xs
xsm
sm
md
lg

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 14

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 14

ในบ้านพัก...คามินนั่งรออยู่แล้ว มัทนาลากกระเป๋าเข้ามาในบ้าน
 
“เอาล่ะก่อนที่เราจะมาอยู่ด้วยกัน ฉันขอบอกเธอไว้ก่อนว่าห้ามเคลื่อนย้ายของทุกอย่างในบ้านโดยไม่บอกฉันก่อน ห้ามวางของเกะกะ ห้ามเข้าไปวุ่นวายในห้องนอนฉัน เธอทำความสะอาดเฉพาะห้องด้านนอกนี้” คามินแปลกใจ “ทำไมเธอไม่พูดไม่โต้ตอบฉันบ้าง”
มัทนาตกใจ อึกอัก คามินสงสัย
“หรือเธอไม่ใช่ลิ้นจี่”
คามินกระชับไม้เท้า ถอยไปก้าวหนึ่งเตรียมท่าต่อสู้ มัทนาตกใจกลัวคามินรู้
“ฉัน...เอ่อ ก็กำลังตั้งใจฟังคุณอยู่ไงคะจะได้ทำตัวถูก”
“สำเนียงเธอแปลกๆ” คามินชะงัก
“อ๋อ...ฉันไม่ใช่คนที่นี่ ฉันมาจากสุพรรณ”
“สุพรรณบุรี”
“ใช่จ้า...”
คามินพยักหน้า
“ไม่เห็นพี่ชายเธอบอก เขาบอกว่าเธอเรียนอยู่ในเมือง ตอนนี้ปิดเทอม”
“พี่ชาย” มัทนาพึมพำ งงๆ
“ที่จริงให้ชูมาพักด้วยกันที่นี่ก็ได้นะ ที่กระท่อมฉันว่ามันออกจะคับแคบไป”
มัทนาเข้าใจรีบสวมรอย
“ไม่เป็นไรค่ะ ให้พี่ชูอยู่ที่นั้นแหละ ฉันจะคอยดูแลคุณอยู่ที่นี่ ว่างๆค่อยไปหาก็ได้”
“ความจริงคุณธรรมรัตน์ไม่น่าต้องส่งเธอมาอีกคนเลย คงเป็นห่วงเรื่องอาหารการกิน ที่จริงฉันก็กินอยู่ง่ายๆ”
มัทนาพึมพำเบาๆ
“พ่อ...อย่างนี้นี่เองเข้าใจแล้ว”
คามินได้ยินประโยคท้ายๆ ลุกขึ้น
“ถ้าเธอเข้าใจแล้วก็เริ่มงานได้ ฉันขอไปพักผ่อนก่อน อ๋อฉันกินข้าวเย็นหกโมงนะ”
คามินเดินไปที่ห้องตัวเอง เข้าห้องไป มัทนายืนนิ่งพึมพำ
“เพราะคุณตาบอดใช่มั้ยคุณถึงไม่ยอมเจอฉัน คุณถึงให้พ่อบอกฉันว่าคุณตายไปแล้ว”
มัทนาสะเทือนใจ น้ำตาซึม
“ต่อไปนี้ฉันจะเป็นดวงตาให้คุณเองค่ะคามิน”

ในตำหนักยามค่ำคืน...เจ้าชายมาคีนอนหลับอยู่ ตกใจตื่น มองไปที่หน้าต่าง ตกใจเมื่อเห็น
คามินยืนหันหลังอยู่
“ใคร...เราถามว่าใคร”
เจ้าชายมาคีลุกพรวดคว้าดาบถามเสียงดัง เดินช้าๆเข้าไป คามินค่อยๆหันกลับมา หน้าคามินเต็มไปด้วยเลือด เจ้าชายมาคีผงะ ถอยกรูดมาล้มที่เตียง มือโดนห่อผ้ารีบหันไปมองบนเตียง มีเด็กทารกนอนตายตัวเปื้อนเลือดทั้งตัว เจ้าชายมาคีตาเหลือก ร้องตกใจ
“เฮ้ย...ไม่”
เจ้าชายมาคีหันไปมอง คามินยืนนิ่งจ้องมาน่ากลัว
“ไม่...”
เจ้าชายมาคีลุกพรวดร้องเสียงดัง
“ไม่...”
เจ้าชายมาคีชะงักมองรอบๆห้อง ไม่มีใคร รีบลุกเปิดไฟ ตะโกนลั่น
“ชวาล...ชวาล”
องครักษ์เข้ามา
“มีอะไรพะยะค่ะ”
“ชวาลอยู่ไหน”
“เอ่อ ฝ่าบาททรงไล่ให้ออกไปจากตำหนักหลายวันแล้วพะยะค่ะ”
“ไปตามกลับมา”
องครักษ์อึ้ง
“ฮะ...”
“หูแตกเหรอ บอกให้ไปตามชวาลกลับมา”
“พะยะค่ะ”
องครักษ์จะออกไป เจ้าชายมาคีเรียกไว้
“เดี๋ยว ยังไม่ต้อง ไปเตรียมรถให้เราก่อน เราจะไปเฝ้าเสด็จพ่อ”

ในห้องบรรทม ราชาอินทรานอนน้ำตาไหล พระนางสาวิตรีมองสะใจ
“เสียพระทัยมากหรือเพคะที่รู้ว่าไอ้คามินมันตาย”
ราชาอินทราหันมามองอย่างผิดหวัง
“หม่อมฉันทูลแล้วว่าหม่อมฉันจะทำลายมันให้ย่อยยับ รัชทายาทแห่งรายาต้องมีเพียงองค์เดียวคือมาคี”
ราชาอินทราพยายามจะต่อว่า พระนางสาวิตรีไม่สนใจเดินไปหยิบแก้วยามานั่งข้างเตียง
“ได้เวลาเสวยยาแล้วเพคะ”
เจ้าชายมาคีเดินเข้ามา แล้วหลบแอบดู ราชาอินทราเบือนหน้าหนี ส่งเสียงในลำคอ พระนางสาวิตรีบีบแก้มพยายามป้อนยา
“เสวยซิเพคะ หม่อมฉันบอกให้เสวย”
เจ้ามาคีตกใจมาก
“เสด็จแม่”
พระนางสาวิตรีชะงักหันมาเห็นเจ้าชายมาคียืนมองอย่างตะลึงอยู่ พระนางสาวิตรีตกใจ ถ้วยยาร่วง
“มาคี”

“ยานั่นใช่มั้ยที่ทำให้เสด็จพ่อทรงเป็นแบบนี้”

เจ้าชายมาคีเดินเร็วๆออกมานอกห้องบรรทมหน้าซีดเผือด พระนางสาวิตรีวิ่งตามมาเรียก
 
“มาคี...ฟังแม่ก่อน”
เจ้าชายมาคีหยุด หน้าตาไม่อยากเชื่อหันไปมองพระนางสาวิตรีอย่างผิดหวัง
“ที่แท้ คามินไม่ได้ลอบทำร้ายเสด็จพ่อ แต่เป็น...”
พระนางสาวิตรีนิ่งไปครู่ก่อนพูดเรียบๆ
“ใช่แม่ทำเอง แม่ทำทุกอย่างเพื่อลูก”
“ทำไม...ทำไมต้องทรงทำขนาดนี้ นั่นน่ะ เสด็จพ่อนะพะย่ะค่ะ”
“แต่เสด็จพ่อไม่เคยเห็นเราแม่ลูกอยู่ในสายตา ทรงเชื่อแต่ไอ้คามิน ทั้งๆที่มันพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะมาแทนที่ลูก”
“คามินก็เป็นแค่องครักษ์ เขามาแทนที่ลูกได้ยังไง”
“มันไม่ได้เป็นแค่องครักษ์ แต่มันเป็น...”
พระนางสาวิตรียั้งไว้ทัน
“เป็นลูกนางรำชั้นต่ำที่คิดอยากเผยอเป็นเจ้าชาย มันก็เลยพยายามชิงดีชิงเด่นกับลูก ยุให้ลูกทำเรื่องเสื่อมเสีย เสด็จพ่อจะได้เกลียดลูกและยกมันขึ้นมาแทนตำแหน่งลูก”
เจ้าชายมาคีนิ่ง ลังเล สับสน
“แต่เสด็จแม่ก็ไม่น่าทำร้ายเสด็จพ่อขนาดนี้”
พระนางสาวิตรีนิ่ง เสียงเรียบ
“แม่ทำเพื่อลูก แต่ถ้าลูกคิดว่าแม่ทำผิดก็เรียกทหารมาจับแม่ได้เลย เอาสิ สั่งลงโทษแม่เลย เอาเลย”
เจ้าชายมาคีมองพระนางสาวิตรีอย่างอัดอั้นตันใจ ก่อนผลุนผลันผละไป พระนางสาวิตรีมองตามเครียด

หน้าวิหารปรารถนาเช้าวันใหม่...เจ้าชายมาคีเดินมาถึงหน้าวิหาร หันไปบอกองครักษ์
“เราจะเข้าไปสวดมนต์ พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก”
เจ้าชายมาคีกำลังจะเข้าไปในวิหารชะงักรีบหลบดู เมื่อเห็นหฤทัยออกมาจากวิหารถือห่อผ้าทอเล็กๆมาด้วยท่าทางเศร้า เดินไปด้านหลังวิหาร เจ้าชายมาคีมองสงสัย

หฤทัยวางห่อผ้าใต้โคนต้นไม้ใหญ่ ชักมีดที่เหน็บเอวไว้ออกมา ถอดปลอกออก เจ้าชายมาคีตกใจวิ่งเข้าไปแย่ง
“เจ้าอย่าทำบ้าๆนะ”
“ทรงคิดว่าหม่อมฉันจะทำอะไรเพคะ”
“ก็ ฆ่าตัวตาย...”
หฤทัยมองนิ่งๆ ไม่พูดอะไร เปิดห่อผ้าออก เห็นถุงมือถุงเท้าไหมพรม หมวก ชุดทารกที่เตรียมไว้ เจ้าชายมาคีชะงัก
“ของพวกนี้...”
“หม่อมฉันเตรียมไว้ให้ลูก แต่...มันไม่ได้ใช้แล้ว หม่อมฉันก็เลยจะมาฝากเทพเจ้าที่วิหารแห่งนี้ให้ช่วย ปกป้องรักษาวิญญาณของลูก...” หฤทัยสะอื้น “ขอมีดให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
เจ้าชายมาคีจะส่งให้แต่ก็ชะงัก
“เราช่วยเอง”
เจ้าชายมาคีเอามีดขุดดิน หฤทัยมองเฉย แต่ในใจแค้น เจ้าชายมาคีเอาห่อผ้าฝังลง
“ขอบพระทัยเพคะ...”
หฤทัยลุกขึ้น
“หฤทัย เรา เราขอโทษ...”
หฤทัยนิ่งไม่ตอบ เจ้าชายมาคีเอามือหฤทัยมายัดมีดใส่
“ถ้าอยากจะแก้แค้นก็...เอาเลย แทงเรากี่แผลก็ได้ ถ้ามันจะทำให้เจ้าหายแค้นที่เราทำให้เจ้าเสียลูกไป”
หฤทัยกำมีดแน่นมองเจ้าชายมาคี...แล้วโยนมีดทิ้ง
“ทำไมหม่อมฉันจะต้องแค้นฝ่าบาทด้วย หม่อมฉันจะต้องขอบพระทัยฝ่าบาทด้วยซ้ำ ที่ทำให้ลูกของหม่อมฉันไม่ต้องเกิดขึ้นมารับรู้ความโหดร้ายของโลกใบนี้”
“ใช่โลกใบนี้มันโหดร้าย...โหดร้ายที่สุด”
เจ้าชายมาคีทรุดลงนั่งร้องไห้เหมือนเด็กๆ หฤทัยหันหลังจะไปแล้วหันกลับมามอง

มินตราเดินถือพานดอกไม้สดยิ้มแย้มเข้ามาหน้าวิหารเห็นองครักษ์ยืนอยู่
“เจ้าชายเสด็จเข้าไปด้านในเหรอ”
“ครับ...”
มินตราจะตามเข้า องครักษ์จะขวาง
“องค์ราชินีรับสั่งให้ฉันมาถวายการปรนนิบัติเจ้าชาย...ถอยไป”
องครักษ์จำต้องถอย มินตราเดินเข้าไป

ด้านหลังวิหาร...หฤทัยเดินเข้าไปหาใจอ่อนวูบที่เห็นว่าเจ้าชายมาคีเศร้าเสียใจสุดๆ หฤทัยแตะบ่า
“ฝ่าบาท”
เจ้าชายมาคีกอดหฤทัย หน้าซุกที่เอว มินตราเดินเข้ามาชะงักกับภาพที่เห็น หึงหน้ามืด
“เจ้าชายเพคะ”
หฤทัยตกใจผละออก เจ้าชายมาคีได้สติ รีบตีหน้าขรึม เอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตา
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะประทับอยู่กับคุณหฤทัย...นี่คุณหายดีแล้วเหรอคะ ถึงออกมาตากแดดตากลมได้”
“ค่ะ ฉัน แข็งแรง สบายดีแล้ว หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ”
หฤทัยเดินไปอย่างรวดเร็ว เจ้าชายมาคีจะตาม มินตรารีบเกาะแขน
“หม่อมฉันทราบว่าช่วงนี้ไม่สบายพระทัย ก็เลยตามมาถวายการรับใช้”
“ขอบใจ แต่ถ้าอยากให้เราสบายใจ ช่วยอยู่ให้ห่างๆเราจะดีกว่า”
เจ้าชายมาคีจะไป มินตราไม่ยอม
“แปลกนะเพคะ ทรงรังเกียจหม่อมฉัน แต่ไม่ยักรังเกียจเมียชาวบ้าน”
เจ้าชายมาคีชะงัก
“ทรงเชื่อเหรอเพคะว่าลูกในท้องคุณหฤทัยเป็นของฝ่าบาท ทั้งๆที่เธอนอนอยู่กับคามินทุกคืน”
“ตอนนี้เราไม่เชื่อใครทั้งนั้น โดยเฉพาะเจ้า มินตราและถ้าจะเอาเรื่องคืนนั้นมาอ้างเพื่อบีบเราละก็มันไม่ได้ผล...”
“อย่าทรงเข้าพระทัยผิดนะเพคะ หม่อมฉันไม่ต้องการอะไรเลย ถึงหม่อมฉันจะเป็นเอ้อ...เป็นของเจ้าชายแล้วก็ตาม แต่หม่อมฉันไม่ต้องการให้เจ้าชายทรงรับผิดชอบแม้แต่นิดเดียว”
“ขอให้เจ้าทำตามที่พูดก็แล้วกัน”
เจ้าชายมาคีเดินไป มินตราขยี้ดอกไม้ขว้างทิ้ง

“ฉันลงทุนมาถึงขนาดนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ขวางทางฉันไม่ได้ทั้งนั้น”

มัทนาจัดข้าวของอยู่ในห้อง ประตูเปิดเข้ามา มัทนาหันขวับตกใจ ลิ้นจี่สะพายกระเป๋าเดินทางมา ก็มองมัทนาอย่างตกใจเหมือนกัน
 
“เธอเป็นใคร เข้ามาทำไม” มัทนาถามเสียงแข็ง
ลิ้นจี่จ้องหน้า
“ฉันน่าจะถามเธอมากกว่าว่าเธอเป็นใคร”
มัทนามองลิ้นจี่แล้วนึกขึ้นได้รีบถาม
“เธอคือลิ้นจี่ใช่มั้ย”
ลิ้นจี่มองมัทนางงๆ ชี้หน้าตัวเอง
“รู้จักฉันด้วยเหรอ”

ในกระท่อม...ชูช่วยลิ้นจี่นับเงิน
“โห...ทำไมเขาให้เงินแกเยอะขนาดนี้”
“ไม่รู้ไม่ได้ถาม มัวแต่ดีใจที่มีคนทำงานแทน แถมให้เงินอีก หาที่ไหนได้”
“นังลิ้นจี่...แกนี่มันขี้เกียจตัวเป็นขนจริงๆ”
“ยังกะพี่ขยันตายละ ไม่งั้นคงไม่จิกกระบาลฉันมาทำแทนหรอก รับใช้คนตาบอด เหนื่อยตาย”
“ข้าไม่ว่างโว้ย นี่มันหน้าหาปลา แต่ทำไม นายเหมันต์ไม่เห็นบอกเลยว่าจะส่งคนมา”
“เหอะน่าอย่าสงสัยมากเลย เขาอาจจะเพิ่งหาคนได้”
ลิ้นจี่แย่งเงินกลับไปส่วนหนึ่ง
“เฮ้ย...แล้วแกจะไปไหน”
“ไปดูคอนเสิร์ตใบเตย”

หน้าบ้านพักริมทะเล...มัทนาเอากับข้าวออกจากไมโครเวฟ
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่วที่มีอาหารสำเร็จรูป ไม่งั้นเราแย่แน่”
มัทนายกมาวางที่โต๊ะอาหาร แล้วชะงักมองผ่านออกไปข้างนอกเห็นทะเล เกิดความคิด

คามินเดินถือไม้เท้าคลำทางออกมา
“ลิ้นจี่ๆ”
มือมัทนาเข้ามาจับมือ คามินชะงัก จะชักมือออก
“ฉันเองค่ะ”
“อย่าแตะตัวฉัน โดยที่ไม่ส่งเสียงให้ฉันรู้ตัว เธออาจจะเจ็บตัวได้”
“ขอโทษคะ”
“นี่มันเย็นแล้วทำไมเธอไม่จัดอาหารเย็นล่ะ”
“ฉันทำเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เธอเล่นตลกอะไรถึงฉันจะตาบอดแต่ฉันก็มีมือฉันไปที่โต๊ะอาหารมาแล้ว ไม่มีอะไรเลย”
มัทนาเดินไปจับแขน
“มากับฉันนะคะ”
มัทนาจูงคามินไปที่โต๊ะที่หน้าบ้าน ซึ่งปูผ้า วางแจกันดอกไม้ จัดชามช้อนอย่างดี
“วันนี้ฉันเปลี่ยนบรรยากาศให้คุณมานั่งทานใกล้ๆทะเล จะได้ทานไปฟังเสียงคลื่นลมไปไงคะ”
“ใครใช้ให้เธอทำอะไรแบบนี้ คิดว่าฉันมีอารมณ์ฟังเสียงคลื่นเสียงลมหรือไง ยกอาหารขึ้นไปข้างบนฉันจะกินข้างบน”
คามินทำท่าจะกลับขึ้นบ้าน มัทนาคิดเร็วๆแล้วแกล้งร้องไห้สะอื้น คามินชะงัก
“เธอร้องไห้ทำไม”
มัทนารีบบอก
“ก็ฉันได้รับมอบหมายมาจากคุณธรรมรัตน์สั่งให้ดูแลคุณให้ดีที่สุดนี่ค่ะ ถ้าฉันทำไม่ได้ฉันคงต้องโดนไล่ออก”
“ก็ไม่เห็นเธอต้องทำขนาดนี้” คามินงง
“คุณคงไม่รู้ตัวว่าคุณนะผอมไปมาก ถ้าคุณธรรมรัตน์มาเห็นสภาพคุณต้องหาว่าฉันดูแลไม่ดี ฉันก็แค่อยากให้คุณเปลี่ยนบรรยากาศคุณจะได้ทานได้เยอะๆ”
คามินนิ่งแล้วสงสัย
“เธอไม่เคยเจอฉันมาก่อนแล้วรู้ได้ยังไงว่าเมื่อก่อนฉันอ้วนกว่านี้”
มัทนาอึ้งแต่ก็แถไปได้อีก
“ก็ก่อนมาคุณธรรมรัตน์เอารูปคุณให้ฉันดูนี่ค่ะ”
คามินพยักหน้าเข้าใจ มัทนาลอบถอนใจโล่งอก
“คุณนั่งลงแล้วก็ทานข้าวเถอะค่ะอย่าให้ฉันต้องโดนคุณธรรมรัตน์เล่นงานเลย ถ้าฉันโดนไล่ออกพ่อแม่ฉันพี่น้องฉันอีกตั้งหลายคนจะเอาอะไรกิน”
“ไหนชูบอกมีกันแค่สองคนพี่น้องไง” คามินงง
มัทนาตาเหลือกจะหลุดอีกแล้ว
“อ๋อ...ฉันหมายถึงพี่ๆน้องๆลูกของลุงป้าน้าอานะคะฉันญาติเยอะต้องทำมาหาเลี้ยงหมดแหละ”
คามินเข้าใจ ตัดสินใจนั่งลง คลำๆจานช้อน กับจานกับข้าวว่าอยู่ตรงไหน พยายามตักมา ผิดมั่งถูกมั่งหกเรี่ยราด มัทนามองสงสารน้ำตาร่วง
“ให้ฉันป้อนนะคะ”
“ไม่ต้อง...ฉันอยากฝึกทำเองให้ได้ เผื่อว่า ฉันอาจต้องอยู่ในโลกมืดแบบนี้ตลอดไป”

มัทนามอง กลั้นสะอื้น

ชายหาดวันเดียวกัน...บรรยากาศชายหาดยามค่ำโรแมนติก คามินกับมัทนาเดินมาด้วยกัน
 
“ทำไมต้องให้ฉันมาเดิน ฉันจะกลับขึ้นบ้านล่ะ”
“นี่คุณกินอิ่มใหม่ๆก็ต้องเดินออกกำลังให้ย่อยสิคะ กินแล้วนอน เดี๋ยวก็สุขภาพเสียหมด”
“สุขภาพจะดีจะเสียมันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคนอย่างฉันหรอก”
คามินจะกลับบ้านพัก มัทนาทำเสียงดูถูก
“คุณนี่ใจเสาะจริงๆนะ”
“อะไรนะ” คามินชะงัก
“กะอีแค่ตาบอดมันทำให้คุณหมดอาลัยตายยากในชีวิตเลยเหรอ คุณรู้มั้ยบางคนเขาไม่มีทั้งแขนทั้งขาเขายังสู้ชีวิตยิ่งกว่าคุณเสียอีก”
คามินชะงัก
“เธอนี่พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว เหมือนผู้หลักผู้ใหญ่”
“ถึงเรียนไม่เยอะแต่ฉันก็ชอบอ่านชอบดูโน่นนี่ คนเราไม่จำเป็นต้องเรียนเยอะถึงจะรู้เยอะไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็จริงของเธอ”
ปูทะเลไต่ขึ้นขา คามินขยับหนี
“ตัวอะไรนะ”
มัทนามอง
“ปูค่ะ”
คามินนั่งลงเอามือควานๆจะจับ
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันอยากจับมัน”
“อย่าเลยค่ะมันจะหนีบคุณเอา”
มัทนาไล่ปูไป คามินลุกขึ้นมองเหม่อไปที่ทะเล พูดเรื่อยๆ
“ตอนฉันอยู่ที่...”
คามินหยุดกะทันหัน มัทนารีบคะยั้นคะยอ
“พูดออกมาเถอะค่ะการได้พูดได้คุยได้ระบายอะไรออกมาบ้าง บางทีคุณจะรู้สึกดีขึ้นนะคะ”
คามินนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูดช้าๆ
“ที่บ้านเก่าฉันล้อมรอบด้วยภูเขาไม่มีทะเล ฉันไม่เคยเห็นปูมาก่อน พอฉันเห็นมันครั้งแรกฉันตื่นเต้นมาก ฉันไล่จับมันอย่างสนุก มีคนบอกฉันว่าถ้าได้ไล่จับปูริมทะเลจะสนุกกว่านั้นอีก ตอนนี้ฉันได้มายืนอยู่ริมทะเล ได้ยินเสียงคลื่นซัดอยู่ตรงหน้า มีปูวิ่งวนอยู่ใกล้ๆตัว แต่ฉันกลับมองไม่เห็นทะเล ไม่สามารถจะจับปูได้”
มัทนาอึ้ง คามินถอนใจ
“รอเดี๋ยวนะคะ คุณอย่าไปไหนนะ”
“จะทำอะไร”
“น่าแป๊บเดียว เดี๋ยวเดียว”

ริมทะเลยามโพล้เพล้...มัทนาจูงมือคามินมาริมทะเล นั่งลงจับมือเขาลูบที่พื้นทรายที่เธอกอบทรายมาสร้างเป็นรูปปูยักษ์ไว้
“นี่อะไร”
มัทนาไม่ตอบแต่ยังจับมือเขาลูบไปเรื่อยๆ
“คุณทายสิคะนี่ลำตัว...นี่ขานี่ก็ขาอีกมันมีขาเยอะน่ะ นี่หัวมันแล้วก็นี่...”
คามินตอบโพล่งออกมา
“ปู...นี่มันปูใช่มั้ย”
มัทนาหัวเราะเสียงดังดีใจ เผลอพูดปกติ
“เก่งมาก”
คามินชะงัก
“เสียงเธอ...ทำไมบางครั้งฉันรู้สึกคุ้นๆ กลิ่นน้ำหอมก็คล้ายๆ”
มัทนารีบปล่อยมือเขา ลุกขึ้นถอยออกมาห่างอย่างตกใจ
“เอ้อ...ฉันว่าเรากลับขึ้นบ้านดีกว่า เพราะว่าจะมืดแล้ว”
คามินค่อยๆลุกขึ้น
“สำหรับฉันมันก็มืดตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“ขอโทษนะคะฉัน...ลืมไป”
“ขอโทษทำไม มันคือความจริง ท้องฟ้ายามใกล้ค่ำทุกที่จะเหมือนกันหรือเปล่านะ”
“คุณพูดเหมือนคุณคิดถึงบ้าน”
“ใช่...ฉันคิดถึงบ้าน แต่ฉันคงไม่มีโอกาสได้กลับไปอีกแล้วล่ะ”

คามินเศร้า มัทนามองอย่างสะเทือนใจ

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 14 (ต่อ)

ลานซ้อมในหมู่บ้านภูสายธาร...สินธรคุมวายุกับชาวบ้านซ้อมมวยรายา ทุกคนดูล้ามาก
 
“ออกหมัดเชื่องช้าแบบนี้ ก็ไม่มีทางสู้พวกมันได้ มันต้องแบบนี้”
สินธรออกหมัดว่องไว เล่นเอาวายุรับไม่ทันโดนต่อยร่วงไป
“ลุกขึ้นมา”
“พวกเราซ้อมมาตั้งแต่เช้า ขอพักก่อนเถอะท่านสินธร”
“ไม่ได้...เราไม่มีเวลาแล้ว เราต้องบุกไปช่วยองค์ราชาอย่างเร็วที่สุด ลุกขึ้น”
วายุลุก เข้าจู่โจมแต่โดนอีก สินธรเงื้อหมัด ฐากูรเข้ามาจับแขนไว้ สินธรหันไป
“พอแล้วท่านสินธร พวกนี้ซ้อมมาตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันจะตกดินแล้ว พวกเขามีเลือดเนื้อไม่ใช่เหล็กไหล ปล่อยพวกเขาไปพักเถอะ ไป...ไปพักกันได้”
ทุกคนแยกย้ายไป สินธรโมโห
“ถ้าฝีมือยังอ่อนหัดกันขนาดนี้ เราจะไปสู้กับพวกท่านวิฑูรได้ยังไง”
เมฆาเข้ามา
“เรารู้ว่าเจ้าร้อนใจ เราเองก็เหมือนกัน แต่พวกเรามีกำลังน้อยกว่า ต้องรักษาเอาไว้ แล้วก็วางแผนอย่างรอบคอบ...”
“แล้วต้องรอถึงเมื่อไหร่...รอจนนายพลวิฑูรยึดแผ่นดินรายาไว้ได้หมดน่ะเหรอครับ”
“ตอนนี้ฝ่ายโน้นมันคงยังไม่กล้าทำอะไร อย่าลืมซิ ตอนนี้เรายังถือไพ่ที่ได้เปรียบอยู่อีกใบหนึ่ง”
เมฆายิ้ม

ในบ้านเมฆา...อัคนีในชุดชาวบ้าน นั่งกินข้าวหมดถ้วย แล้วยื่นให้มาลี
“เติมข้าวหน่อย”
“โอ๊ย คนอะไรวะ กินจุเป็นบ้า ข้าวหมดหม้อแล้ว ไม่มีแล้ว”
“แต่ผมยังไม่อิ่มเลย”
“ก็ช่างนายซิ หุงข้าวให้กินนี้ก็บุญแล้วนะ คนชั่วๆอย่างนายมันต้องจับขังให้อดข้าวอดน้ำถึงจะถูก”
“ทำไมชอบพูดว่าผมเป็นคนชั่วอ่ะ ผมทำอะไรเหรอ”
“ก็นายเป็นพวกนายพลวิฑูร เป็นพวกกบฏ แค่นี้ก็ชั่วสุดๆแล้ว”
“แต่ผมไม่รู้จักพวกเขาเลยนะ...คนสวยช่วยบอกหน่อยสิ ว่าพวกเขาเป็นใคร”
“โว้ย พูดไปเป็นร้อยรอบแล้ว...เปลืองน้ำลาย”
มาลีเก็บจาน อัคนียื้อไว้
“มา...ผมล้างให้”
“ไม่ต้อง ขืนให้นายล้าง หมู่บ้านนี้คงไม่มีจานกินข้าว ตั้งแต่นายมาอยู่ทำแตกไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
มาลีเดินออกมาเจอ เมฆา สินธร ฐากูร
“เป็นไงมาลี ได้เรื่องอะไรมั้ย” ฐากูรถาม
“โอ๊ย จะได้อะไร แม้แต่ชื่อตัวเองยังจำไม่ได้ มาลีว่าอย่าเลี้ยงไว้เลย ปล่อยเข้าป่าไปให้เสือมันกินเถอะ”
มาลีเดินไปหลังบ้าน สินธรมองอัคนี
“มันคงแกล้งจำอะไรไม่ได้ ไอ้คนเจ้าเล่ห์”
อัคนีคว้าผ้ามาถูบ้านใหญ่ เมฆามองๆ
“ลูกชายนายอสิต อาจจะความจำเสื่อมจริงๆก็ได้”
ฐากูรเหนื่อยใจ
“แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
“มีสิ อย่างน้อยก็เท่ากับเรามีตัวประกันเอาไว้ต่อรอง...ยังไงพ่อก็ต้องห่วงลูกอยู่แล้ว” เมฆาออกความเห็น

อสิตเดินออกมาจากบ้านนายพลวิฑูร ยักษ์ลากกระเป๋าตาม นายพลวิฑูรกับสุเทษเดินสวนเข้ามา
“นั่นเสี่ยจะไปไหน” นายพลวิฑูรถามอย่างสงสัย
“ผมจะระดมกำลังไปหาตัวลูกผม”
“ก็ผมบอกแล้วไงว่า ผมส่งคนของผมไปแล้ว...ไม่นานก็คงเจอตัว”
“ไม่นานเหรอ นี่มันปาเข้าไปตั้งกี่วันแล้ว ถ้าไอ้พวกนั้นมันจับลูกผมไปจริง ป่านนี้ไอ้หนูคงเหลือแต่วิญญาณ”
“เชื่อผมสิว่ามันไม่กล้าทำอะไรอัคนีหรอก มันต้องเอาไว้เป็นตัวประกัน”
“แต่ลูกผมมันไม่เคยลำบาก ถ้ามันต้องไปถูกทรมานมันต้องกลัวจนหัวใจล้มเหลวไปก่อนแน่ๆ” อสิตสะอื้น “ฮือๆ ลูกพ่อ”
นายพลวิฑูรกับสุเทษมองหน้ากันหน่ายๆ นายพลวิฑูรพยักหน้า สุเทษยื่นซองที่ถือมาให้ นายพลวิฑูรดึงกระดาษออกมา ยื่นไปตรงหน้า อสิตรับมาดูงงๆ
“ภาษารายา ผมอ่านไม่ออกหรอก”
“ที่ประชุมราชสภาเห็นชอบให้มีการประมูลสัมปทานเหมืองเพชรและพลอยในรายาแล้ว เหลือเพียงองค์ราชาลงพระนาม”
“จริงเหรอครับ” อสิตหยุดสะอื้น
“แทนที่จะนั่งร้องไห้ เสี่ยน่าจะใช้เวลาคิดคำนวณว่าเสี่ยจะได้รายได้จากสัมปทานครั้งนี้เท่าไหร่ดีกว่า”

อสิตน้ำตาแห้งทันที

คามินเข้ามาที่เตียงแล้วชะงัก เสียงมัทนาร้องเพลง แว่วเข้ามา
 
“ตะวันลับตา เพลงนิทราก็จะบรรเลง ขับกล่อมเสียงเพลงให้เธอฝันไป...”
คามินอึ้ง รีบเดินออกไปไม่ได้เอาไม้เท้าไป

คามินเดินชนโน่นชนนี่มาถึงห้องมัทนาเปิดเข้าไป เสียงเพลงชัดขึ้นๆ
“ให้หลับใหลในอ้อมแขนนี้ ในฝันนั้นมีเพียงสองเราที่อยู่เคียงข้างกัน มีรักฉันคอยห่มใจเธอ”
คามินเดินเร็วๆขึ้น ไปหยุดที่ห้องน้ำ
“ให้เธอพักกาย วางหัวใจลงจากกังวล ให้อ้อมแขนนี้ที่เธอหนุนนอน เปรียบดังหมอนทำจากรักแท้...”
ในห้องน้ำ...มัทนาอาบน้ำฝักบัวอย่างมีความสุข ร้องเพลงไปด้วย
“หลับซะคนดี คืนนี้ฉันจะเฝ้าคอยดูแล นำรักแท้มาห่มใจเธอให้รักนี้ซึมซาบลงในดวงใจ ให้รักนี้ เอ่ยคำที่ฉันอยากพูดไป”
เสียงเคาะประตูแรงๆ มัทสะดุ้ง
“ใครน่ะ” มัทนาลืมเหน่อสุพรรณ
คามินได้ยิน เคาะแรงขึ้น
“เปิดประตู เดี๋ยวนี้ เปิด”
มัทนาคว้าผ้าเช็ดตัวนุ่งลวกๆ เปิดประตูเห็นคามินยืนอยู่ มัทนาปรับเสียงพูด
“คุณ...เคาะประตูทำไมเกิดอะไรขึ้น”
“เธอเหรอลิ้นจี่...”
“ก็ฉันน่ะสิคะ นี่ห้องนอนฉัน ฉันอาบน้ำอยู่”
“เป็นเธอเหรอที่ร้องเพลง”
มัทนายังงงๆ
“เพลง..”
คามินจับไหล่เขย่า
“บอกมา ทำไมเธอร้องเพลงนี้ได้ เธอร้องเพลงหลับฝันดีได้ยังไง”
“ฉัน ฉัน...”
มัทรู้สึกว่าผ้าหลุด ก้มลงมอง แล้วมองหน้าคามิน
“อ๊าย...”
มัทนาผลักคามินหงายท้องแล้วปิดประตูปัง คามินไม่ทันตั้งตัวล้มหงายนอนจุก...มัทลนลาน คว้าเสื้อคลุมมาใส่
“อีตาบ้า...อยู่ดีดีก็บุกมาถามเรื่องเพลงบ้าบออะไรตอนนี้ไม่รู้ ป่านนี้เห็นไปถึงไหนไหน คอยดูจะจิ้มตาให้บอดเลย” มัทนานึกได้ “ตาบอด จริงด้วย ก็เขาตาบอดหนิ”
คามินค่อยๆลุกขึ้นนั่ง มัทนาออกมาจากห้องน้ำ
“คุณค่ะ ฉันขอโทษนะ ฉันตกใจน่ะ”
มัทนามาประคอง คามินจับแขนไว้
“เธอยังไม่ตอบฉันเรื่องเพลง เธอร้องเพลงพื้นบ้านของรายาได้ยังไง”
มัทนึกได้ว่าพลาดไป
“เพลงรายาอะไรกัน ฉันก็ร้องเพลงลูกทุ่งธรรมดานี่แหละ...” มัทนาร้องเพลง “หากมีเวลามาเยี่ยมบ้านนาบ้างเด๊อพี่เด๊อ...”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เพลงนี้”
“แสดงว่าคุณคงหูฝาดแล้วละ อาจเป็นเพราะคุณคิดถึงบ้านมากไป”
“งั้นเหรอ” คามินสับสน สงสัย

มัทนาประคองคามินเข้ามาที่เตียงของเขา
“นอนซะนะคะ แล้วก็อย่าคิดมาก”
“ขอบใจ”
คามินนั่งลงที่เตียงแล้วเอนตัวลงนอน
“ฉันปิดไฟนะคะ”
คามินพยักหน้า มัทนาปิดไฟ เหลือแต่แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาที่หน้าคามิน มัทนาเปิดประตูเหมือนจะออก แต่ก็ปิดโดยที่ยังไม่ออกไป เธอย่องมาที่ข้างเตียง มองคามินที่หลับตาด้วยความรัก คามินหายใจสม่ำเสมอเหมือนหลับแล้ว มัทนาก้มลงแตะจมูกเบาๆที่หน้าผาก
 
คามินขยับตัวเอามือปัดๆ แต่ไม่ลืมตา มัทนาปิดปาก ไม่ให้มีเสียงแล้วถอยไปนั่งที่เก้าอี้มองดูเขาอย่างมีความสุข

กระท่อมชูเช้าวันใหม่...ลิ้นจี่รีบรับคำมัทนา
 
“แป้ง ได้ค่ะรอเดี๋ยวนะ”
ลิ้นจี่ผลุบหายเข้าไปในกระท่อม แล้วถือกระป๋องแป้งฝุ่นออกมายื่นให้
“นี่ค่ะ”
มัทนาทำหน้าเหมือนอยากตาย
“ไม่ใช่แป้งทาตัว ฉันหมายถึงแป้งเอ้อแป้งที่ทำขนมนะ”
“อ๋อ...แล้วก็ไม่บอก ฉันต้องไปซื้อในเมืองค่ะต้องให้พี่ชูเอาเรือออกไป คุณจะเอาเมื่อไรคะ”
เสียงคามินดังขึ้น
“ชู...ชูอยู่หรือเปล่า”
มัทนาตกใจ
“คามินมาเธอหลบไปก่อน”
“ทำไมต้องหลบละคะ” ลิ้นจี่งงๆ
“คุณคามินเขานึกว่าฉันเป็นเธอน่ะสิ เขาไม่รู้ว่าเปลี่ยนคนเฝ้า คือฉันเคยปรนนิบัติเขามาก่อน แต่เขาไม่ชอบฉัน ฉันเลยต้องปลอมเป็นเธอ”
“แล้วทำไมไม่ชอบละคะ”
มัทนาควักเงินให้อีก
“หายสงสัยมั้ย”
“หายค่ะ หายสนิท เอ๊ะ...แต่ทำไมต้องหลบก็เขามองไม่เห็น”
“เออ จริงๆ”
มัทนาโบกมือให้ลิ้นจี่ไปยืนแอบมุม คามินเข้ามา
“ชู...ชู มีแขกเหรอ”
“คุณเรียกพี่ชูทำไมคะ”
“อ้าวลิ้นจี่เธอก็อยู่ที่นี่เหรอ”
“ค่ะฉันมาหาพี่ชูนะคะ”
ชูเดินมาจากหลังกระท่อมถือไม้ไผ่ยาวปลายแหลมมา รีบทักคามิน
“อ้าวคุณครับ มาเองเลยเหรอผมกำลังจะเอาไปให้อยู่พอดี”
“เรียบร้อยมั้ย”
“ครับ นี่ไงครับ”
ชูเอาไม้ไผ่ใส่ในมือ คามินลูบคลำไปจนถึงปลายแหลม
“ดี...ใช้ได้เลย อ้อลิ้นจี่”
“ขา”
ชูมองงงๆ ลิ้นจี่ตัวจริงรีบไปฉุดชูแล้วอุดปาก
“เย็นนี้ไม่ต้องทำกับข้าวนะ แต่ช่วยก่อไฟให้หน่อย”
มัทนามองไม่เข้าใจ
“คุณจะทำอะไรคะ”
“เดี๋ยวก็รู้”
คามินคลำทางกลับไป มัทนาสงสัยตาม ชูงงมาก
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ...”

ริมทะเล...คามินถอดเสื้อถือไม้ไผ่ปลายแหลมยืนอยู่บนโขดหิน หูคอยฟังเสียงปลาพอได้ยินก็แทงไม้ไผ่ลงไป ฉึก เขายกไม้ไผ่ขึ้นไม่โดนอะไร มัทนายืนมองอยู่ คามินรู้สึกได้
“ใคร”
“ขอโทษค่ะ ปลาคงได้ยินเสียงฉันมันเลยหนี”
“ไม่เป็นไร”
มัทนาเข้าไปใกล้
“เมื่อวานคุณยังทำท่าซังกะตายเหมือนท้อแท้หมดหวัง แต่ทำไมวันนี้กลับเปลี่ยนเป็นคนล่ะคน”
“ก็ฉันอายคนที่เธอเล่าให้ฟังที่เขาไม่มีแขนมีขา แต่ฉันมีครบทุกอย่างแค่มองไม่เห็น ฉันน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเขา”
“แสดงว่านี่คุณไม่ได้แค่จะหาปลาไปเป็นอาหารเย็นใช่มั้ย”
“ใช่ฉันกำลังฝึกประสาทสัมผัส อาจารย์ฉันเคยสอนไว้ว่าเมื่อเราขาดประสาทสัมผัสบางอย่างก็ต้องฝึกเพิ่มขึ้นมาให้ได้ ฉันคงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองซะที”
ทั้งสองนิ่ง มัทนาเห็นปลาว่ายมา เธอบอกเขาเบาๆ
“ขวาค่ะ”
คามินเงี่ยหูฟังแล้วหันขวับแทงไม้ไผ่ลงไป ยกขึ้นปลาติดขึ้นมา มัทนาตบมือ
“ยอดเยี่ยมเลย”

คามินเอาปลาใส่กระชุ เขาจับปลาได้หลายตัว
“วันนี้คงพอแค่นี้ ลิ้นจี่...เรากลับกันเถอะ”
มัทนายืนมองไปไกล
“น้ำทะเลที่นี่สีสวย ใสมาก...”
“ถึงไม่เห็นฉันก็พอนึกภาพออก”
คามินนึกถึงตอนที่มาแข่งดำน้ำ
“ฉันเคยมาเมืองไทย แล้วก็ได้ดำลงไปใต้ทะเล”
คามินหัวเราะออกมา
“แต่มันไม่ใช่การดำชมปะการังนะ มันเป็นการแข่งขัน”
มัทนารู้ แกล้งถาม
“แข่งอะไรเหรอคะ”
“แข่งงมกล่องสมบัติ”
“แข่งกับใคร แล้วแพ้หรือชนะคะ”
“แข่งกับผู้หญิงตัวเล็ก แต่แสบแล้วก็ซ่าส์ที่สุด ที่สำคัญขี้โกงไม่มีใครสู้”
มัทนาเชิด
“พูดเกินไปหรือเปล่า อุ๊บ” มัทนาหลุดสำเนียงธรรมดา
“ว่าอะไรนะ”
“เปล่าค่ะ เสียงลมละมั้ง”
คามินพยักหน้าวางอุปกรณ์ ลุกขึ้นเดินไปริมโขดหิน
“คุณจะทำอะไรคะนั่น”
คามินนิ่งก่อนจะเปรยออกมา
“ฉันอยากฝึกว่ายน้ำโดยที่มองไม่เห็น”
“คุณนี่คิดอะไรพิเรนจัง”
“ฉันควรจะฝึกตัวเองไม่ว่าที่ไหนสถานการณ์ใดเราก็ต้องพร้อมเสมอ ถ้าศัตรูจู่โจมมาเมื่อไรเราจะได้ตั้งรับทัน”
“ศัตรูที่ไหนอีกละคะ คุณยังคิดจะไปรบกับใครเขาอีก ทุกอย่างมันจบแล้ว”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“อ้าว ก็ตาคุณมองไม่เห็นขนาดนี้ ยังจะไปสู้ใครอีก”
“ศัตรูของฉันเขาไม่เลิกราหรอก”
มัทนาจับมือของเขา
“ดี...งั้นเราก็สู้ด้วยกัน”
คามินชะงัก
“เธอหมายความว่ายังไง”
ใต้ทะเล...มัทนาผูกข้อมือกับคามินพาว่ายช้าๆอยู่ท่ามกลางฝูงปลา
มัทนาจับมือคามินแตะปะการัง ต้นไม้น้ำที่พลิ้วไหว สองคนแหวกว่ายไปด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศใต้ทะเลที่สวยงาม อย่างมีความสุข

ลานลงทัณฑ์...ชวาลโดนสุเทษเฆี่ยน ทันใดนั้นเสียงเจ้าชายมาคีดังขึ้น
 
“หยุด”
สุเทษชะงัก เจ้าชายมาคีเข้ามามองอย่างไม่พอใจ
“เราแค่ไล่เจ้าชวาลไปให้พ้นหน้า แต่ไม่ได้ให้ใครจับตัวชวาลมาลงโทษแบบนี้”
สุเทษอึ้ง พระนางสาวิตรีเข้ามาพร้อมมินตรา
“แม่เป็นคนให้ไปจับตัวชวาลมาลงโทษเอง”
เจ้าชายมาคีหันมามอง
“เสด็จแม่...ชวาลทำผิดอะไรพะยะค่ะ”
“มันสมรู้ร่วมคิดกับไอ้คามิน”
เจ้าชายมาคีหันมามองตกใจ
“เป็นไปไม่ได้...เสด็จแม่ต้องทรงเข้าพระทัยผิดแน่ๆ”
พระนางสาวิตรีหันไปมองมินตรา เชิงให้พูด
“หม่อมฉันเห็นกับตาว่าชวาลพาคุณหฤทัยไปช่วยคามิน”
เจ้าชายมาคีเถียง
“ไม่จริง...ชวาลเป็นคนของเราอยู่กับเรามาตลอดไม่มีทางที่ชวาลจะทำอย่างนั้น”
“มันมาอยู่กับลูกก็เพราะจะเป็นสายให้ไอ้คามิน พวกมันรวมหัวกันคิดกบฏต่อราชบัลลังค์” พระนางสาวิตรีใส่ความ
“พูดออกมาสิชวาลว่าเจ้าไม่ได้ทำแบบนั้น พูดออกมา” เจ้าชายมาคีมองชวาล
ชวาลมองหน้าเจ้าชายมาคี ตอบเรียบๆ
“หม่อมฉันช่วยท่านคามินจริงๆพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีตะลึง ตะโกนถามอย่างโกรธมาก
“ทำไม...ทำไมเจ้าทำแบบนี้ แม้แต่เจ้าก็เข้าข้างไอ้คามินเหรอ”
“เพราะกระหม่อมทนเห็นคนดีๆอย่างท่านคามินต้องมารับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อไม่ได้ แต่กระหม่อมก็ขอยืนยันว่ากระหม่อมไม่เคยคิดกบฏต่อราชบัลลังค์ กระหม่อมยังจงรักภักดีต่อฝ่าบาทไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
เจ้าชายมาคีเข้าไปกระชากคอเสื้อชวาล
“จงรักภักดีเหรอ เจ้าช่วยศัตรูของเราเรียกว่าจงรักภักดีเหรอไอ้ชวาล”
“ขอเดชะ...ความจงรักภักดีก็ต้องอยู่บนความถูกต้องพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีกระชากหวายจากมือสุเทษ ลงมือเฆี่ยนชวาลอย่างแรงหลายครั้ง พระนางสาวิตรี มินตรา สุเทษสะใจ ชวาลเจ็บปวดแต่ไม่ร้อง เจ้าชายมาคีโกรธขว้างหวายทิ้ง ออกคำสั่ง
“ถอดไอ้ชวาลจากมหาดเล็กไปเป็นคนเลี้ยงม้า แล้วอย่ามาให้เราเห็นอีกไม่งั้นเราจะสั่งประหารเจ้า”
ชวาลรับคำทั้งน้ำตา
“ขอบพระทัยพะยะค่ะทรงดูแลองค์เองให้ดีด้วยนะพะยะค่ะ ฝ่าบาท”
เจ้าชายมาคีผลุนผลันผละไปอย่างเจ็บใจสุดๆ

เจ้าชายมาคีเข้ามานั่งนิ่งขึงในตำหนัก พระนางสาวิตรีกับมินตราตามเข้ามา พระนางสาวิตรีนั่งข้างเจ้าชายมาคี มินตรานั่งกับพื้นสงบเสงี่ยม
“แม้นแต่ไอ้ชวาลก็รักคามินมากกว่าลูก ทำไมล่ะเสด็จแม่ลูกแพ้คามินตรงไหน”
“ลูกไม่มีวันแพ้ไอ้คามิน อย่าไปใส่ใจคนอย่างเจ้าชวาลเลย แม่จะหาคนดีๆมาคอยดูแลลูกเอง”
“ไม่ต้องพะยะค่ะ ลูกขออยู่คนเดียวเงียบๆลูกไม่ต้องการใครทั้งนั้น”
เจ้าชายมาคีลุกเดินหมดอาลัยเข้าไปในห้อง พระนางสาวิตรีกลุ้มใจพึมพำ
“จะปล่อยมาคีให้อยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ได้”
มินตรารีบอาสา
“ให้หม่อมฉันคอยดูแลเจ้าชายก็ได้เพคะ หม่อมฉันเคยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คุณมัทนามาแล้ว หม่อมฉันเชื่อว่าคงทำให้เจ้าชายพอพระทัยได้”
พระนางสาวิตรีหันมามอง
“ขอบใจ”
มินตรายิ้มดีใจ
“แต่ฉันมีคนที่เลือกไว้แล้ว และเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะคอยดูแลเจ้าชาย”
พระนางสาวิตรีลุกออกไป มินตราอึ้ง หน้าเปลี่ยนเป็นไม่พอใจปนสงสัยว่าเป็นใคร

ในห้องโถงบ้านนายพลวิฑูร...หฤทัยมองเทวีอย่างไม่เชื่อสายตา
“คุณแม่...คุณแม่พูดอะไรออกมาคะ”
“ตกใจอะไรทำอย่างกับแกไม่เคยทำ”
“ไม่ค่ะ...ฤทัยไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เป็นแบบนั้น”
“ถึงยังไงๆแกก็เป็นเมียเจ้าชายไปแล้ว มันไม่สึกไม่หรอมากไปกว่าเดิมหรอกน่า”
หฤทัยมองเทวีอย่างผิดหวัง
“คุณแม่...”
“แกไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้นกับฉัน ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อแก หรือแกอยากจะเสียตัวฟรีๆ”
หฤทัยเดินหนี เทวีตามไปกระชากไว้
“อย่ามาดื้อกับแม่ แกไม่มีทางเลือกแล้วนะ”
“มีสิคะ...ฤทัยเลือกทางเดินชีวิตของฤทัยไว้แล้ว”
“แกหมายความว่ายังไง” เทวีชะงัก
“ฤทัยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกที่น่าวุ่นวายนี่อีก...ฤทัยจะบวชค่ะ”
เทวีอึ้ง หฤทัยเดินหนีขึ้นข้างบนไป เทวีหายตะลึงโวยวาย
“ไม่ได้นะ...แกจะทำบ้าๆแบบนั้นไม่ได้นะโอ๊ยลูกนะลูกทำไมถึงได้โง่แบบนี้ โอกาสจะเป็นราชินีอยู่แค่เอื้อมแต่จะไปบวชโอ๊ยฉันอยากจะตาย”
บุหลันแอบฟังอยู่มองตามหฤทัยไป

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 14 (ต่อ)

หฤทัยอยู่ในห้องนอน นั่งมองเงาตัวเองในกระจก แววตาแน่วแน่ก่อนเปิดลิ้นชักหยิบกรรไกรออกมา หยิบผมขึ้นมาช่อหนึ่ง เตรียมจะตัด บุหลันเปิดประตูเข้ามาร้องห้าม
“อย่าค่ะ...”
หฤทัยชะงัก บุหลันรีบปิดประตูเดินเข้ามา
“อย่ามาห้ามฉันเลยค่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ฉันจะบวชเพื่ออุทิศผลบุญให้ลูกและพี่คามิน”
หฤทัยขยับกรรไกร บุหลันรีบบอก
“แล้วถ้าคุณคามินยังไม่ตายล่ะคะ”
หฤทัยตะลึง จ้องบุหลันในกระจกแล้วรีบหันกลับมา
“คุณพูดอะไรนะ”

นายพลวิฑูรอยู่ในห้องทำงาน โกรธจ้องหน้าเทวีอย่างเซ็งมาก
“แล้วเธอก็ไม่มีปัญญาที่จะหว่านล้อม หรือโน้มน้าวอะไรมันเลยเหรอ”
“โอ๊ยน้องพูดจนปากจะฉีกถึงหูแล้วละคะ แต่นังลูกหัวดื้อมันไม่ฟังเลย”
“บวชงั้นเหรอ ได้ ถ้ามันอยากจะตัดขาดจากโลกภายนอก ฉันจะสนองให้”
“ท่านพี่จะทำอะไรคะ”
“ก็จับมันขังคุกมืด ไม่ให้มันเห็นเดือนเห็นตะวัน ที่นั่น มันจะได้สวดมนต์ทั้งวันทั้งคืนตามที่มันต้องการ ดูซิว่ามันจะทนได้มั้ย”
นายพลวิฑูรจะเดินขึ้นไปหาหฤทัย แต่หฤทัยเดินลงมาก่อน นายพลวิฑูรชะงักชี้หน้า
“แก...”
หฤทัยคุกเข่า
“ลูกขอโทษค่ะคุณพ่อ ที่ผ่านมาลูกเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ลืมมองความรักความหวังดีที่คุณพ่อคุณแม่มีให้ ต่อไปนี้ลูกจะเชื่อฟังและทำตามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการทุกอย่างค่ะ”
นายพลวิฑูรอึ้ง
“อะไรนะ...”
“ก็เมื่อกี๊แกบอกว่า” เทวีงงๆ
“ลูกพูดไปเพราะความเสียใจ ยกโทษให้ลูกด้วยค่ะ”
นายพลวิฑูรหันมองเทวีที่ยังงง แล้วเข้าไปกอดหฤทัย
“มันต้องอย่างงี้ซิ ถึงจะสมกับเป็นลูกพ่อ ต่อไปนี้ก็ไม่มีใครขวางทางเราได้อีกแล้ว”
หฤทัยมองไปที่มุมห้อง เห็นบุหลันยืนหลบมุมอยู่ สบตารู้กัน

เย็นวันเดียวกัน...ที่กองไฟริมหาด มัทนานั่งปิ้งปลา คามินนั่งถัดไป อยู่ๆก็หัวเราะออกมา มัทนาหันไปมองงงๆ
“คุณหัวเราะทำไม”
“ตั้งแต่ฉันตาบอดนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันหัวเราะออก ลิ้นจี่ขอบใจเธอมากสำหรับทุกอย่างที่เธอทำให้ฉันวันนี้ ถึงฉันจะมองไม่เห็นแต่มันเป็นความรู้สึกที่ประทับใจมาก ฉันคงจะจดจำมันไปตลอดชีวิต”
“ฉันดีใจที่คุณมีความสุข”
“ทำไม...ทำไมเธอถึงดูแลฉันอย่างดี”
มัทนาอึ้ง คามินหัวเราะอีก
“อ๋อฉันลืมไปเธอเคยบอกแล้วว่า เธอต้องทำตามคำสั่งคุณธรรมรัตน์”
“ใช่...ปลาสุกแล้วแต่มันร้อนนะคุณระวังหน่อย”
มัทนาส่งปลาให้ คามินรับปลามาค่อยๆแกะกิน หน้าตาครุ่นคิด แล้วเขาก็ร้องออกมา
“โอ๊ย...”
มัทนาตกใจกระโดดเข้ามาใกล้ๆ
“อะไรคะ”
“ฉันแกะไม่ถนัดสงสัยคงโดนก้างปลาตำเข้าให้”
มัทนาดึงปลาจากมือเขา
“มาค่ะฉันจะแกะให้คุณเอง”
มัทนาแกะปลาพอส่งให้ คามินนั่งเฉยๆ มัทนานึกได้ว่าเขามองไม่เห็น
“คุณอ้าปากสิคะ”
คามินอ้าปากอย่างว่าง่าย มัทนาป้อนปลาให้ เขาจับมือเธอไว้นิ่ง ลูบคลำเบาๆ ไล่มาที่แขนที่ผม มัทนาตัวแข็ง คามินหัวเราะออกมา
“เธอยังเด็กจริงๆละนะ รู้มั้ยแค่ฉันจับตัวเธอฉันก็เดาอายุเธอได้แล้วล่ะ”
มัทนาลอบถอนใจโล่งอก
“เหรอคะ”
“ใช่...ฉันว่าเธอคงอายุสักยี่สิบละมั้ง”
“ไม่น่าเชื่อคุณเดาอายุฉันถูกเป๊ะเลย”

คามินหัวเราะ มัทนาป้อนปลาต่อ เขากินเงียบๆไม่พูดอะไรอีก มัทนาโล่งใจ

ค่ำนั้น คามินนั่งนิ่งอยู่ที่เตียงครุ่นคิด ก่อนค่อยๆเอื้อมมือคลำหาโทรศัพท์มือถือ กดโทรออก
 
...เหมันต์หลับอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังงัวเงียหยิบมาดูเบอร์
“คุณคามิน” เหมันต์ตกใจรีบรับ “ครับคุณคามิน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าถึงโทรมากลางดึกแบบนี้”
“ผมต้องขอโทษที คือ...ผมอยากรู้ข่าวทางรายานะครับ มีความคืบหน้าอะไรบ้างมั้ย”
“เหตุการณ์ยังปกติอยู่ คุณคามินไม่ต้องห่วง ตอนนี้ดูแลรักษาตัวให้หายก่อนดีกว่า”
“ผมคงไม่มีหวังที่จะมองเห็นได้อีก”
“อย่าเพิ่งท้อสิครับ หมอทางนี้ก็พยายามหาตัวยาที่จะรักษาตาของคุณอยู่ท่านประธานก็ขอร้องให้หมอดูแลคุณอย่างเต็มที่ น่าจะมีความคืบหน้าเร็วๆนี้”
“ฝากขอบคุณคุณธรรมรัตน์ด้วยครับ เอ้อ...ไม่ทราบว่าคุณมัทนาเธอเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
“โอ๊ยสบายมากครับ คุณมัทกลับมาเป็นคนเดิมแล้วตอนนี้ก็ไปพักผ่อนอยู่ที่วังน้ำเขียว เห็นว่าจะไปนานทีเดียว”
คามินอึ้ง
“เป็นข่าวที่ดีมากจริงๆ...ผมคงไม่รบกวนคุณเหมันต์ แล้ว ขอบคุณมากครับ”
คามินตัดการติดต่อ นั่งนิ่งแล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง
“เรามันบ้าไปเอง คงคิดถึงเธอมากเกินไป ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีทาง...”
คามินเศร้า เสียงฟ้าร้อง ครู่เดียวฝนตกลงมาอย่างหนัก เสียงหน้าต่างนอกห้องตีกัน...คามินแปลกใจพึมพำ
“ทำไมลิ้นจี่ไม่ปิดหน้าต่าง”
คามินนั่งฟัง สุดท้ายรีบลุกขึ้นหยิบไม้เท้าคลำทางออกไปนอกห้อง

คามินยืนอยู่กลางห้องรับแขก ส่งเสียงเรียกอย่างแปลกใจ
“ลิ้นจี่...ลิ้นจี่”
เงียบ หน้าต่างประตู ตีกันเสียงดังเพราะแรงลม ฝนตกหนักขึ้น
“ลิ้นจี่หายไปไหน...ลิ้นจี่...ลิ้นจี่”
มัทนาใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ ผ้าพันผมวิ่งหน้าเริ่ดมาชะงัก กำลังจะอ้าปากพูดแต่คามินหันขวับ ถามอย่างระแวง
“ใคร...ลิ้นจี่...ใช่เธอหรือเปล่า”
มัทนามองท่าทางค่อยๆก้าว แล้วเงี่ยหูฟังเสียงอย่างระแวดระวังของคามินแล้วคิดอะไรขึ้นมาได้
“ฉันจะช่วยฝึกประสาทสัมผัสให้คุณเอง”
มัทนาย่องเงียบไปมุมหนึ่ง คามินได้ยินหันขวับตามเสียงตะคอกถามดุๆ
“ใคร...”
มัทนาวิ่งไปอีกมุมอย่างรวดเร็ว คามินก็หันตามอย่างว่องไว
“ใคร...”
“เยี่ยม...” มัทนายิ้มพอใจ
คามินค่อยๆถอยไปทางหน้าต่างอย่างระวัง มัทนาดึงผ้าออกจากผมขว้างใส่ คามินรู้ทันที ใช้ไม้เท้าตวัดผ้าเหวี่ยงไปทางอื่น มัทนา หยิบของในห้องขว้างใส่หลายอย่าง คามินปัดได้หมด
“สุดยอด...เอาละคราวนี้จะจู่โจมละนะ”
มัทนาคว้าร่มที่เสียบอยู่แถวนั้นเข้าไปฟาดใส่ คามินหลบหลีก และแย่งร่มได้ฟาดใส่ มัทนาหลบ
จะจู่โจมกลับแต่เท้าเหยียบน้ำฝนที่สาดมาเปียกพื้น ลื่นล้มลงไป
“ว้าย”
มัทนาลงไปนอนเดี้ยง
“โอย”
คามินเข้าไป กดล็อคตัว
“บอกมาแกเป็นใคร”
“อย่าค่ะ...อย่า...ลิ้นจี่เอง”
“ลิ้นจี่” คามินชะงัก

คามินประคองมัทนาเข้ามาในห้อง
“หลบในห้องฉันก่อน ไม่รู้คนร้ายมันจะย้อนกลับมามั้ย”
“มันคงไม่มาแล้วละคะ”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“ก็ตอนลิ้นจี่วิ่งเข้ามา เห็นคุณกำลังเล่นงานมันอยู่ ท่าทางมันกลัวมาก คงเป็นพวกคนงานในเรือประมงที่เข้ามาขโมยของ”
“แต่ที่นี่มันเป็นหาดส่วนตัว คนนอกไม่น่าเข้ามาได้”
มัทนาเห็นว่าจะถูกซักมากจึงร้องขึ้น
“โอยๆ”
“เธอเป็นอะไร” คามินตกใจ
“มันเคล็ด ขัดยอก ไปหมดค่ะ”
“มีอะไรตรงไหน หักหรือเปล่า” คามินจับตามตัว
“คงไม่มีหรอกค่ะ”
มัทนารู้สึกเขิน หวิวใจขยับหนี
“งั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวถ้าฝนหาย ฉันจะออกไปนอนข้างนอก เผื่อไอ้หัวขโมยนั่นมันจะย้อนกลับมา ไม่ต้องกลัวนะ”
คามินท่าทางจริงจัง มัทนามองมือเขาที่กุมมือตัวเองไว้ ยิ้มอย่างอุ่นใจ มองหน้าเขา รำพึงในใจ
“มีคุณอยู่ใกล้ๆแบบนี้ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”
ฟ้าผ่าเปรี้ยง มัทนาตกใจกระโดดเข้าหาคามิน ร้องเสียงหลง
“ว้าย...”
คามินกอดมัทนาไว้ ยิ้มแซวขำๆ
“ไหนว่าไม่กลัวไง”
มัทนาไม่สนเบียดคามิน ซุกอกอย่างกลัวมากๆ คามินพูดออกไปแล้วก็ชะงักนึกถึงอดีตตอนที่ เขากับมัทนาติดฝนในป่า มัทนากอดเขาเหมือนกันเพราะตกใจเสียงฟ้า
“แปลกนะ ทำไมเธอถึงทำให้ฉันคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา”
“เธอเป็นใครคะ”
“เป็นคนที่ฉัน...ต้องปกป้อง และเทิดทูนไว้ด้วยชีวิต”
“ภรรยาของคุณเหรอคะ”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันแต่งงานแล้ว”
“ก็...ก็ฉันเดาเอาน่ะค่ะ คนที่ทั้งหล่อ ทั้งเก่งอย่างคุณ คงไม่เป็นโสดแน่ๆ”
“ใช่ ฉันแต่งงานแล้ว...”
“ถ้าอย่างงั้น...ผู้หญิงที่คุณพูดถึงเมื่อกี๊ก็คือภรรยาของคุณ”
คามินไม่ตอบ
“ถ้าคุณคิดถึงเธอมากขนาดนี้ คุณก็ต้องยิ่งรีบรักษาตัวให้หาย เพื่อจะได้กลับไปปกป้องเธอ” มัทนาเสียงสั่น ผละออกออกห่าง “พักผ่อนเถอะค่ะ ฉันก็จะไปนอนเหมือนกัน”

มัทนาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งคามินนั่งอึ้งอยู่


ในห้องบรรทมเจ้าชายมาคี...มินตราเดินมาอย่างมั่นใจ ถือ ถาดใส่จานแก้ว ใส่ผลไม้สลัก สวยงาม องครักษ์สองคนเฝ้าอยู่
 
“ฉันมาเข้าเฝ้าเจ้าชาย และถ้าไม่อยากเดือดร้อน ก็อย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลายืนรอ”
องครักษ์มองหน้ากันอึดอัดใจ
“แต่ว่า...ข้างใน”
“หลีกไป...”
มินตราจะเข้าไป เสียงหฤทัยดังมา
“เสียงใครมาเอะอะข้างนอก”
หฤทัยเดินออกมา มินตราชะงัก
“คุณหฤทัย”
“อ้าว คุณมินตรานั่นเอง นึกว่าเป็นพวกนางกำนัล”
“ฉันเอาผลไม้มาถวายเจ้าชาย”
หฤทัยมองผลไม้ หยิบดู
“ฝีมือดีมาก แต่น่าเสียดายที่เจ้าชายไม่โปรดเสวยผลไม้ คุณคงไม่ทราบ”
มินตราชะงัก
“อ้อ เหรอคะ...ฉันว่าอาจเป็นเพราะเจ้าชายยังไม่ได้ทรงลองเสวยมากกว่า เลยไม่ทรงทราบว่าผลไม้ไทยรสชาติอร่อยกว่าผลไม้รายามากนัก”
“อาหารที่สวยงาม รสชาติอร่อย ไม่ได้มีคุณค่ากับร่างกายเสมอไป”
หฤทัยวางผลไม้ลง
“และในฐานะ ชายาของเจ้าชายในอนาคต ฉันคงต้องถวายการดูแลเรื่องเครื่องเสวยเป็นพิเศษ”
มินตราอึ้ง
“อะ...อะไรนะ ชายาของเจ้าชาย จะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อเธอ...คุณเป็นภรรยาของคามิน”
“เรื่องนี้ ท่านพ่อคงจะอธิบายได้ดีกว่าฉัน ไปถามท่านเถอะนะคะ...ตอนนี้เจ้าชายบรรทมไปแล้ว คุณคงต้องมาเข้าเฝ้าวันหลัง”
หฤทัยเข้าไปข้างใน มินตรายืนอึ้ง แค้น งง องครักษ์แอบยิ้มสะใจกัน พอมินตรามองก็ทำหน้าเฉย มินตราหันหลังกลับ แล้ว โยนจานทิ้งเสียงดัง องครักษ์สะดุ้ง

เจ้าชายมาคีนั่งคอพับคออ่อนที่เก้าอี้นั่งเล่น มือถือแก้วเปล่าห้อยอยู่พึมพำเบาๆ
“ชวาล...ชวาลไปเอาไวน์มาอีก”
หฤทัยเดินเข้ามามอง ถอนใจ เข้ามาดึงแก้วออกจากมือไปวาง
“ฝ่าบาทเพคะ...ไปบรรทมบนพระที่เถอะเพคะ”
หฤทัยพยายามจะดึงเจ้าชายมาคีขึ้น
“ใคร...มินตราเหรอ...ออกไป อย่ามาเข้าใกล้เรา”
เจ้าชายมาคีเหวี่ยงหฤทัยกระเด็นไป
“คราวก่อน ที่เรามีอะไรกับเจ้าเพราะเราขาดสติ อย่าหวังว่าเราจะพลาดเป็นครั้งที่สอง ไป ออกไปให้พ้น”
เจ้าชายมาคีเซแซ่ดๆไปล้มลงที่เตียง
“เราไม่มีวันพลาดอีก ไม่มี”
เจ้าชายมาคีหลับไป หฤทัยครุ่นคิด
“หรือว่า เจ้าชายกับมินตรา...”

เช้าวันใหม่...เจ้าชายมาคีเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อย นอนอยู่บนเตียง ห่มผ้า รู้สึกตัวตื่น ลุกขึ้นนั่งงงๆมองตัวเองนึกถึงเมื่อคืน

เจ้าชายมาคีเดินออกมาจากห้องบรรทมเห็นโต๊ะเสวยมีอาหารเช้าวางอยู่อย่างเป็นระเบียบสวยงาม เจ้าชายมาคีชะงักมอง
 
“มีใครอยู่แถวนี้บ้าง”
องครักษ์คนหนึ่งเข้ามา
“เมื่อคืนมีใครเข้าไปในห้องนอนเราหรือเปล่า”
“มีพะยะค่ะ”
มาคีตบโต๊ะ
“มินตราใช่มั้ย เราสั่งแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้าไปในห้องเราทั้งสิ้น หูเจ้าหนวกหรือยังไง หา”
“ไม่ใช่พะยะค่ะ ไม่ใช่คุณมินตรา”

ในสวนตำหนักพระนางสาวิตรี...มินตรารินน้ำชาถวาย พระนางสาวิตรีมองพอใจ
“ทำอะไรคล่องแคล่วดีนะเห็นเจ้าแล้วทำให้เราเสียดายที่ไม่มีลูกสาว”
“หม่อมฉันก็โชคร้ายที่เป็นกำพร้าตั้งแต่เด็กเพคะ ได้มีโอกาสถวายการรับใช้ใกล้ชิดกับพระองค์ทำให้หม่อมฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้อยู่ใกล้แม่”
“ก็นึกว่าเราเป็นแม่เจ้าก็ได้นี่”
“เป็นพระกรุณาเพคะ” มินตราทำปลาบปลื้มน้ำตาปริ่ม “หม่อมฉันมีบางเรื่องที่ต้องบังอาจกราบทูล”
“เรื่องอะไร”
“เมื่อคืน คุณหฤทัยเข้าไปค้างคืนที่ตำหนักของเจ้าชายเพคะ เธออ้างว่าท่านวิฑูรเห็นชอบด้วย จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อ...คุณหฤทัยมีสามีแล้ว”
“แล้วทำไมถึงจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ...ในเมื่อ คามินตายไปแล้ว และหฤทัยก็แต่งงานกับคามินแต่เพียงในนาม”
“แค่เพียงคำพูดลอยๆ จะเชื่อได้ยังไงเพคะ เรื่องลูกในท้องก็ไม่เคยมีผลพิสูจน์เป็นเรื่องเป็นราว แล้ว คุณหฤทัยปฎิเสธที่จะเป็นพระชายามาโดยตลอด หม่อมฉันคิดว่าเธออาจจะเป็นสายให้กับพวกกบฏ”
พระนางสาวิตรีโกรธ
“มินตรา...เจ้าชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้วนะ หฤทัยเป็นหลานเรา เรารู้จักหลานเราดี หฤทัยไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นเจ้า”
“เพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ทรงอภัยด้วย”
เจ้าชายมาคีก้าวเข้ามาแล้วชะงักที่เห็นมินตรา พระนางสาวิตรีรีบเรียก
“มาคี...เข้ามาซิ แม่กำลังคิดจะไปหาเจ้าที่ตำหนักอยู่พอดี มินตรา ไปจัดน้ำชามาอีกชุดหนึ่ง”
เจ้าชายมาคีจำใจก้าวเข้ามานั่ง มินตรารีบเข้ามาจะรินน้ำชา เจ้าชายมาคีสั่งห้วนๆ
“ไม่ต้อง...พะยะค่ะ ลูกไม่อยากกิน”
“งั้นเจ้าก็ออกไปก่อน”
มินตราจำใจออกไป
“ถ้ามินตรามาทูลเรื่องเหลวไหลอะไรกับเสด็จแม่อย่าทรงเชื่อนะพะยะค่ะ”
“ถ้าเป็นเรื่องที่หฤทัยจะเป็นสายให้พวกกบฎละก็แม่ไม่เชื่อแน่...”
เจ้าชายมาคีอึ้งไป เพราะหมายความคนละเรื่อง
“แต่ถ้าเป็นเรื่องที่หฤทัยค้างคืนที่ตำหนักลูก แม่คงต้องถามลูกแล้วละ”
พระนางสาวิตรียิ้มกริ่ม

บุหลันพาหฤทัยลัดเลาะมาในซอกตึกแคบๆ หฤทัยชะงักเห็นสินธรในเงามืด รีบถามแปลกใจ
“เรามาพบใครกันคะคุณบุหลัน”
สินธรก้าวออกมา หฤทัยตื่นเต้น
“สินธร...”
สินธรมองหฤทัย อย่างดีใจ
“ผมดีใจที่คุณปลอดภัย”
“นายไม่ควรเข้ามาในเมืองอีก รู้มั้ยว่าเจ้าชายประกาศจับตายนาย”
“ท่านสินธรจะเป็นคนคอยช่วยเราอีกที” บุหลันบอก
หฤทัยไม่เข้าใจ สินธรอธิบาย
“ตอนนี้ผมอยู่กับอาจารย์เมฆาที่หมู่บ้านภูสายธาร ผมต้องการให้คุณตรวจสอบอาหารทุกชนิดที่ให้ องค์ราชาเสวย”
สินธรหยิบเข็มเงินออกมาจากย่าม
“โดยใช้เข็มเงินนี้ทดสอบ ถ้าอาหารหรือน้ำมีพิษเข็มจะเปลี่ยนสี ผมจะนำไปให้อาจารย์ดูเพื่อหาชนิดของพิษและเตรียมยาแก้”
หฤทัยรับเข็มเงินมา
“ฉันเข้าใจแล้ว”
บุหลันมองซ้ายขวา
“เรารีบกลับกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะมีใครมาเห็นเข้า”
สินธรมองหฤทัยอย่างเป็นห่วง
“ระวังตัวด้วยนะครับ”
สินธรจะไป หฤทัยเรียกไว้
“สินธร...นายก็ระวังตัวให้ดีนะ”

สินธรยิ้ม รีบหลบไป หฤทัยมองเข็มเงินในมือสีหน้าเด็ดเดี่ยว จริงจัง

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 14 (ต่อ)

เทวีมาชะเง้อรออยู่หน้าบ้าน หฤทัยเดินเข้ามากับบุหลัน


“ฤทัยนี่ลูกไปไหนมา ถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์”
“ลูกไปสวดมนต์ที่วิหารค่ะ เลยปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ มีอะไรคะ”
“ข่าวดีน่ะสิ เจ้าชายมาคีทรงตกลงจะอภิเษกกับลูกแล้ว”
หฤทัยชะงักเหลือบมองกับบุหลัน
“เป็นข่าวที่น่ายินดีที่สุดค่ะ” บุหลันพูดเรียบๆ
“มันก็แน่อยู่แล้ว...ตอนนี้ท่านพ่อกำลังเข้าไปประชุมกับกรมวัง เพื่อเตรียมพิธีอย่างเร่งด่วนที่สุด” เทวีกระซิบ “เมื่อคืน ไปทำยังไงเข้า เจ้าชายถึงได้ทรงพอพระทัย ลูกขนาดนี้”
“เจ้าชายตรัสว่าทรงพอพระทัยลูกอย่างงั้นเหรอคะ”
“จะตรัสแบบนั้นตรงๆได้ยังไง แต่ถ้าไม่ทรงพอพระทัยจะเสด็จมารอลูกตั้งเป็นชั่วโมงๆเหรอ”
“เจ้าชายน่ะเหรอเพคะ เสด็จมา”

เจ้าชายมาคียืนเครียดอยู่ในห้องนั่งเล่น หฤทัยเข้ามาถอนสายบัว
“ขอประทานอภัยที่ให้ทรงรอ”
“ทำไม”
“เพคะ” หฤทัยงงๆ
“เจ้ายอมแต่งงานกับเราทั้งๆที่ไม่ได้รักเราสักนิด”
“เจ้าชายเองก็ไม่ได้ทรงเสน่หาหม่อมฉันเช่นกัน ทำไมไม่ทรงปฏิเสธละเพคะ”
“เราก็แค่อยากทำให้เสด็จแม่สบายพระทัย”
“หม่อมฉันก็อยากให้ท่านพ่อสบายใจเช่นกัน”
เจ้าชายมาคีอึ้งไป หฤทัยยิ้มเยาะ
“เอาเป็นว่าเราต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ เรื่องความรักระหว่างหม่อมฉันกับเจ้าชายคงไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่เคยมีอยู่ในใจเราสองคนเลย”
ทั้งสองสบตากัน ความเข้มแข็งเย็นชาของหฤทัย มีเสน่ห์โดนใจเจ้าชายมาคีอย่างประหลาด
“เจ้าเปลี่ยนไปมากนะหฤทัย...ไม่เหมือนเด็กขี้แยเมื่อก่อนอีกแล้ว”
“ความเจ็บปวดทำให้เราเติบโตเพคะ”
“ใช่ งั้นต่อไปเราก็ขอให้เจ้าทำหน้าที่ชายาในอนาคตของเราให้เต็มที่แล้วกัน”
เจ้าชายมาคีเดินออกไป
“เพคะ หม่อมฉันจะรักษาตำแหน่งชายาของพระองค์เอาไว้ ไม่ให้ใครมาแทนที่ได้เด็ดขาด”
เจ้าชายมาคีชะงัก หฤทัยทำหน้าเฉย เจ้าชายมาคีเดินออกไป หฤทัยถอนใจเฮือกใหญ่ ที่ต้องแสดงบทบาทที่ไม่ชอบอย่างยิ่ง

บ้านพักชายทะเล...มัทนาเอาอาหารเช้าออกมาจัดที่โต๊ะ แล้วมองหาคามิน
“หายไปไหนของเขา ยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย”
มัทนาเดินออกไปมองหา เห็นคามินกำลังฝึกมวยรายา เธอเข้าไปยืนมองอย่างชื่นชม คามินชะงัก เงี่ยหู
“ใครน่ะ”
มัทนาจะพูดแต่ก็ชะงักไว้ แกล้งหยิบก้อนหินมากำหนึ่ง โยนไปอีกทาง คามินหันไปทางเสียง
มัทนาโยนอีกก้อนไปอีกทาง แล้วก็โยนถี่ขึ้น ให้เดาทิศทางไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆหลังจากคามินหันไปตามทางของ เสียงก้อนหินที่ตกกระทบพื้น เขาก็ชะงักนิดหนึ่งก่อนจะพุ่งเข้าหามัทนาแล้วบีบหมับเข้าที่คอด้วยมือเดียวอย่างพอดิบพอดี มัทนาตะลึง
“ค๊อกๆฉันเองค่ะ ไม่ใช่คนร้าย”
คามินเอามือออก
“ฉันรู้แล้วว่าเป็นเธอ”
มัทนาเอามือโบกๆที่หน้าของเขา
“ตาคุณมองเห็นแล้วเหรอคะ”
“ยัง แต่ฉันเดาเอาจากเสียงฝีเท้าของเธอ”
“แค่นั้นเองเหรอคะ”
“อีกอย่าง ถ้าเป็นคนร้าย...คงไม่มาเสียเวลามาเล่นสนุกอย่างงี้”
“ฉันก็แค่อยากจะช่วยคุณฝึกเท่านั้น”
“รู้เหรอว่าฉันกำลังฝึกอะไร”
“รู้ซิคะ ก็มวยรา...” มีทนาชะงักตีปากตัวเอง
คามินแปลกใจ
“อะไรนะ”
“กังฟูค่ะ ท่าคุณสวยมากๆ เหมือนในหนังจีนเลย” มัทนาแถไป
“ไม่ใช่ ฉันกำลังฝึกมวยรายา เป็นศิลปะการต่อสู้ของประเทศรายา บ้านเกิดของฉัน”
“อ๋อ...สุดยอดค่ะ”
“แต่ฉันรู้สึกว่า ฉันเคลื่อนไหวไม่ว่องไว เหมือนก่อน โดยเฉพาะกำลังขามันไม่แข็งแรงพอ”

“งั้น...เราก็มาฝึกเพิ่มกำลังขากันดีมั้ยคะ”

ชายหาด...มัทนาผูกเชือกที่ข้อมือตัวเองกับคามิน เขาถามงงๆ
 
“เธอจะทำอะไรลิ้นจี่”
“วิ่งค่ะ เราจะวิ่งด้วยกัน”
“ฉันจะวิ่งได้ยังไงก็ฉันมองไม่เห็น”
มัทนายกมือตัวเองกับของเขาที่ผูกเชือกเชื่อมกันไว้ ขึ้นตรงหน้า
“นี่ไง...ฉันจะเป็นตาให้คุณเอง เราจะวิ่งไปด้วยกัน เริ่มได้”
“เดี๋ยว...”
มัทนาไม่ฟัง ออกวิ่งเหยาะๆ คามินวิ่งตาม
“วิ่งตามฉันมาค่ะ ตรงนี้เป็นที่โล่ง รับรองไม่ชนอะไรแน่นอน”

คามินวิ่งนำหน้า มัทนาถูกฉุดตามหลัง
“เดี๋ยวคุณ...ฉันว่าพักก่อนดีมั้ย”
“อะไรกัน วิ่งแค่นี้มันจะเรียกว่าวอร์มได้ยังไง ตอนที่ตาฉันมองเห็นฉันวิ่งวันละสี่ห้ากิโลเมตรนะ”
“สี่ห้ากิโล ไม่ไหวมั้งคะ”
มัทนาหยุดหอบๆ คามินหันหลังให้
“เอ้าขึ้นมา”
มัทนางง
“คุณจะทำอะไร”
“เธอเหนื่อยฉันก็ให้เธอขี่หลังไปก่อน เธอคอยบอกทางฉันให้ดีแล้วกัน”
มัทนาลังเล แต่แล้วนึกสนุก
“ก็ได้...จัดให้”
มัทนากระโดดขึ้นหลังคามิน ตะโกน
“ไปเลย...”
คามินแบกมัทนา วิ่งเหยาะๆออกไป เธอคอยตะโกนบอกทาง
“ขวา...ขวาหน่อย ดีๆเอาล่ะที่นี่ตรงเลยนะ นั้นอย่างนั้นตรงไปเรื่อยๆเฮ้ๆซ้ายมากไปแล้วอย่าเป๋สิคุณ”
คามินกับมัทนาหัวเราะกันอย่างมีความสุข...ภาพเหตุการณ์ที่มัทนาขี่คอที่หมู่บ้านภูสายธารแว่บเข้ามาในหัวของคามิน เขาหยุดกึกคิดถึงมัทนา พยายามสลัดความคิด มัทนางงๆ
“อ้าว หยุดทำไมคะ หมดแรงล่ะซิ โธ่เอ๊ย นึกว่าจะเก่ง”
คามินปล่อยมัทนาลง
“ใช่ ฉันเหนื่อยแล้ว...พักเถอะ...”
“ก็ได้ค่ะ งั้นไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงโน้นดีกว่า”
มัทนาจูงคามินไป ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม โคนต้นมีรากไม้รกๆ และกระถางไม้ดอกที่ตอนนี้โทรมมาก มัทนาชะงัก
“เอ๊ะ...”
“มีอะไร...”
มัทนามองๆสงสัย เข้าไปดึงๆรากไม้ออก เห็นเป็นแผ่นหินอ่อน

ชูเดินเข้ามาหา ลิ้นจี่ที่กำลังฟังวิทยุอยู่ในบ้าน แล้วเต้นท่าหญิงลี
“ลิ้นจี่ นังลิ้นจี่”
ชูกระชากปลั๊กออก
“โอ๊ย อะไร พี่ชู”
“ฉันบอกให้ไปรดน้ำต้นไม้กับกวาดใบไม้ที่หลุมศพ ทำรึยัง”
“ทำแล้ว”
“ตอนไหนวะ ก็ฉันเห็นแกเต้นเป็นไส้เดือนอยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ก็ไปตอนที่พี่ไม่เห็นนั่นแหละ”
“ให้มันจริงนะโว้ย...คุณท่านที่กรุงเทพกำชับนักหนาว่าต้องทำให้สะอาด สวยงาม ตลอดเวลา อย่าให้รก ฉันถึงให้แกไปดูวันเว้นวัน”
“เออน่า บอกว่าทำก็ทำแล้วซิ ถ้าไม่เชื่อก็ไปทำเองไป”
ลิ้นจี่เสียบปลั๊กเปิดเพลง ดิ้นต่อ
“งานฉัน มันท่วมหัวอยู่แล้ว ถ้าแกไม่ทำ ผีคุณที่อยู่ในหลุมก็มาหักคอแกเองแหละ”

มัทนากระชากรากไม้ออก กวาดใบไม้แห้งที่ปิดแผ่นหินอ่อนอยู่ บนแผ่นหิน สลักชื่อ ปรารถนา พรวิสุทธิ์ ข้างล่างเขียน ชาตะพศ.2503 มรณะ พศ.2531 คามินถามขึ้น
“เธอบอกว่ามีหลุมศพอยู่ที่นี่เหรอ...เป็นไปได้ยังไง”
“จริงๆนะคะ ฉันไม่ได้ล้อเล่น บนแผ่นหินอ่อน สลักชื่อคนตายเป็นภาษาไทยด้วย เป็นผู้หญิงชื่อ ปรารถนา”
“ปรารถนา...”

ในห้องบรรทมราชาอินทรา...พระนางสาวิตรีพยายามป้อนซุปให้ราชาอินทรา แต่พระองค์ไม่ยอมกิน หุบปากหลับตา พระนางสาวิตรีวางช้อน
“ไม่ยอมเสวยทั้งอาหาร ทั้งน้ำแบบนี้ เพราะทรงอยากไปพบหน้านังผู้หญิงไทยกับโอรสสุดที่รักเร็วๆใช่มั้ยเพคะ”
ราชาอินทราลืมตามองพระนางสาวิตรี
“ไม่...หม่อมฉันไม่มีวันยอมให้ทรงสมพระทัยง่ายๆ ถ้าไม่ทรงยอมเปิดพระโอฐน์ หม่อมฉันก็จะให้หมอหลวงมาถวายน้ำเกลือ”
พระนางสาวิตรีลุกขึ้น ไปที่ประตู
“ใครอยู่แถวนี้บ้าง”
หฤทัยโผล่เข้ามา ถือถ้วยซุป
“หฤทัย...”
“หม่อมฉันได้ยินว่า องค์ราชาไม่ยอมเสวยมาหลายวันแล้ว หม่อมฉันก็เลยลองต้มซุปมาถวายเพคะ”
“คงไม่มีประโยชน์หรอก เรากำลังจะไปตามหมอหลวง”
“ขอหม่อมฉันลองดูได้มั้ยเพคะ...”
“เอาซิ...ถ้าทำสำเร็จ เราจะให้รางวัลเจ้าเลยหลานรัก เดี๋ยวเราจะไปเตรียมยาก็แล้วกัน”
พระนางสาวิตรีออกไป หฤทัยเข้ามาใกล้ราชาอินทรา วางซุปไว้ เธอดึงเข็มเงินออกจาก มวยผม ราชาอินทราตกใจ พยายามจะถดตัวไป
“ฝ่าพระบาทเพคะ อย่าทรงกลัวไปเลย หม่อมฉันไม่ได้มาทำร้ายพระองค์ หม่อมฉันมาช่วย...”
ราชาอินทราไม่เชื่อ พยายามส่งเสียง
“เข็มเงินนี่อาจารย์เมฆาให้หม่อมฉันมาเพื่อทดสอบยาพิษที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นแบบนี้เพคะ”
ราชาอินทราชะงัก หฤทัยจิ้มเข็มเงินลงในข้าว เข็มปกติ

“ในนี้ไม่มียาพิษ”
 
อ่านต่อเวลา 17.00น.



ราชาอินทราส่ายหน้า พระนางสาวิตรีเข้ามา หฤทัยรีบเสียบเข็มไว้ที่มวยผมเหมือนเดิม รีบทำเป็นป้อนซุป
 
“หากอยากทรงหายประชวร ต้องเสวยนะเพคะฝ่าบาท”
ราชาอินทราอ้าปากกินซุป พระนางสาวิตรีอึ้ง
“เก่งจริงๆหฤทัย แสดงว่าซุปของหลานต้องอร่อยมาก เสด็จพี่ถึงยอมเสวย”
“หม่อมฉันจำได้ว่าทรงโปรดเครื่องเทศก็เลยใส่มากหน่อย ถ้าเช่นนั้นขอประทานอนุญาตให้หม่อมฉันมาถวายการปรนนิบัติได้มั้ยเพคะ”
พระนางสาวิตรีมองราชาอินทราอย่างหมั่นไส้
“ได้สิ...ทำไมจะไม่ได้ ก็หลานจะเป็นชายาของมาคีอยู่แล้ว ขอบใจมากนะ วันนี้หลานกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเราจะป้อนยาถวายเอง”
ราชาอินทรามองหฤทัยพยายามส่งเสียง ตอนแรกหฤทัยไม่เข้าใจมอง อินทราจ้องที่ถ้วย หฤทัยเริ่มเข้าใจ
“ไปซิ...”
หฤทัยถวายการเคารพ
“เพคะ...ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันทูลลา”
หฤทัยออกไป พระนางสาวิตรียิ้มหยิบถ้วยยาตรงมานั่งที่เตียงอินทรา บีบปาก ราชาอินทราพยายามส่ายหน้าหนี
“นี่ไม่ใช่ยาพิษนะเพคะ แต่อยากให้ทรงพักผ่อนอยู่เฉยๆสักพัก เสวยดีดีเถอะเพคะ”
พระนางสาวิตรีกรอกยาราชาอินทราจนได้
“เก่งมากเพคะ”
ทันใดนั้น ราชาอินทราก็รวบรวมแรงพ่นยาออกมากระเด็นถูกหน้าพระนางสาวิตรี
“ว้าย...”
พระนางสาวิตรี หลับตา เพราะมีกระเด็นเข้าตาข้างนึงด้วยรีบวางถ้วยแล้วลุกขึ้น
“ช่วยด้วยๆ”
พระนางสาวิตรีเปิดประตูออกมา มือปิดตาไว้ข้างนึง นางกำนัลสองคนยืนรออยู่
“พาเราไปหาหมอหลวงเร็ว”
“เพคะ...”
นางกำนัลเข้ามาประคองพระนางสาวิตรีไป หฤทัยหลบอยู่รีบออกมาแล้วเข้าไปในห้องอีกครั้ง
“องค์ราชา”
หฤทัยเอาผ้าเช็ดหน้าที่เหน็บมาเช็ดหน้าที่เลอะยาให้ ราชาอินทราหันหน้าไปตรงถ้วยยา ส่งเสียงอืออา
“เพคะ”
หฤทัยเอาเข็มออก จิ้มลงในถ้วย เข็มเงินเปลี่ยนสีเป็นสีเขียวทันที หฤทัยตกใจ มองหน้าราชาอินทราที่พยายามพยักหน้า

คามินค่อยๆลูบแผ่นหินอ่อน
“ปรารถนา พรวิสุทธิ์”
“ใช่ค่ะ...ดูจากปีพศ.ที่เขียนไว้ เธอตายเมื่ออายุได้ แค่ยี่สิบแปดปีเท่านั้นเอง”
“มีรูปมั้ย”
“ไม่ค่ะ ไม่มี”
คามินพึมพำซ้ำๆ
“ปรารถนา...ปรารถนา ชื่อเหมือนวิหารปรารถนาที่บ้านของฉัน”
มัทนาเข้าใจ บ่นเบาๆ
“จริงสิ ฉันก็ว่าฉันคุ้นๆกับชื่อนี้เหมือนกัน”
“เธอพูดว่าอะไรนะ” คามินชะงัก
“เปล่าค่ะ ฉันบอกว่าชื่อเพราะดี โลเคชั่นตรงนี้ก็สวยมาก เป็นเนินเขาเล็กๆ ถ้ามองลงไปทางซ้ายจะเห็นบ้านพัก พอหันมาทางขวาก็จะเห็นทะเลกว้างสุดตา”
คามินหันมองตามที่มัทนาพูดพึมพำ
“บนเนินเขาทางซ้ายเห็นบ้าน ทางขวาเห็นทะล”
มัทนาหันมามอง
“ใช่คุณแปลกใจอะไรเหรอ”
คามินคิดๆ

“เหมือน...เหมือนฉันเคยมาที่นี่”

ท่านหญิงมาณวิกาเข้ามาในห้องนอนแล้วชะงัก เห็นธรรมรัตน์ถือรูปดูอยู่ เธอเข้ามามองเห็นรูปปรารถนาอุ้มคามินตอนเป็นทารก
 
“คิดถึงคุณปรารถนาเหรอคะ”
“ครับ...พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบ ยี่สิบหกปีที่เธอจากไป”
“น่าสงสารคุณปรารถนานะคะ เท่าที่คุณเล่าให้ฉันฟัง ชีวิตเธออาภัพจริงๆ เสียดายฉันไม่มีโอกาสได้รู้จักเธอ”
“ขอโทษที่ผมปิดเรื่องนี้เอาไว้ ผมต้องรักษาความลับขององค์ราชาไว้ยิ่งชีวิต”
“ฉันเข้าใจ เพียงแต่ถ้าฉันได้พบเธอ อาจจะช่วยไม่ให้เธออ้างว้าง ว้าเหว่อยู่คนเดียวที่เกาะนั่น”
“ตอนนี้เธอคงไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว เพราะมีคามินไปอยู่ใกล้ๆ ผมเชื่อว่าตอนนี้เธอคงมีความสุขมาก”
“แต่น่าเสียดายที่คุณคามินไม่รู้ เขาน่าจะมีโอกาสได้เคารพศพแม่ตัวเองสักครั้งในชีวิต”
“เขาเคยมีโอกาสแล้ว”

หน้าหลุมศพปรารถนาในอดีต...คามินในวัยเด็กอยู่ตรงหน้าหลุมศพ ธรรมรัตน์บอกคามิน
“ลาท่านแม่สิคามิน”
คามินยกมือไหว้ตามธรรมรัตน์ แต่ท่าทางไม่รู้เรื่องราวอะไรแล้ววิ่งไปยืนที่เนินเขา มองไปทางบ้านพัก ตื่นเต้นดีใจ ธรรมรัตน์มองคามินแล้วหันมามองหลุมศพ
“ปรารถนา พี่พาคามินมาลา วันนี้พี่จะพาเขาไปรายา ให้เขาได้พบกับพ่อบังเกิดเกล้าของเขา ช่วยคุ้มครองเขาด้วยนะ”

หลุมศพปรารถนา...คามินเล่าให้มัทนาฟัง
“ตอนนั้นฉันยังเด็กมาก จำได้ลางๆว่ามีคนพาฉันมาที่หลุมศพของแม่...”
“ที่เมืองไทยนี่น่ะเหรอคะ แต่แม่ของคุณไม่ใช่คนไทยนี่”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“ก็คุณ คุณไม่ใช่คนไทย”
เสียงฟ้าร้องครืน
“เสียงฟ้าร้อง”
“สงสัยพายุจะมาอีกแล้ว ฟ้ามืดครึ้มเลย ฉันว่าเรารีบกลับเข้าบ้านดีกว่าค่ะ”
คามินพยักหน้า มัทนาจูงคามินออกไป

ในกระท่อมเมฆายามค่ำคืน...เมฆามองเข็มเงินสีเขียวในมือ
“เป็นพิษแบบไร้สีไร้กลิ่น ร่างกายจะเป็นอัมพาตชั่วคราวเคลื่อนไหวไม่ได้ พูดไม่ได้ ถ้าได้รับพิษติดต่อกันเป็นเวลานานก็จะกลายเป็นอัมพาตแบบถาวรไปเลย”
“แล้วมีทางรักษามั้ยครับ” สินธรตกใจ
“มียาพิษก็ต้องมียาถอนพิษสิ เราต้องใช้สมุนไพรเจ็ดชนิดผสมกับน้ำแร่ที่เกิดจากธรรมชาติ สมุนไพรข้าจะจัดการเอง แต่น้ำแร่คงต้องวานเจ้าเป็นธุระไปเอามาจากเชิงเขาในป่าด้านโน่น”

เมฆามองสินธร
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้”
เมฆาพยักหน้า สินธรรีบออกไป

สินธรออกมาเดินเลี้ยวไปข้างกระท่อม พบอัคนียืนอยู่ สินธรชะงัก กระชากคอเสื้ออัคนี ตะคอกถามอย่างโมโห
“แกมาแอบฟังอะไร ฉันคิดอยู่แล้วว่าแกมันต้องคิดไม่ซื่อกับพวกเราแน่”
“นายพูดบ้าอะไร ฉันกำลังจะไปช่วยชาวบ้านขุดอุโมงค์”
“ฉันไม่เชื่อ”
สินธรต่อย อัคนีเซไป สินธรจู่โจมต่อ อัคนีตั้งรับได้เขามีพัฒนาการฝีมือขึ้น สินธรแปลกใจ สองคนสู้กัน แต่สุดท้ายอัคนีล้มลงสินธรจะซ้ำ มาลีวิ่งเข้ามาห้าม
“อะไรกันท่านสินธร”
สินธรชี้หน้าอัคนี
“มันมาแอบฟังเราคุยกับอาจารย์”
“ปั๊ดโธ่เอ๊ยก็บอกว่าไม่ได้มาแอบฟัง” อัคนีเถียง
“ถ้าอย่างนั้นนายมายืนอยู่ข้างกระท่อมทำไม”
“ฉันจะไปช่วยชาวบ้านขุดอุโมงค์ ฉันมากับมาลี แต่มาลีวิ่งกลับไปเอาของให้ฉันยืนรอ ไม่เชื่อถามมาลีดูสิ”
สินธรมองมาลี
“จริงจ้ะนายอัคนีเขาอยากไปช่วยชาวบ้านด้วย มาลีก็เลยพามา”
สินธรยังไม่ค่อยไว้ใจ อัคนีโมโหบ่นพึมพำ
“คนอะไรเจอหน้าก็คอยแต่จะหาเรื่อง ฉันไปทำอะไรให้นายไม่พอใจตั้งแต่ชาติปางไหนหึ...”
อัคนีเดินไปฉุนๆ มาลีจะตาม สินธรเรียกไว้
“เดี๋ยว...มาลี”
มาลีหันมามอง
“ใครสอนวิชาการต่อสู้แบบรายาให้อัคนี”
“มาลีเองจ้ะ ตอนแรกก็แค่อยากจะแกล้ง แต่นายนั่นตั้งใจฝึกมาก เขาบอกว่าเผื่อเกิดอะไรเขาจะได้ช่วยพวกเราอีกแรง มาลีว่า นายนี่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนร้ายเลย”

สินธรฟังอย่างครุ่นคิด


จบตอนที่ 6
กำลังโหลดความคิดเห็น