ล่าดับตะวัน ตอนที่ 7
มีความเบิกบานในสีหน้าของภูผา หลังจากที่พาตัวเองมาอยู่ที่ร้านประจำ ในตลาดค้าปลาสวยงามริมถนน ละแวกสวนจตุจักรสักพักหนึ่งแล้ว เขาก้มๆ เงยๆ ดูปลาสวยงามอยู่อย่างเพลิดเพลิน กระทั่งมีเสียงใครคนหนึ่งร้องทัก ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เจอกันอีกแล้วนะ”
ภูผาหันมอง เห็นชบายิ้มทักอย่างเป็นมิตรมาให้ ภูผายิ้มทักตอบอย่างยินดีเช่นกัน
“คุณนั่นเอง”
“เรียกฉันชบาก็ไดค่ะ”
ภูผาหัวเราะขำ
ชบางง ถามเสียงแข็ง “ขำอะไร”
“ก็ขำชื่อคุณไง ชื่อไท้ไทย”
“อ้าว! ก็คนไทย จะให้ชื่ออะไร เชอรี่ แอนนี่ เอมมี่ ลูซี่ น้องวาย หรือว่า แม็กกี้ดี”
ภูผาส่ายหน้าบอกขึ้นว่า “ชบานี่แหละเหมาะแล้ว ไม่เหมือนใครดี”
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมภูผา”
ชบาเป็นฝ่ายหัวเราะขำขึ้นบ้าง
“เช้ยเชย ยิ่งกว่าฉันอีก สงสัยชื่อเล่นคงไม่พ้น ก้อนหิน แน่ๆ พ่อแม่ไม่รัก หรือว่าพ่อแม่ขี้เกียจตั้งชื่อกันแน่เนี่ย”
ภูผาหันมามองตาเขม็ง เคืองนิดๆ ที่เล่นถือบุพการี ชบาชะงักรู้ตัว
“อย่าแซว พระตั้งให้”
“อู้ อย่างงั้นเป็นมงคล มาทำอะไรวันนี้”
“ก็...มาเดินดูปลาเล่นๆ ว่าจะลองเลี้ยงดูอย่างที่คุณว่าเหมือนกัน”
“เหรอ งั้นให้ฉันช่วยแนะนำมั้ย”
ภูผายิ้มกว้าง
“ได้ อย่างงั้นก็ดีนะซิ”
สองคนเดินคุยกันมา
“แล้วคุณอยากเลี้ยงอะไร”
“อะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องดูแลมาก”
“งั้นปลาเงินปลาทองแล้วกัน เบสิกสุด”
ชบาแนะนำสายพันธุ์ปลาตามตู้ ไล่ชื่อได้ถูกต้องคล่องปาก
“ฟุนะ, ฮิบุนะ, โคเมท, ชูบุงกิ้น, วากิ้น, วาโตไน ริวกิ้น, ออรันดา, เกล็ดแก้ว, ลักเล่ห์ แพนด้า, เดเมกิ้น, โทะซะกิน สิงห์จีน, สิงห์ญี่ปุ่น, สิงห์ดำตามิด, รันชู, ลูกโป่ง, ตากลับ”
ตะวันมองตามตาค้างทึ่งมาก เขาลองเคาะกระจกเรียกน้องปลา ตามตู้ที่ชบาไล่ชื่อเมื่อครู่
ชบาหัวเราะขำ “ปลาไม่ใช่น้องหมา จะได้เคาะเรียกมันได้”
“อ๋อเหรอ” ภูผาไม่รู้จริงๆ
ชบาส่ายหัว หน้าตาก็ดีไม่น่าโง่
“คุณนี่ความรู้แยะดีนะ ไปเรียนมาจากไหน”
“ทำไมต้องไปเรียนด้วย อ่านเอาก็พอแล้ว”
ชบาหันหยิบหนังสือคู่มือเลี้ยงปลาที่วางขายอยู่ในร้านส่ง ภูผารับไปเปิดดูอย่างสนใจ
พนักงานขายสัตว์เลี้ยงแพงโคตรร้านติดกับร้านขายปลา มีป้ายชื่อติดเห็นชัดว่า น้องปลา เจ้าหล่อนสวยดูดีมีระดับ จนภูผาเผลอยืนจ้อง ตาไม่กระพริบ ชบามองตามแล้วกระซิบข้างหูได้ยินกันสองคน
“ตัวนี้ท่าทางจะเลี้ยงยาก เล่นแบรนด์เนมมาทั้งชุดแบบนี้ ต้องมีกะตังค์แยะๆ หน่อย ถึงจะเลี้ยงไหว”
ภูผาพยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสองคนเดินคุยกันมาอีกมุม
“งั้นผมควรเริ่มจากพันธ์ไหนดีล่ะ”
ชบาหันมองประเมินภูผา
“อย่างคุณที่ความรู้เรื่องปลาอนุบาลขนาดนี้ ฉันว่าอย่าเพิ่งปลาเงินปลาทองเลย”
“อ้าว ทำไม”
“ฉันกลัวจะไม่รอด”
“งั้นก็อดเลี้ยงซิ”
“ไม่หรอก ฉันมีที่เหมาะกับคุณแล้ว”
ปลาหางนกยูงในอ่างว่ายวนไปมา ทั้งสองคนยืนดูอยู่ ภูผาอุทานอย่างไม่อยากเชื่อหู
“หางนกยูงเนี่ยนะ”
ชบาพยักหน้ารับคำแทนคำตอบ
“อย่างคุณ ต้องเริ่มจากหางนกยูงก่อน เพราะเลี้ยง ง่ายตายยาก”
“ทำไมผมถึงเริ่มจากปลาทองเลยไม่ได้”
“ก็เกิดคุณเลี้ยงไม่รอดขึ้นมาสงสารน้องปลา”
ภูผาชักสีหน้า ดูถูกกันนี่แบบนี้
สีหน้าชบาซีเรียสขึ้นมาทันที “ถึงเค้าจะเป็นแค่สัตว์เลี้ยง แต่ก็มีชีวิตเหมือนกันนะคุณ นึกถึงใจเค้าใจเราบ้าง ลองคิดกลับกันว่าถ้าคุณเป็นน้องปลา แล้วคุณอยากถูกพวกอ่อนแบบคุณซื้อไปเลี้ยงมั้ย”
ภูผาส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เห็นมั้ย คุณเองก็ยังไม่อยาก”
ภูผาหัวเราะขำอย่างเห็นด้วย
“งั้นผมขอเชื่อเซียนอย่างคุณแนะนำแล้วกัน”
ชบายิ้มกว้าง “ถูกต้องนะคะ”
ไม่นานต่อมา อุปกรณ์เลี้ยงปลาที่ภูผาซื้ออยู่ในถุงแล้ว ภูผาจ่ายตังค์ให้คนขายพลางหันมายิ้มให้ชบา
“ขอบคุณนะที่แนะนำ”
“ไม่เป็นไรช่วยๆ กัน”
“แล้วถ้าผมเกิดมีปัญหาจะปรึกษาคุณได้มั้ย”
“ได้ซิ เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวกดเบอร์ให้”
ภูผานิ่งคิด เขาระวังตัวมาก ไม่ให้ใครจับโทรศัพท์ตัวเองง่ายๆ
“เอ่อ...ขอเบอร์คุณมาดีกว่า ผมกดเอง”
ชบามองค้อนแล้วบอกเบอร์ “เยอะนะ เบอร์ 089442….” ภูผากดเมมไว้
สองคนมองหน้ายิ้มให้กันอย่างอารมณ์ดี
อีกฟากหนึ่ง ปานวาดเคาะประตูเมฆ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงหยิบกุญแจไขเข้าห้องไป ทันทีที่ประตูเปิดออก ปานวาดเดินเข้ามาแล้วชะงักกึก มองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ จนต้องถอยย้อนกลับไปดูหมายเลขหน้าห้องอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ
“ก็ใช่นี่”
จากห้องที่รกเรื้อ บัดนี้ห้องเมฆกลายเป็นห้องสะอาดเอี่ยม เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไม่รกเหมือนเก่า ข้าวของวางเป็นระเบียบ”
ปานวาดกวาดตามองไปรอบๆ ยิ้มอย่างพอใจ
“ความจำเสื่อมทำให้คนสะอาดขึ้นได้ด้วยแฮะ”
ปานวาดมองไปเห็นหมอกยืนมองอยู่หน้าห้องพร้อมของที่ซื้อมาในมือ
“ไปไหนมา”
“ไปวิ่งแล้วก็แวะตลาดมา”
หมอกเดินเอาของไปวางบนโต๊ะเตรียมอาหาร
“นึกอะไรขึ้นมาถึงเก็บห้องซะเรียบร้อยเชียว”
“นี่เรียบร้อยแล้วเหรอเนี่ย แสดงว่าเมื่อก่อนผมไม่เรียบร้อยเลยซิ”
“ยิ่งกว่าผ้าที่เค้าโยนลงตระกร้าอีก”
หมอกยิ้ม แล้วถามปานวาดขึ้น
“วาดมาที่นี่มีอะไรเหรอ”
“แค่จะมาชวนไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน ไม่ได้ไปกินอะไรด้วยกันมาตั้งนานแล้วนะ”
“แต่ผมซื้อกับข้าวมาแล้ว”
“ก็เอาไว้ก่อน ก็ได้นี่นา”
“แต่ผมซื้อปลามา ปลามันต้องทอดกินสดๆ แช่เย็นไว้มันก็กลายศพแช่แข็งนะ” เขาว่า
ปานวาดนิ่งคิด “แล้วจะเอายังไงอ่ะ”
“ผมทำให้กินแล้วกัน”
ปานวาดไม่อยากเชื่อหู “เมฆจะทำกับข้าว เมฆทำเป็นเหรอ”
“อันนี้ต้องลอง ไม่ลองไม่รู้”
ปานวาดยิ้มรับ “ก็ได้”
การทำอาหารของหมอก ทำเอาปานวาดถึงกับตาค้าง จากที่แอบลุ้นว่าจะกินได้ไหม? กลายเป็นทึ่ง อึ้ง ตะลึงตะไลไปเลย ไม่คิดว่าหมอกที่เข้าใจว่าเป็นเมฆจะทำหารเก่งเทพขนาดนี้ หมอกทำครัวคล่อง ทั้งจับอุปกรณ์และการปรุง เทพจริงๆ
อาหาร 2-3 เมนู เสร็จวางเสิร์ฟบนโต๊ะพร้อมทาน หน้าตาน่ากินเวอร์ จนปานวาดออกปาก
“น่ากินจัง”
หมอกยิ้มรับเอาคำชมนั้น
“แต่รสชาติจะกินได้มันอีกเรื่องหนึ่ง ต้องพิสูจน์ก่อน”
สาวสวยหยิบช้อนตักลองชิม แล้วต้องตาโตด้วยความแปลกใจ เมื่อพบว่ารสชาติดีเกินคาด
“อร่อยอ้ะ”
ปานวาดลองชิมอย่างอื่น ทึ่งอีก
“อร่อยหมดเลย ไม่คิดเลยว่าฝีมือจะเริดขนาดนี้”
หมอกยิ้มไม่ปฏิเสธ
ทางฝ่ายปราการมารายงานตัวกับตะวันที่คฤหาสน์ ภายหลังได้ประกันตัวออกมา
“แย่เลยนะที่ทำให้นายต้องลำบากเสียหลายวัน”
“ไม่เป็นไรครับนาย เรื่องเล็กครับ”
ตะวันยิ้มให้ “งั้นก็ไปพักเถอะ ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรให้แกทำ”
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องที่นายให้ไปสืบเกี่ยวกับวันที่ลงมือเก็บอัคคเดชวันนั้น”
ตะวันสนใจทันที “ว่าไง”
“มีการยิงเกิดขึ้นหนึ่งนัดครับ แต่บอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนยิง”
ตะวันได้ฟังนิ่งอึ้งไปถนัดตา คิดหนัก
“นายจะให้ทำยังไงต่อไปครับ”
“ยังไม่ต้องทำอะไร แค่คอยดูท่าทีมันสองคนไปก่อน”
“ครับ” ปราการเดินออกไป
ทิ้งตะวันให้เครียดคิดอยู่ลำพัง
มองจากระเบียงบ้านภูผาออกไป พบว่าพระอาทิตย์กำลงจะตกดิน ปลาในตู้เลี้ยงปลาใหม่เอี่ยมว่ายวน ตู้ปลาจัดเสร็จแล้วสวยงาม ภูผานั่งมองผลงานแล้วชอบใจ
"สวยดีเหมือนกันแฮะ"
ภูผานั่งมองพอใจในผลงานตัวเองอีกอึดใจ ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น เห็นเบอร์ภัสสรจึงรีบรับสาย
“ครับเจ๊สร”
ภูผาเดินเข้ามาในคลับภัสสร สาวเซ็กซี่ 2 นาง เห็นภูผาก็ดีใจ รีบมารุมล้อมทักทายออดอ้อนคลอเคลียยกใหญ่
สาว 1 จ๊ะจ๋า “คุณภูผา วันนี้นึกยังไงมาถึงที่นี่ได้คะ อย่าบอกนะว่าคิดถึงหนู”
“ไม่เจอนาน หล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ” สาว 2 อ้อน
ภูผาไม่สนใจ ยิ้มตัดบท
“ผมนัดคุยธุระกับเจ๊สร ขอตัวก่อน”
สาวๆ ค้อนลมขวับ แต่ละนางกลืนความผิดหวังกินไป อดดูนมชมพู
“มาทีไรมาธุระทุกที”
“พี่ภูผาเนี่ยไม่ใจอ่อนซะที เปลี่ยนใจเมื่อไร โทร.หาได้นะ”
ภูผายิ้มให้เป็นมารยาทแล้วเลี่ยงไปทางห้องภัสสร
สองสาว มองตามด้วยสายตาโลมเลีย และเสียดาย
ภูผาเข้ามาในห้อง ภัสสรรออยู่ ผายมือเชิญให้นั่งตรงมุมรับรอง
“นั่งก่อนสิ”
ภัสสรเดินไปหยิบเครื่องดื่มให้ตรงบาร์เล็กๆ ในห้อง
“ทำไมถึงปล่อยให้เมฆมันออกโรงถล่มแก๊งดาวเหนือคนเดียวล่ะ”
“ในเมื่อคุณตะวันไม่ได้สั่ง ผมก็จะไม่ทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง”
ภัสสรยิ้มอย่างเห็นใจ เพราะรู้ว่าภูผาคงเซ็งแทบแย่ที่เมฆได้แต้มนำไปเต็มๆ
“มาพูดเรื่องของเราดีกว่า นายพลยี่เส่ง กำหนดนัดวันส่งของมาแล้วนะ”
ภูผาหูผึ่งรับฟังอย่างสนใจ “วันไหนครับ”
“วันอาทิตย์ที่จะถึงเนี่ย”
“แล้วจะรับส่งกันยังไงครับ”
“ก็คงต้องนัดเทสต์ของกันก่อน แล้วนายพลยี่เส่งจะโทรบอกวันส่งของอีกที นายพลยี่เส่งชอบทำแบบนี้อยู่แล้ว”
ภูผาทำเนียนพยักหน้ารับเอาคำ
คุยธุระเสร็จภูผาขอตัวกลับทันที ภัสสรเดินออกมาส่ง
“จะกลับเลยเหรอ นี่ไม่คิดจะสนใจเด็กของฉันบ้างเลยรึไง”
“เจ๊ก็รู้ว่าผมไม่ชอบ”
ภัสสรหัวเราะ แซวขำๆ “ฉันรู้ว่านายไม่ชอบแบบนี้ แต่คนที่นายชอบน่ะเขามีเจ้าของแล้วนะ”
ภูผาอึ้งนิ่งงันไป ไม่คิดว่าภัสสรจะรู้เรื่องส่วนตัวตน
“แซวเล่นน่ะ ไว้เจอกันนะ เตรียมตัวให้พร้อมล่ะกัน”
ภัสสรหันกลับเข้าห้องไป ภูผาโดนแทงใจจังๆ คิดถึงเธอคนที่มีเจ้าของคนนั้นจับหัวใจ
ภูผาขับรถมาหยุดแอบมอง จนเห็นปานวาดขึ้นคอนโดไป
สักพักจึงถือกล่องขนมเดินเข้าล็อบบี้ขึ้นลิฟต์ตามไป พอมาถึงหน้าห้องปานวาดกลับลังเล ตัดสินใจเดินกลับไปที่ลิฟต์ แต่สุดท้ายเดินไปเคาะประตู สีหน้าตื่นเต้นมาก ปานวาดเปิดประตูออกมามองฉงน
“อ้าวภูผา มีธุระอะไรรึเปล่า”
“เราซื้อขนมมาให้วาดน่ะ” ภูผายื่นให้ ปานวาดรับมาสีหน้าแช่มชื่น
“อ๋อ ขอบใจนะ น่ากินเชียว แต่อิ่มแล้วอ่ะดิ เพิ่งกลับจากไปกินข้าวกับเมฆมา เมฆทำกับข้าวอร่อยมากเลย ไม่อยากจะเชื่อ”
ภูผาหน้าเจื่อนลง เมื่อดูแล้วพบว่าปานวาดมีความสุขมาก
“งั้นเรากลับแล้วนะ ไม่มีอะไรมากแค่เห็นว่าขนมร้านนี้อร่อย เลยเอามาฝาก โทษทีนะมาดึกหน่อย”
“ไม่เป็นไร ขอบใจมากนะ แต่ทีหลังไม่ต้องเอามาหรอกนะ เกิดวันไหนเมฆมาเห็นจะเป็นเรื่องเอา”
ภูผาหน้าเศร้าไปเลย
“อืม รู้แล้ว”
ภูผายิ้มลา แล้วหันตัวเดินจากไป ปานวาดยิ้มส่งแล้วปิดประตูลง ภูผาหยุดหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเศร้าจัด
ทางด้านชบากำลังให้อาหารปลาพลางพูดกับปลาเหมือนเป็นญาติสนิท นางมีปลาเยอะราวกับร้านขายปลาก็ปาน และตั้งชื่อปลาตัวโปรดตามชื่อดอกไม้ไทยเหมือนชื่อตัวเอง
“ผอมลงรึเปล่าเนี่ยซ่อนกลิ่น กินเยอะๆ นะ”
ชบานึกถึงปลาหางนกยูงที่แนะนำให้ภูผาเลี้ยง
“คุณหางนกยูงจะเป็นไงบ้างนะ นายภูผาจะดูแลได้รึเปล่าเนี่ย”
ชบาดูโทรศัพท์มือถือ
“ไม่เห็นโทรมาเลย หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ”
ชบานึกถึงแต่ภูผา ตอนถูกเขาหัวเราะว่าชื่อชบาไท้ไทย ส่วนชบาบอกว่าชื่อภูผาเชย
นึกถึงแล้วก็เผลอยิ้มขำออกมา พอเห็นปลาตัวหนึ่งว่ายมาจ้องหน้าชบาก็ร้อนตัวแก้ตัวพัลวัน กับปลา
“มองหน้าแบบนี้หมายความว่าไง แค่เป็นห่วงว่าจะเลี้ยงปลาหางนกยูงรอดป่าวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซะหน่อย”
ชบานึกถึงภูผาแล้วยิ้มชื่น มีความสุข
เช้าวันต่อมา ที่หน่วยเมฆาพยัคฆ์
ชบาหาวขึ้นเสียงดังอย่างลืมตัว ทั้งหน่วยที่เวลานี้อยู่ในห้องประชุม หันมองเป็นตาเดียว เจ้าหล่อนกำลังอยู่ในที่ประชุมทีม โดยเฉพาะอัคคเดช
“หาว แต่เช้าเลยนะหมวด เมื่อคืนไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา”
“ก็เมื่อคืนนะซิคะ หนูต้อง Up blog ก็เลยดึกไปหน่อย”
ชบารู้ตัวว่าพล่ามผิดเรื่อง แถมผิดจังหวะอีกด้วย จึงเงียบไป หน้าเจื่อนๆ
“งานราษฎร์ส่วนงานราษฎร์ ตอนนี้งานหลวง ตั้งใจหน่อย” ผู้กำกับตำหนิ
“ค่ะ” ชบาจ๋อย
“เรื่องภัสสรไปถึงไหนแล้ว”
“ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรอีกเลยครับ”
“แล้วทางนายตะวันล่ะ”
จ่ามนตรีบอกว่า “ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเหมือนกันครับ”
อัคคเดชเปรยขึ้น “แบบนี้เค้าเรียก คลื่นลมสงบก่อนพายุใหญ่”
เสียงโทรศัพท์อัคคเดชดังขึ้น ผู้กำกับมองดูเบอร์ เห็นว่า เป็น “P” โทร.เข้ามา
“แป๊บนึงนะ”
อัคคเดชลุกเดินแยกจากกลุ่มมา
ยักษ์มองตามอย่างสนใจ ชบาถามขึ้น ท่าทางอยากรู้มาก
“แฟนผู้กำกับเหรอ”
“ไม่น่าใช่” อ้อยบอก
“ผู้กำกับไม่มีแฟนเหรอคะ ชบาเห็นวันๆ ทำแต่งาน” ชบาถามขึ้นอย่างแปลกใจ นางเว้นวรรคไป ก่อนที่ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นในหัว “อย่าบอกนะคะว่าเป็นเก้งกวางกับเค้าด้วย”
อ้อยรีบแก้ขึ้นทันควัน “ไม่ใช่คะ ไม่ใช่”
“ก็กล้ามปูซะขนาดนี้ แถมไม่มีแฟนอีก” ชบาว่า
“เคยมีครับ แต่ว่าเสียไปแล้ว” มนตรีบอก
“เหรอคะ”
สีหน้าชบาเต็มไปด้วยความแปลกใจ สงสัยใคร่รู้
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 7 (ต่อ)
อัคคเดชเดินออกมาพูดสายตรงมุมลับตาคน
“ว่าไง”
เสียงภูผาดังออกมาว่า “พวกมันจะรับส่งยากันอาทิตย์นี้ครับ แต่ยังไม่มีรายละเอียด ผมโทร.มาบอกให้ผู้กำกับเตรียมตัวไว้ก่อน ถ้าได้เรื่องยังไงแล้วผมจะโทร.บอกรายละเอียดอีกที”
“ได้ ขอบใจ”
อัคคเดชเดินกลับมาร่วมประชุมด้วยอีกครั้ง
“เอ้อ…วันอาทิตย์นี้ว่างกันหรือเปล่า”
ชบาแหลมขึ้นมาทันที “ผู้กำกับจะชวนไปเที่ยวเหรอคะ”
“เปล่า มีงานต้องทำ”
มนตรีบ่นงึมงำวันหยุดมีงานตลอด “อีกแล้วเหรอ”
อัคคเดชเหลือบมองด้วยหางตา พร้อมถามขึ้นว่า
“ทำไม ไม่ว่างเหรอมนตรี”
มนตรีสะดุ้ง “ว่างครับ ว่างเสมอ ว่างทุกเวลา ทุกนาที ว่างตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ว่างทุกเวลาที่ผู้กำกับต้องการ”
“ดีมาก”
มนตรียิ้มแหยๆ
“งั้นเตรียมตัวให้พร้อม มีงานต้องทำ”
จ่ายักษ์ถามว่า “งานอะไรครับ”
“ตอนนี้ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ ข้อมูลยังมาไม่ครบ ต้องรอข่าวอีกทีหนึ่งก่อน”
“งั้นเหรอครับ”
จ่ายักษ์ครุ่นคิดว่างานอะไร ลับขนาดนี้
ที่กองบังบับการกองปราบปรามพิเศษ ผู้การเด่นชาติฟังรายงานข่าวเรื่องการขนยาจากอัคคเดชจบแล้วจึงทวนคำอย่างใคร่ครวญ
“นี่คุณคิคจะขุดบ่อล่อปลากับนายตะวันอย่างงั้นเหรอ”
“ครับ ไม่งั้นเราคงหาทางเล่นงานมันยาก”
“ก็จริงของคุณ เราตามมันมาตั้งนานแล้ว แต่ยังเล่นงานมันไม่ได้สักที”
อัคคเดชยิ้มรับ
“แล้วคุณมีแผนยังไง”
“สายของผมอยากให้เราเล่นเอาเถิดเจ้าล่อแกล้งไล่จับเค้า จะได้ไม่เป็นที่สงสัยว่าทำไมถึงได้พลาด แล้วนายตะวันจะได้มาทำแทนตามที่มันต้องการ”
“งั้นก็จัดให้เค้าตามนั้น เลือกเอาคนที่คิดว่าไม่น่าเอาสายของเราอยู่ จะได้เนียน สายเราจะได้ดูน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก”
“ได้ครับ ผมมีตัวเลือกแบบนั้นอยู่แล้ว”
อัคคเดชยิ้มพราย
วันอาทิตย์ แดดร่ม ลมตกแล้ว บรรยากาศในคอมมิวนิตี้มอลล์ แห่งนี้ ยังคึกคักคลาคร่ำด้วยนักเที่ยว นักช้อป อยู่หนาตา
ชบานั่งชิลล์ราวกับมาเที่ยว ดูดกาแฟสบายในเฉิบ มนตรีที่นั่งมองอย่างอิจฉา
“จะชิวไปหรือเปล่าหมวด”
“นานๆ จะได้ทำงานในที่แบบนี้สักที มีโอกาสก็ต้องนีส...นึง ชีวิตดี๊ดีมีความสุขจังเลย”
มนตรียิ้มขำชบา ก่อนเสียงวิทยุดังขึ้นเป็นเสียงแซวจากผู้กำกับอัคคเดช
“นี่หมวดชบา มาทำงานนะไม่ได้มาเที่ยว”
อัคคเดชแอบสังเกตการณ์ ที่มุมสูงกว่า มองเห็นโดยรวมได้ทั้งหมด
“ก็ผู้กำกับสั่งให้ทำตัวกลมกลืนไงคะ”
อัคคเดชตาคว่ำ มันย้อนอีกแล้ว
“ไม่ต้องกลืนขนาดนั้นก็ได้”
“ค่ะ”
มนตรีขำกลิ้ง ชบาหันมามองตาขวาง ด้านอัคคเดชยิ้มขำ
จ่ายักษ์กับหมวดอ้อยที่แกล้งทำเป็นคู่รัก นั่งอยู่โต๊ะตรงข้ามชบา พากันหัวเราะชอบใจ
ขณะเดียวกันนี้ ภัสสรพร้อมกับพรชัย เดินเข้าไปนั่งในร้านกาแฟโซนกลางแจ้ง พรชัยวางกระเป๋าถือที่มีดอกกุหลาบเสียบอยู่บนโต๊ะเป็นสัญลักษณ์
สักครู่หนึ่งจึงเห็นชายคนหนึ่งมานั่งที่โต๊ะว่างใกล้ๆ กัน เขาเป็นคนของยี่เส่งที่นัดกันไว้แล้ว
เสียงโทรศัพท์ของภัสสรจะดังขึ้น หล่อนหยิบขึ้นมาดู เป็นเบอร์ไม่แสดงชื่อคนโทร.มา ภัสสรกดรับ
“ฮัลโหล”
คนของยี่เส่งโทร.มาสองคนคุยสายกันไปทั้งที่อยู่ใกล้ๆ กัน
“หวัดดีครับ คุณภัสสรใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“พร้อมจะรับของมั้ยครับ”
“พร้อมคะ”
จู่ๆ มีบริกรเอากาแฟมาเสิร์ฟพร้อมซองน้ำตาลพิเศษวางตรงหน้าภัสสรพอดี ภัสสรรับรู้พยักหน้าให้พรชัยจัดการทดสอบตัวอย่างสินค้า
พรชัยฉีกซองลองยาแล้วหันมาพยักหน้าให้กับภัสสร
“ของโอเค” ภัสสรบอกไป
จากนั้นต่างคนต่างวางสาย โทร.หาคนของตน
บรรยากาศในคอมมิวนิตี้มอลล์ แห่งนี้คึกคัก วุ่นวาย เอาการ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะหนึ่งในร้านเครื่องดื่ม ตกแต่งชิลล์ๆ ชิคๆ ภูผาที่สวมหมวกแดง ใส่แว่นตากันแดด นั่งอยู่ที่นั่น ยกโทรศัพท์ขึ้นรับสาย
“ครับ”
เสียงภัสสรดังออกมาว่า “รับของได้”
ภูผากดวางสาย แล้วหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องกดส่งไลน์ทันที
ขณะเดียวกันใกล้ท่าเรือข้ามฟากริมแม่น้ำเจ้าพระยา
อัคคเดชนั่งชมวิวแฝงตัวกลมกลืนอยู่กับฝูงคนที่มากินมาเที่ยว ยกโทรศัพท์ขึ้นดูเห็นข้อความไลน์จาก P ส่งมาว่า “จะส่งของแล้ว”
อัคคเดชจึงสั่งผ่านวิทยุตำรวจที่ใส่หูฟังไปยังทีมเมฆาพยัคฆ์ทุกคนว่า
“งานเลี้ยงจะเริ่มแล้วทุกคนเตรียมตัว”
ทั้ง ชบา มนตรี อ้อย และ ยักษ์ ต่างขยับตัวปรับอิริยาบถมาเป็นเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น รับคำสั่งจากอัคคเดชต่อ
“คอยสังเกตผู้ชายที่สวมหมวกแดง”
ทั้งทีมกวาดตามองหา ยักษ์เห็นภูผาก่อนใคร ตกใจไม่น้อย แต่รีบทำเนียนกลัวคนอื่นจะตกใจ ชบามองตามไป เห็นภูผาสะพายเป้ที่หลังสวมหมวกแดง เดินเข้ามาในบริเวณนั้น เธอจำเขาได้ในทันที ทว่าสีหน้า ทั้งอึ้ง ตกใจ และผิดหวังปนกัน
“ทำไมถึงเป็นเค้า”
ภูผาเดินไปยังริมน้ำ โดยไม่ทันสังเกตเห็นชบาที่มองตามเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
พลางยกโทรศัพท์กดโทร.หาภัสสร ที่เวลานี้ยังอยู่ในร้านกาแฟ
ภัสสรรับสาย “ว่า...”
“ผมพร้อมแล้ว”
ภัสสรจึงหันไปพยักหน้ากับคนของยี่เส่ง มันจึงกดโทรศัพท์หาคนของตนเอง
ภูผากดโทรศัพท์อีกเครื่องส่งไลน์หาผู้กำกับ อัคคเดชได้รับรีบกดดู เห็นข้อความว่า
“จะส่งของแล้ว”
อัคคเดชสั่งการทางวิทยุ “เตรียมตัว”
ชบายังคงจดสายตาจับจ้องอยู่ที่ภูผา บอกกับตัวเองในใจ อย่างผิดหวังว่า
“นี่นายเป็นพวกแก๊งอัคคีอย่างงั้นเหรอ”
คนของยี่เส่งนั่งเรือข้ามฝากมาถึง แต่งตัวใส่หมวกแดงสะพายเป้เหมือนกัน ภูผาโบกมือทัก คนของยี่เส่งทักตอบ ก่อนก้าวขึ้นมาจากเรือ แล้วเดินตรงเข้ามาหาภูผา
อัคคเดชมองอยู่ สั่งการทางวิทยุเสียงเข้ม “ลงมือ”
ทั้งทีมพากันขยับลุกขึ้นเข้าทำการปิดล้อม
โทรศัพท์ดังขึ้น ภูผายกดูเห็นข้อความจากอัคคเดช
“เข้าจับกุมแล้ว”
แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ก็ต้องชะงัก ที่เห็นชบาเดินตรงดิ่งเข้าไปหาตน ชบาจ้องตาเขาเขม็ง ภูผาหันไปมองรอบๆ ก็เห็นยักษ์กับอ้อยกำลังปรี่ชาร์จเข้ามาเช่นกัน
“หนีเร็ว ตำรวจมา”
ภูผาผลักให้คนของยี่เส่งหนี ทั้งหมดแสดงตัวเข้าจับกุม โดยไม่ได้ใช้ปืน คนของยี่เส่งเห็นจวนตัว รีบโยนเป้ด้านหลังทิ้งลงน้ำ แล้ววิ่งหนีเช่นเดียวกับภูผา
จ่ายักษ์กับอ้อยไล่ตามคนของยี่เส่ง ชบากับมนตรีไล่ตามภูผาไป คนละทางกัน
ภูผาวิ่งหนีโดยมีชบากับมนตรีวิ่งไล่ ชบาตะโกนไล่หลัง
“อย่าหนีนะ ยอมให้จับซะดีๆ”
ภูผาไม่สนโกยแน่บลูกเดียว
ถึงทางแยกหนึ่ง ชบาทำมือให้มนตรีแยกไปคนละทาง ส่วนนางไปอีกทางหนึ่ง
สามคนเล่นเอาเถิดล่อเจ้า วิ่งไล่กันไปมาอยู่พักหนึ่งใหญ่ๆ
ภูผาวิ่งหนีชบาไปปะหน้ากับมนตรี
“ไม่รอดแล้วแก ยอมให้จับซะดีๆ”
ภูผาเห็นมนตรีมาคนเดียว จึงยืนนิ่งรอให้จับ
“ท้าทายๆ”
มนตรีตั้งท่ามวย ก่อนปรี่เข้าจับ แต่ถูกภูผาจับล็อกทุ่มหน้าตาเฉย
“เฮ้ยๆๆ”
มนตรีถูกทุ่มลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น หมดสภาพ ภูผายิ้มเยาะ แล้วเดินหนี
พอภูผาพ้นหัวมุมไป ชบาตามมาเห็นมนตรีนอนกองอยู่กับพื้นร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ
จึงถามขึ้นเร็วปรื๋อ
“คนร้ายล่ะ”
“หนีไปแล้ว”
ชบาออกอาการเจ็บใจ
“ไปทางไหน”
มนตรีชี้บอก “ไปทางนั้น”
ชบาโลดแล่นตามไปในทันที
“จะช่วยกันก่อนก็ไม่มี” มนตรีตะโกนไล่หลังไป
ภูผาหนีพ้นมาได้รีบถอดหมวก ถอดแว่น ทิ้งลงถังขยะที่เดินผ่าน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
ภัสสรนั่งวางมาดสวยอยู่อีกมุมหนึ่งของร้านกาแฟ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภัสสรรับสาย
“เรียบร้อยมั้ย”
ยินเสียงภูผาบอกข่าวร้าย “ตำรวจมา หนีเร็ว”
“ห๊า”
ไวเท่าความคิด ภัสสรรีบวางสายแล้วลุกเดินหายตัวออกจากพื้นที่ทันควัน
ภูผากดวางสายแล้วรีบเผ่นออกจากพื้นที่เช่นกัน ขณะผ่านหัวมุมหนึ่ง ต้องชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่หยุดฉันยิง”
เป็นชบาที่ยืนเล็งปืนใส่อยู่ด้านหลัง ภูผาชะงัก ถอนใจเฮือกใหญ่ ซวยอีกแล้วกรู
ภูผาค่อยๆ หันไปเผชิญหน้าชบาซึ่งตีหน้ายักษ์ใส่ ผิดหวังอย่างรุนแรงที่ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นคนชั่ว
“อยู่นิ่งๆ อย่าขยับยอมให้จับซะโดยดี”
“ผมก็อยู่นิ่งๆ แล้วไง” ภูผายิ้มยั่ว “อยากจับก็เข้ามาจับซิ”
“ไม่ต้องท้า จับแน่”
ชบาควักกุญแจมือออกมาปรี่เดินเข้าหา ภูผายิ้มยั่วหน้าเป็น ชบาเชิดใส่ไอ้หน้าหล่อคนชั่ว
ภูผาอาศัยจังหวะเสี้ยวเวลาชั่วกระพริบตา แย่งปืนในมือชบาเหมือนกับที่เคยทำตอนแย่งกุญแจมืออีตอนที่เจอกันครั้งแรก
ชบารู้ทันแกว แต่ถูกภูผาพลิกเหลี่ยมหลอกจับล็อคไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง สองมือกอดไว้แน่น และแขนพาดนมอีกแล้ว ชบาฉุนขึ้นมาติดหมัด กระทุ้งศอกใส่กล่องดวงใจ ภูผารู้ทันเด้งตัวหลบ พร้อมหักข้อมือแย่งเอาปืนไป
“ไม่ได้กินซะล่ะ”
แถมภูผากอดไว้แน่นยิ่งกว่าเก่า ชบายิ่งแค้นที่เสียเหลี่ยม พยายามแบบเดิมอีกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
“ผมรู้ทันน่า มุกเดิมๆของคุณผมรู้หมดแล้ว”
“ฉันมองนายผิดไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่าที่แท้นายก็เป็นพวกคนชั่ว”
“โห ด่าแรงไปมั้ยคุณตำรวจ คุณจับผมแบบนี้มีหลักฐานเหรอ นี่ ทางที่ดีปล่อยผมไปดีกว่านะ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน”
ชบายิ่งโกรธ อาฆาตแค้น
“เชอะ ฉันไม่มีวันปล่อยให้คนชั่วอย่างแกลอยนวลหรอก ปล่อย” จากนั้นก็แหกปากตะโกนขึ้นสุดเสียง “ช่วยด้วยคะช่วยด้วย”
ภูผาตกใจ “เฮ้ย ตะโกนทำไมเนี่ย”
“อีตาบ้า ฉันก็ต้องขอความช่วยเหลือสิ ช่วยด้วยคะ ช่วยด้วย...”
ภูผาพยายามอุดปาก แต่ชบากัดมือ ภูผาเจ็บต้องยอมปล่อย ก่อนที่จ่ามนตรีจะเข้ามาแล้ว ชักปืนเล็งใส่พร้อมตะโกนสั่งขึ้น
“หยุด! อย่าขยับ วางอาวุธเดี๋ยวนี้”
ภูผาสะดุ้งตกใจ ไม่ทันตั้งตัว
ชบารีบฉวยโอกาสแย่งปืนคืนมา แล้วสับกุญแจมือหมับ ภูผาตะลึง ตกใจ ชบายิ้มยั่วก่อนบอกขึ้นอย่างเยาะๆ ว่า
“แกเสร็จฉันละ”
ภูผาเครียดจัด
อีกฟากภัสสรกับพรชัยและคนของยี่เส่ง เพิ่งพ้นตัวจากบริเวณร้านกาแฟ กำลังจ้ำหนีไปที่รถ อัคคเดช ยักษ์ อ้อย ตามมาจนทัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ
ทั้งหมดหันไปมองกัน ตรงนั้นเป็นทางแยกพอดี ภัสสรกับพรชัยเผ่นไปอีกทาง คนของยี่เส่งไปอีกทาง อัคคเดชสั่ง
“พวกเธอตามไอ้นั้นไป” ผู้กำกับบุ้ยใบ้ไปทางคนของยี่เส่ง
ยักษ์กับอ้อยรับคำ แล้วรีบตามไป ส่วนอัคคเดชตามภัสสรไปอีกทาง
คนของยี่เส่งถูกไล่ต้อนมาจนมุมที่ซอยตันแห่งหนึ่ง ฝีมือยักษ์กับอ้อยที่ไล่ล่ามาจนทัน ล้อมไว้ได้ คนของยี่เส่งหน้าซีด
ฝ่ายอัคคเดชวิ่งตามมา ทันเห็นภัสสรกับพรชัย มีรถหรูวิ่งมารับด้วยความเร็วสูง สองคนกระโจนขึ้นรถที่เปิดรับ ผู้กำกับวิ่งไล่กวด แต่รถออกตัวเร็วเร่งเคลื่องออกไปทันที อัคคเดชได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ
ถัดจากนั้นอัคคเดชมายืนรอทีมตรงจุดนัด เปิดดูโทรศัพท์ว่ามีข้อความจากภูผาอีกมั้ย แต่ต้องแปลกใจ เมื่อไม่มีเลยสักข้อความ
“ทำไมเงียบไป คงหลบไปได้แล้วมั้ง”
มีเสียงชบาแหวกอากาศดังขึ้น น้ำเสียงลิงโลดเหมือนคนถูกหวย
“ผู้กำกับคะ”
อัคคเดชหันไปแล้วมองแล้วตกใจ เมื่อเห็นชบาคุมตัวภูผาเดินยิ้มหน้าบานเข้ามาหา อย่างภูมิใจในผลงาน
“จับตัวมันมาได้แล้วค่ะผู้กำกับ เป็นยังไงคะ หนูมาทำงานนะคะไม่ได้มาเที่ยว” นางสบช่องคุยโต
อัคคเดชมองสบตาภูผาแล้วอึ้งไป ไม่อยากเชื่อสายตา
“อืมม์ ผมคิดแล้วว่าคุณต้องเอาอยู่”
ภูผามองสบตาอัคคเดช เซ็งโคตรๆ เป็นแบบนี้ได้ยังไง
ภัสสรแอบดูอยู่ในรถ เห็นภูผาถูกจับต่อหน้าต่อตา เจ็บใจที่แผนพลาด
“เอายังไงดีครับ”
“กลับไปตั้งหลักก่อน”
ปราการรู้ข่าวรีบเข้ามารายงานตะวันในห้องทำงาน
“งานส่งยาตัวอย่างของเจ๊ภัสสรงานพลาดนะครับนาย”
ตะวันยิ้มเยือกเย็น เป็นไปตามคาด
“เป็นไปตามแผน ถ้าภูผามันกลับมาให้มันมาเจอฉันด้วยนะ ฉันจะตบรางวัลให้มันสักหน่อย”
ปราการงง
“แผนของนาย ให้มันถูกตำรวจจับด้วยเหรอครับ”
ตะวันประหลาดใจพอๆ กับตกใจ “ว่าไงนะ”
“ตอนนี้ภูผาถูกไอ้ผู้การอัคคเดชคุมตัวไปแล้วครับ
ตะวันตกใจมากเอาการ ที่แผนผิดพลาด
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 7 (ต่อ)
ภูผาถูกคุมตัวมาที่ห้องสอบสวนในหน่วยเมฆาพยัคฆ์ โดยมีชบากำลังพยายามสอบปากคำ เขาถูกใส่กุญแจมืออยู่
“หน้าซื่อๆ ไม่คิดว่าจะเป็นพวกแก๊งกับเขา เสียแรงอุตส่าห์คิดว่าเป็นคนดี”
ภูผายั่ว “ชมหรือว่าด่า”
ชบากลอกตามองบนแพ้บ แดกดัน “ชมมั้ง ออกตัวแรงซะขนาดนี้ยังไม่เก็ตอีกเหรอ”
ภูผายิ้มยั่ว “ผมก็ไม่เคยบอกว่าผมเป็นคนดีสักคำ คุณมโนของคุณไปเองคนเดียว”
“ไม่ต้องมาทำเล่นลิ้น”
ชบามองหมั่นไส้ เอามือท้าวโต๊ะจ้องหน้าภูผาที่นั่งอยู่
“คายออกมาซะดีๆ ว่าแกมีส่วนรู้เห็นอะไรบ้าง”
ภูผาจ้องหน้าสบตาชบาอย่างไม่กลัวเกรง ก่อนจะบอกขึ้นอย่างขำขันว่า
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าคุณก้มต่ำลงกว่านี้อีกนิดล่ะก็ ผมได้เห็นหมดแน่” ภูผายักคิ้วให้ด้วย
ชบาสะดุ้ง รีบเอามือปิดอกเสื้อ ก่อนยืดตัวขึ้นมองค้อนภูผา
“ทะลึ่ง”
“ผมเปล่านะ คุณตำรวจก้มลงมาเอง ของมันอยู่ตรงหน้า ถึงไม่อยากดูก็ต้องจำใจดู”
ภูผาถอนใจเฮือกใหญ่
ชบาถลึงตาใส่อย่างไม่พอใจ ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกให้อัคคเดชก้าวเข้ามาในห้อง ผู้กำกับมองสบตาภูผาแป๊บหนึ่ง ก่อนออกคำสั่งขึ้นกับชบา
“เดี๋ยวผมสอบเอง”
ชบาอิดออดยังแค้นภูผาไม่หาย “เอ่อ...”
อัคคเดชย้ำเสียงเข้ม “ผมสอบเอง”
“อ๋อ...ค่ะ”
อัคคเดชนิ่งรอ แต่ชบาไม่ยอมขยับออกไป
“แล้วรออะไร”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วยังอยู่ทำไมอีก”
“ให้หนูออกไปด้วยเหรอคะ”
อัคคเดชพยักหน้า “อือม์”
ชบายิ้มแหยๆ แล้วเดินออกมา
พอชบาลับกายไปจากห้องนี้แล้ว ภูผาก็โวยขึ้นเสียงดังใส่อัคคเดชทันที
“กัดหางตัวเองทำไมเนี่ยผู้กำกับ เสียแผนหมด”
ผู้กำกับถอนใจเฮือก “ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมว่าผมเลือกคนที่ไม่น่าจะจับคุณได้แล้วนะ แล้วทำไมคุณถึงถูกจับๆ ได้ง่ายๆ แบบนี้ ล่ะ”
“ก็ไม่รู้โผล่มาจากไหน แถมผมยังเคยเจอกับยัยนี่มาก่อนด้วย นี่ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะเป็นตำรวจในหน่วยผู้กำกับด้วย”
อัคคเดชแทบไม่เชื่อหู “ห๊า อะไรจะแจ๊คพ็อตขนาดนั้น”
“แล้วแบบนี้ผมจะทำยังไง โดนจับได้ว่าค้ายา แล้วได้รับการปล่อยตัว มีหวังไม่ทันข้ามวันได้นอนอ่านหนังสือพิมพ์ข้างถนนแน่แบบนี้”
อัคคเดชได้ฟังยิ่งหนักใจ
“ผมของไปปรึกษาผู้การก่อนแล้วกันว่าจะทำยังไงได้บ้าง”
ภูผาถอนใจเฮือกใหญ่มองผู้กำกับตาคว่ำ
ที่กองบังคับการ ผู้การเด่นชาติรู้เรื่องแล้ว แสดงความไม่พอใจ พูดตำหนิใส่หน้า
“ทำไมถึงปล่อยให้เกิดขึ้นได้ แบบนี้สายอยู่ในอันตรายนะ คุณไม่รู้หรือไง”
อัคคเดชเครียด ยิ่งรู้สึกผิด “ผมคาดไม่ถึงจริงๆ ครับว่าหมวดชบาจะจับสายผมได้”
“ฮึ เข็มขัดสั้น เลยต้องมานั่งปวดหัวแบบนี้” ผู้เล่นมุกคาเฟ่
อัคคเดชจ๋อยสนิท ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ๆ
“แล้วนี่จับหลักฐานได้ด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ได้ครับ ไหวตัวทันโยนทิ้งน้ำไปก่อนครับ”
“นี่นับว่ายังโชคดีนะที่ไม่มีของกลางอยู่ด้วย ถ้ามีขอกลางด้วย แล้วปล่อยสายออกไปล่ะก็ ไม่อยากนึกถึงเลยจริงๆ”
อัคคเดชยิ่งจ๋อย
ผู้การนิ่งใช้ ประมวลความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แต่ถูกจับได้มันก็ดีไปอีกอย่าง ทำให้น้ำหนักเรื่องแอบหักหลังของสายคุณ ดูมีน้ำหนักขึ้น นายตะวันจะได้เชื่อใจคนของคุณมากขึ้น”
อัคคเดชได้ยิน เริ่มยิ้มออกได้
“งั้นไปทำเรื่องปล่อยตัว อย่าให้ยืดเยื้อ เดี๋ยวสายจะลำบาก”
อัคคเดชน้อมรับเอาคำสั่ง “ครับ”
พอชบาเปิดประตูเข้ามาในห้องสอบปากคำ แล้วต้องอึ้งไป เมื่อไม่พบใครอยู่ในห้องนั้น รวมทั้งภูผา
“ไปไหนแล้วล่ะ”
ชบารีบเดินเข้าไปหาอ้อยที่โต๊ะทำงานพร้อมถามขึ้นว่า
“หมวดอ้อย ผู้ต้องหาที่เพิ่งจับมาได้ ไปไหนแล้วล่ะคะ”
อ้อยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าคนไหน จนนึกออก “อ๋อ...คนที่หล่อๆ ใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“ผู้กำกับให้ทำเรื่องปล่อยตัวแล้ว”
ชบาอึ้งไปถนัดตา “อ้าว ทำไมล่ะคะ”
“อันนี้ต้องไปถามผู้กำกับเองแล้วล่ะคะ อ้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน”
อัคคเดชชมองหน้าชบาที่เข้ามาถามเรื่องปล่อยตัวภูผา ถึงในห้อง แถมทำท่าฮึดฮัดขัดใจไปมา
“มีปัญหาอะไร”
“ก็กว่าหนูจะจับมาได้ รู้มั้ยคะว่าลำบากแค่ไหน เลือดตาแทบกระเด็น แถมเกือบถูกยิงตายไปแล้วด้วย”
อัคคเดชมองเหล่ เชื่อว่าโม้
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละค่ะ”
“แล้วทำไม”
“ทำไมผู้กำกับปล่อยตัวง่ายๆ แบบนี้ล่ะคะ”
“ก็มันไม่มีหลักฐาน แล้วจะเอาผิดยังไง”
“แต่เราจับได้ในที่เกิดเหตุนะคะ” นางเถียง
“ก็เอาผิดเค้าไม่ได้อยู่ดี”
ชบาชักสีหน้าไม่เห็นด้วยกับเหตุผล
“มันก็เหมือนผมสารภาพว่าฆ่าคนตาย แต่ไม่มีคนตาย ไม่มีปืน แล้วคุณจะเอาผิดผมได้ยังไง”
ชบาอึ้งไป
“ก็แจ้งความเท็จไงคะ”
อัคคเดชประชดส่ง “น้ำขุ่นๆ น่ะ มีอะไรก็ไปทำไป ขอบคุณนะที่ปฎิบัติหน้าที่ได้อย่างจริงจังมาก แต่ต่อไปอย่าทำอะไรนอกเหนือจากที่ผมสั่งอีก เข้าใจมั้ย”
ชบาออกอาการเซ็งให้เห็น
“ค่ะ”
จากนั้นจึงเดินคอตกออกไป อัคคเดชโล่งใจ แต่อดทึ่ง และยอมรับว่างานนี้ชบาก็เก่งจริงนะ ฝีมือใช้ได้ทีเดียว
ค่ำแล้ว ชบาเดินคอตกออกมาที่ถนนหน้าหน่วย เจ็บใจที่ภูผาถูกปล่อยตัวไป ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นภูผายืนรอรถอยู่ ชบารีบแจ้นเข้าไปเอาเรื่องทันที
“ครั้งนี้นายรอดไปได้ แต่วันพระไม่ได้มีหนเดียวหรอกนะ”
ภูผาเล่นลิ้น กวนตีนใส่ “เดือนหนึ่งมีสี่ครั้งครับ ผมคงรอดได้อีกแยะ”
“อย่ามาสำนวนกับฉัน ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นนาย”
“ผมก็ไม่กล้าเป็นเพื่อนกับคุณหรอกครับคุณตำรวจ” ภูผาเหล่มองสำรวจชบาอย่างพินิจพิเคราะห์ “ผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง กระโดกกระเดก คุณกะเทยแปลงแล้วยังดูเรียบร้อยกว่า ดีนะที่แม่ยังรัก ให้มาแยะ ถ้าไม่มีไอ้นั่น ก็ต้องบอกว่า ตุ๊ดแอ๊บสาวแน่แบบนี้”
ชบาฉุนกึกโดนแขวะเป็นชุด “นี่นายสบประมาทฉันอย่างงั้นเหรอ”
“เปล่านะครับ ผมแค่แสดงความเห็นเฉยๆ”
-ชบาออกอาการไม่พอใจ
ชบาไม่ต้องมาทำเป็นปากดี ฉันไม่ปล่อยให้คนชั่วอย่างนายลอยนวลแน่
“คนชั่วอีกละ อย่ามาว่าคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานนะครับ มันไม่ดี เอาเป็นว่าถ้าผมเลวจริง คุณก็ตามจับผมให้ได้ละกัน แต่ระวังจะจับแล้วพลาดเหมือนวันนี้นะครับคุณตำรวจ”
ภูผายิ้มยั่ว พร้อมกับหัวเราะชอบอกชอบใจ ชบาเจ็บกระดองใจ อ้าปากจะตอบโต้ต่อ แต่แท็กซี่ดันจอดรับพอดี ภูผาเผ่นขึ้นรถไป เหลียวกลับมามองชบายิ้มขำ ขณะที่ชบาได้แต่มองตามอย่างเจ็บใจ
รถแล่นมาสักระยะ ภูผารีบเปิดูโทรศัพท์มือถือ เห็นเป็นมิสคอลล์จากตะวันเพียบ เตรียมคำตอบไว้ในใจแล้ว รีบกดโทร.กลับไปทันที
ตะวัน กับ ภัสสร ถูกตามตัวไปพบที่บ้าน ทันทีที่เจอหน้าแป๊ะกงเฉ่งภัสสรทันควัน โมโหมากเอาการ
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ แล้วภูผาถูกจับ จะเอายังไงกัน”
ภัสสรก้มหน้าไม่กล้าสบตา เสียงโทรศัพท์ตะวันดังขึ้น ตะวันดูเบอร์เป็นชื่อ ภูผา จึงรีบรับคุยให้สองคนได้ยินด้วย
“แกถูกปล่อยตัวมาแล้วเหรอ อืม” ตะวันฟังภูผาพูด “ดีนะ ที่ไม่มีของกลางเป็นหลักฐาน แล้วคนของนายพลล่ะ…โอเค ฉันจะบอกแป๊ะกงให้”
ตะวันวางสาย แล้วรีบบอกแป๊ะกง
“ภูผาออกมาแล้วครับ โชคยังดีที่ตำรวจไม่มีของกลาง เลยทำอะไรไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วผมว่างานเล็กๆ แค่นี้ไม่น่าพลาดเลยนะครับ”
ตะวันหันไปยิ้มยั่วภัสสร
แป๊งกงหันมาทางภัสสร “ว่ายังไงภัสสร ทำไมถึงทำงานพลาด”
“ขอโทษค่ะ”
ตะวันสอดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยามอยู่ในที “ผู้หญิงทำงานก็แบบนี้แหละครับ”
ภัสสรหันขวับมองหน้าตะวันอย่างไม่พอใจ
“สรขอโอกาสแก้ตัวอีกครั้งค่ะ”
แป๊ะกงตอกกลับ “เธอยังจะขอโอกาสอีกเหรอ รู้มั้ยความเสียหายคราวนี้เท่าไร สิบล้านเชียวนะ”
ภัสสรสลด
“ดีนะที่เป็นแค่ของตัวอย่างเอามาลองขาย ถ้าเป็นล็อตใหญ่เป็นร้อยๆ ล้าน เธอจะรับผิดชอบไหวมั้ย”
ภัสสรซุปเปอร์สลด แป๊ะกงบ่นระบายต่อ
“และที่สำคัญนายพลยี่เส่งจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้เรื่องนี้”
ภัสสรกลืนน้ำลายฝืดคอ จ๋อยสนิท
“อย่าโกรธไปเลยครับ” ตะวันเสนอหน้าขึ้นมา พร้อมกับว่ายกน้ำชาเสิร์ฟให้ เอาใจ “เรื่องนายพลยี่เส่งไม่ต้องเป็นห่วง ผมมีวิธี รับรองหายโกรธแน่”
“ยังไงก็ต้องรั้งตัวเขาไว้ให้ได้นะ ไม่งั้นเราจะเสียแหล่งรายได้ใหญ่ไป มันไม่ใช่แค่เรื่องยา ไหนจะอาวุธสงครามอีกด้วย”
“ครับงั้นผมขอจัดการเรื่องยาล็อตใหญ่ไปด้วยกันเลยทีเดียวนะครับ”
“ได้อย่างงั้นมันก็ดี ถ้าเธอออกหน้าฉันก็สบายใจขึ้นมาหน่อย”
ตะวันยิ้มรับเอาคำชม ยิ้มเยาะภัสสรอีกดอก
ภัสสรคุมแค้น ถูกตะวันแย่งงานใหญ่จนได้
ภัสสรกลับถึงคลับ เฉ่งภูผาที่มารออยู่แล้วในห้อง
“งานนี้พลาดได้ยังไง”
ภูผามองนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนบอกขึ้นว่า
“ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน อยู่ๆ ตำรวจไปโผล่แบบนั้น มันต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่ๆ”
ภัสสรเองก็คิดอย่างนั้น ภูผาเห็นท่าทีภัสสรเริ่มคล้อยตามก็ยิ้มในสีหน้า แล้วแกล้งทำเป็นนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“หรือว่า...” ภูผาหยุดไม่พูดต่อ ยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้ และได้ผล
“หรือว่าอะไร”
“คือ ก่อนหน้านี้ คุณตะวันเรียกผมไปคุยด้วยเรื่องจะให้ผมขัดขาคุณเรื่องงานครั้งนี้ แต่ผมไม่เอาด้วย แล้วมาเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ มันก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้”
ภัสสรโกรธขึ้นมาทันที
“ตะวันอีกแล้วเหรอ นี่แกจะตามจองเวรจองล้างจองผลาญฉันไปถึงไหน แกกับฉันคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แน่”
ภูผาลอบยิ้มดีใจที่แผนยุแยงได้ผล
ตะวันยืนทอดสายตาอยู่ริมน้ำท่ามกลางบรรยากาศสวยยามค่ำ ยืนใช้ความคิดท่านี้มาสักระยะแล้ว มีเสียงปราการดังก้องขึ้นในหู
“มีการยิงเกิดขึ้นหนึ่งนัดครับ แต่บอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนยิง”
ตะวันออกอาการหนักใจ คิดหนักเมื่อนึกถึง ว่ามี 3 คน ที่ล้วนน่าสงสัยด้วยกันทั้งนั้น
ห่างออกมาที่รถของตะวัน ปิงชักปืนออกมาทำท่าเล็งยิงด้วยท่าเท่ห์เลียบแบบจากในหนัง มันแอ็คท่าเอาเท่ห์ หันไปถามปราการที่อยู่ด้วยกัน
“เป็นไงพี่เท่ห์มั้ยท่านี้”
ปราการยิ้มเยาะ “มัวแต่เอาเท่ห์ จะถูกยิงตายห่าเสียก่อน”
ปิงบ่นขึ้นน้ำเสียงขัดใจ
“ไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลยนะพี่”
“ก็มันจริงนี่หว่า ท่าเท่ห์ไม่มีประโยชน์หรอก ที่สำคัญมันต้องแม่นไว้ก่อน”
ปิงมองค้อน แล้วถอนใจขึ้นมาเฮือกใหญ่ บ่นขึ้นอย่างน้อยใจว่า
“ใครๆ ก็ๆ ได้อวดฝืมือกันหมดแล้ว ทั้งพี่ปราการ ทั้งพี่เมฆ ก็เหลือแต่ไอ้ปิงนี่แหละ เมื่อไรนายจะให้ทำงานใหญ่กับเค้าบ้างน๊า จะได้เกิดกับเค้าสักที”
“เกิดหรือว่าดับกันแน่วะ” ปราการเย้าเล่น
“โอ้โห แรงไปอ๊ะเปล่าพี่ ไม่เชียร์แล้วยังแช่งอีก หมดรมณ์เลยแบบนี้”
ปรากรได้ยิ้มขำอีก
เสียงรถบิ๊กไบค์ของภูผาที่แล่นเข้ามา เรียกความสนใจให้ทั้งสองหันมอง ภูผาขับรถไปจอดเทียบข้างรถตะวัน ที่ปราการยืนอยู่กับปิง ถอดหมวกแล้วยิ้มทักปราการกับปิง
“นายรออยู่นู้น” ปราการบุ้ยใบ้บอก
ภูผายิ้มรับทราบ แล้วเดินตรงเข้าไปหาตะวัน
ปิงถามปราการ “ทำไมนายต้องให้พี่ภูผามาหาที่นี่ด้วย ทำไมไม่ให้ไปหาที่บ้านล่ะ”
“อยากรู้เหรอ”
“อือม์” ปิงยิ้มหน้าเป็น
ปราการบอกหน้าตาย “ไปถามนายเอาซิ”
“อีกแล้ว หลอกด่าอีกแล้ว เห็นไอ้ปิงโง่หรือไง ไปถามจะได้โดนด่ากลับมานะซิ อยู่อย่างงี้แหละดีแล้ว”
ปิงยัวะ ฮึดฮัดแต่น่าขันมากกว่าน่าถีบ ปราการหัวเราะขำ
ตะวันยังยืนเหม่อใช้ความคิดอยู่ที่เดิม จนหันไปเห็นภูผาเดินเข้ามาใกล้ๆ จึงเอ่ยทัก
“มาแล้วเหรอ”
“ครับ”
ตะวันหยิบซองเงินปึกหนึ่งที่เตรียมไว้ ส่งให้ภูผา
“ค่าเหนื่อยแก”
“ขอบคุณครับ” ภูผารับเอามาเก็บใส่กระเป๋าเลย
“ไม่นับเหรอว่าเท่าไร”
ภูผานิ่งคิด “ผมเชื่อใจคุณตะวันครับว่าต้องจ่ายให้ผมอย่างงามแน่ คงไม่ให้ผมต้องเหนื่อยเปล่า”
ตะวันยิ้มรับเอาคำอย่างพอใจในคำตอบ
“แต่ฉันมีเรื่องข้องใจอยู่เรื่องว่า พวกอัคคเดชมันรู้ได้ยังไงว่าจะมีส่งยากัน”
ภูผาทำเป็นยิ้มขำก่อนบอกขึ้นว่า “ผมก็ได้เรียนรู้จากคุณตะวันไงครับ”
ตะวันทำหน้าแปลกใจเมื่อได้ยิน
“ยังไง”
“ผมก็แกล้งปล่อยข่าวให้พวกตำรวจรู้ว่าจะมีการส่งยากัน พวกตำรวจจะได้มาตามจับ เป็นยังไงเนียนไหมล่ะครับ เพราะถ้าเกิดผมแกล้งขัดขาเจ๊สรเองให้งานล่ม ก็อาจจะถูกสงสัยได้ แบบนั้นเท่ากับหาเรื่องใส่ตัว แป๊ะกงคงไม่เอาผมไว้แน่ ผมก็ต้องเซฟตัวเอง ปลอดภัยไว้ก่อนไงครับ”
ตะวันยิ้มพอใจในคำตอบอีกครั้ง
“เรียนรู้เร็วดีนี่”
“ขอบคุณครับที่ชม”
“งั้นก็เตรียมตัวไว้ เดี๋ยวจะมีงานใหญ่ให้ทำ”
“ครับ”
ตะวันถามหยั่งเชิง “ไม่ถามเหรอว่างานอะไร”
ภูผายิ้มถ่อมตน “ถึงเวลาคุณก็บอกให้ผมรู้เองอยู่ดี รู้ก่อนตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ตะวันยิ้มพอใจ แต่ก็ยังแอบมีระแวงอยู่ในท่าที ไอ้หมอนี่คมในฝักเหมือนกัน
ปราการแอบยืนมองอยู่ ด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ในใจ
สถานการณ์ยามนี้ ไม่น่าวางใจ ปราการทั้งอิจฉา ระแวง เมฆ ในขณะเดียวกันก็ไม่ไว้ใจภูผา กลัวตะวันตกหลุมพราง เขาเป็นห่วงนาย
กลางดึกคืนเดียวกันนี้
ประตูร้านดอกไม้น้องหลิน ถูกเปิดเข้าไปอย่างสะดวกง่ายดาย ด้วยฝีมือหมอกที่ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความมืดในร้าน ไฟฉายอันเล็กๆ ถูดเปิดขึ้นเพื่อใช้ส่องสว่าง หมอกเดินดูไปรอบๆ ร้านเพื่อหาแจกันที่คิดว่าน่าจะเป็นใบที่เมฆซ่อนของสำคัญไว้
ไฟฉายกราดไปทั่วอย่างระมัดระวัง ว่าคนด้านนอกร้านจะมาพบเห็น จนแสงไฟหยุดนิ่งยังแจกันใบที่เห็นเมื่อตอนมาครั้งก่อน หมอกมองอย่างชั่งใจ แต่กลับส่ายหัวเมื่อคิดเอาเองว่าเมฆไม่น่าเอามาซ่อนในใบแบบนี้ หมอกครุ่นคิดตรึกตรอง
“เมฆมันเอาอะไรมาซ่อนของมันน๊า”
หมอกออกเดินสำรวจไปตามมุมต่างๆ ที่น่าสงสัย เมื่อไม่พบอะไรจึงเปลี่ยนใจจะขึ้นไปดูข้างบน แต่พอดีได้ยินเสียงดังกุกกักขึ้นจากทางช่องที่ตนเพิ่งผ่านเข้ามา เมื่อมองไปก็เห็นนักเลงสองคนที่เคยมาขู่หลินเพื่อเก็บค่าคุ้มครองคราวก่อน แต่เจอรถสายตตรวจจึงเผ่นหนี พวกมันย่ามใจแอบย่องเข้ามากลางดึก
หนึ่งในสองหยิบเอาผ้ามาชุบน้ำยาสลบเตรียมไว้เล่นงานหลิน ก่อนจะพากันย่องขึ้นชั้นบนไป
หมอกซ่อนตัวอยู่ในความมืด แววตาแข็งกร้าวขึ้นมา มองตามพวกมันไปทุกฝีก้าว
สองนักเลงชั่ว ย่องขึ้นชั้นบนตรงไปที่ห้องนอนหลิน คนหนึ่งทำการสะเดาะกุญแจลูกบิดแล้วเปิดออก หลินได้ยินเสียงนั้น เธอรู้สึกตัวตื่น แปลกใจว่าเสียงอะไรดัง จึงเงี่ยหูฟัง
สองนักเลงแอบย่องเข้ามาในห้อง ส่งซิกบอกให้แยกไปคนละทางเพื่อเล่นงานหลิน
หลินยันตัวลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เงี่ยหูฟัง เริ่มสำเหนียกถึงภัยคุกคาม เธอออกอาการหวาดกลัวอยู่ในที แต่จับทิศทางไม่ได้
สองนักเลงแยกกันล้อมกรอบหลิน พวกมันมองสบตากันก่อนจะพยักหน้าให้สัญญาณกันและกัน แล้วเข้ารวบตัวหลิน คนหนึ่งจับขาไม่ให้ดิ้น อีกคนคนจับแขนตึงโป๊ะยาสลบเข้าจมูกหลินกดไว้ หลินสูดยาเข้าไปดิ้นต่อสู้อยู่อึดใจก็แน่นิ่งไป
สองนักเลงมองหลินที่สลบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ใช้สายตาลวนลามทั่วตัว
“ตาบอดแต่ก็ยังสวย” นักเลง 1 ยิ้มหื่นพร้อมกับเอื้อมมือจะลวนลามหลิน แต่มีเสียงหนึ่งกระแอมดังขัดขึ้น ทั้งสองหันมองเป็นตาเดียวกัน เห็นเป็นหมอกที่แอบย่องเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
สองนักเลงมองหมอกอย่างตกใจ
“ไอ้เลวเอ้ย ตาบอด พวกมึงก็ยังไม่เว้น”
นักเลง 1 ไม่พูดไม่จาปรี่เข้าเหวี่ยงหมัดใส่ หมอกแก้ด้วยการเข้าจับหักก้านคอด้วยท่า กลปักษาแหวกรัง ตีศอกทัดมาลาเข้าที่หน้า แล้วตวัดแขนอ้อมไปรัดคอล็อคหัก จนเจ้านักเลง 1 นิ่งไป หมอกปล่อยให้ร่างมันร่วงไปกองอยู่ที่พื้นในชั่วเวลากระพริบตา ก่อนจะเหลียวขวับไปมองสบตาชายชั่วอีกคนที่เหลือ
นักเลง 2 อึ้ง ตะลึงตะไล ในฝีมืออันเหนือชั้นที่เห็น มันมองหาของจะเป็นอาวุธไม่มี หมอกปรี่เข้าใส่ นักเลง 2 เห็นจวนตัวเลยชกใส่หมอกมั่วๆ ไป เจอท่า หักคอเอราวัณ ของหมอก เขารับหมัดไว้ แล้วต่อยด้วยการเสียบแขนแทงสวนพร้อมสืบเท้าเข้าประชิด สองมือคว้าจับรั้งที่ศรีษะทันที มือบนประกบที่หลังศรีษะอีกมือประกบที่ปลายคาง ออกแรงสวนทางกันเพื่อสยบคู่ต่อสู้
นักเลง 2 หลับทั้งยืนก่อนล้มลงไปกองกับพื้นทับอีกคน หมอกหันไปมองหลินที่นอนสลบอยู่บนเตียง เกิดความคิดบางอย่าง
หลินรู้สึกตัวตื่นขึ้นตอนเช้า มีอาการมึนๆ งงๆ จากฤทธิ์ของยาสลบ กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น หลินสะดุ้งด้วยความตกใจ หากตาเธอมองเห็นจะพบว่ามันเป็นเสียงของสองนักเลงที่ถูกมัดมือ มัดเท้า มัดปาก นอนกองเป็นขยะอยู่ที่พื้นห้องนอน
หลินควานหาไม้เท้าประจำตัว แล้วกางออกในท่าระวังเตรียมสู้ เธอนิ่งฟังเสียง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินมาเคาะๆ ดู จนเจอโจรทั้งสองที่ถูกมัดอยู่
ตำรวจท้องที่รุดมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ หลังจากหลินโทร.ไปแจ้งความ และต่างออกอาการแปลกใจ เมื่อหลินบอกว่าไม่รู้ว่าใครมาช่วยไว้
“แล้วคุณไม่รู้เหรอว่าใครมาช่วยคุณเอาไว้”
หลินยิ้มเจื่อนๆ “ตอนนั้นหลินสลบไปแล้ว รู้สึกตัวอีกครั้งคนร้ายก็ถูกจับมัดไว้แล้วค่ะ”
ตำรวจอึ้ง รับฟังอย่างเหลือเชื่อ
ระหว่างนี้หมอกแอบมองเหตุการณ์มาจากถนนฝั่งตรงข้าม เขาอยู่ที่ฝั่งโน้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คอยคุ้มครองหลินให้มั่นใจว่าเธอปลอดภัย
หมอกยืนสังเกตการณ์อยู่ครู่หนึ่ง จึงหลบออกไป
ภายในรถตะวันที่กำลังแล่นมาตามทาง ปราการส่งโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมให้ตะวันหลังจากติดต่อนายพลยี่เส่งได้แล้ว
“นายพลยี่เส่งครับนาย”
ตะวันรับไปพูดสาย
“สวัสดีครับ ท่านนายพล ผมตะวันพูดครับ”
อีกฟากฝั่งที่บริเวณค่ายทหารชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดน
นายพลยี่เส่งกำลังยืนพูดโทรศัพท์ผ่านดาวเทียม เสียงเขียวใส่อย่างไม่พอใจ
“โทร.มาก็ดีแล้ว เรื่องของที่เสียหายจะว่ายังไง”
“ใจๆ เย็นก่อนซิครับ”
“จะให้เย็นได้ยังไง ของตั้งเป็นสิบล้าน ใครจะรับผิดชอบ”
“ผมรับผิดชอบทั้งหมดเองครับ เพราะเป็นฝีมือของผมเอง”
ยี่เส่งอึ้งไปถนัดตา “ที่พูดหมายความว่ายังไง”
“ผมตั้งใจจะให้งานนี้พลาด เพราะอยากพบท่านเป็นการส่วนตัว” ตะวันเว้นวรรคนิดหนึ่ง “และเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ ผมขอเปลี่ยนจากล็อตเล็กเป็น เป็นล็อตใหญ่เลยทีเดียว แล้วก็จ่ายเป็นอาวุธสงครามอย่างที่ท่านนายพลต้องการด้วยครับ”
“แน่ใจรึเปล่า ไม่ต้องถามแป๊ะกงก่อนนะ”
“แน่ใจซิครับ คำพูดผมก็คือคำพูดของแป๊ะกง”
“ได้อย่างงั้นมันก็ดี”
“และผมมีการค้าบางอย่างที่อยากเจรจากับท่านนายพลแบบตัวต่อตัว”
“ก็ว่ามาซิ”
“ไม่ได้ครับ เรื่องนี้สำคัญต้องพูดกันต่อหน้าเท่านั้น”
“เรื่องอะไรถึงได้พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้”
“เอาเป็นว่าเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ของท่านโดยตรง ผมรับรองว่าถ้าท่านทราบท่านต้องพอใจ”
ยี่เส่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วบอกอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ไป “แต่คุณก็รู้ว่าฐานะอย่างผมไปไหนมาไหนมันค่อยข้างลำบาก”
“ถ้าท่านเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยล่ะก็ ผมขอเอาหัวผมเป็นประกัน ท่านมายังไง ก็จะกลับไปแบบนั้น จะมีก็แต่ความพอใจที่มากขึ้นกลับไปด้วยเท่านั้น ผมรับรอง”
ยี่เส่งนิ่งคิดอีกนิดจึงบอกตกลง “ได้ ในเมื่อคุณตะวันการันตีแบบนี้ ผมก็ต้องให้เกียรติอยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับ”
ตะวันกดวางสาย พรายยิ้มแววตาลึกล้ำ
ปิงกำลังชกลม เตะต่อยกระสอบทรายอยู่คนเดียวในห้องยิมที่คฤหาสน์ตะวัน หมอกกับปานวาดเดินผ่านทางมา ปิงหันไปเห็นรีบหยุดทัก
“มากันแล้วเหรอพี่”
ปานวาดยิ้มทัก พยักหน้ารับ
“นายไปข้างนอกยังไม่กลับมาเลย ไปธุระข้างนอก สั่งไว้ให้พวกพี่รอก่อน”
หมอกพยักหน้ารับ
ปิงออกปากชวน “งั้นระหว่างรอมาออกแรงกับผมเรียกเหงื่อสักหน่อยก่อนมั้ย”
หมอกนิ่ง ท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ด้วยไม่รู้ว่าเมฆเคยทำยังไง “จะดีเหรอ”
“นั่นแน่ หรือว่ากลัวผมขึ้นมา ตอนนี้ ผมพัฒนาขึ้นเยอะแล้วนะ” ปิงได้ทีโม้ใส่พร้อมกับออกท่าโชว์เท่ห์
ปานวาดยิ้มขำปน หมั่นไส้ ก่อนจะหันมาบอกหมอกขึ้นว่า
“เมื่อก่อนเมฆก็ซ่อมให้ปิงมันบ่อย ก็สนองศรัทธามันซะหน่อย จะได้หายคัน”
ปิงยักคิ้วอย่างท้าทายมาให้
“ก็ได้”
หมอกบอกสีหน้านิ่งๆ
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 7 (ต่อ)
หมอกกับปิงลงนวมซ้อมกัน ปิงบุกก่อนหมอกปล่อยให้รุก ปิงโชว์ว่ามีของ เกือบเล่นงานหมอกได้ แต่หมอกก็หลบรอดไปได้
ปิงบุกอีกครั้ง หมอกปัดป้องด้วยท่า ปัดแมลงวัน มวยไชยา โชว์ทักษะเหนือกว่าเพียงรับไม่รุก ปล่องให้ปิงเป็นฝ่ายทำอย่างเดียวแต่ทำอะไรหมอกไม่ได้เลย
ปานวาดยิ้มชอบใจที่ปิงทำอะไรหมอกไม่ได้
ปิงบุกอีก แต่คราวนี้ หมอกปัดป้องแล้วสวนกลับแบบแกล้งยั่วว่า ทำได้แต่ไม่ทำ ปิงยิ่งโมโหที่ถูกยั่ว
ปิงบุกอีก คราวนี้หมอกปัดป้อง ปิงเปิดช่องหมอกสวน ปิงผงะเจ็บ แต่รุกต่อ ปิดช่องที่เปิดเมื่อครู่ แต่เปิดอีกช่องแทน จังหวะต่อมาปิงถูกสวนผละออกมาอีกครั้ง รีบปิดทั้งสองช่อง แล้วบุกอีก ปิงยิ่งเจ็บใจรุกใหญ่อีกครั้ง
หมอกใช้กล รุกในท่ารับ หนามทุเรียน คือ ตีแก้สวนกลับไปเลย ต่อยแก้ต่อย เหนือชั้น ทักษะเทพ โชว์แม่ไม้มวยไทยสวยเท่ห์โคตรๆ
ระหว่างนี้ภูผาแอบยืนมองอยู่ตั้งแต่ต้นแล้ว สีหน้าของตกใจ ที่เห็นทักษะเทพต่างจากเมื่อก่อนมาก
ปิงบุกเองเจ็บเอง รีบถอยออกมาอย่างถอดใจ
“ไม่เอาแล้ว บุกเอง เจ็บเอง”
พร้อมกับว่า ปิงทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นอย่างเซ็งเป็ด เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บก็เจ็บ แต่ทำอะไรไม่ได้เล
หมอกยิ้มขำ “ลุกขึ้นมา”
ปิงงอนใส่ “ไม่เอาแล้ว”
เสียงหนึ่งดังสวนขึ้นมาว่า
“ขอสนุกด้วยคนซิ”
ทั้งหมดหันมองเป็นตาเดียวกัน เห็นภูผาเดินตรงเข้ามาหา
ภูผามองสบตาหมอกเหมือนนักมวยก่อนจะขึ้นชก หมอกสบตาตอบไม่สะทกสะท้าน
ปานวาดมองภูผาที หมอกที สีหน้าหวั่นใจ กลัวมีเรื่อง
“ก็ตามใจ ถ้าไม่กลัวเจ็บตัวก็เชิญ”
ปานวาดท้วงออกไปว่า “จะดีเหรอ”
ภูผาบอกกับปานวาดว่า “แค่เล่นๆ นะวาด ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่เอาเมฆถึงตายหรอก” ประโยคหลังบอกกึ่งประชดส่งสารถึงหมอก
หมอกรับรู้ ยิ้มยั่วอย่างไม่กลัวเกรง “เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะเจ็บตัวกันแน่”
สองหนุ่มมองสบตากันไม่มีใครยอมใคร
ถัดมาไม่นาน ทั้งสองหนุ่มจดนวมกัน โดยมีปิงทำหน้าที่เป็นกรรมกร
“จิก กัด ตบ ใต้เข็มขัด ได้ตามสบาย ห้ามอย่างเดียว ห้ามชกกรรมกรเด็ดขาด”
ภูผากับหมอกๆ ได้ยินแสยะยิ้มมุมปาก
“ชกได้”
ทั้งสองกระแทกชนหมัด แล้วแยกออกมาตั้งหลัก จดมวยหยั่งเชิง ภูผาบุกก่อน หมอกปัดแมลงวัน เก็บอาวุธ ไม่ตอบโต้ ปิงมองตาโต เก่งเวอร์กันทั้งคู่ ปานวาดหวาดเสียวลุ้นหนัก
ภูผาเห็นช่อง บุกหนักขึ้น หมอกหลบเกือบไม่ทัน พลิกเหลี่ยมหนีมาได้หวุดหวิด ที่ทั้งสองจดมวยจ้องกันอยู่ ภูผานึกถึงตอนที่ตนยิงเมฆ จำได้แม่นว่าเมฆกระเด็นไป โซเซลุกขึ้นแล้วพลัดตกลงมาจากจุดซุ่มยิง
ภูผาดึงตัวเองกลับมา มองจ้องตำแหน่งที่เมฆถูกยิง หมอกมองประสานสายตายั่วกันอีกครั้ง
“สู้ซิวะ อย่าเอาแต่หนี” ภูผายั่ว
“ขอเองนะ”
“เออ” ภูผากระแทกเสียง ยิ้มยั่ว มึงจะแน่สักแค่ไหน แล้วบุกต่อ พยายามพิสูจน์จุดที่ถูกยิงและตั้งใจบุกใส่จุดเดียว
หมอกปัดป้องพร้อมสวนกลับ ภูผาหลบได้ทันเกือบโดนหวุดหวิด ฉากหลบออกมาตั้งหลัก อย่างอึ้งๆ ในฝีมือ ถามกับตัวเองในใจ
“ทำไมมันเก่งขึ้นแบบนี้”
หมอกเองก็มองภูผาแล้วนึกเอะใจ ถามกับตัวเองในใจเช่นกัน
“ทำไมมันบุกจุดเดียวแบบนี้วะ”
หมอกคิดถึงเมฆ สภาพทรุดหนักมีแผลฉกรรจ์ถูกยิงตรงอกซ้าย และยิ่งมั่นใจตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ศพน้องชาย เห็นแผลถูกยิงชัดแจ้ง
หมอกรีบดึงตัวเองกลับมา มองจ้องภูผาเขม็งด้วยแววตาสงสัย
“หรือว่ามันต้องการพิสูจน์ เรื่องแผลนั่น” หมอกถามกับตัวเองในใจ “ถ้าจริงมันเกี่ยวข้องกับการตายของเมฆแน่”
ภูผาสบช่อง โผนเข้าใส่ชุดใหญ่ สองคนรุกรับกันไปมา ก่อนที่หมอกจะสวนหมัดตูมใหญ่จนภูผาหน้าหงายออกมา ภูผาไม่สนใจเล่นงานตรงแผลแล้ว แต่ของขึ้นบุกเอาชนะอย่างเดียว
“สุดยอด” ปิงอย่างทึ่ง
ปานวาดมองจ้องอย่างเหลือเชื่อ ยิ้มดีใจที่หมอกทำได้ ภูผาเห็นท่าทีปานวาดก็รู้สึกเสียหน้า บุกอีกครั้ง หมอกหลบแล้วแก้สวนด้วย กลเทพบางอย่าง จนภูผาล้มทั้งยืน
ระหว่างนี้ ตะวันกับปราการมาถึง และยืนดูอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ สองคนอึ้ง มองตะลึง ตกใจระคนประหลาดใจในทักษะขั้นเทพของหมอก ก่อนจะหันไปมองสบตากันอย่างเหลือเชื่อโดยไม่นัดหมาย
ไม่ต่างจากภูผาที่กองอยู่ที่พื้น ก็แสนจะอึ้ง สีหน้าเต็มไปด้วยประหลาดใจ จังหวะนี้เองหมอกรำมวยพันลำตามเข้ามาเหมือนจะซ้ำปิดเกม แต่ภูผาฮึดสู้ลุกขึ้นต่อยหมอกกลับ หมอกอึ้งไปเหมือนกัน
ทีนี้สองหนุ่มผลัดกันต่อยแลกหมัดกันอุตลุด มันพะยะค่ะ ทุกคนลุ้น ก่อนที่ปิงจะหันไปเห็นตะวันกับปราการจึงบอกเสียงดังขึ้นเพื่อหยุดเกม
“นายมาแล้ว”
หมอกกับภูผาชะงักสองคนมองหน้ากัน ภูผาอึ้งไม่หายกับฝีมือหมอกในคราบเมฆที่เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน
ทุกคนหันไปรับหน้าตะวันที่เดินเข้ามาพร้อมปราการ บอกเสียงเรียบว่า
“สนุกพอรึยัง ไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะได้มาคุยงานกัน”
ทั้งหมดรับเอาคำตะวัน สายตาแต่ละคนจ้องหมอกอย่างสงสัย ว่าฝีมือเก่งขึ้นมากขนาดนี้ได้ไง
ขนาดตะวันยังต้องถามปราการขึ้นระหว่างรอ สี่คน เรื่องทักษะเทพของหมอก
“เมฆมันเก่งมวยขนาดนี้เลยเหรอ”
“ไม่ทราบครับ ผมเพิ่งได้เห็นวันนี้เหมือนกัน”
ตะวันอึ้ง คิดหนัก ปราการก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน
ส่วนในห้องอาบน้ำโรงยิม ภูผาเปิดผักบัว ปล่อยให้น้ำรดตัวเนื้อตัวเปล่าเปลือย สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องที่วัดฝีมือกับหมอกเมื่อครู่
ตอนนั้นภูผาเห็นสบช่อง โผนเข้าใส่ชุดใหญ่ สองคนรุกรับกันไปมา ก่อนที่หมอกจะสวนหมัดตูมใหญ่จนภูผาหน้าหงายออกมา ภูผาไม่สนใจเล่นงานตรงแผลแล้ว แต่ของขึ้นบุกเอาชนะอย่างเดียว
“สุดยอด” ปิงตาโต สุดจะทึ่ง
ปานวาดมองจ้องอย่างเหลือเชื่อ ยิ้มดีใจที่หมอกทำได้ ภูผาเห็นท่าทีปานวาดก็รู้สึกเสียหน้า บุกอีกครั้ง หมอกหลบแล้วแก้สวนด้วย กลเทพบางอย่าง จนภูผาล้มทั้งยืน
ภูผาคิดแล้วถึงกับถามตัวเองอย่างหนักใจ “ทำไมมันเก่งขึ้นขนาดนี้”
ปราการแอบดักรออยู่ จนปานวาดเดินผ่านทางมา
“วาด”
ปานวาดชะงักหันไปมอง แปลกใจในที
“พี่ปราการ มีอะไรเหรอคะ”
“พี่ถามอะไรหน่อยซิ เมฆมันไปฝึกมวยมาเหรอ”
“คงอย่างงั้นมั้งคะ วาดก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พักหลังตั้งแต่ความจำเสื่อม เมฆชอบออกกำลังกายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน”
“งั้นเหรอ”
ปานวาดแปลกใจไม่หาย “พี่ปราการถามทำไมเหรอคะ”
“เปล่าหรอกไม่มีอะไร เมื่อกี้เห็นที่ซ้อมกับภูผาแล้วชอบก็เลยถามดู”
ปานวาดยิ้ม
หมอกเดินตามหลังมา แอบหลบมุมยืนฟังอยู่ ได้ยินตั้งแต่ต้น รู้ทันทีว่าตนพลาดไปแล้ว บอกตัวเองในใจว่า
“คนที่ชื่อปราการนี่ท่าทางจะคอยสืบข่าวให้นายตะวัน ต้องระวังหน่อยแล้ว”
ในห้องประชุมลับ ตะวัน ถึงกับทวนคำ พร้อมกับทำหน้าแปลกใจเมื่อได้รู้เรื่องจากปราการ
“ชอบออกกำลังกายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างงั้นเหรอ”
“ครับ วาดบอกว่าอย่างงั้น”
ตะวันติดใจสงสัยไม่คลาย
“แต่เมื่อก่อนมันไม่ชอบออกกำลังกายนี่หว่า อ่ะ ช่างมันเถอะ ไปเรียกทุกคนมาคุยงานได้แล้ว”
“ครับ”
ปราการเดินออกไป ตะวันอึ้งท่าทางคิดหนัก
ถัดมาปิงเดินไปเดินมา มองเข้าไปในห้องประชุม ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ครั้งนี้นายสั่งงานอะไรฟ่ะ ไอ้ปิงคันไม้จคันมืออยากลงมือเต็มแก่แล้วเฟ้ย”
ปิงลุ้นมองเข้าไปอย่างสู่รู้
ยกเว้นปิง เวลานี้ทั้งหมดนั่งประชุมอยู่ร่วมกับตะวันภายในห้องประชุมลับ
“เรากำลังจะมีงานใหญ่ต้องไปทำ”
“งานอะไรเหรอคะ” ปานวาดสนใจ
“รับยาจากนายพลยี่เส่งแทนภัสสรที่ทำพลาดคราวที่แล้ว”
ทุกคนหันไปมองภูผาเป็นตาเดียว ด่าด้วยสายตาจนตะวันต้องแก้ให้ว่า
“คราวที่แล้วที่ภูผาพลาด เพราะฉันเป็นคนสั่งให้ทำเอง”
ทั้งหมดเลยถึงบางอ้อ ยกเว้นหมอกที่แปลกใจอยู่ในที
“แต่ครั้งนี้ เราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด เตรียมตัวให้พร้อมเราจะลงมือวันศุกร์นี้”
“ครับนาย แล้วไอ้ปิง” ปราการถามตอนท้าย
“บอกมันว่าครั้งนี้ฉันจะมีงานพิเศษให้มันทำ”
ภูผาอึ้งเก็บข้อมูล สีหน้าแปลกใจ งานพิเศษอะไรกัน?
ทุกคนออกมา ปิงยิ้มแป้นแล้น รีบถลาเข้ามาถามปราการ
“เป็นไงบ้างพี่นายสั่งให้ทำอะไร”
“รับยาจากนายพลยี่เส่ง”
ปิงตื่นเต้น งานช้างสุรินทร์นี่หว่า
“ว้าว... เจ๋งไปเลย งานนี้ไอ้ปิงได้โชว์ฝีมือแล้วเฟ้ย”
ปานวาดยิ้มขำ “นายยังบอกว่างานนี้มีงานพิเศษให้แกทำด้วยนะ
“เฮ้ย จริงดิ โห นายใจดีกับปิงแล้ว”
ปิงลิงโลดดีใจยกใหญ่ ขณะปราการกำลังจะแยกไป ปานวาดดันทักไว้ก่อน
“พี่ปราการ ไม่ถามเมฆไปเลยล่ะคะ ว่าไปฝึกมวยทีไหนถึงเก่งขึ้น”
ปราการทำหน้าไม่ถูกเลยทีนี้ ปานวาดให้ถามเอง หมอกเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง ภูผาซึ่งจ้องจับผิดอยู่แล้วเลยได้ที
“นั่นสิ ดูเหมือนนายแข็งแรงกว่าเดิมมากเลยนะ ฝีมือดีหนิ”
ภูผาพูดแล้วทำเป็นจะไปจับอกหมอกตรงที่ถูกเขายิงเพื่อพิสูจน์แผล ไวเท่าความคิดหมอกใช้มือปัดแล้วยังเอามือพุ่งบีบไปที่คอภูผาหมับ ภูผาตกใจ
“ไม่ใช่ดีขึ้นอย่างเดียว ไวขึ้นด้วย” หมอกว่า โดยยังไม่ยอมปล่อยมือ
ทุกคนตะลึงงัน ปานวาดรีบเข้าไปห้าม
“เมฆ ใจเย็นๆ ก่อน”
ปราการรีบเข้ามาดึงออก
“เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ ก่อน เราทำงานเป็นทีมนะเว้ย”
หมอกปล่อย ภูผาคุมแค้น โมโหสุดขีด ได้แต่ทำนิ่งๆ
“แต่พี่เมฆเก่งขึ้นจริงๆ นะ สุดยอดเลยพี่ พี่ซุ่มนี่หว่า ไปฝึกมาอะดิ” ปิงชม
“ใช่ เอาไว้ป้องกันตัว พวกหมาลอบกัดมีเยอะ ต้องระวังไว้หน่อย”
ยกเว้นปานวาด ทุกคนจ้องหมอก ว่าพวกกูปะว่ะ โดยเฉพาะภูผาของขึ้นเลย ปานวาดรีบห้ามทัพ
“ไปๆ เมฆกลับไปพักเถอะ ภูผาด้วย วันนี้ก็โดนไปเยอะหนิ แยกย้ายไปพักกันได้แล้ว”
ปานวาดดึงหมอกออกไป ปิงเห็นด้วยไปพักดีกว่า ปราการออกไปแต่ติดใจคำพูดหมอก
ภูผามองตามหมอกไปทั้งโกรธทั้งสงสัยสุดๆ มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
หมอกกลับมาที่บ้านสวนในคืนนี้
เขากำลังใช้ความคิดหนัก เพ่งมองรูปภูผาบนชาร์ตที่เขาทำขึ้นคืนก่อน ประมวลความคิดจากหลายๆ เหตุการณ์ตอนเขาชกกับภูผา แล้วคล้ายกับภูผาจกใจบุกที่แผล
หมอกคิดหนัก
หลังๆ ภูผาบุกที่อื่นไม่เน้นตรงแผล
หมอกถามกับตัวเองดังๆ
“แต่หลังๆ มันก็ไม่ได้บุกที่เดียวแล้ว”
หมอกจ้องรูปภูผาพูดกับภาพนั้นว่า
“แกมีเรื่องอะไรกับเมฆอย่างงั้นเหรอ”
อีกฟากหนึ่ง ภูผามองชาร์ตของตัวเองเช่นกัน ประหวัดไปถึงตอนที่ชกกับหมอก แล้วรับรู้ว่าทักษะของหมอกเก่งขึ้นผิดตา
ภูผามีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น ถามกับตัวเองอย่างแปลกใจ
“ทำไมมันสู้ได้ เหมือนคนไม่เจ็บเลย”
ภูผายิ่งคิดหนัก แล้วภูผาก็หยิบโทรศัพท์กดหาอัคคเดช
อัคคเดชอยู่ที่บ้าน เตรียมเข้านอน จนเสียงโทรศัพท์สายจาก P เข้ามา อัคคเดชรีบรับสาย
“ว่ายังไง”
“มันจะลงมือวันศุกร์ นี้ครับ”
“มันจะลงมือกันวันศุกร์นี้อย่างงั้นเหรอ” ผู้กำกับทวนคำ
“ครับ นายตะวันนัดเจอกับนายพลยี่เส่งที่คลับภัสสรก่อน”
อัคคเดชตื่นเต้น ปนแปลกใจ “นายพลยี่เส่งมาด้วยเหรอ”
“ครับ”
“มันมาทำอะไรของมัน”
“ไม่ทราบครับ นายตะวันไม่ยอมบอก แล้วผมมีอีกเรื่องจะบอกผู้กำกับอีกเรื่องด้วยครับ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องเมฆครับ
อัคคเดชอึ้ง แล้วฟังที่ภูผาเล่า อย่างตั้งอกตั้งใจ
ผู้การเด่นชาติรู้เรื่องนายพลยี่เส่งในตอนเช้าอีกวันหนึ่ง
“ยังไงงานนี้ก็งานช้างเลยนะ ยี่เส่งเป็นผู้นำกระเหรี่ยงติดอาวุธเคเคเค ที่รัฐบาลเพื่อนบ้านต้องการตัวมากที่สุด เป็นผู้ค้ายารายใหญ่ที่สุดในสามเหลี่ยมทองคำ หากจับตัวมันได้จะตัดตอนแหล่งผลิตยาไปได้ล๊อตใหญ่เลยทีเดียว”
อัคคเดชยิ้มรับเห็นด้วย โอกาสที่รอมาถึงแล้ว
“งั้นแผนการครั้งนี้ต้องไม่พลาด” ผู้การกำชับโดยหวังผลสัมฤทธิ์
“ครับท่าน”
อีกฟาก หมอกช่วยปิงซ้อมมวยอยู่ในยิมของคฤหาสน์ ตะวันเดินผ่านมาเห็น นึกถึงเรื่องที่หมอกสู้กับภูผาเมื่อวาน หมอกเอาชนะภูผาด้วยทักษะขั้นเทพ
ตะวันติดใจสงสัย ถามคำถามกับตัวเองในใจ
“คนเรามันจะเก่งขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน เป็นไปได้เหรอ”
คิดดังนี้แล้วตะวันจึงเรียกปราการมาหาในห้องทำงาน สั่งงานกับปราการเป็นเชิงหารือขึ้นว่า
“แกลองหาคนสักหลายๆ คนหน่อยไปรุมลองของไอ้เมฆมันหน่อยซิ”
ปราการถามอย่างแปลกใจ “เพื่ออะไรครับ”
“ฉันต้องการพิสูจน์บางอย่าง” ตะวันเว้นช่วง เหมือนใช้ความคิด “แกไม่สังเกตเหรอว่า หลังจากมันกลับมา และบอกว่ามันความจำเสื่อม ไอ้เมฆมันเก่งขึ้นผิดหูผิดตา เหมือนเป็นคนละคน”
ปราการพยักหน้าเห็นตามด้วย
“ผมก็ยังติดใจเรื่องที่มันบอกว่าความจำเสื่อมเหมือนกัน”
“ฉันเลยสงสัยว่า บางทีเรื่องแก๊งดาวเหนือมันอาจเล่นละครแหกตา ไม่ได้ลงมือคนเดียวแต่มีคนช่วย”
“แต่ว่ามันไม่ถูกกับภูผา” ปราการตั้งแง่
ตะวันยิ้มแววตาลึกล้ำ “ลืมแล้วหรือไง ฉันเคยบอกแล้วว่า สิ่งที่เราเห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด วันนั้นมีแต่มันสองคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ”
“นายสงสัยว่าสองคนนั่นร่วมมือกัน มันจะเป็นไปได้เหรอครับ” ปราการคล้ายไม่เชื่อ
“ฉันยอมสงสัยผิดร้อยคนดีกว่าปล่อยรอดตาไปได้แม้แต่คนเดียว”
“ถ้าอย่างงั้นนายจะจัดฉากมันแค่ไหนดีครับ”
“เอาแค่เบาะๆ พอ อย่าให้ถึงตาย เพราะฉันต้องสาวหาคนสมรู้ร่วมคิดกับมันอีก และที่สำคัญอย่าให้มันรู้ว่าเป็นฝีมือใคร”
“ครับ”
ปราการนั่งรออยู่ในรถตรงมุมหนึ่งสักระยะหนึ่งแล้ว จนมีชาย 1 ซึ่งก็คือหัวหน้านักเลงที่จะไปเล่นงานหมอก เดินเข้ามาหา ปราการเปิดกระจกคุยด้วย
“ว่าไง”
“เจอตัวแล้วครับ นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านข้างหน้า”
“งั้นเล่นมันเลย”
“ครับ”
“ถ่ายคลิปส่งมาให้ดูด้วยล่ะ”
“ได้ครับ”
“แล้วก็จัดเต็มเลยนะ ไม่ต้องยั้งมือ”
“ครับ” ชาย 1 รับเอาคำ แล้วเดินจากมา
ปราการยิ้มร้ายสะใจ
ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เป็นร้านเล็กๆ คนไม่พลุกพล่านนัก เพราะอยู่ในซอยเล็กๆ หมอกกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้านนี้
รถตู้คันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าร้าน มีชายฉกรรจ์เกือบสิบคนจะเปิดประตูลงมาจากรถ พร้อมกับอาวุธไม้ครบมือ พวกมันพากันเดินกร่างเข้ามาในร้าน แล้วล้มโต๊ะหมอกเอาไว้
หมอกกำลังกินก๋วยเตี๋ยวเงยหน้าขึ้นมอง
“ใครไม่เกี๋ยวออกไป” ชายที่เป็นหัวหน้าสั่ง
บรรดาลูกค้าที่นั่งอยู่สามโต๊ะรีบเผ่นออกจากร้านไป เจ้าของร้านตกใจ คว้าโทรศัพท์เดินออกไป โทร.แจ้งตำรวจ
หัวหน้าสั่งการ “อัดมัน”
ขาดคำนักเลงเป็นสิบต่างกรูกันเข้าไปเล่นงานหมอก
เริ่มจากไล่ตีหมอกที่กำลังนั่งกินอยู่ ต้องจนลุกหนีจากโต๊ะ พวกมันตามไปเล่นงานต่อ แต่หมอกหลบมาได้ สวนกลับหน้าหงายไปคนหนึ่ง แล้วตั้งหลักได้ พันหมัดตั้งท่ามวยสู้
สมุนถือไม้เข้าเล่นงาน หมอกจับล็อคปลดอาวุธด้วยทักษะ ปลดอาวุธด้วยมือเปล่า ปลดได้ แต่แย่งอาวุธมาไม่ได้ โดนเล่นงานต่อ ต้องหลบ แล้วตั้งหลักสู้อีกครั้ง
ชาย 1 ที่ไปคุยกับปราการแอบถ่ายคลิปอยู่อีกฝั่งของถนน
พวกนักเลงรุมล้อมกรอบอีกรอบ หมอกจัดการหลบกันแทบไม่ทัน พร้อมเล่นงานจนหมอบ
ร่วงหายไปเกือบครึ่งแล้ว
พวกนักเลงเห็นทักษะต่อสู้หมอกแล้วเริ่มขยาด มองหน้ากันว่าจะเอายังไง ก่อนคนเป็นหัวหน้าจะสั่งขึ้นว่า
“อัดมันซิวะ”
พวกลิ่วล้อบุกอีกครั้ง ครั้งนี้หมอกคว้าไม้ที่ตกอยู่ขึ้นมาใช้สู้สองมือ หมอกเล่นงานเดี๋ยวเดียว ก็เก็บลิ่วล้อได้จนหมด เหลือตัวหัวหน้าคนเดียว
หมอกหันมาจ้องหน้า ตัวหัวหน้าเห็นแล้วขยาด ออกอาการกลัวอย่างเห็นได้ชัด หมอกขยับสืบเท้าเข้าหา ตัวหัวหน้าทิ้งไม้วิ่งหนี หมอกมองตาม ไอ้เวร นึกว่าจะแน่ จนมีเสียงไซเรนตำรวจจะดังขึ้น หมอกชะงักต้องหนีแล้ว
ปิงขี่มอเตอร์ไซค์มารับอย่างทันท่วงที
“ขึ้นมาพี่เมฆ”
ปิงพาหมอกออกไปมาดอย่างเท่ห์
รถปิงแล่นตะบึงไปบนถนนด้วยความเร็วสูงเพื่อหนีตำรวจ มาสักระยะแล้ว หมอกมองหลังแล้วไม่เห็นตำรวจตามมา จึงสะกิดให้ปิงจอดริมถนน
ปิงจอดรถข้างทาง หายหัวไปแพ้บเดียว ก่อนจะเดินกลับมาเอาน้ำดื่มส่งให้หมอก
“น้ำพี่
“ขอบใจนะ”
หมอกรับมาเปิดดื่มดับกระหาย
“เป็นไงมาไงถึงได้ไปฟัดกับไอ้พวกนั้นได้อ่ะพี่”
“ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยโดนโจทก์ตามตัวผิดมั้ง ยังไงก็ขอบใจนะที่พาหนี”
“โถ่พี่เมฆ ช่วยแค่เนี่ยเอง พี่เคยช่วยชีวิตผมไว้นะ ถ้าไม่ได้พี่ผมคงไม่มีโอกาสได้มาทำงานกับนายหรอก บุญคุณพี่ผมจำไม่ลืม”
หมอกยิ้มรับเอาคำนั้น แล้วคิดในใจพูดพึมพำกับตัวเอง
“มีบุญคุณกัน ปิงน่าจะไม่ฆ่าเมฆแน่ๆ”
หมอกจ้องมองปิงอยู่อย่างนั้น โดยไม่พูดใดๆ เล่นเอาปิงงง
“เป็นไรพี่ อย่าบอกนะว่าพี่จำไม่ได้”
“อ่อ พอๆจำได้ล่ะ”
หมอกยิ้ม แล้วตัดบทด้วยการทำเป็นเจ็บแผล ปิงเป็นห่วง
“งั้นพี่รีบไปกลับทำแผลเถอะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
หมอกพยักหน้ารับเอาคำ แล้วสองคนจึงเดินไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ปิงขับทะยานออกไป
ตะวันอยู่ในห้องทำงานที่คฤหาสน์กำลังดูคลิปอยู่กับปราการ ภาพในคลิป เป็นภาพเหตุการณ์ที่หมอกโดนนักเลงร่วมสิบคนรุมยำกินโต๊ะก่อนหน้านี้นั่นเอง
พอดูตั้งแต่ต้นจนจบ ตะวันอึ้งตะลึงจ้องด้วยความแปลกใจ แทบไม่เชื่อสายตา
“นี่มันเก่งถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ครับ” ปราการก็ทึ่งพอกัน
ตะวันออกอาการหนักใจเปรยกับปราการ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
“มันเก่งขึ้นเยอะจริงๆ”
ปราการนิ่งฟังเห็นตามด้วย แต่ไม่ออกความเห็นตามสไตล์ของเขา
“แล้วนายจะให้ทำยังไงต่อไปครับ”
“จับตาดูมันเอาไว้”
“ครับ”
ตะวันคิดหนัก สีหน้าระแวงชัดแจ้ง แต่ไม่มีหลักฐาน และเหตุผลมาประกอบความระแวงของตน
อ่านต่อตอนที่ 8