xs
xsm
sm
md
lg

ล่าดับตะวัน ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่าดับตะวัน ตอนที่ 4

ผู้กำกับอัคคเดชอยู่ที่ห้องทำงานผู้การเด่นชาติ ภายในสำนักงานกองปราบปรามพิเศษในเวลานั้น ท่านผู้การแทบไม่อยากเชื่อ ถึงกับทวนคำด้วยน้ำเสียงตกใจมาก เมื่อรู้เรื่องจากอัคคเดชว่าเขาถูกลวงไปฆ่า

“ล่อไปฆ่าอย่างงั้นเหรอ”
อัคคเดชบอกย้ำสีหน้าจริงจัง “ครับ”
ผู้การอึ้งไปนิด สะท้อนใจ ใบหน้าเข้มขึ้น บอกขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า
“มันชักจะเหิมเกริมกันใหญ่แล้วไอ้พวกนี้ ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา”
อัคคเดชนิ่งฟัง เห็นด้วย ผู้การนึกบางอย่างได้
“เออ ทำไมสายที่คุณส่งไปแฝงตัวอยู่ในพวกมันถึงไม่เตือนคุณก่อน จะได้หาทางป้องกัน”
“เค้ารู้เอาวินาทีสุดท้ายว่าเป้าหมายคือผม จึงเตือนไม่ทันครับ โชคดีที่เค้าเป็นคนลงมือด้วย ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาคุยกับผู้การแบบนี้หรอกครับ”
“หมายความว่ายังไง ลงมือด้วย” ผู้การเด่นชาตินิ่งคิดไปอีกนิดหนึ่ง “หรือว่ามีมือปืนมากกว่าหนึ่ง”
“ครับ”
ผู้การตกใจไม่น้อย “ห๊า! นี่มันกะเอาให้อยู่หมัดเลยนะแบบนี้....เพื่อนคุณคนนี้เล่นแรงนะ”
อัคคเดชรีบแก้ทันควัน “อดีตเพื่อนครับ”
“ใช่ๆ แค่อดีตเท่านั้น”
อัคคเดชยิ้มในสีหน้า บอกออกไปภายหลังจากประมวลเหตุการณ์แล้ว
“ดูท่าแล้วการที่รัฐมนตรีกฤษชัยทำเรื่องขอหน่วยผมมาสนับสนุนในครั้งนี้ คงเป็นแผนแน่นอน”
“งั้นต่อไป คุณต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้วแบบนี้ มันคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ”
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ผมจะระวังตัวให้มากขึ้นครับ”
ผู้การพยักหน้า เครียดใช่น้อย

อัคคเดชกลับถึงบ้านวางสัมภาระแล้วถอดเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป หลังจากปล่อยให้น้ำจากฝักบัวราดหัวไหลรดร่างแกร่งกำยำอยู่พักหนึ่ง อัคคเดชหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกตะวันหลอกไปฆ่าทิ้ง
เริ่มจากคำพูดของภูผา ลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปฝั่งตัวอยู่ในแก๊งอัคคี
“มันคงเกลียดผู้กำกับที่ตามจองล้างจองผลาญมันเข้ากระดูกดำแน่ๆ ถึงได้ให้มาลงมือพร้อมกันทีเดียวตั้งสองคนแบบนี้”
สายน้ำยังคงราดรดร่างอัคคเดชไประหว่างที่เขาคิดถึงตอนคุยกับผู้การ
“เพื่อนคุณคนนี้เล่นแรงนะ”
ซึ่งเขารีบแก้ทันควันว่า “อดีตเพื่อนครับ”

ภายใต้สายน้ำจากฝักบัวอัคคเดชหวนนึกถึงความหลังครั้งอดีตตอนเขาเป็นเพื่อนรักกับตะวัน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าอัคคเดชที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งรัก แค้น เกลียด ชิงชังในเวลาเดียวกัน
หลายสิบปีก่อน สองคนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
ครั้งนั้นนักเรียนนายร้อยอัคคเดชกำลังซ้อมต่อสู้ด้วยอาวุธสั้นอยู่กับนักเรียนนายร้อยตะวัน ในโรงยิมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทั้งสองเข้าต่อสู้กันมาสักระยะแล้ว จนอัคคเดชจับตะวันล็อคไว้ แต่ถูกตะวันจับพลิกด้วยท่าถนัดเฉพาะตัวของเขา
ตะวันยิ้มล้อกันเล่นแบบขำๆว่า “เจ็บไม่จำ”
หลังเรียนจบ สองคนเข้าพิธีรับพระราชทานกระบี่ในงานที่สวนอัมพร อัคคเดชกับตะวันถ่ายรูปในชุดปกติขาว หลังรับพระราชทานกระบี่เสร็จ
อยู่มาวันหนึ่ง อัคคเดช ตะวันซึ่งพาแฟนสาวชื่อ พิม มาด้วย ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันในกรุงเทพฯ เที่ยวจนเหนื่อยจึงแวะพักทานอาหาร แล้วจู่ๆ ตะวันนึกอยากถ่ายรูปเป็นทีระลึก เริ่มจากอัคคเดชเป็นคนถ่ายรูปคู่ตะวันกับพิม สองคนโอบกันจับมือถือแขนด้วยความสนิทสนมรักใคร่ ประสาคู่รักข้าวใหม่ ตะวันถ่ายคู่กับอัคคเดชอย่างเพื่อนรักเพื่อนซี้
ตะวันถ่ายรูปคู่ให้ อัคคเดชกับพิม ฝ่ายชายเขินจัดได้ถ่ายกับแฟนเพื่อนที่ต้องตาอยู่เหมือนกัน สุดท้ายทั้งสามถ่ายร่วมกัน ตะวันโอบพิมอย่างรักใคร่ อัคคเดชแอบมองด้วยแววตาหลงรักเต็มเปา
ความบาดหมางระหว่างตะวันกับอัคคเดช เริ่มต้นจากผู้หญิงชื่อ พิม คนนี้ นี่เอง

อัคคเดชกับพิมถ่ายรูปร่วมกันในงานรับพระราชทานยศ อัคคเดชติดยศพันตรีเป็นสารวัตรแล้วตอนนั้น สีหน้าของสองคนชื่นมื่น ดูออกว่าเริ่มคบหาเป็นแฟนกัน
ตะวันมาร่วมแดสงความยินดี เขาแอบยืนมองสองคนอยู่ จนอัคคเดชหันมาเจอเข้าพอดี สองหนุ่มสบตากัน พิมเหลียวมองตาม ทั้งหนักใจ และ อึดอัดสุดจะประมาณ
ตะวันเดินเข้ามาจับมือแสดงความยินดีกับอัคคเดช
“ยินดีด้วยท่านสารวัตร”
“ขอบใจเพื่อน”
ตะวันหันไปยิ้มให้พิมด้วยตามมารยาท พิมยิ้มรับสีหน้าเจื่อนๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก อึดอัดมากขึ้น
“ไม่ได้เจอกันนาน สบายดี” ตะวันพยายามชวนคุย
“สบายดี” พิมตอบเสียงเรียบๆ
อัคคเดชรู้สึกได้ถึงบรรยายกาศอึดอัดกดดันที่ทั้งสองมีต่อกัน

ในงานเดียวกันนี้ อัคคเดชหลบมาคุยกับตะวันสองต่อสอง
“คิดดีแล้วเหรอวะ จะออกจากตำรวจ”
ตะวันยิ้มรับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ สงวนท่าที
“ทำแล้วมันไม่รุ่งนี่หว่า อุตส่าห์ยอมเป็นสายตั้งหลายปี งานพลาดแค่ครั้งเดียว โดนแป๊กซะอย่างงั้น” มีวี่แววความน้อยใจเจืออยู่ในน้ำเสียงของตะวัน
อัคคเดชพยายามปลอบ “ก็แก้ตัวใหม่ซิวะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”
ตะวันมองสบตาอัคคเดช นึกสะท้อนใจ ก่อนจะบอกขึ้นว่า
“แต่เรื่องบางอย่างที่เราก้าวพลาดไปแล้ว มันย้อนกลับไปแก้ตัวไม่ได้อีกแล้วว่ะ”
“แล้วเรื่องพิม” อัคคเดชตั้งใจถาม
ตะวันไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉยเลย
“ไอ้ตะวัน แล้วพิมล่ะ ตะวัน”
อัคคเดชได้แต่ตะโกนถาม แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาเลย ร่างตะวันค่อยๆ ไกลออกไป อัคคเดชมองอย่างตระหนักชัดว่า ตะวันได้ตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้ว

อีกเหตุการณ์สองคนนั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมสวย ของร้านอาหารบรรยากาศน่ารัก ค่อนไปทางโรแมนซ์
นั่งหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ ตีหน้ายักษ์ใส่อัคคเดชที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เป็นอะไรเหรอพิม”
พิมถามเสียงขุ่น “นี่เราคบกันมากี่ปีแล้วคะ”
อัคคเดชตอบอย่างจริงจัง
“สามปี สี่เดือน สิบห้าวัน แล้วก็สามชั่วโมง กับอีก” เขาเหลือบมองนาฬิกา “สองวินาที”
พิมพูดหน้าเศร้า
“แต่ความสัมพันธ์ของเรามัน ยังไปไม่ถึงไหนกันเลยนะคะ คนที่เค้าคบกันมานานแล้ว เค้าก็ต้องมองอนาคตด้วยกันทั้งนั้น แต่คู่เรา...”
ยังไม่ทันขาดคำดี กล่องกำมะหยี่เล็กๆ ใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าผู้พูด พิมที่กำลังเศร้าๆ อยู่ ถึงกับตะลึงตะไล อัคคเดชค่อยๆ บรรจงเปิดกล่องออกช้าๆ เผยให้เห็นแหวนเพชรวงน้อยที่อยู่ข้างใน
พิมมองตาเป็นประกาย ใจระทึกถึงขีดสุด เป็นวันที่เธอรอคอยมาตลอด
“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ พอได้หรือเปล่า”
พร้อมกันนี้อัคคเดชคว้ามือพิมมากุมไว้ แล้วหยิบแหวนขึ้นมาจะสวมให้ พิมดีใจจนน้ำตาคลอ
“ใส่แล้วใส่เลย ห้ามเอามาคืนผมด้วย”
พิมตื้นตันสุดๆ
“ขอบคุณนะคะเดช”

ภาพนั้นทำให้อัคคเดชยิ้มออกมาเมื่อยามนึกถึง จนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าซึมในเวลาต่อมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พิมเสียชีวิต

วันที่เกิดเหตุ ทั้งสองคนพากันมาถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง ที่เวดดิ้งสตูดิโอแห่งหนึ่ง
อัคคเดชในชุดสูทเนี้ยบหล่อสมาร์ทมาดโก้ นั่งรออยู่ตรงมุมรับรองแขก หันไปมองพิมที่ปรากฎตัวออกมาในชุดเจ้าสาว พิมสวยฉ่ำมาก อัคคเดชจ้องมองจนตาค้าง อาการตะลึงตะไล จนพิมรู้สึกเขิน
“วันนี้คุณสวยจัง” อัคคเดชยิ้มชื่น
พิมยิ้มรับเขินๆ มองสบตากัน
อัคคเดชลุกเดินเข้าไปหากุมมือพิมไว้ “ผมดีใจนะที่จะได้ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตร่วมกับคุณ”
“พิมก็เหมือนกันค่ะ”
สองคนอยู่ในชุดแต่งงาน ดูหล่อสวยสมกันมาก กำลังโพสท่าตามที่ตากล้องสั่ง ตากล้องถ่ายไปเรื่อยๆ ทั้งสองทำตามมองหน้าสบตากันอย่างมีความสุข การถ่ายรูปเป็นไปอย่างชื่นมื่นโรแมนซ์

เกิดเหตุการณ์ในวันเดียวกันนี้ ซึ่งอัคคเดชไม่รู้เรื่องใดๆ โดยแป๊ะกงเรียกตะวันกับภัสสรไปพบ บอกแผนปล้นรถขนเงินแบงค์ชื่อดัง โดยมี เฮียเสือ ลูกชายแป๊ะกง นักเลงรุ่นเดียวกับตะวัน นำทีมปล้น ซึ่งได้มีการวางแผนปล้นรถขนเงินไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างรัดกุม
วันลงมือ ตรงกับวันที่อัคคเดชกับพิมไปถ่ายพรีเว้ดดิ้ง ทุกคนปิดบังอำพรางใบหน้าอย่างมิดชิด แผนการเริ่มจาก มีมอเตอร์ไซค์ลูกสมุนเฮียเสือแล่นไปขวางทาง บังคับให้รถขนเงินเลี้ยวเข้าข้างทางที่ต้องการ จากนั้นให้รถอีกคันแกล้งตัดหน้าจนรถจนต้องเบรกทีมปล้นเข้าประกบยิงยางรถไม่ให้ไปต่อได้ แล้วจึงวางระเบิด เพื่อระเบิดตู้ขนเงินด้านหลังแต่ดันไม่สำเร็จ
ตำรวจนำกำลังมาล้อมไว้อย่างรวดเร็ว ตะวันประเมินสถานการณ์แล้วบอกให้หนี แต่เฮียเสือไม่ยอม จะเอาเงินไปให้ได้
ฝ่ายโจรยิงปะทะตำรวจ เดือดบนถนนเส้นนั้น
ผ่านไปสั่งครู่ ตะวันบอกให้ถอยอีกครั้ง เพราะดูแล้วสู้ไม่ได้แน่ ทว่าเฮียเสือปักหลักสู้ แม้จะสู้ไม่ได้ สุดท้ายทีมถูกบีบหนัก กำลังตำรวจล้อมกรอบ ลูกทีมถูกเก็บตายลงไปเรื่อยๆ เฮียเสือถูกยิงบาดเจ็บ
ภัสสรบอกให้ตะวันพาหนี เธอเป็นคนยิงปิดท้ายคุ้มกันให้ โดยมีทีมพลีชีพช่วยเฮียเสือ ตะวันพาเฮียเสือหนี ภัสสรรั้งท้าย สองฝ่ายไล่ยิงกันไปจนเจอกับอัคคเดชโดยบังเอิญ

เวลานั้นอัคคเดชเลี้ยวรถเข้าจอดชิดที่ว่างข้างทาง ก่อนจะหันไปบอกพิมที่อยู่ข้างๆ ในรถว่า
“เดี๋ยวผมลงไปเอาคนเดียวก็ได้ คุณรออยู่ในรถนี่แหละ
“ได้ค่ะ”
อัคคเดชเปิดประตูลงรถไป แล้วเดินเลี้ยวอ้อมมาจากเส้นที่จอดรถเพื่อไปเอาของ อยู่ๆ เสียงปืนดังขึ้น อัคคเดชสะดุ้งตกใจ เหลียวมองหาที่มาของเสียง จนเห็นคนกำลังวิ่งแตกตื่นมาทางตน เมื่อมองไปรอบๆ จึงเห็นตำรวจจราจรคนหนึ่งกำลังเรียกไล่คนให้หลบมาทางอัคคเดชพอดี อัคคเดชรีบตรงเข้าไปหา แสดงตราประจำตัว ตำรวจจราจรรีบแสดงความเคารพ อัคคเดชพยักหน้ารับถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีการยิงปะทะกับโจรปล้นรถขนเงิน แล้วโจรเตลิดหนีมาทางนี้ครับ”
อัคคเดชสั่งการทันที “รีบกันคนออกไปให้พ้นทางโดยเร็วที่สุด”
“ครับ”
อัคคเดชชักปืนที่เอว แล้ววิ่งสวนคนที่ตื่นแตกหนีมาขึ้นไป

ทางด้านพิมมองจากในรถ เห็นคนวิ่งแตกตื่นหนีมาทางตนก็แปลกใจ
อัคคเดชไล่คนที่หนีเตลิดกลุ่มสุดท้าย ให้ออกไปจากถนน ขณะที่เสียงปืนดังกระชั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อัคคเดชแอบซุ่มเฝ้าดูสังเกตการณ์ เห็นตะวันใส่หน้ากากพรางหน้ามิดชิดประคองเฮียเสือที่บาดเจ็บหนีเตลิดมา เฮียเสือนั้นถอดหน้ากากทิ้งไปแล้วก่อนหน้านี้ ในมือเฮียมีอาวุธปืนทันสมัย อานุภาพร้ายแรง
อัคคเดชประเมินสถานการณ์ เห็นว่าปะทะด้วยไม่ได้ อาวุธฝ่ายโจรเจ๋งกว่า จึงหาที่หลบซ่อนตัว
รอจนตะวันประคองเฮียเสือผ่านไปแล้ว อัคคเดชจึงออกจากที่ซ่อน แสดงตัวทางด้านหลัง พร้อมเล็งปืนใส่
“หยุดอย่าขยับ นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
ตะวันชะงักงัน อึ้งไป ตกใจมาก เพราะจำได้ว่าเป็นเสียงอัคคเดช ในแทบจะวินาทีเดียวกันนี้ เฮียเสือหันไปกราดยิงใส่ด้วยปืนกลในมือ ตะวันเห็นดังนั้นก็ผลักเฮียเสือจนเสียหลัก ตั้งใจช่วยชีวิตอัคคเดช เพราะยังไงก็เห็นเป็นเพื่อนกัน
ห่ากระสุนจึงเฉียดข้างตัวอัคคเดชไป อัคคเดชยิงสวนใส่เฮียเสือล้มลงสิ้นใจตายคาที่ ตะวันใช้ความเร็ววิ่งเข้าใส่เพื่อจะปลดปืนอัคคเดช สองคนปล้ำแย่งปืนกัน จนกระทั่งตะวันใช้ท่าไม้ตายท่าถนัด
อัคคเดชเห็นตกใจ ถูกจับล็อกได้ เขาตัดสินเอื้อมมือไปกระชากหน้ากากออก ตะวันตกใจ
อัคคเดชตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าเป็นตะวัน
สองคนปล้ำแย่งปืนกันอีกครั้ง คราวนี้สู้กันรุนแรงมากขึ้น จนเกิดปืนลั่นขึ้นนัดหนึ่ง จากฝีมืออัคคเดชที่พยายามจะลั่นไกเพื่อหยุดตะวัน แต่ตะวันหลบได้ สิ้นเสียงปืน มีเสียงใครคนหนึ่งร้องดังขึ้น
“โอ๊ย”
เสียงอันคุ้นหู ทำให้ทั้งสองหันไปมองพร้อมๆ กัน ด้วยสีหน้าตกใจถึงขีดสุด
เมื่อพบว่าเป็นพิมที่กำลังเดินมาถูกลูกหลงเลือดไหลออกมา
อัคคเดชร้องเสียงหลง “พิม” แต่ก็ไม่ยอมปล่อยตะวัน
ตะวันมองตะลึง เห็นร่างพิมทรุดลงไปกองกับพื้น
“ยังไม่ไปช่วยพิมอีก” ตะวันบอกเสียงดัง
อัคคเดชสวนออกมา “แต่ฉันต้องจับแก”
ตะวันเหลืออด “นี่มึงจะจับกูให้ได้จริงๆ ใช่มั้ยไอ้เดช”
“มึงเป็นโจร กูเป็นตำรวจ กูก็ต้องจับมึง”
“แต่พิมกำลังจะตาย มึงเลือกเอาเองก็แล้วกันว่าจะจับกู แล้วปล่อยให้พิมตายวันนี้ หรือปล่อยกูไปช่วยพิม แล้วค่อยมาจับกูวันหลัง”
อัคคเดชละล้าละลัง คิดหนัก หันไปมองพิมที่กำลังสำลักเลือด ก่อนจะตัดใจปล่อยตะวันไปในที่สุด
ตะวันยิ้มมองอัคคเดชที่หันไปช่วยพิม แล้วรีบวิ่งจากไปโดยไว
อัคคเดชรีบวิทยุตำรวจขอรถพยาบาล แล้วหันไปพยายามห้ามเลือดให้พิมอย่างใจไม่ดี

ไฟหน้าห้องฉุกเฉินเปลี่ยนเป็นสีแดง ได้ยินเสียงหัวใจพิมที่เต้นอ่อนลงทุกขณะ อัคคเดชนั่งรออยู่หน้าห้องใจคอไม่ดี
ทีมแพทย์กำลังพยายามช่วยชีวิตพิมอย่างเต็มความสามารถ อัคคเดชยกมือขึ้นพนมบนบานสานกล่าวให้ช่วยแฟนสาว
หมอช่วยชีวิตพิม แต่ผู้ป่วยถูกกระสุนยิงทะลุเข้าจุดสำคัญอาการหนักขึ้น ชีพจรต่ำลง เสียเลือดมาก หมอสั่งฉีดยา แต่อาการพิมไม่ดีขึ้น
ขณะที่อัคคเดชนั่งลุ้นอยู่นั้น เสียงโทรศัทพ์ดังขึ้น ขณะจะกดรับเขาต้องตาโตเมื่อเป็นชื่อตะวัน
อัคคเดชกดรับสาย แล้วสวนกลับไปอย่างเดือดดาล

“มึงจะโทร.มาทำไมอีก”

อ่านต่อหน้า 2



ล่าดับตะวัน ตอนที่ 4 (ต่อ)

ตะวันโทร.มาจากมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ สองคนระเบิดอารมณ์ใส่กัน

“พิมเป็นยังไงบ้าง”
“มึงไม่ต้องมาทำเป็นห่วง เพราะมึง พิมถึงเป็นแบบนี้”
“เพราะกูเหรอ เป็นเพราะมึงต่างหากไอ้เดช ถ้าไม่เพราะความบ้างานของมึง พิมคงไม่เป็นแบบนี้”
“ก็เพราะกูต้องคอยจับคนชั่วอย่างมึงไง”
“แล้วสุดท้ายเป็นไง มึงจับได้มั้ยหล่ะ ฮ่าฮ่า พิมกำลังจะตายก็เพราะน้ำมือมึง”
อัคคเดชอึ้งไป ยอมรับว่าจริง
“ถ้าพิมเป็นอะไรไปมึงนั่นแหละที่เป็นคนฆ่าพิมกับมือมึงเอง ไอ้เดช”
ตะวันตัดสายไปเลย อัคคเดชอึ้งนิ่งงันไป นึกถึงตอนปืนลั่นอีกครั้งแล้วยิ่งเศร้า เขาทำปืนลั่นใส่พิมเองกับมือ
อึดใจต่อมา อัคคเดชหันไปมองเมื่อไฟหน้าห้องฉุกเฉินดับลง เห็นหมอเดินนำออกมาจากห้อง อัคคเดชรีบพรวดเข้าไปหาทันควัน
“แฟนผมเป็นยังไงบ้างครับ”
หมอหนักใจ แต่ต้องบอก “ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วครับ แต่คนเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจแล้ว”
อัคคเดชอึ้งไปถนัดใจ ก่อนจะปล่อยโฮออก ตะโกนก้อง
“ไม่...ไม่จริง”

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนเช้า อัคคเดชสะดุ้งตื่น ประหนึ่งว่าเมื่อกี้ฝันไป เขานั่งทบทวนอยู่บนเตียงชั่วอึดใจ จึงหันไปหยิบมือถือมาดู พอเห็นว่าเป็นเบอร์ภูผาโทร.มา จึงรีบกดรับ
“ว่าไง”
เสียงภูผาดังลอดออกมาว่า “ผู้กำกับ ผมสงสัยว่ามันอาจจะยังไม่ตาย ผมไม่เจอศพมันตรงที่มันตกลงมา ผู้กำกับช่วยสืบให้ผมอีกแรงทีนะครับว่า ตกลงมันอยู่หรือตายกันแน่”
“ได้”
ภูหาหวนนึกถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ริ่มต้นที่เขายอมรับภารกิจ “โปรเจ็กต์หนอน” จากสำนักงานตำรวจฯ ขึ้นตรงแต่ผู้กำกับอัคคเดชโดยตรง และฝังตัวเมาอยู่ในแก๊งอัคคีระยะยาว เริ่มจากเขาถูกจับเข้าคุก เพื่อให้เข้าไปตีสนิทกับ เฮียเสือ น้องชายคนเดียวของแป๊ะกง ซึ่งถูกคุมขังในคดีปล้นรถขนเงินเมื่อหลายปีก่อน จนเสือยอมรับในตัวเขา
เป้าหมายของเขาคือ หาหลักฐานมัดตัวตะวัน แล้วจึงจะถือว่าภารกิจลุล่วง และสามารถถอนตัวออกมาใช้ชีวิตเยี่ยงคนปกติได้

ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์ในเวลาต่อมา
ชบาถือถุงน้ำเต้าหูกับปาท่องโก๋เดินเข้ามาในหน่วย แล้วบอกขึ้นว่า
“น้ำเต้าหูค๊า”
ไม่ทันขาดคำดี จ่ายักษ์ กับจ่ามนตรีก็มารับไปจากมือโดยไว
“ขอบคุณครับ”
ชบายืนอึ้ง ไวอะไรเบอร์นี้ หันไปเห็นหมวดอ้อยที่กำลังนั่งโบ๊ะหน้าอยู่มุมห้อง เลยเอ่ยทักขึ้น
“ทำอะไรคะพี่อ้อย”
อ้อยหันมายิ้มทักแว่บเดียวแล้วกลับไปโบ๊ะหน้าต่อ
“ไม่ไหวค่ะ พักนี้ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย นวดหน้า ขัดผิว ดูดสิวไม่เคยเจอมาเป็นเดือนๆ แล้ว ก็เลยต้องโบ๊ะกันหน่อย เดี๋ยวเรทติ้งตก ยิ่งพักนี้ไม่ค่อยมีผู้ชายตกถึงท้องอยู่ด้วย”
มนตรีสอดขึ้นทันควัน “ขอค้านครับ”
สองสาวหันมามองพร้อมๆ กัน
“ขอแก้คำพูดหน่อย อย่างหมวด ไม่ใช่ไม่มี มีแต่ไม่เลือกมากกว่า”
“ไหนอยู่ไหน” อ้อยเหลียวหาตาแทบปลิ้น
ยักษ์ขอแจมด้วย “ก็นั่งอยู่สองคนนี่ไงครับ”
มนตรีเป็นลูกคู่ดี๊ดี “ถูกต้องนะครับ”
ทั้งสองจะตีมือกันอย่างได้ใจ อ้อยได้ยินแล้วอยากอ๊วก
“ถ้าโลกนี้เหลือแกสองคนเป็นแค่ผู้ชายในโลกนี้ล่ะก็ ฉันยอมยักใยขึ้นดีกว่า”
“ชะอุ้ย แรง” สองจ่าเซ็งเป็ด
ชบาหัวเราะขำ

ระหว่างนี้อัคคเดชเดินหน้าเครียดเข้ามา ทุกคนหยุดขำทันที อัคคเดชสั่งชบาเสียงเข้ม
“ตามมา”
ชบาหันไปสบตาคนอื่นระแวงว่าจะโดนเฉ่งเรื่องอะไรอีก และหันไปทำปากถามอ้อยโดยไม่มีเสียง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
อ้อยทำปากตอบ “ไม่รู้”
ชบาถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วเดินคอตกตามหลังนายเข้าไป
มนตรีพูดไล่หลังชบาไปว่า
“สงสัยจะโดนแจ๊กพ็อต”
“สาบานได้ว่าที่พูดน่ะปาก” อ้อยโมโหแทนชบา
“ไม่ใช่ปากแล้วจะเป็นอะไรเล่าครับ คุณหมวด”
ยักษ์ทำเสียงล้อเลียน ชิงตอบแทนให้ว่า “ตูด...ต เต่า สระอู ด เด็ก ออกเสียงว่า ตูด”
คราวนี้อ้อยรับเป็นลูกคู่ “ถูกต้องนะค๊า
มนตรีมองค้อนทั้งสองคนอย่างเซ็งๆ

ชบายืนอยู่หน้าโต๊ะผู้กำกับ ทวนคำขึ้นเสียงหลง เมื่อรู้ว่าอัคคเดชสั่งให้ตนไปตรวจที่เกิดเหตุ
“จะให้หนูไปตรวจที่เกิดเหตุหาเบาะแสอย่างงั้นเหรอคะ”
“ใช่”
“กับใครคะ”
“คนเดียว”
ชบาทวนคำ สีหน้าแปลกใจ “คนเดียว”
“แค่ตรวจที่เกิดเหตุ ต้องเอาไปสักกี่คน คนเดียวก็เหลือแหล่แล้ว”
“ไม่ได้ซิคะ ต้องซีเครียด ไม่งั้นผู้กำกับก็เล่นหนูอีก” ประโยคหลังชบาบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“ผมยังไม่ว่าอะไรคุณสักคำ”
ชบาอึ้งไปนิด ก่อนแย้งขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ก็เมื่อวานผู้กำกับยังบอกเองว่า หนู โก๊ะ ล้น รั่ว อยู่เลย”
อัคคเดชเซ็ง โดนชบาย้อนอีกจนได้
“รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำ”
ชบายิ้มขำ อัคคเดชออกงิ้วใส่
“งานนี้ผมให้คุณฉายเดี่ยวคนเดียวเลย”
ชบาได้ฟังก็ตาโตขึ้นมาทันที โอกาสโชว์ของมาถึงแล้ว
“แล้วก็ต้องเก็บเป็นความลับห้ามบอกพวกข้างนอกเด็ดขาด”
ชบายิ้มดีใจ “รับทราบคะ”
“จากที่สายผมรายงานมา มือปืนที่ส่งมายิงผมมีด้วยกันสองคน คนหนึ่งเป็นสายของผม เขาช่วยยิงสกัดใส่มือปืนอีกคนจนตกตึกแล้วหายตัวไป เค้าเลยอยากให้เราช่วยตามให้หน่อยว่ามันตายหรือเปล่า”
“ได้ค่ะ เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหา ส บ ม ย ห”
อัคคเดชมองเหล่ พูดดักคอ “ไอ้ผมน่ะไม่กลัวหรอกที่ต้องเจอปัญหา แต่ผมกลัวว่าคุณจะสร้างปัญหาให้มากกว่า”
ชบาจ๋อยดูถูกกันนี่แบบนี้ แอบค้อนวงเล็กๆ พองามให้
อัคคเดชยิ้มชอบใจได้ตอกหน้าเอาคืน

รถภูผาจอดอยู่ริมถนนด้านหน้าคอนโดปานวาด ภูผาทอดสายตามองขึ้นไปยังห้องพักปานวาด ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด คำพูดยืนกรานหนักแน่นของปานวาดเมื่อวานตอนไปหาเขาที่บ้านดังก้องในหู
“ไม่! ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ”
สีหน้าภูผาเครียดหนัก เพราะเขาแคร์ความรู้สึกปานวาดมาก

โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะเล็ก มีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นปานวาดรีบหยิบมารับพูดสายโดยไม่ดูเบอร์ที่โชว์
“ฮัลโหล ไม่ใช่ค่ะ โทร.ผิดแล้วค่ะ”
ปานวาดกดวางสายไปท่าทีเซ็งๆ พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าห้อง ปานวาดกระโจนไปเปิดประตูทันที เมื่อประตูเปิดออกปานวาดทักขึ้นอย่างดีใจ
“เมฆ”
แต่แล้วเธอต้องหุบยิ้ม หน้าเจื่อนลงอย่างถนัดตา เมื่อพบว่าคนที่มาหาคือภูผา เขายิ้มทัก แต่ปานวาดไม่ยิ้มตอบ แถมมึนตึงปั้นปึ่งใส่ด้วยซ้ำ
“มาทำไม”
ภูผาหน้าเจื่อนไป แต่กระนั้นก็ยังทำใจดีสู้เสือ
“ผมจะมาขอโทษเรื่องเมื่อวานที่พูดไม่ดีกับคุณ”
“ไม่จำเป็น”
ภูผาสวนขึ้นทันควัน “จำเป็นซิวาด ก็วาดกำลังเข้าใจผมผิดอยู่”
“ผิดยังไง”
“ผมไม่ได้เป็นคนบอกว่า เมฆทรยศ”
“แล้วมันต่างกันตรงไหน นายก็ยังเป็นคนใส่ความเมฆอยู่ดี”
ปานวาดโมโห จะปิดประตูใส่หน้า แต่ภูผารั้งเอาไว้ ทั้งน้อยใจ ขุ่นข้องใจที่ปานวาดมีท่าทีแข็งกร้าว และมึนตึงใส่
“ฟังก่อนซิวาด ผมขอเวลาอธิบายแค่แป๊บเดียว”
ปานวาดยอมฟังอย่างเสียมิได้
“ผมมาคิดๆ ดูแล้ว บางทีผมอาจเข้าใจเมฆผิดไปก็ได้ เขาอาจไม่ใช่สายอย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นคนอื่น”
“แน่นอนอยู่แล้ว เมฆไม่มีวันขายนายเด็ดขาด”
ภูผาพยายามชักแม่น้ำทั้งห้าต่อ “บางทีเขาอาจรับเคราะห์แทนผม ผมถึงได้ยังมายืนอยู่ตรงหน้าคุณอย่างงี้ได้”
ปานวาดได้ฟังคำนี้ จึงมีท่าทีอ่อนลง
“แล้วไงต่อ”
“ผมก็เลยอยากทำคุณไถ่โทษ แก้ตัวด้วยการช่วยคุณตามหาเมฆอีกแรง”
“นายเนี่ยะนะ จะช่วยฉันตามหาเมฆ”
ภูผาได้ฟังน้ำเสียงตัดรอนก็นึกสะท้อนใจ
“ขอบคุณ แต่อย่าเลยดีกว่า” ภูผานิ่งงันไป “แค่นี้ใช่มั้ย”
ภูผาพยักหน้ายอมรับอย่างคนอับจนหนทาง หมดมุกจะตื้อ ปานวาดปิดประตูลงช้าๆ เห็นสายตาภูผามองมาตาละห้อย
จนประตูปิดลง ภูผาจึงถอนใจขึ้นเฮือกใหญ่ น้อยใจปานวาดเหลือแสน

ปานวาดกลับเข้าห้อง พยายามกดโทร.หาเมฆอีกครั้ง แต่เสียงตอบรับยังคงเป็นคำว่า “ไม่สามารถติดต่อได้” ดังเดิม ปานวาดหน้าหมองเศร้า ทั้งกังวลและเป็นห่วงคนรัก

“เธอไปอยู่ไหนของเธอเมฆ รู้มั้ยฉันเป็นห่วงเธอ”

อ่านต่อหน้า 3



ล่าดับตะวัน ตอนที่ 4 (ต่อ)

อีกฟากหนึ่ง ชบา พาตัวเองมาอยู่ ณ ตึกที่เมฆซุ่มยิง เสียงผู้กำกับอัคคเดชดังก้องในหู

“สายรายงานว่าจุดซุ่มยิงอยู่ที่อาคารอาร์เอสทาวเวอร์ คุณลองไปดูเผื่อจะได้เบาะแสอะไรบ้าง”
ชบายืนเงยมองตัวอาคารอยู่หน้าตึกบ่นงึมงำ
“ทำไมชอบเล่นบนที่สูงกันนักหนา เหนื่อยอีกแล้วเรา”
ชบาเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นที่เป็นจุดซุ่มยิง ผู้หมวดสาวมโนว่าตัวเองเป็นมือปืนคนนั้น ถือปืนสไนเปอร์เข้ามา ตรงจุดที่เมฆเข้าประจำที่ ชบามโนว่าตัวเองเป็นเมฆต่อ เมฆเคยเดินเข้าประจำจุดไหน ชบาก็เข้าจุดนั้น แต่ห่วงสวยมีผ้าปูรองกันเปื้อน ชบาลงนั่งวางขาผิดข้างกับเมฆ ชบาฉุกคิดรีบเปลี่ยนจนเหมือนกัน
“มันต้องท่านี้”
ชบาทำมือเล็งไปยังดาดฟ้าที่เป็นจุดล่ออัคคเดชขึ้นมายิง เห็นจุดที่กระเป๋าวางหลอกอัคคเดชชัดเจน ชบาชะโงกดูพื้นข้างล่าง
“คงถูกยิงตกลงไปจากตรงนี้”

ต่อมา ชบายืนมองรอยกระสุนที่ยิงพลาดของเมฆอยู่ เธอทำมือในท่าประทับเล็งไปยังจุดซุ่มยิงของเมฆ
“นัดนี้คือที่มือปืนที่ตกตึกยิงพลาด...แล้วอีกคนยิงมาจากตึกไหน”
ชบาประเมินเหตุการณ์ กวาดตามองหาร่องรอยต่อ จนมองไปเห็นอาคารที่เป็นจุดซุ่มยิงของภูผาซึ่งอยู่ติดๆ กัน

ชบาเดินขึ้นมาถึงชั้นที่เป็นจุดซุ่มยิงของภูผา แล้วมโนจำลองเหตุการณ์เหมือนกับที่ทำในจุดซุ่มยิงของเมฆ
ภูผาเดินเข้าประจำที่ ชบาก็มโนว่าตัวเองเป็นภูผาเหมือนกัน ภูผาเข้าประจำจุดมาดลุยๆ แต่ชบามีปูผ้ารองกันเปื้อนก่อนเข้าประจำที่ในท่าเดียวกับภูผา
ชบาเล็งจุดที่ยิงใส่อัคคเดช แล้วหันไปเล็งใส่จุดซุ่มยิงของเมฆ
“ตรงนี้จริงๆ ด้วย”

ถัดมา ระหว่างที่ชบาเดินลงมาตามบันไดอาคาร เธอสังเกตเห็นว่ามีกล้องวงจรปิดตรงประตู เลยชะงักมอง
“มีกล้องวงจรปิด”
ชบานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง มโนว่าตัวเองเป็นภูผา

ต่อมา ชบาเดินเข้ามาติดต่อที่ห้องทำงานส่วนงานรักษาความปลอดภัยอาคาร
“ขอโทษนะคะ จะมาขอดูเทปกล้องวงจรปิดหน่อยได้มั้ยคะ”
เจ้าหน้าที่ถามหน้าตาเฉยเมย “ไม่ทราบว่าจะดูเพื่ออะไรครับ”
“งานสืบสวนของตำรวจ ขอความร่วมมือด้วยนะคะ”
พร้อมกันนี้ชบาแสดงตราและบัตรประจำตัวให้เจ้าหน้าที่ดู

เวลาเดียวกันนี้ ที่เซฟเฮ้าส์ริมน้ำกลางกรุงเทพฯ กฤษชัยกำลังโวยวายใส่ตะวันทันทีที่พบหน้ากัน
“ไหนคุณว่า แผนคุณชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไง แต่ผมว่ามัวร์นิ่มมากกว่า”
ตะวันหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อยที่ถูกต่อว่า แต่ยังทำใจดียิ้มสู้เสือ
“ผมต้องขอโทษท่านจริงๆ ครับที่ทำให้ท่านผิดหวัง”
กฤษชัยอึ้งไปนิด ที่ตะวันไม่ตอบโต้ จึงลดท่าทีอันแข็งกร้าวลงไป
“ไม่ต้องมาขอโทษผมหรอก แค่ทำตามที่คุณรับปากผมไว้ให้สำเร็จก็พอ”
“แน่นอนครับ ยังไงผมก็ต้องเก็บไอ้อัคคเดชให้พ้นทางเราให้ได้ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องเร่งด่วนกว่าต้องจัดการ”
“เรื่องอะไรมันจะมาด่วนกว่าเรื่องอัคคเดชอีก”
“ผมสงสัยว่าจะเกลือจะเป็นหนอนครับ”
กฤษชัยตกใจมาก “ห๊า! เป็นไปได้ยังไง”
“เพราะคนที่ผมส่งไปเก็บไอ้อัคคเดชหายตัวไปคนหนึ่ง ยังไม่กลับมา หลังงานล้มเหลว”
“อย่างงั้นก็เรื่องใหญ่แล้วล่ะ ไม่ได้นะคุณ หากมีสายจริงอย่างที่คุณว่า แล้วมันมีหลักฐานเล่นงานพวกเรา คราวนี้ได้ตายยกทีมแน่ๆ” รัฐมนตรีกังฉินชักใจคอไม่ดี
“ผมทราบครับ ผมเองก็กำลังเร่งจัดการเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
กฤษชัยพยักหน้า สีหน้ายังไม่คลายกังวลนัก

หลังจากนั้น ตะวันกับกฤษชัยออกไปสังสรรค์ผ่อนคลายอารมณ์ทานอาหารในร้านอาหารหรู
สองคนเดินออกมาจากร้านด้วยกัน แต่ต้องพากันชะงักเมื่อเจอกับภัสสรโดยบังเอิญ
ภัสสรมองสบตาตะวันอย่างชิงชัง ก่อนจะยกมือไหว้กฤษชัยตามมารยาท รัฐมนตรีรับไหว้
กฤษชัยออกตัวกับตะวัน “งั้นผมขอตัวก่อนนะ”
ตะวันไหว้ลา กฤษชัยรับไหว้ เดินไปหาคนติดตามที่รออยู่
ภัสสรหันจะเดินหนี ไม่อยากเสวนาด้วย
“จะรีบไปไหนเล่า อยู่คุยกันก่อนซิ”
เขาคว้าข้อมือเธอไว้ ภัสสรสะบัดมืออย่างรังเกียจ
“ฉันไม่มีอะไรคุยกับแก”
“โอ๊ย ปวดใจ ทำไมตัดเยื่อตัดใยกับแบบนี้ วัวเคยค้า ม้าเคยขี่กันแท้ๆ” ตะวันเว้นวรรคเล่นลิ้น “แต่ถ้าให้ขี่ตอนนี้ก็คงไม่ไหวแล้ว แก่! ไม่ชอบของใกล้หมดอายุ”
ภัสสรมองอย่างไม่พอใจ กัดกลับไปว่า
“ทำมาเป็นปากดี แค่เก็บอัคคเดชยังพลาด สงสัยจะเสื่อมสมรรถภาพหมดน้ำยาแล้วรึเปล่า”
ตะวันยิ้มรับหน้าเป็น
“ข่าวไวเหมือนกันนี่”
“มันก็ต้องหูไวตาไว ไม่งั้นจะถูกแว้งกัดเอาได้ บทเรียนเคยมี มันสอนให้ต้องจำ”
ตะวันมองอย่างดูถูก “อย่างเธอมันไม่ทันนกกระจกกินน้ำหรอกภัสสร”
ภัสสรเงื้อมือจะตบ แต่ตะวันรับไว้ทัน
“คนโง่ถึงจะมีบทเรียน ก็แค่หายโง่เรื่องที่เคยเสียโง่แล้วเท่านั้น มันก็ไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้น เธอกับฉันมันคนละชั้นกัน คิดจะเล่นงานฉัน ชาติหน้าบ่ายๆ ยังต้องคิดดีๆ ก่อนเลย”
ตะวันปล่อยมือภัสสรที่กุมไว้ แล้วเดินจากมา ภัสสรคุมแค้น มองตามอย่างเจ็บใจ

ปิงกับปราการรอตะวันอยู่ที่รถ ปิงคันปากยิบๆ จนทนไม่ไหว
“พี่ปราการถามอะไรหน่อยดิ”
“อะไร”
“พี่เชื่อเหรอว่า พี่เมฆทรยศนายเป็นสายให้ตำรวจจริงๆ เหรอ”
ปราการอึ้ง นิ่งคิด ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ฟันธงว่า
“ไม่รู้ซิ บอกยาก เพราะฉันไม่ค่อยเชื่อใจภูผาเท่าไร”
“ผมก็เหมือนกัน ผมไม่เชื่อว่าพี่เมฆจะทรยศ”
ปราการพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเหลือบไปเห็นตะวันเดินตรงเข้ามา จึงหันไปรับหน้า
“แกสองคนออกไปตามหาไอ้เมฆให้เจอ แต่ไม่ต้องบอกวาดมันนะ”
“ทำไมล่ะครับ” ปิงงง
“ฉันไม่อยากมีปัญหาตามมา หากมันทรยศจริงๆ อย่างที่ภูผามันพูด”
“เจอตัวแล้ว นายจะให้จัดการยังไงครับ เก็บเลย หรือว่าเอามาหานายก่อน” ปราการถาม
“พามันมาหาฉันก่อน ฉันอยากฟังความจากปากมันก่อน ไม่อยากตัดสินอะไรจากการฟังความแค่ข้างเดียว”
ปราการซัก “แล้วถ้าเมฆมันไม่ยอมมาล่ะครับนาย”
ตะวันเองก็หนักใจใช่น้อย บอกอย่างเสียดายว่า
“ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้”

บ้านสวนตกอยู่ในความมืดยามค่ำคืน หมอกยืนมองไปยังกองฟืนตรงหน้า ที่มีร่างไร้วิญญาณของเมฆนอนนิ่งอยู่บนนั้น สายตาของเขายังคงแข็งกร้าว แต่แฝงความเศร้าไว้ลึกๆ อยู่ในที
“หลับให้สบายเมฆ”
หมอกจุดไฟแช็คแล้วโยนใส่กองฟืนที่ราดน้ำมันไว้แล้ว พอเปลวไฟกระทบ ก็ลุกติดไฟทันที ก่อนจะลุกลามกลายเป็นไฟดวงใหญ่เผาผลาญร่างเมฆอย่างรุนแรง
“แกไม่ต้องเป็นห่วง ใครที่มันทำกับแก จะต้องตามไปหาแกในไม่ช้า ฉันสัญญา”
หมอกมองร่างไร้วิญญาณของเมฆที่ถูกไฟโหมไหม้นิ่งนาน

ถัดมา ข้าวของ ของเมฆถูกเทลงบนโต๊ะโดยหมอก มีทั้ง กระเป๋าตังค์ มือถือ ปืน เครื่องประดับ หมอกสะดุดตาสร้อยพร้อมล็อกเก็ต หยิบเปิดดูเป็นสิ่งแรก เห็นมีรูปเมฆถ่ายคู่กับปานวาดในล็อกเก็ตนั้น
หมอกมองรูปปานวาดนิ่ง ใช้ความคิด เดาเอาเองว่าน่าจะเป็นแฟนเมฆถึงมีรูปคู่กันหวานแบบนี้ จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าตังค์มาเปิดดู มีแต่บัตรประจำตัวประชาชน ไม่พบอะไรพิเศษ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู พบว่าชำรุดหนัก ลองเปิดเครื่องแต่เปิดไม่ได้ นึกถึงคำพูดเมฆ ที่บอกให้ไปเอาของในแจกันในร้านดอกไม้ สีหน้าหมอกเกิดความคิดบางอย่าง
หมอกจัดการซ่อมโทรศัพท์เมฆเสร็จจนใช้การได้ เขากดเข้าหารายชื่อในสมุดเบอร์โทรศัพท์ที่เมมไว้
เบอร์โชว์ขึ้นมา หมอกเลื่อนดูไปเลื่อยๆ ก่อนจะเจอเบอร์หนึ่งบันทึกไว้ว่า “ร้านดอกไม้น้องหลิน”
หมอกสะดุดความคิดบางอย่าง

รุ่งเช้า โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะจัดดอกไม้ข้างๆ ตัวหลินที่นั่งทำงานอยู่ดังขึ้น หลินคลำหาแล้วหยิบมารับสาย
“สวัสดีค่ะ”
หมอกโทร.มาจากบ้าน “ร้านดอกไม้ใช่มั้ย”
หลินชะงัก สีหน้าแปลกใจ เสียงคล้ายเมฆมาก แต่ความรู้สึกบางอย่างบอกได้ว่าไม่ใช่ แทนที่จะทักทายอย่างเก่า เธอจึงตอบรับไปตามปกติ
“ใช่ค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ”
“อยากได้ดอกไม้ แต่ไปไม่ถูก”
“ร้านหลินอยู่ตรงราชดำเนิน...ไม่ทราบว่าต้องการับดอกไม้แบบไหนคะ”
หมอกนิ่งคิด “ยังไม่รู้ ขอดูก่อนแล้วกัน”
“ได้ค่ะ ถ้ามาไม่ถูก หรือหาไม่เจอ โทร.มาถามได้อีกนะคะ ยินดีช่วยเสมอค่ะ” หลินยิ้มดีใจ
“ได้” หมอกกดวางสายไป

หลังจากนั้นหมอกในมาดหนุ่มเซอร์ ใช้กรรไกรตัดผมและโกนหนวดเคราตัวเองออก โดยเอารูปเมฆมาดูเป็นแบบ พอตัดผมเผ้ารุงรังออกแล้วเขาเหมือนเมฆมาก หมอกมองเงาสะท้อนในกระจกนิ่งๆ
หมอกเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแต่งเป็นสไตล์เมฆ สำรวจความเรียบร้อย แล้ววางมาดเป็นเมฆจอมขี้เล่น ลองยิ้มกับกระจก แต่เพราะเป็นพวกเสือยิ้มยาก ยิ่งยิ้มก็ยิ่งน่ากลัว แต่สุดท้ายหมอกก็ทำได้
หมอกมองเงาในกระจกบอกกับวิญญาณเมฆด้วยสายตามุ่งมั่นมาดหมาย

“ฉันจะหาความจริงให้แกเอง เมฆ”

ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์เช้าวันนี้ หมวดอ้อยกำลังนั่งเสริมสวยก่อนถึงเวลาเข้างาน หันไปมองตรงทางเดินในหน่วยเมื่ออยู่ๆ ชบาพุ่งพรวดเข้ามาหา พร้อมถามขึ้นว่า
“ผู้กำกับล่ะคะ”
อ้อยแต่งหน้าไปคุยไป “ยังไม่มาค่ะ”
ชบาดูนาฬิกาอย่างแปลกใจ
“ปกติมาแล้วนี่คะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“มีเรื่องด่วนจะรายงานน่ะค่ะ”
อ้อยพยักหน้ารับ
“งั้นโทร.ตามดีกว่า” ชบาหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกง
อ้อยร้องเสียงหลง “อ๊ะๆ อ๊า! อย่าเชียวนะคะคุณน้องขา”
“ก็ผู้กำกับเคยบอกไว้เอง ว่ามีเรื่องด่วนให้โทร.ตามได้”
“วันอื่นได้ แต่วันนี้ห้ามเด็ดขาด”
ชบาแปลกใจมาก “ทำไมล่ะคะ”
“ก็วันนี้วันครบรอบวันตายคุณพิม แฟนผู้กำกับที่เสียไป”
ชบาพยักหน้า ถึงบางอ้อ

ดอกไม้ช่องามล้วนเป็นดอกไม้โปรดของอดีตคู่หมั้นผู้ลาลับที่อัคคเดชมาวางไว้อาลัยที่สุสานพิมด้วยความคิดถึง อัคคเดชมองรูปพิมที่ติดอยู่ที่สถูป
ภาพความรักความหลังซ้อนเข้ามา ตอนที่อัคคเดชถ่ายรูปแต่งงาน (เล่าคราวๆ ว่าอัคคเดชนึกถึง) ต้องซิงค์กับดนตรี
พิมอมยิ้มรับเขินๆ มองสบตากัน
อัคคเดชกุมมือพิมไว้ “ผมดีใจนะที่จะได้ใช้เวลาที่เหลือในชีวิตร่วมกับคุณ”
“พิมก็เหมือนกัน”
อัคคเดชยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึง เขาพูดกับภาพพิม
“ผมคิดถึงคุณจัง”
พร้อมกับเอามือลูบที่รูปของพิมด้วยความคิดถึง
“ผมสัญญา ผมต้องจับไอ้คนที่มันทำให้คุณตายให้ได้”

อัคคเดชลุกขึ้นเดินจากมา โดยไม่รู้ว่าตะวันแอบดูอยู่ตั้งแต่ต้น

อ่านต่อหน้า 4



ล่าดับตะวัน ตอนที่ 4 (ต่อ)

ไม่นานต่อมาตะวันยืนอยู่หน้าสถูปของพิม วางดอกไม้ให้อดีตคนรัก ด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งแค้นในเวลาเดียว

วันที่เขาแค้นสุดขีด คือเหตุการณ์ในร้านอาหาร ตะวันยื่นแหวนเพชรให้พิมขอเธอแต่งงาน 
“แต่งงานกับผมนะพิม”
แต่พิมกลับไม่ยินดี แถมสีหน้าดูออกว่าอึดอัด ไม่สบายใจพิกล
ตะวันพูดอย่างมั่นใจ ภูมิใจในตัวเอง
“ตอนนี้ผมไม่ใช่ตะวันคนเดิมแล้วนะ ต่อไปนี้ไม่ว่าพิมอยากได้อะไร ผมหามาให้ได้ทุกอย่าง รับรองว่าพิมจะสุขสบาย”
พิมมองตะวันที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนด้วยความผิดหวัง ตัดสินใจพูด
“พิมรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ตะวันชะงัก เสียใจ “ทำไมล่ะ เพชรมันเล็กไปเหรอ ผมซื้อให้ใหม่ก็ได้”
“พิมไม่อยากได้เงินที่มาจากงานผิดกฎหมาย”
ตะวันอึ้ง นิ่งงันไป
“สิ่งเดียวที่พิมอยากได้คือตะวันคนเดิม คนที่เชื่อมั่นในความดี”
ตะวันฉุนกึก ไม่พอใจกรุ่นๆ ระเบิดใส่พิม “ไอ้คนโง่คนนั้นมันตายไปแล้ว คิดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ผมทุ่มเททั้งชีวิต ยอมลำบาก เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แล้วผมได้อะไรตอบแทนบ้าง มีใครเคยเห็นความดีของผมบ้าง ผมไม่มีวันกลับไปลำบากอย่างนั้นอีกแล้ว”
“แต่งานผิดกฎหมายมันไม่ยั่งยืนหรอกตะวัน พิมขอร้องเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”
ตะวันเสียใจ “แม้แต่พิมก็ไม่เห็นความดีของผม ทั้งๆ ที่ผมทำทุกอย่างเพื่อพิม”
“ตะวันไม่ได้ทำเพื่อพิมหรอก ตะวันทำเพื่อตัวเองต่างหาก”
ตะวันจับแขนพิมไว้ พร่ำรำพัน
“ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตเราสองคนดีขึ้น ทำไมพิมไม่เข้าใจบ้าง ทำไม”
ตะวันโมโหจนลืมตัวบีบแขนพิมอย่างแรง
“โอ๊ย พิมเจ็บ”
อัคคเดชเห็นก็รีบมาห้าม ปกป้องพิม
“หยุดนะไอ้ตะวัน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันสิ”
“แกใช่มั้ยที่เอาความคิดบ้าๆ มาใส่หัวพิม พิมถึงเปลี่ยนไป”
พิมสอดขึ้นว่า “พิมคิดเองได้ คนอื่นไม่เกี่ยว”
“แกต่างหากที่เปลี่ยนไปตะวัน กลับตัวกลับใจเถอะ อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้”
ตะวันพูดใส่หน้าอัคคเดช “ไม่! ฉันไม่มีวันเปลี่ยนใจ! แกอยากเป็นตำรวจก็เป็นไปคนเดียว! ต่อไปนี้ฉันกับแกเป็นศัตรูกัน” แล้วจึงหันไปหาพิม “พิมจะต้องเสียใจที่ปฏิเสธผม”
ตะวันเดินหนีไปอย่างหัวเสีย
“ตะวัน”
พิมร้องไห้โฮออกมา ทั้งผิดหวังและเสียใจ อัคคเดชกอดปลอบใจ
ตะวันหยุดเดินหันกลับมามองอัคคเดชดูแลพิม นึกรู้แล้วว่าสองคนนี้มีบางอย่างมากกว่าเพื่อนก็เจ็บใจ รู้สึกเหมือนโดนเพื่อนหักหลัง

เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ตะวันยิ้มเยาะออกมา พูดกับภาพพิมอีกว่า
“คุณเลือกคนผิดพิม...แล้วผมก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยที่เลือกเส้นทางนี้”

ตะวันหวนนึกถึงก้าวแรก บนเส้นทางสายมาเฟียที่เขายอมหันหลังให้เครื่องแบบตำรวจ แล้วมุ่งหน้าเข้าไปหาแป๊ะกงถึงบ้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ประมุขแก๊งอัคคีดีใจมากขนาดไหนชายชราออกอาการดีใจได้มือดีอย่างตะวันมาร่วมงานอย่างเต็มตัว
“ฉันดีใจนะที่เธอตัดสินใจได้ในที่สุด”
ตะวันยิ้มรับ พลางหันไปยิ้มกับภัสสรที่อยู่ด้วย ภัสสรยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ถูกใจกันอยู่ในที
“ฉันกำลังจะมีงานใหญ่อยู่พอดี”
“อะไรครับ”
เฮียเสือลูกชายแป๊ะกงเสริมว่า “เราจะปล้นรถขนเงินกัน งานนี้ค่าเหนื่อยก็คนละสิบล้านสบายๆ”
ตะวันยิ้มยินดี ก่อนพูดดักคอขึ้นอย่างรู้ทันว่า
“แต่ผมว่า ถ้าแค่เงินไม่กี่สิบล้าน เฮียคงไม่เสี่ยงออกโรงเองแบบนี้”
เฮียเสือกับแป๊ะกงหันมองสบตากัน แล้วยิ้มออกมา
“ปิดอะไรเธอไม่ได้เลยนะ”
ตะวันยิ้มรับ “นิสัยมันเคยน่ะครับ”
เฮียเสือจึงเปิดสมาร์ทโฟนให้ดู เห็นรูป WHITE SHARK รูปร่างจึงน่าจะเรียวๆ เหมือนฟันฉลาม
“นี่มัน white shark นี่ครับ”
เฮียเสือบอก “ใช่”
“แบบนี้ก็เป็นร้อยล้าน”
“เงินปล้นได้เท่าไร พวกเธอเอาไปแบ่งกัน ฉันของแค่เพชรเท่านั้น เพราะลูกค้าสั่งมา” แป๊ะกงบอก

ตะวันพยักหน้ารับ ยิ้มอย่างยินดี

อ่านต่อตอนที่ 5

ถึงวันลงมือ เห็นรถขนเงินแล่นมาตามถนนในเมือง มีรถของเสือแล่นตามหลังมา ในรถมีสมุนพร้อมอาวุธครบครัน

อีกฟากตะวันนั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านกับภัสสร สองคนมาสังเกตการณ์ทางหนีทีไล่รอบๆ จุดที่จะลงมือปล้น จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเฮียเสือโทร.มา ตะวันรับสาย ได้ยินเสียงดังออกมาว่า
“ของมาแล้ว”
ตะวันตอบไปว่า “ที่พร้อม ปลอดโปร่ง”
วางสายแล้วหันไปส่งซิกกับภัสสรที่นั่งอยู่ด้วยกัน ภัสสรยิ้มรับ ลุกขึ้นเข็นรถเข็นเด็กเดินออกมาด้วยกัน

รถขนเงินแล่นมา แลเห็นภัสสรที่เข็นรถเข็นเด็กข้ามถนนโผล่ออกมาในระยะกันชั้นชิด ภัสสรนั้นสวมแว่นตาใหญ่ และมีผ้าปิดปากไซส์ใหญ่ คนขับรถขนเงินต้องชะลอความเร็วลงกว่าเก่า ภัสสรเล่นละครต่อแกล้งทำของตก แล้วหยุดเก็บ ทำให้รถขนเงินต้องชะลอและเบรกในที่สุด รถมอเตอร์ไซค์ที่รอจังหวะอยู่แล้วก็แล่นเข้าประกบยิงยางรถ
คนขับตกใจ รีบกด ปุ่มฉุกเฉิน เรียกตำรวจทันที
รถเฮียเสือตามหลังมา ขับเข้าขวางลำปิดท้ายไม่ให้รถขนเงินถอยหนีได้ เฮียเสือหยิบหน้ากากขึ้นมาสวม เช่นเดียวกับลูกน้องอีกห้าคนที่มาด้วยในรถ ทุกคนคว้าปืนลงจากรถ
อันเป็นเวลาเดียวกับที่ภัสสรหันไปหยิบเอา Mp5 ในรถเข็นเด็กขึ้นมากราดยิงใส่ที่กระจกหน้า แต่กระติดกระจกกันกระสุน คนขับที่อยู่ในรถก้มหลบหนีตายด้วยความตกใจ
เสียงปืนทำเอาผู้คนแถวนั้นแตกตื่น พากันวิ่งหนีด้วยความตกใจ
ตะวันลุกขึ้นเปิดเป้ใบใหญ่ คว้าหน้ากากขึ้นมาสวม แล้วหยิบปืนกลขึ้นมา เข้าไปช่วยภัสสรถล่มรถขนเงินอีกแรง
ลูกน้องสองคนของเฮียเสือรีบเอาระเบิดทีเอ็นทีไปติดที่ประตูท้ายรถขนเงิน เฮียเสือกับพวกฉากหลบมาที่ข้างรถ ก่อนกดระเบิด
เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น ประตูหลังเปิดออก เฮียเสือรีบตรงดิ่งไปเปิดดู แล้วต้องผงะหงายเงิบด้วยความตกใจ เพราะเห็นแต่ความว่างเปล่า ช่วงนี้เสียงหวอรถตำรวจดังแว่วมาไกลๆ
กำลังตำรวจที่แอบซุ่มอยู่ 5 คัน แล่นเข้าปิดล้อมทุกทิศทุกทาง กำลังตำรวจราวยี่สิบคน แต่งตัวนอกเครื่องแบบสนธิกำลังกับหน่วยคอมมานโด
ตะวันมองหน้าภัสสรด้วยความตกใจ ตะโกนบอกไปทางเฮียเสือ
“เราถูกหลอกแล้ว”
เฮียเสือไม่สนใจ เปิดฉากยิงใส่ตำรวจก่อนทันที จากนั้นสองฝ่ายก็ยิงตอบโต้กันไปมา ปะทะเดือด
ภัสสรกับตะวันเข้าที่กำบังยิงสู้ตำรวจ จากนั้นถล่มยิงกันหูดับตับไหม้ เกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย สมุนและตำรวจถูกเก็บไปทีละคนสองคน
ตะวัน กับ ภัสสร โดยบีบให้เข้าไปรวมตัวกับเฮียเสือ
“ตำรวจล้อมไว้หมดแบบนี้ คงต้องตีฝ่าออกไปแล้ว”
“เอาไงเอากัน” เฮียเสือว่า
“สร เธอคุ้มกันพาเฮียเสือหนี ฉันจะระวังหลังให้เอง”
“ได้” ภัสสรพยักหน้ารับ เว้นช่วงไปนิดหนึ่งบอกตะวันไปว่า “ระวังตัวด้วยล่ะ”
ตะวันยิ้มรับคำ
“พร้อมนะ”
ทั้งสองพยักหน้า แล้วหันไปเปิดฉากยิงเปิดทางใส่ตำรวจ ตำรวจยิงสู้
เฮียเสือพุ่งพรวดออกไปก่อน ภัสสรโดนยิงสกัดตามไม่ได้ ต้องปักหลักสู้ก่อน
เฮียเสือถูกปืนติดกล้องยิงเข้าที่ขาล้มลง ตะวันกับภัสสรตกใจสุดขีด
“คุ้มกันเฮียเสือเร็ว”
ภัสสรยิงเปิดทาง โดยมีตะวันยิงกันให้อีกทอด แล้ววิ่งไปช่วยพยุงเฮียเสือที่ล้มฟุบอยู่กับพื้น
เฮียเสือเลือดขึ้นหน้า ลุกขึ้นได้ไม่หนี แถมถอดหน้ากากออก แล้วยิงใส่ตำรวจอย่างบ้าคลั่ง
“หนีก่อนเถอะเฮีย”
ภัสสรพยายามคว้ามือให้หนีตาม แต่เฮียเสือสะบัดหนีแล้วยิงใส่ตำรวจไม่ยั้ง
ตะวันกำลังยิงสกัดเหลือบมาเห็นก็ออกอาการขัดใจ รีบยิงเปิดทางเข้าไปหา
“มัวรออะไร ทำไมไม่หนี”
สองคนคุยพลางยิงพลาง
“ก็เฮียเสือไม่ยอมไป”
พวกภัสสรถูกตำรวจยิงใส่จนเงยหัวไม่ขึ้น
“อยากตายหรือไง ตำรวจล้อมเต็มไปหมดทุกด้านแบบนี้”
“ก็ไปบอกเองซิ” ภัสสรชักยัวะ
“งั้นคอยยิงคุ้มกันปิดท้าย” ตะวันอารมณ์เสีย
ภัสสรมองค้อนอย่างไม่พอใจ ตะวันผละไปหาเฮียเสือที่ยิงปะทะเดือดกับตำรวจ แต่เฮียเสือยิงจนหมดกระสุนกำลังจะเปลี่ยนแม็กกาซีน แล้วต้องชะงักกึกเมื่อรู้สึกถึงปืนที่จ่อหัวตัวเองอยู่ โดยฝีมือตะวัน
เฮียเสือฉุนขาด “มึงจะทำอะไร”
“โทษนะเฮียที่ต้องทำแบบนี้ ก็เฮียไม่ยอมถอย พวกผมก็ลำบาก เกิดเฮียเป็นอะไรไปขึ้นมา แปะกงเอาพวกผมตายแน่”
ตะวันกระดิกปืนกระตุ้นให้เฮียเสือเตรียมตัว
“เออ กูรู้แล้ว”
ตะวันหันไปส่งซิกกับภัสสร ภัสสรพยักหน้ารับ แล้วเปิดฉากยิงเปิดทางให้
ตะวันควักระเบิดควันโยนตูมออกไปอำพรางทางหนี ลูกน้องคนหนึ่งตรงเข้าหิ้วปีกเฮียเสือ แล้วพากันวิ่งหนีไป ลูกน้องที่เหลือเข้ามาช่วยคุ้มกันรั้งท้าย
จากนั้นตะวันนำกำลังชาร์จเข้าใส่ตำรวจที่ขวางอยู่ด้วยการยิงแบบรณยุทธ์โดยปืนยาวในมือ อันเป็นอาวุธที่เขาถนัดตั้งแต่สมัยเรียน ตะวันจัดหนักยิงเปิดทางด้วยปืนยาวอย่างแม่นยำ เคลื่อนไปข้างหน้า กระทั่งหมดกระสุนแล้วชักปืนสั้นมายิงสู้จนกำจัดตำรวจนอกเครื่องแบบที่ขวางหมดในชุดเดียว สามารถเปิดทางพาเฮียเสือออกไปได้ในที่สุด จากนั้นจึงหันมาผิวปากเรียกภัสสรให้ถอยตามมา ลูกน้องที่เหลือปิดท้าย จะถอยตาม คอมมานโดรุกบี้เล่นงานลิ่วล้อลูกสมุนเฮียเสือตายเกลี้ยง

เหตุการณ์เลวร้าย และนำไปสู่จุดจบ ขณะที่ภัสสรพาเฮียเสือหนี เฮียเสือถูกยิงโดยอัคคเดช และถูกตำรวจจับตัวไป และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ พิมถูกลูกหลงจนเสียชีวิตไป

ที่บ้านแป๊ะกงคืนนั้น ใบหน้าของชายสูงวัย ค่อยๆ ถอดสีลงด้วยความเศร้า เมื่อทราบข่าวว่าลูกชายถูกจับกุม
“อาเสืออีถูกจับได้ยังไง”
ตะวันกับภัสสรยืนอยู่หน้าแป๊ะกงอย่างสำนึกผิด ทั้งสองหันมองหน้ากันไปมา
“เราถูกตำรวจซ้อนแผนล้อมจับค่ะ”
แป๊ะกงได้ฟังยิ่งแค้นกำหมัดแน่นอย่างโกรธแค้น
“มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่องานนี้มีคนรู้ว่าเป้าหมายคืออะไรแค่สี่คนเท่านั้น”
ตะวันสะอึ้งใจคอไม่ดี คิดหาทางเอาตัวรอด ภัสสรมองสบตาหารือ ทว่าตะวันกลับบอกขึ้นมาว่า
“อันนี้แปะกงคงต้องถามคนของแปะกงเองแล้วล่ะว่าใครทำแผนรั่ว หรือว่า... เกลือเป็นหนอนเสียเองกันแน่ เพราะผมมาทีหลังสุด รู้เรื่องน้อยที่สุด”
พร้อมกันนี้เขาว่าหันไปทางภัสสรเป็นเชิงบอกให้รู้ว่า เขาหมายถึงเจ้าหล่อน
ภัสสรอึ้งไปถนัดใจ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ก่อนหันมองสบตาตะวันอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากคนที่เธอแอบปิ๊งและหลงรัก
แป๊ะกงหันมองหน้าภัสสรอย่างไม่พอใจขึ้นมาทันที

ทางด้านตะวันแอบหลบซ่อนตัว รอจนปลอดคนจึง เดินเข้าไปหาพยาบาลเวรที่เค้าน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
“ขอโทษครับ คนไข้ชื่อพิมพา ที่ถูกยิงแล้วส่งเข้ามารักษาตัวอยู่ห้องไหนครับ”
“สักครู่นะคะ”
พยาบาลคีย์หาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ อึ้งไปนิดเมื่อข้อมูลแสดงผลว่าคนไข้ตายแล้ว
“ขอโทษด้วยนะคะ เสียชีวิตแล้วคะ”
ตะวันอึ้งนิ่งงันไป ใบหน้าสลดลงไปเห็นถนัดตา จากเสียใจ กลายเป็นความแค้นอัดแน่นใจใน

ตะวันยังอยู่ที่หน้าสถูปของพิม ดึงตัวเองกลับมาอีกครั้ง คำรามออกมาเมื่อนึกถึงคนที่ทำให้พิมตาย

“ฉันไม่ปล่อยให้แกอยู่เป็นสุขแน่ อัคคเดช”

อ่านต่อตอนที่ 6


กำลังโหลดความคิดเห็น