ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 15
หน้าอุโมงค์...สินธรแอบดูอยู่มุมหนึ่ง เห็นอัคนีถอดเสื้อลงมือขุดอุโมงค์กับชาวบ้านชายอย่างแข็งขัน บางทีก็พูดแนะนำให้ชาวบ้านขุดตาม มาลีกับชาวบ้านหญิงช่วยกันถือคบไฟให้ความสว่าง ฐากูรเดินมาเห็นสินธรเข้ามาทัก
“ท่านสินธร...”
“นายอัคนีเป็นยังไงบ้าง”
“ขยันขันแข็งดีครับ กระตือรื้อร้นช่วยเหลืองานทุกอย่างในหมู่บ้าน แม้นกระทั่งขุดอุโมงค์ลับสำหรับที่พวกเราจะไว้หลบภัย เขาก็มาช่วยขุดทั้งกลางวันกลางคืน”
สินธรหันกลับมาหาฐากูร
“แต่ยังไงก็อย่าไว้ใจมากนัก ยิ่งช่วงที่ฉันไม่อยู่ให้จับตาดูไว้”
“ท่านสินธรจะไปไหนครับ”
“ฉันจะไปหาน้ำแร่มาให้อาจารย์ทำยาถอนพิษให้องค์ราชา”
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปช่วยด้วย”
“อย่าเลย นายอยู่ทางนี้คอยดูแลคุ้มกันหมู่บ้านให้ดี ฉันเชื่อว่าพวกนายพลวิฑูรคงไม่ปล่อยพวกเราไปง่ายๆหรอก”
“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยครับท่านอาจารย์ถึงได้สั่งให้พวกเราขุดอุโมงค์หลบภัย”
“อาจารย์มักคาดการณ์อะไรถูกเสมอ ฝากนายด้วยฉันจะรีบไปรีบกลับ”
“ครับ ข้าจะดูแลทุกคนที่หมู่บ้านด้วยชีวิตของข้าเอง”
สินธรตบบ่าฐากูรแรงๆอย่างขอบใจ
ตำหนักพระนางสาวิตรีเช้าวันใหม่...พระนางสาวิตรีนั่งอยู่ ให้หมอหลวงเอาไฟฉายเล็กๆส่องในตา
“แค่เยื่อบุพระเนตรอักเสบ ไม่มีอะไรร้ายแรงพะยะค่ะ”
“แต่เรายังไม่หายแสบตาเลย หมอตรวจดูดีหรือเปล่า ยานั่นมันมีพิษร้ายแรงมากนะ”
หมอหลวงอึ้งไป นายพลวิฑูรกระแอม หมอหลวงแปลกใจ
“มีพิษ เอ๊ะ...ก็พระโอสถนั่นเป็นสมุนไพรธรรมดาเท่านั้นไม่ใช่เหรอพะยะค่ะ”
นายพลวิฑูรแทรกขึ้น
“ก็ใช่น่ะซิ เป็นสมุนไพรบำรุงพระโลหิต ไม่มีพิษอะไรหรอก”
พระนางสาวิตรีค่อยรู้ว่าพลาดไป
“ใช่ๆ มันไม่ได้มีพิษ เรามัวแต่ตกใจเลยพูดผิดไป”
“หรือจะส่งให้เกล้ากระหม่อมเอาตัวยาไปตรวจดูก็ได้นะพะยะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง เราค่อยยังชั่วแล้ว ขอบใจมาก”
หมอหลวงโค้ง ออกไป พระนางสาวิตรีเอาผ้าเช็ดหน้าซับๆที่ตายังเครียดๆ
“หวังว่าจะไม่มีอะไรจริงๆนะ ถ้าเราตาบอด จะลงโทษหมอให้หนัก”
“สมุนไพรนี่จะทำปฏิกิริยากับพระโลหิต ไม่มีผลกับอวัยวะภายนอกพะยะค่ะ อย่าทรงกังวลเลย”
“เสด็จพี่ทรงทำกับเราเกินไปจริงๆ คงรักนังปรารถนากับไอ้คามินมาก...เราอยากให้มันฟื้นขึ้นมาเพื่อฆ่ามันอีกหนนัก”
“ทรงเคียดแค้นวิญญาณไปก็ไม่มีประโยชน์ คนที่ยังอยู่ต่างหากที่ต้องทรงจัดการให้สิ้นซาก”
พระนางสาวิตรีชะงัก
“พี่หมายถึง...”
“เกล้ากระหม่อม ให้คนไปสืบมาแล้ว การปกปิดฐานะของคามิน ทำกันเป็นกระบวนการ มีกองบัญชาการใหญ่เป็นกองทัพย่อยๆได้เลย”
“กองบัญชาการของมันอยู่ที่ไหน”
“หมู่บ้านภูสายธาร”
ในหมู่บ้านบริเวณที่ขุดอุโมงค์หลบภัย...มาลีเดินมาเห็นอัคนีแต่งปากอุโมงค์ที่ขุดเสร็จแล้วอยู่
“คนอื่นเขากินข้าวเช้ากันอยู่ ไม่หิวหรือไง”
“ฉันกินผลไม้ รองท้องไปแล้ว ยังไม่หิว”
“ทำเป็นขยัน เดี๋ยวถ้าเป็นลม ฉันไม่แบกนายไปหรอกนะ จะปล่อยให้นอนตากแดดอยู่นี่แหละ”
อัคนียังขุดต่อ มาลีไปแย่งเสียมออกมา
“บอกให้พอ พูดไม่รู้เรื่องเหรอ”
อัคนีเดินตาม
“ฉันก็แค่อยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับคนที่นี่บ้าง...ก็เธอบอกว่าพ่อฉันร้ายกับพวกเธอมากไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่แค่ร้าย เขาเรียกว่าชาติชั่ว”
อัคนีจ๋อยไป
“นั่นละ ถ้าฉันช่วยพวกเธอได้ ก็เท่ากับไถ่โทษให้พ่อฉันไง”
“แหวะ ทำมาพูดจาเป็นคนดี ฉันไม่หลงกลนายง่ายๆหรอก”
มาลีเดินหนี อัคนีมองไปตกใจ
“เฮ้ย ระวัง”
อัคนีกระโดดรวบตัวมาลีล้มลง
“อะไรเนี่ย แกไอ้บ้า พูดไม่ทันขาดคำ สันดานชั่วก็ออกแล้ว ตายซะเถอะ”
มาลี จะเอาเสียมตี อัคนีจับไว้ได้
“เฮ้ย ไม่ใช่ ดูนั่น”
มาลีหันไป เห็นธนูไฟปักอยู่ ที่พื้น มาลีตะลึง
เมฆากลับมาบดทำตัวยาอยู่ในกระท่อมไม่หลับไม่นอน อย่างตั้งอกตั้งใจมาก...เวลาผ่านไปเมฆาผสมสมุนไพรครบทั้งเจ็ดชนิด ห่อผ้าไว้ ถอนใจโล่งอกพึมพำ
“รอแค่น้ำแร่อีกอย่างเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้นเสียงฐากูรดังขึ้น
“เร็วช่วยกันดับไฟ...เร็วเข้า”
เมฆาชะงัก วิ่งไปที่ประตูกระท่อม เปิดออกมาแล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นกระท่อมหลังอื่นไฟไหม้ เมฆามองไปเห็นธนูไฟถูกยิงเข้ามาตกลงที่หลังคากระท่อมชาวบ้านไฟลุกท่วม ชาวบ้านวิ่งดับไฟกันชุลมุน ฐากูรตะโกนสั่งการชาวบ้าน มาลีกับอัคนีวิ่งมาหาเมฆา
“นี่มันอะไรกัน”
ฐากูรรีบวิ่งมารายงาน
“จู่ๆก็มีธนูไฟยิงตกมาที่หมู่บ้านเราครับท่านอาจารย์”
เมฆาหน้าเครียด
“ในที่สุดพวกมันก็มา มาลี อัคนีรีบพาชาวบ้านอพยพไปหลบที่อุโมงค์ลับเร็วเข้า แล้วอย่ากลับมาเด็ดขาดจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ”
“จ้ะ”
มาลีกับอัคนีรีบวิ่งไปต้อนชาวบ้านให้หนี ฐากูรมองเมฆา
“ผมจะออกไปต้านกับมัน”
“ไม่ต้อง”
เมฆาหายเข้าไปในกระท่อมครู่เดียวออกมาพร้อมห่อยาสมุนไพรยื่นให้ฐากูร
“เก็บยาสมุนไพรทั้งเจ็ดนี้ไว้ให้ดี หากสินธรเอาน้ำแร่กลับมารีบผสมแล้วนำไปให้องค์ราชาเสวย”
“แล้วท่าน”
เมฆาสำทับดุๆ
“รีบไป”
“แต่ผมจะไม่ทิ้งท่าน”
“ถึงเวลาที่เราจะต้องสะสางบัญชีเก่าซะที ไป...”
เมฆาหันกลับเข้ากระท่อม ฐากูรอึ้งยืนลังเลอยู่อึดใจ ตัดสินใจนำห่อยาวิ่งออกไป
นายพลวิฑูร สุเทษ อสิตเดินนำ ยักษ์และลูกน้องของอสิต รวมทั้งทหารรายาเข้ามาที่หมู่บ้าน ทุกคนมีอาวุธครบมือ หมู่บ้านเงียบเชียบ สุเทษแปลกใจ
“ทำไมมันเงียบผิดสังเกต ค้นดูให้ทั่ว เจอใครฆ่าให้หมด”
อสิตห้ามไว้
“เฮ้ย เดี๋ยว ใจเย็น...มันอาจจะจับลูกผมไว้ เดี๋ยวผมคุมไปเอง”
อสิตนำลูกน้องไป สุเทษหันมาหานายพลวิฑูร
“ตกลงไอ้เสี่ยนี่มันจะมาช่วยเราหรือช่วยลูกมันกันแน่”
“คนเป็นพ่อ...ต่อให้โหดเหี้ยมไร้หัวใจยังไง แต่กับสายเลือด ตัดไม่ขาดหรอก”
สุเทษฟังอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะกำพร้ามาตั้งแต่เกิด รีบวิ่งออกไปกับทหารจำนวนหนึ่ง ส่วนนายพลวิฑูรครุ่นคิด มองไปทิศทางบ้านเมฆา แล้วเดินไป
นายพลวิฑูรเดินเข้ามาที่บ้านเมฆาที่ปิดเงียบ สุเทษกลับมากับทหาร
“ไม่เจอใคร พวกมันน่าจะหนีไปหมดแล้วครับ ดูเหมือนพวกมันจะเตรียมตัวตั้งรับเราไว้อย่างดี”
นายพลวิฑูรมองที่บ้านเมฆา
“เมฆา แกนำฉันก้าวหนึ่งเสมอ”
สุเทษตะโกนออกคำสั่ง
“เผามันให้ราบ”
นายพลวิฑูรห้ามไว้
“เดี๋ยว...ยังเหลือพวกภูสายธารอยู่อีกคน”
“ใครครับ”
นายพลวิฑูรตะโกนเสียงดัง
“เรารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ เมฆา”
ประตูกระท่อมเปิดผางออก เมฆาเดินออกมา ทุกคนตะลึงยกปืนจะยิง นายพลวิฑูรห้าม
“ไม่ต้อง”
นายพลวิฑูรเดินเข้ายืนประจันหน้า เมฆามองนิ่ง
“เรารอเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่จะได้พิสูจน์ว่าใครที่เป็นสุดยอดนักรบแห่งรายา”
“ไม่นึกเลยว่าเวลาผ่านมานานมากแล้ว แต่ท่านยังไม่ยอมลืมความพ่ายแพ้ครั้งนั้น อะไรคือสิ่งที่ท่านอยากได้ ชัยชนะหรือว่า ตำแหน่งหัวหน้าราชองครักษ์”
“ทั้งสองอย่าง”
“ไม่ใช่หรอก ท่านอยากได้การยอมรับและยกย่องต่างหาก ทุกวันนี้แม้ท่านจะมีอำนาจล้นฟ้าแต่ท่านก็ไม่เคยได้หัวใจที่ภักดีจากใครเลย”
“จะเสียเวลาพูดกับมันทำไม ฆ่ามันเลย”
สุเทษจะเข้าไปเล่นงาน นายพลวิฑูรตะคอก
“สุเทษ”
สุเทษต้องหยุด
“ท่านผิดแล้วเมฆา ตอนนี้สิ่งที่เราต้องการ เราได้มาหมดแล้ว ได้จนมากเกินพอด้วยซ้ำ แม้แต่ชีวิตท่าน ถ้าเราอยากได้ มันก็ง่ายนิดเดียว แต่มันง่ายเกินไป เราจะให้โอกาสท่าน ถ้าท่านชนะเราจะไว้ชีวิตท่าน”
“ชีวิตเรา ท่านเอาไปได้ แต่ขอแค่รับปากว่าท่านจะไม่ฆ่าชาวภูสายธารแม้แต่คนเดียว”
“ได้...”
สุเทษจะแย้ง
“ท่านนายพล”
นายพลวิฑูรโบกมือให้สุเทษถอยไป นายพลวิฑูรจู่โจมอย่างรวดเร็ว เมฆารับได้อย่างคล่องแคล่ว สองคนสู้กัน
ในอุโมงค์ลับ...มาลีกระสับกระส่ายลุกขึ้นร้อนรน หันไปมองในอุโมงค์ เห็นฐากูรกำลังช่วยต้อนชาวบ้านกลุ่มสุดท้ายเข้าไปในอุโมงค์ มีเด็กด้วย อัคนีช่วยอยู่ข้างๆ มาลีค่อยๆหลบออกไป อัคนีหันมาเห็นวิ่งตามฉุดมาลีไว้
“จะไปไหน มาลี”
“ฉันจะไปช่วยอาจารย์เมฆา”
“เฮ้ย ไม่ได้ อันตรายนะ”
“ฉันไม่กลัว อย่ายุ่ง”
มาลีสะบัดวิ่งไป อัคนีตาม
เมฆาเพลี่ยงพล้ำ โดนนายพลวิฑูรกดติดพื้นคร่อมกดคออยู่
“แกว่าฉันกระหายอำนาจ แกมันก็ไม่ต่างกัน ที่คบคิดปิดบัง ชาติกำเนิดของคามิน เพื่อจะให้ชิงบัลลังค์จากเจ้าชายมาคี”
“ท่านรู้...”
“ความลับมันไม่มีในโลกหรอก”
เมฆาออกแรงดันนายพลวิฑูรพลิกไปอยู่ด้านล่าง เมฆากดคอบ้าง
“ใช่ ความลับไม่มีในโลก เพียงแต่ คนที่เก็บความลับเก็บไว้เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือของตัวเอง แล้วท่านล่ะเก็บความลับเอาเพื่อใคร”
สุเทษฟังเก็บข้อมูล
“ฉันไม่มีความลับอะไรทั้งนั้น”
ในอดีตตอนหนุ่ม นายพลวิฑูรชอบนางกำนัล หรือสนมคนไหนก็บังคับให้มาหา มีคนหนึ่งท้อง แล้วไม่ยอมเลิกรา จะแฉเพราะมีลูกชาย นายพลวิฑูรจึงฆ่าทิ้ง แล้วนำลูกของนางมาเลี้ยงฝึกให้เป็นนักฆ่า ซึ่งก็คือสุเทษ...นายพลวิฑูรถีบเมฆากระเด็นไป แล้วพุ่งเข้าใส่ เมฆาหลบมองอย่างสมเพช
“ทุกอย่างมันยังไม่จบหรอกท่านวิฑูร คนที่ใช่ยังไงก็ใช่ คนที่ไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่”
นายพลวิฑูรเอะใจ
“หมายความว่ายังไง หรือว่าคามินยังไม่ตาย”
เมฆาหัวเราะเยาะพุ่งเข้าจู่โจม สองคนสู้กันอีก นายพลวิฑูรเพลี้ยงพล้ำ เมฆาจับแขนไพล่หลังเตะตัดขา จนล้มลงในท่าคุกเข่า เมฆาหัวเราะ
“แกแพ้แล้ว หวังว่าแกจะรักษาคำพูดนะ”
เมฆาปล่อย สุเทษรีบวิ่งเข้ามาประคอง เมฆาหันหลังเดินไป นายพลวิฑูรมองตามแค้น เสียงปืนดังขึ้น ทุกคนงง เมฆาค่อยๆล้มลง หันมามอง อสิตถือปืนกับลูกน้องเข้ามา
มาลีมองไปทางหมู่บ้านแล้ววิ่งไป อัคนีตาม
“รอด้วยมาลี”
นายพลวิฑูรลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเมฆาพร้อมอสิต เมฆาจ้องนายพลวิฑูร
“ฉันไม่ได้ผิดคำพูดนะ” นายพลวิฑูรพูดเรียบนิ่ง
อสิตกระชากผมเมฆา
“พวกแกจับลูกชายฉันมาใช่มั้ย บอกมาว่าอัคนีอยู่ที่ไหน”
เมฆาข่มความเจ็บ
“ลูกชายแก...ไปเกิดใหม่แล้ว”
อสิตตกใจ ตะคอกเหี้ยมๆ
“อะไรนะ ไอ้หนูตายแล้ว พวกแกฆ่าไอ้หนู...”
“ลูกแกยังโชคดีที่ได้เกิดใหม่ เป็นคนใหม่ไม่เลวไปตลอดชีวิตเหมือนแก”
อสิตแค้นไม่เข้าใจคิดว่าเมฆาฆ่าอัคนี อสิตยิงที่หัวอีกนัด เมฆาล้มลง อสิตตะโกนบ้าคลั่ง
“เผามันให้หมด อย่าให้เหลือ เผามัน”
นายพลวิฑูรยืนมองศพเมฆาอย่างสะใจ
ยักษ์นำลูกน้องอสิตและทหารจุดไฟเผาในหมู่บ้าน ตามจุดต่างๆ ไฟลุกโชน สุเทษลากเมฆามาไว้บนบ้าน
นายพลวิฑูรกับอสิตยืนมอง มาลีมาถึงแอบดูอยู่อย่างตกใจ เห็นนายพลวิฑูรถือคบไฟจะจี้ไปที่ร่างเมฆา มาลีตกใจคิดว่าเมฆายังไม่ตายวิ่งเข้าไปร้อนลั่น
“อย่านะ...”
มาลีวิ่งเข้ามาประคองเมฆา
“อาจารย์ เมฆา...อาจารย์ตายแล้ว พวกแกฆ่าอาจารย์เมฆาฉันจะฆ่าพวกแก”
มาลีตรงเข้าเล่นงานนายพลวิฑูร สุเทษเข้ากัน สู้ได้ไม่นาน สุเทษจับตัวมาลีได้
“บอกมาสิว่าพาพวกชาวบ้านไปหลบที่ไหน” นายพลวิฑูรตะคอกถาม
“ฉันไม่บอก ต่อให้ต้องตายฉันก็ไม่บอก”
นายพลวิฑูรมองมาลีก่อนหันไปสั่งสุเทษ
“จัดการมันซะ”
สุเทษชักปืนออกมาจะยิงมาลี ทันใดนั้นอัคนีพุ่งมาทางด้านหลังกระโดดถีบสุเทษกระเด็นไป ทุกคนตกใจ อัคนีพุ่งเข้าจู่โจม นายพลวิฑูรฉากหลบ เตะเข้ากลางหลัง อัคนีถลาไปกอดอสิต...อสิตตื่นเต้น
“ไอ้หนู”
อัคนีดันอสิตออก ตีเข่า อสิตตัวงอ
“เฮ้ย...นี่ป๊าเองโอ๊ย”
อัคนีไม่สน มาลีรีบกระโดดลุก สองคนสู้กับลูกน้องนายพลวิฑูร อสิตตะโกนเสียงหลง
“หยุด...หยุดบอกให้หยุดนั่นมันไอ้หนู...สั่งลูกน้องท่านให้หยุดสิ”
นายพลวิฑูรออกคำสั่ง
“หยุด...”
ลูกน้องหยุด อัคนีกับมาลีหันหลังชนกันเตรียมสู้
“เดี๋ยวไอ้หนูนี่แกเป็นอะไรทำไมไปช่วยพวกมัน”
“อย่ามาเรียกฉันว่าไอ้หนู ปัญญาอ่อนสิ้นดี ฉันชื่ออัคนี”
“ป๊ารู้ก็ป๊าเป็นคนตั้งชื่อแกเอง มานี่สิมาหาป๊า รู้มั้ยป๊าตามหาแกแทบพลิกแผ่นดินรายาเลยนะ”
“ไร้สาระฉันไม่เคยมีพ่ออย่างแก ถอยไปไม่งั้นแกเจอดีแน่”
อสิตงง
“จับตัวคุณหนูให้ได้ แต่อย่าให้คุณหนูเจ็บตัวนะโว้ย”
ลูกน้องตรงเข้ามา อัคนีเล่นงานลูกน้องไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าสู้กับอัคนี ลูกน้องกระเด็นไปหมด อัคนีหันไปยิ้มโชว์กับมาลี
“เห็นฝีมือผมหรือยัง”
สุเทษพุ่งเข้าใส่อัคนีรวบตัวไว้ได้อย่างรวดเร็ว ส่งต่อให้ลูกน้องอสิตคุมตัวไว้ อัคนีโวยวาย
“เฮ้ยปล่อยสิวะปล่อย”
นายพลวิฑูรสั่งการ
“เอาตัวอัคนีกลับไปแล้วฆ่านังนี่ซะ”
อัคนีตกใจ
“อย่า...ถ้าฆ่ามาลีฉันจะกลั้นใจตาย”
สุเทษยกปืนจะยิง อัคนีรีบกลั้นใจตาหูเหลือก อสิตตกใจร้องลั่น
“อย่า...อย่ายิง”
สุเทษชะงัก นายพลวิฑูรมอง
“ผมขอร้องล่ะเอาเป็นว่าผมจะเอาตัวนังนี่ไปด้วยให้มันไปรับใช้อัคนีที่กรุงเทพ มันเป็นแค่สาวชาวบ้านคงไม่มีพิษภัย”
นายพลวิฑูรคิดนิดหนึ่ง
“ก็ได้แต่อย่าให้มันกลับมารายาอีกเด็ดขาด”
นายพลวิฑูรนำลูกน้องกลับ อสิตถอนใจโล่งอก พยักหน้าให้ลูกน้องจับตัวมาลีกับอัคนีไปด้วยกัน
คามินนอนอยู่หน้าบ้านพัก มีเสียงปรารถนาฮัมเพลงหลับฝันดีแว่วมา คามินลืมตาเห็นปรารถนาก้มลงมอง ฮัมเพลงกล่อม คามินยิ้ม
“แม่...แม่ใช่มั้ยครับ”
“จ้ะแม่เอง...แม่อยู่ข้างๆลูกเสมอ”
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 15 (ต่อ)
บริเวณเนินเขาที่ไว้หลุมศพ...ปรารถนานั่งอยู่ คามินนอนตัก ปรารถนาจูบหน้าผากลูบผม ฮัมเพลง คามินหลับตามีความสุข
“ถึงไม่เห็นด้วยตาแต่ลูกจะเห็นแม่ด้วยใจ ด้วยความรู้สึก แม่จะอยู่ข้างๆลูกตลอดไปจำไว้นะคามิน แม่จะอยู่กับลูกตลอดไป”
มือมัทนาเข้ามาจับแขน
“คามินคะ คุณคามิน”
คามินยังนึกว่าฝัน ดึงมัทนาลงไปกอด มัทนาอึ้ง
“แม่...ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน”
มัทนากอดตอบด้วยความเห็นใจ คามินๆค่อยตื่น จับตัวมัทนาๆผละออก
“ตื่นแล้วเหรอคะ”
“เธอเองเหรอ ลิ้นจี่ ฉันขอโทษ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณคงฝันไป ฉันได้ยินเสียงคุณละเมอถึงแม่”
“ใช่ ฉันฝันเห็นแม่ ท่านนั่งอยู่บนเนินเขาที่ที่เราเจอหลุมศพ ฉันนอนตักของท่าน ท่านสวยเหลือเกิน”
มัทนาสงสาร
“ก็วันก่อนฉันพาคุณขึ้นไปไงคุณก็เลยเก็บไปฝัน เอ๊ะ หรือจะเป็นผีผู้หญิงที่ชื่อปรารถนา...เฮ้ยคุณอย่าล้อฉันเล่นนะ ฉันนะไม่กลัวอะไรแต่ถ้า ผีละก็ฉันวิ่งก่อนเลยแหละ” ปรารถนาต้องการทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย
คามินนิ่ง มัทนากระโดดลุก
“ฉันจะไปตั้งโต๊ะให้คุณก่อนนะ รีบกินรีบเก็บรีบล้างก่อนจะค่ำ อี๊ย...พูดให้ขนลุกทำไมเนี่ย”
มัทนารีบวิ่งเข้าไปในบ้าน คามินครุ่นคิดก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา
ธรรมรัตน์คุยโทรศัพท์กับคามิน ธรรมรัตน์ตกใจ
“คุณเจอหลุมศพ”
“ครับ ทำไมถึงมีหลุมศพอยู่บนเนินเขา ศพใครกัน”
ธรรมรัตน์อึ้งไปอึดใจ
“อ๋อ...เพื่อนเก่าผมเอง เขาเคยอยู่ที่นั่นเขาชอบทะเลก็เลยขอให้ช่วยฝังศพเขาไว้ที่นั่น”
“เธอชื่อปรารถนาใช่มั้ยครับ”
“คุณรู้ได้ยังไงในเมื่อตาคุณมองไม่เห็น”
“ลิ้นจี่บอกผม”
ธรรมรัตน์ถอนใจโล่งอก รีบเปลี่ยนเรื่อง
“อ๋อ...คุณโทรมาก็ดีแล้ว ผมกำลังจะโทรไปบอกข่าวดีอยู่เหมือนกัน”
“ข่าวดี”
“ครับหมอสั่งยาตัวใหม่มาจากเมืองนอก เคยใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการอย่างเดียวกับคุณ แล้วได้ผลดีมากเหมันต์กำลังไปรับยาแล้วจะรีบส่งไปให้คุณ”
ห้องตรวจโรควันใหม่...อัคนีนั่งเซ็งๆมีดำกับดอนประกบ อสิตขยุ้มคอหมอ
“ผมมีลูกชายคนเดียว หมอต้องรับปากว่าจะรักษาลูกผมให้ได้”
“คุณครับหมอไม่ใช่เทวดานะครับ” หมอตกใจ
อสิตกระชากปืนออกมา ข่มขู่
“งั้นเลือกเอาว่าหมอจะรับปากหรือเอาปากรับลูกปืน”
อัคนีลุกขึ้นโวยวาย
“พอแล้วๆไม่ต้องรักษาหรอก”
อสิตชะงักหันมามอง
“ทำไมละลูก”
“ฉันเชื่อว่าฉันไม่ได้ความจำเสื่อมหรอก คนอย่างนายยังไงก็ไม่ใช่พ่อฉันแน่ ฉันเป็นสุภาพบุรุษพ่อฉันก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่ใช่นักเลงอันธพาลแบบนี้”
อสิตจ๋อย รีบเก็บปืนถอยออกมา
“พ่อขอโทษ จริงๆแล้วพ่อเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจะตาย เมื่อกี้พ่อแค่ลืมตัวไปนะขอโทษนะหมอ”
หมอถอนใจ
“ถ้าคุณอยากให้คุณอัคนีจำได้เร็วก็ต้องช่วยฟื้นความทรงจำเก่าๆของเขา เช่นภาพเก่า สถานที่เก่าๆหรืออะไรที่เขามักจะชอบทำชอบไปนะครับ”
“อ๋อ...เหรอครับคุณหมอ ขอบคุณนะครับผมจะทำตามที่หมอสั่ง”
“หมอขอตัวก่อน”
หมอรีบลุกออกไปจากห้องอย่างกลัวๆ อสิตหยิบกระเป๋าดึงรูปถ่ายมาให้ดู
“นี่ไงรูปแกถ่ายกับป๊าเห็นมั้ย”
อัคนีมองตกใจ
“นี่มันฉันจริงๆนี่”
อสิตดีใจ
“ก็ใช่ไง ป๊าก็บอกแล้วว่าแกเป็นลูกป๊า ตอนเด็กๆแกชอบฉี่รดกางเกงจนโดนคุณครูดุ แล้วขู่ว่าจะตี แกมาบอกป๊า ป๊าเลยไปเอาเงินฟาดหัวครูใหญ่ให้ไล่ครูคนนั้นออก แกดีใจใหญ่ ชมว่าป๊านะเจ๋งมาก จำได้มั้ย”
อัคนีสั่นหน้า
“ฉันไม่ทำอะไรแย่ๆแบบนั้นแน่”
“จำไม่ได้เลยเหรอ ฮึ่มอ๋อมีอีกตอนมัธยมแกก็ชอบไปเปิดกระโปรงนักเรียนหญิงจนโดนตบปากแตกกลับมา ตอนนั้นแกเลยงอแงไม่ยอมไปโรงเรียน ป๊าเลยต้องซื้อรถให้แก จำได้มั้ย”
“รู้สึกจะมีแต่เรื่องเลวๆทั้งนั้นเลย คนอย่างฉันไม่มีวันทำเรื่องอุบาทว์แบบนั้นหรอก”
“วะจำไม่ได้อีกอ๋อ...มีอีกเรื่อง”
“พอ...พอแล้วโอ๊ยยิ่งฟังยิ่งปวดหัว โอ๊ยปวดๆ” อัคนีกุมหัว
อสิตตกใจ
“ห๊ะปวดหัวเหรอ”
“หรือคุณหนูกำลังจะจำได้ครับเสี่ย” ดำออกความเห็น
“เออจริงสิ งั้นไปตามหมอเร็วๆหมอๆ” อสิตเห็นด้วย
ดำกับดอนยืนนิ่งอสิตงง
“ทำไมไม่ไปวะ”
“ก็เสี่ยสั่งไว้ไม่ให้เราสองคนไปไหนให้ประกบคุณหนู ไว้ไงครับ” ดอนพูดซื่อๆ
“เออจริง ข้าไปตามหมอเองก็ได้ เฝ้าไว้ให้ดีนะ”
อสิตวิ่งหน้าเริดออกไป
เหมันต์เดินคุยโทรศัพท์ออกมาตามทางเดินในโรงพยาบาล ในมือถือกล่องยาอยู่ ไม่เห็นอสิต
เหมันต์หยุดยืนคุย อสิตชะงัก
“นั่นมัน...คนของไอ้ธรรมรัตน์นี่”
อสิตหลบมุมด้านหลัง แอบฟัง
“ครับ ท่านประธาน ผมรับยาจากคุณหมอมาแล้ว ผมจะรีบเดินทางไปส่งให้คุณคามินวันนี้เลยครับ”
“คามิน...หรือว่า...” อสิตชะงัก
อสิตหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทร
“ไอ้ยักษ์ ลื้ออยู่แถวหน้าโรงพยาบาลรึเปล่าวะ”
หน้าบ้านพักชายทะเล...มัทนาเดินออกมาเรียก
“คุณคามินๆ”
บริเวณหลุมศพ...ชูเขกหัวลิ้นจี่ข้างๆมีรถเข็นอุปกรณ์ทำสวนลิ้นจี่ร้อง
“โอ๊ย พี่ชู ฉันเจ็บนะโว้ย”
“เออ เจ็บมันจะได้จำ หนอย ทำแล้วๆ รกขนาดนี้แสดงว่าแกไม่เคยมาทำเป็นอาทิตย์แล้วใช่มั้ย”
“แหม มันจะเป็นอะไร คนตายแล้วเขาไม่รู้อะไรหรอกน่ะ”
“พูดมาได้ แกมันขี้เกียจน่ะสิ บ้านพักคุณคามินแกก็ไม่ยอมไปทำ โยนให้คุณคนที่มาเฝ้าเขาทำหมด”
“แล้วมันเป็นไรมั้ยล่ะ ถ้าคุณคามินไม่พอใจแกก็ต้องมาด่าพี่แล้ว แต่นี่ก็เห็นอยู่กันเงียบดี บางทีฉันแอบดู เห็นคุยกันกะหนุงกะหนิงกุ๊กกิ๊ก ป่านนี้อาจจะจุดๆกันแล้วก็ได้”
“นังลิ้นจี่ พูดจาอะไรให้มันดีดี”
“ก็มันจริงนี่ ผู้หญิงผู้ชายอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วผู้หญิงแกก็สวยซะขนาดนั้น”
“คุณคามินเขาตาบอดโว้ย...”
เสียงคามินดังขึ้น
“ถึงฉันตาบอด แต่หูฉันไม่ได้หนวก...”
ทั้งสองอึ้ง คามินถือไม้เท้าเข้ามา ลิ้นจีกับชูตกใจ
“คุณคามิน”
ทางเดินในป่าแถวบ้านพัก...มัทนาเดินหาคามิน
“คุณคามินคะ คุณคามินไปไหนนะ ทำยังกะคนตาดี นึกจะไปไหนก็ไป เกิดไปตกหลุมตกบ่อที่ไหนจะทำไงเนี่ย”
เสียงฝีเท้า กับไม้เท้าเคาะพื้นดังขึ้น มัทนาหันไป เห็นคามินกำลังเดินกลับมา
“คุณคามิน...โอ๊ย นี่ไปไหนมาคะ ฉันตกใจแทบแย่”
มัทนาวิ่งเข้าจับแขน คามินหน้านิ่ง เอาแขนออก
“ตกใจทำไม ฉันก็แค่ไปเดินเล่น”
“แต่ช่วงนี้มันมีพายุ เกิดฝนตก แล้วจะทำยังไงละคะ”
“ฉันก็กลับมานี่แล้วไง เข้าบ้านเถอะ ฉันหิวแล้ว”
โต๊ะอาหารในบ้านพัก...มัทนามองคามินตาไม่กระพริบ คามินกินช้าๆ มัทนาลุ้นๆ
“เป็นไงคะอร่อยมั้ย วันนี้ฉันเปิดตำรา ทำโจ๊กทะเลแบบสุดฝีมือเลยนะ”
“ขอทิชชู...”
มัทนารีบหยิบส่งให้
“จะเช็ดปากเหรอคะ”
คามินคายขนมใส่ทิชชู
“อาหารอะไรของเธอ รสชาติแย่ยิ่งกว่ายาถ่ายซะอีก”
“อะไรนะ” มัทนางง
คามินฉุน
“เธอเห็นฉันตาบอดเลยแกล้งเอาอะไรมาให้ฉันกินก็ได้งั้นเหรอ เห็นฉันเป็นเพื่อนเล่นหรือไง”
“แต่ฉันก็ชิมแล้วว่ามันอร่อยใช้ได้เลยนะคะ”
“ฉันอิ่มแล้ว”
คามินยกกาแฟขึ้นจิบ เสียงห้วน
“กาแฟเย็นชืดแบบนี้ใครจะกินเข้าไปลง”
“อะไรกันคะฉันเพิ่งชงเดี๋ยวนี้”
คามินเทกาแฟพรวดลงบนพื้นหน้าตาเฉย มัทนาอ้าปากค้าง คามินหยิบขนมปังมากัด โมโหมาก
“ขนมปังก็แข็งยังกับหิน”
คามินปาขนมปังไปตรงหน้า มัทนาหลบวืดแบบฉิวเฉียด งงมาก คามินลุกพรวด
“ถ้าทำงานชุ่ยแบบนี้ก็ลาออกไปเถอะ”
คามินลุกพรวดปัดขนมทั้งจานตกแตกกระจายเดินเข้าบ้าน ชนนั่นนี่ มัทนายืนอึ้ง ระงับความโมโห ค่อยๆก้มลงเก็บของ
เหมันต์ถือกล่องยาเข้ามา เดินเข้าบ้าน
“ชู...นายชู”
ชูกับลิ้นจี่ซ้อนมอเตอร์ไซด์เข้ามา
“ซวยแล้วแก นังลิ้นจี่ คราวนี้มีสิทธิ์โดนไล่ออกทั้งคู่”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณคนสวยเป็นลูกสาวเจ้านาย...คนดีดีใครเขาทำอย่างงี้กันมั่ง”
“สงสัยข้าต้องรีบโทรรายงานคุณเหมันต์”
เหมันต์เดินออกมา ชูสะดุ้ง
“ชะอุ๋ย... คุณเหมันต์ ทำไมอายุยืนอย่างงี้”
“นายชู เดี๋ยวพาฉันไปบ้านพักหน่อย ฉันต้องเอายาไปให้คุณคามิน”
“เอ้อ คือ...”
“มีอะไร” เหมันต์สงสัย
มัทนาเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนคามินเห็นเขายืนนิ่งอยู่ปลายเตียง
“ฉันขอโทษนะคะ ฉันจัดอาหารให้คุณใหม่แล้ว เป็นไข่ดาว กับเบคอน ไปทานเถอะนะคะ”
มัทนาเข้ามาแตะแขน คามินหันมากระชากเข้ามากอด มัทนาตกใจดิ้นหลุดพูดสำเนียงธรรมดา
“คุณทำบ้าอะไรของคุณ”
คามินพยายามปล้ำกอดจูบมัทนา
“ก็ทำอย่างที่เธออยากให้ทำไง เธอมาดูแลฉันมาใกล้ชิดสนิทสนมกับฉัน เธอก็คงต้องการแบบนี้ใช่มั้ย”
มัทนาดิ้นเต็มแรงแต่ไม่หลุด กลับพากันล้มลงไปบนเตียงด้วยกัน
“บ้าแล้วคุณต้องบ้าแน่ๆ ปล่อยฉันนะปล่อย”
“ไม่ปล่อยรู้มั้ยว่าฉันเปล่าเปลี่ยวใจแค่ไหน ฉันก็เป็นผู้ชาย ฉันทนไม่ไหวแล้วที่เธอมายั่วยวนอยู่ใกล้ๆแบบนี้ อย่ามาทำเหมือนไม่ต้องการหน่อยเลย ฉันรู้ว่าเธออยากให้ฉันทำแบบนี้”
คามินจูบ แบบหื่นๆ ทำท่าจะฉีกเสื้อ มัทนาผลัก ตบหน้าเขาเต็มแรง คามินชะงัก มัทนาดิ้นหลุดมายืนหอบโมโห
“ฉันไม่เคยคิดอย่างที่คุณพูด”
คามินค่อยๆลุกขึ้นหันมาเผชิญหน้า ถามเรียบๆ
“แล้วคุณคิดอะไร ถึงตามมาที่นี่คุณมัทนา”
มัทนาตะลึง ปิดปาก นึกได้ว่าหลุดไปแล้ว
คามินเดินหนีออกมาหน้าบ้านพัก มัทนาตามมาอธิบาย
“ฟังฉันก่อนได้มั้ยคุณคามิน”
“ผมไม่อยากฟัง ผมไม่อยากเจอคุณ ผมถึงหนีมาอยู่ที่นี่ ถึงขอร้องพ่อคุณไม่ให้บอก คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
“ไม่มีใครบอกฉัน ฉันมาที่นี่อย่างไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ฉันมาที่นี่แล้วฉันก็มาเจอคุณ”
คามินเค้นหัวเราะ
“คุณจะบอกว่ามันเป็นบุพเพสันนิวาสหรือไง”
“ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าสิ่งที่ฉันพูดคือเรื่องจริง ให้ฉันอยู่ที่นี่ให้ฉันดูแลคุณเถอะนะคามิน”
คามินหันมากระชากตัวมัทนาเขย่าแรงๆ
“แต่ผมไม่ต้องการคุณ ผมอยากหลีกอยากหนีจากคุณให้ไกลร้อยโยชน์พันโยชน์ ตั้งแต่ผมเจอคุณชีวิตผมวุ่นวายหาความสงบไม่ได้เลย”
“ฉันรู้...แต่ต่อไปนี้ฉันจะแก้ตัว”
“แก้ยังไงคุณทำให้ผมมองเห็นได้มั้ย เพราะคุณไม่ใช่เหรอผมถึงต้องกลายเป็นคนตาบอด ถ้าผมไม่ได้เจอคุณผมก็จะไม่มีวันเป็นแบบนี้”
มัทนาอึ้ง เสียใจ
“คุณคิดแบบนี้จริงๆเหรอคามิน”
คามินสงบลงพูดเรียบๆ
“ผมขอร้อง...ไปจากชีวิตผมสักทีเถอะคุณมัทนา”
คามินปล่อยมัทนา ตัวเองเดินเข้าบ้านไป มัทนาตะโกน
“ได้ ฉันไปก็ได้ ไม่ต้องไล่หรอก นึกว่าฉันพิศวาสคนอย่างคุณนักเหรอ ทั้งดื้อ ทั้งรั้น ไม่มีเหตุผล น่าเบื่อที่สุด”
ทางไปบ้านพัก...ยักษ์กับพวกลูกน้องอสิตเป็นสิบ เดินเข้ามา...มัทนาเดินเช็ดน้ำตามาตามทาง
“นึกว่าฉันง้อเหรอ คนอย่างมัทนาก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ไม่อยากเห็นหน้า ก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก...คนอย่างนายมีอะไรดี หยิ่งก็เท่านั้น ปากอย่าง ใจอย่าง อยากจะอยู่คนเดียวก็อยู่ให้พอ”
มัทนาพูดไปแล้วก็รู้สึก ลังเล
“ไม่มีนายฉันก็ไม่ตายหรอก...” เธอชะงัก เริ่มจ๋อย “หรือว่าตาย...”
คามินนั่งเสียใจอยู่ในห้องนอน เขาพึมพำ
“คุณควรจะได้พบคนที่ดีกว่าผม มัทนา”
คามินชะงัก สีหน้าเหมือนได้ยินอะไรสักอย่าง
เหมันต์ตกใจ
“คุณมัทมาที่นี่”
“ผมขอโทษครับ แกมาบอกนังลิ้นจี่ว่าแกเคยเป็นคนเฝ้าคุณคามิน” ชูจ๋อยๆ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หลายวันแล้วค่ะ” ลิ้นจี่เสียงอ่อย
“บ้าที่สุด...”
เหมันต์วิ่งไปขึ้นรถเครื่อง สตาร์ทออกไป
มัทนาขึ้นไปบนบ้าน ชะงักรอยเท้าเต็มพื้นระเบียง มัทนามองเห็นประตูบ้านเปิดอยู่ รีบวิ่งเข้าไป ข้าวของในบ้านล้มระเนระนาด มีร่อยรอยการต่อสู้ มัทนาตกใจ
“คามิน”
มัทนาวิ่งไปที่ห้องนอนเปิดดูไม่มีคามิน เธอออกมาวิ่งไปดูห้องอื่นๆ ไม่มี เสียงปืนดังปังไกลๆ มัทนาตกใจวิ่งออกมาหน้าบ้านพักมองไปทางชายป่า
“คามิน”
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 15 (ต่อ)
ในป่า...คามินหลบอยู่หลังต้นไม้ในป่าพยายามใช้หูฟังเสียง ยักษ์ และลูกน้องเดินอยู่ในป่า
“แกหนีไม่รอดหรอกไอ้คามิน ฉันรู้ว่าแกหลบอยู่แถวนี้”
ยักษ์ส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องกระจายกำลังหา เสียงย่ำใบไม้ข้างหลัง คามินหลบวูบลงทันที ลูกน้องยักษ์วืด คามินพุ่งเข้าจับคอบิดอย่างแรง ลูกน้องฟุบ คามินควานหาปืนในมือลูกน้องยักษ์ หยิบมากระชับไว้ในมือ เขากบดานรออยู่ ลูกน้องยักษ์เข้ามาอีกทาง ยกปืนเล็ง เสียงกระชากไกปืน คามินได้ยินหันกลับมายิงใส่ก่อนทันทีอย่างรวดเร็ว โดนลูกน้องเข้าอย่างจังฟุบไป
มัทนาออกมาจากบ้านพักตามหาคามินชะงักได้ยินเสียงปืน
“เสียงปืน”
มัทนาวิ่งไปตามเสียง
ยักษ์หันมาทางเสียงปืน ตะโกนบอกทุกคน
“มันอยู่ทางนั้น”
ยักษ์กับลูกน้องกรูเข้าไปทางเสียง คามินรีบออกวิ่งไป สะดุดรากไม้ล้มลงชะงัก คามินนึกถึงวันที่มัทนาจูงเขามาเดินเล่นในป่า
“คุณค่อยๆ เดินนะคะ ตรงนี้มีรากไม้โผล่ขึ้นมาจากดินค่อนข้างใหญ่ เอ๋... แต่ถ้าคุณสะดุดก็ดีนะ”
“สะดุดหกล้มเนี่ยนะดี”
“อ้าว...เผื่อวันหน้าคุณมาเดินคนเดียวหรือหลงเข้ามาจะได้เป็นที่สังเกตว่าทางเดินต่อไปจะเป็นที่โล่ง แล้วอย่าเดินไปทางขวานะคะ เพราะคุณจะชนต้นไม้ใหญ่ มันขึ้นเป็นระยะเลยล่ะค่ะ”
คามินสนใจ
“งั้นเหรอ แล้วแต่ละต้นห่างกันประมาณเท่าไร”
“น่าจะประมาณสักร้อยเมตรนะคะ”
“มีกี่ต้น”
“หกต้นค่ะ แล้วเราก็จะเดินไปออกชายหาดได้ ไม่ต้องย้อนกลับไปทางเดิมไงคะ...ดีมั้ย”
คามินนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
คามินลุกขึ้นจับทิศทางจนแน่ใจ รีบวิ่งไปทางขวาถึงต้นไม้ใหญ่ เขาหลบเข้าหลังต้นไม้
ฟังเสียง ยังไม่ได้ยินพวกยักษ์ตามมา คามินรีบวิ่งไปที่ต้นไม้อีกต้นหลบอยู่อย่างรวดเร็ว พวกยักษ์เข้ามา ทั้งหมดหยุดระวังมองรอบๆ
“มันหายไปไหนวะ หามันให้ทั่ว เสี่ยบอกว่าตามันบอดยังไงมันก็ต้องวิ่งวนเวียนอยู่แถวนี่ล่ะ”
ยักษ์กับลูกน้องกระจายอยู่รอบๆ หาอยู่ คามินยิ้มรีบวิ่งอย่างเร็วไปหลบอีกต้น
“สามต้นละ มาครึ่งทางแล้วอีกสามต้นเราก็ออกจากป่านี่ได้แล้ว”
คามินนิ่งเงียบรอเวลา
เหมันต์เข้ามาในบ้านพักมองข้าวของ และร่องรอยการต่อสู้อย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย คุณคามิน คุณมัทครับ”
เหมันต์วิ่งตามหา
มัทนาวิ่งมามองลูกน้องยักษ์ที่นอนตายอยู่สองคน มัทนาอังจมูกแหยงๆ
“ถึงตายเลยเหรอ ขนาดตาบอดนะเนี่ย ไม่เสียแรงที่ใช้เวลาว่างฝึกประสาทสัมผัส”
มัทนามองเข้าไปในป่า คิดแล้ววิ่งลัดไปอีกทาง
คามินวิ่งมาหลบอีกต้นอย่างว่องไวนิ่งฟังอย่างตั้งใจ เสียงยักษ์เริ่มดังไกลออกไป
“ไอ้พวกโง่เอ๊ย หาคนตาบอดคนเดียวหาไม่เจอ เร็วๆ เข้า ไอ้คามิน...ฉันไม่มีเวลามาเล่นซ่อนหากับแกนะ ออกมาซะดีๆ”
คามินยิ้มพึมพำ
“นานๆ เล่นซ่อนหาทีก็สนุกดีเหมือนกัน”
“งั้นฉันเล่นด้วยคนได้มั้ยคะ”
คามินตกใจรีบหันมาทางเสียง ยกมือขึ้นคลำหามัทนา
“คุณมัท”
มัทนาจับมือคามินไว้
“ค่ะ...ฉันเอง”
“คุณย้อนกลับมาทำไมมันอันตรายมาก”
“อย่ามาไล่ซะให้ยาก เพราะฉันไม่ไป แล้วก็เลิกหยิ่งไม่เข้าท่าได้แล้ว”
“นี่คุณ”
มัทนาชู่วปาก
“คุณเข้ามาทางไหน คุณผ่านพวกมันมาได้ยังไง”
“โธ่...ฉันก็ย้อนมาทางชายหาดนะสิ ฉันคิดอยู่แล้วว่าคุณต้องหนีตามเส้นทางที่เราเคยคุยกันไว้รีบไปกันเถอะ พวกมันมัวแต่คิดว่าคุณตาบอดคงไม่มีทางมาไกลได้ถึงขนาดนี้”
มัทนาจับมือคามินกระชับแน่น
“อีกนิดเดียวเราจะออกชายหาด แล้วอ้อมไปขึ้นเรือหนีออกจากเกาะ”
คามินพยักหน้า สองคนตั้งท่าจะวิ่ง เสียงเหมันต์ดังขึ้น
“โอ๊ย...ปล่อยนะโว้ย”
คามินกับมัทนาชะงัก
“พี่เหมันต์...แย่แล้วพี่เหมันต์คงจะตามมาช่วยเอาไงดี”
คามินนิ่งก่อนพูดหนักแน่น
“เราจะทิ้งคุณเหมันต์ไม่ได้”
มัทนามองหน้าคามินอย่างภูมิใจ
มัทนาเห็นเหมันต์โดนลูกน้องยักษ์จับตัวไว้ มอเตอร์ไซด์ล้มอยู่ข้างๆ ยักษ์ถือปืนขู่
“บอกมาว่าแกพาไอ้คามินไปซ่อนที่ไหน”
“ฉันไม่รู้เรื่อง ฉันเพิ่งมาถึงได้ยินเสียงปืนฉันก็เลยรีบมาดู”
“โกหก”
ยักษ์ตบหน้าเหมันต์ มัทนากับคามินแอบหลบอยู่
“ตอนนี้พวกมันเหลืออยู่ห้าคน สองคนจับพี่เหมันต์อยู่ อีกสองคนยืนห่างออกไป ส่วนไอ้ยักษ์มีปืนอยู่ในมือยืนหันหลังอยู่ที่สามนาฬิกา ฉันจะจัดการลูกน้องที่ยืนอยู่ คุณพร้อมมั้ย” มัทนากระซิบ
คามินทำสมาธิก่อนพยักหน้า
“ผมพร้อมแล้ว...”
มัทนากับคามินวิ่งออกไป คามินกระโจนล็อคคอยักษ์พอดี ยักษ์ล้มลงปืนกระเด็น ยักษ์กอดรัดสู้กับคามินอยู่ที่พื้น มัทนากระโดดเตะลูกน้องยักษ์ ลูกน้องอีกคนหันมาช่วย โดนมัทนาเล่นงาน เหมันต์ได้จังหวะกระทุ้งศอกใส่ลูกน้อง แล้วชกกับลูกน้องอีกหนึ่งคน ทั้งหมดสู้กันชุลมุน มัทนาเล่นงานลูกน้องยักษ์จนหมอบไปหนึ่งคน จะหันไปช่วยเหมันต์
“ไม่ต้องห่วงผม คุณมัทไปช่วยคุณคามินเร็วครับ”
มัทนารีบหันไป คามินเสียท่ายักษ์ ล้มไป ยักษ์กระโจนใส่จะกระทืบ มัทตะโกน
“คามินหลบ”
คามินกลิ้งตัวหลบทัน รีบลุกขึ้น ยักษ์หันกลับไปพุ่งเข้าหา มัทตะโกน
“เก้านาฬิกา”
คามินถีบเข้าเต็มๆ กลางตัว ยักษ์กระเด็นไป ยักษ์เห็นปืน มัทนาก็เห็นต่างคนต่างวิ่งเข้าไป ยักษ์คว้าได้ ยกจ่อ มัทนาชะงัก ยักษ์ยิงปืนขึ้นฟ้า ทุกคนชะงัก คามินตกใจ
“คุณมัท...คุณมัท คุณอยู่ไหน”
มัทนารีบตะโกนตอบ
“ฉันไม่เป็นไร แต่มันได้ปืนไปแล้ว”
คามินอึ้ง ลูกน้องยักษ์ช่วยกันจับมัทนากับเหมันต์ไพล่มือไว้ข้างหลัง ยักษ์เดินเข้าไปจ่อปืนที่หัวคามิน
“หมดเวลาเล่นแล้วท่านองค์รักษ์”
ยักษ์ขึ้นลำกล้อง มัทนาตกใจ
“อย่านะ...แกฆ่าองค์รักษ์คามินไม่ได้”
“ทำไมจะฆ่าไม่ได้” ยักษ์ขำ
มัทนาคิดเร็วๆ
“เพราะท่านคามินเป็นลูกเขยท่านวิฑูร ถ้าแกฆ่าเขาหลานท่านวิฑูรก็จะกำพร้าพ่อ ท่านวิฑูรต้องไม่ยอมแน่”
ยักษ์หัวเราะ
“โธ่เอ๊ย...คุณมัทนา คงเหลือคุณคนเดียวสินะที่ยังโง่อยู่ เขารู้กันทั้งรายาแล้วว่าลูกในท้องของคุณหฤทัยเป็นลูกของเจ้าชายมาคี”
มัทนาตะลึง ยักษ์จะลั่นไก คามินหันจับข้อมือยักษ์บิดอย่างรวดเร็ว ปืนหลุด คามินเล่นงานยักษ์แบบไม่ทันให้ตั้งตัวล็อคตัวยักษ์ แต่โดนยักษ์สะบัดเหวี่ยง คามินกระเด็นล้มไปกลิ้งหัวไปกระแทกโคนต้นไม้ใหญ่อย่างแรง คามินนิ่งกุมหัวอย่างเจ็บปวด ยักษ์ก้มลงหยิบปืน เดินช้าๆ เข้าหาเล็งจะยิง
มัทนาตกใจ
“อย่า...”
คามินมองสายตาพร่าเลือนเห็นยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆ ชัดขึ้น
“คราวนี้แกไม่รอดแน่”
ยักษ์ยิง คามินกลิ้งตัวหลบหวุดหวิด โดนโคนต้นไม้กระจุย ยักษ์จะยิงซ้ำเสียงปืนดังขึ้น ปืนในมือยักษ์กระเด็น ยักษ์ตกใจ
“เฮ้ย...”
ตำรวจกรูเข้ามา ยักษ์ตะลึง
“ตำรวจ...”
ตำรวจเข้ากั้นคามินไว้
“คุ้มกันคุณคามิน”
ยักษ์รีบถอยตะโกนบอกลูกน้อง
“ตัวใครตัวมันโว้ย”
ยักษ์รีบเผ่น ลูกน้องปล่อยพวกมัทนา แล้วยิงสู้กับตำรวจ แต่ตำรวจไล่ยิงลูกน้องถอยร่นไป มัทนารีบวิ่งมาหาคามิน
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
คามินมองเห็นหน้ามัทนาลางๆ เขาจับหน้าเธอ
“คุณ...คุณมัทนา”
มัทนาตื่นเต้น
“คุณมองเห็นฉันเหรอคะ”
คามินจะตอบ แต่อยู่ๆ ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เขากุมหัวค่อยๆ ทรุดลง มัทนาตกใจ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยคุณคามินด้วย”
ตำรวจรีบเข้ามาประคองคามินพากันออกไป มัทนากับเหมันต์รีบตามติดๆ
ตำหนัก...เจ้าชายมาคีมองเอกสารที่นายพลวิฑูรถืออยู่อย่างรำคาญ
“วันก่อนก็ให้เราลงนามแต่งตั้งสุเทษเป็นหัวหน้าองครักษ์แทนคามิน แล้วก็โยกย้ายท่านรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แต่งตั้งคนสนิทของท่านลุงขึ้นมาแทน วันนี้จะให้แต่งตั้งใครอีกล่ะ”
เจ้าชายมาคีลุกเดินหนีอย่างเบื่อ นายพลวิฑูรไม่พอใจแต่ยังยิ้ม
“กระหม่อมนำคนของเราเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญๆก็เพื่อความมั่นคงของฝ่าบาทเอง...แต่วันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเร่งด่วนกว่า ขอทรงลงพระนามด้วย”
นายพลวิฑูรยื่นให้ เจ้าชายมาคีจำใจรับ แล้วเดินกลับมานั่งเปิดเอกสารอ่าน สักครู่เงยหน้ามอง
“จะเปิดสัมปทานเหมืองพลอยให้ชาวต่างชาติ”
“พะยะค่ะ เรื่องนี้ค้างไว้นานแล้ว ขืนรอต่อไป เราจะสูญเสียโอกาสในการนำรายได้เข้ามาพัฒนาประเทศ”
เจ้าชายมาคีมองเอกสารสีหน้าครุ่นคิดนึกถึงอดีต
เหมืองรายาในอดีต...เจ้าชายมาคีกับคามินอยู่บนหลังม้าคนละตัว เจ้าชายมาคีมองการทำเหมืองอย่างไม่ใส่ใจตรงข้ามกับคามินที่มองดูอย่างภูมิใจ
“พาเรามาดูที่นี่ทำไมน่ะคามิน ร้อนจะตาย กลับกันเถอะ”
“ทอดพระเนตรสิพะยะค่ะ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าของรายา”
“ภูเขาหินที่แห้งแล้งพวกนี้น่ะเหรอ”
“กระหม่อมหมายความถึงทรัพย์ที่อยู่ภายใต้หินดิน พวกนี้ต่างหากที่ชาวต่างชาติพากันกระหายอยากจะเข้ามาจับจอง”
“แล้วทำไมเราถึงไม่ให้เขาเข้ามาทำสัมปทานทิ้งไว้เฉยๆ ทำไม”
“องค์ราชาทรงมีแผนที่จะทำให้รายาเป็นศูนย์กลางของการค้าขายพลอยในแถบภูมิภาคนี้ และเราต้องทำเป็นอุตสาหกรรมครบวงจร จึงทรงส่งคนของเราไปเรียนรู้เทคโนโลยีและฝึกเจียระไนพลอยในหลายประเทศ”
“ถ้านายไม่บอกเราก็ไม่รู้นะเนี่ย”
“กระหม่อมถึงเชิญเสด็จฝ่าบาทมาให้ทรงเรียนรู้เรื่องต่างๆ เพราะฝ่าบาทคือกษัตริย์องค์ต่อไปของรายา”
“ไม่เห็นต้องเรียนรู้มากเลย เรามีนายอยู่ใกล้ๆ นายก็คอยบอกเราก็ได้นี่”
“กระหม่อมอาจไม่ได้อยู่กับฝ่าบาทตลอดเวลาเพราะฉะนั้น ก่อนฝ่าบาทจะทรงลงพระนามอะไรควรใช้เวลาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนนะพะยะค่ะ ไม่เช่นนั้นรายาอาจสูญเสียสิ่งที่มีค่าไปโดยคาดไม่ถึง”
“รู้แล้วน่า ไปกันเถอะไปขี่ม้าเล่นกัน”
มาคีชักม้าหนีไป คามินอ่อนใจแต่ก็ตามไปโดยดี
เจ้าชายมาคีอ่านเอกสารที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด นายพลวิฑูรยืนมองลุ้นอยู่ เจ้าชายมาคีปิดแฟ้มส่งคืนให้ นายพลวิฑูรชะงักท้วงเสียงแข็ง
“ทำไมไม่ทรงลงพระนามพะยะค่ะ”
“เราอยากใช้เวลาไตร่ตรองให้มากกว่านี้...”
นายพลวิฑูรขัดห้วนๆ
“คงไม่ต้องไตร่ตรองให้เสียเวลา เพราะกระหม่อมได้ไตร่ตรองให้ฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว แค่ทรงลงพระนามก็พอ”
เจ้าชายมาคีมองนายพลวิฑูรไม่กลัว แต่พูดนิ่งๆ
“ท่านลุงคงลืมไปว่าเรายังไม่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ เราเป็นเพียงรัชทายาทลำดับที่หนึ่ง เราไม่มีสิทธิ์จะลงนามเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้”
“นี่เป็นเพียงการอนุญาตให้ประเทศต่างๆเข้ามาเสนอราคาและทำการสำรวจสายแร่เท่านั้น”
“งั้นเราก็ขอคิดสักสองสามวันก่อนก็แล้วกัน”
เจ้าชายมาคีลุกออกไป นายพลวิฑูรเครียด
พระนางสาวิตรีลุกพรวดสีหน้าตกใจมาก มองนายพลวิฑูรอย่างคาดไม่ถึง
“พี่พูดอะไรออกมา”
“ทำไมต้องทรงตกพระทัย ตามกฎมณเฑียรบาลหากองค์ราชายังไม่สิ้นพระชนม์ก็ไม่อาจทำพิธีราชาภิเษกกษัตริย์องค์ใหม่ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่มีทางเลือก”
พระนางสาวิตรีอึ้ง
“ดูท่าเจ้าชายจะไม่ค่อยเชื่อฟังกระหม่อมอย่างที่คิด ทรงแข็งขืนไม่ยอมลงพระนามในเอกสารสำคัญหลายอย่างโดยอ้างว่ายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์”
“ก็น้องเป็นผู้สำเร็จราชการ เอามาสิน้องจะลงนามให้เอง”
“ทรงเป็นอิสตรีมีขอบเขตที่จะทรงกระทำได้แค่เรื่องภายในรายา แต่ถ้าเป็นเรื่องระหว่างประเทศต้องเป็นองค์ราชาเท่านั้น”
พระนางสาวิตรีเงียบ แววตาหวาดกลัว นายพลวิฑูรเข้ามายืนต่อหน้า พูดเหี้ยมๆ ยื่นซองยาพิษให้ พระนางสาวิตรีมองตะลึงไม่ยอมรับ นายพลวิฑูรออกคำสั่ง
“ทรงเปลี่ยนยาที่ให้เสวยเสีย แค่ครั้งเดียวเท่านั้น องค์ราชาก็จะไม่ทรงทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่”
“ก็ไหนพี่บอกว่า เสด็จพี่อินทราจะแค่เป็นอัมพาตชั่วคราว”
“เกล้ากระหม่อมอาจจะจำสรรพคุณยาผิดไป”
พระนางสาวิตรีอึ้งช็อค
“ทรงดำเนินมาไกลเกินกว่าจะหันกลังกลับแล้ว”
นายพลวิฑูรจับมือพพระนางสาวิตรีขึ้นมายัดซองยาใส่มือ พระนางสาวิตรีมองยาในมือ มือสั่น
สีหน้าหวาดหวั่น
คามิน มีผ้าปิดแผลหัวแตกนอนหลับสนิทอยู่ในห้องนอนบ้านธรรมรัตน์ โดยมีมัทนานั่งเฝ้าไม่ห่างอย่างเป็นห่วง เธอจับมือเขาขึ้นมากุมไว้
“คามิน...ทำไมคุณไม่ฟื้นสักทีล่ะคะ คุณอย่าเป็นอะไรนะ”
เสียงประตูเปิด มัทนารีบวางมือคามินลง หันกลับมา ธรรมรัตน์ ท่านหญิงมาณวิกาและเหมันต์เข้ามา
“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอลูก” ธรรมรัตน์ถามเรียบๆ
“ค่ะคุณคามินจะเป็นอะไรมั้ยคะ”
เหมันต์เข้ามาบอก
“คุณหมอยืนยันว่าไม่เป็นอะไรแน่ครับ อีกเดี๋ยวก็คงฟื้น”
คามินขยับตัว ทุกคนตื่นเต้น รีบเข้าไปล้อมเตียง คามินลืมตาช้าๆสายตาพร่าเลือนเห็นหน้ามัทนาจ้องมองอยู่ตรงหน้า แล้วชัดขึ้น คามินมองไปที่คนอื่นๆ เห็นทุกคนในห้องชัดเจนทั้งหมด มัทนาดีใจ
“คุณคามิน...คุณเป็นยังไงบ้าง คุณเห็นฉันแล้วใช่มั้ยคะ”
คามินค่อยๆ ยกมือสะเปะสะปะ
“คุณมัท...คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน โรงพยาบาลเหรอแล้วพวกมันล่ะ”
มัทนาหน้าเสีย ทุกคนอึ้งมองหน้ากัน
“ฉันอยู่ตรงหน้าคุณไง คุณ...คุณไม่เห็นฉันเหรอคะ”
คามินควานมือไปในอากาศ
“มัน...มืด...มืดไปหมด”
มัทนากลั้นน้ำตา รีบจับมือเขา
“ไม่เป็นไรค่ะ มีมืดก็ต้องมีวันสว่าง ไม่เป็นไร แค่คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“เราไม่ได้อยู่โรงพยาบาล มันอันตราย ตอนนี้คุณอยู่ที่บ้านผม”
คามินหันไปทางเสียง
“คุณธรรมรัตน์”
“ครับผมเอง คุณคงต้องกลับมาอยู่ที่บ้านผมก่อน ที่นี่น่าจะปลอดภัยที่สุด ผมจ้างคนมาคอยคุ้มกันยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะพวกมันรู้แล้วว่าคุณยังไม่ตาย”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ผมต้องเป็นภาระของพวกคุณอีกแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ คุณหิวมั้ย คุณหลับไปตั้งนาน ล้างหน้าล้างตาหน่อยดีมั้ย เดี๋ยวจะได้ทานอาหารแล้วก็ทานยา”
“ดีเหมือนกันครับ ผมอยากเข้าห้องน้ำสักหน่อย”
คามินขยับลุกเก้ๆ กังๆ มัทนาน้ำตาซึมรีบปาดทิ้ง เข้าประคอง
“มาค่ะ ให้ฉันช่วยคุณเอง”
มัทนาประคองคามินไปหน้าห้องน้ำ เปิดประตูให้ คามินเข้าไปแล้วปิดประตู มัทนาเดินกลับมาหาธรรมรัตน์ ท่านหญิงมาณวิกาและเหมันต์ ซึ่งมองอย่างสงสาร
“ไหนลูกว่าคุณคามินมองเห็นแล้วไง” ท่านหญิงมาณวิกากระซิบ
มัทนาส่ายหน้า ผิดหวัง
“มัทเห็นคามินเขาหลบกระสุนได้ คงเพราะที่เขาฝึกประสาทสัมผัสมาตลอด มัทเข้าใจผิดไปเอง...มัท...”
มัทนาหยุดไป กลั้นสะอื้น ธรรมรัตน์ดึงเข้ามากอด
“ไม่ต้องห่วงนะลูก พ่อจะหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาตาคุณคามินให้หายให้ได้ พ่อสัญญา”
มัทนากอดธรรมรัตน์เสียงสั่น
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
ท่านหญิงมาณวิกากับเหมันต์มองอย่างเห็นใจ
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 15 (ต่อ)
คามินยืนมองเงาตัวเองในกระจก เอื้อมมือแตะเงาตัวเองที่กระจกตรงหน้า พึมพำไม่แน่ใจ
“คามิน...นั่นนายจริงๆ”
คามินหันไปมองรอบๆ ห้องน้ำ เดินช้าๆ ไปจับข้าวของในห้องน้ำให้มั่นใจ
“ทำไมจู่ๆ เราถึงกลับมามองเห็นได้”
คามินนึกถึงตอนที่เขาล็อคตัวยักษ์ แต่โดนยักษ์สะบัดเหวี่ยงกระเด็นล้มไปกลิ้งหัวไปกระแทกโคนต้นไม้ใหญ่อย่างแรง เขากุมหัวอย่างเจ็บปวด ยักษ์ก้มลงหยิบปืน เดินช้าๆเข้าหาเล็งจะยิง มัทนาตกใจ
“อย่า...”
คามินสายตาพร่าเลือนเห็นยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้า แล้วค่อยๆชัดขึ้น
“คราวนี้แกไม่รอดแน่”
คามินนึกได้
“ใช่แล้วคงเพราะแรงกระแทกตอนนั้นเอง”
คามินเดินกลับมามองตัวเองในกระจกอีกครั้ง แววตาหมายมาด
หมู่บ้านภูสายธาร...สินธรมองหมู่บ้านที่โดนไฟเผาราบเป็นหน้ากลองอย่างตะลึง เขาได้สติรีบวิ่งดูรอบๆ ไม่เหลือใครสักคน สินธรแค้น
“ฝีมือไอ้วิฑูรแน่ๆ”
“ท่านสินธร”
สินธรหันขวับเห็นฐากูรวิ่งเข้ามาหา ต่างคนต่างดีใจ
“ฐากูร...พวกเราไปหลบอยู่ที่อุโมงค์ตามแผนของอาจารย์ใช่หรือเปล่า”
“ครับ...ข้ามารอท่านที่นี่ทุกวัน เพราะอาจารย์ฝากของสำคัญไว้ให้ท่าน”
ฐากูรหยิบห่อสมุนไพรออกมาส่งให้ สินธรรับมา
“อาจารย์ล่ะ อาจารย์อยู่ที่อุโมงค์ใช่มั้ย งั้นพาเราไปหาอาจารย์ก่อน”
“อาจารย์รอท่านอยู่ที่นี่” ฐากูรเสียงศร้า
สินธรชะงัก หันไปมองกระท่อมเมฆา เข้าใจความหมาย ขบกรามแน่น
“อาจารย์กำชับให้ท่านรีบนำน้ำแร่มาผสมกับสมุนไพร แล้วให้นำไปให้องค์ราชาโดยเร็วที่สุดครับ”
สินธรมองห่อสมุนไพรในมือ เดินไปคุกเข่าหน้ากระท่อมเมฆา
“ผมจะทำตามที่อาจารย์สั่งให้สำเร็จ แม้ว่าต้องแลกกับชีวิตผมก็ตาม ขอให้อาจารย์คุ้มครองพวกเราให้กอบกู้แผ่นดินรายากลับมาจากไอ้พวกกบฏให้ได้นะครับ”
คืนนั้น สินธรใส่เสื้อผ้าเป็นชาวบ้าน โพกหัวอยู่ที่มุมซอกตึกที่เคยนัดพบยื่นขวดยาให้บุหลัน
“บอกคุณหฤทัยด้วยว่าต้องให้องค์ราชาเสวยให้ครบสามเวลา ติดต่อกันจนกว่ายาจะหมด”
บุหลันรับยามา
“ยาจะออกฤทธิ์ขับพิษในร่างกายออกมา องค์ราชาจะค่อยๆดีขึ้น แต่ก็คงต้องใช้เวลาฟื้นพระวรกายอีกพอสมควรกว่าจะทรงเดินได้เป็นปกติ”
“ได้ค่ะ ฉันจะกำชับคุณหฤทัยตามนี้เอ่อ คุณหฤทัยฝากให้บอกท่านว่า...”
“ว่าอะไรครับ” สินธรดีใจ
“ว่า...ถ้าได้ติดต่อกับท่านคามิน ช่วยบอกด้วยนะคะว่าคุณหฤทัยจะช่วยองค์ราชาให้ได้ ขอให้ท่านคามินรักษาตัวให้หาย ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ครับ” สินธรจ๋อยไป
ถนนใกล้ๆกัน มินตราซุ่มอยู่ในรถรับจ้างเก่าๆ คนขับหลับอยู่ บุหลันกับสินธรออกมา สินธรแยกไปอีกทางวิ่งหายไปกับความมืด บุหลันขึ้นรถที่จอดไว้ขับออกไป มินตราไม่เห็นว่าคนขับหลับ
“ลุงๆ ตามผู้ชายคนนั้นไป”
คนขับนิ่ง มินตราเขย่า
“ลุง...โธ่ นี่ฉันจ้างมาขับรถนะ ไม่ได้ให้มานอน ตื่นเดี๋ยวนี้”
คนขับสะดุ้งตื่น
“ห๊ะ...ไหน จะกลับแล้วเหรอคุณ”
“ไม่ใช่กลับ ฉันจะให้ขับตามคนร้าย...”
“ไหนล่ะคนร้าย” คนขับงงๆ
“โอ๊ย...จะบ้าตาย” มินตราเซ็ง
บ้านนายพลวิฑูรเช้าวันใหม่...บุหลันยืนสำรวมนิ่ง นายพลวิฑูรมองคาดคั้นบุหลัน มินตราและเทวีอยู่ด้วย
“ที่มินตราพูดเป็นความจริงหรือเปล่า”
“ฉันว่าทางที่ดี คุณสารภาพความจริงดีกว่า โทษหนักมันจะได้เป็นเบา” มินตราเยาะ
“ว่าไงบุหลัน...เธอแอบนัดพบกับไอ้สินธรจริงเหรอ ทำไมไม่พูด” เทวีมองหน้าบุหลัน
บุหลันมองเทวีตีหน้าเศร้า
“ดิฉันพูดไม่ออก ก็เพราะนึกไม่ถึงว่าคุณมินตราจะผูกใจเจ็บใส่ร้ายดิฉันได้ขนาดนี้”
“ฉันน่ะเหรอ ผูกใจเจ็บเธอ” มินตราโวยวาย
“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่” นายพลวิฑูรงง
“ดิฉันเตือนคุณมินตราเรื่องการทำตัวสนิทสนมกับเจ้าชายมากเกินไป เพราะเห็นว่าเจ้าชายกำลังจะอภิเษกกับคุณหฤทัยอยู่แล้ว แต่เธอไม่พอใจดิฉันไม่คิดว่าเธอจะโกรธแค้นถึงขนาดมาใส่ร้ายดิฉัน”
มินตราเถียงทันที
“ไม่จริง แกโกหก เมื่อคืนแกไปพบไอ้สินธรมาชัดๆฉันเห็นกับตา ท่านวิฑูรคะ...นังบุหลันมันเป็น
ไส้ศึก มันไม่ได้อยู่ข้างท่านจริงๆ หรอกค่ะ”
นายพลวิฑูรมองบุหลัน
“เธอคงรู้นะบุหลันว่าการหลอกลวงฉันน่ะจะได้รับโทษยังไง”
“ดิฉันพูดความจริง”
มินตราแทรก
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนเธออยู่ที่ไหน มีพยานหลักฐานมั้ยละว่าเธอไม่ได้ออกไปพบใคร”
นายพลวิฑูรจ้องบุหลันเอาเรื่อง บุหลันนิ่ง มินตรายิ้มเยาะ เสียงหฤทัยดังขึ้น
“ลูกเป็นพยานให้คุณบุหลันได้ค่ะ”
ทุกคนหันไปมอง หฤทัยเข้ามา
“เมื่อคืนคุณบุหลันนอนอยู่กับลูกในห้องทั้งคืน เพื่อสอนให้ลูกเตรียมตัวเป็นชายาของเจ้าชาย”
“โกหก” มินตราแว้ดใส่ทันที
นายพลวิฑูรกับเทวีมองหน้ามินตราอย่างไม่พอใจ มินตราอึ้ง หฤทัยพูดต่อ
“แล้วก็ยังเตือนลูกให้ระวังผู้หญิงคนนี้ด้วย”
“มาระวังอะไรฉัน” มินตราโมโห
หฤทัยจ้องหน้า
“เธอกล้ายอมรับมั้ยล่ะว่า เธอชอบเข้าไปเฝ้าเจ้าชายอยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่ไม่ได้ทรงเรียกหาสักนิด”
นายพลวิฑูรกับเทวีมองมินตรา
“จริงเหรอมินตรา แหม...เธอนี่มันร้ายกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ” เทวีถามเสียงเข้ม
“ฉัน...ฉันก็แค่เข้าไปถวายการรับใช้แค่นั้นค่ะ ไม่มีอะไร” มินตราอึกอัก
หฤทัยสวน
“แต่ฉันคิดว่าไม่จำเป็น และขอสั่งเธอไว้ตอนนี้เลยนะว่า ไม่ต้องเข้าไปทำตัวรุ่มร่ามกับเจ้าชายมาคีอีก เพราะฉันไม่นิยมที่จะให้พระองค์มีสนมเล็กสนมน้อย หวังว่าเธอคงจะเข้าใจ”
หฤทัยเอาจริง มินตราเจ็บใจพูดไม่ออก เพราะอยู่ต่อหน้านายพลวิฑูร
“ต้องให้ได้อย่างนี้สิลูกพ่อ แบบนี้ล่ะถึงจะเอาเจ้าชายอยู่” นายพลวิฑูรหัวเราะชอบใจโอบหฤทัย
หฤทัยยิ้มแอบสบตากับบุหลันที่ลอบถอนใจโล่งอก มินตรามองอย่างอาฆาต
ริมสระน้ำบ้านธรรมรัตน์...มัทนาเดินถือถาดใส่ผลไม้เข้ามาชะงักมองคามินที่เดินช้าๆไปถึงขอบสระ มัทนาตกใจคิดว่าเขามองไม่เห็น เธอรีบวางถาดร้องเสียงหลง
“ระวังค่ะ”
มัทนาวิ่งเข้ามากอดด้านหลัง คามินชะงักตกใจ
“อะไรครับคุณมัท”
มัทนาคลายแขนออก
“คุณจะเดินตกสระน่ะค่ะ”
คามินนึกได้ว่าตัวเองตาบอด
“อ๋อ...เหรอครับ”
มัทนามองหา
“ไม้เท้าล่ะคะ ดูสิวางไว้นั่นเอง ทำไมไม่ถือมาด้วยล่ะ ใช้ไม้เท้าคลำทางไปก่อนคุณจะได้รู้ว่ามีอะไรกีดขวางอยู่ข้างหน้าหรือเปล่า”
“ผมลืมไป”
มัทนาจูงคามินมานั่ง
“ฉันไม่ดีเอง ไม่น่าปล่อยคุณไว้ตามลำพัง ก็เมื่อกี้ฉันเห็นคุณหลับอยู่ก็เลยไปเอาผลไม้มาให้น่ะค่ะ ทานผลไม้กันนะ”
มัทนาลงมือปอกส้ม คามินมอง
“ส้มน่าทานจังนะครับ”
มัทนาชะงัก มองส้มในมือ
“คุณรู้ได้ไงคะว่าเป็นส้ม”
คามินอึ้งแล้วรีบแก้ทันควัน
“ผมได้กลิ่นน่ะครับ”
มัทนาพยักหน้า คามินรีบพูดต่อ
“ตอนนี้ผมกำลังฝึกประสาทสัมผัสทางการดมกลิ่น ต้องฝึกให้ได้ครบทั้งห้า จะได้อยู่ในโลกมืดๆ นี้ได้อย่างไม่ต้องรบกวนใครมาก”
มัทนาชะงักน้ำตาซึม มองคามินอย่างสงสาร คามินมองตอบแต่นิ่งๆ เหมือนไม่เห็น มัทนารีบทำร่าเริง ป้อนส้มใส่ปากให้เขา
“อ้าปากค่ะ แล้วลองใช้ประสาทสัมผัสทางการรับรสบอกสิคะว่าหวานมั้ย”
คามินอ้าปากให้ป้อน แล้วทำหน้าเหยเก มัทนาตกใจ
“ว้าย...เปรี้ยวขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“หวานอร่อยมากต่างหากล่ะครับ” คามินยิ้ม
“คุณนี่ยังเจ้าเล่ห์ไม่หายนะ” มัทนายิ้มออกมาได้
“ก็ผมอยากเห็นคุณยิ้มนี่ไม่อยากเห็นคุณเศร้า”
“พูดยังกับคุณเห็นหน้าฉันน่ะ”
มัทนาป้อนส้มต่อไม่ได้ใส่ใจ คามินอึ้งนึกได้รีบเปลี่ยนเรื่อง
“มีข่าวจากทางรายาบ้างมั้ยครับ”
“เอ่อ...ยังไม่มีค่ะ ทางนั้นออกข่าวแค่องค์ราชาประชวร องค์ราชินีทรงสำเร็จราชการแทน การอภิเษกต้องเลื่อนออกไป ยังไม่มีข่าวกบฏ”
“ผมอยากกลับไปรายา”
“หวังว่าคงไม่ใช่คิดถึงภรรยาคนอื่นนะคะ”
คามินทำหน้าสงสัย
“หึๆ คนเขารู้กันทั้งรายาแล้วค่ะว่า คุณหฤทัยตั้งครรภ์กับเจ้าชาย...จะยังยืนยันอีกมั้ยคะว่า
คุณแต่งงานเพราะรักคุณหฤทัย”
“ผมอยากกลับเข้าไปพักข้างในแล้ว”
คามินลุกขึ้น มัทนาเข้าไปกอดด้านหลังของเขา
“บางทีฉันก็ไม่อยากให้คุณหาย เพราะฉันไม่อยากให้คุณจากฉันไปไหนอีกแล้ว”
มัทนาโผเข้ากอด คามินกอดตอบ
“แม้ผมจะตาบอดตลอดไปน่ะเหรอ”
“ค่ะ ฉันจะดูแลคุณเอง ฉันจะดูแลคุณตลอดไป จริงๆ นะ ฉันให้สัญญา”
คามินหักห้ามใจสุดๆ...ธรรมรัตน์กับท่านหญิงมาณวิกายืนมองอยู่ในบ้านหันมองหน้ากัน ทั้งคู่ถอนใจอย่างหนักใจ
เจ้าชายมาคีมองบนโต๊ะเป็นอาหารฝรั่ง พวกเสต็ก ซุป แล้วมีอ่างสวยใส่น้ำอุ่นลอยมะนาวฝานไว้ล่างมือผ้าเช็ดมือพับเรียบร้อยวางอยู่ หฤทัยอยู่ข้างๆ
“อาหารพวกนี้ไม่เห็นมีพริกสักจาน”
“เสวยเถอะเพคะ เดี๋ยวเครื่องเสวยเย็นหมด”
เจ้าชายมาคีพยักหน้า นั่งลง เอามือจุ่มที่อ่าง หฤทัยหยิบผ้าเช็ดมือเช็ดมือให้อย่างนุ่มนวล
“น้ำล้างมือนี่หอมดี กลิ่นนี้คุ้นๆ นะ”
“กลิ่นน้ำอบที่ทำมาจากดอกรัตยาไงเพคะ”
“เออ...จริงด้วย เราไม่ได้กลิ่นนี้ตั้งนานแล้ว หอมชื่นใจดี”
“กลิ่นดอกรัตยาเป็นสมุนไพรที่สูดดมเพื่อคลายเครียดได้ แต่ชาวรายาเดี๋ยวนี้นิยมแต่น้ำหอมของต่างประเทศ”
“เจ้ากำลังประชดเราหรือเปล่า”
“หม่อมฉันไม่บังอาจ เชิญเสวยเถอะเพคะ”
“ถ้าไม่เต็มใจจะมาปรนนิบัติเราล่ะก็ไม่เป็นไรนะ ส่งนางกำนัลคนไหนมาแทนก็ได้”
“ไม่ได้หรอกเพคะ มันเป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ช่วยอยู่ทำหน้าที่ของเจ้าจนกว่าเราจะเข้านอนได้มั้ย...อย่าเข้าใจผิดนะ เราไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดี เพียงแต่เราไม่อยากให้มีใครมาวุ่นวาย”
หฤทัยทำเฉย
“แต่ถ้าไม่เต็มใจ ไม่เชื่อใจเราก็ไม่เป็นไร”
“เพคะ หลังจากเสวยแล้วหม่อมฉันจะอยู่เฝ้า จนฝ่าบาทเข้าบรรทม”
เจ้าชายมาคียิ้มดีใจ
“ขอบใจ ขอบใจมากๆ งั้นมากินด้วยกันเถอะมา”
เจ้าชายมาคีตักอาหารให้หฤทัย ยิ้มแย้มดีใจ
ค่ำนั้น คามินนอนอยู่บนเตียง มัทนาห่มผ้าให้
“กู๊ดไนท์นะคะ”
“ขอบคุณครับ คุณก็ไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ”
มัทนาบอกว่าจะไปแต่ไม่ไป ย่องถอยไปนั่งมองเขา คามินลืมตาหันมาเห็น
“ทำไมคุณยังอยู่”
“คุณรู้ได้ไง”
“ผมได้ยินเสียง”
“อุตส่าห์เงียบที่สุดแล้วนะ หูดีชะมัด เอ่อ...ขอโทษทีคือฉันจะตรวจดูแอร์ว่าเย็นพอมั้ย”
มัทนาบ่น แกล้งทำเสียงก๊อกแก๊กว่าหยิบรีโมท คามินขำกับความเจ้าเล่ห์ของเธอ
“พอแล้วครับ ขอบคุณ ไปนอนเถอะ”
“โอเคค่ะ ฝันดีนะคะ”
มัทนาเดินออกเปิดประตู แต่ก็ปิดให้เสียงดังโดยตัวเองยังอยู่ข้างในอีก คามินหรี่ตาดูเห็น แอบถอนใจแล้วคิดแผน เขาเปิดผ้าห่มออก แกล้งพูดเสียงเหมือนพูดกับตัวเอง
“เฮ้อ อึดอัดจริงๆ ขืนใส่เสื้อผ้านอนแบบนี้คงไม่หลับแน่ คุณมัทคงไม่รู้ว่าผู้ชายรายาเวลานอน เขาจะไม่ใส่อะไรเลย”
มัทนาตาโต คามินเริ่มลุกขึ้นถอดเสื้อโยนไป แล้วหันไปทางมัทนา
เขาทำท่าจะถอดกางเกง มัทนาเกือบร้องออกมา ต้องปิดปากแล้วรีบหันไปเปิดประตูมือไม้สั่นวิ่งออกไป คามินหัวเราะออกมา
จบตอนที่15