ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 17
ห้องคนไข้วีไอพี...คามินเข้ามาเห็นม่านคนไข้เพิ่งถูกรูดเปิด ราชาอินทราถูกพยาบาลกับธรรมรัตน์ประคองให้เอนลงนอนตะแคงโดยยังมีน้ำเกลืออยู่ ราชาอินทราใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวบางๆมีผ้าพันแผลพันรอบตัวขึ้นมาถึงอก ธรรมรัตน์หันไปบอกพยาบาล
“ไม่มีอะไรแล้วครับ ขอบคุณมาก เดี๋ยวถ้าต้องการอะไรผมจะกดกริ่ง”
“ค่ะ”
พยาบาลออกไป คามินมองงงๆ
“ทรงเป็นยังไงบ้างพะยะค่ะ”
“ได้เลือดของเจ้าไป เราแทบจะหายดีเลย”
คามินคุกเข่า
“เกล้ากระหม่อมผิดมหันต์ที่ไม่อยู่ถวายอารักขา เกล้ากระหม่อมสมควรตาย”
“อย่าพูดอย่างงั้นคามิน เจ้าไม่รู้หรอกว่าเราดีใจแค่ไหน ที่เห็นว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
คามินซึ้งใจ พูดไม่ออก
“เข้ามาใกล้ๆเราซิ”
คามินขยับไปคุกเข่าข้างเตียงราชาอินทราเอื้อมมือมาจับหัว ธรรมรัตน์เบือนหน้าไปแอบน้ำตาซึม คามินรู้สึกอบอุ่นจนยิ้มทั้งน้ำตา
“อย่าโทษตัวเองเลยนะ บางอย่างโชคชะตาเบื้องบนกำหนดมาแล้ว แต่ฟ้าก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก เราสองคนถึงได้พบกันอีก ทำให้เรามีโอกาสพูดสิ่งที่เราอยากจะพูดกับเจ้ามาตลอด”
ราชาอินทราดูท่าทางเหนื่อยและเจ็บแผล ธรรมรัตน์เป็นห่วง
“ทรงพักผ่อนก่อนเถอะพะยะค่ะ”
“เรามีเวลาพักอีกนานธรรมรัตน์...คุณได้จัดการเรื่องที่ผมขอแล้วใช่มั้ย”
“ครับ ตอนแรกหมอจะไม่อนุญาตแต่...ผมคุยจนยอมแล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุด เพราะมันเสี่ยงมาก”
“เรื่องอะไรกันเหรอครับ” คามินงงๆ
“เราอยากให้ธรรมรัตน์พาเราไปพบคนคนหนึ่ง”
คามินไม่เข้าใจ
มัทนาเดินไปเดินมารออยู่หน้าห้อง หฤทัยใส่เสื้อผ้าของมัทนาออกมาจากห้อง
“คุณใส่เสื้อผ้าฉันได้พอดีเลย รู้สึกจะเป็นกระโปรงไม่กี่ชุดที่ฉันมี”
“ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็ขอโทษที่ต้องรบกวน”
“คนที่ต้องขอบคุณและขอโทษควรจะเป็นฉันต่างหากคะ ฉันเป็นพระคู่หมั้น คือคนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆที่รายาแต่ฉันก็ไม่ได้ทำ”
“ฉันเองก็ไม่ทราบเลยว่า ฉันทำถูกรึเปล่าที่อกกตัญญูต่อพ่อของตัวเอง”
“ฉันเข้าใจ บางทีหน้าที่กับหัวใจมันก็ไปกันไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันว่าเรารีบไปโรงพยาบาลกันดีกว่านะคะ รับรองฉันเหยียบมิดไมล์ 10 นาทีถึง”
ท่านหญิงมาณวิกาเดินเข้ามาขวาง
“ซิ่งขนาดนั้นจะถึงแบบมีลมหายใจหรือไม่มีดีล่ะ”
“คุณแม่ ก็มัทใจร้อนนี่คะ ไม่รู้ว่าองค์ราชาจะทรงเป็นยังไงบ้าง” มัทนาจ๋อย
“แล้วเราคิดว่า เราไปแล้วจะช่วยอะไรใครได้มั้ย นอกจากทำให้เขาวุ่นวายขึ้น”
“มัททราบค่ะ คุณแม่ว่าการที่มัทแอบพาคุณคามินหนีไปมันผิดมาก เอาไว้ถ้ามัทกลับมาจากโรงพยาบาลแล้วมัทจะให้คุณแม่ลงโทษหนักแค่ไหนก็ได้ นะคะ”
“ไม่หรอกมัทนา ลูกยังไม่รู้ว่าความผิดที่ลูกทำมันใหญ่หลวงขนาดไหน ชีวิตของคุณคามินมีค่ามากกว่าที่ลูกคิด”
“แต่มันเป็นความต้องการของเขาที่จะพลีชีพเพื่อองค์ราชา”
“แต่องค์ราชาไม่ทรงต้องการเช่นนั้น เช่นเดียวกับชาวรายาทุกคน ที่คงไม่ยอมสูญเสียเจ้าชายรัชทายาทของพวกเขาเด็ดขาด”
หฤทัยงง มัทนาไม่เข้าใจ
“นี่เรากำลังพูดถึงคุณคามินนะคะ ไม่ใช่เจ้าชายมาคี”
“ไม่ผิดหรอกที่แม่พูด แม่หมายถึง เจ้าชายคามิน องค์รัชทายาทลำดับที่ 1 แห่งรายา”
มัทนากับหฤทัยตะลึง
หลุมศพปรารถนา...เหมันต์นำหน่วยซีลกระจายกำลังกันเข้ามาเคลียร์พื้นที่ แล้วอารักขาตามจุดห่างออกไป คามินเข็นรถเข็นที่ราชาอินทรานั่งมา
ราชาอินทรามีท่าทีอิดโรยมาก ธรรมรัตน์เดินขนาบมาถือมาลัยพวงใหญ่ มีพยาบาลกับบุรุษพยาบาลมาด้วยสองคน คามินมีทีท่างงๆ
“หลุมศพนี่ ที่คุณธรรมรัตน์บอกว่าเป็นเพื่อนใช่มั้ยครับ”
ธรรมรัตน์ยิ้มเศร้าๆ คามินแปลกใจ
“ไม่นึกเลยว่า คุณผู้หญิงท่านนี้จะเป็นพระสหายขององค์ราชาด้วย”
ราชาอินทราพูดขึ้น
“ธรรมรัตน์ คุณให้ทุกคนรออยู่ตรงนี้ก่อน”
“ครับ”
ธรรมรัตน์พยักหน้าให้พวกพยาบาลและบุรุษพยาบาล ทั้งสองเดินออกไปรอห่างๆ ราชาอินทราหันมาบอกคามิน
“พาเราเข้าไปใกล้ๆหลุมศพหน่อยคามิน”
คามินเข็นรถเข้าไปที่หลุมราชาอินทรามองเอื้อมมือไปขอพวงมาลัย ธรรมรัตน์ยื่นให้
“คามิน”
“พะยะค่ะ”
ราชาอินทรายื่นมาลัยให้
“เอาไปไหว้แม่ของเจ้าซะ”
“แม่...” คามินงง
“ใช่แล้ว นี่คือหลุมศพของแม่เจ้า”
คามินมองหลุมศพยังมึน
“แม่ของเจ้าไม่ใช่ชาวรายา แม่ของเจ้าเป็นผู้หญิงไทย...ชื่อปรารถนา”
คามินมองที่หลุมศพ มาลัยร่วงจากมือ
มัทนาดูรูปปรารถนา หฤทัยนั่งข้างๆดูด้วย ทั้งคู่งงกับเรื่องคามิน
“ไม่อยากจะเชื่อเลย” หฤทัยพึมพำ
“นี่สินะที่เขาว่าเรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย...คุณแม่รู้เรื่องนี้นานแล้วเหรอคะ”
“คุณพ่อเพิ่งเล่าให้แม่ฟังเมื่อไม่นานนี้เอง แม่ไม่เคยเจอคุณปรารถนา รู้แต่ว่าเธอเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกับคุณพ่อมาก”
“เธอเป็นแฟนเก่าคุณพ่อเหรอคะ”
“มัทนา อย่าลบหลู่พระชายาแบบนั้นอีก”
“ขอโทษค่ะ” มัทนาจ๋อย
หฤทัยยังสงสัยไม่หาย
“ถ้าคุณปรารถนาเป็นแม่พี่คามิน เอ่อ เป็นพระมารดาของเจ้าชายคามิน แล้วผู้หญิงรายาที่เป็นนางรำละคะ”
หลุมศพปรารถนา...ราชาอินทรานั่งบนรถเข็นมองหน้าคามิน
“นางรำคนนั้นเป็นเรื่องที่อุปโลกน์ขึ้นเพื่อให้คนในวังไม่สนใจเจ้า...เจ้าจะได้ปลอดภัย”
ธรรมรัตน์หยิบรูปปรารถนาออกมายื่นให้คามิน
“รูปของปรารถนาครับ”
คามินหยิบรูปมาดูอย่างเศร้าสร้อย ยิ้ม ปาดน้ำตา
“ท่านสวยเหมือนที่ผมเคยฝันถึงเลย แล้ว...พ่อของเกล้ากระหม่อมท่านเป็นชาวรายาหรือเปล่า ท่านเสียชีวิตแล้วเหมือนกันใช่มั้ยพะยะค่ะ”
ธรรมรัตน์มองหน้าราชาอินทรา ลมหนาวพัดวูบ ราชาอินทราไอออกมาเบาๆ คามินรีบเข้าไป
“ทรงหนาวหรือพะยะค่ะ”
ราชาอินทราจับมือคามิน ส่ายหน้า
“เช่นนั้น เกล้ากระหม่อมว่า เสด็จไปพักที่บ้านพักก่อนตรงนี้ลมเย็นมาก”
“พ่อของเจ้าเป็นชาวรายาและยังมีชีวิตอยู่”
คามินชะงัก
“เขา...อยู่ที่ไหนพะย่ะค่ะ”
ราชาอินทรามองคามิน
“เขากำลังอยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้”
คามินมองราชาอินทราอึ้ง ราชาอินทรายิ้ม เอื้อมมือที่สั่นน้อยๆไปจับบ่าคามินบีบ
“เราคือพ่อที่แท้จริงของเจ้าคามิน ลูกรัก”
คามินช็อคกว่าเดิม
“เป็นไปไม่ได้...”
คามินหันไปมองธรรมรัตน์
“เป็นความจริงครับ ผมเป็นเพื่อนกับปรารถนา พระมารดาของเจ้าชาย และเป็นคนพาเจ้าชายเสด็จไปรายาหลังจากปรารถนาเสียชีวิต...แต่ตอนนั้นเจ้าชายยังทรงพระเยาว์มากคงทรงจำไม่ได้”
ราชาอินทราหันไปบอกธรรมรัตน์
“ขอเราอยู่กับลูกตามลำพังสักครู่เถอะ ธรรมรัตน์”
ธรรมรัตน์โค้งแล้วเดินออกไป คามินยังคงคุกเข่านิ่งอยู่มองไปที่หลุมศพ ไม่กล้าเงยหน้ามอง
“สิ่งที่รู้ลูกในวันนี้ คงจะทำให้ลูกทำใจให้รับมันในทันทีได้ยาก พ่อผิดเองที่ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้พ่อขอโทษ...”
“เกล้ากระหม่อมไม่เข้าใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ทำไม...”
“มันคงเป็นพรหมลิขิต...ยี่สิบกว่าปีก่อน พ่อเดินทางมาเรียนที่เมืองไทย...ก็เลยได้พบกับแม่ของเจ้า”
ในอดีต...เจ้าชายอินทรากับปรารถนาขี่จักรยานเคียงคู่กันในมหาลัย...ปรารถนาทำขนมไทย เจ้าชายอินทราช่วยเป็นลูกมือถูกน้ำร้อนกระเด็นใส่ ปรารถนาดูแผลเอายามาทา มองตากันประทับใจ
ธรรมรัตน์ เจ้าชายอินทรา ปรารถนาออกค่ายสร้างโรงเรียนกับเพื่อนๆที่มหาลัย ปรารถนาเป็นคนส่งเสบียง เจ้าชายอินทรามัวแต่มอง จนตกลงมาจากบันไดแต่ธรรมรัตน์ดึงเหนี่ยวไว้ได้ ทุกคนตกใจ แต่เจ้าชายอินทราอาย ปรารถนาหัวเราะ...
เวลาต่อมา...เจ้าชายอินทรานอนป่วยในเต็นท์หนาวสั่น ปรารถนาเข้ามาพร้อมอ่างเล็กๆและผ้าชุบน้ำ เช็ดตัว เจ้าชายอินทรามองหน้าปรารถนาก้มลงมาจูบ ทั้งคู่ตกในภวังค์แห่งความรัก...
“ปรารถนาเป็นลูกสาวชนชั้นกลางธรรมดาๆ ฐานะไม่ ดีนักบ้านของเธอทำขนมไทยขายเพราะแม่เคยทำงานอยู่ในห้องเครื่องของเชื้อพระวงศ์ เธอจึงได้รับความงดงามอ่อนหวานแบบไทยๆ มาอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้พ่อของเจ้ามอบความรักให้อย่างหมดหัวใจโดยลืมไปว่า ตัวเองอยู่ในสถานะไหน และมีหน้าที่ต้องแบกรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพียงใด”
บ้านบนเกาะ...ปรารถนาใส่ชุดคลุมท้อง เดินออกมาอย่างดีใจ
“เจ้าชาย”
ปรารถนาชะงัก ธรรมรัตน์ยืนถือจดหมายอยู่ ปรารถนาซึม ผิดหวัง
“ทรงติดราชกิจ เสด็จมาไม่ได้ แต่ทรงฝากพระราชหัตถเลขามา”
ปรารถนาคลี่อ่าน น้ำตาไหล
“เสด็จปู่ของลูกสิ้นพระชนม์กะทันหัน พ่อต้องอภิเษกกับสาวิตรี หญิงที่เสด็จแม่ทรงเห็นว่าเหมาะสมเพื่อจะขึ้นราชาภิเษก...นับจากนั้นพ่อก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาหาแม่เจ้าอีกจนกระทั่งปรารถนาให้กำเนิดเจ้า”
ในบ้านพักบนเกาะ...คามินตอนเด็ก เล่นต่อเลโก้เป็นรูปบ้านอยู่ เสร็จแล้ว จะยกไปอวดแม่ คามินวิ่งไปที่ครัว
“แม่ๆ”
ปรารถนานอนสลบอยู่ คามินตกใจ
หน้าหลุมศพปัจจุบัน...
“พอพ่อรู้ว่าปรารถนาจากไปแล้ว พ่อก็ตัดสินใจขอให้ธรรมรัตน์พาลูกไปรายา”
“อย่างนี้นี่เอง เกล้ากระหม่อมถึงได้คุ้นเคยกับที่นี่เหลือเกิน”
ในอดีต...ธรรมรัตน์กับคามินอยู่ตรงหน้าหลุมศพ ธรรมรัตน์บอกคามิน
“ลาท่านแม่สิคามิน”
คามินยกมือไหว้ตามธรรมรัตน์ แต่ท่าทางไม่รู้เรื่องราวอะไร
ปัจจุบัน ราชาอินทราหน้าเศร้า
“พ่อขอโทษที่ขี้ขลาดไม่กล้าบอกความจริงกับทุกคนจนทำให้ลูกต้องถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กกำพร้าเป็นลูกนางรำที่หนีตามผู้ชาย...ความผิดของพ่อที่ทำไว้กับลูกกับปรารถนาชดใช้ยังไงก็ไม่มีวันหมด...ยกโทษให้พ่อได้มั้ย”
“เกล้ากระหม่อมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”
“คามิน...นี่ลูกจะไม่ให้อภัยพ่อหรือ”
“เกล้ากระหม่อมจะให้อภัยต่อผู้ที่ประทานชีวิตให้เกล้ากระหม่อมได้อย่างไร พระกรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงเลี้ยงดูเกล้ากระหม่อมจนถึงทุกวันนี้ใหญ่หลวงจนชาตินี้คงทดแทนไม่หมด”
ราชาอินทราดีใจ
“แสดงว่า ลูกไม่โกรธพ่อใช่มั้ยคามิน”
ราชาอินทราเอื้อมมือมาจับไหล่คามิน แต่เจ็บแผล เลือดซึมออกมาเปื้อนเสื้อด้านหลัง
“พระโลหิตซึมออกมาอีก เสด็จกลับโรงพยาบาลเถิดพะยะค่ะ”
“พ่อไม่เป็นไร”
“แต่ว่าพระองค์...”
“เรียกเราว่าพ่อซิคามิน”
“เสด็จพ่อ...”
ราชาอินทราดึงคามินมากอดร้องไห้
“พ่ออยากทำอย่างนี้ อยากทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอหน้าลูก แต่พ่อทำไม่ได้ พ่อรักลูกมากนะคามิน”
คามินเองร้องไห้ ธรรมรัตน์กับเหมันต์มองมา ลมพัดวูบใบไม้ร่วงหล่น
“ปรารถนา เห็นแล้วใช่มั้ย หมดห่วงได้แล้วนะ” ธรรมรัตน์เช็ดน้ำตา
ราชาอินทรามองคามิน
“ต่อไปนี้ชะตาของแผ่นดินรายาขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วพ่อเชื่อว่าเจ้าต้องกอบกู้รายากลับมาจากน้ำมือของวิฑูรได้”
“ลูกขอถวายคำมั่นพะยะค่ะ ว่าจะนำแผ่นดินรายามาถวายคืนให้เสด็จพ่อให้ได้”
“ไม่ใช่พ่อ คามิน แต่คืนให้กับประชาชนทุกคน”
“พะยะค่ะ”
ราชาอินทรามองไปทางหลุมศพ
“เห็นมั้ยปรารถนา ว่าลูกเราเข้มแข็งกล้าหาญแค่ไหน...”
ราชาอินซากระอักเลือดออกมา คามินตกใจ
“เสด็จพ่อ”
ธรรมรัตน์กับเหมันต์วิ่งมา
“องค์ราชา เสด็จกลับเดี๋ยวนี้เถิดพะยะค่ะ”
ราชาอินทราเห็นปรารถนายืนยิ้มอยู่ ในชุดขาวสวยงามยื่นมือมา
“อินทรา”
ราชาอินทรายิ้ม
“ปรารถนา ในที่สุดเธอก็มา...ต่อไปนี้ เราจะไม่จากกันอีกแล้ว ฉันสัญญา...”
ราชาอินทราคอพับไป...คามินตะลึง
“เสด็จพ่อๆ”
พยาบาลวิ่งมาเช็คชีพจร คามินเขย่าราชาอินทรา
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 17 (ต่อ)
หฤทัยยืนร้องไห้ที่มุมหน้าต่าง มัทนายื่นทิชชูให้ มัทนาก็เศร้าแต่พยายามข่มไว้
“ขอบคุณค่ะ...พอรู้เรื่องราวของพี่คามิน เอ่อ เจ้าชายคามินแล้ว ก็อดสงสารพระองค์ไม่ได้ ทรงอาภัพเหลือเกิน ถึงอยู่ใกล้พระบิดาแค่เอื้อมแต่ก็ไม่อาจสัมผัสได้”
“ถึงจะไม่ทรงทราบ แต่ก็ได้ทรงถวายการดูแลพระบิดาตลอดเวลา และก็ทรงทำหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็ง กล้าหาญที่สุดสมกับที่ทรงมีสายเลือดขัตติยะ”
“ขอบคุณนะคะคุณมัทนา”
“มาขอบคุณฉันเรื่องอะไรอีกคะ”
“ก็ขอบคุณที่ช่วยดูแลเจ้าชาย ตอนที่พระองค์ประทับอยู่ที่นี่”
“มันเป็นหน้าที่ของเพื่อนที่พึงกระทำต่อเพื่อนอยู่แล้ว”
“ชีวิตของเจ้าชายคามินไม่ได้มีค่าแค่เพียงเป็นองค์รัชทายาท แต่ทรงเป็นหัวใจของชาวรายาและดวงพระหทัยขององค์อินทราด้วย”
“และเขาก็ยังเป็นหัวใจของ...”
มัทนาจะบอกว่าของฉัน แต่พอเห็นหน้าหฤทัยก็เปลี่ยนทันที
“ของคุณด้วย”
หฤทัยยังไม่ทันตอบ ท่านหญิงมาณวิกาวิ่งเข้ามา เสียงสั่นน้ำตาไหล
“ลูกมัท คุณหฤทัย...”
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่”
“องค์อินทรา...สิ้นพระชนม์แล้ว”
ทั้งคู่ตะลึง
เจ้าชายมาคีมองพระนางสาวิตรีที่ผมยุ่งโทรมไปในชั่วข้ามคืนอย่างสงสาร เจ้าชายห่มผ้าให้แล้วเดินไปเปิดประตูจะออกไป พบมินตราที่เดินมาหน้าห้องพอดี
“เสด็จแม่เพิ่งบรรทมเมื่อครู่นี้เอง ฝากดูแลด้วย”
เจ้าชายมาคีเดินออกไป มินตรามองหมั่นไส้แล้วเดินตามไป
เจ้าชายมาคีเดินมาตามทาง มินตราวิ่งมาดักหน้า
“เดี๋ยวเพคะหม่อมฉันมีเรื่องอยากทูลถาม”
เจ้าชายมาคีมองรำคาญ
“รีบๆว่ามา...เราเหนื่อยอยากรีบไปพักผ่อน”
“คุณหฤทัยกลายเป็นกบฏลักพาตัวองค์ราชาไป แล้วฝ่าบาทจะทรงอภิเษกกับใครล่ะเพคะ”
เจ้าชายมาคีมองมินตราอย่างโมโห
“เสด็จพ่อทรงหายองค์ไป เสด็จแม่ทรงประชวร เราไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้หรอกนะ แล้วเธอก็ควรจะหยุดวุ่นวายกับเราควรหยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว เพราะถ้าเรารำคาญมากๆแล้วทนไม่ไหวเราจะจับเจ้าขังคุก”
เจ้าชายมาคีเดินออกไปอย่างหงุดหงิด มินตรามองตามยิ้มเยาะ
“นังหฤทัยพ้นทางไปแล้ว ผู้หญิงที่ฝ่าบาทต้องทรงอภิเษกด้วยก็เหลือเพียงคนเดียวคือหม่อมฉัน”
เจ้าชายมาคีเดินลิ่วมากับองครักษ์
“ไปเอาเจ้าสีนิลออกมา เราจะไปขี่ม้าคลายเครียด”
“พะยะค่ะ”
องครักษ์วิ่งไปที่คอกม้า ปรากฏคอกม้ากลายเป็นมีแกะอยู่แทน องครักษ์งง วิ่งกลับไปหาเจ้าชายมาคีที่ยืนรอ
“เอ่อ...คือ...”
“ม้าอยู่ไหน ทำไมไม่เอามา”
“เจ้าสีนิล ไม่อยู่แล้วพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีเดินมาดู
“นี่มันอะไรกัน ม้าของเราหายไปไหน แล้วใครเป็นคนเอาสัตว์พวกนี้มาไว้ในคอกสีนิล”
“กระหม่อมเองพะยะค่ะ”
สุเทษเข้ามา ไม่ทำความเคารพ
“ไอ้สีนิลมันฝีเท้าดี กระหม่อมก็เลยเอามันไปขี่เล่น”
เจ้าชายมาคีโกรธ
“สีนิลเป็นม้าทรงของเรา เจ้ามีสิทธิอะไรถึงเอามันไปขี่”
“ตอนนี้กระหม่อมเป็นหัวหน้าราชองครักษ์แล้ว มีสิทธิควบคุมองครักษ์รวมทั้งพาหนะ และม้าทรงทุกตัว”
“มากไปแล้ว เป็นแค่หัวหน้าองครักษ์ บังอาจกล้ามาท้าทายเจ้าชายรัชทายาท เราขอปลดเจ้า” เจ้าชายหันไปสั่งองครักษ์ “จับมันไปที่ลานลงทัณฑ์”
องครักษ์เข้าจะจับ เจอสุเทษซัดเข้าสองสามหมัดหมอบไป
“บังอาจมาก”
เจ้าชายมาคีเข้าไปซัดสุเทษหลบไปมา และซัดกลับจนเจ้าชายมาคีกระเด็นไป
“สุเทษ นี่เจ้าบังอาจทำร้ายเรา”
สุเทษยิ้มเยาะ
“กระหม่อมแค่เป็นคู่ซ้อมให้ฝ่าบาทต่างหาก แต่ดูจากฝีมือแล้ว ฝ่าบาทยังทรงห่างไกลจากกระหม่อมนัก คงต้องทรงขยันฝึกมากหน่อยนะพะยะค่ะ ฮ่ะๆ”
ชวาลแต่งตัวเป็นคนเลี้ยงม้า แอบดูอยู่ หมั่นไส้สุดๆพอสุเทษหันหลังกลับจะเดินไปก็โดนขี้วัวปามาเต็มหน้า
“เฮ้ย...อี๊ ใครวะ” สุเทษชักปืน “อย่าให้เจอนะ”
สุเทษวิ่งไป องครักษ์เข้ามาประคอง เจ้าชายมาคีสะบัด
“ไม่ต้อง ไปให้พ้นหน้าเราไป”
องครักษ์จำต้องถอยไป เจ้าชายมาคีชกต้นไม้ด้วยความแค้น ชวาลเข้ามาแอบมอง ด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าเข้ามา ถอยออกไป เจ้าชายมาคีเห็น
“เจ้าใช่มั้ย ชวาล”
เจ้าชายมาคีวิ่งตามชวาล
“ชวาล เราสั่งให้เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้”
ชวาลหยุดยืนก้มหน้า
“เจ้าใช่มั้ยที่ปาขี้วัวใส่สุเทษ”
“กระหม่อมขอประทานอภัย กระหม่อมซุ่มซ่ามไปหน่อย”
“เรารู้ว่าเจ้าทำเพื่อช่วยเรา...แต่ทำไมจะต้องหนีหน้าเราด้วย”
“กระหม่อมกลัวว่าถ้าทอดพระเนตรเห็นหน้ากระหม่อม จะทรงกริ้ว”
“ไม่ว่าใครก็หนีหน้าเราไปหมด เราไม่รู้จะคุยจะปรึกษาอะไรกับใครกลับไปที่ตำหนักเถอะชวาล เรายกโทษให้เจ้า”
“คนที่พระองค์ทรงต้องการ ไม่ใช่กระหม่อมหรอกพะยะค่ะ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าเป็นคามินละซิ ใช่ เมื่อก่อน เราเชื่อคามินทุกอย่าง ทั้งรัก ทั้งไว้ใจ แม้แต่ตอนนี้เราก็ยังอยากจะเชื่อเขา แต่เจ้ารู้มั้ยว่าคามินยังไม่ตาย แล้วก็เพิ่งจะมาลักพาตัวเสด็จพ่อไป”
“ทอดพระเนตรเห็นด้วยองค์เองหรือพะยะค่ะ”
“เปล่า แต่ทหารที่ตามไปก็เห็นกันหมด คามินตั้งใจประกาศตัวเป็นศัตรูกับเรา”
“แล้วคุณหฤทัยล่ะพะยะค่ะ”
“หฤทัยก็คงโดนคามินหลอก หฤทัยเป็นคนหัวอ่อนอยู่แล้ว”
“จนถึงวันนี้ยังทรงคิดว่าคุณหฤทัยอ่อนแออยู่อีกหรือพะยะค่ะ กระหม่อมความรู้น้อย คงถวายคำแนะนำไม่ได้ แต่การที่คุณหฤทัยกล้าประกาศตัวเป็นศัตรูกับพ่อของตัวเองมันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่...กระหม่อมทูลได้แค่นี้” ชวาลเดินหนี
“ชวาล เดี๋ยวซิ ชวาล”
เจ้าชายมาคียืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว สับสน
วันใหม่...รูปราชาอินทราใส่กรอบสวยงามตั้งไว้บูชา ด้านหน้ามีพานแก้ว วางไว้ จัดดอกไม้ประดับสวยงาม ทุกคนยืนอยู่ ถือมาลัยคนละพวง ท่านหญิงมาณวิกาวางมาลัยแล้วถอยมาถอนสายบัว ตามด้วยธรรมรัตน์วางบ้าง
“20 กว่าปีก่อนผมโกรธเทพเจ้าแห่งโชคชะตาที่พรากพระองค์และพระชายาจากกัน...แต่วันนี้ผมคงต้องขอบคุณเทพเจ้าที่อย่างน้อยท่านก็เมตตายอมให้ทั้งสองพระองค์กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง...ชั่วนิรันดร์”
ธรรมรัตน์พยักหน้ายิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะถอยออกมา คามินยืนข้างหฤทัย ขรึมนิ่ง มัทนาอยู่ข้างเหมันต์ มองคามินอย่างสงสารขยับจะเข้าไปปลอบใจแล้วชะงักเมื่อเห็นหฤทัยที่ยืนใกล้ๆจับมือให้กำลังใจคามิน มัทนามองเจ็บปวด เหมันต์ลอบมองมัทนาอย่างเข้าใจและเจ็บปวดเพราะรักมัทนา
ท่านหญิงมาณวิกาพยักหน้าให้ มัทนาเดินเข้าไปวางมาลัยที่พาน
“หม่อมฉันขอประทานอภัยที่ทำให้ทรงผิดหวังในตัวหม่อมฉัน ต่อไปนี้หม่อมฉันจะขอทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษ ขอดวงพระวิญญาณจงสถิต ณ สรวงสวรรค์เพคะ”
มัทนาถอยออกมา เหมันต์เข้าไปวางมาลัย แล้วโค้ง
“ขอทรงสู่สุคติพะยะค่ะ”
หฤทัยเข้าไปวางร้องไห้ด้วยความเสียใจสุดๆ
“หม่อมฉันไม่ดีเองที่ช่วยพระองค์ไม่ได้ หม่อมฉัน...”
หฤทัยเซ สินธรลืมตัวพุ่งเข้าไปประคอง
“ขอบใจสินธร ฉันไม่เป็นไร”
หฤทัยถอยออกมา สินธรเอามาลัยไปวางบ้าง อารมณ์ทั้งเศร้าและเคียดแค้น
“เกล้ากระหม่อมขอถวายคำสาบาน แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะปราบพวกที่คิดคดต่อแผ่นดินให้สำเร็จ แล้วจะรีบกลับมาอัญเชิญพระศพฝ่าบาทกับพระชายาไปประทับที่วิหารปรารถนาอย่างสมพระเกียรติพะยะค่ะ”
ทุกคนหันมามองคามิน เขาเดินผ่านทุกคนซึ่งแต่ละคนต้องทำความเคารพเพราะคามินเป็นเจ้าชายแล้ว คามินวางมาลัย แล้วโค้งอยู่นานนิด ทุกคนลุ้นว่าเขาจะพูดอะไร แต่คามินเงยหน้าขึ้นไม่พูดถอยออกมาหันกลับมาพูดกับธรรมรัตน์
“ผมคงต้องขอรบกวน ขอใช้ห้องสักห้องหนึ่งเพื่อประชุมวางแผนการต่อสู้”
“ไม่มีปัญหาครับ เหมันต์ จัดห้องรับรองไว้เป็นห้องประชุม”
“ครับ”
เหมันต์ออกไป คามินหันไปหาสินธร
“สินธร นายคงต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฉันฟังอย่างละเอียด เพื่อวางแผนรับมือกับพวกของท่านวิฑูร”
“พะยะค่ะ”
คามินเหลือบมองมัทนานิดหนึ่ง มัทนายิ้มให้ แต่คามินเดินไปบอกหฤทัย
“หฤทัยด้วยนะ พี่ต้องการรู้ข้อมูลจากเธอ”
“ค่ะ”
คามินเดินแยกไป สินธร หฤทัย ธรรมรัตน์ตาม เหลือท่านหญิงมาณวิกา กับมัทนาที่ยืนน้อยใจน้ำตาคลอ
“มัท แม่รู้ว่าหนูอยากเข้าไปคุยกับ กับเจ้าชายแต่หนูต้องเข้าใจเจ้าชายนะลูก พระองค์กำลังเสีย
พระทัย”
มัทนายิ้มเศร้า
“มัทก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อยนี่คะ...อีกอย่างเจ้าชายก็ทรงมีคนคอยปลอบพระทัยอยู่แล้ว ไม่น่าห่วงสักนิด”
มัทนาเดินแยกไปอย่างเศร้า ท่านหญิงมาณวิกาถอนใจ
ค่ำนั้น มัทนานอนไม่หลับกระสิบกระส่าย น้ำตาไหลไม่หยุด ภาพที่หฤทัยจับมือกับคามินเข้าตลอดเวลา มัทนาลุกขึ้น
“จะร้องไห้ทำไมนักหนาเนี่ย พอได้แล้ว”
มัทนาเช็ดน้ำตา ออกไปทำท่ากายบริหาร โยคะ ไปมาคลายเครียดที่ระเบียง แล้วชะงักมองลงไปเห็นคามินกำลังว่ายน้ำอยู่อย่างบ้าคลั่งในสระน้ำ
“ใครมาว่ายน้ำดึกป่านนี้...บ้าป่าวเนี่ย”
คามินหงายว่ายท่ากรรเชียง มัทนาชะงัก
“อีตาเจ้าชายนี่”
คามินมาที่ขอบสระ หอบหายใจ นึกถึงเรื่องราวในอดีต
ในอดีต คามินวัย 12 ขวบซ้อมมวยรายา โดยมีเมฆาเป็นผู้สอน เมฆานั่งเฉยๆ ถือไม้ ให้คามินจู่โจม แต่เมฆาหลบหมัดได้หมดก่อนจะเอาไม้ฟาดคามินทรุดลงไป คามินเจ็บจนร้องไห้
“ลุกขึ้นมา แค่นี้ยังต่อยไม่โดน จะมีปัญญาไปปกป้องใครได้ แล้วจำไว้ องครักษ์ต้องไม่อ่อนแอ ไม่หลั่งน้ำตาพร่ำเพรื่อ”
คามินกัดฟันต่อยอีก ก็โดนฟาดอีก
คามินเดินกระเผลกมาซ้อมรำมวย ต่อยหุ่นฟาง อย่างมีมานะพยายาม แต่เพราะเจ็บขา เลยเซล้มลง ราชาอินทราเข้ามานั่งลงประคองขึ้น คามินตกใจ
“องค์ราชา”
ในสวนวังรายา คามินมีแผลเป็นริ้วแดงที่ขา ราชาอินทราเอายาทาให้
“เจ็บมากเหรอ”
“ไม่พะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมทนได้”
“แสดงว่า หัวใจเจ้าแข็งแกร่งมาก”
“องครักษ์มีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์ จะอ่อนแอไม่ได้”
“องครักษ์ก็เป็นมนุษย์ มนุษย์ก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ ท้อถอย มันไม่ใช่ความผิด แต่เจ้าต้องเปลี่ยนความอ่อนแอ ท้อถอยนั้นให้เป็นพลัง”
“พะยะค่ะ”
“จำไว้นะคามิน เจ้ามีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์ แต่เรามีหน้าที่ปกป้องเจ้า เจ้าไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว”
ราชาอินทราจะกอด แต่คามินทรุดลงค้อมหัว ราชาอินทรายิ้มเศร้า เปลี่ยนเป็นจับหัวแทน
ในสวนวังรายา...เจ้าชายมาคีวัย10 ขวบ ปีนขึ้นไปแหย่รังผึ้ง คามินแย่งไม้
“อย่าพะยะค่ะ อันตราย”
เจ้าชายมาคีไม่ฟังแหย่จนผึ้งแตกรังฮือ รุมต่อย เจ้าชายมาคีวิ่งหนี ล้มลง คามินตกใจ วิ่งปัดผึ้งแล้วกอดเจ้าชายมาคีไว้ให้ผึ้งต่อยแทน...คามิน โดนต่อยเต็มตัว แบกเจ้าชายมาคีที่โดนต่อยเล็กน้อยมา พระนางสาวิตรีนั่งดื่มน้ำชาอยู่ เห็นอย่างนั้นก็ตกใจ
“มาคี เป็นอะไรลูก”
นางกำนัลกรูกันเข้ามาอุ้มเจ้าชายมาคี พระนางสาวิตรีตบคามินฉาด
“เลวมาก แกทำอะไรมาคี ไอ้ลูกกำพร้า”
คามินนั่งมึน แล้วค่อยๆสลบไป
ห้องนอนเรือนองครักษ์ในอดีต...คามินนอนเป็นไข้ จุดเหล็กในแดงเต็มตัว มีผ้าวางบนหัว เขาเพ้อออกมา
“แม่...แม่จ๋า”
ราชาอินทราเข้ามา มองลูกอย่างสงสาร
“คามิน ลูกพ่อ”
ราชาอินทราดึงลูงมากอดไว้ คามินลืมตาปรือ
“เจ้าต้องไม่เป็นไร เจ้าต้องปลอดภัย”
คามินยิ้มหลับไป
วังรายาในอดีต...งานถวายสัตย์ปฏิญาณขององครักษ์ โภคิน เหล่าอมาตย์มาร่วมงาน ราชาอินทรานั่งเป็นประธานมองคามินยิ้มชื่นชม พระนางสาวิตรี เจ้าชายมาคี นั่งเก้าอี้ด้านข้าง พระนางสาวิตรีมองคามินหมั่นไส้ เจ้าชายมาคีมองคามินอย่างชื่นชม คามิน สินธร ชาลี องครักษ์หลายคนยืนท่องคำปฏิญาณ
“จงรักภักดีด้วยหัวใจ ปกป้องราชบัลลังก์ด้วยชีวิต...จงรักภักดีด้วยหัวใจ ปกป้องราชบัลลังก์ด้วยชีวิต”
คามินและเหล่าองครักษ์ท่องคำปฏิญาณเสร็จก็ทำความเคารพราชาอินทรา โภคินเรียก
“คามิน”
คามินเดินไปหาราชาอินทราที่มองคามินยิ้มชื่นชม
“เจ้าคือความหวังของเราฝากดูแลแผ่นดินรายาด้วย”
คามินมองราชาอินทราอย่างเทิดทูน
“พะยะค่ะ”
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 17 (ต่อ)
ปัจจุบัน...คามินดำน้ำ แล้วโผล่ขึ้นมา เท้าตัวขึ้นจากสระ ลงนอนหงายหอบหายใจ หลับตา มัทนาเดินเข้ามา
“เนี่ยเหรอเพคะวิธีคลายเศร้าของเจ้าชายรัชทายาท”
คามินลืมตาลุกขึ้นนั่ง
“ขอโทษครับที่ทำเสียงดังรบกวนจนคุณนอนไม่หลับ”
คามินเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเช็ดหัวเช็ดหน้า ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมมาใส่
“ทรงแมนมากๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาๆ คงทำไม่ได้แบบนี้”
“คุณคาดหวังจะให้ผมทำอะไร ร้องไห้งั้นเหรอ”
“คนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปเขาก็ร้องไห้กัน ทั้งนั้นแหละเพคะไม่เห็นจะแปลก”
“ไม่แปลกแต่สำหรับผมมันเสียเวลา...ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของผมคือการกอบกู้รายาไม่ใช่การมานั่งร้องไห้ด้วยความอ่อนแอ”
“เสียใจไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ...ตรงกันข้าม น้ำตามันจะช่วยเยียวยาจิตใจด้วยซ้ำ”
“ดึกแล้ว ผมต้องขอตัว คุณเองก็ควรพักผ่อนได้แล้ว”
คามินหยิบผ้าเช็ดตัวเดินไป มัทนามองสระน้ำ แล้ว โดดลงไป คามินหันมามองตกใจ
“คุณมัท”
มัทนาทำเป็นจมนิ่ง
“คุณเล่นอะไรของคุณ”
คามินส่ายหน้า ถอดเสื้อคลุม โดดลงไป ดึงมัทนาขึ้นมา พาว่ายมาที่ตื้นๆ
“ทำแบบนี้ทำไม”
มัทนานิ่งๆกวนๆ
“ก็หม่อมฉันเสียใจ แต่หม่อมฉันไม่อยากร้องไห้ให้ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็น หม่อมฉันก็เลยลงไปร้องข้างล่างนั่น”
“คุณนี่...”
คามินจะไป มัทนาประคองหน้าเขาไว้พูดอ่อนโยน
“ตรงนี้มีแค่หม่อมฉัน...แล้วน้ำตาของฝ่าบาทก็ไม่ได้ทำให้หม่อมฉันรู้สึกว่าทรงอ่อนแอ ตรงกันข้าม หม่อมฉันอยากให้ฝ่าบาททรงกล้าหาญพอที่จะกันแสงออกมาให้สาสมกับสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในพระทัยเพคะ”
คามินดึงมือออก มัทนาน้อยใจ
“ได้...ถ้าไม่อยากให้หม่อมฉันยุ่ง หม่อมฉันก็จะไม่ยุ่ง”
มัทนาเดินไปที่บันได จะเดินขึ้น
“มัทนา”
มัทนาชะงัก คามินเดินมาเข้ากอดซบด้านหลัง ความอดกลั้นของเขาพังทลาย คามินร้องไห้สะอื้น มัทนาอึ้งไป ได้แต่นิ่งแล้วจับมือเขาที่โอบมา หฤทัยยืนมองอยู่มุมหนึ่งแน่ใจว่าคามินรักมัทนา สินธรก็มองหฤทัยและคามินกับมัทนาอยู่อย่างเจ็บปวดใจแทนหฤทัย
หน้าตำหนักพระนางสาวิตรี เจ้าชายมาคีมองนางกำนัลไม่พอใจ
“เจ้าจะบังอาจมากเกินไปแล้ว เราเป็นลูกทำไมจะเข้าเฝ้าเสด็จแม่ไม่ได้
“เอ่อ...คือ คุณมินตราสั่งไว้ว่า ไม่ให้ใครเข้าไปค่ะ”
เจ้าชายมาคีชะงัก
“มินตรางั้นเหรอ...”
มินตราเข้ามาข้างหลัง
“เพคะ หม่อมฉันเอง”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร”
“หม่อมฉันเพียงแต่ไม่อยากให้ทรงเห็นสภาพขององค์ราชินีตอนนี้เท่านั้นเพคะ”
“ทำไม เสด็จแม่ทรงเป็นอะไร”
เจ้าชายมาคีเข้ามาในห้องบรรทม เห็นพระนางสาวิตรียืนอยู่ริมหน้าต่างมองไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย
“เสด็จแม่...”
พระนางสาวิตรีหันมา เจ้าชายมาคีโผเข้าหากอด พระนางสาวิตรีตกใจ ผลักไป วิ่งเข้าไปหามินตรา
“ช่วยด้วย...ใครนะมากอดเราได้ยังไง”
มินตราปลอบ
“ไม่ต้องตกพระทัยเพคะ นี่เจ้าชายมาคีพระโอรสของพระองค์ไงเพคะ”
พระนางสาวิตรีคิดๆ
“โอรส...โอรส ใช่เจ้าเป็นโอรสของเรา มาคี ช่วยเสด็จพ่อด้วยนะ”
“ลูกต้องช่วยเสด็จพ่อแน่นอน อย่าทรงเป็นห่วงเลย”
พระนางสาวิตรีสังเกตเห็น มินตรา
“แก นังมารร้าย มาคี ไล่มันออกไป”
“หม่อมฉันมินตราไงเพคะ” มินตราหน้าเหวอ
“ไม่ใช่...แกมันปีศาจ ไปให้พ้น”
พระนางสาวิตรีดิ้นรนหนีไป เจ้าชายมาคีปลอบ
“เสด็จแม่ไม่ต้องกลัว ลูกอยู่นี่ ไม่มีใครทำอะไร เสด็จแม่ได้”
พระนางสาวิตรีไม่ฟัง หนีไปอยู่มุมห้อง เจ้าชายมาคีอึ้งหันมาถามมินตรา
“เกิดอะไรขึ้นกับเสด็จแม่”
มินตราซับน้ำตา
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ ตั้งแต่ท่านนายพลช่วยพระองค์กลับมา ก็มักจะทรงเหม่อลอยบ่อย ๆ บางครั้งก็ทรงกรรแสง บางครั้งก็ตรัสอยู่องค์เดียว เดี๋ยวก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ เดี๋ยวก็ทรงพระสรวล...”
มินตราหยุดสะอื้นไม่พูดต่อเหมือนสะเทือนใจ เจ้าชายมาคีครุ่นคิด
“ทำไมเป็นแบบนี้”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ แต่ทรงเพ้อว่า ให้ปล่อยองค์ราชา และก็อย่าให้คามินยึดราชบัลลังก์ไปได้”
เจ้าชายมาคีเข้าไป พระนางสาวิตรีโวยวาย
“มันไปหรือยัง ไล่มันออกไป อย่าให้มันมาใกล้แม่ไป”
มินตรารีบแย้ง
“ทอดพระเนตรให้ดีซิเพคะ หม่อมไม่ใช่คนร้าย หม่อมฉันมินตรา”
มินตราเข้าไป พระนางสาวิตรีคว้าของข้างตัวไว้แล้ว ขว้างใส่ถูกหน้าผากมินตราเลือดซิบ
“โอ๊ย”
พระนางสาวิตรีวิ่งไปหลังม่าน เอาม่านคลุมตัว ไม่ยอมออกมา มินตราแค้นแต่ก็ทำเป็นเจ็บมาก เจ้าชายมาคีประคองขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้าง”
“เจ็บแค่นี้ไม่เป็นไรเพคะ ทรงเป็นแบบนี้แทบทุกวัน หม่อมฉันชินซะแล้ว”
เจ้าชายมาคีเครียด มองพระนางสาวิตรีอย่างสงสาร
นายพลวิฑูรที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ค่อยๆนั่งลงที่โซฟา
“คงเพราะทรงได้รับความกระทบกระเทือนพระหทัยอย่างหนัก ทรงทอดพระเนตรเห็นแล้วใช่มั้ยพะยะค่ะว่ารายาตอนนี้ขาดทั้งกษัตริย์ขาดทั้งองค์ราชินี แล้วอย่างนี้เจ้าชายยังจะทรงนิ่งนอนพระทัยอยู่อีกหรือพะยะค่ะ”
“แล้วจะให้เราทำยังไง ในเมื่อเรายังช่วยเสด็จพ่อกลับมาไม่ได้”
“มีทางเดียว พระองค์ต้องทรงขึ้นครองราชย์”
เจ้าชายมาคีหยุดเดิน พูดไม่พอใจ
“เราทำไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ท่านลุงจะจัดพิธีราชาภิเษกให้เราขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ยังไง แบบนี้มันเท่ากับเป็นกบฏชัดๆ”
“ใครกันแน่ที่เป็นกบฏ องค์ราชาถูกไอ้คามินจับไป เกิดมันคิดการใหญ่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาโดยใช้องค์ราชาเป็นหุ่นเชิด ทุกอย่างจะแก้ไขไม่ทันนะพะยะค่ะ”
“เสด็จพ่อไม่ทรงยอมแน่”
“ผิดแล้วพะยะค่ะ ตรงกันข้ามองค์ราชาจะต้องสนับสนุนคามินเต็มที่แน่ และคามินก็มีความชอบธรรมที่จะขึ้นครองราชย์ด้วย”
“คามินเป็นแค่องครักษ์ ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระราชา”
“แล้วถ้าคามินไม่ใช่เป็นแค่เพียงองครักษ์ล่ะพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีงง นายพลวิฑูรทอดถอนใจ
“ตอนแรก กระหม่อมไม่คิดว่าจะทูลเรื่องนี้ แต่เมื่อเรื่องมาถึงแค่นี้แล้ว กระหม่อมก็จำเป็นต้องกราบทูล...”
“เรื่องอะไร”
เจ้าชายมาคีเดินออกมาจากห้องนายพลวิฑูรแบบช็อคมาก มินตราสวนเข้ามา เจ้าชายมาคีเซไปพิงผนัง
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปเพคะ พระพักตร์ซีดเหลือเกิน”
เจ้าชายมาคีสลัดมือออก
“ไม่...เราไม่เป็นไร”
เจ้าชายมาคีเดินออกไป มินตรางง
มินตราเดินเข้ามาในห้อง นายพลวิฑูรยิ้มสะใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายคะ”
“ฉันก็แค่ทูลบางอย่างให้ทรงทราบ จะได้ตัดสินพระทัยขึ้นครองราชย์ได้เร็วๆ”
“เรื่องอะไรเหรอคะ คงจะสำคัญมาก”
“ใช่...แต่เธอก็คงไม่จำเป็นต้องรู้ ตอนนี้หน้าที่ของเธอก็คือ...ทำให้องค์ราชินีทรงฟั่นเฟือนไปเรื่อยๆ จะได้ไม่มาเป็นอุปสรรคต่องานใหญ่ของฉัน”
นายพลวิฑูรควักซองยาให้
“แล้วก็คงไม่ต้องบอกว่า ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป เธอจะเจอกับอะไร”
“ฉันยอมมอบกายถวายชีวิตเพื่อเจ้าชายมาคีแล้ว เรื่องใดที่จะเป็นผลร้ายต่อเจ้าชาย ฉันไม่มีวันให้รั่วไหลเด็ดขาดค่ะ ถึงแม้ เจ้าชายจะไม่ทรงยกย่องฉัน ฉันก็จะไม่มีวันทรยศเจ้าชายแน่นอน”
“เธอพูดเหมือนกับว่า เธอมีอะไรลึกซึ้งกับเจ้าชาย”
มินตราน้ำตาร่วง สะอึกสะอื้น
“ไหน พูดมาซิว่า เกิดอะไรขึ้น”
มินตรามีพลาสเตอร์ที่หน้าผากเดินถือถ้วยยาเข้ามาในห้องบรรทม พระนางสาวิตรีหลับอยู่
“องค์ราชินีเพคะ ตื่นบรรทมมาเสวยพระโอสถเถอะ”
พระนางสาวิตรีสะดุ้ง หันไปมองกลัว
“แก...”
“อะไรกัน เห็นหน้าพระสุนิสาถึงกับตกพระทัยขนาดนี้”
พระนางสาวิตรีมองถ้วยยา แล้วนึกถึงอดีต
พระนางสาวิตรีมองสุเทษกับมินตราที่ถือแก้วยาอยู่ในมืออย่างหวาดหวั่น
“พวกเจ้าจะทำอะไรเรา”
“ทำให้พระองค์ทรงเลิกโวยวายไงเพคะ” มินตรายิ้ม
“เจ้าบังอาจมากไปแล้วมินตรา เราจะออกไปพบมาคีพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มาขวางเรา”
มินตรามองสุเทษพยักหน้า สุเทษเข้าจับ พระนางสาวิตรีโกรธจัด
“ปล่อยเรานะ สุเทษไม่เช่นนั้นเจ้าถูกประหารแน่”
มินตราเข้าประชิดพระนางสาวิตรีอย่างรวดเร็ว จับปากบีบกรอกยาทันที พระนางสาวิตรีตาเหลือก ดิ้นรน แต่สู้แรง สุเทษ กับมินตราไม่ได้ ยาหมดถ้วย สุเทษปล่อย มินตรามองสะใจ พระนางสาวิตรีตกใจ
“พวกเจ้าเอายาอะไรให้เรากิน ยาอะไร”
“อีกสักครู่ก็จะทรงสบายพระวรกาย ไม่ต้องคิดไม่ต้องทรงรับรู้อะไร เป็นผลดีกับองค์เองนะเพคะ”
พระนางสาวิตรีแค้น
“แก...นังงูพิษ”
พระนางสาวิตรีตรงเข้าจะทำร้ายมินตรา แต่เดินเข้ามาสองสามก้าว ก็เซ ตาพร่า พยายามสะบัดหน้าแต่ไม่หาย ซวนเซล้มลงนั่ง ตาค่อยๆเหม่อลอย มินตรากับสุเทษสบตากันอย่างพอใจ
ปัจจุบัน...พพระนางสาวิตรีตะเกียกตะเกียกตะกายหนี แต่ไม่มีแรง ตกเตียงลงไป คลานหนี มินตราเดินตาม หน้าตาเหี้ยมโหด
“หนีทำไมละเพคะ ทรงเก่งนักไม่ใช่เหรอ”
มินตรากระชากพระนางสาวิตรีที่หวีดร้อง
ศาลาในสวนวันใหม่...บนโต๊ะมีถ้วยใส่ดอกมะลิและกลีบกุหลาบ วางอยู่ มัทนานั่งร้อยดอกไม้อย่างตั้งใจ ท่านหญิงมาณวิกาเดินออกมามองอย่างแปลกใจ
“นี่แม่ไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย ลูกร้อยพวงมาลัย”
มัทนาพูดเขินๆ
“มัทอยากร้อยไปถวายที่พระฉายาลักษ์ขององค์ราชาค่ะ มัททำสิ่งที่ไม่สมควรมากมายตอนที่อยู่ที่รายา นี่คงเป็นสิ่งดีที่สุดที่มัทจะทำถวายได้ในตอนนี้”
ท่านหญิงมาณวิกาจับมือมัทนาพิจารณาดอกไม้ที่ลูกสาวร้อย
“ทำได้ดี...สวยกว่าตอนร้อยถวายเสด็จตากับหม่อมยายเยอะเลย”
“ตอนนั้นคุณแม่บังคับมัทเลยทำแบบไม่เต็มใจ ถ้าปล่อยให้มัทสมัครใจทำเองของเสด็จตากับหม่อมยายก็สวยไม่แพ้พวงนี้หรอกค่ะ”
ท่านหญิงมาณวิกาหยิบอีกพวงหนึ่งที่ใหญ่กว่าขึ้นมา
“แล้วพวงนี้ละจ๊ะ”
มัทนายิ้มเขินๆ
หิ้งบูชาราชาราชาอินทรา...คามินยืนมองรูปของราชาอินทรา น้ำตาคลอ มัทนาถือพวงมาลัยเดินมา มองมาลัยในมืออย่างภูมิใจจะเดินเข้าหาคามินแล้วชะงักเมื่อเห็นหฤทัยถือถาดสวยงามใส่พวงมาลัยเดินเข้ามาจากอีกด้าน หฤทัยทำความเคารพคามินแล้วเดินมาหา
“หม่อมฉันร้อยดอกไม้มาถวายให้ฝ่าบาทสักการะองค์ราชากับพระมารดาเพคะ”
“ขอบใจหฤทัย ต่อไปเรียกพี่เหมือนเดิม สำหรับเราไม่ต้องมากพิธีหรอก”
“ค่ะ”
มัทนามองเจ็บปวด คามินเอาพวงมาลัยไปวางที่หลุมศพอย่างเศร้าๆแล้วทำความเคารพ หฤทัยมองคามินสงสาร
“ฤทัยขอให้สาวใช้ออกไปซื้อดอกไม้จากตลาดมาค่ะ เสียดายที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง หากอยู่รายาฤทัยคงหาเครื่องสักการะมาถวายได้สมพระเกียรติกว่านี้”
“แค่นี้ก็ทำให้เสด็จพ่อกับพระมารดาพอใจแล้วล่ะ แต่คงไม่มากเท่าที่ฤทัยห่วงพี่ขอบใจนะที่ดูแลพี่มาตลอด”
หฤทัยพูดกับคามินล้อๆ
“หม่อมฉันยังครอบครองกุณฑลอีกข้างของฝ่าบาทอยู่ ขืนไม่ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีหม่อมฉันก็ถูกตำหนิแย่น่ะสิเพคะ”
คามินกับหฤทัยหัวเราะกัน มัทนามองคามินกับหฤทัยเจ็บปวด เดินออกไปอย่างเสียใจ หฤทัยคลายยิ้มลง
“พี่คามินคะ ฤทัยมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับพี่”
คามินแปลกใจ
มัทนาอยู่ในห้องนอนนั่งร้องไห้ ทิ้งมาลัยวางไว้ข้างตัว ท่านหญิงมาณวิกาเข้ามา
“มัท...แม่เข้าใจความรู้สึกของลูกนะ”
มัทนารีบเช็ดน้ำตา
“มัทก็แค่สงสารเจ้าชายคามินเท่านั้น”
ท่านหญิงมาณวิกาดึงลูกเข้ามากอด
“แม่จะไม่คาดคั้นให้ลูกพูด เพราะแม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแค่ไหน ถ้าเราต้องยอมรับว่า เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเรื่องของความรัก”
มัทนาน้ำตาทะลัก กลั้นไม่อยู่
“คุณแม่...”
ท่านหญิงมาณวิกาผละออกมา เช็ดน้ำตาให้
“แต่เชื่อแม่มั้ยมัท ว่าถ้าเรารัก...เพื่อรัก เราจะไม่เจ็บปวดเลย”
“รัก... เพื่อ รักเหรอคะ” มัทนาชะงัก
“ใช่แล้วลูก ถ้าเรารัก เพราะอยากได้ความรักตอบแทน เราจะไม่มีวันอิ่ม แต่ถ้าเรารักเพื่อให้ได้รัก และทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข...เราจะเป็นผู้ชนะตลอดไป”
มัทนาพยักหน้า
“ไหน ยิ้มให้แม่ดูหน่อย คนเก่ง”
มัทนายิ้มทั้งน้ำตา กอดแม่แน่น
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 17 (ต่อ)
ในสวน...หฤทัยยื่นกุณฑลให้คามิน
“อะไรกัน ฤทัย เอากุณฑลมาคืนพี่ทำไม”
“หฤทัยไม่คู่ควรที่ครอบครองกุณฑลนี้หรอกค่ะ”
“ทำไมพูดอย่างงี้”
“พี่คามินแต่งงานกับฤทัยเพราะอยากให้ลูกในท้องของฤทัยมีพ่อ แต่ตอนนี้ลูกก็ไม่อยู่แล้ว และพี่ก็ไม่ได้เป็นแค่ราชองครักษ์แต่เป็นถึงเจ้าชายรัชทายาท ที่มีสิทธิ์เลือกพระชายาที่คู่ควรกว่าฤทัย”
“พี่ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้น”
หฤทัยมองหน้า
“จริงเหรอคะ...ในหัวใจของพี่คามินไม่มีใครจริงๆเหรอ...แม้แต่คุณมัทนา”
คามินหัวเราะกลบเกลื่อน
“คุณมัทนา ยังเป็นพระคู่หมั้น พี่จะคิดอย่างงั้นได้ยังไง”
“คุณมัทนาไม่ได้รักเจ้าชายมาคี เธอถูกบังคับตั้งแต่แรก...และเธอก็มีคนที่เธอรักอยู่แล้ว พี่คามินก็รู้ใช่มั้ยคะ”
“เหลวไหลใหญ่แล้ว ตอนนี้สำคัญที่สุดคือการกอบกู้ราชบัลลังก์ กำจัดคนชั่วอย่างนายพลวิฑูร พี่ไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องส่วนตัว”
“แต่...”
คามินตัดบท
“เอาเป็นว่า...พี่ฝากกุณฑลไว้ที่ฤทัยก่อน แล้วถ้าพี่พบกับคนที่พี่อยากแต่งงานด้วย พี่จะขอคืนตกลงมั้ย”
“ค่ะ”
สินธรเดินเข้ามา
“ขอประทานอภัย...ที่ประชุมพร้อมแล้วพะยะค่ะ”
“ขอบใจ”
คามินเดินแยกไป หฤทัยหันมาถาม
“แผลเป็นยังไงบ้างสินธร”
“ดีขึ้นแล้วครับ ขอบคุณ”
หฤทัยยิ้ม สินธรก้มหน้า กลัวเธอจะเห็นความรู้สึก ผละไป
คามิน สินธร ธรรมรัตน์ เหมันต์นั่งประชุมกัน
“ตอนนี้ทางรายายังออกข่าวมาตลอดเวลาว่า องค์ราชาทรงถูกกบฎลักพาข้ามชายแดนมาทางประเทศไทย และขอให้ทุกประเทศร่วมมือในการติดตามจับตัวเจ้าชาย” เหมันต์เอ่ยขึ้น
“กระหม่อมคิดว่า เจ้าชายควรจะทรงเปิดเผยฐานะ และทรงประกาศเรื่องที่องค์ราชาถูกนายพลวิฑูรปลงพระชนม์ให้ทั่วโลกได้รับรู้ เพื่อความชอบธรรมในการกอบกู้ราชบัลลังก์คืนมา” สินธรเสนอ
คามินแย้งทันที
“ไม่ได้...ทำอย่างนั้น ประชาชนก็จะแบ่งเป็นสองฝ่ายแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ สุดท้ายต่างประเทศก็ จะเข้ามาแทรกแซง”
ธรรมรัตน์ขัดขึ้น
“แต่เรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์ราชาช้าเร็วก็ต้องมีคนรู้ ถึงแม้ผมจะไม่ได้แจ้งพระนามจริงๆกับทางโรงพยาบาล แต่ว่าเราจะเก็บพระศพไว้นานกว่านี้ไม่ได้”
“ผมทราบ เราถึงต้องวางแผนให้รอบคอบ ในเมื่อเรารบแบบซึ่งหน้าไม่ได้ เราก็ต้องรบแบบกองโจร” คามินเครียด
“แต่กองกำลังที่กระหม่อมจะจัดหาให้ได้มันก็ยังน้อยเกินไป” ธรรมรัตน์แย้ง
“นี่คือเหตุผลที่ผมไม่ให้ฐากูรกลับมาด้วย”
ในป่า...ชาวบ้านกำลังซ่องสุมกันทำอาวุธ ทั้งทำดาบ ทำดินปืน ทำระเบิด เอาปืนมากอง แล้วเช็คทำความสะอาด ฐากูรคล้องแขนเพราะบาดเจ็บเดินตรวจ
คามินอธิบาย
“เพราะผมต้องการให้ฐากูรรวบรวมชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยกับการที่นายพลวิฑูรจะยึดอำนาจเพื่อมาเป็นกำลังของเรา”
“แค่พวกชาวบ้านไม่กี่ร้อย ผมเกรงว่าก็จะยังไม่พอ ทรงอย่าลืมว่าฝ่ายโน้นยังมีพวกนายอสิตช่วยอยู่ด้วย...” สินธรขัดขึ้น
คามินหันไปทางเหมันต์
“เรื่องที่ผมขอให้สืบเป็นยังไงบ้างครับ”
“อ้อ...ขอประทานอภัย กระหม่อมลืมไป ลูกน้องนายอสิตที่ตำรวจจับได้ที่เกาะ ให้การว่า อัคนีลูกชายนายอสิตยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพะยะค่ะ”
“ดี...” คามินพอใจ
ธรรมรัตน์สงสัย
“ตกลง แผนของฝ่าบาทคือ...”
ในห้องพักไข้อัคนีในโรงพยาบาล...มาลีกดรีโมทดูทีวีอย่างตื่นตาตื่นใจ อัคนีนอนหลับกระสับกระส่าย ภาพในอดีตเกิดขึ้นในใจ ภาพเหตุการณ์ที่ให้ลูกน้องแกล้งตัดเชือกตอนแข่งไตรกีฬากับคามิน...ตอนเอาสมุดบัญชีไปอวดรวยกับท่านหญิงมาณวิกา...ตอนบุกห้องมัทนาที่รายาแล้วโดนมัทนาซ้อม แว่บเข้ามาในหัว...อัคนีลุกพรวดอย่างร้อนใจ
“มาลี”
มาลีทิ้งรีโมทรีบวิ่งไปหาอย่างตกใจ
“เฮ้ยๆ...เป็นไร”
“ผมจำอดีตทั้งหมดได้แล้วผมเป็นคนเลวมาก”
“เฮ้อ ร้องซะหัวใจจะวาย...คนเราก็เคยทำผิดทั้งนั้นรู้ว่าผิดแล้วแก้ไขใครๆก็เต็มใจให้อภัย” มาลีเซ็ง
“แต่ผมให้อภัยตัวเองไม่ได้ ผมมันเห็นแก่ตัว ขี้โม้อวดรวย น่ารังเกียจ”
“แค่เห็นแก่ตัว ขี้โม้ อวดรวยยังพอให้อภัยได้ นายไม่ได้ฆ่าคนสักหน่อย”
“แค่ที่เคยทำมามันก็แย่พอแล้ว...” อัคนีลงจากเตียงมาพูดกับมาลี “มาลี ผมไม่อยากฟื้นความจำผมไม่อยากจำอะไรได้อีกแล้วผมทนกับอดีตอันเลวร้ายของผมไม่ไหว ผมอยากมีชีวิตใหม่เราไปจากที่นี่กันนะ”
มาลีมองอัคนีตกใจ
“เราจะไปได้ยังไง คนของพ่อนายเฝ้าอยู่หน้าห้อง ทั้งวันทั้งคืนแบบนี้”
อัคนียิ้มมีแผน
ดำกับดอนพรวดพราดเข้ามาในห้องพักที่มืดสลัว
“เฮ้ยไฟดับเหรอวะทำไมมืดแบบนี้” ดำแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้เสียงคุณหนูร้องนี่หว่า”
“ระวังนะ...ข้างนอกไฟก็ติด ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”
เงาอัคนีในความมืดจู่โจมเข้าด้านหลัง ฟาดแจกันเข้าที่ด้านหลังดำ มาลีเอาเก้าอี้ฟาดดอน สองคนร้องเหมือนควายโดนเชือด ล้มฟุบลง มาลีไปที่สวิทส์ไฟกดเปิด
“นี่ผมจะบาปมั้ยเนี่ย”
มาลีไปอังจมูก
“แค่สลบไม่ถึงตาย ไม่เป็นไรหรอก”
อัคนีเข้ามาจับมือมาลี
“ขอบคุณนะจ๊ะที่รักที่ให้กำลังใจ”
“ทะลึ่งแล้ว จะไปก็รีบไปเร็วๆเข้า เดี๋ยวพวกมันฟื้น ขึ้นมาจะยุ่ง” มาลีสะบัด
อัคนีพยักหน้า มาลีเอาปืนที่พกไว้ในเสื้อของดอนดำมาพกไว้เอง แล้วเอากระเป๋าตังค์ออกมา ควักเงินออกมาไว้หมด สุดท้ายเป็นกุญแจรถ โยนให้อัคนี ก่อนจะพยักหน้าพากันวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
เหมันต์กับสินธรมาถามถึงอัคนี ที่โรงพยาบาล
“อะไรนะครับ คุณอัคนีหนีออกจากโรงพยาบาล” เหมันต์ตกใจ
“ใช่ค่ะ คนที่เฝ้าอยู่ถูกทำร้ายสลบทั้งคู่ นั่นไงคะ”
เจ้าหน้าที่ชี้ไป ดำกับดอนคลำท้ายทอยป้อยเดินออกมา เหมันต์กับ สินธรรีบหันหลบ เพราะกลัวสองคนจะเห็นหน้า
“คราวนี้จะทำไง คุณหนูไม่รู้หนีไปไหน ถ้าเสี่ยรู้เราสองคนเหลือแต่กระดูกแหง” ดำบ่นอุบ
“ข้าว่า อย่าเสี่ยงเลย เราสองคนเผ่นไปกบดานบ้านนอกก่อนดีกว่า”
ดำเห็นดีด้วย
“เออ...ข้าก็ว่างั้น”
สองคนเดินออกจากโรงพยาบาลไป เหมันต์กับสินธร มองตามพยักหน้าให้กัน เหมันต์หันมาบอกเจ้าหน้าที่
“ขอบคุณครับ”
ทั้งคู่รีบตามออกไป
ดำกับดอนเดินออกมาที่จอดรถ ดำไม่เห็นรถก็ตกใจ
“เวร คุณหนูขโมยรถไปด้วย”
“แสบจริงๆ แล้วจะเอารถที่ไหนหนีวะ” ดอนเซ็งเลย
“แท็กซี่สิ ไอ้โง่”
“เอ็งมีเงินเหรอ”
“ไม่มี”
“ไอ้ฟาย”
ทันใดนั้นมีเงินยื่นมาข้างหน้า 2000 เหมันต์เป็นคนยื่น
“แค่นี้...พอมั้ย”
“พอสิครับ ขอบคุณคร้าบ”
ดอนหยิบมา ชื่นชมกับดำ แล้วนึกได้หันไปเจอเหมันต์
“เฮ้ย”
ทั้งคู่จะหนีเจอสินธรดัก ทั้งคู่เข้าสู้สินธรหลบหลีก ต่อสู้อย่างคล่องแคล่วในที่สุด จับสองคนชนกันเปรี้ยงลงไปนั่ง
“อยากพิการหรืออยากได้เงิน”
“อยากได้เงินครับ” ดอนจ๋อย
เหมันต์จ้องหน้า
“งั้นก็ตอบคำถามฉันมา”
เจ้าชายมาคีนั่งอยู่ในตำหนัก กำมือแน่นแค้นมาก เมื่อนึกถึงสิ่งที่นายพลวิฑูรบอกความจริงเรื่องคามิน และให้ดูรูปปรารถนา
“อะไรนะ”
“ทรงฟังไม่ผิดหรอกพะยะค่ะ คามินเป็นพระโอรสขององค์ราชาที่เกิดจากผู้หญิงไทยคนนี้ เมื่อครั้งที่เสด็จไปทรงศึกษาที่เมืองไทย”
เจ้าชายมาคีชาไปทั้งตัว
“ไม่...เราไม่เชื่อ”
“เรื่องนี้องค์ราชินีตรัสกับกระหม่อมเอง แต่ที่ไม่ตรัสกับฝ่าบาทเพราะเกรงว่าจะสะเทือนพระทัยที่พระบิดาทรงรักคามินมากกว่าฝ่าบาท”
“เราจะไปทูลถามเสด็จแม่”
“องค์ราชินีคงจะไม่สามารถยืนยันอะไรในตอนนี้ หรอกพะยะค่ะ ฝ่าบาทก็ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ถ้าทรงคิดให้ดี ก็จะทรงทราบคำตอบโดยไม่ต้องรับสั่งถามใครเลย”
เจ้าชายมาคีครุ่นคิด นึกถึงในอดีตตอนที่ถามพ่อเรื่องกรรณิการ์ ราชาอินทราบอกว่าคามินไปสร้างฝาย เจ้าชายมาคีนึกถึงคำพูดของนายพลวิฑูร
“องค์ราชาทรงเข้าข้างคามินทุกอย่าง ทรงสนับสนุนในทุกเรื่อง เพื่อให้คามินเป็นที่ยอมรับของประชาชน หากไม่มีองค์ราชินีคอยขัดขวาง องค์ราชาก็คงจะทรงแต่งตั้งคามินเป็นรัชทายาทลำดับที่ 1ไปแล้ว”
“แต่คามินเองก็ไม่รู้เรื่องนี้”
“เมื่อก่อนไม่ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่แล้ว ไม่อย่างงั้นก็คงไม่กล้าหาญมาเอาตัวองค์ราชาไป หากฝ่าบาททรงรีรอ ไม่ชิงครองราชย์ก่อน เห็นทีจะต้องถวายราชบัลลังก์รายาให้แก่เจ้าชายคามินแล้วละพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีลุกขึ้น ตัดสินใจ
“เราจะเอาทุกอย่างคืนมาจากเจ้าคามิน”
เจ้าชายมาคีเดินออกไป
ในห้องประชุมบ้านธรรมรัตน์วันใหม่...สินธรกับเอาเรื่องมารายงาน คามินเครียด
“อัคนีหนีไปแบบนี้ เท่ากับแผนของฝ่าบาทที่เราจะเอาอัคนีไว้เป็นตัวประกันเพื่อให้เสี่ยอสิตมาร่วมมือกับเราก็ใช้ไม่ได้”
“แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามาลีปลอดภัย และถ้าเดาไม่ผิด มาลีคงจะพาอัคนีกลับไปที่ภูสายธารแน่”
เหมันต์เคาะประตู
“เข้ามา”
เหมันต์เข้ามา
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ คุณธรรมรัตน์ ให้กระหม่อมมาทูลข่าวด่วน”
“มีข่าวอะไร”
มัทนาสอนฤทัยเล่นเปียโน กดไล่คีย์ให้กดตาม
“นั่นละค่ะ ทีนี้ลองเล่นเป็นทำนอง”
มัทนาเล่นให้ดูท่อนหนึ่ง ฤทัยตามแต่ก็ไม่ได้
“ยากจัง ฤทัยไม่มีทางเล่นได้แน่ คุณมัทเก่งจังเลยนะคะ”
“ไม่หรอกค่ะ มัทเก่งแต่เรื่องไร้สาระ แต่ถ้าจะให้มาทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เป็นเรื่อง เป็นราวอย่างผู้หญิงเขาทำกัน มัทก็ทำไม่ได้”
“แต่คุณมัทก็โชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างอิสรเสรี”
“มัทไม่ได้โชคดีไปทุกอย่างหรอกค่ะ”
“คุณมัทคะ คือว่า...ฤทัยมีเรื่องที่อยากจะบอก”
มัทนามองเชิงถาม หฤทัยจะบอกว่าคามินรักมัทนาแต่สินธรเข้ามาขัดเสียก่อน
“ขอโทษครับ เจ้าชายเชิญคุณหฤทัยที่ห้องประชุม”
“มีอะไรหรือสินธร”
“คงจะทรงหารือเรื่องสำคัญ”
หฤทัยบอกกับมัทนา
“ขอตัวก่อนนะคะ”
สินธรเดินไปกับฤทัย มัทนามองประหลาดใจ เธอเห็นเหมันต์เดินจ้ำออกไปนอกบ้านก็ตามไป
มัทนาวิ่งตามเหมันต์มาหน้าบ้าน
“พี่เหมันต์”
“คุณมัท”
“เกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวพี่ต้องรีบกลับไปหาท่านประธานที่นิคม วันหลังค่อยคุยกัน”
มัทนาขวาง
“ถ้าไม่คุยวันนี้ก็ไม่ต้องคุยอีกเลย”
เหมันต์จ๋อย
ในห้องประชุม หฤทัยแปลกใจ
“กลับรายาเหรอเพคะ”
“ใช่...คุณธรรมรัตน์ได้รับแจ้งจากทางกระทรวงต่างประเทศ ว่ารายากำลังจะมีพิธีราชาภิเษก เรารอไม่ได้แล้ว”
“ฤทัยขอไปด้วยนะคะ”
“รออยู่ที่นี่เถอะ พี่ไม่อยากให้ฤทัยต้องไปเสี่ยงอันตรายกับพี่”
สินธรเห็นด้วย
“ใช่ครับ เชื่อเจ้าชายเถอะ ถ้าเรื่องทางโน้นเรียบร้อยผมจะกลับมารับคุณหฤทัยเอง”
“ไม่ค่ะ ฤทัยก็เป็นชาวรายา ฤทัยอยากมีส่วนช่วยบ้านเมืองเหมือนกัน ฤทัยขอร้องนะคะ อย่าทิ้งฤทัยไว้ที่นี่เลย”
คามินมองกับสินธรจำใจยอม
มัทนาเดินหน้าเคร่งกลับเข้ามาในโถงบ้านจะขึ้นบันได คามินเข้ามาจะขึ้นบันไดเหมือนกัน ชะงักทั้งคู่ มัทนาถอยย่อตัว
“คุณมัท...คือผม...”
“จริงด้วย...เราลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องโน้นนี่ นึกว่าอยู่ข้างบน”
มัทนาเดินไปเลย คามินงงๆ ป้าทิพย์กับอนงค์เดินคุยกันมา อนงค์ถือมาลัยของมัทนาที่ร้อยให้คามิน มาลัยเริ่มช้ำแล้ว ป้าทิพย์เอามาลัยมาดู
“มาลัยสวยๆ จะทิ้งทำไม”
“แต่คุณมัทสั่งให้หนูทิ้งตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าหนูไม่ทิ้งก็โดนซิป้า”
“ไม่เข้าใจจริงๆ เห็นคุณมัทแกนั่งร้อยหลังขดหลังแข็งจะถวายเจ้าชาย แล้วก็อยู่ดีดีจะทิ้งซะงั้น”
“ก็นั่นซิ ร้อยวันพันปี แกเคยทำซะที่ไหนแสดงว่า ต้องปลื้มเจ้าชายเอามากๆ อุ้ย”
อนงค์เพิ่งเห็นคามิน ป้าทิพย์ก็สะดุ้งเหมือนกัน รีบถอนสายบัว จะไป คามินเรียกไว้
“เดี๋ยว...ขอดูมาลัยนั่นหน่อยซิ”
ทั้งคู่จ๋อยๆกลัวโดนด่า ย่อตัวยื่นให้
ริมสระน้ำ มัทนาชะเง้อชะแง้ดูว่าคามินไปรึยัง ถอยๆหลังไป ชนเข้ากับคามินที่ยืนอยู่
“อุ๊ย”
มัทนาทำหน้าไม่ถูก ถอนสายบัว
“ขอประทานอภัยเพคะ”
มัทนาจะไป คามินถามขึ้น
“เจอโทรศัพท์แล้วเหรอครับ”
“ยังเลยเพคะ เอ๊...อยู่ไหนน้า สงสัยอยู่ตรงโน้น”
มัทนาจะไป คามินขวาง เธอจะหลีกไปขวาเขาก็ขวางอีก
“ทรงพระกรุณาถอยไปนิดนึงได้มั้ยเพคะ”
คามินยกมาลัยขึ้นมา
“อุตส่าห์ร้อยให้ผม แล้วทำไมถึงจะเอาไปทิ้ง”
มัทนาพยายามพูดเรียบๆ ไม่แสดงอาการงอน
“ก็เพราะมีคนที่ฝีมือดีกว่าหม่อมฉันร้อยถวายแล้วน่ะสิเพคะ”
“หฤทัยนะเหรอ อ้อ...คุณก็เลยโกรธ”
“ไม่เลยเพคะ หม่อมฉันไม่โกรธเลย ดีใจเสียอีก เพราะฝีมือหม่อมฉันไม่เอาไหน เทียบคุณหฤทัยไม่ติด”
“ของบางอย่างก็มีคุณค่าต่อจิตใจโดยไม่เกี่ยวกับความสวยงาม”
คามินตาวิบวับ มัทนากำลังเคลิ้มต้องฉุดตัวเองกลับ
“แต่คงไม่ใช่มาลัยพวงนี้ หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ”
มัทนาจะเดินไป คามินรีบบอก
“มัทนา ผมคงต้องกลับรายาแล้วนะ”
มัทนาชะงักไปรู้จากเหมันต์แล้ว เธอยิ้มให้เขา
“งั้นเหรอเพคะ”
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ถ้าโชคดีผมคงได้กลับมา...”
“ฝ่าบาททรงเปี่ยมไปด้วยพระบารมีต้องทรงโชคดีแน่นอน ทูลลาเพคะ...”
มัทนาถอนสายบัว แล้วรีบเดินไป คามินเรียก
“มัทนา”
คามินถอนใจ มองมาลัยในมือ...มัทนาเดินลิ่วเลี้ยวมุมตึกมาแล้วก็ชะลอฝีเท้าหน้าที่ยิ้มแป้นก็คลายเป็นเศร้า ก่อนจะสูดหายใจอย่างมุ่งมั่น ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
จบตอนที่ 17