ล่าดับตะวัน ตอนที่ 8
ในเวลาเดียวกัน หมอกทำความสะอาดแผลจากการโดนรุม พบว่าเป็นแค่แผลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เขาปิดแผลด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“ฝีมือใครกันนะ”
ขณะกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น สายตาของหมอกเกิดมองไปเห็นช่อดอกไม้ที่ซื้อมาจากร้านหลิน เมื่อวันก่อน มันยังวางอยู่ที่โต๊ะทำงานนั่นเอง
“ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ”
ทางฝ่ายหลินหยิบเครื่องอัดเสียงเล็กๆ มากดอัดเสียง
“หลินไม่รู้หรอกนะคะ ว่าคุณเป็นใคร แต่หลินขอบคุณคุณมากๆ ที่ช่วยคนตาบอดอย่างหลินไว้ หวังว่าสักวันคุณจะมาหาหลินอีก หลินจะตอบแทนบุญคุณของคุณอย่างแน่นอน ขอบคุณคนใจดีของหลิน”
หลินกดปุ่มปิดเสียงถามตัวเองอย่างติดใจสงสัย
“เขาเป็นใครกันนะ”
หมอกยังอยู่ที่คอนโดเมฆ เปิดคอมพ์น้องชายผู้ลาลับ ดูข้อมูลทั้งหมดที่เมฆเก็บไว้ แต่กลับไม่เห็นมีอะไรในนั้นเลย มีแต่รูปสาวๆ ทรงสะบึมส์
“แกนี่มันจริงๆ เลย”
หมอกคลิกไล่ดูไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับข่าวที่เมฆโหลดเซฟเก็บไว้ เป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ดังความว่า
“นักศึกษาสาวพยานคดีปล้นร้านเพชรตาบอด ไม่สามารถชี้ตัวคนร้ายได้ แม้เห็นหน้าจะๆ”
มีภาพของหลิน ตอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลประกอบข่าว
หมอกอ่านรายละเอียดทุกข่าว แล้วมโนตามจนเห็นเป็นภาพจำลองเหตุการณ์
ในวันนั้นหลินในชุดนักศึกษษ ถูกเมฆที่ปิดบังอำพรางใบหน้าจับเป็นตัวประกัน หลินดิ้นรนจนหลุด มาได้ แต่เมฆยิงปืนเปรี้ยงออกไปต่อหน้าต่อตาของหลิน ความแรงของแรงอัดทำให้แก้วตาหลินแตก จนตาบอด
หมอกดึงตัวเองออกมา เหลียวไปดูช่อดอกไม้ที่หลินจัดให้ มันยังวางอยู่ที่เก่าโรยราไปตามเวลา
“เพราะแกทำเค้าตาบอดใช่มั้ยเมฆ แกถึงได้แอบดูแลเขาอยู่ห่างๆ แบบนี้”
หมอกสะท้อนใจเมื่อรู้ความจริงข้อนี้
ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์ รูปภูผาในแฟ้มประวัติ ถูกเปิดออกอ่าน โดยหมวดชบา
“ประวัติหนาเป็นตั้ง สงสัยคงทำชั่วไว้แยะ”
ชบาเปิดอ่านอย่างสนใจรวดเดียวจบ
“ฉันคิดไม่ผิด นายเป็นคนเลวจริงๆ ด้วย ชั่วแบบนี้ ปล่อยให้ลอยนวลไม่ได้แล้ว นายต้องเจอกับฉัน นายภูผา”
ชบาเปิดหน้าที่มีที่อยู่ มองจ้อง โดยนางไม่รู้ว่าเป็นที่อยู่หลอกๆ และในแฟ้มประวัติล้วนเป็นเรื่องเท็จเมกขึ้นทั้งสิ้น
ชบาคีย์ที่อยู่กรอกลงใน google map แล้วกด enter โปรแกรมประมวลผลก่อนแสดงผลออกมา
ชบาขยายภาพ หาที่ตั้ง จนเจอว่าอยู่ในซอยหนึ่ง ชบายิ้มกระหยิ่มสมใจ คล้ายมีแผนบางประการอยู่ในหัว
อัคคเดชแอบมองอยู่ตั้งแต่ต้น ยัยหมวดโก๊ะหาเรื่องอีกแล้ว อัคคเดชยิ้มนึกสนุก มีแผนอยู่ในหัวเช่นกัน
เย็นจวนค่ำ ชบาพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ตรงปากซอยแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ป้ายชื่อซอยเป็นซอยเดียวกับที่อากู๋เกิ้ลแสดงผลที่อยู่ของภูผาในแฟ้มคนชั่ว
ชบาเทียบดูกับในมือถือจนแน่ใจว่าใช่ซอยดังกล่าว เหลียวมองไปรอบๆ แล้วออกเดินหาบ้านเลขที่ของภูผา แต่เดินจนขาลากก็ไม่เจอ ชบาถอนใจ บ่นกับตัวเองอย่างอ่อนใจ
“ดักรอแล้วกัน ยังไงก็ต้องกลับบ้าน”
เสียงท้องนางร้องประจานตัวเองดังขึ้น
“หาของกินรองท้องก่อนดีกว่า กองทัพเดินด้วยท้อง”
ชบามองหาร้านอาหารหวังฝากท้อง จนกระทั่งสายตาแลเห็นร้านส้มตำไก่ย่างห่างออกไปไม่ไก่ บรรยากาศดี๊ดี ชบาเดินปรี่เข้าไปในร้านทันที
อาหารที่ชบาสั่งมา นางฟาดเรียบ พุงกางอิ่มแปล้ จ่ายตังค์เรียบร้อย
“ค่อยดีขึ้นหน่อย”
ชบาเรอออกมาอย่างสบายท้องสบายปาก แล้วหันไปเห็นภูผาเดินเข้ามาสั่งซื้อส้มตำกลับบ้าน นางยิ้มกระหยิ่มสมใจ
ภูผารับของที่สั่งแล้วหันออกมาเจอชบามองอยู่ ทำเป็นชะงักแล้วรีบเดินเข้าซอยไป ชบารีบออกเดินตาม
ชบาไล่มาจนทันภูผาในซอยแคบๆ เวลามีรถสวนทางเข้ามา คนที่เดินๆ อยู่ต้องเบียดตัวกัน
“จะรีบไปไหนๆ อยู่คุยกันก่อนซิ”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
“แต่ฉันมี” นางว่าพร้อมกับว่าแซงหน้าขึ้นมาขวางทางเขาไว้
ภูผาชะงักมองหน้าไม่พอใจ “จะเอายังไงคุณ”
“ก็จะจับคนชั่วอย่างนายไปลงโทษตามกฎหมายไง”
ภูผามองหน้าชบา ก่อนจะส่ายหัวอย่างเอือมระอา ตามรังควานกันไม่เลิก พลันสายตาเหลือบไปเห็นรถที่กำลังแล่นสวนกันด้านหลังชบา และเบียดใกล้เข้ามา จะชนเอา ภูผารีบดึงเอาตัวชบาหลบ แต่ชบาไม่ทันระวังถูกกระชากมาอย่างเร็วและแรง เลยเสียหลัก เซถลาหน้าไปชนปากชนกับปากภูผาเข้าพอดี ขณะที่รถแล่นผ่านไปได้โดยไม่ชน ปากยังคงประกบปาก ชบาตาโตตกใจรีบผละออก พร้อมกับเช็ดปากตัวเองอย่างเร็ว ไม่เท่านั้นนางยังได้ถุยน้ำลายแสดงอาการรังเกียจไอ้โจรหน้าหล่อเต็มขั้น ก่อนหันมาจะเล่นงานแหวใส่เสียงเขียว
“ไอ้บ้า นี่แกกล้าจูบปากฉันเหรอ”
ภูผาปฏิเสธเสียงหลง “เปล๊า รถมันจะเฉี่ยวคุณ ผมเลยช่วยดึงหลบ แต่มันมาโดนพอดี”
“ไม่ต้องมาแก้ตัวเลย ไอ้หื่น จอมลามก”
ชบาเงื้อมือขึ้นมาหมายจะเล่นงานภูผา แต่ภูผาหลบทันแล้วพยายามอธิบาย
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“นี่ขนาดไม่ตั้งใจนะ ยังโดนเต็มๆ ท่านายตั้งใจ ฉันมิเสร็จนายไปแล้วเหรอ”
“อย่างคุณ ให้ฟรีแถมเงินด้วย ยังต้องคิดดูก่อนเลย กระโดกกระเดกอย่างกับม้าดีดกระโหลก กะเทยยังเรียบร้อยกว่า ต้องเหมือนนอนกับผู้ชายแน่ๆ คิดแล้วสยอง”
พร้อมกับว่า เขายังออกอาการตัวสั่นเหมือนโดนแป้งเย็นหลังอาบน้ำกระนั้น
ชบาโกรธหน้าเขียวหน้าเหลืองยิ่งกว่าเก่า ตรงเข้าเล่นงานภูผา
“มันจะดูถูกกันเกินไปแล้ว”
ภูผาหลบ แล้ววิ่งหนี มีชบาไล่กวดตามหลังไปติดๆ
“อย่าหนีนะ”
ภูผาวิ่งหนีมาหยุดหอบเหนื่อยตรงมุมเปลี่ยวท้ายซอย ชบาตามมาติดๆ ต้องหยุดหอบเช่นกัน
“ไม่ไหวแล้วขอพักเหนื่อยก่อน”
ทั้งคู่หยุดพักเหนื่อย หอบหายใจรุนแรงด้วยกันทั้งคู่ เหงื่องี้โทรมกาย
“นี่เลิกเหอะ ผมขอโทษก็ได้”
“ไม่ได้ นายเล่นขโมยจูบแรกของฉันไป ฉันอุตส่าห์จะเก็บไว้ให้คนที่ใช่สักหน่อย”
“จริงอ้ะ”
ชบาถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ ที่ภูผาไม่เชื่อ
ภูผานึกตาม หาเรื่องกัดนางอีก “ก็น่าจริง เพราะนิสัยอย่างนี้ไม่น่ามีคนหลงมา ถ้าไม่หูหนวกตาบอด”
ชบาโกรธเป็นสองเท่าพุ่งเข้าใส่หมายจะตบให้หายแค้น ภูผายกมือขึ้นบัง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชบาพุ่งเข้ามา หน้าเลยกระแทกศอกภูผาตรงปลายคางอย่างแรง นางเป็นลมกลางอากาศ ร่วงลงไปกองกับพื้น ภูผาอึ้ง ตะลึงตะไล ตกใจไม่คาดคิด รีบก้มลงดูอาการ
“คุณๆ”
พอพบว่านางแค่สลบไป ก็โล่งอก
“คุณทำตัวคุณเองนะ ผมไม่เกี่ยว”
ภูผายิ้มเจ้าเล่ห์ มองชบาอย่างมีแผนร้าย
พระจันทร์กำลังถูกเมฆเคลื่อนตัวมาบัง ชบาค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น ตกใจที่รู้ว่าตนถูกปิดตา แล้วยังพบอีกว่าตัวเองขยับแขนขาไม่ได้
ที่แท้นางถูกภูผาจับมัดโยงไว้กับคาน อาคารร้างละแวกนั้น สภาพเป็นที่น่าขบขันระคนน่าเวทนา ทุกอย่างเงียบสนิทจนกระทั่งเสียงหัวเราะภูผาดังขึ้นอย่างสะใจ ชบาหันขวับไปตวาดใส่ทางเสียงนั้น
“ไอ้บ้า แกจะทำอะไรฉัน ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้น ถ้าฉันหลุดไปได้ล่ะก็น่าดู”
“ตอนนี้ก็น่าดู แต่อีกเดี๋ยวจะน่าดูยิ่งกว่านี้ ถ้าผมจับคุณแก้ผ้าออกหมด”
ชบาแทบกระอัก “ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ไอ้...”
ไม่ทันขาดคำดี มีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งถูกม้วนยัดเข้าที่ปากไม่ให้นางส่งเสียงได้ แต่ชบาพยายามด่าต่อ แม้ไม่มีเสียง ภูผาหัวเราะชอบใจ
“หมดปัญญาแล้วซิ”
ชบาก็ยังพยายามส่งเสียงอู้อี้ๆ ขู่จะเอาเรื่องเหมือนเดิม ด้วยความโกรธแค้น ภูผายื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ กระซิบข้างหูขู่
“เดี๋ยวผมจะจับหมวดแก้ผ้า แล้วถ่ายคลิป อัพขึ้นไอจี ทวิตเตอร์ เอาให้มันดังไปเลย ดูซิคราวนี้หมวดจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
ชบาคำรามลั่นอย่างไม่พอใจ เอาหัวโขกกระแทกลมแล้งไปมั่วๆ แต่ดันโดนหัวภูผาเข้าอย่างจัง เขารีบผงะออกมาด้วยความเจ็บ
“ฤทธิ์มากนักนะ”
แม้มองไม่เห็นชบายังขู่ฟ่อๆ ใส่ ฟังไม่ได้ศัพท์
“โดนไอ้นี่เข้าไปยังจะฤทธิ์มากอีกหรือเปล่า”
ชบาอึ้งตกใจ ถูกภูผาค้นตัว เอามือถือเธอไป ใช้มันถ่ายรูปชบา
“ทำอะไรน่ะ”
“อัพลงโซเชียลของคุณไง เอารูปแบบนี้ไปก่อน เดี๋ยวค่อยจัดหนัก”
ชบาโมโหด่าเป็นชุด “ไม่นะ ไอ้บ้า ไอ้เลว อย่านะ คนตามฉันเยอะขนาดนั้น ห้ามเด็ดขาดนะ แอร๊ย...”
ภูผาหัวเราะชอบอกชอบใจ ปล่อยให้ชบาด่าๆๆ ไม่ยอมหยุด ด่าจนหมดแรงไปเอง ต้องหยุดหายใจหอบเหนื่อย มารู้ตัวอีกทีภูผาหายไปแล้ว
ภูผาเดินยิ้มเบิกบานออกมา เจออัคคเดชยืนรออยู่หน้าตึกร้างบริเวณลับตาคน
“ผมจัดการเรียบร้อยตามที่ผู้กำกับสั่งแล้วครับ”
“อืมม์ จะได้เข็ดซักที โทษทีนะที่ทำให้คุณต้องวุ่นวายเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็อยากเอาคืนนางอยู่เหมือนกัน”
อัคคเดชส่ายหัว “พอกันเลย อ่ะ คุณรีบออกไปเถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง”
ภูผาเดินพ้นกายไปแล้ว อัคคเดชหยิบโทรศัพท์มาโทร.ออก หาคนมาช่วยหมวดสาวจอมล้น
ไม่นานต่อมา รถสายตรวจแล่นเข้ามาหน้าอาคารร้าง ตำรวจสองคนบุกเข้าไปในอาคาร ชบายังถูกจับมัดอยู่ ตำรวจเหยียบของเกิดเสียงดังชะงัก ชบาได้ยินรู้ว่ามีคนมา นางนิ่งระวังตัว
ตำรวจ 1 ย่องเข้าไปใกล้จะปลดผ้าปิดตาให้ ชบาจับทางได้กระทุ้งเข่าใส่เป้า ตำรวจชะตาหำขาดอย่างแรง พอผ้าปิดตาเปิดออก ชบาเห็นตำรวจ 1 ที่มาช่วยตัวง้อเป็นกุ้งอยู่ตรงหน้า ก็จ๋อยสนิท
ไม่นานต่อมาชบากำลังกลั้วปากด้วยน้ำยาที่ซื้อมาอยู่ตรงหน้ากระจกในห้องน้ำสน.ท้องที่ แล้วบ้วนทิ้ง หมวดสาวมองเงาตัวเองในกระจำแล้วนึกถึง ตอนถูกภูผากระชากอย่างแรงเร็ว จนเสียหลัก เซถลาหน้าไปจูบกับภูผาเข้าพอดี
อีกทีขณะที่รถแล่นผ่านไปได้โดยไม่ชน ปากประกบปาก ชบาตาโตตกใจ ภูผาอึ้งไปเช่นกัน
ชบานึกถึงแล้วยิ่งเจ็บแค้นในใจ
“หมดกัน อุตส่าห์จะเก็บไว้ในคนสำคัญสักหน่อย”
ชบายกขวดน้ำยาล้างปากกระดกอมบ้วนอีกรอบอย่างขยะแขยง
ชบาเดินออกมาจากห้องน้ำแปลกใจที่เห็นอ้อยอยู่ที่หน้าห้องน้ำ อ้อยหันไปเห็นทักขึ้น
“อยู่นี่จริงๆ ด้วย”
ชบางงเต๊ก “มาได้ยังไงคะ หมวดอ้อย”
“มากับผู้กำกับค่ะ”
ชบาหน้าซีด เหวอไปเลย ซวยแล้วช้านน “ผู้กำกับมาเหรอคะ”
“ค่ะ ตอนนี้รอหมวดชบาอยู่ห้องสอบสวน”
ชบาทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
นางได้พาตัวเองยืนอยู่หน้าประตูห้องสอบสวนสักครู่แล้ว ชบาสองจิตสองใจลังเลที่จะเข้าไป กลัวถูกเฉ่ง
“ทำไมมันซวยแบบนี้วันนี้ โดนขโมยจูบ แล้วยังจะโดนด่าอีก ซวยจริงๆ เลย”
ชบายืนลังเล ไม่กล้าเข้า จนกระทั่งอึดใจต่อมา เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไป”
ชบาสะดุ้ง หันมามองเห็นว่าเป็นอัคคเดช ก็ยิ่งลนลาน
“ยืน...” นางนึกหาคำแก้ตัว แล้วโพล่งขึ้นมาว่า “ยืนรอผู้กำกับไงคะ”
“งั้นก็เข้ามา”
อัคคเดชเปิดประตูเดินนำเข้าไป
สองคนอยู่ในห้องสอบสวน โรงพักอัคคเดชสรุปความ
“สรุป โดนคนจับมัดปิดตาไว้ในอาคารร้าง”
ชบารับคำหน้าจ๋อยๆ เสียงกร่อยๆ “ค่ะ”
“รู้มั้ย มันเป็นใคร”
“รู้ค่ะ”
“ใคร”
“ก็ไอ้โจรห้าร้อย ที่เป็นพวกเดียวกับนายตะวันยังไงล่ะคะ” ชบานี่ขึ้นเลย
อัคคเดชฉงน “รู้ได้ยังไงว่าเป็นเค้าในเมื่อคุณถูกจับปิดตา”
“จะไม่รู้ได้ไงคะ ก็หนูตามล่าหาตัวนายนี่อยู่ สะกดรอยตามตั้งนาน”
อัคคเดชฟังแล้วอึ้ง “คุณตามเขา”
“ค่ะ”
อัคคเดชฉุน “โดยไม่ได้ขออนุญาตผม”
ชบาเริ่มอึกอัก “เอ่อ…ค่ะ”
“จะให้ผมเตือนคุณกี่ครั้งกี่หนเนี่ย ทำไมชอบทำอะไรนอกเหนือคำสั่งจากผมจริงๆเลย แล้วเป็นยังไงเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต่อไปจะทำอีกมั้ย” อัคคเดชโมโหใช่ย่อย
“แต่ผู้กำกับคะ” ชบาพยายามท้วง
อัคคเดชขึงตาใส่ ชบาเลยจ๋อยสนิท รับเสียงอ่อยๆ
“ก็ได้ค่ะ ไม่ทำแล้วค่ะ”
อัคคเดชสั่นหัวรัวๆ อย่างเอือมระอา
คฤหาสน์อันโอฬารของตะวัน เด่นตระหง่านอยู่ในแสงแดดดสวยยามเช้า
ปิงกำลังนั่งนิ่งหลับตาทำสมาธิอยู่มุมหนึ่ง โดยมีปราการมองดูด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ทำอะไรของแกวะปิง”
“ทำสมาธิ ก็กำลังจะออกงานใหญ่” มันว่า โดยไม่ยอมลืมตา
ปราการหัวเราะขำไม่เชื่อน้ำยา “แกเนี่ยนะทำสมาธิ”
ปิงลืมตาขึ้นมา กลอกตาบนเซ็งๆ มองค้อนวงพองาม
“ก็เห็นในหนังมันชอบทำกัน ก็เลยลองทำดูบ้าง”
“แล้วเป็นไง”
“ก็ไม่เห็นมีอะไร แค่นั่งหลับตา จะหลับเอาด้วยซ้ำ เมื่อคืนเด็กที่หิ้วไปมันกวนทั้งคืน ยันฟ้าสว่าง”
ปราการส่ายหัวขำ อย่างระอาในความคิดล้นๆ ของปิง จนสายตาเหลือบไปเห็นปานวาดที่เดินมากับหมอกในคราบเมฆ หมอกมองสบตาทักทายมาแต่ไกล ปราการหลบสายตา อิจฉามันว้อย
ปราการเอ่ยกับทั้งคู่ทันทีที่มาถึง “นายรออยู่ในห้อง ตามมา”
หมอกพยักหน้ารับ แล้วเดินตามปราการไปพร้อมกับปานวาด แต่ปราการทักขึ้นว่า
“นายขอคุยกับวาดคนเดียวก่อน นายรออยู่นี่ก่อน”
หมอกอึ้ง นิ่งไปงัน แปลกในนิดๆ ว่าทำไมไม่ให้เข้าด้วยกันเลยเหมือนทุกครั้ง ปานวาดเองก็แปลกใจใช่น้อย แต่จำเป็นต้องเข้าไปกับปราการก่อน มองสบตาหมอกแล้วจึงตามปราการไป
ภูผาเพิ่งมาถึง เดินเข้ามาสมทบ มองหน้าสบตาหมอกอย่างคนไม่ชอบขี้หน้ากันแว่บเดียว จึงหันไปถามปิง
“วาดกับพี่ปราการล่ะ ยังไม่มาเหรอ”
“มาแล้วพี่ กำลังเข้าไปคุยกับนาย”
ภูผาแปลกใจ “อ้าว ทำไมไม่เข้าพร้อมกันล่ะ ก็เห็นว่านายจะสั่งงาน”
“ใช่ แต่คราวนี้นายมาแนวใหม่ นายจะสั่งงานเป็นคนๆ ไปพี่ ของพี่กับพี่เมฆต้องรอก่อน”
ภูผาอึ้งไป หันมามองหน้าหมอก สองคนจ้องตากัน แววตาฉงนฉงาย สงสัยกันทั้งคู่
ตะวันบอกสั่งการกับปานวาดที่ปราการเดินนำตัวเข้ามาพบ และนั่งฟังแผนงานอยู่ด้วย
“ก่อนถึงเวลานัดหมาย วาดไปที่จุดนัดพบ ตรงโครงใยแมงมุมตรงเอเชียทีค ไปซุ่มรออยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ถึงเวลาฉันจะโทร.ไปบอก ค่อยไปที่จุดนัดพบ แล้วกระพริบไฟหน้ารถสองครั้ง จะมีรถมากระพริบไฟตอบจากบนถนนที่ตัดข้ามผ่านเหนือหัว แล้วเขาจะโยนของลงมาให้”
ปานวาดติดใจทวนคำออกมา “ของ? แสดงว่างานนี้วาดได้ไปรับของเลยใช่มั้ยคะ”
ตะวันเหลียวมามองปราการเป็นเชิงบอกให้ปรามมือปืนสาว ปราการจึงพูดเป็นเชิงเตือน
“ทำตามที่นายสั่ง ไม่ต้องถามเยอะหรอกน่าวาด”
“ค่ะ” ปานวาดรับคำ
“ไปเตรียมตัวได้ ถ้าภูผากับเมฆมาแล้วให้เรียกเข้ามา”
ปานวาดแปลกใจประสมสงสัย “เอ่อ...เรียกทั้งสองคนเลยเหรอคะ”
“ใช่ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ”
ปานวาดลุกเดินออกไป สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่านายจะให้เมฆกับภูผาจะทำอะไรกัน
ปานวาดออกมาเจอภูผากับหมอกที่รออยู่กับปิงตรงอีกมุมในคฤหาสน์ จึงบอกภูผาและหมอกในคราบเมฆว่า
“นายรออยู่”
ภูผามองประสานสายตากับหมอกอีกครั้ง หมอกก็จ้องภูผากลับ ก่อนที่สองหนุ่มจะเดินเข้าไปในห้องทำงานตะวัน พอคล้อยหลังสองคนที่ลับกายไปแล้ว ปานวาดจึงเอ่ยถามปิงเป็นเชิงหารือ
“ทำไมนายถึงเรียกแยกด้วยนะ”
“สงสัยนายจะให้ทำงานด้วยกันน่ะ โอ้โห พี่เมฆกับพี่ภูผาจะได้ร่วมงานกันอีกครั้งเหรอเนี่ย ฮ่าฮ่า งานนี้งานหญ่ายจริงๆ”
ปิงยกมือทำเป็นปืนยิงออกปาก ยิ่งทำให้ปานวาดอยากรู้
ภูผากับหมอกเข้ามาหาตะวันในห้องทำงาน ทันทีที่สองคนลงนั่งตะวันจ้องหน้าทั้งคู่ก่อนจะสั่งงานออกมา น้ำเสียงเรียบ
“ฉันจะให้แกทั้งสองคนไปหานายพลยี่เส่งกับฉัน”
ทั้งสองมองหน้ากัน ภูผาเป็นฝ่ายถามขึ้นว่า
“แล้ววาดล่ะครับ”
“วาดไปทำงานของเค้า แยกกัน แกกับเมฆทำด้วยกันกับฉัน”
“เอ่อ คือผมไม่อยากมีปัญหาตอนทำงานกับเมฆน่ะครับ” ภูผาชิงออกตัว
หมอกมองหน้าภูผา แขวะอยู่ได้
“มีปัญหาอะไรเหรอ ฉันควรจะพูดคำนี้กับนายมากกว่านะ เพราะคราวที่แล้วหลังจากที่ฉันทำงานกับนาย กลับมาฉันก็ไม่ปกติเลย”
หมอกมองจ้องหน้า ภูผาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนสวนกลับเสียงแข็งกร้าว
“แล้วแกคิดว่าแกน่าไว้ใจนักเหรอไอ้เมฆ แกหายไปแล้วกลับมาบอกทุกคนว่าความจำเสื่อม เสื่อมจริงหรือแกล้งเสื่อม พูดมาสิ แกมีอะไรปกปิดพวกเรารึเปล่า”
สองคนประจันหน้าจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนตะวันตวาดขึ้น
“หยุด! แล้วพวกแกคิดว่าฉันไว้ใจพวกแกสองคนนักรึไง งานนี้พวกแกต้องทำให้ฉันเห็นให้ได้ว่าแกสองคนไม่คิดทรยศฉัน”
สองคนอึ้งพอกัน ตะวันลุกขึ้น ย้ำน้ำคำอย่างหนักแน่น
“ไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย พรุ่งนี้งานใหญ่ฉันไม่ยอมให้เสียงานของฉันแน่”
ภูผากะหมอก น้อมรับ “ครับ”
ตะวันมองสองคนนี้อย่างวัดใจ
ปานวาดรออยู่หน้าคฤหาสน์ จนเห็นหมอกเดินออกมา
“เป็นไง โอเครึเปล่า”
“ถามคำแรกแบบนี้เลยเหรอ” เขายิ้มๆ “ก็พอไหว”
“นายให้เมฆทำงานกับภูผาเหรอ”
“อืม ไปหานายพลยี่เส็งกับนาย”
ปานวาดมองจ้องหน้าหมอก
“เมฆดูมีเหตุผลมากขึ้น ทำงานครั้งนี้อย่าวู่วามนะ วาดไม่อยากให้เหมือนครั้งที่แล้ว”
“ไม่ต้องกลัวนะ เมฆไม่ใช่เมฆคนเดิมแล้ว” หมอกเน้นคำตอนท้ายว่า “จะไม่มีใครมาทำอะไรได้”
“ฟังแล้วสบายใจจัง”
ปานวาดยิ้มให้ หมอกมองปานวาดสัมผัสได้ว่าเธอรักเมฆจริงๆ อดดีใจแทนน้องไม่ได้
“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่ดีกับผม”
สองคนมองกัน แล้วภูผาเดินออกมาเห็นพอดี ภูผาแอบจ๋อย ทั้งสองคนหันไปเห็นภูผามอง ภูผาหลบตา ปานวาดกลัวมีเรื่อง แต่หมอกจ้องกลับเฉยๆ แววตาไม่เหมือนเมฆ
“ไปกันเถอะเมฆ”
ปานวาดพาเมฆขึ้นรถ แล้วขับออกไป ภูผามองตามจนลับตา
เย็นย่ำ ตะวันใกล้จะตกดิน ภูผานั่งมองผ่านระเบียงห้องออกไปไกลคิดถึงเรื่องปานวาด
ตอนรู้ว่าตะวันให้ปานวาดแยกไปทำงาน
คิดทบทวนแล้วทบทวนอีก ภูผายิ่งมีอาการหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
“วาดต้องไปรับของแน่ๆ ทำไมต้องให้วาดทำคนเดียวด้วยนะ”
ภูผามองโทรศัพท์ที่เปิดเบอร์อัคคเดชขึ้นมาแล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะโทร.แจ้งดีไม่โทร.ดี ว่าปานวาดเป็นคนไปรับยา สักพักหนึ่งเสียงโทรศัพท์จึงดังขึ้น
เห็นเป็นข้อความไลน์จาก “พี่แดง” พี่สาวของเขาส่งมา
สีหน้าภูผาชะงักงัน แปลกใจอยู่ในที เปิดอ่านข้อความ
“แม่ไม่สบายเข้าโรงพยาบาล”
ภูผามีสีหน้าเป็นกังวล ห่วงมารดาจับจิต
“แม่ไม่สบาย”
รถภูผาแล่นเข้ามาจอดในที่จอดรถโรงพยาบาล เขาถอดหมวกออก ท่าทีลังเลที่จะลงจากรถ นิ่งคิดชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตันสินใจไปเผชิญหน้ากับครอบครัว
ภูผาเดินผ่านประตูเข้ามา แล้วต้องผงะเมื่อเจอกับพ่อและพี่สาวที่เดินสวนมาอีกทาง ทั้งสองฝ่ายอึ้งมองหน้ากันด้วยความตกใจ
“พ่อ”
พ่อสวนขึ้นทันควัน “ฉันไม่ใช่พ่อแก”
ภูผาหน้าเจื่อนไปถนัดตา พ่อหันไปด่าพี่สาว
“แกบอกมันมาทำไม”
คนเป็นพี่สาวนิ่งไม่ตอบ สีหน้าไม่ดี กลัวมีเรื่อง ข้างคนเป็นพ่อที่กำลังโมโห ถึงกับบันดาลโทสะ หันไปคว้าถุงโจ๊กในมือพี่สาว มาปาใส่หน้าภูผาอย่างแรง พร้อมกับออกปากตะเพิดไล่
“แกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ อย่าเอาเสนียดมาติดครอบครัวฉัน”
ภูผายกมือปาดโจ๊กออกจากหน้า ตาแดงมองคนเป็นพ่ออย่างน้อยใจ อยากอธิบายแต่พูดไม่ได้ จึงได้แต่ตัดใจเดินออกมาอย่างคับแค้นใจ
รถบิ๊กไบค์ของภูผาแล่นมาตามถนนในกรุงเทพฯ สีหน้าของภูผาคิดทวนหวนย้อนถึงเส้นทางนักเลงของเขา
มันเริ่มขึ้นที่โรงเรียนนายร้อย ภูผาอยู่ในชุดออกกำลังกายกำลังถูกทำโทษ มีครูฝึกยืนตะคอกใส่อยู่ข้างๆ และมองอย่างเยาะเย้ย ภูผายืนขึ้นเมื่อทำเสร็จ มองหน้าครูฝึกอย่างไม่พอใจ ครูฝึกตะคอกใส่
“มองหน้ามีปัญหาเหรอ”
ภูผามองสบตาตาขวาง ครูฝึกเอานิ้วจิ้มอก จงใจหาเรื่อง
“ถ้ามีปัญหาจะลองวัดกันดูก็ได้นะ”
ขาดคำภูผาชกตูมเข้าที่หน้าครูฝึกเข้าเต็มแรง ล้มทั้งยืน
ภูผาถูกไล่ออกเดินคอตกออกจากโรงเรียน ผ่านหน้าประตูโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเสียงดังก้องขึ้นในหัว
“นักเรียนนายร้อยตำรวจภูผา รักษาทรัพย์ทำผิดวินัยร้ายแรง ทำร้ายผู้บังคับบัญชาในระหว่างฝึก จำต้องให้ออกจากความเป็นนักเรียนนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จึงประกาศมาเพื่อทราบ”
ภูผาเขาแก๊งนักเลงตามครรลอง ยกพวกตีกันกับแก๊งอริ ตะลุมบอนกันหน้าผับดัง ภูผาเป็นหนึ่งในนั้น ตำรวจมาถึงไล่จับ นักเลงหนีเตลิด
ต่อมาภูผาแอบลักลอบส่งยาให้ลูกค้าในมุมเปลี่ยวสายตรวจขี่จักรยานยนต์มาเจอ ไล่กวดกัน
คดีนี้เป็นคดีสำคัญที่อัคเดชจัดฉากขึ้น เพื่อทำให้ภูผาติดคุก ถูกย้ายไปคุมขังในแดนเดียวกับเสือ
ภูผาถูกจับกุม พิมพ์ลายนิ้วมือในฐานะอาชญากร
พ่อบันดาลโทสะ ตบหน้าภูผาบนโรงพัก ด่าสาดเสียเทเสีย
“ไอ้ลูกไม่รักดี กูอยากให้มึงเป็นตำรวจ แต่นี่มึงทำอะไร มึงทำแบบนี้ทำไม”
พ่อตบตีภูผาไม่ยั้ง ภูผาเก็บกดอัดอั้นตันใจ อย่างที่สุด
แม่กอดพี่สาวร้องไห้โฮ สงสารลูกชายจับใจ
คิดถึงเรื่องนี้แล้วภูผาตาแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้าเมื่อนึกถึง เขาเร่งเครื่องแซงรถคันข้างหน้าไปเหมือนจะระบายความอัดอันที่มี
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
อัคคเดชทวนคำอย่างตกใจ หลังฟังคำพูดภูผาจบลง สองคนอยู่ในสถานที่ลับตาเช่นเคย
“อะไรนะ อยากเลิกเป็นสาย”
“ครับ ผมทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
ภูผาระบายออกมาอย่างอัดอั้นตันใจ “แม่ผมป่วยก็ไปเยี่ยมไม่ได้ จะอธิบายเรื่องที่พวกเขาเข้าใจผิดก็ทำไม่ได้”
อัคคเดชได้ยินถึงกับอึ้งไปถนัดตา
“แม่ผมแก่แล้ว ผมกลัวจะไม่ได้อธิบายให้เข้าใจว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”
ภูผาระบายความอัดอั้น น้ำตาซึม น้อยใจถึงขีดสุด อัคคเดชตบไหล่ให้กำลังใจ
“ใจเย็นๆ ก่อน วันนึงเขาจะต้องได้รู้ว่าทั้งหมดที่คุณทำลงไป มันคือหน้าที่”
“แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วย ตำรวจเมืองไทยมีเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไมต้องเป็นผมด้วยที่ต้องทำ”
“เพราะคุณเลือกเองตั้งแต่แรก คุณจำไม่ได้เหรอ”
ภูผาอึ้งนิ่งงันไป มองหน้าอัคคเดชอยู่อึดใจ แล้วบอกขึ้นว่า
“งั้นผมขอเลือกที่จะเลิกภารกิจนี้แล้วกัน”
อัคคเดชบอกอย่างเอาจริงเอาจัง “เลิกตอนนี้ถือว่าละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ จะไม่มีการคืนสถานะให้เด็ดขาด”
ภูผาโวยลั่น “หมายความว่า จะต้องให้ผมตายก่อนใช่มั้ย ถึงจะเลิกได้”
อัคคเดชเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกภูผา
“ผมรู้ตอนนี้คุณมีเรื่องกลุ้มใจให้ต้องคิดหลายเรื่อง แต่เราใกล้ถึงเป้าหมายมากแล้วนะ ถ้างานครั้งนี้สำเร็จ คุณก็เลิกได้ แล้วเงินทั้งหมดที่คุณตั้งใจจะให้ครอบครัวตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ มันก็จะเป็นตามนั้น อีกแค่นิดเดียวภูผา คุณอดทนอีกหน่อย ความจริงมันใกล้ถึงแล้ว”
ภูผาถอนใจเฮือกใหญ่อย่างยอมจำนน เขาเว้นช่วงไปนิดหนึ่งก่อนตัดสินใจบอกขึ้นในที่สุดว่า
“ปานวาดน่าจะเป็นคนไปรับยา คงต้องสะกดรอยเธอถึงจะรู้ว่ารับยากันที่ไหน”
อัคคเดชยิ้มพอใจ เดินเข้าไปแตะไหล่ขอบคุณ
ภูผายืนนิ่ง แม่คือเหตุผลที่ทำให้ภูผาตัดสินใจบอก เขาอยากไปให้พ้นๆ นรกขุมนี้เหลือเกินแล้ว
รุ่งเช้า อัคคเดชเรียกประชุมทีมเมฆาพยัคฆ์ สั่งการเสียงเข้ม
“เราจะเริ่มปฎิบัติภารกิจจับนายตะวันกับพวกที่ลอบค้ายากับนายพลยี่เส่ง”
มนตรีกับยักษ์จอดรถซุ่มดูอยู่หน้าคอนโดปานวาด โทรศัพท์ดังขึ้น มนตรีรับสาย เป็นอัคคเดชโทร.มา
มนตรีเปิดเสียงออกทางลำโพง คุยสายให้ยักษ์ได้ยินด้วย
“ครับผู้กำกับ”
“ตามดีๆ อย่าให้พลาดล่ะ ถ้าพลาดงานนี้ ได้ย้ายหน่วยแน่”
“ขึ้นกองบัญชาการเหรอครับ”
อัคคเดชบอกกลับมาว่า “ตชด.”
มนตรีสะดุ้ง “ชะอุ้ย แรง”
ยักษ์หัวเราะขำ อัคคเดชวางสายไป
จากเช้าจนถึงเย็น สองคนยังคงปักหลักรออยู่หน้าคอนโดปานวาด ยักษ์มองมนตรีที่เริ่มสัปปะหงก จนหัวเกือบโขกพวงมาลัย แล้วยิ้มขำ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นรถหมอกที่จอดรออยู่ เคลื่อนออกจากตัวอาคารคอนโด
ยักษ์สะกิดมนตรีให้ดู มนตรีงัวเงียตื่นขึ้น มองตามที่ยักษ์ชี้ให้ดู เห็นรถปานวาดกำลังเคลื่อนออกไป
มนตรีรีบสตาร์ตเครื่องสะกดรอยตามไป
คลับภัสสรคึกคักทุกค่ำคืน สมกับเป็นอโคจรสถานอันดับต้นๆ ของถนนสายโลกีย์แห่งนี้ แขกขี้เอามาดภูมิฐานมีกะตังค์แน่นตั้งแต่หัวค่ำ นั่งดริ้งค์นัวเนียกับสาวๆ หน้าตาสวยระดับนางแบบ และพริตตี้ทั้งสิ้น
ขณะที่ภัสสรกำลังทักทายแขก ในบรรยากาศชื่นมื่น พรชัยเดินเข้ามากระซิบบอกว่า
“นายตะวันมาแล้วครับเจ๊”
รถตู้เก๋งแล่นมาจอดหน้าคลับ ส่ง ตะวัน ลงจากรถพร้อมปราการ หมอก และภูผา ทั้งหมดถูกถ่ายรูปเก็บ จากคนของอัคคเดชที่ซุ่มอยู่มุมสูงจากไหนไม่รู้
เวลาเดียวกันนี้ ภาพบนจอโน้ตบุ๊คในรถโมบาย เป็นภาพของตะวัน ปราการ หมอก และภูผา กำลังเดินเข้าคลับ อัคคเดช อ้อย และชบา กับเจ้าหน้าที่อีกหลายคนทั้งหน่วยดักฟัง หน่วยไอที ที่จับสัญญาณคลื่นโทรศัพท์ ชบามองจ้องภูผาที่อยู่ในจอเขม็ง แค้นสุดจะแค้น
“เลวจริงๆ”
ภัสสรหันมองนายตะวันที่เดินนำลูกน้องเข้ามา ตะวันยิ้มยั่วทัก ภัสสรไม่ยิ้มตอบและไม่สบตาด้วย กูรังเกียจมึง
“ทุกอย่างพร้อมนะ”
“ฉันไม่ทำให้แป๊ะกงเสียหน้าหรอก”
“ก็ดีแล้ว”
ภัสสรตัดบทด้วยการหันไปพยักหน้าบอกพรชัยให้พาตะวันไปยังห้องรับรองที่เตรียมไว้
“เชิญทางนี้ครับ” พรชัยผายมือเชื้อเชิญ
ตะวันจะก้าวเดินตาม ชะงักหันมามองภัสสร
“สาวๆ ด้วยนะ”
ภัสสรมองตะวันอย่างหมั่นไส้
“แล้วก็พวกของหมดอายุแล้วไม่เอานะ”
ตะวันทำหน้าเป็นเชิงบอกว่าภัสสรนั่นแหละที่หมดอายุ เล่นเอาภัสสรฉุนขึ้นมาติดหมัด ตะวันยิ้มเยาะก่อนเดินจากมา ทุกคนเดินเข้าไปในห้องวีไอพี ยกเว้นปราการที่ออกไปรอต้อนรับยี่เส่งที่หน้าคลับ
สักครู่หนึ่ง ตามเวลานัดหมายเป๊ะ รถเอ็มพีวีของคณะนายพลยี่เส่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคลับ ไล่ๆ กันสองคัน ยี่เส่งคันหน้า ผู้ติดตามอยู่คันหลัง
ประตูรถคันหน้าเปิดออก ยี่เส่งก้าวลงมาจากรถ ประเมินอายุน่าจะราวๆ ห้าสิบต้นๆ ดูแข็งแรง สมกับเป็นทหารกร้านศึก สีหน้าท่าทางดุดัน ลูกน้องที่ลงจากรถอีกคัน 5-6 คน กระจายตัวให้การอารักขา ท่าทางเหมือนเป็นทหารมีฝีมือ
ปราการเป็นคนมาคอยรับ ยกมือไหว้ทักนอบน้อม ยี่เส่งรับไหว้
“เชิญครับท่านนายพล”
ยี่เส่งยิ้มรับเอาคำ
ภาพบนจอโน้ตบุ๊ค ถ่ายทอดสดภาพของยี่เส่งกับพวกที่เดินตามปราการหายเข้าคลับไป อัคคเดช อ้อย และ ชบา พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกหลายคนดูอยู่
ภาพยี่เส่งถูกตัดปรับขึ้นจอให้ทุกคนดู เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบความถูกต้องกับโปรแกรมตรวจสอบเทียบอัตตลักษณ์บุคคล
อัคคเดชยืนดูอย่างสนใจ สักครู่หนึ่ง โปรแกรมเทียบภาพประมวลผลเสร็จ ยืนยันเป็นยี่เส่งตัวจริง
“ยืนยันค่ะ เป้าหมายเป็นนายพลยี่เส่งตัวจริง” ชบารายงาน
อ้อยหันมองสบตาอัคคเดชเป็นเชิงปรึกษา ก่อนบอกขึ้นว่า
“งั้นคนคุ้มกันมันติดอาวุธมาด้วยแน่คะแบบนี้”
“งั้นแจกเสื้อเกราะ เผื่อไว้ก่อนเลย ป้องกันการสูญเสียหากมีการปะทะ”
อ้อยน้อมรับ “ค่ะ”
ยี่เส่งถูกปราการเชิญมาพบตะวันในห้องรับรองวีไอพี หมอก และ ภูผา จ้องตาเป็นมันได้เจอนายพลยี่เส็งคนดัง ตัวเป็นๆ ตะวันลุกขึ้นให้การตอนรับไหว้ทัก
“สวัสดีครับท่านนายพล”
“หวัดดีๆ ในที่สุดก็ได้เจอตัวเป็นๆ สักทีนะคุณตะวัน”
“ขอบคุณครับที่ท่านให้เกียรติ เชิญนั่งครับ เชิญ”
ตะวันนำนายพลลงนั่ง ยี่เส่งหันไปพยักหน้ากับลูกน้องที่ตามมา ลูกน้องจึงหยิบเอากล่องลูกอมออกมา ตะวันมองฉงน
“อะไรครับเนี่ย”
“ตัวใหม่ เรียกว่า Paradise เม็ดเดียวก็ขึ้นสวรรค์แล้ว”
ตะวันหันไปพยักหน้าให้ปราการเป็นคนมารับไปลอง ปราการรับมาแล้วเปิดออกทดลอง ตะวันมองอย่างสนใจ ภูผาและหมอกมองอย่างสนใจเช่นกัน ปราการออกอาการเมื่อยาออกฤทธิ์
ตะวันถามขึ้น “เป็นไง”
ปราการหันมายิ้ม ก่อนยกมือการันตีให้อีกว่าเยี่ยม ยี่เส่งยิ้มหน้าบาน
“งั้นก็โอเคครับ มีเท่าไรก็ส่งมาเลยครับ เดี๋ยวผมหาตลาดส่งต่อให้เอง”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
ตะวันยิ้มรับอย่างยินดี
“แล้วเรื่องอาวุธที่จะส่งให้ผมล่ะ คุณจะส่งให้เมื่อไร”
ภูผาเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ
“ของจะเข้าท่าอาทิตย์หน้าครับ อย่างช้าก็อีกสักสองอาทิตย์ถัดไปน่าจะถึงมือท่านนายพล”
“ได้อย่างงั้นมันก็ดี ผมกำลังถูกกดดันอย่างหนัก จะได้มีอาวุธไว้สู้”
ตะวันเยื้อนยิ้มรับเอาคำนั้น
“งั้นรับส่งของงวดนี้กันเลยมั้ย”
“แต่ก่อนส่งของ ผมอยากคุยธุระที่เคยเกริ่นไว้กับท่านก่อนหน้านี้”
ยี่เส่งอึ้งไปนิด เงียบไปครู่หนึ่งจึงถาม “ลองว่ามาซิ”
“ผมอยากให้ท่านสนับสนุน”
ยี่เส่งอึ้งไปอีก ท่าทางจะคิดหนัก ภูผาซึ่งคอยเงี่ยหูฟังเก็บข้อมูลอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงกับตกใจอึ้งไป
ยี่เส่งตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “แต่ผมกับแป๊ะกงทำการค้ากันมานาน ตั้งแต่รุ่นพ่อผม มันคงไม่ดีเท่าไรที่ผมจะหันไปสนับสนุนคุณ”
ตะวันโน้มน้าว ชักแม่น้ำทั้งห้า “แต่ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้านะครับ เวลาของแป๊ะกงใกล้หมดแล้ว อีกไม่นานก็น่าจะวางมือ อยู่บ้านเลี้ยงหลานหาความสุขปั้นปลายชีวิตจะดีกว่า”
ยี่เส่งพูดดักคอ “คุณพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าคุณตัดสินใจไปแล้ว จะมีผมหรือไม่มีผม ผมว่าไม่สำคัญแล้วล่ะ”
“ไม่หรอกครับ ยังไงท่านก็ยังสำคัญอยู่ดี ถ้าไม่มีท่านแล้วผมจะเอายาที่ไหนขาย”
“ไม่ต้องมาปากหวานกับผมหรอก ผมไม่ใช่สาวๆ แถมเป็นคนแก่ขี้ระแวงอีกต่างหาก”
ตะวันได้ยินก็อึ้งไปอีกนิด ผิดจากที่คาด
“แต่ผมก็รู้ว่า คนเรามีขึ้นมีลง ผมก็ต้องทำการค้ากับคนที่กำลังขาขึ้น” ยี่เส่งเว้นวรรคไปนิดหนึ่ง “เอาเป็นว่า เรื่องคุณกับแป๊ะกง ผมไม่ขอยุ่งด้วยแล้วกัน แต่เรื่องการค้าคุยกันได้ ถ้าราคาโอเค ผมก็โอเค”
“ได้ครับ” ตะวันยิ้มรับเอาคำตอบ อย่างยินดี
ยี่เส่งยิ้มยินดีเช่นกัน
“ผมรู้ว่านานๆ ท่านเข้าเมืองที ผมเตรียมทีเด็ดเอาไว้ให้ท่านแล้ว”
พร้อมกับที่ว่า ตะวันหันไปดีดนิ้วบอกปราการ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ แล้วเดินไปเปิดประตู สาวสี่นางในชุดเสื้อผ้าน้อยชิ้น เดินนวยนาดกรีดกรายเข้ามาโชว์ตัวให้ยี่เส่งดู
นายพลคนดังของโลก มองตาเป็นมัน เพราะ เอ็กซ์ อึ๋ม เซ็กซี่ ทั้งสี่นาง
“สี่คนเลยเหรอ” ยี่เส่งถามย้ำ
“ครับ”
“อย่างนี้ก็ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดซิคืนนี้” นายพลคนดังของโลกหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ตะวันยิ้มรับ “งั้นผมขอตัวไปขึ้นสวรรค์ก่อนแล้วกัน ทางนี้คุณก็จัดการกับลูกน้องผมไป คงไม่มีปัญหาอะไรนะ”
“ครับ”
ยี่เส่งลุกเดินไปหาสี่สาวแล้วโอบซ้ายสองขวาสองเดินออกจากห้องไปขึ้นสวรรค์
ตะวันหันไปพยักหน้ากับปราการเป็นเชิงให้สัญญาณบางประการ ปราการพยักหน้ารับเอาคำสั่ง
ภูผากับหมอก แอบสังเกตอยู่ตลอดเวลา
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 8 (ต่อ)
รถคันนั้นจอดนิ่งอยู่ในมุมมืด ปานวาดนั่งอยู่ในรถคันนั้น จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานวาดรับสาย
“คะพี่ปราการ”
“รับของได้แล้ว”
“ค่ะ”
ปานวาดกดวางสายแล้วเคลื่อนรถออกรถ มุ่งหน้าสู่ถนนใยแมงมุม
ทางแยกใยแมงมุมนี้สามารถเดินรถไปได้หลายเส้นทาง รถปานวาดแล่นมาจอดชิดข้างทางที่ใยแมงมุมเส้นหนึ่ง ก่อนที่ปานวาดจะกดโทรศัพท์หาปราการ
ปราการรับสายอยู่ในห้องรับรอง
“พร้อมแล้วค่ะพี่”
ปราการหันมาบอกกับลูกน้อง 1 ของนายพลยี่เส่ง
“คนของผมพร้อมแล้วครับ”
ลูกน้อง 1 จึงกดโทรศัพท์โทร.หาคนของตน ภูผาแอบมองอยู่ เอามือล้วงกระเป่ากดโทร.ออกจาก เฮดเซ็ตที่อยู่ในกระเป๋า เป็นการโทร.ออกจากเบอร์ที่ตั้งรอเอาไว้
จากจุดซุ่มกำลัง เสียงโทรศัพท์ของผู้กำกับดังขึ้น อัคคเดชหยิบมาดู เห็นว่าเป็นเบอร์ P โทร.เข้ามา
อัคคเดชกดไม่รับสาย รีบหันไปสั่งการทางวิทยุตำรวจทันที
“เตรียมตัวจับกุมได้”
ไม่ห่างจากจุดรับของ เห็นจ่ายักษ์ จ่ามนตรี และพวก จอดรถซุ่มดูอยู่ในความมืด
“รับทราบ”
ด้านบนของทางใยแมงมุมตอนนี้ มีรถคันหนึ่งแล่นมาจอด ตรงกับถนนด้านล่าง ใครคนหนึ่งลงจากรถแล้วกระพริบไฟฉายเป็นสัญญาณ ปานวาดมองอยู่กระพริบไฟหน้ารถตอบ
มีกระเป๋าใบหนึ่งถูกทิ้งลงมาจากใครคนนั้น เป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ชนิดสะพายที่พวกนักกีฬาใช้กัน แล้วรถคันที่มาทิ้งของก็วิ่งออกไป
ปานวาดรีบลงจากรถไป ในทันทีที่เธอหยิบกระเป๋า แสงไฟจากรถที่ซุ่มอยู่ก็สว่างวาบขึ้น แล้วมีกำลังตำรวจวิ่งเข้าชาร์จปิดล้อมไว้ทุกด้าน ปานวาดหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ ตำรวจลงมากระจายกำลังปิดล้อมทุกทิศ
สองจ่า ยักษ์ กับมนตรี ออกจากรถคันหนึ่ง ชักปืนเล็งเตรียมพร้อมในท่ายิง ยักษ์ตะโกนขึ้นว่า
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกมือขึ้นเหนือหัว”
ปานวาดทำตามอย่างยอมจำนน
“คนในรถออกมาแล้วชูมือขึ้นเหนือหัวช้าๆ”
สองจ่าเคลื่อนกำลังเข้าจับกุม
จ่ามนตรีตรงดิ่งไปที่กระเป๋าในทันที ขณะที่จ่ายักษ์พร้อมเจ้าหน้าที่คนอื่นเข้าคุมตัวปานวาดไว้ พร้อมทำการค้นตัว ปานวาดนั้นยังตกอยู่ในอาการงงๆ ว่าอยู่ๆ ตำรวจโผล่มาได้ยังไง
กระเป๋าถูกเปิดออกเผยให้เห็นของภายใน มนตรีมองจ้องอย่างคาดไม่ถึง ตกใจกับสิ่งที่อยู่ข้างใน รีบยกวิทยุขึ้นรายงาน
“ไม่ใช่ยาครับ”
ปานวาดแปลกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
เสียงของจ่ายักษ์ที่รายงานกลับมาทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างอึ้งไปด้วยความตกใจ โดยเฉพาะอัคคเดช
“แล้วมันเป็นอะไร”
จ่ายักษ์หยิบของในกระเป๋าออกมา พบว่าว่ามันเป็นตุ๊กตาเสือใส่ชุดตำรวจ
“ตุ๊กตาเสือใส่ชุดตำรวจครับ” มนตรีบอกมาจากถนนใยแมงมุม
ปานวาดอึ้งไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ที่จุดซุ่มของทีมเมฆาพยัคฆ์ อัคคเดชมองหน้ากันกับหมวดอ้อย และหมวดชบา อย่างประหลาดใจถึงขีดสุด เมื่อรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอก
“เราหลงกลนายตะวันเข้าให้แล้วค่ะ” อ้อยปรารภ
อัคคเดชกลืนน้ำลายฝืดคอ หน้าแตกสุดๆ
“เอาไงต่อดีคะ เราไม่มียาของกลางแล้ว จะจับยี่เส่งรึเปล่าคะ”
อัคคเดชอึ้ง คิดหนัก
รถลากคันหนึ่งกำลังยกรถที่จอดเสียอยู่ข้างทางขึ้นรถมา ปิงปลอมตัวเป็นเด็กขับรถยกคันนั้น
“ฮ่าฮ่า งานนี้ปิงขอเป็นพระเอกนะเฟ้ย”
รถถูกยกเสร็จ ปิงหยิบโทรศัพท์มาโทร.รายงาน
“เรียบร้อยครับพี่”
ตะวันหัวเราะขำ หลังจากปราการมากระซิบรายงาน ภูผาลอบสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ตะวันบอกกับตัวเองอยู่ในใจ
“ไอ้พวกหน้าโง่ คิดว่าจะจับกันได้ง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง”
พลางยกแก้วไวน์ขึ้นมากระดกอย่างสะใจ จนมีเสียงข้อความไลน์ดังขึ้น ตะวันกดเปิดดูข้อความที่มีสายของตนส่งมาบอกทาง line หมอกและภูผาลอบมองอย่างสนใจ
รถตำรวจ 191 แล่นตามกันเป็นขบวนเข้าไปในลานจอดของคลับ ผู้กำกับอัคคเดชและพวกออกจากที่ซ่อน ข้ามถนนมาจากฝั่งตรงข้าม เข้าร่วมปฏิบัติการณ์ด้วย
แขกและสาวนั่งดริ้งค์ ที่กำลังสำราญกันอยู่ด้านใน พากันแตกตื่นเมื่ออยู่ๆ เห็นตำรวจกรูเข้ามา
พรชัยเห็นรีบเร้นตัวเข้ามารายงานภัสสรในห้อง
“ตำรวจมาครับ”
“ห๊า” ภัสสรร้องขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด
ไฟในคลับสว่างพรึ่บขึ้น แขกและสาวๆ ต่างตกใจยิ่งกว่าเก่า เมื่อตำรวจกระจายกำลังเข้าคุมพื้นที่ทั้งหมด ภัสสรรีบตรงเข้าหาอัคคเดชเพื่อรับหน้า
“มีอะไรเหรอคะ”
อัคคเดชทิ้งให้เป็นหน้าที่ของหมวดอ้อย ในขณะที่ตัวเองตรงดิ่งเข้าไปด้านใน โดยมีชบาตามหลังไปติดๆ
“เราสงสัยว่าที่มีมีการซื้อขายยาเสพติด จึงขอทำการตรวจค้น”
พร้อมกับว่า หมวดอ้อยยื่นหมายค้นให้ ภัสสรตะลึงตะไล สีหน้าตกใจสุดขีด
อัคคเดชนำชบากับตำรวจส่วนหนึ่งตรงมายังห้องรับรองพิเศษ ทั้งทีมประจำที่เมื่อมาถึง อัคคเดชพยักหน้าเป็นเชิงออกคำสั่งให้บุกเข้าไป
ประตูเปิดออกตำรวจที่สนธิกำลังนำทีมเข้าไป ตามด้วยอัคคเดช และชบา ก่อนที่ทั้งสองทีมจะผงะอึ้งไป เมื่อเห็นตะวันนั่งจิบไวน์รอท่าอยู่ในห้องคนเดียวสบายใจเฉิบ แถมยิ้มทักทายมายังอัคคเดชอย่างใจเย็น มีความเยาะเย้ยหยามหยันอยู่ในนั้นทุกคำ
“มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ คุณตำรวจ”
สองอดีตเพื่อนรัก จ้องหน้าสบตากันเขม็ง มีความโกรธ แค้น อาฆาต อยู่เต็ม ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน
อ่านต่อตอนที่ 9