินเมื่อตอนกลางวัน
“เย็นมาจากใจเย็นไงคะ เข้าวัดแล้วเรื่องร้อนๆ วางไว้นอกวัด ใจก็เย็นขึ้น พอใจเย็นขึ้น ก็สบายใจ ไม่มีเรื่องให้ต้องคิด เมื่อไม่มีเรื่องต้องคิด ก็จิตใจก็ผ่องใส นิ่งเป็นสมาธิ พอใจมีสมาธิก็มีสติพิจารณาผิดชอบชั่วดี ก็ทำให้ใจสะอาดในที่สุด”
หมอกยิ้มกับตัวเอง รู้สึกเขินนิดๆ เมื่อจู่ๆ ภาพใบหน้าหลินพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจลอยเข้ามาในความคิด
อาการของเขาแสดงออกชัดแจ้งว่าเริ่มสนใจหลินขึ้นมาแล้ว โดยที่เขาไม่รู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 10