ล่าดับตะวัน ตอนที่ 12
ชบาย้อนถามอัคคเดชขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง อันบ่งบอกว่านางตกใจถึงขีดสุด
“ในหน่วยเรามีหนอนด้วยเหรอคะ”
อัคคเดชพยักหน้ารับเอาคำอย่างสะท้อนใจ
“การข่าวบอกมาแบบนั้น และมันก็น่าเป็นไปได้ เราวางแผนเล่นงานมันถึงสองครั้ง แต่มันก็รอดมือเราไปได้ทั้งสองครั้งแบบไม่น่าเชื่อ”
ชบาพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว
“แล้วทำไมผู้กำกับถึงมอบหมายงานนี้ให้หนูล่ะคะ ผู้กำกับไม่สงสัยหนูเหรอ หนูอาจเป็นสายก็ได้นะคะ” ประโยคหลังนางบอกทีเล่นทีจริง
อัคคเดชยิ้มพรายบนใบหน้า
“คุณเพิ่งย้ายมาใหม่ และคลีน ที่สุดในหน่วย”
ชบายิ้มรับเอาคำ แต่ก็ต้องหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่ออัคคเดชบอกขึ้นต่อว่า
“ไม่ได้หมายความว่าดีนะ เพราะไอ้เรื่องที่ถูกปฏิเสธมาสารพัดหน่วยมันยังเป็นชนักติดหลัง
คุณอยู่”
ชบาหน้าเจื่อน จ๋อย เซ็ง
“แล้วผมก็เชื่อว่า ผมคงตาไม่ถั่วจนมองคนไม่ออกว่าว่าใครไว้ใจได้ ใครไว้ใจไม่ได้”
สีหน้าชบาดีขึ้นมาหน่อย
“ถ้าคนอย่างคุณไว้ใจไม่ได้ ในโลกนี้ก็คงหาคนซื่อสัตย์ได้ยากเต็มทนแล้ว เพราะตอนมาตอนแรกคุณโดนผมทำโทษ คุณยังไม่ยอมโกงเลย ผมถึงเชื่อใจคุณ”
ชบาหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นมาทันที ภูมิใจที่ทำดีแล้วมีคนเห็น
“แล้วผู้กำกับสงสัยใครเป็นพิเศษคะ”
อัคคเดชคิดหนักก่อนตอบ
“มนตรี เพราะมีเรื่องมีราวฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันอยู่”
ชบาอึ้งไป เหลือเชื่อ
“ผมขอข้อมูลไว้แล้ว คุณไปสานต่อแล้วกัน งานนี้เป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด”
“ค่ะ”
ชบาเดินใจลอยออกจากห้องผู้กำกับ คิดถึงเรื่องที่อัคคเดชให้หาสายในหน่วย จ่ามนตรีเดินเข้ามาทักถาม
“ผู้กำกับเรียกคุยเรื่องอะไรเหรอครับ”
ชบาตกใจที่เหมือนมนตรีมาดักรอ เพราะอัคคเดชเพิ่งตั้งข้อสงสัยจ่าคนนี้
“อ๋อ” ชบานึกคำแก้ต่าง “เรียกไปตักเตือนเรื่องเมื่อคืนนะสิ บอกทีหลังอย่าแยกตัวไปเดี่ยวๆ แยกไปแล้วเป็นเรื่องทุกที แหะๆ” ชบาจับหัวที่ถูกตีประกอบ “นี่ไง”
“แต่จริงๆ ผู้กำกับก็ต้องตักเตือนตัวเองบ้างนะ รู้ๆ อยู่เรื่องเมื่อวาน ไม่น่าไปชกนายตะวันต่อหน้านักข่าวเล้ย ไม่งั้นก็ไม่ต้องถูกพักงานหรอก เนอะ”
ชบาตามน้ำ ทำหน้าเบ้ใส่
“เอาน่าเรื่องมันผ่านมาแล้ว เลิกพูดๆ ดีกว่าค่ะ ว่าแต่ชบาขอถามจ่ามนตรีเรื่องนึงหน่อยสิคะ”
“เรื่องไรอ่ะ อย่าถามยากนักนะครับ ผมกลัว” มนตรีพูดติดตลก
“ไม่ยากค่ะ แค่จะถามว่าแล้วจ่ามนตรีทำไมไม่ตักเตือนตัวเองเรื่องไปทำสาวท้องจนมีเรื่องถึงขึ้นศาลบ้างละคะ”
“ชะอุ้ย โดน! เออ โดนถามแบบนี้ตอบไม่ถูกเลย งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ลืมไปว่าปวดท้องเข้าห้องน้ำอยู่”
มนตรีรีบแจ้นออกไปทันที ชบามองตามด้วยสีหน้าลังเล
“จ่ามนตรีเหรอ”
อีกฟากหนึ่ง แป๊ะกงเรียกตะวันกับภัสสรมาพบที่คฤหาสน์ ทั้งสามนั่งคุยกันอยู่มุมหนึ่งในบ้าน ประมุขแก๊งอัคคีถามตะวันขึ้น
“อาวุธที่ส่งให้นายพลยี่เส่งไปถึงไหนแล้ว”
“ถึงมือนายพลยี่เส่งแล้วครับ”
“แล้วทำไมเรื่องถึงได้ถึงหูตำรวจแบบนั้น”
“ผมตั้งใจที่จะล่อผู้กำกับอัคคเดชเพื่อมาจัดการเองครับ”
ภัสสรสบช่องสอดขึ้นลอยๆ “ทำอะไรเสี่ยงๆ”
“แปะกง ลืมไปแล้วเหรอครับ ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด ที่ล่อผู้กำกับอัคคเดชมาเล่นงาน ก็เพื่อเปิดทางเอาอาวุธออกมาท่าเรือยังไงล่ะครับ”
ภัสสรสอดอีก “แล้วหากเกิดผิดพลาดขึ้นมา แล้วใครจะรับผิดชอบ”
ตะวันสวนขึ้นทันควัน “ใครทำคนนั้นก็รับ ฉันแฟร์อยู่แล้ว”
ภัสสรแขวะอีก “ตอนนี้ก็พูดได้ซิ จบเรื่องแล้วนี่”
“พูดแบบนี้มันจงใจหาเรื่องกันนะสร” ตะวันชักยัวะ
“เปล่า ฉันแค่พูดไปตามเนื้อผ้า” พร้อมกับที่ว่าภัสสรเชิดใส่
ตะวันมองอย่างไม่พอใจ
“พอๆ เจอกันไม่ได้ทะเลาะกันทุกที” แป๊ะกงขัดตาทัพขึ้นอย่างไม่พอใจ แล้วหันมาออกคำสั่งกับภัสสรเบ็ดเสร็จเด็ดขาดว่า “เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วๆ ไปได้มั้ย”
ภัสสรหน้าเจื่อนไปถนัดตา ตะวันสะใจยิ้มเยาะอยู่ในที
คราวนี้แป๊ะกงหันมาตำหนิตะวัน “เธอก็เหมือนกัน คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้อีก คนเรามันไม่โชคดีไปตลอดหรอก”
ตะวันหน้าเจื่อนไปนิดๆ ก่อนรับเอาคำอย่างเกรงใจ “ครับ”
ภัสสรสะใจที่ตะวันถูกตำหนิเช่นกัน
“ช่วงนี้สุขภาพฉันไม่ค่อยดี ยังไงเธอก็ช่วยดูแลงานในแก๊งให้ด้วย”
“ครับ” รับเอาคำสั่งอย่างยินดี
ภัสสรหน้าตึง ไม่พอใจอยู่ในที
“งั้นผมเดินเรื่องยาที่นายพลยี่เส่งเสนอมาเลยนะครับ”
“อย่าเพิ่งเลย เพิ่งมีเรื่องมีราวมา อย่าทำอะไรให้เป็นที่เพ่งเล็งของตำรวจดีกว่า” ชายชราเว้นช่วงไปนิดหนึ่งคล้ายตริตรองน้ำคำ ก่อนบอกว่า “และฉันก็ว่าจะขอวางมือ ไม่ขายยาต่อแล้วด้วย”
ตะวันทักท้วง “มันจะเป็นไปได้ยังไงแป๊ะกง เรายังมีเพื่อนคู่ค้าอีกหลายเจ้าเลยนะครับ โดนเฉพาะนายพลยี่เส่ง เขาต้องการอาวุธเพิ่มด้วย”
“ก็หยุดไปก่อน”
ตะวันพยายามทัดทาน “แต่...”
แป๊ะกงตัดบทเสียงเขียว “ไม่ต้องพูดล่ะ เรื่องพวกนั้นฉันจัดการเองได้ ฉันว่ายังไงก็ว่าตามนั้น แกไม่ต้องยุ่ง”
“ครับ” ตะวันจ๋อย
ภัสสรตกใจเหมือนกันที่แป๊ะกงเสียงแข็งใส่ แต่ก็แอบสะใจตะวันอยู่ในที ส่วนตะวันร้อนใจที่แป๊ะกงจะหยุดง่ายๆ
ตะวันเดินหงุดหงิดออกมาแล้วตรงไปขึ้นรถ ภัสสรเดินออกมาหยุดยืนมองตามรถตะวันที่เคลื่อนตัวออก ด้วยแววตาสะใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาใครบางคน
“มาพบฉันหน่อย”
ภัสสรมีแผนบางประการ แน่นอนว่ามันย่อมเกี่ยวข้องกับตะวันโดยตรง
ไม่นานต่อมา คนที่ภัสสรโทร.นัดมาเจอ เป็นหมอกที่นั่งคุยอยู่ด้วยกันแล้ว ในสถานที่อันลับตาคน
“ตกลงเรื่องหลักฐานเล่นงานนายตะวันว่ายังไง”
“ผมยังจำไม่ได้เลยครับว่าเอาไปไว้ที่ไหน”
ภัสสรดักคอ “จำไม่ได้ หรือว่าไม่อยากขายให้ฉันกันแน่”
หมอกอึ้งไปนิดแล้วบอกขึ้นทีเล่นทีจริงว่า
“ราคาดีขนาดนี้ ใครจะไม่อยากขายล่ะครับ แต่ผมยังจำไม่ได้จริงๆ”
“ก็รีบจำๆ ให้มันได้เสียทีซิ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป” มีความขุ่นเคืองในน้ำเสียงภัสสรชัดแจ้ง
หมอกถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“ก็นายตะวันมันกำลังจะฮุบทุกอย่างในแก๊งไปหมดนะสิ...แล้วฉันก็กำลังจะหมดความอดทนกับมันแล้วด้วย” ประโยคหลังเธอบอกด้วยน้ำเสียงสะบัด คล้ายสุดทนแล้ว “มีเวลาไม่มากแล้ว นายต้องรีบเอาข้อมูลพวกนั้นมาให้ฉันตามที่ตกลงกันไว้ให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
หมอกพยักหน้ารับ พร้อมกับมองหน้าภัสสรอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ร้านดอกไม้น้องหลิน เปิดบริการตั้งแต่เช้าแล้ว มีเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น ทำให้หลินที่นั่งอยู่ในร้านลุกขึ้นยืนต้อนรับลูกค้าที่เดินเข้า
“สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
คนที่เข้ามาไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นนักเลง 1 ที่เคยมาเก็บค่าคุ้มครองหลิน และมันยังเคยแอบย่องเข้ามาจะข่มขืนหลินครั้งก่อน คราวนี้มันมากับนักเลงหน้าใหม่อีกคน ที่เป็นลูกพี่ของมัน
“จะรับอะไรดีคะ”
“ถ้าอยากรับทานน้องล่ะจ๊ะจะว่ายังไง” นักเลง 1 เย้าหยอก
หลินสะดุ้ง ผงะด้วยความตกใจ ลูกพี่หันไปทำตาเขียวใส่นักเลง 1 เป็นเชิงปราม ก่อนหันมาบอกหลิน
“ไม่ต้องกลัวน้อง ลูกน้องพี่มันแค่ล้อเล่นกับน้องเท่านั้น” หลินยิ้มเจื่อนๆ ทำใจดีสู้เสือ แต่ไม่เชื่อ
“แต่ของพี่ของจริง นับแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะมาเก็บค่าคุ้มครองร้านน้องเดือนละห้าพันบาท ไม่เช่นนั้น พี่ยะไม่รับรองสวัสดิภาพและความปลอดภัยของน้อง”
ลูกพี่ว่า พร้อมกับผลักแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะตกลงมาแตกเสียงดังโครมคราม หลินสะดุ้งด้วยความตกใจ
พวกเพื่อนบ้านที่อยู่ข้างนอกได้แต่ยืนดู เพราะมีนักเลงอีกสี่คนยืนคุมเชิงอยู่ตรงหน้าประตู
หมอกเพิ่งเดินมาถึงหน้าร้าน หยุดมองดูด้วยความแปลกใจที่เห็นนักเลงยืนอยู่เต็มหน้าร้านดอกไม้ จึงเดินไปถามป้าขายของหน้าร้านหลินว่า
“มีอะไรกันเหรอป้า”
ป้ากำลังมองดูเหตุการณ์ในร้านอย่างใจหายใจคว่ำ หันมามองเห็นเข้าใจว่าเป็นเมฆก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“คุณรูปหล่อ มาได้จังหวะพอดี ช่วยหนูหลินด้วยค่ะ นักเลงมามาเก็บค่าคุ้มครองค่ะ”
หมอกอึ้งไป ตกใจนิดๆ
ด้านในร้าน หลินจำใจหยิบเอากระเป๋าตังค์ออกมาจะหยิบเงินจ่ายอย่างไม่มีทางเลือก โดยมีนักเลงสองชั่วยืนมองอยู่ จังหวะนี้มีเสียงจะดังเอะอะขึ้นที่หน้าร้าน สองนักเลงหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นว่า หมอกกำลังเล่นงานสี่คนที่หน้าร้านด้วยทักษะการใช้หมัดตีนเข่าขั้นเทพ ชายชั่วทั้งสอง ตกใจ
หมอกคว่ำนักเลงสี่คนหน้าร้านลงไปกองกับพื้น ก่อนที่ลูกพี่กับนักเลง 1 ปรี่ออกมาที่หน้าร้าน หมอกหันไปประจันหน้ากับทั้งสองคน นักเลง 1 ปรี่เข้าเล่นงานหมอก จึงโดนหมอกเล่นงานลงไปกองอีกคน ในท่าเดียวกับที่เคยโดนตอนพยายามจะปล้ำหลิน
ลูกพี่เห็นลูกน้องเสียท่า เลยชักมีดออกมาเล่นงานหมอก ถูกหมอกจับล็อกปลดมีด คว้าเอามาแทงสวนกลับในทันที ลูกพี่สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พอเห็นเป็นด้ามมีดไม่ใช่คมมีด มันจึงถอนหายใจโล่งอก หมอกส่งสายตาพิฆาตไปขู่ พร้อมบอกขึ้นว่า
“คราวหน้าจะเป็นคม ไม่ใช่ด้าม
พอหมอกปล่อยมือที่จับไว้ ลูกพี่รีบผละหนีไปคนแรก ก่อนพวกลิ่วล้อจะรีบแจ้นตามหลังไป ชาวบ้านตบมือให้หมอกที่ไล่พวกนักเลงไปได้ เป็นเวลาเดียวกับที่หลินออกมาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เดินมาถึงหน้าประตูพอดี แต่ด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังจึงสะดุดกับบางอย่างเสียหลัก ซวนเซจะล้ม หมอกถลันไปคว้าตัวไว้ทัน หลินตกอยู่ในอ้อมกอดของหมอก แต่คนเยอะเธอจึงแยกไม่ออกไม่รู้ว่าหมอกเป็นใครจึงดิ้นหนี
หมอกต้องรีบบอกเสียงนุ่ม “ผมเอง”
น้ำเสียงที่คุ้นหูทำให้หลินชะงัก
“คุณรูปหล่อไงหนูหลิน” ป้าเสนอหน้ามาบอก
หลินเริ่มจับสังเกตแล้วจำได้ ยิ้มดีใจ
“คุณเมฆ”
ไทยมุงสลายตัวไปแล้ว หมอกจูงหลินกลับเข้ามานั่งพักในร้านตรงมุมรับรองลูกค้า
“ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยหลิน”
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย”
หลินยิ้มรับเอาคำพูดนั้น บอกขึ้นอย่างเกรงใจ
“แต่ความจริง คุณเมฆไม่น่าเอาตัวเองมาเสี่ยงช่วยหลินแบบนี้เลย เกิดคุณเมฆเป็นอะไรขึ้นมามันจะไม่คุ้มกันนะคะ”
หมอกได้ยินก็ยิ้มดีใจที่หลินแสดงอาการเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ คุณหลินไม่ต้องห่วง ผมประเมินตัวผมเองก่อนแล้วว่าสู้นักเลงพวกนั้นได้ ผมถึงลงมือ ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหว ผมก็คงไปตามตำรวจมาจัดการพวกมันแต่แรกแล้ว”
หลินยิ้มพอใจในคำตอบ
“แต่ผมว่า คุณหลินน่าเป็นห่วงมากกว่าผมอีกนะครับ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็พวกนักเลงที่เก็บค่าคุ้มครองพวกนี้ ผมคิดว่าพวกมันไม่หยุดแค่นี้แน่ ลงมันมาแบบนี้ มันคงย้อนกลับมาอีกแน่ คุณหลินต้องระวังตัวนะครับ”
หลินยิ้มบางๆ “ขอบคุณคะที่เป็นห่วง หลินว่าเดี๋ยวจะช่วยป้าไปแจ้งความกับตำรวจอีกรอบ”
“ก็ดีครับ อย่างน้อยตำรวจเค้าจะได้แวะมาดูบ้าง พวกมันจะได้กลัว”
หลินยิ้มเห็นด้วย
“แต่ถ้ามีอะไรจะให้ผมช่วย บอกผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ผมยินดีช่วย”
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่คุณเมฆมาหาหลินจะมาสั่งดอกไม้รึเปล่าคะ”
หมอกมองไปยังแจกันบนชั้นวางหน้ารูปพ่อแม่หลิน แล้วแกล้งตอบรับไปงั้นๆ
“ครับ แต่สงสัยว่าคงต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว” หมอกมองรอบๆ เห็นมีแจกันแตก “เพราะตอนนี้ผมคงต้องช่วยคุณหลินเก็บร้านน่าจะดีกว่า”
“โถ ช่วยหลินแล้วยังจะต้องช่วยเก็บร้านอีก อย่าเลยค่ะ หลินเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคุณหลินตอบแทนผมเป็นจัดดอกไม้ให้ผมฟรีก็แล้วกัน ตกลงตามนี้นะครับ”
หลินยิ้มพราย “ตกลงค่ะ”
หมอกช่วยหลินจัดเก็บร้าน หลินยิ้มรู้สึกดีที่มีหมอกคอยอยู่ข้างๆ ช่วยเหลือตน
หนุ่มสาวสองคนช่วยกันเก็บร้าน ด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เบ่งบานในใจ ราวกับเป็นคู่รักก็ไม่ปาน
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 12 (ต่อ)
ผ่านไปสักครู่ใหญ่ หลินยื่นช่อดอกไม้ให้หมอกในคราบเมฆ
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ คุณเมฆ นี่ค่ะ ค่าตอบแทน อาจจะน้อยไปหน่อยแต่หลินมีให้เท่านี้จริงๆ”
หมอกรับดอกไม้แล้วยิ้มให้
“แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วครับ เอาเป็นว่า ต่อไปถ้ามีอะไรให้ผมช่วย คณหลินบอกผมได้เสมอนะครับ”
“บอกคุณ…”
หมอกนึกได้
“ครับ ขอดูมือถือหน่อยซิครับ”
หลินงง แต่ก็หยิบมือถือให้ หมอกรับมาแล้วกดเมมเบอร์ พร้อมกับอธิบายหมอกจับมือหลินมากดคลำปุ่มแรกบนหน้าจอ
“กดตรงนี้...ถ้ามีเรื่องด่วนให้ผมช่วย โทร.มาเลยนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
หมอกยิ้มรับเอาคำ
“ครับ งั้นผมไปก่อนนะ”
หมอกเดินออกไป หลินยิ้มส่งแล้วหันกลับเข้าร้านไป หมอกหยุดมองจนหลินเข้าร้านไปนั่งที่โต๊ะจัดดอกไม้เรียบร้อยจึงก้มมองดอกไม้ในมือ พลางทอดถอนใจ
“จะมาหาของ สุดท้ายต้องมาช่วยเขาจนได้ ไว้ฉันค่อยมาหาของแกอีกทีนะเมฆ”
ตะวันกลับมาถึงคฤหาสน์ เวลานี้อยู่ในห้องโถง ปราการส่งโทรศัทพ์ผ่านดาวเทียมมาให้
“นายพลยี่เส่งครับนาย”
ตะวันรับไปพูดสาย “ครับท่านนายพล”
จากอีกฟาก ที่ค่ายละแวกตะเข็บชายแดนของไทยและเพื่อนบ้าน นายพลยี่เส่งกำลังพูดโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมเช่นกัน
“ขอบใจมากที่ส่งอาวุธมาให้ตามสัญญา”
สองคนคุยสายกันตะวันบอก “อะไรที่ผมรับปากแล้ว ผมต้องทำครับ”
ยี่เส่งพอใจมาก “อย่างงี้คบกันได้”
ตะวันผมมีเรื่องจะเรียนปรึกษาท่านนายพลด้วยครับ
“ว่ามาซิ”
“คือเรื่องยา แป๊ะกงบอกว่าขอหยุดไว้ก่อนครับ”
“คุณไม่ได้บอกเหรือว่าผมต้องการอาวุธเพิ่ม”
“ผมเรียนแล้วครับ แต่แป๊ะกงว่า จะเลิกขายยาแล้ว”
ยี่เส่งไม่พอใจมาก “อ้าว อย่างงี้ผมทำยังไง ผมต้องขายยาแลกอาวุธ ถ้าจะให้เอาเงินสดไปซื้อ ผมไม่มีปัญญาหรอกนะ”
“ไม่ต้องลำบากถึงอย่างงั้นหรอกครับ ผมมีทางออกให้ท่าน”
“ทางออกยังไง”
ตะวันมีสีหน้าเหี้ยมเกรียมขณะพูด “เราก็ตัดคนกลางออก แล้วมาค้าขายกันเองสิครับ”
“ตัดคนกลางออกเหรอ” ยี่เส่งทวนคำ นิ่งคิดก่อนตอบ “ดี ผมเคยบอกแล้วไง ผลประโยชน์ต้องมาก่อน เอาเป็นว่าคนของผมยังอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้าคุณอยากใช้งานก็เชิญได้เลย”
“ขอบคุณครับ”
ตะวันกดวางสาย แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ปราการ
“นายตัดสินใจแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แล้วต้องลงมือวันนี้เท่านั้น เพราะนานๆ เสือจะออกจากถ้ำซะด้วย”
“แล้วนายจะลงมือเองรึเปล่าครับ”
“ถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วนายคิดว่าน่าจะเป็นใครล่ะ”
ตะวันยิ้มร้ายสมใจ
ท้องฟ้ายามเย็นพระอาทิตย์ใกล้ตกดินงามจับตา ภูผายืนมองทอดสายตายาวออกไปสุดสายตาอย่างไร้จุดหมายอยู่ตรงระเบียงห้องพัก ด้วยสีหน้าเศร้า เต็มไปด้วยความกังวล และ สับสน อึดใจต่อมาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูผาเหลียวมอง เป็นเบอร์ตะวันโทร.มา ภูผานิ่วหน้าแปลกใจอยู่ในที ก่อนรับสาย
“ครับคุณตะวัน”
เสียงตะวันดังลอดออกมาว่า “มาพบฉันหน่อยซิ”
“ตอนนี้เหรอครับ”
“ใช่ ฉันส่งปิงไปรับแล้ว”
ขาดคำเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นหน้าห้อง ประตูเปิดออกเผยให้เห็นปิงยืนยิ้มแป้นอยู่
“นายให้มารับพี่”
ภูผาพยักหน้ารับรู้ แต่สงสัยไม่คลายว่าตะวันให้ไปพบเรื่องอะไร
สถานที่เปลี่ยวแห่งนี้น่าจะเป็นที่ใดที่หนึ่งระหว่างทางไปโกดังเก็บอาวุธของแป๊ะกง รถเอ็มพีวีของตะวันจอดรอรวมอยู่กับรถอีกสองคันที่นี่
ตะวันนั่งหลับตาพริ้มฟังเพลงบรรเลงอย่างสบายอารมณ์ อยู่ในรถ ปราการยืนอารักขาอยู่ด้านนอก มองไปยังทางเข้า เมื่อเห็นรถคันหนึ่งแล่นตรงเข้ามาทางนี้ เป็นรถปิงที่ไปรับภูผา แล่นมาแต่ไกล
ภูผามองภาพตรงหน้าอย่างแปลกใจมากยิ่งขึ้น ที่เห็นตะวันและพวกมารออยู่ก่อนหน้า ภูผากวาดตามองไปรอบบริเวณอย่างประเมินสถานการณ์ ขณะปิงขับรถเข้าไปจอดรวมกลุ่มด้วย ปราการเปิดประตูรถเข้าไปรายงานตะวัน
“ภูผามาแล้วครับ”
ตะวันพยักหน้ารับรู้
ภูผาก้าวลงจารถปิงที่มาส่ง เดินเข้าไปหาตะวันที่รถ ตะวันลงมาจากรถพอดี
ทุกย่างก้าว สีหน้าและแววตาของภูผาเต็มไปด้วยระแวดระวัง มั่นใจและสังหรณ์ใจว่าไม่นานถัดจากนี้ กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ๆ
ภูผาไปถึง ถูกปราการขวางหน้าไว้ทำท่าจะค้นตัว แต่ตะวันส่ายหน้าห้ามเอาไว้
“ไม่ต้อง”
ปราการจึงปล่อยให้ภูผาเข้าไปหาตะวัน
ภูผาถามขึ้นอย่างแปลกใจ “นี่มันเรื่องอะไรกันครับคุณตะวัน”
ตะวันนิ่งไม่ตอบ มองจ้องหน้าภูผาด้วยแววตาคมปลาบ ภูผามองตอบไม่กล้าหลบตา ทั้งที่นึกหวั่นอยู่ในที อึดใจต่อมา ตะวันยิ้มขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียมพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงเข้ม
“ถึงเวลาที่แกต้องพิสูจน์อะไรบางอย่างกับฉันแล้วแหละภูผา”
ภูผาอึ้ง นิ่งงันไปเลย
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 12 (ต่อ)
รถของแป๊ะกงแล่นผ่านยามหน้าป้อมตรงประตูทางเข้า แล่นเลยเข้ามาจอดที่ด้านหน้าโกดังเก็บอาวุธ แป๊ะกงก้าวลงจากรถ เดินเข้าโกดังไป พร้อมลูกน้องบอดี้การ์ดอีกสองคนที่ตามเข้าไปด้วย
ภายในโกดัง คนงานของแป๊ะกงกำลังง่วนอยู่กับแพ็คอาวุธใส่ลัง แล้วขนขึ้นรถบรรทุกที่มีห้องข้างหลัง แป๊ะกงเดินเข้ามาในนั้น คนคุมงานรีบออกมาเสนอหน้าต้อนรับ กล่าวทักทายอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ”
แป๊ะกงพยักหน้าให้
“ตามสบายๆ เป็นไงบ้าง ทำไปถึงไหนแล้ว”
“เกือบจะเสร็จแล้วครับ เหลืออีกนิดเดียว รู้ว่าวันนี้แป๊ะกงต้องมา ผมสั่งทุกคนเร่งมือเลย”
แป๊ะกงยิ้มให้
“อืม ดี เร่งๆ กันดีแล้ว เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันเรือ”
“ครับ”
ห่างโกดังออกมาไม่ไกลนัก ขบวนรถของตะวันแล่นตามกันมาบนถนนมุ่งมาทางโกดัง โดยมีปราการขี่มอไซค์นำหน้า รถตะวัน และ รถปิง
ภูผานั่งมากับตะวัน มองวิวสองข้างทางอย่างคุ้นตา ก่อนหันมาถามตะวัน
“นี่มันทางไปโกดังเก็บอาวุธของแป๊ะคงนี่ครับ คุณตะวัน”
ตะวันยิ้มเหี้ยม “ ใช่ เรากำลังจะไปโกดังแป๊ะกง”
ภูผายิ่งใจไม่ดีมากขึ้น
ยามตรงป้อมหน้าโกดัง กำลังนั่งดูทีวีอยู่เพลินๆ จนสายตาเหลือบไปเห็นขบวนรถกำลังแล่นตามกันมา จึงลุกออกมาดู ปราการขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งนำมา ยามมองอย่างแปลกใจที่รถของปราการมุ่งตรงมาทางนี้ ไม่เท่านั้นปราการยังชักปืนติดที่เก็บเสียงออกมา แล้วเล็งใส่ ยามมองตะลึง ตกใจ ยกมือขึ้นป้องบังไฟที่สาดเข้าหน้า แล้ว พยายามจะชักปืนสู้ แต่สายไป ยามชะตาขาดถูกปราการยิงแสกหน้าล้มลงกับพื้น ปราการขี่รถนำเข้าไปในโกดัง โดยมีขบวนตามหลัง
เสียงรถที่แล่นเข้ามาหลายคัน เรียกให้พวกที่อยู่ด้านในโกดังหันมามองอย่างแปลกใจ จนเห็นปราการ กับ ปิง และลูกน้องตะวัน เดินลุยยิงสมุนแป๊ะกงที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า คนของแป๊ะกงพยายามจะชักอาวุธสู้ แต่ไม่ทัน บางคนไม่มีโอกาสแม้จะควักปืน
แป๊ะกงที่อยู่ในที่นั้น ยืนมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ
ตะวันยังคงนั่งหลับตาฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์อยู่ในรถ โดยมีภูผานั่งที่นั่งอยู่ด้วยมองภาพที่เกิดขึ้นหน้าโกดังอย่างสะทกสะท้อนใจ
คนของแป๊ะกงที่คอยอารักขา ถูกเก็บไปคนแล้วคนเล่า จนกระทั่งหมด มีลูกน้องคนสนิทพยายามจะพาประมุขแก๊งอัคคีหนี แต่ถูกยิงตายต่อหน้าแป๊ะกง
พอเสียงปืนสงบลง เหลือแป๊ะกงยืนช็อกอยู่คนเดียวท่ามกลางศพลูกน้องตายเกลื่อน
ตะวันก้าวลงมาจากรถมีภูผาเดินตามหลังมาห่างๆ
แป๊ะกงตวัดสายตาหันไปจ้องตะวันรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ตะวันมองสบตาแป๊ะกงอย่างเย้ยหยัน ไม่หลงเหลือความยำเกรงแม้นสักน้อย แป๊ะกงตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงเขียวขุ่น โกรธถึงขีดสุด
“นี่แกกล้าทรยศฉันเหรอ ไอ้ตะวัน”
“อย่าพูดอย่างงั้นซิแปะกง เรียกว่าคลื่นลูกหลังแซงคลื่นลูกหน้าดีกว่า ลื่นหูน่าฟังกว่าแยะ”
แป๊ะกงมองหน้าตะวันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“แกมันชั่วกว่าที่ฉันคิดไว้จริงๆ”
ตะวันโกรธ จ้องหน้าแป๊ะกงเขม็ง
“ก็แปะนั่นแหละที่สอนผม แปะเป็นคนเปลี่ยนเส้นทางชีวิตผมจากตำรวจมาเป็นโจร แปะสอนให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตบนเส้นทางนี้ แต่ตอนนี้ เส้นทางนี้ของแปะมันหมดลงแล้ว”
แป๊ะกงแค้นแทบกระอักเลือด มองจ้องหน้าตะวันตาเขม็ง
ภูผาอยู่ในเหตุการณ์ สะท้อนใจกับชะตากรรมของแป๊ะกงผู้ยิ่งใหญ่ เขาต้องตกใจสุดขีด เมื่อตะวันเบี่ยงตัวเอง ให้แป๊ะกงเห็นตนชัดๆ
“ภูผา” แป๊ะกงตกใจที่ภูผามาด้วย
ตะวันยิ้มชั่ว แววตาอำมหิตผิดมนุษย์มนา ขณะยื่นปืนให้ภูผาออกคำสั่งเบ็ดเสร็จ
“เก็บแป๊ะกงซะ แล้วนายจะได้มาอยู่กับฉันต่อไป”
ภูผาอึ้งไปถนัดตา จ้องมองแป๊ะกงสีหน้าเครียดจัด ตะวันบอกต่อ
“นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ตัวแกว่า จริงใจที่จะอยู่กับฉันแค่ไหน แล้วฉันจะลืมเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด”
ภูผาเครียดหนักกว่าเก่า
“ถ้าไม่ แกก็มีทางเลือกเดียวคือต้องตามไปอยู่กับแป๊ะกง”
สิ้นคำนั้น ปืนทุกกระบอกของทุกคนฝ่ายตะวันในที่นั้น เล็งไปยังภูผาทันที
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 12 (ต่อ)
ภูผาตกใจและหนักใจถึงขีดสุด ตัดสินใจด้วยความลำบากใจสูงสุด ยกมือขึ้นรับปืนจากตะวัน เมื่อเห็นภูผารับปืนไป แป๊ะกงเสียใจเหลือแสน มองจ้องภูผาอย่างตระหนักชัดว่านี่คงเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต
ภูผาหันมาหาแป๊ะกง จดฝีเท้าเดินเข้าไปหาช้าๆ ประมุขแก๊งอัคคีมองภูผาที่เดินเข้ามาหาอย่างสะท้อนใจ แต่ไม่มีแววโกรธแค้นให้เห็น ภูผาเดินห่างจากตะวันพอควร มาหยุดอยู่ตรงหน้าแป๊ะกง มองหน้าชายสูงวัยด้วยความสงสารจับใจ
“ยิงฉันเถอะ ภูผา” ประมุขแก๊งอัคคีบอกด้วยน้ำเสียงเข้มแข็ง “อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่ฉันต้องตายด้วยน้ำมือไอ้คนอัปรีย์พันธุ์นั้น”
ขาดคำแป๊ะกงก็จับมือข้างที่ถือปืนของภูผาหมับ ยกขึ้นจ่อหน้าอกตัวเอง แล้วใช้อีกมือโอบคอภูผาโน้มเข้ามาหาเพื่อสั่งเสีย
“เส้นทางนักเลงก็แบบนี้ ไม่หักหลังเค้า ก็ถูกเค้าหักหลังเอา...ก็เหมือนอย่างเธอหักหลังอาเสือ”
ภูผาช็อกกับประโยคหลัง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“จับมันไปลงโทษตามกฎหมายให้ได้ แค่นี้ก็ถือว่าล้างแค้นแทนฉันแล้วไอ้ลูกชาย”
ภูผาตกใจยิ่งกว่าเก่า แป๊ะกงเหนี่ยวไก
เสียงปืนกัมปนาทขึ้นกึกก้อง ภูผาตะลึงตะไล ตกใจ เสียใจเป็นที่สุด
ตะวันมองอย่างพอใจ สะใจ ร่างของแป๊ะกงค่อยๆ รูดร่วงลงไปกองกับพื้น ภูผาสะท้อนในอก ก่อนตัดใจกัดฟัน ยิงซ้ำไปอีกที พร้อมกับพยายามสกัดกั้น กลืนกินความรู้สึกผิด และความเสียใจ ลงไปในอก
ตะวันอึ้ง มองอย่างเหลือเชื่อที่ภูผายิงประหารซ้ำ
ภูผาหันกลับมาเผชิญหน้าตะวันช้าๆ ปั้นหน้ายิ้มเหี้ยมสะใจ ขณะเดินเอาปืนไปคืนให้ตะวัน
“ต่อไปนี้ นายเป็นคนของฉันแบบเต็มตัวแล้ว ภูผา” ตะวันรับปืนคืนมา หัวเราะอย่างสะใจ แล้วสั่งทุกคนกลับ “กลับ”
ทุกคนทยอยขึ้นรถไป
ภูผามองภาพแป๊ะกงที่นอนตายอย่างอนาถอยู่ตรงนั้นด้วยความเสียใจสูงสุด
ล่วงเข้าวันใหม่ได้ไม่นาน ภาพบนจอทีวีในบ้านภัสสรเป็น ข่าวด่วนภาคดึกช่อง 8 ผู้ประกาศข่าวรายงานข่าวด่วน
“เมื่อเวลาหนึ่งนาฬิกาเศษที่ผ่านมา ทางตำรวจได้แถลงข่าวว่า นายอำนาจ หิรัญทรัพย์ ที่คนในวงการมาเฟียเรียกขานกันอย่างติดปากว่า แป๊ะกง หัวหน้าใหญ่ของแก๊งอัคคีได้เสียชีวิตลงแล้ว จากการถูกยิง”
มีประมวลภาพถ่ายแป๊ะกงประกอบข่าว
ภัสสรเพิ่งกลับจากคลับได้ไม่นาน มองจ้องทีวีด้วยสีหน้าตกใจ คาดไม่ถึง
“ซึ่งทางตำรวจคาดว่า น่าจะเป็นการหักหลังเรื่องค้าอาวุธเถื่อน เพราะในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นโกดังที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า เป็นแหล่งแก็บซ่อนอาวุธสงครามเถื่อน”
อีกฟากหนึ่ง สีหน้าภูผาที่ยืนดูข่าวเดียวกันจากทีวีช่อง 8 เต็มไปด้วยความสับสน เสียใจ เศร้าใจ และสำนึกผิด พร้อมนึกถึงคำพูดของแป๊ะกง
“เส้นทางนักเลงก็แบบนี้ ไม่หักหลังเค้า ก็ถูกเค้าหักหลังเอา...เหมือนที่แกหักหลังอาเสือ”
ภูผาน้ำตาร่วงเสียใจเหลือเกิน
“แป๊ะกงรู้มาตลอด แต่แป๊ะก็ยังดีกับผมเสมอ”
ภูผายิ่งเศร้าใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยพูดคุยสนทนากัน ทุกครั้งประมุขแก๊งอัคคีแสดงความเมตตาต่อเขา และมักได้รับข้อคิดดีๆ เสมอ
“ฉันก็คิดๆ อยู่เหมือนกันว่า งานส่งอาวุธให้นายพลยี่เส่งครั้งนี้จะเป็นงานสุดท้าย แล้วจะย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองนอก สมบัติ ชื่อเสียง เงินทองเป็นของนอกกาย ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง ลูกจะสืบทอดอำนาจก็ไม่มีแล้ว สู้เอาเวลาไปเลี้ยงหลาน ใช้เวลากับคนที่เรารักให้มากที่สุดดีกว่า”
ภูผาดีใจเมื่อได้ฟัง
“ฉันผ่านอะไรมาหมดแล้ว เลยทำให้รู้ว่าความสุขที่แท้จริงของคนเราคืออะไร จำคำพูดฉันแล้วลองไปคิดๆ ดูละกันนะ ภูผา”
“ครับ ผมจะลองคิดดู บางทีผมอาจจะหยุดทุกอย่างที่นี่แล้วตามแป๊ะกงไปอยู่เมืองนอกด้วยก็ได้ จะได้มั้ยครับ”
“จริงรึเปล่า อย่าทำพูดเป็นเล่นไป ฉันดีใจนะ จำไว้นะ เธอก็เหมือนลูกชายฉันอีกคน ฉันหวังดีกับเธอเสมอ ภูผา”
ยิ่งนึกถึงภูผาก็ยิ่งเศร้า จนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ นี้
“จับมันไปลงโทษตามกฎหมายให้ได้ แค่นี้ก็ถือว่าล้างแค้นแทนฉันแล้วไอ้ลูกชาย”
สิ้นคำนั้น แป๊ะกงก็เหนี่ยวไกทันที เสียงปืนกัมปนาทขึ้นกึกก้องไปทั้งบริเวณ
สีหน้าภูผาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจในคำพูดสั่งเสียครั้งสุดท้ายของแป๊ะกง
“ผมจะจับมันให้ได้ ผมสัญญา”
อ่านต่อตอนที่ 13