ล่าดับตะวัน ตอนที่ 3
ตะวันกับรัฐมนตรีกฤษชัยนัดพบกันที่เซฟเฮ้าส์ พอกฤษชัยรู้เรื่องจากตะวันถึงกับย้อนถามเสียงหลง
“อะไรนะ คุณจะให้ผมช่วยเป็นเป้าล่ออัคคเดชอย่างงั้นเหรอ”
“ผมจะได้จัดการเก็บมันอย่างที่ท่านต้องการไง”
กฤษชัยทักท้วง “แค่ส่งคนไปจัดการมันไม่ได้เหรอ”
“ท่านก็รู้ว่ามันระวังตัว จะเล่นงานมันคงยาก แต่ถ้าเราหลอกมันให้ออกมาให้เรายิงโดยที่มันไม่ทันระวังตัว เปรี้ยงเดียวหมดปัญหาด้วยกันทุกคน”
คราวนี้กฤษชัยยิ้มเห็นด้วย
“แล้วคุณจะให้ผมช่วยยังไง”
“ผมอยากให้ท่านล่อมันออกมาทำงานคุ้มกันท่าน แล้วคนของผมจะจัดการเก็บมันซะ”
กฤษชัยนิ่งคิดไปชั่วขณะหนึ่ง “คุณก็รู้นิสัยมัน ถ้าคุณจะให้ผมเป็นเป้าล่อเองนะ ไอ้อัคคเดชมันไม่มาหรอก ต่อให้นายสั่งลงไปก็ตาม”
ตะวันพยักหน้าเห็นด้วย เพราะคิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
“แล้วเราจะมีทางไหนให้มันออกมาได้ล่ะครับ”
กฤษชัยนิ่งคิด
“ผมนึกออกแล้ว ผมจะมีแขกต่างประเทศมาพอดี คนนี้เป็นนักธุรกิจใหญ่เป็นคนสำคัญด้วย ถ้าขอความร่วมมือไปคงได้”
ตะวันยิ้มมาดหมายว่าสำเร็จแน่
ที่กองบังคับการ กองปราบปรามพิเศษ วันเดียวกัน
อัคคเดชรู้เรื่องจากผู้การเด่นชาติว่ากฤษชัยขอกำลังหน่วยเมฆาพยัคฆ์ไปคุ้มกันแขกต่างประเทศก็แปลกใจ
“รัฐมนตรีกฤษชัยน่ะเหรอครับของกำลังหน่วยผมไปคุ้มกัน”
“ไม่ได้คุ้มกันกฤษชัย แต่คุ้มกันมิสเตอร์โอลิเวอร์ นักธุรกิจต่างชาติ แขกของกระทรวง”
อัคคเดชยิ่งประหลาดใจเมื่อได้ยิน
“เขาเป็นนักธุรกิจที่มีโครงการกับรัฐบาล ทางรัฐบาลเลยให้การดูแลเป็นพิเศษ แต่รัฐมนตรีกฤษชัยเป็นคนต้อนรับ”
อัคคเดชพยักหน้ารับ “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
“เพราะคุณมีเรื่องกับกฤษชัยอยู่ ผมเลยมาถามคุณก่อนว่าคุณจะว่ายังไง” ผู้การเด่นชาติ
อัคคเดชตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “ถ้าผู้ใหญ่สั่งลงมา ผมก็ไม่มีปัญหาครับ ทำได้”
“งั้นก็ดี ผมจะได้เรียนนายได้ว่าคุณไม่มีปัญหากับงานนี้”
อัคคเดชยิ้มรับคำ
ตะวันนั่งหันหลังมาดเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่โต๊ะทำงาน สักครู่จึงหมุนเก้าอี้กลับมาพูดอย่างใจเย็น
“นี่ปืน ฉันเตรียมมาให้พวกแกแล้ว”
มีซองปืนยาวสองกระบอกวางอยู่บนโต๊ะ
“เอาไปซ้อมมือให้ชินมือ วันลงมือจะได้ไม่พลาด”
ภูผากับเมฆยืนอยู่รับคำขึ้นพร้อมกัน
“ครับ”
สองคนก้มหยิบปืนพร้อมหัน ต่างคนต่างชะงัก หันมองสบตากัน เมฆมองเขม่น ภูผาไม่อยากมีเรื่อง ยอมให้เมฆหยิบก่อน
เมฆเปิดออกดูปืน แล้วลองประทับยิง
ตะวันนั่งยิ้มกระหยิ่มใจ
“งานนี้พวกแกห้ามพลาดเด็ดขาด”
เมฆรีบเอาหน้า “รับรองครับนาย”
ภูผาถาม อยากรู้แต่สงวนท่าที “แล้วเป้าเป็นใครครับ”
ตะวันยิ้มเจ้าเล่ห์บอกว่า
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ แกสองคนแค่ประจำอยู่ในตำแหน่งที่ฉันบอกก็พอ ถึงเวลาจะมีคนล่อเป้ามาให้แก่สองคนเป่าหัวมันเอง”
ภูผาสงสัยและหนักใจมากว่าใครเป็นเป้าหมาย ส่วนเมฆยิ้มกระหยิ่มใจจะได้ทำงานใหญ่แล้ว
เวลาเดียวกันนี้ปานวาดยืนลับๆล่อๆ อยู่หน้าห้องเหมือนแอบฟังเรื่องจากข้างในห้องตะวัน จนมีเสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง
“ทำอะไร”
ปานวาดชะงักหันไปมอง เห็นปราการยืนจ้องมองมาอย่างจับผิด
“พี่ปราการ”
“สอดรู้สอดเห็นเรื่องของนายไม่ดีนะวาด”
“วาดแค่อยากรู้ว่านายใช้ให้สองคนนั้นไปทำงานอะไร”
“งานอะไร ถ้านายใช้ก็ต้องไป”
ปานวาดขัดใจ เดินหุนหันจากไป
ปราการมองตามด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ไม่รู้จะแสดงออกให้วาดรับรู้ได้ยังไง ใครมาเห็นก็ต้องรู้ว่าปราการมีใจให้กับปานวาดเหมือนกัน
ตะวันใช้ความคิดอยู่ตรงมุมพักผ่อนในคฤหาสน์ รับรู้เรื่องที่ปานวาดมาแอบฟังจากปราการที่มารายงาน
“วาดมาแอบฟังเหรอ”
“ครับ”
ตะวันยิ้มรู้ทัน ไม่ซีเรียส
“ไม่มีอะไรหรอก วาดมันแค่เป็นห่วงไอ้เมฆแฟนมัน”
ปราการนิ่งฟังไม่ออกความเห็น นึกสะท้อนใจอยู่ในที
“แกก็รู้นิสัยวาดมันนี่หว่า โตมาด้วย”
ปราการยิ้ม ตะวันมองจ้องหน้าปราการอย่างชั่งใจก่อนถามขึ้นอย่างหยั่งเชิงว่า
“แล้วแกล่ะ ไม่อยากรู้กับเค้าบ้างเหรอว่าฉันให้สองคนนั่นไปทำอะไร”
ปราการตอบโดยไม่ต้องคิด “ไม่ครับ”
“ทำไมล่ะ”
ปราการตอบทันที “ก็นายไม่ได้สั่ง”
ตะวันยิ้มชม
“ตอบแบบนี้ ค่อยสมเป็นแกหน่อย ปราการ ไม่อยากรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ เล่มตามเกมที่ฉันบอกให้เล่น ฉันชอบ”
ปราการนิ่งฟังสีหน้าเรียบเฉย เขาเป็นพวกเสือยิ้มยาก
“ไม่ใช่ฉันไม่เชื่อมือแกนะปราการ แต่นี่ไม่ใช่เกมของแก”
ปราการพูดจากใจไม่ประจบ “สำหรับผม ความต้องการของนายต้องมาก่อนเสมอครับ”
ตะวันยิ้ม ไว้ใจในตัวปราการมาก
เมฆเก็บปืนเข้าท้ายรถไป คุยมือถือไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
“ได้เลย ทำไมจะไม่ได้จ๊ะน้องออม เดี๋ยวพี่ไปหา”
พอปิดกระโปรงลง ก็เห็นปานวาดยืนมองมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจอยู่ เมฆจึงตัดบทวางสายไป
“แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่โทร.กลับ”
ปานวาดน้อยใจ ประชดออกมา “ไม่มีเวลาให้วาด แต่มีเวลาให้คนอื่นนะ”
เมฆยิ้มกลบเกลื่อนเดินเข้าไปหาโอบไหล่เอาใจ
“โธ๋ อย่าน้อยใจซิจ๊ะวาด เธอก็รู้ว่าฉันมีเธอคนเดียว คนอื่นก็แค่ขนมหวานน่า”
ปานวาดมองค้อน ก่อนจะถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“แล้วนายสั่งให้เมฆไปทำอะไร”
เมฆชะงัก ลดมือที่โอบไหล่ลง พร้อมกับออกอาการหงุดหงิด หัวเสียใส่แฟนสาวทันที
“เรื่องนี้อีกแล้ว รมณ์เสีย”
พูดจบเขาก็เดินหนีไปขึ้นรถทันที
ปานวาดตามตื๊อเซ้าซี้ถาม “เดี๋ยวซิพูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
เมฆชักรำคาญ ตวาดใส่ “เอ๊ะ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงวาดว่า นายห้ามไม่ให้บอกใคร”
ปานวาดอึ้ง นิ่งงันไป
“กระซิบก็ได้ นายไม่รู้หรอก”
เมฆนิ่งไป เหมือนยอมทำตาม ปานวาดยิ้มดีใจ
เมฆกระซิบข้างหู ยั่วโมโห “อยากรู้ก็ไปถามนายดูเอาเองซิ”
ปานวาดค้อนควัก เมฆหัวเราะชอบใจก่อนขึ้นรถขับออกไป ทิ้งปานวาดไว้ให้ยืนน้อยใจ เสียใจอยู่ลำพัง
ภูผาแอบยืนดูอยู่ห่างออกมาทางด้านหลัง มองปานวาดด้วยความเห็นใจ
ที่สนามซ้อมยิงปืนในเวลาต่อมา เป้าถูกยิงเข้ากลางเป้าอย่างแม่นยำ ซ้ำกันสามสี่นัด จากปืนกระบอกเดิม ภูผานั่นเองเป็นคนยิง ภาพปานวาดผุดขึ้นมาหลอกหลอน ทั้งตอนเมฆทิ้งปานวาดก่อนหน้านี้ รวมทั้งตอนปานวาดมาหาเขาที่บ้านปรับทุกข์และบอกว่าภูผาไม่รู้จักความรัก ประโยคนี้ดังก้องซ้ำไปซ้ำมา
ภูผานิ่งคิดทบทวน มองโทรศัพท์อย่างชั่งใจ เบอร์บนจอที่จะโทรออกเป็นเบอร์ปานวาด สุดท้ายเขาตัดสินใจกดโทร.ออกในที่สุด
เมฆเมากรึ่มมานิดๆ เปิดประตูเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันเปิดไฟ ก็รู้สึกผิดสังเกตสงสัยว่ามีคนอยู่ในห้อง ไฟสว่างขึ้น พร้อมกับเมฆชักปืนเล็งใส่ใครบางคนที่อยู่ในห้องจริงๆ เป็น ปานวาดนั่งอยู่โซฟารับแขกปาดวาดมองเมฆอย่างอ่อนใจ เมามาอีกแล้ว
“ทำบ้าอะไรของเธอวาด มานั่งอยู่มืดๆ เกิดฉันยั้งมือไม่ทันยิงเธอเข้า จะว่ายังไง”
ปานวาดประชดอย่างน้อยใจ “ก็ดี จะได้พ้นๆ สภาพนี้ไปเสียที”
เมฆชะงักสะดุดหู
“อะไรอีกล่ะ” เขารีบดักคอ “ถ้าจะมาถามเรื่องงานอีกล่ะก้อ บอกแล้วไงให้ไปถามนายเอาเอง ฉันบอกไม่ได้”
ปานวาดไม่วายตื้อ “แล้วทำไมเธอบอกฉันเองไม่ได้”
“จะอยากรู้ไปทำไมนักหนา ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอสักนิด”
“ใช่! มันไม่ใช่เรื่องของฉันเลยสักนิด” ปานวาดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะตัดพ้อออกมาด้วยความน้อยใจ “ฉันมันบ้าเป็นห่วงเธอไปเอง เมฆ”
เมฆสะอึกอึ้งไปกับคำพูดนี้
“กะอีแค่ไปยิงหัวคนมันจะลึกลับซับซ้อนอะไรกันนักหนา”
“เธอรู้ได้ยังไง”
เมฆตกใจเอาการ เขานิ่งไป จนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว ตวาดเสียงดังลั่น
“ไอ้ภูผามันบอกเธอใช่มั้ย”
ปานวาดสวนทันควัน “ใครจะเป็นคนบอกฉันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญตรงที่ว่าฉันอยากรู้ไปทำไมมากกว่า”
“หรือว่าเธออยากมีเอี่ยวด้วย”
ปานวาดได้ยินแล้วน้อยใจถึงขีดสุด เริ่มจะร้องไห้
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากเธอเมฆ เธอไม่รู้เหรอว่าฉันคิดยังไงกับเธอ”
เมฆอึ้งไปอีกครั้ง
“ที่ฉันอยากรู้เพราะเป็นห่วงเธอไง”
ปานวาดน้ำตาไหลรินด้วยความช้ำชอกใจ
“ชีวิตฉัน ฉันให้เธอได้เมฆ แล้วชีวิตเธอล่ะ เธอให้ฉันได้หรือเปล่า”
เมฆอึ้งยิ่งกว่าเก่า ปานวาดเดินร้องไห้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจออกจากห้องไป
เมฆได้เพียงมองตาม อยากจะรั้งแต่ไม่กล้า รู้ตัวว่าผิดเต็มประตู
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่ห้องประชุมหน่วยเมฆาพยัคฆ์ วันต่อมา
อัคคเดชเรียกประชุมทีมแต่เช้า เวลานี้กำลังบรรยายสรุปแผนให้ทีมฟัง โดยมีชบา มนตรี อ้อย และยักษ์ นั่งฟังด้วยความตั้งใจ
“ภารกิจพิเศษของเราในครั้งนี้เป็นภารกิจพิเศษที่หน่วยเหนือถูกขอความสนับสนุนมาให้ช่วยสนธิกำลังให้การอารักขาแขกของรัฐบาล แต่ ภาระกิจประจำของเราที่ต้องติดตามพวกแก๊งอัคคีก็ทิ้งไม่ได้ ดังนั้นเราจึงจะแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด”
คนอื่นเข้าใจดี มีชบาที่ถามสอดขึ้นทันควัน “ตั้งสองชุด ไหวเหรอคะ คนเรามีแค่นี้เอง”
ว่าพลางนับทีมงานให้ผู้กำกับดูอีกต่างหาก “1...2...3...4...5”
“ไม่ได้ฟังที่ผมพูดเมื่อกี้หรือไงว่า สนธิกำลัง หมายความว่า เราไม่ต้องเอากำลังไปเอง แค่ไปร่วมกับปฏิบัติการกับเค้าเท่านั้น เข้าใจมั้ย”
ชบาจอมเจ๋อเลยจ๋อย “เข้าใจแล้วค่ะ”
อัคคเดชถอนใจระอา แล้วหันไปอธิบายต่อ แต่ยังไม่ทันเริ่ม เสียงชบาถามขึ้นอีกว่า
“แล้วหนูอยู่ชุดไหนคะ”
อัคคเดชชะงัก หันมามองหน้าชบาจ้องตาเขม็ง ทุกคนในนั้นทีมต่างก็มองตำหนิชบาเป็นตาเดียวกัน
ชบารู้ตัวว่าผิดคิว “อุ๊ย ขอโทษค่ะ ไฟแรงไปหน่อย”
อัคคเดชเริ่มจะเหลืออด ทำมือเป็นเชิงคาดโทษว่า มีอีกครั้งเธอหนึ่งโดนดีแน่
ชบาจ๋อยสนิท ก้มหน้าหลบตาวูบ อัคคเดชจึงเริ่มอธิบายต่ออีกครั้ง
“เราจะแบ่งหน้าที่ตามนี้ ชุดที่หนึ่งทำหน้าที่อารักขา มีผม มีหมวดอ้อย แล้วก็...”
ชบาลุ้นว่าคราวนี้น่าจะเป็นตัวเธอเอง
แต่อัคคเดชบอกว่า “จ่ายักษ์”
ชบาใจหล่นวูบ วืดอีกซะงั้น
“ส่วนอีกชุด ผมจะให้ไปคอยสะกดรอยนายตะวัน”
ชบายกมือขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ถาม
“ว่าไงหมวดชบา”
“ทำไมสะกดรอยนายตะวันล่ะคะ ก็ในเมื่อข่าวที่ได้มาบอกว่า พวกแก๊งหงส์ขาวของภัสสรจะเป็นคนส่งของไม่ใช่เหรอคะ”
“เราสงสัยว่ามันจะเป็นข่าวลวง เพราะตอนนี้นายตะวันเป็นคนดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ของแก๊งอัคคี ไม่ใช่ภัสสร ซึ่งตรงกับข่าวกรองที่เราได้มาว่า นายตะวันจะนัดเจอกับลูกค้าในวันที่เราต้องให้การอารักขาพอดี”
ชบาซักถามต่อ “งั้นทำไมเราไม่ยกเลิกการอารักขาแล้วมาจับนายตะวันอย่างเดียวล่ะคะ”
อัคคเดชมองอย่างอ่อนใจ ถามไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว
“ความคิดดีนี่ งั้นช่วยไปเรียนท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหน่อยได้มั้ย ว่าเราไม่ว่าง เพราะท่านเซ็นคำสั่งลงมาเองว่าเราต้องไปอารักขา”
“ชะอุ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
อัคคเดชพยักหน้าให้แทนคำตอบ
“มีข้อสงสัยอีกมั้ย”
“ไม่แล้วค่ะ”
จ่ามนตรีกับหมวดอ้อยยิ้มขำชบา ขณะที่จ่ายักษ์มองชบาแล้วถอนใจเซ็งในความรั่วที่ชบาขยันปล่อยออกมาตลอด อ้อยกระซิบบอกชบาได้ยินกันสองคน
“หมวดนี่ขยันสะกิด ต่อมจี๊ด ของผู้กำกับจังนะคะ โดนทุกเม็ด”
ชบากลืนน้ำลายฝืดคอ อัคคเดชเอ่ยขึ้นว่า
“ทีมสะกดรอยตะวัน จ่ามนตรีนำ”
มนตรีรับคำแข็งขัน “ครับผม”
ชบาถามสวนขึ้นทันควัน “อ้าว แล้วหนูล่ะคะ หนูเป็นหมวดต้องเป็นคนนำไม่ใช่เหรอคะ”
พร้อมกับว่าชี้ไปที่หน้าตัวเอง
อัคคเดชขยับเข้ามาพูดกับชบาใกล้
“ผมเอาประสบการณ์ แล้วก็ความสามารถของสมองตัดสิน” ผู้กำกับเอานิ้วจิ้มหัวชบาทำนองว่าเธอมันไม่มีสมอง “เพราะงานนี้ถ้าพลาด ไม่ใช่แค่งานไม่สำเร็จ แต่อาจหมายถึงชีวิตของเพื่อนร่วมงานที่หมวดจะพาไปด้วย”
ประโยคหลังอัคคเดชพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ค่ะ” ชบายอมจำนนในเหตุผล
เวลาเดียวกัน หลินนั่งจัดดอกไม้อยู่ในร้าน จนกระทั่งมีเสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้น หลินลุกขึ้นต้อนรับ
“เชิญค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
หลินนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วทักถามขึ้นอย่างคุ้นเคยเหมือนเดิม
“หวัดดีค่ะ คุณเมฆ”
คนที่เดินเข้ามาเป็นเมฆจริงๆ เขามองหลินอย่างแปลกใจเหมือนทุกครั้ง
“รู้ได้ไงว่าเป็นผม ผมอุตส่าห์เปลี่ยนน้ำหอมแล้วนะ”
หลินหัวเราะขำ
“ก็หลินไม่ได้จำคุณได้เพราะกลิ่นนี่คะ แต่จำได้จากลักษณะการเปิดประตู แล้วก็เสียงฝีเท้าคุณ กลิ่นน้ำหอมเปลี่ยนกันได้คะ แต่นิสัยส่วนตัวเปลี่ยนยาก”
เมฆยิ้มรับเจื่อนๆ
“วันนี้รับอะไรดีคะ”
เมฆบอกด้วยน้ำเสียงเศร้า “เหมือนเดิม”
หลินอึ้งไป ก่อนจะถามขึ้นว่า
“ทำไมวันนี้น้ำเสียงคุณเมฆฟังดูเศร้าจังล่ะคะ”
เมฆอึ้งไปไม่ตอบ
หลินเดาออก ถามอย่างเป็นห่วง “ทะเลาะกับแฟนมาหรือเปล่าคะ”
“ก็...ทำนองนั้น” เมฆตอบ
หลินยิ้ม “ถ้าอย่างงั้นวันนี้หลินจัดพิเศษให้ช่อใหญ่ๆ เลยค่ะ แต่ราคาเท่าเดิม รับรองแฟนคุณเมฆเห็นต้องหายโกรธแน่”
เมฆยิ้มชื่น “ขอบคุณ”
หลินหันไปจัดดอกไม้
เมฆเดินดูรอบๆ ร้านก่อนจะสะดุดตากับแจกันที่ตั้งอยู่
“ผมว่าจะถามหลายทีแล้วว่า แจกันใบนี้มีไว้ทำไม”
“ใบไหนคะ”
“ใบที่ตั้งอยู่ใบเดียว ไม่ใส่ดอกไม้”
“อ๋อ ของคุณพ่อหลินค่ะ เป็นที่ระลึกเอาไว้ดู เอ๊ย พูดผิด สำหรับหลินต้องใช้คำว่าคลำต่างหน้า เวลาคิดถึงน่ะค่ะ”
เมฆถึงบางอ้อ “อ๋อ”
เมฆมองแจกันอย่างใช้ความคิด มีแผนอะไรสักอย่าง
ดอกไม้สวยช่อใหญ่เบิ้ม ใหญ่กว่าทุกครั้งถึงสองเท่าตัว ถูกวางไว้ข้างๆ ของขวัญกล่องใหญ่ ที่วางอยู่ในรถแล้ว เมฆขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยเร็ง
ไม่นานนักรถเมฆเลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดคอนโดปานวาด
เมฆนั่งทำใจ ซ้อมคำพูดไปมาว่า
“ขอโทษนะ” เขาพูดซ้ำๆ คำนี้คำเดิม แต่ด้วยน้ำเสียงหลายๆ แบบอยู่ราวสามสี่ครั้ง อย่างไม่มั่นใจ และประหม่าที่จะทำ สุดท้ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ บอกกับตัวเองเหมือนตัดสินใจเด็ดขาด
“ทำไงได้ ก็รักเค้าเข้าไปแล้วนี่”
เมฆหันไปหยิบดอกไม้กับของขวัญ ก้าวลงจากรถตรงเข้าไปในล็อบบี้คอนโด
โทรศัพท์ดังขึ้น ปานวาดหยิบมาดูเห็นเป็นเบอร์เมฆ สีหน้าทั้งแปลกใจและดีใจพอกันที่เมฆโทร.มา รีบกดรับสาย แล้วถามขึ้นทันทีว่า
“อยู่ไหนเมฆ”
เมฆชักสีหน้า ถามคำนี้อีกแล้ว อยากรู้ไปหมด แต่คราวนี้เขาพยายามสะกดอารมณ์โกรธไว้ แต่ไม่วายประชดนิดๆ
“อยู่ข้างล่างคอนโดเธอ ลงมาหน่อยซิ”
“มาทำไมคอนโดฉัน”
เมฆประหม่านิดๆ “เอาของมาให้”
“ของอะไร”
เมฆพูดแล้วชักเขิน “ก็ของไง อยากรู้ก็ลงมาดูเอง”
“ฉันไม่ได้อยู่ที่ห้อง”
“แล้วอยู่ไหนล่ะ”
“ก็อยู่คอนโดเธอน่ะซิ”
เมฆเซ็ง “ไปทำไม”
“ก็กะจะตามไปช่วยเธออีกแรงไง”
เมฆอึ้งไป ยิ้มพรายอย่างมีความสุข ที่ปานวาดเป็นห่วงตนจริงๆ
“ใจดีขนาดนั้นเชียว เพิ่งทะเลาะกันไปเนี่ยนะ”
ปานวาดอึ้ง นิ่งไปนิด ค้อนลมค้อนอากาศในห้อง
“ทำไงได้ ก็เธอคือดวงใจของฉัน ถ้าขาดเธอ ฉันจะอยู่ได้ยังไง”
เมฆแล้วซึ้งหนัก ยิ้มดีใจ
“แบบนี้ค่อยคุ้มค่า ที่อุตส่าห์หอบของมาง้อหน่อย”
ปานวาดอึ้ง ใจเต้นระรัว ทวนคำเสียงหลงอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ง้อ! เธอจะง้อฉันเหรอ”
“อือม์ เนี่ยเอาของขวัญวันครบครอบคบกัน กับดอกไม้มาให้ ฝากไว้ข้างล่างนะ มาเอาด้วย แล้วเดี๋ยวทำงานเสร็จจะรีบไปหา จะได้ไปกินข้าวกัน”
ปานวาดได้ฟังยิ้มหน้าบานออกมาทันที
“ได้ งั้นวาดจะกลับไปเอาแล้วรออยู่ที่ห้องนะ”
เมฆจูบโทรศัพท์เสียงดังอย่างไม่อาย “จ้า แล้วเจอกัน”
ปานวาดยิ้มชื่น สุขใจอย่างบอกไม่ถูก
ขบวนรถเคลื่อนออกไปจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีจักรยานยนต์นำหน้าขบวน ตามด้วยรถกฤษชัย รถผู้ติดตามปิดท้าย
ชบากับมนตรีนั่งอยู่ในรถที่จอดซุ่มอยู่หน้าคฤหาสน์ตะวัน จ่ามนตรีนั่งตรงที่นั่งคนขับ ชบานั่งข้างๆ ก่อน มนตรีเรอขึ้นเสียงดัง ชบารีบปิดจมูกร้องยี้อย่างรังเกียจ แล้วลดกระจกลง
“โสโครก”
“ขอโทษครับ”
มนตรีต้องทำแบบเดียวกับชบา เพราะทนกลิ่นตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน
“อื้อหือ! ปลาร้าเข้าวินมาก่อนเลยนะจ่า”
มนตรียิ้มรับ บอกด้วยสำเนียงอีสานยอมรับ “ของมักนี่ครับ”
ชบาหันไปสดอากาศข้างนอกบ่นขึ้นมาอย่างเซ็งๆ “น่าเบื่อมากนั่งรอแบบนี้”
“อยู่หน่วยนี้ก็แบบนี้แหละครับ ต้องทำใจ ร้องเพลงรอ รอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ต้องรออยู่ดี”
“ความจริงรู้ว่ามันทำผิด ก็บุกเข้าไปจับมันให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลย ก็สิ้นเรื่อง”
ชบาหัวเราะขำ ทำท่าคันไม้คันมืออยากทำจริง
มนตรีดักคอขึ้นทันควัน “แนะๆๆๆๆ แน้… เค้ารู้นะว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ อย่าเชียวนะครับ ท่านผู้กำกับเอาตาย”
ชบาหันมามองหน้ามนตรี ทำท่าบอกว่าตนมีดาวนะเตือนไว้ก่อน
จ่ามนตรีชี้หน้าตัวเอง “ผมหมายถึงผมนี่แหละที่จะตาย”
ชบาถอนใจออกมาด้วยความหงุดหงิด มนตรีมองอย่างขำๆ แล้วเสนอไอเดียขึ้นว่า
“ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ งั้นเรามา “เซลฟี่” กันสักกะหน่อยเป็นไงครับ”
ชบาเด้งตัวขึ้นมา มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ก่อนหันมายักคิ้วให้อย่างเห็นด้วย กดถ่ายเซลฟี่ตัวเองกับจ่ามนตรี อย่างเบิกบาน
ตะวันนั่งรอเวลาด้วยสีหน้าเยือกเย็นอยู่ในห้องรับแขก สักครู่จึงกดรับสายมือถือที่ดังขึ้น
“ผมเองนะ เราออกจากสนามบินแล้ว กำลังเดินทางไปโรงแรม”
“ขอบคุณครับ”
ตะวันวางสายยิ้มเจ้าเล่ห์
ชบานั่งนิ่งเงียบเป็นไก่หงอย แบบเบื่อเต็มทนแล้ว จ่ามนตรีหันมองแล้วบอกขึ้นลอยๆ ว่า
“เป็นเด็กดีอย่างนี้ ค่อยสบายผมหน่อย”
ชบาหันมามองหน้าอย่างช้าๆ โอดครวญ
“โอ้ย เบื่อ จะตายอยู่แล้ว”
จ่ามนตรีร้องต่อเป็นเพลงขึ้นทันควัน พร้อมกับเคาะจังหวะกับพวงมาลัยไปด้วย ราวกับเป็นฉิ่งฉับทัวร์
“...น้องแก้ว ยังไม่เห็นใจบ้าง รับรักพี่หน่อยน้องนางเห็นใจพี่บ้างเทิดแม่คุ๊ณ”
ชบาลุกขึ้นมาเต้นด้วยทีสองทีอย่างเสียมิได้ แล้วกลับไปไก่หงอยเหมือนเดิม จนสายตาเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ประตูใหญ่คฤหาสน์ค่อยๆ เปิดออก ทั้งสองหันมองอย่างสนใจ เห็นรถตะวันและพวกเคลื่อนออกมา
“นั่นมันรถนายตะวันนี่” มนตรีว่า
“ตาม” ชบาบอก
จ่ามนตรีรีบสตาร์ตเครื่อง แล้วขับสะกดรอยมาห่างๆ
ขบวนมาถึงหน้าโรงแรมห้าดาวชื่อดัง อัคคเดชรีบลงจากรถที่ตามขบวนมาสั่งการอย่างแข็งขัน เด็ดขาด เจ้าหน้าที่เข้าประจำตำแหน่ง กฤษชัยกับโอลิเวอร์ลงรถ เดินเข้าโรงแรมไป โดยมีอัคคเดชกับทีมสนธิกำลังกับหน่วยหลักอารักขา
ถัดมา ทั้งหมดอยู่หน้าลิฟต์ อัคคเดชวิทยุสั่งการ
“เตรียมรับด้วยกำลังจะส่งขึ้นไป”
กฤษชัยยืนรอลิฟต์อยู่กับโอลิเวอร์ ลอบมองอัคคเดช จนอัคดเดชหันไปเจอกฤษชัยรีบหลบสายตา ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้
พอลิฟต์มา กฤษชัยรีบพาโอลิเวอร์เข้าไปในลิฟต์ อัคคเดชไม่ได้ตามไปด้วย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ทีมหลักด้านในลิฟต์ กฤษชัยรีบกดไลน์บอกตะวันว่า
“ผมถึงโรงแรมแล้วนะ”
รัฐมนตรีชั่วยิ้มเจ้าเล่ห์ มึงเสร็จแน่ไอ้ผู้กินกับ
อัคคเดชเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่ตรงลอบบี้ แต่ละจุดที่เขาเดินผ่านพบว่ามีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ บางคนแต่งครึ่งท่อนสวมเสื้อเหมือนๆ กัน อยู่เป็นระยะๆ อัคคเดชพยักหน้าพอใจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยตามที่วางแผนไว้ จึงหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.ออก
“ทางนู้นเป็นไงบ้าง นายตะวันมีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า”
จ่ามนตรีรายงานมาว่า “มีครับ สงสัยว่าข่าวที่ได้มาจะของจริงครับนาย”
อัคคเดชอึ้งนิดๆ ถามขึ้นอย่างดีใจ
“ตอนนี้พวกคุณอยู่ไหน”
“อยู่ในเล้าจ์ของโรงแรมที่นายอยู่นี่แหละค่ะ” ชบาแย่งตอบ
อัคคเดชอึ้งกว่าเก่า เป็นไปได้ยังไง
ตะวันนั่งละเลียดกาแฟราคาแพงอยู่บนโซฟาหรูในเล้าจ์ ฟังเพลงอย่างสบายอารมณ์ โดยมีปราการและปิงนั่งเป็นเพื่อนอยู่ในโซฟาชุดเดียวกัน
ชบา และจ่ามนตรีที่แอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ ก่อนอัคคเดชกับจ่ายักษ์และหมวดอ้อยจะมาสมทบ
“มันอยู่ไหน” อัคคเดชถาม
จ่ามนตรีชี้ให้ดู อัคคเดชมองตาม เห็นตะวันนั่งเอ้เต้อยู่
ชบาเสือกขึ้นว่า “จับเลยมั้ยคะ”
อัคคเดชหันมาทำตาเขียวใส่ทันควัน ชบาอึ้งกิมกี่ รู้ตัว ผิดจังหวะอีกแล้ว ทั้งทีมส่ายหน้าอย่างระอาหมวดจอมเจ๋อ ชบาจ๋อย อัคคเดชหันกลับไปมองตะวันอย่างใช้ความคิด
“มันจะมาไม้ไหนของมัน”
ตะวันดูโทรศัพท์มือถืออยู่แล้วยิ้มในสีหน้า ภาพในจอมือถือเป็นภาพแอบถ่ายทีมอัคคเดชที่ส่งสดมาให้ตะวันดู แบบเรียลไทม์ ตะวันรู้ทันว่าทีมเมฆาพยัคฆ์ซ่อนตัวอยู่ไหน ประมาณเหมือน เซลฟี่ตัวเองแต่ไม่ใช่
“โทรหาสองคนนั่น”
ปราการกับปิงรีบรับคำ
“ครับ”
สองคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.พร้อมกันทั้งคู่
เมฆอยู่ที่หนึ่ง ยกโทรศัพท์ขึ้นรับสาย “ครับพี่ปราการ”
ภูผายกโทรศัพท์ขึ้นรับสายเช่นกัน “รับทราบครับ”
ปราการหันมารายงานตะวัน
“เมฆพร้อมแล้วครับ”
“พี่ภูผาก็พร้อมแล้วครับ” ปิงรายงาน
ตะวันยิ้มเยือกเย็น
เมฆลองส่องกล้องไปยังดาดฟ้าที่เป็นจุดหมาย ก่อนหันเล็งไปทางอื่น แล้วไปเจอกับภูผาที่ซุ่มอยู่อีกที่ เมฆเล็งใส่ภูผาที่ไม่รู้ตัวว่าถูก พร้อมเอามือเข้าโก่งไก นิ้วที่แตะโก่งไก แล้วค้างไว้ จะทำเสียง “ปัง” แล้วหัวเราะชอบใจความคิดตัวเอง
“เอาไว้เสร็จงานนี้ก่อน กูเก็บมึงแน่ ไอ้ภูผา”
ตะวันนั่งรอเวลา ฟังเพลงอย่างใจเย็น จนเสียงโทรศัพท์ดังว่ามีข้อความ เข้า ตะวันเปิดดู ข้อความส่งมาว่า
“ปลาติดเบ็ดแล้ว”
ระหว่างนี้ชายชาวต่างชาติผิวดำสามคนเดินเข้ามาทักตะวัน อัคคเดชมองอย่างสนใจ
อัคคเดชจับสังเกตทุกเหตุการณ์ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ยินสิ่งที่ตะวันคุย ตะวันคุยกับชาวต่างชาตินั้นแป๊บเดียว แล้วแลกกระเป๋าเปิดให้กันดู อัคคเดชไม่เห็นว่าของข้างในเป็นอะไร เห็นแค่ตะวันยิ้มดีใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าแลกกัน แล้วจับมือ ชาวต่างชาติจับมือบอกลา แล้วเดินจากไป
อัคคเดชนิ่งคิด ก่อนสั่งการขึ้นว่า
“อ้อย ชบา ตามต่างชาตินั่นไป”
“ค่ะ”
สองคนรับคำขึ้นพร้อมกัน แล้วเลี่ยงออกมาอีกทางไม่ให้ตะวันเห็น
ฝ่ายตะวันบอกกับปรากรและปิงว่า “ไปได้แล้วไป”
ทั้งสองรับคำพร้อมกัน “ครับ”
ทั้งสามคนหยิบกระเป๋าคนละใบลุกขึ้นพร้อมกัน อันเป็นกระเป๋าแบบเดียวกันที่แลกกับต่างชาติทั้งสามคน
อัคคเดชกับทีมที่ซุ่มดูอยู่ มองอย่างสนใจ
“พวกมันเคลื่อนไหวแล้วครับ” จ่ามนตรีบอก
อัคคเดชกับพวกมองตามตะวันที่เดินออกไปพร้อมปราการกับปิง
“ตาม”
ทั้งหมดจึงขยับตาม
อัคคเดชกับยักษ์ และมนตรี แอบสะกดรอยตามตะวันกับสองลูกน้องไปบนถนนย่านธุรกิจ ที่นี่มีตรอกซอกซอยเยอะแยะ
พอถึงซอยแยกในละแวกนั้น ตะวันก็พยักหน้ากับปราการและปิง ทั้งสองพยักหน้ารับ ทั้งสามต่างคนต่างแยกไปคนละทาง อัคคเดชมองแปลกใจที่เห็นเช่นนั้น ก่อนบอกขึ้นว่า
“หึ คิดจะสับขาหลอกกันเหรอตะวัน! ไม่มีทาง”
อัคคเดชชื้มือออกคำสั่งกับยักษ์ และมนตรี ให้ตามปิงกับปราการไป ส่วนตัวเองจะไล่ตามตะวันไป
สองจ่ารับคำสั่งแล้วดำเนินการทันที
ฝ่ายตะวันเดินมาเรื่อยๆ โดยรู้ตัวว่ามีอัคคเดชตามมาห่างๆ จากด้านหลัง
อัคคเดชพูดวิทยุ บัญชาการประสานกับลูกน้องในหน่วย
“อ้อยจับต่างชาติ”
“ค่ะผู้กำกับ”
อ้อยรับคำ เธอกับชบา พร้อมตำรวจในเครื่องแบบอีกสองคน ตรงเข้าไปแสดงตัวกับชายต่างชาติ3 คน ที่มาหาอัคคเดช เพื่อทำการจับกุม
อัคคเดชยังตามตะวันอยู่ ถามมนตรีทางวิทยุ
“มนตรีตามทันรึยัง”
จ่ามนตรีที่ตามหลังปราการมาตอบวิทยุ
“ทันแล้วครับ”
เสียงอัคคเดชสั่งดังลอดออกมาว่า “จับเลย”
มนตรีตรงดิ่งเข้าหาปราการหมายจับกุม แต่ปราการเร่งฝีเท้าหนี จ่าไล่ตามติดๆ
ปราการเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ มนตรีตามเข้าไป พบว่าปราการหายไปแล้ว แต่ทิ้งกระเป๋าไว้ให้ดูต่างหน้า
“มันทิ้งกระเป๋าหายตัวไปแล้วครับ” มนตรีรายงาน
อัคคเดชตามตะวันอยู่ ออกอาการแปลกใจ ถามไปทางจ่ายักษ์
“จ่ายักษ์”
จ่ายักษ์ตามปิงอยู่รับสาย
“ครับ”
ยักษ์ตรงดิ่งเข้าหาปิงเช่นกัน ปิงรู้ตัวออกวิ่ง ยักษ์วิ่งตามไล่กวดกันสักระยะหนึ่ง ปิงเลี้ยวเข้าซอย ยักษ์ตามเข้าไป เจอแต่กระเป๋าเหมือนกันกับมนตรี
“มันทิ้งกระเป๋าหนีเหมือนกันครับนาย”
อัคคเดชแปลกใจยิ่งกว่าเก่า มองไปยังตะวันซึ่งเดินนำอยู่ข้างหน้า ตะวันหันกลับมามองสบตายิ้มยั่ว แล้วเดินเลี้ยวหายไปที่แยกหนึ่ง อัคคเดชรีบเร่งฝีเท้าตาม
อีกฟากหนึ่ง รถปานวาดแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถคอนโด เธอก้าวลงรถ อย่างอารมณ์ดี
ตะวันล่ออัคคเดชให้ตามไปอีกหน่อย จึงเดินหายเข้าตึกร้างสูงหลายสิบชั้น อันเป็นที่นัดหมาย อัคคเดชตามเข้ามาในตัวอาคารมองหา เห็นตะวันกำลังจะเดินออกทางประตูบันไดหนีไฟแถมยังหันมายิ้มยั่ว ก่อนจะหายเข้าประตูไป
อัคคเดชรีบตามเข้าไปโดยไว
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 3 (ต่อ)
อัคเดชผ่านประตูเข้ามาช่องบันไดหนีไฟ มองหาตะวัน เห็นหลังไวๆ ว่าเขากำลังวิ่งขึ้นชั้นบนเหนือขึ้นไปอีก อัคคเดชรีบวิ่งกวดตามขึ้นไป
พออัคคเดชลับกายไป ตะวันตัวจริงก็เผยตัวออกมาจากที่ซ่อน ยิ้มสมใจว่ามึงเสร็จกูแน่ แล้วขึ้นรถที่ปราการขับมารับ รถเคลื่อนออกไปโดยที่อัคคเดชไม่รู้
อัคคเดชไล่กวดตามชายซึ่งเป็นตัวล่อ ซึ่งแต่งตัวเหมือนกันกับตะวัน และรูปร่างลักษณะดูคล้ายกันมาก อัคคเดชจึงเข้าใจว่าเป็นตะวัน
ตะวันเดินพูดโทรศัพท์ บอกภูผากับเมฆ
“มาแล้ว”
เมฆฟังโทรศัพท์แล้ววางสาย รีบเข้าประจำที่ยิ้มกระหยิ่มว่ากูต้องทำให้ได้
“ครับ”
ภูผารับคำแล้วกดวางสาย ประทับปืน
ตะวันกดวางสายไป ปราการขับรถออกถนนใหญ่ มุ่งหน้ากลับคฤหาสถ์
ฝ่ายปานวาดเดินตรงเข้าไปถามหาของที่เมฆฝากไว้ตรงเค้าน์เตอร์ล็อบบี้
“มีของฝากของวาดหรือเปล่าคะ”
พนักงานหันไปหยิบช่อดอกไม้ใหญ่ยักษ์กับกล่องของขวัญส่งให้ ปานวาดยิ้มกว้าง หยิบการ์ดติดกับช่อดอกไม้มาอ่าน มันเขียนสั้นๆ แต่โครตซึ้ง
“ขอโทษนะเด็กโง่ รักจาก เมฆ”
ปานวาดยิ้มชื่น เป็นสุขมากที่สุด เธอเดินไปนั่งตรงมุมรับรอง เปิดกล่องของขวัญ หยิบออกมาเป็นตุ๊กตาแก้วรูปเจ้าบ่าวเจ้าสาว
อีกฟากอัคคเดชกำลังกวดไล่ตัวล่อที่เข้าใจว่าเป็นตะวัน ซึ่งวิ่งขึ้นบันไดห่างออกไปเห็นหลังกันไวๆ
จนมาถึงชั้นบนสุด อัคคเดชผลักประตูพรวดออกมา เห็นว่าเป็นสระร้างบนดาดฟ้า ผู้กำกับมองหาตะวันไปรอบๆ จนมีเสียงประตูที่เขาเพิ่งผ่านออกมาถูกดันให้ปิดลง
อัคคเดชตกใจ ถลันเข้าไปขยับดูพบว่ามันล็อก เขารีบหันกลับมาพร้อมกับชักปืนขึ้นในท่าเตรียมพร้อมอย่างระวังภัย พลันสายตาเหลือบไปเห็นกระเป๋าที่ตะวันถือมา ตั้งเด่นอยู่กลางลานโล่งริมสระน้ำ อัคคเดชมองฉงน
ระหว่างนี้มองผ่านกล้องติดปืน เมฆเห็นอัคคเดชกำลังเดินเข้าไปที่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง เขายิ้มกระหยิ่ม เล็งสายตาตามอัคคเดชเพื่อรอจังหวะยิง
ขณะที่ภูผาอยู่ในจุดซุ่มยิง ตกอยู่ในอาการตะลึงตะไล อุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อรู้ว่าเป้าสังหารคืออัคคเดช
“ผู้กำกับ”
เมฆเล็งแล เห็นอัคคเดชเข้าอยู่ในศูนย์เล็ง
“เสร็จกูล่ะ ไอ้อัคคเดช”
นิ้วเมฆแตะโก่งไก เตรียมลั่นกระสุนสังหาร ปลิดชีพอัคคเดช
ภูผากดโทร.หาอัคคเดช แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ เขาตัดใจหันมาปืนเล็งใส่
ฝ่ายปานวาดดูของขวัญอย่างชื่นอกชื่นใจ ถูกใครคนหนึ่งเซมาชน จนของขวัญหลุดมือ ตกกระทบพื้นแตกกระจาย ปานวาดตกใจ ใจคอไม่ดี นึกสังหรณ์ใจขึ้นมาโดยประหลาด
อัคคเดชกำลังก้มจะหยิบกระเป๋า อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร
ภูผาเห็นอัคคเดชอยู่ในจุดพร้อมยิงชัดเจน มีเสียงปืนดังขึ้น กระสุนจากปืนเมฆเฉียดตัวอัคคเดชไปเส้นยาแดงผ่าแปด เป็นเพราะเมฆถูกยิง ร่างร่วงตกลงไปจากจุดที่ซุ่มอยู่
ภูผาเป็นคนยิง เขาวาดปืนมองตามว่าร่างเมฆตกไปที่ไหน แต่มุมที่อยู่เป็นมุมอับมีสิ่งบังตา จึงไม่เห็นว่าเมฆเป็นยังไง แต่จากสถานที่สูงขนาดนั้น อนุมานได้ว่าเมฆคงตกตึกตายไป ภูผาหายใจหอบถี่ยังไม่หายตื่นเต้น
ฝ่ายอัคคเดชหลบเข้าที่กำบัง พร้อมหันมองหาที่มาของกระสุนอย่างระแวดระวัง จนเห็นร่างภูผาที่ลุกขึ้นแสดงตัวมาดอย่างเท่ห์อยู่ตรงจุดซุ่มยิงบนดาดฟ้าอาคารอีกฝั่ง ทั้งสองคนมองสบตากันแว่บหนึ่ง ก่อนที่ภูผาจะหายตัวไปโดยไว
อัคคเดชหิ้วกระเป๋าที่ตะวันตัวปลอมทิ้งไว้ เดินออกจากอาคารมา พร้อมกับครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฉากๆ มันเริ่มจากตอนเขาถูกตะวันล่อให้ตาม แล้วถูกล่อขึ้นบันไดหนีไฟตามมา จนมาถูกขังไว้บนสระน้ำชั้นดาดฟ้า กระทั่งถูกยิง แต่เฉียดไป
อัคคเดชเดินใช้ความคิด จนมาถึงหน้าตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่เป็นทางลัด
“นี่มันหลอกเรามาฆ่านี่หว่า”
อัคคเดชใจหายเกือบโดนตะวันฆ่าไปแล้ว เขาเดินเลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ ที่เป็นทางลัดไป โดยมีใครคนหนึ่งตามหลังมา เดินมาได้กลางตรอกก็ชะงัก เมื่อใครคนนั้นเอาปืนจี้หลังเขาอยู่ อัคคเดชตกใจ ค่อยๆ หันกลับมามอง จนเห็นว่าคนที่เอาปืนจี้หลังเขาคือ ภูผา ซึ่งยิ้มทักหน้าเป็นมาให้ อัคคเดชถอนใจโล่งอก
“ถ้าเป็นคนอื่น ผู้กำกับเสร็จมันไปแล้ว”
“ตรงนี้ไม่สะดวก ไปหาที่คุยกันดีกว่าครับ”
อัคคเดชพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพากันเดินออกไป
มาถึงที่ลับตา และดูจนแม่ใจว่าไม่มีใครตามมาแน่ ภูผาก็โวยวายใส่ผู้กำกับอย่างมีอารมณ์ น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เมื่อไรผู้กำกับจะจับไอ้นายตะวันนี่สักทีครับ ในเมื่อรู้ว่ามันเป็นจอมโจรสองหน้าแบบนี้แล้ว”
อัคคเดชก็เซ็งจัด “ผมนะอยากจับมันเต็มแก่แล้ว แต่หลักฐานที่เรามี มันสาวไปไม่ถึง่ตัวมัน จับไปก็ต้องปล่อยอยู่ดี เล่นงานมันไม่ได้ แถมเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นอีกต่างหาก เสียเวลาเปล่า”
“แต่แบบนี้ผมแย่นะครับ! นี่จะสิบปีแล้วนะครับ ตั้งแต่ผมยอมรับเป็นสายให้ผู้กำกับวันนั้น”
สองคนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจเมื่อนานมา
นักเรียนนายร้อยภูผาในชุดฝึกครึ่งท่อน แสดงความเคารพต่อผู้บังคับบัญชา สารวัตรอัคคเดชในชุดแต่งนอกเครื่องแบบ อัคคเดชพยักหน้ารับ
“คุณถูกประเมินว่าเหมาะสมกับการทำภารกิจลับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
ภูผายืนตรงนิ่งฟังมองหน้าอัคคเดชด้วยแววตาสงสัย
“ภารกิจอะไร”
“ภารกิจลับนี้มีชื่อว่า โปรเจ็กต์ หนอน”
ภูผาได้ยินอึ้งไปนิดหนึ่ง อย่างแปลกใจ
“เป็นปฏิบัติการแฝงตัวในแก๊งมาเฟียระยะยาว เพื่อสืบทราบและส่งข่าวให้หน่วยเหนือ เพื่อทำการกวาดล้างจับกุมอีกทอดหนึ่ง หากคุณตกลงเราจะทำเรื่องให้คุณออกจากโรงเรียนแล้วสร้างประวัติปลอมปกปิดตัวตนที่แท้จริงของคุณ มีเพียงผมที่เป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการคุณโดยตรงเท่านั้นที่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงคุณเป็นใคร”
ภูผาอึ้งคิดเครียด
อัคคเดชถาม “มีข้อสงสัยอะไรมั้ย”
“แล้วภารกิจจะเสร็จสิ้นเมื่อไรครับ”
“จนกว่าจะจับเป้าหมายได้”
ภูผาอึ้ง นิ่งไปนาน
สองคนพากันกลับมาโลกความจริงตอนนี้อัคคเดชยืนยันคำเดิม
“จับนายตะวันได้เมื่อไร คุณก็ได้เลิกเมื่อนั้น หาหลักฐานเล่นงานมันมาให้ได้ซิ”
ภูผายัวะ โวยลั่น
“อื้อหือ ผู้กำกับพูดง่าย แต่ผมทำยาก ผู้กำกับก็รู้ว่ามันระวังตัวจะตาย ไม่เคยไว้ใจใคร เจ้าเล่ห์ก็เท่านั้น ดูอย่างที่มันให้มายิงผู้กำกับวันนี้ มันยังไม่ยอมบอกเลยว่าให้มายิงใคร แถมยังให้มาลงมือพร้อมกันตั้งสองคน มารู้เอาจนวินาทีสุดท้าย จะโทร.เตือนก็เตือนไม่ได้ ถ้ามันสั่งให้ไอ้เมฆมาเก็บผู้กำกับคนเดียว ป่านนี้ผู้กำกับได้ไปรายงานกับยมบาลแล้ว”
อัคคเดชพยักหน้าเห็นด้วย แล้วสะดุดหูจนต้องก่อนถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า
“เดี๋ยวๆ หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ เมื่อกี้คุณว่ามาลงมือพร้อมกันสองคนอย่างงั้นเหรอ”
ภูผาพยักหน้า
“งั้นเสียงปืนที่ผมได้ยินนั่น....”
ภูผาสวนขึ้นมาว่า
“ผมก็เลยต้องตัดสินใจเก็บไอ้เมฆที่มาทำงานด้วยกันกับผมไปนะซิครับ ไม่งั้นเกิดผู้กำกับเป็นอะไรไปแล้วใครจะคืนสถานะเดิมให้ผม”
อัคคเดชได้ฟังยิ่งอึ้งหนัก ตกใจสุดขีด
“มันคงเกลียดผู้กำกับที่ตามจองล้างจองผลาญมันเข้ากระดูกดำแน่ๆ ถึงได้ให้มาลงมือพร้อมกันทีเดียวตั้งสองคนแบบนี้”
อัคคเดชประเมินเหตุการณ์ แล้วถามด้วยน้ำเสียงตกใจว่า
“งั้นก็แย่แล้ว คราวนี้คุณจะกลับไปบอกมันยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น เก็บผมไม่ได้ แถมเพื่อนที่มาทำงานด้วยกันยังมาตายไปแบบนี้”
ภูผาอึ้ง เพราะไม่ทันคิดถึงข้อนี้ สีหน้าดูออกว่าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองนิ่งเงียบไปอึดใจ อย่างใช้ความคิดด้วยกันทั้งคู่ ก่อนอัคคเดชจะถามขึ้นว่า
“แล้วคุณแน่ใจนะว่า คนที่ชื่อเมฆที่มาทำงานกับคุณด้วยนะตายจริงๆ”
ภูผาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“น่าจะตายนะครับ เพราะผมยิงมันตกจากหลังคาตึกที่มันซุ่มยิงผู้กำกับ สูงขนานนั้นไม่ตาย ก็เลี้ยงไม่โตแล้ว”
“ไม่ได้นะคุณ ทำเป็นเล่นไม่ได้นะเรื่องนี้ เกิดมันรอดขึ้นมา แล้วกลับไปบอกนายตะวันว่าคุณเล่นงานมัน คุณจะอยู่ในอันตราย”
ภูผาแย้งขึ้น “มันจะรู้ได้ยังครับว่าเป็นผม”
“ก็มันส่งพวกคุณมาแค่สองคน แล้วคนหนึ่งถูกยิง อีกคนรอด คุณจะให้มันคิดยังไง”
ภูผาอึ้งไป คิดหนัก และเห็นด้วย
“ทางที่ดีผมว่าไปเช็คให้ชัวร์ดีกว่าว่ามันตายจริงหรือเปล่า”
ภูผาคิดตาม เห็นด้วยอีกครั้ง เริ่มออกอาการหวั่นๆ กลัวๆ และยังที่ไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไรกันต่อ เสียงวิทยุสื่อสารของอัคคเดชก็ดังขึ้น
“นกแก้วเรียกอินทรี ทราบแล้วเปลี่ยน” เป็นเสียงของหมวดอ้อย
อัคคเดชจึงต้องหยิบวิทยุขึ้นมาตอบกลับ
“อินทรีทราบ เปลี่ยน”
“จับต่างชาติได้แล้ว จะให้ดำเนินการต่อไปยังไง เปลี่ยน”
“สอบปากคำไว้ แล้วรอผมกลับไปจัดการ”
“รับทราบ”
อัคคเดชหันมามองหน้า พูดกับภูผาอีกครั้งอย่างหนักใจแทน
“แล้วคราวนี้คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ผมคงกลับไปเช็คไอ้เมฆก่อนว่ามันตายชัวร์หรือเปล่าอย่างที่ผู้กำกับว่า แล้วค่อยว่ากัน”
อัคคเดชเป็นห่วง “แต่คุณต้องทำให้เนียนนะ ไม่งั้นซวยแน่”
“ก็คงต้องตามน้ำโกหกเอาตัวรอดไป”
อัคคเดชหน้าเครียดจัด เป็นห่วงไม่หาย ภูผาดูออก
“ไม่ต้องห่วงน่าผู้กำกับ ผมอยู่มาได้ขนาดนี้แล้ว ไม่โดนพวกมันจับผิดง่ายๆ หรอก”
อัคคเดชยิ้ม แล้วออกตัวว่า
“ผมอยู่คุยต่อไม่ได้แล้ว ต้องรีบกลับ เพราะทิ้งงานอารักขาแขกสำคัญของรัฐบาลมา ยังไงก็ระวังตัวเองให้ดีด้วยล่ะ” พลางผู้กำกับตบไหล่ให้กำลังใจ
“ครับ”
ทั้งสองหนุ่มต่างคนต่างหันตัวออกเดินไปคนละทาง อัคคเดชชะงักเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ! HAPPY BIRTHDAY”
ภูผายิ้มขำๆ
“ผมไม่ได้ยินใครอวยพรแบบนี้มาชาติหนึ่งแล้วนะเนี่ย”
อัคคเดชยิ้มให้กำลังใจ แล้วเดินจากมา ภูผาเดินจากไปอีกทาง
ชายชาวต่างชาติถูกควบคุมตัวนั่งอยู่มุมหนึ่ง โดยมีอัคคเดชกำลังยืนคุยอยู่กับหมวดอ้อย โดยคนอื่นๆ ในทีมยืนฟังอยู่ด้วย
“สามหมึกนี่ให้การว่าถูกจ้างมาเข้าฉากละครค่ะ” อ้อยหมายถึงชาวผิวดำทั้งสามคน
อัคคเดชทวนคำ “เข้าฉาก”
“ค่ะ” อ้อยยืนยัน “เช็คแล้ว มี MODELING จัดหามาจริงๆ”
ถึงจะเพิ่งเฉียดตายมาอัคคเดชยังอดขำไม่ได้ “นี่มันเอาถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
ชบาทะเล่อทะล่า เสนอหน้าสอดขึ้นว่า “จะให้คุมตัวไปโรงพักฝากขังเลยมั้ยคะ”
อัคคเดชเหลียวขวับไปมองหน้าชบาทันควัน ทวนคำอย่างงงๆ
“ฝากขัง! ฝากขังใคร”
“ก็พวกนิโกรสามคนที่นั่งดำทมึนอยู่นั่นไงคะ”
หมวดจอมรั่วชี้ไปที่สามหนุ่มผิวหมึก
“เค้ามีความผิดอะไรจะไปขังเค้า”
ชบาอวดรู้ “ก็สมรู้ร่วมคิดกับนายตะวันค้ายา มียาเสพติดไว้ในครอบครอง แล้วก็ซ่องโจร อั้งยี่ ไงคะ”
อัคคเดชนึกสนุกยุส่ง “ไปดิ จะเอาไปฝากขังที่โรงพักไหนก็เชิญตามสบาย แล้วแต่คุณเลย”
ชบายิ้มหน้าบาน ได้มีผลงานแล้ว
อัคคเดชหักมุมว่า “แต่ผมไม่รับรู้เรื่องนี้ด้วยนะ ถ้าเกิดเค้าฟ้องกลับคุณว่ายัดเยียดข้อหา ก็รับเองเต็มๆ คนเดียวแล้วกัน”
ชบาที่ทำท่าจะออกไปทำตามที่บอก เบรกหัวทิ่ม
“อ้าว ไหงงั้นล่ะคะ แล้วให้ไปตามจับมาทำไมคะ ให้เมื่อยตุ้มเปล่าๆ”
“ว่าไปนั่น”
ชบามองหน้าอัคคเดชเป็นคำถาม นางยังไม่หายสงสัย
“แล้วคุณมีหลักฐานรึเปล่าว่าเค้าทำผิดตามข้อกล่าวหาที่คุณว่ามาจริง”
คราวนี้ชบาอึ้งไปนิดๆ ก่อนบอกด้วยเสียงอ่อยๆ สีหน้าเจื่อนๆ
“ไม่มีค่ะ”
“จบข่าวมั้ย”
“ค่ะ จบข่าว ปิดสถานีเลยด้วยแบบนี้”
ชบาคอตก อัคคเดชส่ายหัว
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 3 (ต่อ)
ทีมเมฆาพยัคฆ์เดินมาหยุดคุยกันตรงมุมหนึ่งในโรงแรม ยักษ์ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“แล้วนายตะวันทำแบบนี้เพื่ออะไรครับ อยู่ดีๆ มาล่อพวกเราให้ไล่ตามมัน”
ชบาอดสอดขึ้นไม่ได้ “สงสัยคงว่างมากไม่มีอะไรทำ”
ทั้งทีมหันมามอง ชบาเหวอ “ไม่ใช่เหรอ”
ทั้งทีมส่ายหัวระอา
ชบาเซ็ง หน้าแหกผิดจังหวะปล่อยไก่อีกตัวแล้ว
อัคคเดชถอนใจก่อนบอกขึ้นว่า
“มันไม่ได้มาส่งยากันจริงๆ อย่างที่เราเห็นหรอก พวกมันมาเพื่อล่อให้ผมตามออกไป”
ชบาคันปากยิบๆ อดถามไม่ได้ “ล่อไปทำไมคะ”
ทุกคนหันมามองชบาเป็นตาเดียวพร้อมๆ กัน ชบารีบหลบตา ผิดคิวอีกแล้วเหรอ อัคคเดชถอนใจอย่างหนักหน่วงอีกครั้งแล้วจึงบอกว่า
“มันล่อผมให้ตาม เพื่อจะเก็บผม”
จ่ามนตรีอุทานลั่น “พระเจ้าช่วย กล้วยทอดล่ะครับท่านงานนี้”
ทั้งทีมอึ้ง นิ่งงันไปถนัดตา เล่นกันหนักขนาดนี้เลย
จนมีเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น เป็นเสียงจากทีมหลัก
“ทีมอารักขาทราบ แขกกำลังจะลงไป เพื่อออกปฏิบัติภารกิจข้างนอก”
อัคคเดชกดตอบไปว่า “รับทราบ พร้อมรับ ส่งลงมาได้” จากนั้นจึงหันมาสั่งลูกน้อง “ทำงาน”
หมวดอ้อย จ่ายักษ์ จ่ามนตรี แยกย้ายกันไปอย่างรู้หน้าที่ เหลือชบาคนเดียวที่ยังยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
“ยืนทำอะไร”
“ก็รอคำสั่งผู้กำกับไงคะ” นางว่า
“ก็สั่งแล้วไง ไปทำงาน”
“แต่นายตะวันไปแล้ว จะให้กลับไปเฝ้าหน้าบ้านมันอีกเหรอคะ”
อัคคเดชชักเหลืออด “นี่คุณโง่หรือว่าเซ่อกันแน่”
ชบานิ่งคิดนิดหนึ่งจึงบอกว่า “ไม่โง่ แล้วก็ไม่เซ่อด้วยแน่นอนค่ะ”
อัคคเดชเซ็ง “แล้วไอ้คำถามโง่ๆ เมื่อกี้ มันอะไร”
“ไม่ใช่คำถามโง่ๆ นะคะ ซีเรียสเลย”
อัคคเดชมองหน้าชบางงๆ มันซีเรียสตรงไหนว่ะ
“ก็ถ้าหนูทำอะไรโดยพละการอีก ผู้กำกับก็จะว่าหนูไม่เชื่อฟัง ขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา หนูก็เลยรออยู่ว่า ผู้กำกับจะให้หนูทำอะไรนี่ไงคะ”
อัคคเดชสะอึก ยอกย้อนแสบ หลอกด่ากูอีกแล้ว
“งั้นอยู่กับผมนี่แหละดีที่สุด ขืนปล่อยคุณไปฉายเดี่ยว มีหวัง เล๊ะทั้งทีม เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมดแบบนี้” ผู้กำกับถอนใจเฮือกใหญ่อย่างระอา “ตามมา”
อัคคเดชออกเดินนำชบาไปประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมรับแขกที่จะลงลิฟต์มา ชบามองตามค้อนๆ วงเล็กๆ บ่นงึมงำ
“เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด ไม่เห็นจริงสักหน่อย ผู้กำกับยังไม่เห็นตายเลย”
ทีมอารักขาเข้าประจำที่หน้าลิฟต์ด้วยท่าทางเข้มแข็ง ตามแผนอารักขาขั้นสูง เหมือนตอนมาเข้าโรงแรม อัคคเดชยืนอยู่หน้าลิฟต์เตรียมรับแขกลงมา โดยมีชบายืนขนาบอยู่ข้างๆ และแอบสะกิดยิกๆ ในจังหวะหนึ่ง จนอัคคเดชแอบรำคาญนิดๆ
“อะไร”
“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ”
“ว่ามา”
“หนูสงสัยว่า ผู้กำกับรู้ได้ยังไงคะว่านายตะวันจงใจล่อผู้กำกับไปเก็บ”
อัคคเดชจะเผลอตัวตอบ แต่นึกขึ้นได้จึงชะงักค้างไว้ แล้วทำเป็นเอ็ดขึ้นเป็นการกลบเกลื่อน
“ผมรู้ของผมก็แล้วกัน”
ชบาประจบถาม “บอกหน่อยได้มั้ยคะ”
อัคคเดชเซ็ง “จะอยากรู้ไปทำไม”
“คือหนูจะได้เอาไปโพสต์ถูกว่าปฏิบัติภารกิจวันนี้เป็นยังไงบ้าง คนที่เค้าฟอลโลว์หนูอยู่จะได้รู้ว่า ตำรวจหญิงของไทยใจกล้า องอาจแค่ไหน” นางบอกอย่างภูมิใจ
อัคคเดชมองหน้าชบาระอาเหลือใจ
“ถ้าคนเข้ามาตามแยะๆ ยอดไลค์ หนูจะได้ขึ้นไงคะ”
อัคคเดชสวนขึ้นทันควัน “แต่ผมว่า คุณสมบัติแบบคุณมันต้องนิยามตำรวจหญิงไทยกันใหม่แล้ว”
“ยังไงคะ” ชบาลุ้นจนเยี่ยวเหนียวหนืด
อัคคเดชทำเป็นนึก ก่อนบอกออกมาทีละคำช้าๆ เริ่มจาก
“โก๊ะ”
ชบาชะงัก
อัคคเดชบอกคำต่อมาว่า “รั่ว”
ชบาเซ็ง
อัคคเดชปิดจ๊อบด้วยคำว่า “ล้น”
สีหน้าชบาค่อยๆ เจื่อนลงๆ ไปทีละสเต็ปตามคำสรรเสริญ
อัคคเดชสรุปรวมกัน “โก๊ะ รั่ว ล้น ใช่เลย” แล้วหันมายิ้มยืนยันคำพูดกับชบา
ชบาจ๋อยสนิท ไม่เหลือชิ้นดีเลยชั้น กลอกตามองบนเซ็งๆ อย่างไม่เห็นด้วย
จนเสียงลิฟต์ลงมาถึงพอดีดังขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออก เผยให้เห็นกฤษชัยเดินคุยออกมากับโอลิเวอร์ และทีมอารักขาหลัก ก่อนที่รัฐมนตรีกังฉินจะชะงักอึ้งไป กฤษชัยมองให้แน่ใจอีกครั้ง ยังเห็นอัคคเดชอยู่ในทีมอารักขาดังเดิม และอัคคเดชหันมาสบตาเขาพอดี
ทั้งสองมองสบตากันแว่บหนึ่ง ก่อนที่อัคคเดชจะรีบหลบตา แล้วทำเนียนคุยกับโอลิเวอร์ต่อ แต่สายตายังแอบมองอัคคเดชอย่างฉงนฉงาย และและไม่พอใจอยู่ในที ทำไมมันยังไม่ตายอีก
รถตะวันซึ่งปราการเป็นคนขับแล่นมาตามถนน เสียงโทรศัพท์ตะวันดังขึ้น ตะวันรับสายอย่างอารมณ์ดี
“ครับท่าน”
กฤษชัยหลบมุมมาคุยสายอยู่มุมลับตาในโรงแรม เพียงคนเดียว และกำลังหัวเสียที่เห็นคาตาว่าอัคคเดชยังมีชีวิตอยู่
“ก็ไหนคุณว่าจะทำแผนล่ออัคคเดชไปยิงไง”
“เรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องห่วง”
“เรียนร้อยกับผีซิ ไอ้อัคคเดชมันยังเดินลอยชายอยู่นี่อยู่เลย”
“ห๊า! จะเป็นไปได้ยังไงครับ”
“ได้ไม่ได้ ก็เป็นไปแล้วล่ะ”
ตะวันอึ้ง นิ่งไปนานเลย
กฤษชัยประชดประชัน แดกดันต่อ “ถ้าคุณบอกว่าคุณล่อมันไปยิงทิ้งแล้วจริง งั้นไอ้ที่ผมเห็นก้อคงเป็นผีแล้วล่ะมั้ง” แล้วกดวางสายไปดื้อๆ
ตะวันอึ้งไป เหมือนปลาโดนค้อนทุบหัว เหลือเชื่อ เป็นไปได้ยังไง
ทางฝ่ายภูผาพาตัวเองมาหยุดยืนแหงนมองจุดที่เมฆถูกยิงตกลงมา ด้วยความสงสัย เขาเห็น
ตรงจุดตกที่ยังมีรอยเลือดเหลือให้เห็น แต่ไม่มีร่างของเมฆ ภูผาสับสนว้าวุ่น และชักไม่แน่ใจ เพราะเห็นเมฆโซเซขึ้นมาหลังถูกยิง แล้วจึงตกลงไป
ภูผาเครียดจัด หนักใจมาก ที่สำคัญหวาดกลัวลึกๆ ว่าเมฆอาจยังไม่ตาย
“ตกลงมันตาย หรือว่าไม่ตายกันแน่วะ”
ภูผาคิดหนัก มองปลอกกระสุนในมือ ตั้งคำถามกับตัวเอง
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นในจังหวะอันว้าวุ่นนี้ ภูผาหยิบขึ้นมาดู เบอร์ที่โชว์บอกว่า ปิงโทร.มา ภูผาลังเลคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจำใจต้องกดรับสายในที่สุด
“พี่ภูผา นายต้องการพบด่วนพี่”
ภูผาอึ้ง หนักใจเหลือคณา
บรรยากาศในห้องทำงานในคฤหาสน์อึมครึมสุดจะประมาณ ตะวันนั่งจ้องหน้าภูผานิ่งนานอย่างใช้ความคิด ดูไม่รู้ เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ภูผายืนอยู่ตรงหน้าอย่างหวาดหวั่น ปราการ และ ปิงก็อยู่ในนั้นด้วย สุดท้ายตะวันจะถามขึ้นอย่างเดือดดาลว่า
“มันเกิดอะไรขึ้นห๊า! ทำไมได้อัคคเดชมันยังมีชีวิตอยู่”
ภูผาเลิกลัก คิดหาคำตอบ ประเมินสถานการณ์ไปด้วยว่า ตะวันรู้อะไรแค่ไหนแล้ว
ตะวันเร่งเร้าขึ้นมาอีกครั้งอย่างร้อนใจ “เฮ้ย! เล่ามาซิ”
ภูผาอึ้งอยู่อีกอึดใจ จึงตัดสินใจโกหกเอาตัวรอดไปเรื่อย ตามสถานการณ์
“อัคคเดชมันรู้ตัวก่อนครับคุณตะวัน ผมเลยพลาด”
ตะวันทวนคำ อย่างหัวเสีย “รู้ตัว มันจะรู้ตัวได้ยังไง ในเมื่องานนี้เป็นความลับสุดยอด”
ปราการ และ ปิง ฟังอยู่ด้วย ปราการนั้นนิ่งฟังเฉยๆ แต่ปิงสนใจออกนอกหน้า
ภูผานิ่งประเมินสถานการณ์อีก ก่อนบอกขึ้นว่า โดยแกล้งทวนคำอย่างแปลกใจ
“ลับสุดยอด! ก็แสดงว่ามีคนไม่กี่คนที่รู้เรื่องงานนี้ใช่มั้ยครับ
ตะวันพยักหน้ารับเอาคำ อย่างหัวเสีย
ภูผาถามต่อ “มีใครรู้บ้างครับ”
ตะวันอึ้งไป ฉุกคิดอะไรบางอย่าง หรือความลับรั่ว? ก่อนตอบขึ้นว่า
“มีฉัน แก ไอ้เมฆ แล้วก็ท่านกฤษชัย”
ภูผามองสบตาตะวันแน่วนิ่ง ไม่หลบสายตา ประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ไม่ให้อีกฝ่ายคิดไปเอง
จนกระทั่งมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของตะวัน
“นี่แกจะบอกฉันว่า เกลือเป็นหนอนอย่างงั้นเหรอ”
ภูผาพยักหน้าพร้อมรับเอาคำนั้น
“ครับ ผมสงสัยว่าอย่างงั้น”
ตะวันอึ้งหนัก คิดทบทวน รวบรวมข้อมูล ไม่ปักใจเชื่อ แต่รับฟัง ภูผาเห็นอาการนั้นของตะวันจึงบอกออกตัวขึ้นว่า
“ผมคงไม่กล้าฟันธงลงไปแบบนั้นหรอกครับ เพราะผมเป็นคนนอก ถึงจะเป็นเด็กของแปะกงที่คุณตะวันยืมตัวมาทำงานด้วย แต่เมฆก็อยู่กับคุณตะวันมานานกว่าผม”
ตะวันมองสบตาภูผา นิ่งฟังแล้วคิดตาม ภูผาสบช่องรีบใส่ไฟเอาตัวรอดต่อทันที
“แต่ในเมื่อสถานการณ์มันออกมาแบบนี้ มันชวนให้อดคิดไม่ได้ครับ”
ตะวันอึ้งอีก คิดหนัก
ปราการ และ ปิง ฟังอยู่ด้วย ปราการนั้นนิ่งฟังอย่างสนใจขึ้นมา แต่ปิงสนใจออกนอกหน้า จนโพล่งออกมาอย่างไม่เชื่อ
“พี่เมฆเนี่ยนะทรยศ”
ตะวันเหลียวขวับมามองหน้าปิงด้วยสายตาไม่พอใจ ปรามว่ามึงอย่าเพิ่งสอด
ปิงสลด รีบหลบตา แต่หันไปเจอปราการมองมาอย่างตำหนิอีกคน เลยถอนใจเฮือก โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
ตะวันหันกลับมาหาภูผาอีกครั้ง
“ไหนแกลองเล่าให้ฉันฟังให้ละเอียดหน่อยซิว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ภูผาอึ้งไปนิด ตั้งสติเรียบเรียงเรื่องราวเพื่อโกหกคำโต ตะวันมโนตามจนเห็นเป็นภาพประกอบตามคำบอกเล่าของภูผา
“ผมเข้าประจำที่ตามที่คุณตะวันสั่ง พอผู้กำกับอัคคเดชขึ้นมาผมก็เล็งหาจังหวะยิง แต่พอลั่นไกกลับพลาดเป้าทั้งที่มันอยู่ในศูนย์แล้วตอนนั้น”
ตะวันจ้องหน้าภูผา “แล้วแกพลาดได้ยังไง”
ภูผาอึ้ง นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง
“มีคนยิงเตือนมันตัดหน้าผมครับ พอมันรู้ตัวก็โผลเข้าหาที่กำบัง ผมพยายามจะตามยิงซ้ำ แต่ไม่มีช่อง”
ภูผานิ่งไปอีกครั้งอย่างตรึกตรอง ก่อนบอกต่อว่า
“พอสถาณการณ์เป็นแบบนั้น ผมเลยต้องรีบเผ่นออกมา กลัวว่าจะถูกตำรวจล้อม เพราะไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตอนนั้น”
ตะวันอึ้งมองสบตาภูผาอย่างชั่งใจ และประเมินน้ำหนักในคำพูดว่า น่าเชื่อถือแค่ไหน
“แล้วแกเห็นเมฆมันรึเปล่า”
ภูผาตอบโดยไม่ลังเล คิดคำเตรียมไว้แล้ว “เห็นครับ อยู่ที่จุดซุ่ม ก่อนที่ผู้กำกับอัคคเดชจะขึ้นมาบนดาดฟ้า แต่พอเสียงปืนดังขึ้นก็หายตัวไปครับ”
ตะวันนิ่งฟัง เหมือนเก็บข้อมูลไปประมวล ไม่ออกความเห็น แต่สายตาบอกว่า กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
ปิงจะอ้าปากพูด แต่หันมาเจอสายตาพิฆาตของปราการที่จ้องมาตาเขม็งจึงได้แต่อ้าค้าง ไม่กล้าโพล่งออกมา
ภูผามองตะวันอย่างประเมินเช่นกัน ก่อนตัดสินใจถามขึ้นในที่สุดว่า
“แล้วนี่เมฆกลับมารึยังครับ”
คราวนี้ปิงสอดขึ้นทันที “ยังเลยพี่ แถมติดต่อไม่ได้ด้วย”
ตะวันหันไปมองตาเขม็งด้วยสายตาตำหนิ ปิงหลบตาวูบ
ภูผาแอบยิ้มด้วยตาอีกครั้ง ทุกอย่างดูเข้าทาง แบบนี้แสดงว่าไม่รู้อะไรเลย เริ่มใจชื้น ได้ใจขึ้นมาเป็นกอง
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้แหละครับ” ภูผาแกล้งทำเป็นสำนึกผิดที่ทำงานพลาด “ผมพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วครับ แต่เมื่อมันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นแบบนี้ มันก็สุดวิสัยเหมือนกัน ผมก็จนใจ และได้แต่ขอโทษคุณตะวันที่ทำงานพลาด”
ตะวันอึ้งมองสบตาภูผาอย่างชั่งใจ
“ไม่ใช่ความผิดแก ภูผา”
ภูผาโล่งใจ
“ของมันพลาดกันได้” ตะวันเปรยๆ ขึ้นอย่างเจ็บใจที่ล้มเหลว “คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต”
ภูผายิ้มรับเอาคำ ยิ้มด้วยสายตาว่า “กูรอดแล้ว”
ภูผารีบถามขึ้นต่อว่า “แล้วคุณตะวันจะให้ผมทำยังไงต่อไปครับ” เขารีบเสนอตัว “จะให้ตามไปเก็บผู้กำกับอัคคเดชต่อหรือเปล่าครับ”
ตะวันอึ้งไป ใช้ความคิดอีก ก่อนบอกว่า
“เอาไว้ก่อน มันรู้ตัวแล้วแบบนี้ เสี่ยงเปล่าๆ”
ภูผาลอบยิ้ม ไม่ต้องทำแล้ว สบายตัว
ตะวันนิ่งคิดก่อนบอกขึ้นว่า “แบบนี้แสดงว่า มันก็มีดีเหมือนกัน”
“คุณตะวัน หมายถึง...” ภูผาทำเป็นแกล้งเดา “ในหมู่พวกเรามีสายของพวกมันอย่างงั้นเหรอครับ”
ปิงโพล่งขึ้นทันควัน “ไม่ใช่ผมนะ ผมไม่รู้เรื่อง”
ปราการหันมองอย่างตำหนิ เสือกผิดจังหวะอีกแล้ว ปิงจ๋อยก้มหน้าหลบตา
ตะวันมองสบตาภูผาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันมามองปรากรกับปิง สีหน้าสับสน เริ่มหวั่นไหว และระแวง ใครมันหักหลังกูกันแน่ ภูผามองตะวันอย่างประเมินเช่นกัน
ความคิดของปราการแล่นไปไกล เขานึกเป็นห่วงปานวาดครามครัน
ปานวาดกำลังใช้กาว พยายามต่อตุ๊กตาคู่บ่าวสาวกลับคืนมาด้วยความเสียดาย สักครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปานวาดยิ้มดีใจ คิดว่าเมฆโทร.มา แต่พอเห็นชื่อปราการเป็นคนโทร.เข้ามา ก็แปลกใจ รีบรับสาย
“คะ พี่ปราการ”
ปราการดีใจที่ได้ยินเสียงปานวาด
“เมฆกลับมารึยัง”
“ยังค่ะ”
“แล้วติดต่อได้รึเปล่า”
ปานวาดชะงัก แปร่งๆ หูในน้ำคำ นึกเอะใจ
“มีอะไรเหรอคะ”
“ถ้ากลับมาเมื่อไร บอกให้รีบมาหานายด่วนเลยนะ นายต้องการพบตัวด่วน”
ปานวาดแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นคะ”
ปราการอึดอัดแต่ต้องพูดบอกไป “ก็งานที่นายสั่งให้เมฆไปทำกับภูผา เกิดพลาดนะซิ”
“ห๊า เรื่องมันเป็นยังไงคะ”
“นายใช้ให้สองคนนั่นไปเก็บอัคคเดชพร้อมกัน แต่เกิดพลาด ภูผากลับมาคนเดียวบอกว่าอัคคเดชรู้ตัวก่อน แล้วพูดทำนองว่า เมฆทรยศ เป็นสายให้ตำรวจ”
ปานวาดสวนทันควัน “ไม่จริง วาดไม่เชื่อ เมฆไม่ใช่คนแบบนั้น” เธอยืนยันหนักแน่ “เมฆไม่มีวันทรยศนายได้”
ปราการเออออด้วยอย่างต้องการเอาใจ “พี่ก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่า เมฆมันจะทำแบบนี้กับนาย แต่ในเมื่อภูผามันบอกว่าแบบนั้น ก็เลยไม่รู้ว่าจะว่ายังไง”
ปานวาดตัดสายปราการ แล้วกดโทร.หาเมฆอย่างร้อนใจ แต่มีข้อความจากเครือข่ายตอบกลับมาแทนว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” ปานวาดยิ่งร้อนใจ
“ไปอยู่ไหนของเธอเมฆ อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงซิ”
อีกฟาก โทรศัพท์ในมือเมฆ หน้าจอแตกยับใช้การไม่ได้ เมฆมองอย่างเสียดาย โดยมีหมอในชุดเสื้อกราวด์กำลังทำแผลที่ถูกยิงให้อย่างกลัวๆ เพราะเมฆถือปืนจ่อบังคับอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองโดยละเอียดจึงจะเห็นว่าที่นี่เป็น คลินิกรักษาสัตว์ ไม่ใช่รักษาคน
เมฆร้องขึ้นด้วยความเจ็บเมื่อหมอทำแรงไป
“โอ๊ย”
เขาหันมาตวาดเสียงเขียว พร้อมกับเอาปืนยกขึ้นขู่
“เบามือหน่อยซิโว้ย อยากตายห่ารึไง”
หมอหมากลัวตัวสั่น จนฉี่ราดกางเกง รีบลนลานทำแผลให้ต่อ
เมฆเห็นแล้วส่ายหัว ยกมือขึ้นปิดจมูก ก่อนจะทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะตอนเขาเล็งจะยิงอัคคเดช แต่แล้วกลับถูกยิงจนตกตึกลงมา
เมฆคิดหนัก ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ อย่างหวาดกลัว
ฝนตกมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ประตูหน้าร้านดอกไม้เปิดออกมีคนเดินเข้ามา หลินลุกขึ้นตอนรับ
“สวัดดีค่ะ เชิญค่ะ”
คนเข้ามาเป็นชายสองคน ท่าทางนักเลง ไม่ใช่ลูกค้าแน่นอน
“รับอะไรดีคะ”
ชายสองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าหลินตาบอด ทั้งสองยิ้มให้กันเมื่อเห็นว่าหลินสวย ก่อนคนหนึ่งจะบอกขึ้นว่า
“แล้วถ้าพี่อยากรับน้องไปหาความสุขด้ยกัน จะได้หรือเปล่าจ๊ะ”
พร้อมกันนี้ ชาย 1 ยังเอามือลูบหน้าหลินอย่างคึกคะนอง หลินสะดุ้งตกใจ รีบผละถอยออกห่าง
ชาย 2 ทำเป็นปราม “เฮ้ย! เห็นใจน้องเขาหน่อยดิวะ น้องเค้าตาบอด มึงไม่สงสารน้องเค้าบ้างรึไง”
“ก็เพราะสงสารไง เลยจะรับไว้เป็นเมีย ตาบอดแต่สวย แปลกดีไม่เคย อยากลอง” ชาย1 ยิ้มหื่นออกนอกหน้า สองชายชั่วหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
หลินออกอาการผวากลัว ผงะถอยห่าง คลำหาของบนโต๊ะตรงหน้าอย่างลนลาน จนเจอกรรไกรสำหรับตัดกิ่งดอกไม้จึงจับขึ้นมาถือด้วยสองมือ แล้วยื่นไปข้างหน้าเพื่อป้องกันตัวเองอย่างกลัวๆ
แต่นักเลงสองคนกับยิ่งแกล้ง ด้วยการเอื้อมมือแตะหลินสลับกันไม่ไป ให้หลินห่วงหน้าพะวงหลัง เป็นที่สนุกสนานของพวกมัน แว่บหนึ่งจึงบอกขึ้นว่า
ชาย 1 “พี่มาเก็บค่าคุ้มครองจ้ะ ถ้าน้องสาวยอมจ่ายมาซะดีๆ พวกพี่จะได้ไม่ทำอะไรน้องไงจ๊ะ”
หลินตกใจกลัว จนชาย 1 หันไปเห็นรถตำรวจสายตรวจที่แล่นมาหน้าร้อน สองโจรจึงรีบเผ่นออกไป
ตำรวจสองคน ลงรถเดินเข้ามในร้าน ตำรวจ 1 กำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุ ตำรวจ 2 กำลังสอบปากคำหลินอยู่
“เคยเห็นหน้าพวกมันมั้ย”
ตำรวจ 1 กระซิบบอกว่า “น้องเค้าตาบอด”
ตำรวจ 2 ร้อง “อุ้ย”
หลินยิ้มรับ ตอบอย่างอารมณ์ดี “ไม่เคยค่ะ หลินตาบอด มองไม่เห็น”
ตำรวจยิ้มเจื่อนจ๋อย
ระหว่างนี้หลินชะงักนิ่งไป เธอรับรู้ด้วยสัญชาติญาณบางอย่าง ว่ามีความผิดปกติที่ถนนถนนฝั่งตรงข้ามร้าน
เป็นเมฆนั่นเอง ที่มองมาจากถนนฝั่งตรงข้ามร้านดอกไม้ เขาเห็นรถตำรวจที่มาตรวจสอบที่เกิดเหตุจอดอยู่หน้าร้าน เมฆเข้าไปในร้านหลินนึกถึงวันก่อน
ในวันที่เขาแวะไปร้านดอกไม้ของหลินเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเอาของขวัญ และดอกไม้ไปง้อปานวาด ก่อนจะไปยิงอัคคเดช เมฆถามหลินเรื่องแจกัน จนรู้ว่าเป็นแจกันที่จะอยู่คู่กับร้านนี้ ไปนาน
เมฆมองดูแจกันอย่างมีแผนอยู่ในใจ หันไปมองหลินที่กำลังจัดดอกไม้
“ขอผมดูหน่อยนะสวยดี”
“ตามสบายเลยค่ะ”
เมฆทำเป็นหยิบแจกันมาดู แอบล้วงกระเป๋าหยิบ HANDDY DRIVE ใส่ลงไปในนั้นซ่อนไว้ แล้ววางกลับที่เดิม
เมฆหนักใจที่เห็นตำรวจอยู่ในร้านยังไม่กลับไปสักที จนไอออกมาแล้วเจ็บหน้าอก ต้องยกมือขึ้นป้องปาก พอเอามือออกจึงเห็นลิ่มเลือดเลอะติดมือมา เพราะอาการช้ำใน เมฆจำต้องตัดใจเดินจากมา เพราะไม่อาจเข้าไปเอาหลักฐานสำคัญได้
ทางด้านภูผาเปิดกระป๋องเครื่องดื่ม เดินดื่มออกไปที่ระเบียงห้อง เทียนบนเค้กก้อนเล็กถูกจุดขึ้น ภูผามองแล้วยิ้มเยาะชะตาชีวิตตัวเอง ก่อนเป่าเทียน หลังจากนั้นเขายืนมองวิวยามกลางคืนของกรุงเทพฯ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด นึกไปถึงตอนตัดสินใจรับภารกิจโปรเจ็กต์หนอน
“ถ้าคุณตกลง เป้าของคุณก็คือ คนนี้”
อัคคเดชพูดพร้อมกับเอารูปให้ดู เป็นรูปถ่ายของแป๊ะกง และเฮียเสือลูกชายคนเดียวของแป๊ะกง
ภูผานึกไปถึงวันที่เขาแผงตัวเข้าไปในแก๊งในฐานะนักโทษ ต้องทำทุกทาง เพื่อให้ เฮียเสือ ซึ่งถูกคุมขังจำโทษในดีปล้นรถขนเงินครั้งใหญ่ไว้วางใจ ซึ่งเขาทำสำเร็จ เฮียเสือฝากเขาไปทำงานกับพ่อในวันที่เขาพ้นโทษออกมา
วันนั้นเขาเจอแป๊ะกงเป็นครั้งแรก ชายสูงวัยประมุขแก๊งอัคคีเดินเข้ามา ลงนั่งกินอาหารในห้องวีไอพีของเหลาเจ้าประจำ สายตาอันคมกริบจับจ้องไปยังเด็กใหม่ที่พากันมายกน้ำชาเพื่อเข้าแก๊งอัคคี ตามธรรมเนียม ซึ่งล้วนเป็นบรรดานักเลงรุ่นใหม่ทั้งสิ้น ภูผาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทั้งหมดยกน้ำชาคาราวะแป๊ะกงอีกครั้งด้วยแววตานับถือเต็มเปี่ยม ทุกคนรวมทั้งภูผารับอั่งเปาจากแป๊ะกงเป็นการรับขวัญ
หลังจากนั้นไม่นาน อัคคเดชนัดเจอภูผาในสถานที่อันลับตาสุดยอด เดินตรงมาหาภูผาที่รออยู่
แล้ว ยื่นซองสีน้ำตาลซองหนึ่งส่งให้ ภูผาเปิดออกดู คราวนี้เห็นเป็นรูปถ่ายของตะวัน
“คนนี้คือนายตะวัน เป็นมือขวาของแป๊ะกงที่กำลังก้าวขึ้นมาแทนที่แป๊ะกง คุณต้องหาหลักฐานเล่นงานคนนี้ด้วย”
ภูผาทักท้วง “แต่ภารกิจผมคือแป๊ะกง”
“กำจัดแป๊ะกงจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมันมีตัวตายตัวแทน เราต้องถอนรากถอนโคนมัน ให้สิ้นเชื้อชั่วกันไปเลย”
เขายังนึกไปถึงเหตุการณ์หลังจากแฝงตัวเข้าไปร่วมในแก๊งอัคคีแล้วสักระยะ เป็นวันที่เขาได้เจอมือปืนหน้าหวานที่ร้านอาหารจีน ตอนกลางวันวันหนึ่ง
ตะวันตรงเข้าทักทายแป๊ะกงอย่างนอบน้อม เขาพบว่ามีภูผาและภัสสรขนาบคนละข้างของแป๊ะกง ภูผามองตะวันอย่างสนใจ กระทั่งสายตาไปสะดุดกับสาวสวยหน้าหวานมาดเท่ ปานวาด ที่ตามหลังตะวันมา ในฐานะลูกน้องและบอดี้การ์ด นั่นเป็น LOVE AT FIRST SIGN ของภูผาที่มีต่อปานวาด
เมื่อมาอยู่กับตะวันตามคำแนะนำของแป๊ะกง ทุกครั้งที่เห็นปานวาดกำลังหวานกับเมฆ ภูผาเป็นต้องแอบมองอยู่ห่างๆ ด้วยสายตาอิจฉา
จนเมฆรู้เรื่อง สองคนทะเลาะกันที่หน้าห้องซาวน่า เมฆออกอาการหวงก้าง เยาะเย้ยภูผาว่าปานวาดมีเจ้าของแล้ว
ภาพสุดท้ายที่ภูผาอดสะท้อนใจไม่ได้ เป็นตอนที่เขาลั่นไกสกัดเมฆช่วยชีวิตผู้กำกับไว้ กระสุนเจาะเข้ากลางอก เมฆลุกเดินโซเซจนพลัดตกจากตึก
ภูผานิ่งคิด
“อย่าโกรธกันเลยว่ะเมฆ ยังไงเสือสองตัวก็อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อยู่แล้ว” ภูผายิ้มในสีหน้า “อโหสิต่อกันก็แล้วกัน ถึงยังไงฉันก็ต้องทำตามหน้าที่อยู่ดี”
ภูผารินเครื่องดื่มแสดงการคารวะต่อวิญญาณเมฆในปรโลก จำจากที่หลิวเต๋อหัวชอบทำในหนังจีน จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังรัวเร็วชนิดที่ประตูแทบพัง
ภูผาหันไปมองอย่างแปลกใจ แล้วลุกเดินไปดู
เมื่อประตูเปิดออก เผยให้เห็นปานวาดที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ ภูผามองอย่างแปลกใจ ตกใจ และดีใจ ในเวลาเดียวกัน
“วาด”
ปานวาดสวนขึ้นทันควันด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“เธอเป็นคนบอกนายว่า เมฆทรยศอย่างงั้นเหรอ”
ภูผาอึ้งไปนิด แล้วยืนกระต่ายขาเดียวปฏิเสธ
“เปล่า ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเมฆทรยศ”
“แต่ที่ฉันได้ยินมา มันเป็นแบบนั้น”
“ใครบอกคุณ” ภูผาแปลกใจ
“ปราการ”
ภูผาอึ้งไป นึกไม่ถึงว่าปราการจะบอกปานวาด
“ฉันไม่เชื่อว่าเมฆจะทรยศนายได้ เมฆไม่ใช่คนแบบนั้น”
ภูผามองหน้าปานวาดด้วยความน้อยใจที่เธอไม่ยอมเชื่อคำพูดเขา เลยประชดขึ้นว่า
“ก็เพราะเธอรักเมฆไง เธอจึงหูหนวก ตาบอด ไม่ยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่นเลย ความรักทำให้เธอตาบอดไปแล้ววาด”
ปานวาดนิ่งงันไปนิดในคำพูดของภูผา ก่อนจะเถียงขึ้นว่า
“ไม่จริง ฉันไม่ได้ตาบอด ฉันเชื่อสิ่งที่ฉันเห็นด้วยตาของฉันเอง และใจของฉันก็บอกกับฉันว่า เมฆไม่ใช่คนแบบนั้น เมฆไม่มีวันเป็นอย่างที่เธอกล่าวหา”
ภูผาชักเหลืออด เสียงแข็งใส่บ้าง “ถ้าอย่างงั้น มันหายหัวไปไหนวาด ทำไมไม่กลับมา”
ปานวาดอึ้งไปถนัดตา เพราะไม่อาจตอบคำถามของภูผาได้
“ไม่ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ”
ปานวาดสะบัดหน้าเดินหุนหันจากไป
ภูผามองตาม นึกสะท้อนใจที่ตนเป็นคนทำให้ปานวาดเจ็บปวด
“ใช่วาด เธอไม่ได้ตาบอด แต่เธอใจบอด จนมองไม่เห็นความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอ”
ปานวาดขึ้นรถมา แล้วหยิบโทรศัพท์มาโทร.หาเมฆอีกครั้ง แต่มีข้อความจากเครือข่ายตอบมาแทนว่า “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เหมือนเดิม
เจ้าหล่อนเริ่มร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเป็นห่วงคนรัก
“เธอไปอยู่ไหนเมฆ ฉันเป็นห่วงเธอ เธอรู้หรือเปล่า”
ปานวาดซบหน้ากับพวงมาลัยร้องไห้โฮออกมา
ที่บ้านสวนหลังหนึ่ง บนนยากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเปลี่ยว ยิ่งตอนนี้ฝนตกพรำๆ สักครู่จึงเห็นเมฆพยายามประคองสังขารตัวเองที่ใกล้สิ้นใจเต็มทน เดินเข้าไปยังบ้านสวนหลังนั้น
ประตูบ้านเปิดออก เมฆซมซานเข้าไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก แล้วร้องขึ้นเมื่อรู้สึกเจ็บแผลที่ถูกยิง และทรมานจากร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสจากการตกจากที่สูง
เมฆหายใจรวยรินใกล้สิ้นลมเต็มทนแล้ว แต่พยายามกัดฟันสู้ฝืนเอาไว้ จนมีเสียงดังมาจากด้านนอกว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้
เมฆหันไปมองอย่างระแวดระวัง ชักปืนสั้นที่ติดตัวออกมาเล็งไปที่หน้าประตูบาน ที่เสียงฝีเท้าของคนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
ใครคนนั้นเดินใกล้เข้ามาๆ เมฆลุ้นระทึก นิ้วของเขาแตะโก่งไกเตรียมสู้ตาย พร้อมแลกชีวิต
อะไรกันนั่น ผู้ชายคนที่เดินเข้ามา หน้าตาแม้จะโทรม ออกไปทางเซอร์ แต่ก็เหมือนเมฆอย่างกับแกะ แท้จริงเขาคือ หมอก พี่ชายของเมฆนั่นเอง หมอกมองตะลึง สีหน้าตกใจที่เห็นน้องชายเล็งปืนใส่เขาแบบนั้น
เมฆถอนใจเฮือกใหญ่ ลดปืนลงอย่างโล่งอก หมอกตกใจเมื่อพบว่าเมฆบาดเจ็บสาหัส ถลันเข้าไปดูน้อง
“ใครทำแก”
เมฆสำลักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ตอบไม่ได้
หมอกช่วยเช็ดเลือดให้ เมฆจับมือหมอกไว้ กลั้นใจพูดสั่งเสียคำสุดท้าย
“ไป ร้านดอกไม้ มี...ของ...ซ่อน...อยู่...ใน...แจกัน”
ขาดคำเมฆก็สิ้นใจตายในอ้อมอกพี่ชาย
หมอกจนหล่นวูบ ตะโกนสุดเสียง
“เมฆ.....”
อ่านต่อตอนที่ 4