ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 3
บู๊ลิ้มนั่งรอกังฟูอยู่ที่หน้าห้องตรวจ รออยู่ครู่หนึ่งกังฟูก็เดินสูดยาดมออกมา
“เป็นไงบ้างศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มถาม
“อย่าถามว่าเป็นยังไงบ้างเลยศิษย์พี่ รู้แต่ว่ารสชาติของหางตุ๊กแก ตีนจิ้งจก อุจจาระแมว มันยังกรุ่นๆตุ่นๆอึนๆอยู่ในปากอยู่เลย” กังฟูว่า
“แล้วหมอเขาไม่ล้างท้องให้เหรอ”
“เขาว่าไม่จำเป็น..ให้มันย่อยแล้วออกมาเองตามธรรมชาติ”
“ไม่อยากจะสมเพช..ก็ถ้าเชื่อศิษย์พี่ที่ให้แอบฝึกวิชาจากพวกอาจารย์ ไม่ต้องเอาตัวเข้าไปขวาง ศิษย์น้องก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้หรอก”
“ในเมื่อเรายังมีความผิดติดตัว ถ้าผิดแล้วแก้ไขถือว่าไม่ผิด แต่ผิดแล้วไม่แก้ไขถือว่าผิด” กังฟูว่า
บู๊ลิ้มทำหน้างง “ฟังแล้วมึน เอาล่ะๆ ศิษย์พี่พูดไปยังไงก็สู้หัวใจหล่อๆของศิษย์น้องไม่ได้ เอางี้ ..ไหนๆก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวเราแวะไปเยี่ยมพ่อพี่เมกันดีกว่า”
“พูดถึงคุณเมก็นั่นไงศิษย์น้อง..ดูรีบๆลนๆยังไงอยู่นะ” กังฟูชี้ให้บู๊ลิ้มดูเมลดาที่รีบเร่งเดินออกจากโรงพยาบาล ความรีบทำให้เธอชนกับผู้คนในโรงพยาบาลและต้องขอโทษขอโพยไปตลอดทาง จนกังฟูกับบู๊ลิ้มหันมามองหน้ากันสงสัย
เมลดารีบออกมาหน้าโรงพยาบาล บู๊ลิ้มกับกังฟูรีบตามออกมา
“พี่เมครับ..พี่เม นั่นพี่จะรีบไปไหนครับ ท่าทางรีบร้อนจัง”
“บู๊ลิ้ม..หลินหลินประสบอุบัติเหตุ พี่ต้องรีบไป”
บู๊ลิ้มตกใจ “อุบัติเหตุ? แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ ปลอดภัยรึเปล่า”
“ตอนนี้พี่ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก พี่ต้องรีบไปก่อนนะ” เมลดาว่า
“เดี๋ยวก่อนสิคุณเม” กังฟูขัด
“หลบไปนายกังฟู ชั้นไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับนายนะ” เมลดาเอ่ย
“ผมไม่ได้จะชวนทะเลาะ เห็นคุณกำลังเดือดเนื้อร้อนใจก็เลยอยากจะช่วยต่างหาก” กังฟูว่า
เมลดาชะงักมองสีหน้ากังฟูที่ดูจริงจังก่อนจะเชิดหน้าใส่
“ขอบใจ..แต่ชั้นไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณอะไรนายอีก..หลบไป!”
เมลดาผลักไหล่กังฟูแล้วรีบเดินออกไป กังฟูมองตามทำหน้าเซ็งที่โดนเมลดาผลักไหล่
“ผมก็ไม่ได้อยากเป็นเจ้าหนี้ผู้หญิงอย่างคุณหรอก..กลับกันเถอะศิษย์พี่” กังฟูพูด
“กลับได้ไงศิษย์น้อง..เกิดเรื่องขึ้นกับหวานใจของศิษย์พี่แล้วจะให้นิ่งดูดายเนี่ยนะ..ทำแบบนั้นแล้วจะเรียกตัวเองว่าสุภาพบุรุษหัวใจหล่อได้ไง” บู๊ลิ้มยักคิ้วกวน
กังฟูส่ายหน้า
จางซื่อกำลังสีซอบรรเลงเพลงได้อารมณ์ดื่มด่ำอยู่ในศาบเจ้า พอได้ยินเสียงเมฆาเข้ามาก็หยุดเล่น
“เรียบร้อยแล้วครับพ่อ” เมฆายื่นซองเอกสารที่ติดมาด้วยให้
“ทำงานได้ดีมาก สมกับที่พ่อไว้ใจแก” จางซื่อรับมาดูแล้วยิ้มพอใจ
“ผมรอเวลานี้มานานแล้ว ถ้าไม่ได้พ่อมาช่วยผมก็คงมาไม่ถึงเป้าหมาย”
จางซื่อยิ้มรับ แล้วตบบ่าเมฆา “จากนี้ไปธุรกิจที่แกยึดมาได้ จะเป็นเบื้องหน้าฟอกเงินให้กับเครือข่ายธุรกิจใต้ดินของสำนักอสูรเทวา แล้วเราสองคนพ่อลูกจะยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย”
“ผมยินดีรับฟังคำสั่งสอนและชี้แนะ ยิ่งถ้าพ่อช่วยสอนวรยุทธ์ให้ผมได้เก่งเหมือนอย่างพ่อแล้วด้วยล่ะก็” เมฆายิ้มร้ายๆ
“ไม่ต้องห่วง..ยังไงเลือดมันก็ข้นกว่าน้ำ แกต้องได้เป็นผู้สืบทอดของชั้นแน่ เหลือก็แต่แม่ของแก จะทำหน้ายังไงเวลาที่เรา 3 คนได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก” จางซื่อบอกลูกชาย
กังฟูกับบู๊ลิ้มพากันเดินเข้ามามองไปรอบๆ ลานตู้คอนเทนเนอร์อย่างสงสัย
“แน่ใจนะศิษย์น้องว่าตามพี่เมมาแล้วไม่หลงกันอ่ะ” บู๊ลิ้มว่า
“ก็นั่งแท๊กซี่มาด้วยกัน เห็นกับตาว่าคุณเมเข้ามาที่นี่”
“แล้วพี่เมมาที่นี่ทำไม ก็ไหนบอกว่าหลินหลินเกิดอุบัติเหตุ”
“สังหรณ์ของศิษย์น้องรู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้วล่ะ”
“เรื่องไม่ดียังไงเหรออับดุล”
“ถามได้”
“ตอบได้”
“ก็เรื่อง..เย้ย! ไม่ตลกนะศิษย์พี่ แค่ดูจากบรรยากาศและสถานที่แล้วมันไม่น่าไว้วางใจ ไม่ได้มีสังหรณ์พิเศษจริงๆสักหน่อย”
“ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีลางสังหรณ์อะไรจริงๆหรอก ศิษย์พี่เป็นห่วงหลินหลิน เลยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“อยากรู้ก็ต้องตามไปดู..แต่ระวังไว้หน่อยนะ อยู่ข้างหลังศิษย์น้องเอาไว้”
บู๊ลิ้มพยักหน้ารับเดินตามหลังกังฟูเข้าไป โดยมีชายในสูทดำลูกน้องมิเชลมองตามไป
เมลดาเข้ามาที่บริเวณด้านในของลานเก็บของ ซึ่งมีตู้คอนเทนเนอร์รายล้อมจนเหมือนเขาวงกต
“หลินหลิน...คุณเมฆา..หลินหลิน” เมลดาพยายามตะโกนเรียก
ทุกอย่างดูเงียบกริบจนผิดสังเกต จนกระทั่งเสียงของมิเชลดังขึ้นด้านหลังในระยะเกือบประชิด ชนิดที่โผล่มาเมื่อไหร่ไม่รู้
“ไม่ต้องถามหาหรอก..หลินหลินอยู่นี่แล้ว”
เมลดาหันขวับเห็นมิเชลยืนอยู่ข้างหลังเธอ โดยไม่ไกลกันนักมีลูกน้องของมิเชลคุมตัวหลินหลินที่มีผ้าปิดปาก
“หลินหลิน..นั่นแกทำอะไรหลินหลินน่ะ ปล่อยหลินหลินเดี๋ยวนี้นะ” เมลดาตกใจ กำลังจะเข้าไปช่วย แต่มิเชลขยับเท้าขวางจิกหน้ายิ้มร้ายเจ้าเล่ห์
“เธอจะไม่ได้พาหลินหลินออกไป แต่จะมาตายพร้อมกับหลินหลินที่นี่”
พูดจบมิเชลก็ซัดฝ่ามือใส่เมลดา แรงหมัดกระแทกเข้าที่ช่องท้องจนเมลดากระเด็นจุกตัวงอแต่ยังพอทน
“นี่..นี่มันหมายความว่า..ว่ายังไง..เกิดอะไรขึ้น?”
มิเชลยิ้มร้ายแล้วหันไปพยักหน้าให้ลูกน้องแกะผ้าที่ปิดปากหลินหลินออก
“พี่เม...ช่วยหลินหลินด้วย พี่เมฆาฆ่าพ่อกับแม่หลินหลินตายหมดแล้ว..ฮือๆ”
เมลดาผงะอึ้งหน้าเสีย “คุณเมฆาฆ่าเจ้าสัว..ไม่จริง..เป็นไปไม่ได้..หลินหลิน”
เมลดารีบลุกจะไปช่วยหลินหลินทั้งๆที่ยังเจ็บจุกอยู่ แต่ก็เจอมิเชลกระแทกฝ่ามือใส่อีกจนเมลดาผงะ
“ความจริงเธอไม่ควรจะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยนะเมลดา ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลนี้มากเกินไป หรือเรียกอีกอย่างว่าเธอมันดวงหาเรื่องตาย” มิเชลพูด
มิเชลตามเข้าไปใช้เพลงมวยอันถนัดของตัวเองจะซัดฝ่ามือใส่เมลดาอีก แต่คราวนี้เมลดายกมือขึ้นรับฝ่ามือของมิเชลได้กลางอากาศและบีบมือมิเชลเอาไว้แน่นพร้อมจิกหน้าเอาเรื่อง
“ถ้าคิดว่าชั้นเป็นได้แค่ครูสอนพิเศษหลินหลินล่ะก็..เธอดูชั้นผิดไปแล้ว..มิเชล!”
ทั้งสองสาวมองหน้ากันอย่างเอาเรื่อง
ขณะเดียวกัน กังฟูกับบู๊ลิ้มเดินเข้ามาตามหาเมลดา ท่ามกลางทางที่วกไปวนมาของลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์
“ศิษย์พี่..พาเดินวนไปวนมาอยู่ในนี้ตั้งนานแล้ว ตกลงจะเจอพี่เมกับหลินหลินมั้ยเนี่ย”
“ที่นี่มันไม่ใช่เล็กๆนะศิษย์น้อง ตามมาติดๆก็แล้วกัน รับรองเจอแน่” กังฟูบอก พร้อมกับเดินไปตามทางต่อ โดยไม่ทันสังเกตว่าลูกน้องมิเชลโผล่มาข้างหลังบู๊ลิ้มอย่างเงียบๆ แล้วเข้ารวบตัวเอามือปิดปากก่อนจะลากบู๊ลิ้มออกไป
“เดี๋ยวเราไปทางนี้ดีกว่าศิษย์พี่” เมื่อกังฟูหันมาไม่เห็นบู๊ลิ้มแล้วก็ตกใจ “ศิษย์พี่!”
กังฟูจะวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่ก็โดนหมัดจากลูกน้องมิเชลอีกคนที่โผล่มากระแทกหมัดใส่หน้า
กังฟูผงะ หงายหลังไป แล้วหันมาตั้งหลักกำหมัดพร้อมรับมือกับชายสูทดำหน้าตาเอาเรื่อง มันยิ้มร้ายแล้วปลดเนคไท โยนทิ้งพื้นย่างสามขุมเข้ามา กังฟูปรี่เข้าไประดมหมัดชกใส่หน้าลำตัวแต่มันกลับไม่สะทก แถมสวนหมัดเข้าหน้าเต็มๆ กังฟูผงะอีกครั้ง เจ็บหน้าชากรามแทบเบี้ยว
“โอ้ยยยย..เมื่อกี้นี้แค่วอร์ม แต่คราวนี้ของจริงล่ะ” กังฟูเอาจริง เขาเพ่งไปที่เนคไทที่ลูกน้องมิเชลโยนทิ้งไว้บนพื้น พอมันบุกเข้ามาเล่นงานกังฟูก็ไถลกลิ้งตัวหลบ หมัดได้เฉียดฉิวพร้อมกับไปคว้าเอาเนคไทจากพื้นขึ้นมา
“เนคไทเส้นเดียวเนี่ยนะ..หึๆๆ..แกโดนกระทืบตายแน่” ลูกน้องมิเชลว่า
กังฟูยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ “เนคไทเส้นเดียวนี่แหละ..เดี๋ยวก็รู้”
ภาพในอดีตผุดขึ้นมา กังฟูกับบู๊ลิ้มนั่งมัดขนมบ๊ะจ่างจนหลังขดหลังแข็งกันอยู่ในครัว เห็นขนมบ๊ะจ่างที่มัดเสร็จแล้วกองอยู่ในเข่งยังน้อยกว่าบ๊ะจ่างที่ยังไม่ได้มัดอีกเพียบ
“ไม่ไหวแล้วศิษย์น้อง..ดูสิ..มัดบ๊ะจ่างทั้งวันทั้งคืนจนมือสั่นไปหมดแล้ว” บู๊ลิ้มว่า
“งั้นศิษย์พี่พักก่อนก็ได้ ที่เหลือเดี๋ยวศิษย์น้องมัดเอง” กังฟูบอก
เฮียเก้ายกถาดไส้ขนมบ๊ะจ่างเข้ามา “นี่ลื้อยังมัดไม่เสร็จอีกเหรอวะไอ้กังฟู รีบๆเร่งมือหน่อย เดี๋ยวฮูหยินมาเห็นลื้อทำงานช้าแบบนี้ก็ได้โดนดุอีกหรอก”
“ครับอาจารย์เก้า”
กังฟูพยายามเร่งมือแต่ก็ไม่ทันใจเฮียเก้าที่เห็นแล้วส่ายหน้า
“เฮ้อ..ลื้อมัดแบบนี้มีหวังโดนอาฮูหยินดุแน่ๆ จะมัดขนมบ๊ะจ่างให้ได้สวยงามและรวดเร็วทันใจ มันต้องใช้วิชากำลังภายในเข้าช่วย มา..เดี๋ยวอั้วทำให้ดู”
เฮียเก้าพูดจบก็ไปยืนหลังโต๊ะที่ตรงหน้ามีเครื่องห่อบ๊ะจ่างเต็ม เฮียตั้งท่ามั่นถ่างขาออกสองมือกำหมัดข้างลำตัว สูดลมหายใจเรียกพลังลมปราณ สีหน้าเอาจริงก่อนจะเปล่งเสียงดัง..ย๊าก!
เฮียเก้าใช้ฝ่ามือตบโต๊ะอย่างแรง อุปกรณ์ห่อขนมบ๊ะจ่างทุกอย่างลอยขึ้นจากโต๊ะ เฮียเก้าใช้กำลังภายในจับทุกอย่างมาห่อรวมกันแล้วมัดๆๆๆขนมบ๊ะจ่างอย่างรวดเร็ว กังฟูกับบู๊ลิ้มมองตามแทบไม่ทันเพราะทุกอย่างรวดเร็วมาก จนกระทั่งเฮียเก้าร้องเสียงดังอีกครั้ง...ย๊าก!
ทันใดนั้นเอง ขนมบ๊ะจ่างที่มัดเสร็จเรียบร้อยและห่อสวยงามก็วางกองอย่างเสร็จสรรพ
“โห..ทำได้ไงครับเนี่ยอาจารย์” บู๊ลิ้มเอ่ย
“ไม่มีอะไรยากเกินการฝึกฝนหรอก” เฮียเก้าว่า
“งั้นอาจารย์เก้าช่วยสอนวิชามัดขนมบ๊ะจ่างให้ผมได้มั้ยครับ” กังฟูถาม
เฮียเก้านิ่งมองกังฟู ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “แต่อั๊วสอนวิชาให้ลื้อไม่ได้”
“ไม่ได้สอนหมัดมวยนี่ครับอาจารย์ สอนแค่มัดขนมบ๊ะจ่างยังไงก็คงไม่ผิดคำสั่งแม่ ดีกว่างานไม่เสร็จแล้วโดนแม่เล่นงานตายยกเข่งกันนะครับ” กังฟููบอก
เฮียเก้าคิด “ก็ได้..เดี๋ยวอั้วจะสอนลื้อมัดขนมบ๊ะจ่าง ฝึกเอาไว้จะได้ไว้ใช้ทำมาหากิน”
กังฟูนึกภาพในอดีตไปก็ยิ้มอย่างมั่นใจ ลูกน้องมิเชลร้องเสียงดังแล้วปรี่เข้าใส่ กังฟูไม่หลบแต่กระโจนเข้าหาเช่นกัน ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวาย เมื่อมองไปเห็นแต่กังฟูวิ่งวนไปวนมารอบตัวลูกน้องมิเชล เมื่อทุกอย่างหยุดลง สภาพของลูกน้องมิเชลก็ถูกเนคไทมัดมือมัดเท้าไขว้ไปมาอยู่ที่พื้น
“เฮ้ย..ทำได้ไงวะเนี่ย” ลูกน้องมิเชลอึ้งไป
“หึ..หนึ่งในวิชาทำมาหากิน วิชามัดขนมบ๊ะจ่าง”
พูดไปกังฟูก็เตะเสยปลายคางลูกน้องมิเชลจนหมดสติแน่นิ่ง จากนั้นก็แก้มัดเนคไทออกจากตัวมันแล้วมองไปทางที่บู๊ลิ้มถูกจับไปด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ขณะเดียวกัน มิเชลถูกหมัดเน้นๆหนักๆ ของเมลดาชกเข้าหน้าจนผงะ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าเมลดาจะไม่ธรรมดา
“บอกแล้วไง..ถ้าแตะต้องหลินหลิน..เธอเจ็บตัวแน่” เมลดาว่า
“ฝีมือเธอก็พอใช้ได้ สมกับมีพ่อเป็นอดีตนักมวย แต่จะเล่นงานชั้น..แค่นี้เอาไม่อยู่หรอก” มิเชลยิ้มร้าย ตั้งท่าเชิงมวยแล้วกวักมือให้เมลดาจู่โจมเข้ามา เมลดาปรี่เข้าไปพร้อมเชิงมวยไทยที่ฝึกฝนมาอย่างดี หมัด เข่า ศอก ถาโถมประเคนใส่มิเชลไม่ยั้ง แต่มิเชลก็รับได้ทุกเม็ดและตอบโต้ได้เสียด้วย ทั้งสองต่อสู้กันโดยมีหลินหลินที่ถูกลูกน้องมิเชลคุมตัวอยู่ร้องตะโกนเชียร์เสียงดังอย่างฮึกเหิม
“พี่เม..สั่งสอนมันเลย..เล่นงานมัน..แก้แค้นให้หลินหลินด้วย” หลินหลินว่า
“อยู่เฉยๆ!” ลูกน้องดึงตัวหลินหลินไว้ไม่ให้ขยับ
เมลดากับมิเชลยังซัดกันอย่างเมามัน เมลดารับได้หลายหมัดและตอบโต้กลับไปได้บ้าง แต่สุดท้าย
เมลดาก็สู้ฝีมือของมิเชลไม่ได้อยู่ดี เธอกลับกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำถูกจับบิดแขนกดลงกับพื้น
“โอ๊ยย” เมลดาร้องอย่างเจ็บปวด
“พี่เม!” หลินหลินตกใจ
เมลดาหมดสภาพ มิเชลกำลังจะปลิดชีวิตเมลดาต่อหน้าหลินหลิน
“อย่านะ..อย่าฆ่าพี่เม” หลินหลินเป็นห่วงเมลดามาก เธอพยายามดิ้น จะเข้าไปช่วย แต่ลูกน้องมิเชลก็ยิ่งกระชากตัวไว้แน่น
“บอกให้อยู่เฉยๆ” ลูกน้องมิเชลบอก
“อยู่เฉยๆก็ไม่ใช่หลินหลินน่ะสิ” หลินหลินพูดโกรธๆ แล้วกระทืบเท้าลูกน้องมิเชลซ้ำๆ ย้ำไปติดๆกันหลายที
“นี่แน่ะ..นี่แน่ะ..นี่แน่ะ!” หลินหลินกระทืบเท้าใส่ลูกน้องมิเชลจนกระทั่งมันเจ็บจนปล่อยมือ หลินหลินฉวยโอกาสวิ่งไปหาเมลดา
“อย่า..อย่าเข้ามานะหลินหลิน” เมลดาพยายามห้าม แต่ไม่ทันแล้ว เมื่อมิเชลหันไปจิกหน้าร้ายเอาเรื่องแล้วดึงพลังลมปราณจากภายในออกมากระแทกใส่ผ่านฝ่ามือดังโครม! ร่างของหลินหลินกระเด็นตามแรงอัดอากาศไปกระแทกกับตู้คอนเทนเนอร์ลงมาแน่นิ่ง
“หลินหลิน!” เมลดาอุทาน
อีกด้านหนึ่ง บู๊ลิ้มถูกลูกน้องมิเชลเอามือปิดปากลากตัวเข้ามาอีกด้านหนึ่งของลานตู้คอนเทนเนอร์ บู๊ลิ้มพยายามดิ้นแล้วกัดมือมันจมเขี้ยว จนมันต้องสะบัด แล้วผลักบู๊ลิ้มไปสุดแรง
“ไอ้เด็กเหลือขอ..หาเรื่องเจ็บตัวแล้ว” ลูกน้องมิเชลพูดและจะเข้าไปจัดการแต่กลับถูกกระชากคอเสื้ออย่างแรงจนกระเด็นไปกองด้วยฝีมือของกังฟู
“ศิษย์น้อง!” บู๊ลิ้มร้อง
“เป็นยังไงบ้างศิษย์พี่” กังฟูถาม
“เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บใจที่โดนลูบคมน่ะสิ” บู๊ลิ้มเอ่ย
“น้อยหน่อยศิษย์พี่..อย่ากร่างไม่เข้าท่า รู้อย่างนี้ไม่น่าให้มาด้วยเลย” กังฟูว่า
“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย ยิ่งผู้หญิงอ่อนแอตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แล้วจอมยุทธ์จะทนดูดายได้ยังไง” บู๊ลิ้มพูดไปก็เหลือบไปเห็นลูกน้องมิเชลที่โดนกังฟูเล่นงานไปจนฟุบกำลังลุกขึ้นมา
“ศิษย์น้อง..สองประสานเป็นหนึ่งเดียว” บู๊ลิ้มว่า
“หา!” กังฟูว่า
“ปั๊ดโธ่..” บู๊ลิ้มเอ่ย พลางชี้ให้ดูลูกน้องมิเชลที่กำลังจะเข้ามาเล่นงาน
“โน่น! ที่เคยฝึกกันไว้ไง..เร็ว!” กังฟูรีบทำตามที่บู๊ลิ้มบอก จับมือบู๊ลิ้มแล้วช่วยเหวี่ยงตัวเหมือนเล่นกายกรรมจนบู๊ลิ้มมีแรงเหวี่ยงจากกังฟู พุ่งไปกระโดดถีบยอดอกลูกน้องมิเชลอย่างแรงจนมันกระเด็นกระแทกตู้คอนเทนเนอร์แล้วหมดสติ
บู๊ลิ้มจบท่าสวยเอานิ้วโป้งปัดจมูก เต้นฟุตเวิร์คเป็นบรู๊ซ ลี กังฟูเข้ามาเขกกบาลแล้วกล่าวว่า
“พอได้แล้วศิษย์พี่..ขนาดเราพวกมันยังไม่เอาไว้ แสดงว่าตอนนี้คุณเมกับหลินหลินต้องการความช่วยเหลือแน่” บู๊ลิ้มพยักหน้ารับเห็นด้วย
เมลดาเข้าไปประคองร่างหลินหลินที่แน่นิ่งหมดสติไม่รู้สึกตัว ที่หัวมีเลือดไหลออกมาเพราะศีรษะแตก
ผลจากการได้รับการกระแทกอย่างแรง
“หลินหลิน..หลินหลิน..โธ่..หลินหลิน..ฮือๆๆ” เมลดากอดร่างของหลินหลินเอาไว้แล้วน้ำตาไหลอาบแก้มเวทนาสงสาร มิเชลยิ้มร้ายขยับเข้ามา
“แทนที่ชั้นจะจัดการให้หลินหลินไปอย่างไม่ต้องเจ็บตัว แต่ก็เพราะเธอนั่นแหละที่อยากอวดเก่งท้าทายฝีมือกับชั้น” มิเชลว่า
“เลว..เลวที่สุด แม้แต่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็ยังทำร้ายได้ลงคอ” เมลดาเจ็บใจสุดๆ
“คำสั่งที่ชั้นได้รับมาคือไม่มีคำว่าปราณี..เธอน่าจะขอบใจชั้นด้วยซ้ำนะ ที่ชั้นลงมือหนักๆ ครั้งเดียว หลินหลินเลยไม่ต้องทรมานก่อน” มิเชลว่า
“ชั้นจะฆ่าแก! นังสารเลว” เมลดาจะลุกขึ้นเอาเรื่อง แต่มิเชลซัดมีดสั้นที่พกอยู่ในเสื้อพุ่งใส่เฉียดต้นแขนเมลดาไปจนเลือดอาบ
“ความแค้นสามารถทำให้คนเราทำอะไรก็ได้ แต่ก็ไม่ได้ความว่าจะทำได้อย่างที่คิดไปได้ซะทุกอย่าง ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ชั้นสงสารเธอนะ..ถูกคนรักทรยศ โธ่ๆ คงแค้นจนแน่นอกเต็มที่แล้วล่ะสิ” มิเชลว่า
“เมฆาทำอย่างนี้เพราะอะไร” เมลดาน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวด
“เพราะสิ่งที่เขาอยากได้จริงๆไม่ใช่เธอไง”
มิเชลพูดไปพร้อมกับดึงมีดสั้นอีกเล่มหนึ่งออกมาแล้วเล็งไปที่เมลดา
“เธอมันก็แค่ของเล่นที่เมฆาเล่นจนเบื่อแล้วก็อยากเขี่ยทิ้ง”
“เขา..เขา..เขาพูดเองรึเปล่าว่าให้เธอมาฆ่าชั้น” เมลดาถาม
“สั่งกับปากเองเลยล่ะ..เมลดา” มิเชลยิ้มร้าย
เมลดาเจ็บปวดสุดๆน้ำตาไหลพรากอย่างปวดร้าว น่าเวทนาสงสารเป็นที่สุด
ในขณะนั้น กังฟูกับบู๊ลิ้มเข้ามาทันเห็นเหตุการณ์สำคัญนี้ บู๊ลิ้มเป็นห่วงเมลดาและจะเข้าไปช่วย แต่กังฟูรีบห้าม
“เดี๋ยวก่อนศิษย์พี่..อย่าเพิ่งใจร้อน” กังฟูว่า
“ศิษย์น้องจะให้ใจเย็นได้ไง ไม่เห็นเหรอไงว่ามันฆ่าหลินหลินแล้ว และกำลังจะฆ่าพี่เม” บู๊ลิ้มพูด
“เห็น” กังฟูตอบ
“เห็นแล้วเอาแต่ซุ่มดูอยู่แบบนี้เนี่ยนะ..ไม่ทนมันแล้ว ตายเป็นตาย” บู๊ลิ้มว่า
กังฟูรีบรวบตัวบู๊ลิ้มเอาไว้แล้วเอามือปิดปากพยายามให้สงบสติ
“ชู่วว์..ฟังศิษย์น้องให้ดีนะศิษย์พี่..มันมีอาวุธ คุณเมก็บาดเจ็บ ถ้าเราบุ่มบ่ามบุกเข้าไปนอกจากจะช่วยคุณเมไม่ได้แล้ว เราสองคนก็จะไม่รอดเหมือนกัน..ถูกมั้ย!”
“แล้วจะให้ทำยังไง” บู๊ลิ้มถาม
กังฟูหน้าเครียดคิดอยู่ครู่ก่อนจะหันไปเห็นรถโฟลค์ลิฟต์ที่มีกุญแจเสียบอยู่คารถ
“ศิษย์น้องจะถ่วงเวลาให้ศิษย์พี่รีบเข้าไปช่วยพาคุณเมออกมา..ทำได้นะศิษย์พี่” กังฟูพูด
บู๊ลิ้มพยักหน้ารับจริงจัง
ขณะเดียวกัน เมลดากอดร่างของหลินหลินที่แน่นิ่งไม่รู้สึกตัวเอาไว้แน่น น้ำตาเธอยังคลอเบ้าแต่สายตาปนความเกลียดชัง หลังมิเชลย้ำว่าคนที่สั่งฆ่าเมลดาคือเมฆา
“เอาล่ะ ก่อนที่เธอจะตายตามคำสั่งของผู้ชายที่เธอรัก อยากจะฝากอะไรไปถึงเขามั้ย” มิเชลถาม
“มี..ฝากบอกเขาด้วยว่า บาปกรรมจะทำให้เขาไม่ได้ตายดี” เมลดาตอบ
“หึ..ได้..ชั้นจะรับฝากไปบอกเขา แต่ขอให้รู้ไว้ด้วยนะ คนที่จะไม่ได้ตายดีก่อนก็คือเธอ”
มิเชลยกมีดสั้นขึ้นมาเล็งไปที่แสกหน้าของเมลดาที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหลับตา เธอน้ำตาไหล กอดหลินหลินแน่น
“พ่อ..พ่อจ๋า...เมขอโทษที่ไม่ได้กลับไปทำหน้าที่ลูกให้พ่อได้อีกแล้ว” เมลดารำพึง
มิเชลกำลังจะซัดมีดใส่หวังปลิดชีพ แต่ทันใดนั้นเองเสียงรถโฟล์คลิฟท์ก็ดังขึ้น รถตรงดิ่งเข้ามา ลูกน้องมิเชลโดนกังฟูขับรถโฟล์คลิฟท์ชนเข้าอย่างจังจนกระเด็นแน่นิ่ง กังฟูเร่งเครื่องต่อแล้วพุ่งไปที่มิเชลทันที มิเชลใช้มีดสั้นในมือซัดเข้าใส่ แต่มีดสั้นก็ทำอะไรไม่ได้ มิเชลเริ่มถอยหนี
บู๊ลิ้มรีบอาศัยโอกาสทองเข้าไปที่เมลดาทันที “พี่เมครับ..รีบหนีกันเถอะ”
“บู๊ลิ้ม? งั้นนั่นก็”
“ใช่ครับศิษย์น้องกำลังเปิดโอกาสให้เราหนี..รีบไปกันเถอะครับพี่เม” บู๊ลิ้มว่า
เมลดาพยักหน้ารับแล้วอุ้มร่างของหลินหลินตามบู๊ลิ้มออกไป ทั้งๆที่แขนตัวเองก็เลือดไหลเป็นทางยาว
กังฟูขับรถโฟล์คลิฟท์ไล่ชนมิเชลที่พยายามถอยหนีออกมา มิเชลเห็นจวนตัวก็กระโจนหลบอย่างเฉียดฉิว รถโฟล์คลิฟท์พุ่งเข้าไปชนกองลังกระดาษสินค้าแล้วสงบนิ่ง มิเชลรีบลุกขึ้นมาจะเข้าไปเล่นงานคนที่ขับรถไล่ชน แต่กลับไม่ปรากฏตัวคนขับแล้ว เพราะกังฟูรีบชิงหนีไปก่อน มิเชลเจ็บใจที่พลาดท่า
เมฆาเดินเข้ามาในคฤหาสน์โดยมีสันต์และลูกน้องสูทดำของอสูรเทวาเดินเรียงหน้าตามเข้ามา สวยกับสาวใช้คนอื่นๆพากันตกอกตกใจที่อยู่ๆเมฆาก็พาคนแปลกหน้ายกกันเข้ามาเต็มไปหมด
“คุณเมฆาคะ..เอ่อ..คนพวกนี้เป็นใครเหรอคะ” สวยถาม
เมฆาไม่ตอบ หน้านิ่งเรียบเฉย มีแต่สันต์ที่เข้าไปผลักสวยให้ไปรวมกับคนใช้คนอื่นๆ จนเสียงดังไปทั้งห้อง
เหมยอิงได้ยินเสียงเอะอะก็รีบเดินเข้ามาด้วยความสงสัย
“เสียงดังอะไรกันน่ะ” เหมยอิงออกมาเห็นลูกชายพาคนแปลกหน้ามาเต็มบ้านก็ยิ่งแปลกใจ พวกคนใช้รีบกรูเข้าไปหลบข้างหลังนาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะเมฆา..คนพวกนี้เป็นใคร เข้ามาทำอะไรกันที่นี่” เหมยอิงถาม
“พวกเขาเป็นลูกน้องของพ่อครับแม่”
“ลูกน้องพ่อ? หมายความว่ายังไง พ่อเราไม่เคยเลี้ยงลูกน้องแบบนี้นี่เมฆา” เหมยอิงงง
“หึๆ พ่อที่ผมพูดถึงน่ะ ไม่ได้หมายถึงไอ้แก่พ่อเลี้ยงผมหรอกครับแม่” เมฆาหัวเราะเบาๆ
“แล้วหมายถึงใคร” เหมยอิงยิ่งสงสัย
เมฆายิ้ม ไม่ตอบ กลับเบือนหน้าไปที่ประตูเพื่อให้แม่เห็นเองกับตา
“พ่อที่ลูกชายเรามันพูดถึง..ก็คือชั้นยังไงล่ะ..เหมยอิง” จางซื่อก้าวเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มอย่างร้ายกาจ
“จาง..จางซื่อ” เหมยอิงเห็นหน้าสามีเก่าเข้าก็ตกใจหน้าซีด
“ใช่..ชั้นเอง..น่าดีใจจริงๆที่เธอยังจำชั้นได้อยู่” จางซื่อจะเดินเข้าไปหาเหมยอิง แต่เธอกลับกลัวจนตัวสั่นแล้วถอยหนีชนแจกันข้างตัวจนแตก ก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในบ้านทันที สวยเป็นห่วงจะตามไป
“มาดามคะ!!” สวยร้อง แต่ถูกสันต์กันไม่ให้ตามไป ปล่อยให้จางซื่อกับเมฆาตามเหมยอิงไปกันสองคน
เหมยอิงวิ่งหนีอย่างตกใจกลัวเพราะไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องมาพบเจอกับจางซื่ออีก ระหว่างที่เธอวิ่งไปปรากฏว่ามีคนมายืนขวาง อาเฟยนั่นเอง
“หลีกไปนะ” เหมยอิงว่า
“ลำบากใจจริงๆ ถึงมาดามจะเป็นเมียของอาจารย์จาง แต่ผมก็หลีกให้ไม่ได้หรอกครับ” อาเฟยบอก
“บอกให้หลีกไป” เหมยอิงเอ่ย
จางซื่อเดินมาหา “อย่าพยายามหนีชั้นต่อไปเลยเหมยอิง ยิ่งเธอพยายามมาก เธอก็จะยิ่งเจ็บปวดมาก”
“อย่าเข้ามาใกล้ชั้นนะ..ออกไป” เหมยอิงว่า
“ชั้นคิดถึงเธอนะ...ตลอดยี่สิบกว่าปีมานี่ ไม่มีวันไหนที่ชั้นจะตัดใจลืมเธอได้เลย” จางซื่อพูดต่อ
“ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีมานี่ชั้นก็ไม่เคยลืมเหมือนกัน ไม่เคยลืมว่าแกคือไอ้ฆาตกรที่นรกส่งมาเกิด!” เหมยอิงกัดฟัน เธอจ้องจางซื่อเขม็งอย่างโกรธเกลียด
“เหมยอิง! เธอเรียกชั้นว่าฆาตกรไม่ได้หรอก เพราะเมื่อมีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ คนที่ชนะต้องถูกเรียกว่าวีรบุรุษต่างหาก” จางซื่อว่า
“คนอย่างแกไม่ใช่วีรบุรุษผู้กล้าหรอก แต่เป็นได้แค่ไอ้ฆาตกรผู้ชั่วช้าต่างหาก” เหมยอิงด่า เธอฝืนอาการเจ็บแล้วพยายามเดินหนีต่อ
จางซื่อตามเหมยอิงเข้าไป แล้วใช้ดัชนีนิ้วชี้แตะเพียงเบาๆที่ต้นคอเหมยอิงถูกจี้สะกัดจุดจนหมดสติ จางซื่อจึงประคองเธอขึ้นมาอุ้ม เมฆาตามเข้ามาพอดี
“นั่นพ่อทำอะไรแม่” เมฆาว่า
“พ่อตามหาเขามาตลอดหลายสิบปี พ่อไม่ทำร้ายเขาหรอก แค่อยากให้เขาพักผ่อน” จางซื่อพูดไปก็มองเหมยอิงที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน
ระหว่างนั้นมิเชลก็เข้ามารายงาน “อาจารย์คะ”
“มีอะไรมิเชล”
“เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นระหว่างที่กำลังจัดการกับเมลดาค่ะ”
มิเชลรายงานด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แต่จางซื่อไม่ว่าอะไร
“มิเชล เธอพลาดอีกแล้วเหรอ” อาเฟยว่า
มิเชลมองอาเฟย ดวงตาโกรธแค้นวาวโรจน์
“อาจารย์ ให้ผมไปจัดการดีกว่า” อาเฟยเอ่ย
“ไม่ต้อง...ยังไม่ต้องถึงมือแก” จางซื่อว่า ก่อนกลับหันมาสั่งเมฆา
“ไปจัดการเรื่องนี้ให้พ่อ แสดงฝีมือความเป็นผู้นำที่พ่อไว้ใจแก”
“ครับพ่อ” เมฆารับคำ
จางซื่ออุ้มเหมยอิงพาเดินขึ้นไปบนบันไดต่อ
ขณะพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ในที่พักของกังฟู ร่างของหลินหลินนอนนิ่งอยู่บนเตียง กังฟูพยายามเอาหูแนบฟังเสียงหัวใจที่หน้าอก ก่อนจะหันไปบอกเมลดากับบู๊ลิ้มที่กำลังยืนลุ้น
“หลินหลินยังไม่ตายครับคุณเม” กังฟูบอก
“จริงๆนะนายกังฟู..นายไม่ได้โกหกชั้นนะ” เมลดาว่า
“เรื่องแบบนี้ผมจะโกหกทำไม หลินหลินยังไม่ตายจริงๆครับ” กังฟูบอก
เมลดารีบเข้าไปกอดหลินหลินอย่างดีใจ
“แต่ท่าทางหลินหลินจะเจ็บมาพอสมควรเลยนะ ศิษย์พี่ว่า..เราน่าจะพาไปโรงพยาบาล” บู๊ลิ้มเอ่ย
“เรื่องพาไปโรงพยาบาล ตอนนี้อาจจะเสี่ยงเกินไป” กังฟูบอก
“แต่ชั้นจะปล่อยให้หลินหลินอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้นะ” เมลดาว่า
“ฟังผมก่อนสิคุณเม..พ่อแม่ของหลินหลินเพิ่งถูกฆ่าตาย ส่วนคุณก็เกือบจะถูกฆ่าปิดปาก ถ้าคุณโผล่ไปให้พวกมันเห็น..ผมว่ามันคงไม่ปล่อยให้เกิดความผิดพลาดซ้ำแน่” กังฟูอธิบาย
“งั้นต้องแจ้งตำรวจ ให้เขารีบไปจัดการกับพวกนั้น แล้วค่อยพาหลินหลินไปโรงพยาบาล” เมลด่าว่า
“ก็คงเหลือทางเดียวที่เราจะพึ่งได้” กังฟูเอ่ย
“ชั้นจะไปเล่าทุกอย่างให้ตำรวจฟังเอง ฝากหลินหลินไว้กับนายด้วยนะกังฟู” เมลดาพูดแล้วจะรีบออกไป แต่เดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่แผลบริเวณแขนจนเธอร้องออกมา
“คุณเม!” กังฟูอุทาน ก่อนประคองเมลดาเอาไว้ทันก่อนที่เธอจะเซล้ม เขาเห็นเลือดที่ซึมออกมาจากแผลซึ่งมีผ้าพันเอาไว้แล้วห่วง
“ผมว่าให้ผมช่วยทำแผลให้คุณก่อน แล้วเราค่อยไปหาตำรวจด้วยกัน” กังฟูเอ่ย
“ช่างมันเถอะน่า..แผลแค่นี้ชั้นไม่เจ็บหรอก..โอ๊ย” เมลดาพูดยังไม่ทันจบก็เจ็บแผลขึ้นมาอีก
“หึ..อย่าดื้อเลยคุณ..ถ้าเกิดคุณหมดสติไป แล้วใครจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ตำรวจฟัง” กังฟูว่า
เมลดาหน้านิ่งมองกังฟูอย่างครุ่นคิด
“ศิษย์พี่..ฝากดูหลินหลินด้วยนะ” กังฟูบอก
“ไม่ต้องห่วงศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มรับคำ
กังฟูประคองเมลดาเดินออกไปด้วยกัน ทิ้งให้บู๊ลิ้มอยู่กับหลินหลินตามลำพัง
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 3 (ต่อ)
กังฟูพาเมลดามาที่อีกมุมหนึ่งของบ้าน เขาทำแผลให้เมลดาด้วยกล่องปฐมพยาบาลที่มีอยู่ติด แต่จะทำแผลให้ได้ กังฟูก็ต้องปลดกระดุมเสื้อเพื่อเปิดไหล่เมลดา
“มัวแต่จรดๆจ้องๆอะไรอยู่ รีบๆหน่อยสิ” เมลดาว่า
“แผลที่คุณบาดเจ็บอยู่น่ะมันอยู่ข้างใน ถ้าคุณไม่..เอ่อ..ไม่ช่วยทำให้ผมทำงานสะดวกขึ้น ผมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง” กังฟูว่า
เมลดานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆปลดกระดุมเม็ดบนเสื้อออกสองเม็ด แล้วขยับเสื้อให้เปิดไหล่ออกจนเห็นเนินอก
กังฟูตกใจ เพราะไม่เคยเห็นผู้หญิงเปลือยไหล่ใกล้ชิดขนาดนี้ เลยต้องทำเบือนหน้าไปทางอื่น
“โอ๊ะ..เห็นนั่นมั้ยคุณ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน..สวยจังเลยนะ” กังฟูว่า
เมลดาทำหน้าเซ็ง ดีดติ่งหูกังฟูทันที
“นายจะช่วยทำแผลให้ชั้น หรือจะชวนชั้นมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดิน ฮะ นายกังฟู” เมลดาว่า
“ผมอยากช่วยคุณ..แต่ว่า” กังฟูพูด ตาไม่ยอมมองไปทางอื่น มองแต่เนินอกเมลดา
เมลดาตบหน้าซะหนึ่งที “ชั้นนึกว่านายเป็นคนดี เสี่ยงชีวิตไปช่วยชั้น แต่ไม่นึกเลยว่านายน่ะมันก็พวกโรคจิต”
“ผมไม่ได้โรคจิตนะคุณ..แต่ผมไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงใกล้ๆแบบ..แบบนี้!” กังฟูเอ่ย
“ว่าไงนะ”
“ผมไม่พูดแล้ว..ช่วยหันหลังไปหน่อย หันไปสิ! ไม่งั้นคืนนี้ผมก็คงทำแผลให้คุณไม่เสร็จ” กังฟูว่า
เมลดามองกังฟูแล้วอมยิ้มก่อนจะหันหลังให้ กังฟูเลยเริ่มเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดแผล
“โอ๊ย..แสบ” เมลดาร้อง
“ขอโทษ..แต่คุณต้องทนเอาหน่อยนะ แผลคุณไม่ใช่น้อยๆเลย” กังฟูบอก
“ขอบใจนะนายบื้อ...เอ้ย..นายกังฟู” เมลดาพูดยิ้มๆ
ตกกลางคืน เมฆาหยิบกรอบรูปของเจ้าสัวที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาดู ระหว่างนั้นมิเชลก็เข้ามา
“ชั้นส่งคนไปดูที่บ้านของเมลดาแล้ว เธอไม่ได้กลับไปที่นั่น” มิเชลว่า
เมฆาโยนรูปของเจ้าสัวลงถังขยะแล้วหันมาที่มิเชล
“แล้วพวกที่ช่วยเมให้หนีรอดไปได้ล่ะ..พวกมันเป็นใคร” เมฆาถาม
“ยังไม่มีข้อมูลเพราะไม่มีอยู่ในรายชื่อคนที่เมลดารู้จัก” มิเชลตอบ
เมฆาฟังมิเชลแล้วสีหน้าครุ่นคิด ใช้ความคิดตรึกตรองอยู่ครู่
“เธอยืนยันได้ใช่มั้ยว่าหลินหลินตายเพราะฝีมือเธอไปแล้ว”
“เด็กตัวแค่นั้น ถ้ารอดจากฝ่ามือชั้นไปได้ ก็ต้องถือว่าดวงแข็งสุดๆแล้ว”
“ถ้าหลินหลินตายไปแล้วอย่างที่เธอว่า งั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องตามล่าเมลดาอีก”
“หมายความว่ายังไง”
เมฆายิ้มร้ายแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆมิเชล ใช้มือเชยคางเธออย่างกรุ้มกริ่ม มิเชลจะปัด แต่เมฆาจับมือเธอไว้
“ทำตามที่ชั้นบอกเถอะ..เธอจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำงานอื่น แค่งานคอยดูแลชั้นในฐานะลูกชายของอาจารย์ แค่นี้เธอก็ไม่มีเวลาไปทำอะไรแล้ว”
พูดเสร็จเมฆาก็ดึงมิเชลมาจูบทันที มิเชลพยายามดิ้นและผลักเขาออก แต่เมฆาก็จู่โจมเธอหนักเหลือเกินจนเธอเริ่มนิ่ง และมือไม้เริ่มกอดตอบรับเมฆา ทั้งสองจูบกันอย่างร้อนแรง
ขณะเดียวกัน กังฟูทำแผลให้เมลดาเสร็จเรียบร้อย
“ใช้ได้เหมือนกันนี่นายกังฟู เครื่องไม้เครื่องมือพร้อม แถมยังทำแผลให้ชั้นซะเรียบร้อย อย่างกับพยาบาลมืออาชีพ”
“อยู่ที่คณะงิ้วผมต้องคอยเป็นคู่ซ้อมให้พวกศิษย์พี่กับพวกอาจารย์ พลาดพลั้งเจ็บตัวกลับมาบ่อยๆ ไม่มีใครคอยดูแลก็ต้องช่วยตัวเอง” กังฟูเล่า
“หมายความว่านายอยู่ที่นี่คนเดียว” เมลดาถาม
“แล้วคุณเห็นใครอยู่กับผมมั้ยล่ะ”
“ถามดีๆแล้วยังมากวนอีก ก็แค่อยากรู้ว่าทำไมไม่ไปอยู่ที่คณะงิ้วล่ะ”
“ผมไม่อยากเป็นภาระให้กับผู้มีพระคุณอีก แค่พวกเขาเลี้ยงผมมาจนโต ผมก็ไม่รู้จะทดแทนบุณคุณได้ยังไงหมด”
“แล้ว..” เมลดาจะถามต่อ
“หยุด ผมว่าคุณเลิกถามผมเซ้าซี้ได้แล้ว ผมจะพาคุณไปหาตำรวจ ผมจะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนเรื่องคุณอีก” กังฟูบอกแล้วเดินไปเก็บกล่องเครื่องมือปฐมพยาบาล
“ตาบ้า..ถ้าไม่ซื่อจนเซ่อก็กวนจนน่า..” เมลดาว่า
กังฟูหันขวับมา “น่าอะไรคุณ”
เมลดาตกใจ “ได้ยินด้วยเหรอ”
“ศิษย์น้อง..พี่เม..รีบมาดูนี่เร็วเข้าครับ” บู๊ลิ้มเรียก
“หลินหลินรู้สึกตัวแล้วเหรอบู๊ลิ้ม”
“เปล่าครับ..หลินหลินยังไม่รู้สึกตัว แต่ว่า..เอ่อ..ผมว่าพี่เมกำลังซวยแล้วครับ” บู๊ลิ้มว่า
เมลดามองบู๊ลิ้มอย่างสงสัย
เมฆาเดินตามตำรวจเข้ามาในบริเวณโกดังร้างที่ถูกกั้นเขตไว้เป็นพื้นที่เกิดเหตุฆาตกรรม ตำรวจพาเมฆาเข้ามาดูที่รถของเจ้าสัวที่จอดทิ้งไว้ ภายในรถมีศพของเจ้าสัวกับซ้อสองถูกยิงทิ้งและนอนตายคู่กันอยู่ที่เบาะหลัง โดยมีคนขับรถตายอยู่ที่นั่งคนขับด้วย ทันทีที่เมฆาเห็นศพ เขาก็ผงะแล้วเริ่มเล่นละครฉากสำคัญทันที
“พ่อ!..ไม่จริง..ไม่จริง!” เมฆาร้อง
เมฆาจะเข้าไปที่ศพแต่ตำรวจกันเขาออกมา เมฆาเล่นละครตีบทโศกน้ำตาไหลพราก
สันต์กับมิเชลพาเมฆาออกมาเพื่อจะกลับไปที่รถ แต่นักข่าวก็พากันกรูเข้ามาถ่ายรูปแล้วยิงคำถามไม่หยุด
“คุณเมฆาคะ..ตกลงยืนยันได้แล้วใช่มั้ยคะว่าศพที่พบในที่เกิดเหตุ..เป็นศพของเจ้าสัวกับภรรยาจริงๆ” นักข่าวถาม
“ครับ..ศพที่พบเป็นศพพ่อผมจริงๆ ไอ้คนที่ฆ่าพ่อผมมันอำมหิตโหดเหี้ยมเกินมนุษย์” เมฆาตอบ
“แล้วน้องสาวของคุณล่ะคะ..ได้ยินมาว่าตอนนี้หายตัวไป” นักข่าวถามต่อ
เมฆานิ่งไปและตีหน้าเศร้า
“ชั้นว่าเรื่องนี้พวกคุณไปถามเอาจากตำรวจดีกว่านะคะ” มิเชลว่า
“ไม่เป็นไรมิเชล..เท่าที่ผมคุยกับตำรวจ ผมคิดว่าตอนนี้น้องสาวของผม เธอคงจะตายแล้วครับ” เมฆาพูดน้ำตาคลอ
“แล้วพอทราบมั้ยคะว่าเป็นฝีมือใคร” นักข่าวถามต่อ
เมฆาหันไปมองที่กล้องสีหน้าจริงจัง
ขณะเดียวกัน เมลดากับกังฟูและบู๊ลิ้มยืนดูข่าวที่หน้าจอโทรทัศน์ในที่พักกังฟู
“เป็นการแก้แค้นของพวกแก๊งค์ลักพาตัวที่เคยมาจับตัวหลินหลินแล้วหนีรอดไปได้ พวกมันทนถูกตำรวจกดดันตามล่าไม่ไหว เลยย้อนมาฆ่าพ่อผมและจับตัวหลินหลินไปฆ่า” เสียงของเมฆาดังมาจากโทรทัศน์
“แล้วตอนนี้ศพหลินหลินอยู่ที่ไหนคะ” นักข่าวถาม
“ผมไม่รู้..แก๊งค์ของพวกมันส่งคนมาตีสนิทกับครอบครัวผม มันล่อลวงให้หลินหลินตายใจ แล้วพาตัวหลินหลินไปฆ่าทิ้ง ผู้หญิงคนนี้ใจอำมหิตเหี้ยมโหดมาก ผมไม่น่าไว้ใจให้หลินหลินอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้เลย”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ..คุณพอจะระบุได้มั้ย”
“เธอชื่อเมลดา เป็นครูสอนพิเศษของหลินหลินครับ”
เมฆาพูดทิ้งท้ายแค่นั้นมิเชลกับสันต์ก็พาเมฆาเดินผ่านพวกนักข่าวไปขึ้นรถ
เมลดาที่ดูข่าวอยู่ถึงกับอึ้ง หน้าเสีย สีหน้าเธออื้ออึง ตาพร่าเพราะน้ำตาที่คลอเบ้า หูอื้อเพราะสติที่ไม่อยู่กับตัว ที่เห็นเป็นภาพสุดท้ายก่อนหมดสติคือภาพกังฟูที่พยายามเขย่าเรียกสติเธอ แต่เธอก็วูบไปซะก่อน
“คุณเม! คุณเม!” กังฟูพยายามปลุกเมลดา
ขณะเดียวกัน ฮูหยินดูงิ้วจากทีวีไปเพลินๆ กรีดกราดพัดใส่หน้าเย็นๆ อยู่ที่คณะงิ้ว ส่วนเฮียเฉินนั่งหน้าเซ็งๆเพราะอยากดูอย่างอื่น
“เมียจ๋า..เฮียว่าเราเปลี่ยนไปดูข่าวสารบ้านเมืองบ้างดีมั้ยจ๊ะ เราจะได้รู้ว่าบ้านเมืองเราวันนี้มีอะไรบ้าง” เฮียเฉินว่า
ฮูหยินหางตามองไม่สนแล้วหันไปดูงิ้วต่อ เฮียเฉินนึกว่าเมียอนุญาตเลยเอารีโมทมากดเปลี่ยนช่องเป็นช่องข่าว
ภาพข่าวที่จอทีวีเป็นภาพผู้สื่อข่าวรายงานจากพื้นที่เกิดเหตุคดีเจ้าสัวถูกยิงตาย
“คดีสังหารหมู่ทั้งครอบครัวนี้ถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญ เพราะเกิดขึ้นกับเจ้าสัวเพ้ง นักธุรกิจระดับพันล้าน สำหรับประวัติของเจ้าสัวเพ้งนั้นชื่อจริงก็คือ นายชัยวัฒน์ เกริกไกร เกียรติไพศาล ส่วนภรรยาที่ถูกฆ่าตายด้วยเป็นภรรยาคนที่สอง เพราะเจ้าสัวเพ้งมีภรรยาที่อยู่กินกันมานานแล้วหนึ่งคน คือมาดามเหมย....” ผู้สื่อข่าวรายงานมาตามโทรทัศน์ แต่นักข่าวยังไม่ทันรายงานชื่อจบ ฮูหยินก็หยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องกลับไปดูงิ้วต่อทันที
“อ้าว..เมียจ๋าเปลี่ยนทำไมล่ะ เฮียกำลังอยากรู้เรื่องต่อเลย” เฮียเฉินว่า
“ข่าวพวกนี้ดูไปทำไม ไม่ประเทืองปัญญา ไม่ประเทืองอารมณ์ ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้พวกผู้ชายที่ริมีเมียหลายๆคนเนี่ย สุดท้ายก็ไม่ได้ตายดี เพราะในบ้านมันหาความสงบไม่เจอ” ฮูหยินว่า
“เฮียว่าเมียจ๋ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปนะ มันอาจจะเกิดจากเรื่องอื่นก็ได้” เฮียเฉินบอก
“เฮียไม่ต้องไปเข้าข้างเขาเลย นิสัยเฮียก็เหมือนพวกนี้แหละ ถ้าชั้นไม่เอาจริง ป่านนี้คงมีเมียสองเมียสามเมียสี่เต็มบ้านไปหมดแล้ว”
“โอ้ย..แค่เมียเดียวเฮียก็เหนื่อยจะแย่แล้ว”
“ใช่สิ..อยู่กับชั้นแล้วมันเหนื่อย เพราะชั้นมันเป็นพวกปากร้ายมือหนัก จะไปสู้นังคุณหนูอรชอรอ้อนแอ้นอย่างนังเหมยอิงของเฮียได้ยังไง” ฮูหยินดึงหูเฮียเฉินทันที
“โอ๊ย..เมียจ๋า..เรื่องเก่าสมัยส้นตึกกางเกงขาบานยังขุดเอามาเล่นงานเฮียได้อีกเหรอเนี่ย”
“จะเก่าขนาดไหนชั้นก็ยังจำฝังใจ”
“แต่เฮียไม่ได้มีอะไรกับเขาเลยนะ..เฮียแค่ชอบที่เขาสวย ชอบที่เขาเรียบร้อยเป็นกุลสตรีเฉยๆแค่นั้นเอง”
“เฮีย!” ฮูหยินน้อยใจ ปล่อยมือจากหูเฮียเฉินแล้วสะบัดหน้าเดินออกไปอย่างน้อยใจ
เฮียเฉินมองตามอย่างเซ็งๆ
ฮูหยินเดินกอดอกน้อยใจน้ำตาคลอเบ้าออกมา เฮียเฉินตามออกมาพยายามง้อเมียสุดฤทธิ์
“เมียจ๋า” เฮียเฉินยื่นหน้าเข้าทางขวา”
ฮูหยินสะบัดหน้าเชอะหลบซ้าย
“เมียสุดที่รัก” เฮียเฉินยื่นหน้าเข้าทางซ้าย
ฮูหยินสะบัดหน้าเชอะหลบขวา
“เมียจ๊ะ!”
ฮูหยินจะสะบัดหน้าเชอะหลบอีกเลยเข้าทางเฮียเฉินที่ยื่นหน้าดักรออยู่แล้ว แก้มฮูหยินเลยโดนจุ๊บหอมเต็มๆ
“เฮีย! ชั้นกำลังโกรธเฮียอยู่นะ” ฮูหยินว่า
“เฮียรู้ว่าเมียจ๋ากำลังโกรธ กำลังน้อยใจ เฮียมันก็ปากไม่ดีไปชมผู้หญิงอื่นต่อหน้าเมีย ปากแบบนี้สมควรโดนตบ” เฮียเฉินพูดแล้วตบหน้าตัวเองเพี้ยะๆ
“ตบหน้าตัวเอง มันไม่ช่วยทำให้เฮียเลิกปากเสียได้หรอก มันต้องชั้นเอง” ฮูหยินว่า
เฮียเฉินถอยห่างทันที แล้วทำปากหวานใส่ภรรยา “ไม่ต้องหรอกจ้ะเมียจ๋า เอาเป็นว่าเฮียสัญญาว่าต่อไปนี้เฮียจะไม่ชมผู้หญิงอื่นต่อหน้าเมียอีก เพราะเมียของเฮียน่ะดีที่สุดในสามโลก ให้เฮียตายแล้วไปเกิดใหม่อีกกี่ภพกี่ชาติเฮียก็ขอสาบานว่าเฮียจะตามหาเมียคนนี้ของเฮียให้เจอ”
“อย่ามาปากหวาน..ทำเป็นตามหาชั้นเลย” ฮูหยินว่า
“ไม่ได้ปากหวานแต่ตั้งใจจริง เจอหน้ากันชาติไหนจะจับมาปล้ำทำเมียมันทุกชาติไป” เฮียเฉินพูดพร้อมเข้าไปโอบเอวกอดรัดซุกไซร้ฮูหยินจนจั๊กเดียม
“เฮีย..ไม่เอา..อย่ามาทำอย่างนี้นะ..มันจั๊กจี๋ บ้าที่สุด..ไม่เอาแล้ว..ชั้นขี้เกียจคุยกับเฮียอีก คุยทีไรเปลืองตัวทุกที ชั้นไปตามบู๊ลิ้มกลับบ้านดีกว่า ดึกแล้วยังไปขลุกอยู่กับกังฟูอีก”
ฮูหยินเดินออกไป เฮียเฉินรีบตามเมียไปด้วย
“เดี๋ยวสิจ๊ะเมียจ๋า..รอเฮียด้วย”
ขณะเดียวกัน บู๊ลิ้มรออยู่ข้างนอก สักพักกังฟูก็เดินออกมา
“พี่เมเป็นยังไงบ้างศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มถาม
“ยังหมดสติไม่รู้สึกตัวเลยศิษย์พี่ คนหนึ่งก็อาการไม่ค่อยดี อีกคนก็ช็อคจนหมดสติ..เฮ้อ” กังฟูตอบ
“นี่มันเรื่องใหญ่มากแล้วนะศิษย์น้อง อยู่ๆพี่เมก็มากลายเป็นคนร้ายไปเนี่ยนะ”
“ตอนนี้คุณเมกลายเป็นแพะที่พวกนั้นวางแผนใส่ร้าย จะไปหาใครช่วยก็คงลำบาก”
“งั้นเราจะทำยังไงกันดีล่ะศิษย์น้อง..จะปล่อยให้พี่เมถูกใส่ร้ายแบบนี้เหรอ”
กังฟูหน้าเครียดครุ่นคิด ระหว่างนั้นฮูหยินกับเฮียเฉินเข้ามา
“บู๊ลิ้ม..นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมยังมาอยู่ที่นี่อีก” ฮูหยินว่า
“แม่ครับ..คือว่า” บู๊ลิ้มกำลังจะตอบ
กังฟูรีบสะกิดบู๊ลิ้มแล้วกระซิบเบา “อย่าบอกเรื่องคุณเมกับอาจารย์หญิงนะศิษย์พี่ ไม่งั้นอาจารย์หญิงต้องส่งคุณเมไปให้ตำรวจแน่”
บู๊ลิ้มพยักหน้ารับเข้าใจ
“ซุบซิบมีความลับอะไรกัน” ฮูหยินพูดขึ้น
“เอ่อ..เปล่าครับอาจารย์หญิง ไม่มีอะไรเลยครับ” กังฟูว่า
ฮูหยินจิกตามองอย่างสงสัย
“ศิษย์น้องวันนี้ศิษย์พี่ง่วงจังเลย ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกันนะ” บู๊ลิ้มทำเนียนหันไปชวนแม่กับพ่อกลับบ้าน แต่ฮูหยินยังจิกหน้าสงสัยกังฟูอยู่ตามสัญชาติญาณ
“เดี๋ยว!” ฮูหยินว่า
“มีอะไรเหรอจ๊ะเมียจ๋า”
ฮูหยินจ้องหน้ากังฟูเขม็ง พยายามจับผิด กังฟูเริ่มมีสีหน้าไม่ค่อยดี เหงื่อเริ่มผุด
“ชั้นได้กลิ่นตุๆเหมือนจะมีลับลมคมใน..ซึ่งแกปิดชั้นไม่ได้หรอกไอ้กังฟู”
ฮูหยินปรี่เข้าไปในที่พักกังฟูทันที กังฟูกับบู๊ลิ้มตกใจจนหน้าเสีย
ฮูหยินกำลังจะเข้าไปในที่พัก แต่กังฟูรีบมาขวางทางก่อนจะเข้าไปได้
“อย่าครับ! เข้าไปไม่ได้นะครับอาจารย์หญิง” กังฟูว่า
“กังฟู..หลบไป” ฮูหยินจิกหน้าอย่างเอาเรื่อง
“ข้างในนั้นไม่มีอะไรหรอกครับ” กังฟูส่ายหน้า
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมต้องมาขวาง”
“เอ่อคือ…”
“คือ..ข้างในมันรกมากน่ะครับแม่ ศิษย์น้องก็เลยไม่อยากให้แม่เข้าไปดู” บู๊ลิ้มว่า
“ถ้าเรื่องแค่นั้น..ไม่เห็นจำเป็นต้องไม่ให้เข้าไปเลยนี่บู๊ลิ้ม” เฮียเฉินเอ่ย
“แกต้องซ่อนอะไรไว้ข้างในนั้นแน่ๆ..บอกชั้นมาเดี๋ยวนี้นะกังฟู” ฮูหยินคาดคั้น
“เอ่อ..คือ..คือ..ผม”
กังฟูหน้าเสียมองหน้ากับบู๊ลิ้มอย่างใจหาย คิดในใจว่าเอาไงดี จนในที่สุดกังฟูก็ตัดสินใจ
“คือ..ผม..ผมพาผู้หญิงมานอนครับอาจารย์หญิง” กังฟูว่า
“ หา! ว่าไงนะ” ฮูหยินร้องอย่างตกใจ
“เฮ้ย..จริงเหรอไอ้กังฟู..” เฮียเฉินก็ตกใจด้วย แต่แล้วก็ตบบ่ายินดี
“ร้ายไม่ใช่เล่นนี่หว่า นึกว่าแกจะหงิมๆ ไม่เป็นเรื่องแบบนี้ซะอีก พยัคฆ์ซ่อนเขี้ยวนะเนี่ย” เฮียเฉินพูดต่อ
“เฮีย! พยัคฆ์ซ่อนเขี้ยวบ้าบออะไร ลูกชายเราอยู่กับกังฟูด้วยนะ แต่ยังพาผู้หญิงมานอนด้วยแบบนี้ ลูกเราก็เสียเด็กน่ะสิ” ฮูหยินว่า
“ผมไม่เสียเด็กหรอกครับแม่..ผมโตแล้วรู้ว่าอะไรเป็นอะไรดี” บู๊ลิ้มว่า
“บู๊ลิ้ม! แม่ไม่ตลกด้วยนะ” ฮูหยินว่า
บู๊ลิ้มจ๋อยไป ฮูหยินหันไปจิกหน้าเอาเรื่องกังฟู
“ผู้หญิงที่แกพามาด้วยเป็นใคร ขอชั้นดูหน้ามันหน่อยสิ ลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมถึงได้ใจแตกขนาดนี้”
กังฟูยังขวางฮูหยินไม่ให้เข้าไป “อย่าเข้าไปดูเลยครับอาจารย์หญิง..ผมขอร้องล่ะครับ”
“หลบไป”
“ไม่ครับ”
ฮูหยินจะผลักกังฟูแต่เฮียเฉินเข้ามาคว้ามือเอาไว้
“เมียจ๋า..อย่าทำอย่างนี้เลย เฮียขอคุยด้วยหน่อย” เฮียเฉินเอ่ย ก่อนจูงมือพาฮูหยินออกมาข้างนอก
“เฮียอย่ามาห้ามนะ..จะปล่อยให้กังฟูทำนิสัยเสียแบบนี้ต่อหน้าลูกเราได้ยังไง”
“เฮียรู้ว่าที่ไอ้กังฟูทำไปน่ะมันผิดเต็มประตู แต่เมียจ๋าจะบุกเข้าไปดูหน้าผู้หญิงของมันแบบนี้ เฮียไม่เห็นด้วย”
“เฮียไม่เห็นด้วยก็อยู่เฉยๆ ชั้นไปสั่งสอนเด็กเหลือขอพวกนี้เอง” ฮูหยินยังดื้อดึง
“ไม่เอาน่าเมียจ๋า..ไอ้กังฟูมันไม่ใช่เด็กนะ มันโตจนทำมาหาเลี้ยงตัวเอง เรียนก็จบแล้ว รับผิดชอบตัวเองได้ทุกอย่าง แล้วเราจะไปห้ามไม่ให้มันมีแฟนได้ยังไง” เฮียเฉินว่า
ฮูหยินชะงักไป เฮียเฉินพูดต่อ
“ถ้าเมียจ๋าเข้าไปด่ามันต่อหน้าผู้หญิง ก็เท่ากับทำให้มันเสียหน้า เห็นใจมันบ้างเถอะ..นะ”
“แต่มันไม่ควรทำแบบนี้ต่อหน้าบู๊ลิ้ม” ฮูหยินยังกอดอกอย่างไม่พอใจ
“บู๊ลิ้มมันก็เด็กผู้ชาย..อีกไม่กี่ปีก็โตเป็นหนุ่ม ก็ถือว่าเรียนรู้งานไปก่อน” เฮียเฉินว่า
“เฮีย!”
“เฮียล้อเล่น..ลูกเรามันไม่ใช่เด็กดื้อ พากลับไปอบรมสอนให้เข้าใจ แค่นี้ก็หมดห่วงแล้ว”
ฮูหยินนิ่งคิด แล้วหันไปมองกังฟูกับบู๊ลิ้มที่พากันตามออกมา ฮูหยินเข้าไปดึงบู๊ลิ้มออกห่างจากกังฟู
“วันๆเก่งแต่หาเรื่องให้อาจารย์ต้องผิดหวังในตัวเธอ ถ้ารู้ว่าเลี้ยงมาแล้วนิสัยแย่แบบนี้ ไม่รับมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะหรอก” ฮูหยินว่า
“ผมขอโทษครับอาจารย์หญิง..อาจารย์เฉิน”
กังฟูก้มหน้าสำนึกผิด ฮูหยินไม่สนใจคว้าตัวลูกชายพากลับไปด้วยกัน เฮียเฉินมองกังฟูด้วยสายตาตำหนิเช่นกัน ก่อนจะเดินตามออกไปด้วยอีกคน
ขณะเดียวกัน เมลดานอนไม่ได้สติอยู่ที่โซฟาในที่พักของกังฟู กังฟูเข้ามายืนมองแล้วถอนใจด้วยความเวทนาสงสาร ระหว่างนั้นเมลดาเริ่มมีอาการเพ้อมือไขว่คว้า
“พ่อ..พ่อจ๋า..พ่อ”
“คุณเม” กังฟูรีบยื่นมือไปจับมือเมลดาเอาไว้ แล้วบีบมือเธอให้รู้สึกผ่อนคลายจนเมลดาเริ่มสงบ
กังฟูยังกุมมือเธอเอาไว้เพราะเป็นห่วงกลัวจะเพ้ออีก เลยนั่งลงข้างๆ เธอแล้วกุมมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นด้วยความเป็นห่วง
“ผมไม่รู้ว่าถ้าคุณตื่นขึ้นมาแล้วคุณจะต้องเจอเรื่องร้ายๆอะไรอีกบ้าง แต่ผมบอกได้คำเดียว..ผมจะไม่ทิ้งคุณ..คุณเมลดา”
กังฟูนั่งเฝ้าเมลดาโดยที่ยังกุมมือเธอเอาไว้แน่น
เช้าวันใหม่ บู๊ลิ้มแอบย่องเข้ามาในห้องพักของเฮียหลออย่างเงียบเชียบ เห็นเฮียหลอกอดไหเหล้านอนกรนอยู่
“ศิษย์น้อง..เข้ามาได้แล้ว” บู๊ลิ้มให้สัญญาณ
กังฟูค่อยๆย่องเข้ามา ทั้งสองพากันตีนแมวสุดฤทธิ์ แล้วไปดูตามตู้ที่เฮียหลอหมักเหล้าเอาไว้ในไห
“ในนี้แหละศิษย์น้อง ลองค้นดู ศิษย์พี่เคยเห็นอาจารย์หลอเก็บห่อยาจีนเอาไว้ เผื่อเราจะเจอยาที่เอาไปช่วยรักษาหลินหลินได้บ้าง” บู๊ลิ้มบอก
“งั้นมาช่วยกันหาเถอะ” กังฟูว่า
กังฟูกับบู๊ลิ้มช่วยกันค้นดูตามตู้ตามชั้นได้ครู่ อยู่ๆเฮียหลอก็ลุกเด้งพรวดขึ้นมาตาปรือๆ กังฟูกับบู๊ลิ้มเหวอ
เฮียหลอลุกขึ้นมาเพราะละเมอปวดฉี่แถมยังเดินมาทำท่าปลดกางเกงจะฉี่ตรงที่บู๊ลิ้มยืนอยู่อีก
“ศิษย์น้อง..ศิษย์น้อง..ช่วยศิษย์พี่ด้วย” บู๊ลิ้มพูด
กังฟูหันรีหันขวาง ต้องรีบทำอะไรสักอย่างไม่อย่างนั้นบู๊ลิ้มโดนอาจารย์หลอฉี่รดใส่หัวแน่ จนกังฟูหันไปเห็นไหเหล้าเปล่าอยู่ใกล้ๆเลยรีบคว้ามาแล้วไปวางทันเฮียหลอฉี่
เสียงฉี่เฮียหลอดังอย่างกับเสียงน้ำตก กังฟูกับบู๊ลิ้มต้องเอามืออุดจมูกเบือนหน้ารอจนเฮียหลอละเมอฉี่เสร็จ เมื่อเฮียหลอฉี่เสร็จก็ละเมอไปนอนที่เดิม กังฟูกับบู๊ลิ้มเป่าปากโล่งอก
“หาต่อเถอะศิษย์พี่” กังฟูเอ่ย
ขณะเดียวกัน ในที่พักกังฟู เมลดาสะดุ้งตัวตื่นขึ้น
“พ่อ!”
เมลดาเหงื่อแตกเต็มหน้าเพราะฝันร้าย พอตั้งสติได้ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาในที่พักของกังฟู
“หลินหลิน” เมลดาคิดเป็นห่วงหลินหลินเลยรีบลุกจากที่แล้วไปดูหลินหลินที่ยังนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ เห็นยังปลอดภัยดีก็โล่งอก ก่อนจะเหลือบไปเห็นโน้ตของกังฟูเขียนติดไว้ใกล้ๆกระจก
“ถ้าคุณตื่นขึ้นมาแล้ว อย่าไปไหนเด็ดขาด ผมกับบู๊ลิ้มกำลังหาทางช่วยหลินหลินอยู่ แล้วจะรีบกลับมา”
“นายกังฟู” เมลดาเปรยชื่อกังฟูออกมา สีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง
กังฟูกับบู๊ลิ้มช่วยกันหาห่อยาจีนจนในที่สุดก็เจอห่อยาที่เขียนสรรพคุณไว้
“เจอแล้วศิษย์น้อง..ยาห่อนี้น่าจะใช้ได้นะ สรรพคุณครอบจักรวาลเลย” บู๊ลิ้มว่า
กังฟูเข้ามาช่วยดู
“รีบลองเอาไปให้หลินหลินกินเถอะ” กังฟูบอก
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะออกไป เฮียหลอก็เด้งพรวดลุกขึ้นยืนตาปรือๆ อีกครั้ง กังฟูกับบู๊ลิ้มชะงัก ยืนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เฮียหลอเดินละเมอมามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ
“ศิษย์น้อง..เมื่อกี้อาจารย์ละเมอฉิ้งฉ่อง..หวังว่าคราวนี้คงไม่ละเมอ..อี๋...นะ” บู๊ลิ้มเอ่ย
“ไม่ใช่หรอกศิษย์พี่..ท่าทางแบบนี้ละเมอหาเหล้ากิน” กังฟูว่า
ใช่อย่างที่กังฟูคิดไว้เป๊ะ อาจารย์หลอตาปรือมือควานหาไหเหล้าตามชั้นตามตู้ แต่เหล้าหมดไหไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ จนอาจารย์หลอเข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้บู๊ลิ้มอีก
“ศิษย์น้อง..ทำอะไรเข้าสักอย่างเร็ว..หาไหเหล้าให้อาจารย์ด่วน” บู๊ลิ้มว่า
กังฟูหันรีหันขวาง แล้วรีบคว้าไหที่อาจารย์หลอเพิ่งจะฉี่ใส่ไปเมื่อครู่ เขายื่นให้อาจารย์หลอละเมอรับไป
“เอาไหฉี่ไปกินแทนเหล้าก่อนนะครับอาจารย์” เฮียหลอรับไหฉี่ไปแล้วยกกระดกอย่างเอร็ดอร่อย
กังฟูกับบู๊ลิ้มแทบจะอาเจียนแต่รีบปิดปาก แล้ววิ่งออกไปทันที
กังฟูกับบู๊ลิ้มพากันกลับเข้ามาที่ทีี่พักของกังฟู
“เดี๋ยวศิษย์น้องจะเอายาของอาจารย์ไปต้ม ศิษย์พี่เข้าไปดูหลินหลินก่อนเถอะ” กังฟูว่า
บู๊ลิ้มพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปข้างในได้ครู่ก็วิ่งออกมาพร้อมกระดาษโน้ต
“ศิษย์น้อง..ศิษย์น้อง..แย่แล้ว..ดูนี่” บู๊ลิ้มเรียก
กังฟูรับกระดาษโน้ตมาดู ในกระดาษโน้ตเขียนไว้ว่า
“ขอบใจมากนะนายกังฟูที่ช่วยดูแลชั้น ชั้นมีธุระต้องไปจัดการด่วน ฝากดูแลหลินหลินให้ด้วย แล้วชั้นจะรีบกลับมา”
“คุณเม! แย่แล้ว” กังฟูอุทานด้วยความตกใจ
อ่านต่อหน้าที่ 3
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 3 (ต่อ)
ผู้คนเดินไปเดินมาดูไม่มีอะไรผิดปกติอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลที่ชนะพักรักษาตัวอยู่ แต่ในจำนวนคนเดินไปมาเหล่านั้นมีตำรวจนอกเครื่องแบบปะปนอยู่ด้วย ตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งสวมเสื้อยืดมีแจ็คเก็ตสีดำ กางเกงยีนส์ สวมแว่นดำกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ แต่สายตากวาดไปที่ผู้คนที่เดินไปมา สักพักเขาก็ยกวอล์กกี้ทอล์กกี้ขึ้นมาพูด
“แมว1 ประตูใหญ่เป็นไงบ้าง เปลี่ยน”
“ปกติครับ เปลี่ยน” ปลายสายตอบ
“แมว2 ประตูข้างรายงาน เปลี่ยน”
“ปกติครับ เปลี่ยน”
“แมว3 อาคารจอดรถเป็นไงบ้าง เปลี่ยน”
“ปกติครับ เปลี่ยน”
“ถ้าหนูโผล่มา อย่าเพิ่งลงมือ ย้ำ มีข้อมูลว่าหนูตัวนี้ว่องไวและดุมาก ให้รีบรายงานและรอกำลังสมทบ เปลี่ยน”
เมลดาลงจากแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาล เธอเดินผ่านแผงพวงมาลัยกำลังตรงไปที่ประตูโรงพยาบาล
“ซื้อมาลัยไหว้พระมั้ยคะ ขอพรให้คนไข้หายเร็วๆได้นะคะ” แม่ค้าบอก
เมลดาได้ยินก็เปลี่ยนใจเดินกลับมาแล้วตรงไปที่แผงพวงมาลัย ผ่านแผงหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวพาดหัว “ ตามล่าครูสอนพิเศษ ฆาตกรฆ่ายกครัว” มีรูปเมลดารูปเบ้อเริ่ม ชัดเจน คนขาย นสพ.มองตามเมลดาไป
“หน้าคุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนวะ”
เมลดาซื้อพวงมาลัยเสร็จก็เดินผ่านแผงหนังสือพิมพ์อีกครั้ง แต่เมลดาไม่ได้สังเกตหนังสือพิมพ์เลย เมลดาเดินผ่านไปสักพัก คนขายก็จำได้
“เอ๊ะ หรือว่า...ในหนังสือพิมพ์วันนี้นี่หว่า...”
คนขายรีบลุกมาจะหยิบหนังสือพิมพ์มาดู แต่ผู้ชายคนหนึ่งท่าทางรีบร้อนเดินชนตั้งหนังสือพิมพ์นั้นล้ม
“ขอโทษครับเฮีย อ่ะ ซื้อเล่มนึงอ่ะ”
ชายคนนนั้นยกมือไหว้ขอโทษก่อนจะวางเหรียญสิบให้
“ไม่ต้องทอน”
คนขายหยิบหนังสือพิมพ์แล้วเดินจากไปอย่างเร่งรีบปล่อยให้คนขายเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมา โดยลืมเรื่องผู้หญิงไปเลย คนขายเก็บไปบ่นไป
“รีบไปไหนวะไอ้บ้า”
เมลดาเดินถือพวงมาลัยมาที่หอพระ เธอจุดธูปที่จัดไว้ให้เพื่อไหว้พระ ระหว่างนั้น ตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งที่กำลังมองคนที่เดินไปเดินมาอยู่ก็เห็นเมลดาเข้า เขารีบหันหลบแล้วยกปกเสื้อขึ้นบังเพื่อพูดผ่านวอล์กี้ทอล์กกี้
“แมว1 พบหนูแล้ว กำลังไหว้พระอยู่ เปลี่ยน”
“ดูให้แน่ใจ เปลี่ยน” ปลายสายตอบ
“หนูตัวที่ต้องการแน่นอน เปลี่ยน”
ตำรวจที่นั่งอยู่ที่โถงล็อบบี้ลุกขึ้นทันที
“แมวทุกตัว หนูอยู่ที่หอพระ จับแมวให้เงียบที่สุด ย้ำ หนูตัวนี้ดุและไว อย่าประมาท ลงมือได้ เปลี่ยน”
ตำรวจล้วงมือเข้าไปในแจ็กเก็ตก่อนจะชักปืนออกมาถือไว้ในมือโดยใช้แจ็กเก็ตบังไว้ เขาเดินออกประตูอาคารเพื่อไปข้างนอก
เมลดากำลังไหว้พระอยู่ ตำรวจเดินปะปนกับคนทั่วไปเพื่อเข้ามาหาเธอ อีกด้านหนึ่งตำรวจที่นั่งในล็อบบี้ก็เดินมาหาเธอเช่นกัน โดยที่เมลดาไม่รู้ตัวเลยเพราะว่าเธอกำลังมีสมาธิกับการไหว้พระ
“ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยช่วยบันดาลให้คุณพ่อของฉันปลอดภัยด้วยเถิดนะคะ”
เมลดาปักธูป ถวายพวงมาลัย ทันใดนั้น ผู้ชายคนที่ซื้อหนังสือพิมพ์ไปซึ่งก็คือ กังฟู ก็เดินมาหาเธอ
“คุณเม คุณต้องรีบหนีไปที่อื่นก่อน” กังฟูบอก
เมลดาหันมาเห็น “กังฟู...”
“อย่าเพิ่งพูดมาก”
กังฟูยื่นหนังสือพิมพ์ให้เมลดาดู เมลดาเห็นรูปตัวเองพร้อมพาดหัวก็ตกใจ
“ฝีมือเมฆาแน่ๆ” เมลดาบอก
เมลดาเห็นตำรวจที่อยู่เลยออกไปกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ
“ทำไงดี ตำรวจเห็นฉันแล้ว”
กังฟูจะหันไปดู เมลดารีบดึงตัวเขาเอาไว้
“อย่าหันไปดู” เมลดาบอก
“คุณแน่ใจเหรอว่าตำรวจ” กังฟูถาม
“แน่ใจสิ เขามองมาที่ฉันแล้วเขาก็ใส่เครื่องแบบของตำรวจนอกเครื่องแบบด้วย”
“งั้นผมจัดการเอง คุณรีบฉวยโอกาสหนีไปเลยนะ” กังฟูบอก
“นายจะทำอะไรของนาย” เมลดาถาม
“ผมจะแกล้งเป็นคนบ้าอาละวาดให้คนแตกตื่นกัน”
“ก็ดี แต่ระวังตัวด้วยนะ คนอื่นอาจจะนึกว่านายเมายาบ้า เลยเข้ามารุมกระทืบซะ”
กังฟูกำลังทึ้งผมให้ยุ่งพอได้ยินคำเตือนเขาก็ชะงัก
“เอ่อ แผลเก่ายังไม่หายดีเลย ถ้าโดนอีกคงตายแน่ๆ”
กังฟูมองซ้ายมองขวาแล้วก็เห็นว่าในหนังสือพิมพ์ที่เขาซื้อมามีข่าวรองที่เขียนว่า “ผวาไข้หวัดจำปีหด สธ.เตือนอย่าเชื่อข่าวลือ”
กังฟูดึงผมเมลดาออกมาสองเส้น เมลดาร้องโอ๊ย
“ทำอะไรน่ะ” เมลดาถาม
กังฟูเอาเส้นผมแยงรูจมูกตัวเองเส้นละรูแล้วปั่นไปมา แป๊บเดียวน้ำหูน้ำตาของเขาก็ไหล เมลดามองอย่างงงๆ กังฟูจามเสียงดังลั่นจนทุกคนหันมามอง
“ขอโทษครับ ทุกคนหลบครับ ผมเป็นไข้หวัดจำปีหดครับ” กังฟูบอก
ทุกคนตกใจ กังฟูหน้าแดงก่ำน้ำมูกน้ำตานองหน้าดูน่าเชื่อมาก
“ไข้หวัดจำปีหด!!” ใครคนหนึ่งร้องออกมา
กังฟูสั่งน้ำมูกพรืดแล้วสะบัดออกไป คนแถวนั้นกระโดดหนีกันยกใหญ่โดยเฉพาะพวกผู้ชาย
“ครับ กำลังจะมาหาหมอด่วนเลย เขาบอกไม่มียารักษาด้วย...ฮ้าด”
กังฟูร้องฮ้าด คนผวาเตรียมเผ่นแต่กังฟูยังไม่ชิ้ว คนโล่งอก กังฟูยิ้มให้แล้วจู่ๆ ก็ชิ่วเสียงดังลั่น แถมจามต่ออีกเป็นชุด
“ชิ้ว!...ฮัดชิ้วๆๆ”
กังฟูจามสะบัดไปรอบทิศ ชาวบ้านที่ไหว้พระและเดินไปมาแตกฮือออกห่างจากกังฟู
“เฮ้ย หลบเร็ว มันเป็นไข้หวัดจำปีหด” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกน
ขณะที่ชาวบ้านกำลังวิ่งหนีกันอลหม่าน ตำรวจนอกเครื่องแบบก็พยายามมองหาเมลดา แต่เมลดาหายปะปนไปกับฝูงชนอย่างรวดเร็ว
“หนูหนีไปได้แล้ว รีบตามหา”
กังฟูเดินมาจามรดตำรวจ ตำรวจไม่สนใจผลักกังฟูไปไกลๆแล้วก็วิ่งพล่านมองหาเมลดา กังฟูมองด้วยความเป็นห่วงเพราะกลัวเมลดาจะโดนจับได้
ชนะนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงผู้ป่วย เนตรนภาเฝ้าอยู่ข้างๆ สักพักก็มีเสียงเคาะประตู แม่บ้านทำความสะอาดใส่ยูนิฟอร์ม มีผ้าคาด มีหมวก พร้อมไม้กวาดของโรงพยาบาลเดินเข้ามา
“ขออนุญาตทำความสะอาดนะคะ”
“เชิญค่ะ” เนตรนภาบอก
แม่บ้านปิดประตูแล้วเปิดหน้ากากออกทำให้เห็นว่าเป็นเมลดา เนตรนภาตกใจ
“เม”
เมลดารีบเอานิ้วทาบริมฝีปากให้เงียบ เนตรนภาเข้าใจก็รีบเงียบทันที
“เม เธอไม่ได้ฆ่าคนพวกนั้นใช่มั้ย” เนตรนภาถาม
“ฉันถูกใส่ร้าย” เมลดาบอก
“ฉันก็ว่างั้นแหละ เธอไปมีเรื่องอะไรกับใคร ทำไมเขาต้องใส่ร้ายเธอ” เนตรนภาถาม
“เรื่องนั้นว่าทีหลังเถอะ พ่อเป็นไงบ้าง” เมลดาถามกลับ
เนตรนภายิ้มออก
“หมอบอกการผ่าตัดประสบความสำเร็จ อาการของพ่อน่าจะค่อยๆดีขึ้น หมอเขาบอกพ่อน่ะกำลังใจดีมาก”
เมลดาดีใจจึงกอดเนตรนภาแบบลืมตัว เนตรนภาอึ้งเพราะคิดไม่ถึง
“ขอให้พ่อหายดีนะ” เมลดาอวยพร
“เอ่อ จ้ะ แน่นอน” เนตรนภาบอก
แล้วเมลดาก็ได้สติจึงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะถอยห่างจากเนตรนภา เนตรนภามีท่าทางเก้อเขิน เมลดาคุกเข่าข้างๆชนะก่อนจะจับมือชนะมาแนบแก้ม
“พ่อ...หายเร็วๆนะคะ” เมลดาพูด
เมลดาวางมือชนะลงที่เดิมแล้วหันมาหาเนตรนภาด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม
“ฉันต้องรีบไปแล้ว ดูแลพ่อด้วยนะ”
เนตรนภาพูดขึ้น “เม...เรื่องสร้อยน่ะ”
“ฉันไม่อยากพูดถึงมันแล้วก็ไม่มีเวลาฟังด้วย” เมลดาบอก
เมลดาเดินออกไป
เนตรนภามองตาม “เม...”
ณ ร้านหรูที่มีเพียงจางซื่อกับเหมยอิงนั่งอยู่เพียงสองคน จางซื่อนั่งอยู่ที่ริมกระจกโดยกำลังมองวิวกรุงเทพจากชั้นที่สูงมาก
“กรุงเทพ นี่เหรอคือที่ที่เธอหลบซ่อนฉันมากว่ายี่สิบปี” จางซื่อว่า
จางซื่อหันมา เหมยอิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้โดยไม่ตอบอะไร
“ไม่เอาน่าเหมยอิง ยังไงเราก็คือผัวเมียกันนะ เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว เธอยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ”
“แกฆ่าพี่ชายฉัน” เหมยอิงว่า
“เฮ้อ ถ้าไม่ปล่อยเรื่องเมื่อวานให้ผ่านไป เราจะไม่มีความสุขกับวันนี้นะ”
“ถ้าแกปล่อยเรื่องอดีตให้ผ่านไป งั้นก็ปล่อยฉันไปซะ เพราะวันนี้ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับแกแล้ว”
“เหมยอิง ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ฉันคิดถึงเธอทุกวันนะ”
เหมยอิงแค่นหัวเราะ
“คิดถึงฉันเหรอ อย่าโกหกเลยจางซื่อ แกฆ่าพี่ฉันได้ฉันก็หมดประโยชน์กับแกแล้ว ฉันรู้ว่าแกไม่ได้คิดถึงฉันหรอก แกคิดถึงอีกคนมากกว่า...ฉันพูดผิดสินะ แกไม่ได้คิดถึงเขาหรอก แกกลัวเขามากกว่า”
จางซื่อมองเหมยอิงด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เขาอยู่ที่ไหน” จางซื่อถาม
เหมยอิงหลับตาลงแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
“เขาตายแล้ว” เหมยอิงบอก
“ตายเมื่อไหร่ ตายยังไง” จางซื่อถามต่อ
“ตอนที่ฉันพาเขาหนีออกจากฮ่องกง การเดินทางลำบากมาก เขาไม่สบาย มาถึงกรุงเทพฉันก็ไม่มีเงิน ไม่มีญาติ กว่าจะพาเขาไปหาหมอได้มันก็สายเกินไป”
จางซื่อเขม้นมองเหมยอิง
“อย่าโกหกฉันนะเหมยอิง” จางซื่อว่า
“ถ้าเขายังไม่ตาย ฉันจะเลี้ยงดูเขาให้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อแก้แค้นให้พ่อของเขา..ฉันคงไม่แต่งงานใหม่แบบนี้หรอก”
จางซื่อคิดตามพลางมองเหมยอิงแล้วก็ตัดสินใจเชื่อ จางซื่อยิ้มอย่างปลอดโปร่งก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่น
“ขอบใจเธอมากเหมยอิง ฉันสบายใจที่สุด ฮ่าๆๆ สิ่งที่ฉันกลัวมาตลอดยี่สิบปีมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว ฮ่าๆๆ”
เมฆาอยู่ที่ห้องทำงาน โดยมีมิเชลนั่งอยู่ใกล้ๆ โทรศัพท์บนโต๊ะดัง เมฆารับสาย
“สวัสดีครับ”
จางซื่อโทรมาจากห้องอาหาร เขากำลังนั่งอย่างสบายใจพร้อมกับดูวิวกรุงเทพฯไปด้วย อาเฟยยืนอยู่ด้านหลัง
“ฉันเองเมฆา” จางซื่อพูด
“เป็นไงบ้างครับพ่อ เรื่องที่พ่อบอกว่าอยากรู้น่ะครับ” เมฆาถาม
“แม่แกตอบฉันหมดแล้ว แล้วฉันก็สบายใจมากด้วย” จางซื่อบอก
“แม่ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ” เมฆาถาม
“วางใจเถอะ ฉันไม่ทำอะไรแม่แกหรอก ฉันหมดธุระกับเขาแล้ว เดี๋ยวจะให้คนไปส่งเขาที่บ้าน”
เมฆาโล่งอก
จางซื่อพูดต่อ “ตอนนี้ฉันกำลังนั่งดูวิวกรุงเทพอยู่”
“กรุงเทพสวยไหมครับ” เมฆาถาม
“สวยมาก ฉันดีใจที่ลูกชายของฉันกำลังจะได้ครอบครองเมืองเมืองนี้”
“ขอบคุณครับ”
“ฉันจะกลับฮ่องกงแล้ว จะให้อาเฟยอยู่ช่วยแกด้วยไหม” จางซื่อถาม
เมฆามองมิเชล
“ไม่จำเป็นครับ มิเชลคนเดียวก็พอแล้วครับ”
จางซื่อเหลือบมองอาเฟย อาเฟยยืนเฉยไม่แสดงปฏิกิริยาใดใด
“วางใจเถอะครับ กรุงเทพจะเป็นของเราแน่ๆ” เมฆาพูด
จางซื่อหัวเราะก่อนจะวางสาย
“อาจารย์แน่ใจเหรอครับ มิเชลจะช่วยทางนี้ได้” อาเฟยถาม
“มิเชลยังไม่เก่งเท่าแก เพราะฉะนั้น ฉันต้องฝึกเขาให้เก่งเท่าแก”
“งั้นผมจะฝึกตัวเองให้เก่งขึ้นกว่าตอนนี้” อาเฟยบอก
“ฉันก็จะมีลูกศิษย์ที่เก่งขึ้นสองคน”
จางซื่อยิ้มพอใจ
เมฆาพูดกับมิเชล
“พ่อเธอให้ฉันยืมตัวอาเฟย แต่ฉันปฏิเสธไป”
“ขอบคุณ” มิเชลบอก
“ดูเธอสองคนไม่ค่อยถูกกันนะ” เมฆาว่า
“ใช่ เราเกลียดกัน อาเฟยเป็นศิษย์พี่ของฉัน มันเก่งกว่า ฉลาดกว่า และเลวกว่า”
“ไอ้เล็บยาวนั่นเก่งกว่าคุณเหรอ” เมฆาถาม
“ใช่ แต่สักวันฉันจะต้องเอาชนะมัน เพราะฉะนั้นฉันจะช่วยคุณทำงานที่นี่ให้สำเร็จให้ได้”
“ดี เพราะถ้าไม่ได้ ไม่ใช่แค่เธอ พ่อก็จะดูถูกฉันไปด้วย”
โทรศัพท์ของเมฆาดัง เมฆารับสาย
“สวัสดีครับ...”
เมฆาฟังแล้วก็ทำหน้าเครียดแต่ไม่พูดอะไร สักครู่เขาก็วางสาย
“ตำรวจยังจับตัวเมลดาไม่ได้” เมฆาบอก
มิเชลหน้าเครียดไปด้วย
“มันเก่งกว่าที่คิด เธอต้องไปจับเมลดามาให้ได้” เมฆาสั่ง
“เมลดาสำคัญยังไง” มิเชลถาม
เมฆาตบโต๊ะ
“อย่าเซ้าซี้ได้มั้ย ฉันสั่งก็ทำ...”
เมฆาตะคอกสั่งมิเชล แต่ไม่ทันครบประโยค มิเชลก็เตะตัดขาเมฆาจนล้มกลิ้ง มิเชลตามลงมานั่งคุกเข่าคร่อมแล้วใช้กรงเล็บจ่ออยู่ตรงหน้าเมฆา
“อย่าคิดว่าได้ฉันแล้ว แล้วจะเป็นเจ้านายฉันได้นะ” มิเชลว่า
“ขอโทษ ฉันหงุดหงิดไปหน่อย ... ฉันอยากแน่ใจว่าหลินหลินตายรึยัง” เมฆาบอก
“บอกแล้วไงว่าหลินหลินโดนฝ่ามือฉันไปเต็มๆแบบนั้น ไม่มีทางรอดหรอก”
“การอยู่หรือตายของหลินหลินสำคัญกับการอยู่หรือตายของฉัน และของเธอด้วยเพราะฉะนั้น เราต้องแน่ใจว่าหลินหลินตายแล้ว”
มิเชลมองหน้าเมฆาพลางไตร่ตรองคำพูดของเขาแล้วก็เห็นด้วยจึงดึงมือเขาแล้วลุกขึ้นพร้อมทั้งฉุดเมฆาลุกขึ้นตาม
“ตกลง ฉันจะจับตัวเมลดากับหลินหลินมาให้คุณ” มิเชลบอก
“เธอมีวิธีเหรอ” เมฆาถาม
“ฉันบอกว่าอาเฟยเลวกว่าฉัน แต่ไม่ได้บอกว่าฉันไม่เลว”
มิเชลหัวเราะเหี้ยมๆ
เมลดากลับเข้ามาในห้องกังฟูก็เจอกังฟูและหลินหลินยังนอนอยู่
“หลินหลินเป็นไงบ้าง” เมลดาถาม
“ยังไม่ฟื้นเลยครับ ผมให้ยาของเฮียหลอไปตั้งนานแล้ว” บู๊ลิ้มบอก
เมลดาเรียก “หลินหลิน...”
เมลดาเข้าไปนั่งข้างๆ แล้วจับมือหลินหลินก่อนจะหันมาหากังฟู
“ถ้าหลินหลินยังไม่ดีขึ้น นายพาหลินหลินไปโรงพยาบาลได้ไหม” เมลดาถาม
“ไอ้เรื่องนั้นไม่มีปัญหา แต่ว่า...มันเสี่ยงนะ” กังฟูว่า
“ดีกว่าปล่อยให้หลินหลินแย่ลงไปเรื่อยๆ” เมลดาบอก
เมลดาจับมือหลินหลินไว้แน่นเหมือนจะถ่ายทอดพลังชีวิตไปให้
กังฟูเข้ามาในห้องครัวด้วยท่าทางที่มีพิรุธมาก เขามองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก พอเห็นว่าปลอดคนกังฟูก็รีบเปิดประตูตู้กับข้าว
“มีทั้งไข่ต้ม ทั้งไส้กรอก เหมาะเลย ซ่อนง่ายหน่อย”
กังฟูหยิบไข่ต้มออกมาหลายลูกรวมทั้งไส้กรอกแล้วเอาทั้งหมดมาใส่ชายเสื้อก่อนจะปิดประตูตู้ แล้วเดินหอบของกินออกจากห้องครัวก็มาเจอฮูหยินพอดี กังฟูรีบหันหลังให้ทันที
“ทำอะไรน่ะกังฟู” ฮูหยินถาม
“ไม่มีอะไรครับ” กังฟูบอก
“แล้วทำไมต้องหันหลังให้อั๊ว หันมานี่ซิ”
กังฟูนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาในสภาพชายเสื้อปกติไม่มีอะไร แต่แล้วฮูหยินก็ตกใจ เมื่อเห็นกังฟูมีแก้มที่ป่องมากๆ
“หน้าลื้อเป็นอะไร ทำไมมันบวมอย่างงี้”
“เอ่อ...อั๊วเอ็นอางอูม(อั๊วเป็นคางทูม)” กังฟูตอบ
“คางทูม อั้ยหยา ตามมา เดี๋ยวอั๊วเขียนเสือให้”
“อั้ยเอ็นไอ เอี๋ยวอ็อ๋าย(ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย)”
“อั๊วเอี๋ยนเอ๋อใอ้อ๋ายเอ็วอว่า ...เอ๊ย ไม่ใช่ อั๊วไม่ได้เป็นซะหน่อย อั๊วเขียนเสือให้หายเร็วกว่า” ฮูหยินว่า
กังฟูส่ายหน้า
ฮูหยินรำคาญ “อ่ะ ตามใจโว้ย”
กังฟูยิ้มให้ทำให้ไส้กรอกหลุดออกมาครึ่งท่อน แต่ฮูหยินหันกลับไปแล้ว กังฟูโล่งอกก่อนจะรีบเดินหนี
กังฟูเอาไส้กรอกกับไข่ต้มออกจากปากแล้วล้างน้ำก๊อกก่อนจะใส่จานชาม
เมลดานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว สักพักก็มีเสียงกุกกักดังขึ้น เมลดารีบเช็ดน้ำตาก่อนจะเห็นกังฟูถือถาดใส่ชามข้าว จานกับน้ำดื่มปีนขึ้นมาบนหลังคา
“นายปีนตามมาทำไม” เมลดาถาม
“เอาข้าวขึ้นมาให้กินครับ” กังฟูบอก
“ฉันยังไม่หิว”
“หิวไม่หิวก็ต้องกิน...กินไปกินมาเดี๋ยวก็หิวเองแหละ เชื่อผมเถอะ”
เมลดาพยักหน้าเพราะรู้สึกเกรงใจกังฟู
“โอเค งั้นอีกสักพักฉันจะกิน”
“ตามสบาย ผมไปก่อนนะ ผมเดาว่าคุณคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”
“นายเดาใจฉันถูก ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เกิดเรื่องราวมากมายกับฉันจนฉันสับสนไปหมด แฟนฉันทรยศฉัน พ่อฉันเข้าโรงพยาบาล หลินหลินโดนทำร้าย ฉันกลายเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ฉันทั้งเศร้าทั้งโกรธทั้งเครียดจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
กังฟูกำลังจะไป พอได้ยินเมลดาพูดแบบนั้นก็เปลี่ยนใจหันกลับมาแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง
“พวกเราเคยเล่นงิ้วเรื่องหนึ่ง นางเอกของเรื่องเจอเหตุการณ์คล้ายๆคุณ”
เมลดาถามอย่างมีความหวัง “แล้วเค้าทำยังไง”
“ก็ฆ่าตัวตายสิครับ ถามได้ เจออย่างนี้ให้ทำอะไร”
“จะบอกให้ฉันฆ่าตัวตายเหรอ” เมลดาว่า “จะบอกให้ว่าฉันก็คิดๆอยู่เหมือนกันนะ”
“คุณยังฟังไม่จบ...พอเค้าฆ่าตัวตายกลายเป็นผีแล้วก็โดนเงี่ยมล้ออ๋องตำหนิ”
“ใครกันเงี่ยมล้ออ๋อง”
“ยมบาลไงครับ เงี่ยมล้ออ๋องก็ด่านางเอกเช็ดเม็ด จนนางเอกเลิกฟูมฟาย เงี่ยมล้ออ๋องจึงโยนด้ายให้เป็นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง บอกให้นางเอกแกะ นางเอกก็ค่อยๆแกะทีละปมๆ จนหมด เงี่ยมล้ออ๋องก็บอกชีวิตคนก็แบบนี้ มีปมก็ค่อยๆแกะ อย่าด่วนดึงจนด้ายขาด จนนางเอกเข้าใจเลยได้คืนชีพมาแก้ปัญหาชีวิต”
“จะบอกให้ฉันทำตามที่เงี่ยมล้ออ๋องสอนเหรอ”
“ทำนองนั้น จะเริ่มต้นด้วยการให้ผมด่าคุณเช็ดเม็ดก่อนก็ได้นะ”
“ฉันไม่ได้ฟูมฟายขนาดนั้นย่ะ”
“แล้วแต่ครับ ถ้าอยากให้ด่าเมื่อไหร่ก็บอกได้”
“ย่ะ”
กังฟูเห็นเมลดาเริ่มอารมณ์ดีขึ้นก็ยิ้มปลอบ
“ปัญหาชีวิตก็เหมือนปมเชือก ค่อยๆแกะทีละปมนะครับ” กังฟูบอก
“อื้อ เข้าใจแล้ว” เมลดาบอก
กังฟูยิ้มเล็กน้อยก่อนจะวางถาดอาหารข้างๆเมลดา
“กินเสร็จแล้วบอกละกัน เดี๋ยวขึ้นมาเก็บจานชามให้”
“กังฟู...ขอบคุณมากนะ”
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอบคุณก็ได้”
“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอก ที่นายช่วยฉันที่หน้าโรงพยาบาลด้วยไง ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายเลย ขอบคุณจริงๆนะ”
“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นผมไม่ปฏิเสธคำขอบคุณหรอกครับ รู้มั้ยไอ้การจามติดกันเป็นปืนกลแบบนั้นน่ะมันยากนะ ผมต้องใช้ลมปราณสุริยันขั้นที่เก้าเชียวนะ”
เมลดาอดหัวเราะไม่ได้ “ขี้โม้”
“เออเดะ”
กังฟูยิ้มให้แล้วปีนลงไป เมลดามองตามกังฟูจนลับตาแล้วก็หยิบข้าวมาตักกิน ตอนแรกเธอตั้งใจจะแค่ชิมๆ แต่พอกินไปจึงรู้สึกหิวกว่าที่คิดจึงตักกินต่อแล้วก็กินอีก
“อร่อยแฮะ ไม่รู้เพราะหิวรึเปล่า ทำไมมันอร่อยอย่างงี้”
เมลดามองไปที่ที่กังฟูที่กำลังปีนลงไป แล้วก็หันมากินต่อ กังฟูแอบปีนกลับขึ้นมา พอเห็นเมลดากินข้าวได้เขาก็รู้สึกสบายใจแล้วก็ปีนกลับลงไป
หมอตรวจร่างกายของชนะ โดยมีพยาบาลกับเนตรนภาอยู่ในห้องด้วย
“รู้สึกเป็นไงบ้างครับ” หมอถาม
“เจ็บตรงแผลครับ แล้วก็รู้สึกผะอืดผะอม อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรครับ” ชนะบอก
หมอพยักหน้าแล้วดูผลตรวจต่างๆในแฟ้ม
“เคสของคุณ การผ่าตัดให้ผลดีมาก แบบนี้ไม่น่ามีปัญหา เหลือแค่ต้องดูแลตัวเองดีๆ ใจเย็นๆ อาจต้องใช้เวลานานสักนิด แต่แนวโน้มถือว่าดีครับ ดีมากๆด้วย”
เนตรนภายิ้มด้วยความดีใจ หมอกับพยาบาลเดินออกไป
“พ่อ...” เนตรนภาเข้ามากอดชนะ
“เบาๆ” ชนะบอก
“ขอโทษค่ะ หนูดีใจน่ะค่ะ”
“นี่พ่อหลับไปนานมั้ยเนี่ย” ชนะถาม
“หลายชั่วโมงเลยค่ะ ตอนพ่อสลบ ยัยเมมาหาอีกรอบค่ะ”
“ยังทะเลาะกันอยู่เหรอ”
“ก็ทำนองนั้นแหละ เมมันดื้อ พ่อก็รู้ แต่พ่อไม่ต้องเครียดหรอก ถึงทะเลาะกันก็ไม่ได้เกลียดกันรุนแรงอย่างที่พ่อคิดหรอกค่ะ”
“ดีแล้ว”
ชนะเงียบไปครู่หนึ่ง
“นิดหน่อย ลูกนอนต่อเถอะ ไม่ต้องห่วงพ่อ” ชนะบอก
“ค่ะ”
เนตรนภากำลังจะนอนต่อ ทันใดนั้นก็มีแมสเสจเข้าเครื่องเนตรนภา เนตรนภากดอ่านเสร็จแล้วก็หันมาทางชนะ
“เอ่อ...ถ้าพ่อไม่เป็นอะไรมาก คืนนี้หนูขอออกไปทำธุระนะคะ”
“มีธุระก็ไปเถอะ พ่อไม่เป็นไรแล้ว”
เนตรนภาเดินมาจับมือชนะ
“แล้วหนูจะรีบกลับมานะคะ”
ชนะพยักหน้าให้พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย เนตรนภาเดินออกจากห้องไป
อ่านต่อหน้าที่ 4
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 3 (ต่อ)
เนตรนภาเดินมาจากปีกด้านหนึ่งของวอร์ดผู้ป่วย ก่อนจะแวะที่เนิร์สสเตชั่นที่อยู่ตรงกลาง
“คุณคะ ฉันต้องออกไปทำธุระ ฝากดูคุณพ่อด้วยนะคะ” เนตรนภาบอก
“ค่ะ” พยาบาลรับคำ
เนตรนภาเดินไปกดลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิดออก คนที่อยู่ในลิฟต์เดินออกมาสวนกับเนตรนภา เนตรนภากดลิฟต์ คนที่เดินสวนออกมาเป็นผู้หญิงหุ่นดีถือกระเช้าเยี่ยมไข้ใบใหญ่มาด้วยซึ่งก็คือมิเชลนั่นเอง
มิเชลกวาดตามองแล้วเดินไปที่วอร์ดด้านหนึ่งซึ่งอยู่คนละด้าน มิเชลเดินช้าๆ แล้วหยุดที่ห้องหนึ่งแล้วเปิดประตูเข้าไปก็เจออาม่าคนหนึ่งนอนหลับอยู่ตามลำพัง มิเชลวางกระเช้าเยี่ยมไข้บนโต๊ะ
“หายเร็วๆนะคะอาม่า”
มิเชลปิดประตูแล้วเดินตรงไปที่ห้องของชนะ
มิเชลเปิดประตูเข้ามา ชนะนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่บนเตียง
“สวัสดีค่ะ คุณชนะ” มิเชลทัก
“ครับ สวัสดีครับ” ชนะรับคำ
มิเชลเดินมาหาชนะที่เตียง
“รู้สึกเป็นไงบ้างคะ” มิเชลถาม
“ยังเพลียๆอยู่ เอ่อ คุณเป็นใครครับ”
“ฉันรู้จักคุณเมลดาน่ะค่ะ”
“อ๋อ เพื่อนยัยเม”
“ทำนองนั้นค่ะ”
มิเชลจับแขนชนะถูเบาๆเหมือนให้กำลังใจแล้วก็จับตรึง ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาที่เตรียมมาฉีดเข้าไปทันที
ชนะร้องออกมา “เฮ้ย...”
ชนะร้องได้แค่นั้นมิเชลก็อุดปากเขา ชนะพยายามดิ้นรนแต่มิเชลกดร่างเขาไว้ ชนะสู้แรงไม่ได้ สักพักเขาก็หมดสติ
มิเชลลากรถเข็นที่พับไว้แถวนั้นออกมากาง เธอถอดสายนู่นนี่นั่นออกจากร่างชนะแล้วอุ้มชนะมานั่งรถเข็น ใส่หมวกกับผ้าคาดปากให้แล้วเอาผ้าห่มมาห่ม มิเชลหยิบมือถือออกมากดโทรออกไปที่เบอร์เบอร์หนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดตู้มแล้วก็ตามด้วยเสียงกรีดร้องโวยวาย มิเชลเปิดประตูห้องออกไป เสียงพยาบาลดังวุ่นวายลอดประตูเข้ามาดังลั่น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“มีระเบิดที่ห้องอาม่า”
มิเชลมองออกไปเห็นพยาบาล พวกคนไข้และญาติๆ แตกตื่น หลายคนออกมาดู มิเชลเข็นรถชนะออกไป โดยไม่มีพยาบาลสนใจเพราะมัวแต่กรูไปทางห้องอาม่าที่โดนระเบิด ลิฟต์เปิดพอดี รปภ.รีบวิ่งออกมาแล้วตรงไปที่ห้องอาม่า รปภ. คนหนึ่งเห็นมิเชลเข็นรถเข็นตรงมาจึงกดลิฟต์ให้เปิดค้างไว้จนมิเชลเข็นรถที่มีชนะนั่งอยู่เข้าไปในลิฟต์
“ขอบคุณนะคะ” มิเชลพูด
รปภ.ไม่สนใจแล้วก็รีบเดินออกไป ประตูลิฟต์ปิด
พายุเดินเข้ามาในร้าน เด็กรับแขกเดินมาหา
“มาคนเดียวเหรอครับเฮีย เชิญทางนี้เลยครับ”
เด็กรับแขกพาพายุไปนั่ง ติงลี่หันมาเห็นก็ร้องเรียก
“ทางนี้เลยพายุ”
พายุไหว้ติงลี่อย่างสุภาพ
“สวัสดีครับเฮียติงลี่” พายุทัก
“เฮ้ย พายุกับเฮียถือเป็นคนกันเอง ไม่ต้องพิธีรีตรอง แล้วกังฟูไม่ได้มาด้วยเหรอ” ติงลี่ถาม
“อ๋อ ไอ้นั่นมันขี้ขลาด กลัวจะเจอแบบวันก่อนก็เลยไม่กล้ามาครับ”
“อ๋อ เหรอ งั้นก็ปล่อยเขา แล้วเธอไม่กลัวเหรอ”
“แค่นั้นน่ะกระจอกครับ ถ้าไม่ติดว่าต้องคอยปลอบไอ้กังฟูล่ะก็ ผมลุยแหลกไปแล้ว”
ติงลี่มองพายุด้วยความพึงพอใจ
“เก่งมากน้องชาย ผู้ชายแบบนี้สิที่ฉันต้องการ กินดื่มตามสบายเลยนะ ลงบัญชีเฮีย”
พายุตาโตแล้วก็รีบยกมือไหว้ติงลี่
“ขอบคุณเฮียติงลี่มากเลยคร้าบ” พายุพูดพร้อมยกมือไหว้
“ไม่เป็นไรๆ เฮียขอตัวก่อนนะ” ติงลี่บอก
ติงลี่เดินออกไป พายุยิ้มแป้นแล้วหันมาทางบริกร จากท่าทีนอบน้อมก็เปลี่ยนเป็นกร่างสุดๆ
“ได้ยินแล้วใช่ไหม ก่อนอื่น เรียกน้องมาให้อั๊วก่อน แล้วเอาเหล้ากับกับแกล้มมาด้วย ถ้าน้องไม่ขาว เหล้าไม่หวาน อาหารไม่อร่อย อั๊วจะบอกเฮียไล่แกออก ไปได้แล้ว”
บริกรเดินจากไป พายุยิ้มอย่างพอใจ
ขณะเดียวกันบนเวที ดนตรีก็อินโทรเพลง เนตรนภาเดินถือไมโครโฟนออกมาด้วยลีลาพญาหงส์แล้วก็ร้องเพลง พายุมองเนตรนภาตาค้างชนิดที่แทบจะละสายตาจากเนตรนภาไม่ได้ พายุกวักมือเรียกบริกรมา บริกรรีบเดินมาหา
“ขอโทษนะครับพี่ น้องขาวๆยังไม่มีใครว่างเลยครับ” บริการบอก
“เออ ช่างหัวมัน อั๊วไม่อยากได้ละ อยากได้คนนั้นน่ะ ที่อยู่บนเวทีน่ะ” พายุบอก
“อ๋อ คุณเนตรนภา”
“เนตรนภาเหรอ...เออ เรียกมา บอกว่าอั๊วอยากรู้จัก”
“แต่ว่าเขาเป็นเด็กของ...”
“อั๊วไม่สน เชิญเค้ามาให้ได้ ไม่งั้นลื้อโดนไล่ออก”
“คร้าบ”
พายุมองเนตรนภาด้วยความพึงใจ เนตรนภาร้องเพลงต่อไปพร้อมกับปรายตามามองพายุ พายุรีบส่งยิ้มให้ เนตรนภายิ้มตอบ พายุเป็นปลื้ม
เนตรนภาร้องเพลงจบ คนดูปรบมือให้ เธอเดินลงจากเวที บริกรเดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับเนตรนภา เนตรนภามองมาทางพายุ พายุยิ้มพร้อมกับผายมือให้เธอมานั่งข้างๆเขา เนตรนภายิ้มหวานก่อนจะเดินชดช้อยมานั่งข้างๆ ชนิดเบียดพายุทำเอาพายุรู้สึกประหม่า
“เอ่อสวัสดีครับ คุณเนตรนภา ผมพายุครับ ยินดีที่รู้จัก”
เนตรนภาหัวเราะเบาๆ
“เห็นน้องบอกคุณอยากรู้จักฉัน แต่คุณก็รู้จักฉันแล้วนี่”
“อยากรู้จักให้มากกว่านี้ครับ”
“แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ฉันไม่ชอบคนท่าทางอย่างคุณ”
พายุชักเคือง
“ผมเป็นยังไง”
“อย่าให้พูดดีกว่า”
“พูดมาเลย”
“ทำเป็นกร่าง ทำเป็นรวย ทั้งที่ไม่มีอะไร ตรงๆเลยนะ กลวง” เนตรนภาว่า
“เธอ...”
พายุจ้องเนตรนภาด้วยท่าทางโกรธแค้น ติงลี่เดินมา
“อ้าว เนตร ไหนบอกจะไปหาป๋า”
เนตรนภาเอนเข้าไปอิงอกติงลี่
“พอดีพี่คนนี้เค้าชวนคุยน่ะค่ะ”
“อ๋อ นี่พายุ คนกันเอง ... นี่ คนนี้นักร้องแม่เหล็กของป่าเลยนะ ชื่อเนตรนภา”
“เป็นเมียป๋าด้วยค่ะ”
พายุอึ้ง เนตรนภายิ้มเยาะพายุ
“คุยกันตามสบายนะคะ เนตรขอตัวก่อน”
เนตรนภาเดินเฉียดพายุออกไป
เนตรนภาเดินออกมา พร้อมกับทำหน้าขยะแขยงพายุ
“ผู้ชายอะไร น่ารังเกียจที่สุด”
เนตรนภาหยิบสมาร์ตโฟนออกมาเล่นไลน์
เมลดาเรียก “พี่”
เนตรนภาหันมา “เม”
“ทำไมพี่ไม่อยู่เฝ้าพ่อ” เมลดาถาม
“ฉันมีงานต้องทำเหมือนกัน”
“งานแบบนี้น่ะเหรอที่สำคัญกว่าพ่อ”
“อย่ามาทำเสียงดูถูกแบบนั้นนะ...งานไม่ได้สำคัญไปกว่าพ่อหรอก แต่พ่อฟื้นแล้ว อาการดีขึ้นมาก ฉันก็เลยมาทำงาน”
“พ่ออาการดีขึ้นมากเหรอ”
“ใช่”
เมลดาอึ้งไปพร้อมทั้งยิ้มมีความสุข
“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย”
เนตรนภาเห็นแล้วก็มีท่าทีอ่อนโยนลง
“ฉันบอกพ่อแล้วว่าแกไปเยี่ยม แต่ไม่ได้บอกเรื่องที่แกโดนใส่ร้าย” เนตรนถาบอก
“ดีแล้วล่ะ เดี๋ยวพ่อจะเครียด ... พี่ ฉันขอบคุณพี่มากเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เมลดาเดินมาหาเนตรนภา
“พี่คะ ที่ผ่านมาฉัน...”
เมลดายังไม่ทันพูด มือถือเนตรนภาก็ดัง เนตรนภาหยิบมือถือมาดูแล้วมองหน้าเมลดา
“สวัสดีค่ะ...ค่ะ...อะไรนะคะ”
สีหน้าของเนตรนภาแตกตื่นตกใจมาก
เนตรนภาเดินออกจากลิฟต์มายังบริเวณวอร์ดคนไข้ที่ดูวุ่นวาย พยาบาลเดินไปมา ตำรวจ ช่างซ่อม ช่างไฟเดินกันอย่างวุ่นวาย เนตรนภาเดินไปที่ห้องของชนะ เธอเปิดประตูเข้าไปแต่ก็ไม่เจอใครเลย มีเพียงห้องเปล่าๆ เท่านั้น
“พ่อ...”
หมอเดินตามเข้ามา
“คุณเนตร...”
“หมอ พ่อฉันอยู่ไหนคะ”
“คืองี้ครับ เมื่อสักครู่เกิดระเบิดขึ้นที่ห้องคนป่วยคนหนึ่ง ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกท่านวุ่นวายกับการดูแลคนป่วยและเตรียมอพยพเผื่อไฟไหม้ด้วย แต่สักพักทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ผมเดินตรวจความเรียบร้อยทุกห้อง ปรากฏว่าพ่อคุณหายตัวไปแล้ว ก็เลยโทรแจ้งคุณ เผื่อคุณมีเบาะแสว่าคุณอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”
“หมอพูดเหมือนพ่อฉันหนีออกไปเอง” เนตรนภาว่า
“แล้วใครจะพาออกไปล่ะครับ”
เนตรนภาจ้องหน้าหมอแล้วกำลังจะสวน หมอรีบชิ่ง
“ขอโทษนะครับ ผมมีธุระอื่นต้องไปทำอีก”
หมอเดินออกไป
เนตรนภาร้อนใจ “พ่อ...”
เนตรนภาสับสนมากแล้วก็หันไปเห็นว่าที่โต๊ะมีจดหมายวางไว้ เธอหญิบมาดูเห็นว่าจ่าหน้าว่า ถึงคุณเมลดา
เนตรนภาอ่าน “คุณเมลดา”
เนตรนภาเดินออกมาจากโรงพยาบาลแล้วเลี้ยวเดินมาเรื่อยๆ จนถึงชั่วที่ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว เมลดาที่ซ่อนอยู่ก็ออกมา
“พี่ พ่อเป็นไง เกิดอะไรขึ้น” เมลดาถาม
เนตรนภามองเมลดาด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวต่างจากตอนที่อยู่ไน้ท์คลับอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ฉันจะไม่ให้อภัยแกเลย” เนตรนภาว่า
เมลดางง เนตรนภายื่นจดหมายให้ เมลดารับมา พอเห็นชื่อตัวเองบนซองเมลดาก็ใจสะท้าน เธอแกะอ่านช้าๆ
“คุณเมลดาที่รัก พ่อของคุณอยู่ที่ฉัน...”
เมลดาเปิดประตูห้องเบาๆ กังฟูยังนอนหลับอยู่บนพื้นห้อง ส่วนหลินหลินยังนอนอยู่บนเตียง เมลดาเดินข้ามตัวกังฟูไปที่เตียงหลินหลิน เมลดามองหลินหลิน
เสียงมิเชลพูดขึ้น “พาหลินหลินมาหาฉัน ไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือเจ็บหนักแค่ไหนก็ตาม ไม่อย่างนั้นพ่อของคุณตาย”
เมลดาจะอุ้มหลินหลินแต่ก็ชะงักเพราะทำไม่ลง แต่แล้วดวงตาของเธอก็แข็งกร้าว
“หลินหลิน...พี่ขอโทษ...พี่ขอโทษ...”
เมลดาตัดใจอุ้มหลินหลินขึ้นมา เมลดาร้องไห้ กังฟูตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แต่ก็มายืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว
“คุณทำอะไรอ่ะ” กังฟูถาม
เมลดาตกใจจึงหันมามองกังฟู
“กังฟู...”
เมลดาร้องไห้โฮ
หลินหลินนอนอยู่บนเตียงตามปกติ เมลดาเล่าเรื่องให้กังฟูฟัง
“ฉันไม่รู้จะทำยังไง ฉันรักหลินหลิน แต่ฉันก็ปล่อยให้พ่อตายไม่ได้” เมลดาบอก
“แจ้งตำรวจก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหมครับ” กังฟูถาม
เมลดาหัวเราะขื่นๆ
“ขนาดฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ พวกเขายังหาว่าฉันเป็นฆาตกรเลย นับประสาอะไรกับเรื่องนี้” เมลดาว่า
กังฟูนิ่งเงียบไป
“กังฟู ช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
“ได้สิครับ ช่วยอะไรครับ บอกมาเลย” กังฟูบอก
“ฆ่าฉันที ไม่อย่างนั้นฉันต้องพาหลินหลินไปให้พวกมันแน่ๆ ฉันไม่อยากทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้น”
“ได้สิครับ นึกว่าอะไร ... จะบ้าเหรอ ให้ฆ่าคุณเนี่ยนะ มันช่วยแก้ปัญหาที่ไหนเล่า”
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ฉันไม่รู้จริงๆ” เมลดาบอก
เมลดาเครียดจัดจนกังฟูรู้สึกสงสาร
“ใจเย็นๆครับ ผมจะหาทางช่วยคุณเอง”
กังฟูนั่งเงียบอยู่นาน
เฮียหลอนอนหลับอยู่ตามลำพัง กังฟูเดินเข้ามานั่งข้างๆ เฮียหลอที่ยังหลับสนิท กังฟูหยิบขวดเหล้าที่เตรียมมาเปิดฝาแล้วยื่นไปใต้จมูกอาจาร์ยหลอ ทำให้เฮียหลอตื่นทันทีแล้วจะคว้าขวดเหล้า กังฟูรีบยกหนีแล้วปิดฝาจุก
“เหล้าอะไรวะ ทำไมมันหอมอย่างนี้”
“เหล้าที่ศิษย์จับฉลากได้ตอนงานวันเกิดเสี่ยหมิงไงครับ”
“จำได้ละ ขวดละสามหมื่น...โอว์ หอมสมราคา แล้วอยู่ดีๆ เอามาปลุกอั๊วทำไมวะเนี่ย”
“ศิษย์จะเอามาให้อาจารย์ครับ”
“ดีๆๆ...กตัญญูกตเวทีแบบนี้ขอให้เจริญๆ...แต่เอ๊ะ ทำไมต้องเอามาให้อั๊วตอนตีสองตีสามแบบนี้วะ ดูมีเลศนัย แต่ลื้อเป็นพวกเหลาซิกนี่หว่า ยังไงกันแน่วะ” เฮียหลอว่า
“ศิษย์มิกล้ามิซื่อสัตย์กับอาจารย์ แต่มีบางเรื่องอยากให้อาจารย์ช่วย”
“นั่นแน่..เลยเอาของมาล่อ”
“หามิได้ เหล้านี้ศิษย์ตั้งใจเก็บเอาไว้ให้อาจารย์อยู่แล้ว”
“ไหนว่ามา มีเรื่องอะไร”
“ก่อนอื่น ต้องขอเรียนถามอาจารย์คำหนึ่ง”
“ว่ามา”
“ลมปราณมัดบ๊ะจ่าง มิใช่วิทยายุทธ ใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่ๆ ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้าใช่วิทยายุทธ พวกอั๊วจะกล้าสอนลื้อเหรอ”
กังฟูยิ้มอย่างโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้น...”
บู๊ลิ้มเดินมาตามทางมองซ้ายมองขวาพอไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นเขาก็เปิดประตูผลุบเข้าไปในห้องกังฟู
“หลินหลินเป็นไงบ้าง”
บู๊ลิ้มถามแล้วก็มองไปแต่ก็ไม่เจอใครเลย บู๊ลิ้มหน้าเสีย เขาเดินมาที่เตียงกังฟูก็เห็นว่ามีแต่รอยย่นกับกองผ้าห่ม
“อย่าบอกนะว่า หลินหลิน...โอ้ว ไม่จริง หลินหลินจ๋าหลินหลิน ... รักแรกของบู๊ลิ้มทำไมถึงจบลงด้วยความโศกเศร้าแบบนี้ ... สวรรค์ โอ้ สวรรค์ ทำไมท่านถึงโหดร้ายกับข้าผู้น้อยเหลือเกิน”
บู๊ลิ้มร้องไห้คร่ำครวญแล้วก็เกลือกกลิ้งไปมาอย่างโอเวอร์แอ็คติ้งมาก สักพักเขาก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่ง แปะไว้ที่ข้างฝา มีลายมือกังฟู บู๊ลิ้มหยิบมาอ่าน
“ถึงศิษย์พี่ ศิษย์น้องมีงานสำคัญต้องทำ ต้องพาหลินหลินไปด้วย ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง”
บู๊ลิ้มงง
“งานสำคัญอะไรต้องพาหลินหลินไปด้วย”
เหมยอิงหน้าซูบเพราะตรอมใจ เธอกำลังจุดธูปไหว้เจ้าอยู่โดยมีสวยอยู่ข้างๆ
“ขอให้หลินหลินปลอดภัยด้วยเถอะ ขอให้หลินหลินปลอดภัยด้วยเถอะ ขอให้หลินหลินปลอดภัยด้วยเถอะ ขอให้หลินหลินปลอดภัยด้วยเถอะ”
เมฆากับมิเชลเดินผ่านมา เมฆาได้ยินแล้วก็ส่ายหน้าเซ็งๆ ก่อนจะเดินมาจับต้นแขนเหมยอิง
“พอเถอะแม่ เดี๋ยวใครมาเห็นจะนึกว่าแม่เป็นบ้าไปแล้ว บ่นอะไรอยู่ได้ซ้ำๆซากๆ”
“ปล่อยฉันนะ”
เหมยอิงสะบัดแขนให้หลุดจากการจับแล้วหันมาตบหน้าเมฆาดังฉาด เมฆามองสวยกับมิเชลด้วยความรู้สึกเสียฟอร์มที่โดนตบต่อหน้าคนอื่น
“ฉันจะไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ แกอย่ามายุ่งกับฉัน” เหมยอิงว่า
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหรอ” เมฆาถาม
เมฆาชักปืนออกมา เหมยอิงตกใจ ส่วนสวยร้องกรี๊ด เมฆายิงเจ้าปังๆๆ จนข้าวของกระจุยกระจาย
“ในบ้านนี้ ผมศักดิ์สิทธิที่สุด” เมฆาบอก
“เมฆา...” เหมยอิงตกใจ
เมฆาเก็บปืน
“สวย เดี๋ยวกวาดไอ้เศษกระเบื้องนี่ออกไปให้หมด เดี๋ยวมันจะบาดแม่ฉัน” เมฆาสั่ง
“ค่ะ”
“เมฆา...ก็ได้ ลูกศักดิ์สิทธิที่สุด แม่ขอร้องลูกล่ะนะ ปล่อยหลินหลินเถอะ เค้าเป็นแค่เด็กผู้หญิงไม่มีพิษภัยอะไร เมตตาเขาเถอะนะ” เหมยอิงขอ
“ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ หลินหลินยังไม่ตาย ผมจะยอมรับว่าสิ่งศักดิ์สิทธิมีจริง แต่คงยากแล้วล่ะครับ”
เมฆาหัวเราะแล้วจะเดินจากไป เหมยอิงหยิบเศษกระเบื้องมาเขวี้ยงใส่เมฆา เศษกระเบื้องลอยมากำลังจะโดนศีรษะเมฆาแต่มิเชลยื่นมือมากันไว้ทัน เมฆาหันมามองเหมยอิง
เหมยอิงพูด “ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษแก แล้วถึงวันนั้น แกจะรู้ว่าฟ้าดินมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตาข่ายฟ้าถี่ยิบ ไม่มีใครเล็ดลอดออกไปได้”
“ตาข่ายฟ้าเหรอ...เพ้อเจ้อน่ะ” เมฆาว่า
เมฆาเดินออกไป เหมยอิงกรีดร้อง สวยรีบเข้ามาประคอง
เมฆาเดินออกมากับมิเชล รถคันหนึ่งจอดรออยู่
“ตอนนี้งานฉันยุ่งมาก คืนนี้อาจจะไปด้วยไม่ได้”
“ไม่จำเป็น ฉันจัดการได้ นอกเสียจากว่าคุณอยากลงมือด้วยตัวเอง” มิเชลบอก
“ฆ่าหลินหลินด้วยมือฉันน่ะเหรอ ไม่หรอก ฉันไม่ได้รักมันขนาดนั้น เธอจัดการได้เลย ไม่ใช่แค่หลินหลินนะ ฉันหมายถึงทุกคนที่รู้เรื่องนี้”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะปิดงานให้เรียบร้อย”
“คงไม่ต้องบอกนะว่าห้ามพลาดอีก ถ้าพลาดอีกครั้ง เธอคงโดนพ่อเล่นงานแน่ๆ”
“ฉันรู้ ฉันอยู่กับอาจารย์มานาน ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง ฉันไม่กล้าพลาดหรอก”
เมฆาเห็นฝ่ามือมิเชลมีเลือดไหลจากการที่ปัดเศษกระเบื้องที่เหมยอิงปาใส่ เมฆาจับมือมิเชลข้างนั้นขึ้นมา
มิเชลรีบบอก “ไม่มีอะไร แค่แผลเล็กน้อย”
“ถ้าไม่มีรอยแผลนี้ เมื้อกี้ฉันคงหัวแตกไปแล้ว ขอบใจเธอมากนะ”
เมฆายกแขนมิเชลขึ้นมาแล้วจูบบริเวณแผลจนปากเปื้อนเลือด มิเชลพอใจมาก
“กลับมาคืนนี้ฉันจะให้รางวัลเธออย่างงาม” เมฆาบอก
มิเชลตบหน้าเมฆาดังเพียะ
“ตกลง” มิเชลบอก
กังฟูจอดรถริมถนน เมลดาลงจากรถ กังฟูอุ้มหลินหลินที่ที่มีผ้าห่มห่ออยู่ลงมาด้วย โดยที่หลินหลินยังคงนอนหลับไม่ได้สติ
“หลินหลินเป็นไงบ้างกังฟู ฉันเป็นห่วงเขาจัง อยากพาไปโรงพยาบาลเร็วๆ” เมลดาบอก
“เข้าใจครับ แต่เราต้องช่วยคุณพ่อคุณก่อน...ส่วนเรื่องหลินหลินอาการยังเหมือนเดิมครับ ไม่มีไข้ หายใจปกติ ... เมื่อกี้ผมแมะแล้ว ชีพจรก็ปกติดี” กังฟูว่า
เมลดางง “แมะ?”
“อ๋อ วิธีวัดชีพจรแบบหมอจีน อย่างงี้ไงครับ”
กังฟูอุ้มหลินหลินมือเดียว ส่วนอีกมือเอื้อมมาจับข้อมือเมลดาเพื่อจับชีพจร
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
“ครับ”
เมลดายิ้มให้กังฟู กังฟูไม่รู้ความหมายก็มองแบบซื่อๆ จนเมลดาต้องก้มมองมือกังฟูที่ยังจับมือเธออยู่
“นายจะแมะนานไปมั้ย” เมลดาถาม
“ไม่รู้สิครับ” กังฟูตอบ
“ปล่อยได้แล้ว” เมลดาว่า
“มือคุณนุ่มดี จับแล้วไม่ค่อยอยากปล่อยเลยครับ”
เมลดาหน้าแดง “นี่...”
เมลดายังไม่ทันพูดอะไร รถเก๋งคันใหญ่คันหนึ่งก็วิ่งมาจอดข้างๆ ชายฉกรรจ์สองคนลงจากรถแล้วเดินมาหาเมลดา
“พาเด็กขึ้นรถไปกับเรา” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งบอก
“เรื่องอะไรฉันจะไปกับพวกแก ถ้าพวกแกไม่ทำตามสัญญาล่ะ” เมลดาถาม
“พวกเราแก๊งค์อสูรเทวา ไม่ทำเรื่องต่ำทรามแบบนั้นหรอก เรารักษาสัจจะเสมอ...อีกอย่าง แกไม่มีทางเลือก ถ้าอยากช่วยพ่อแก”
เมลดาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าให้กังฟู ชายฉกรรจ์อีกคนเปิดประตูรถให้ เมลดา กังฟู และหลินหลินขึ้นรถไปด้วยกัน
ชายฉกรรจ์ทั้งสองนั่งส่วนหน้ารถ กังฟูกับเมลดานั่งอยู่ด้วยกันที่ตอนหลัง ส่วนหลินหลินนอนตักกังฟู
“พ่อฉันเป็นไงบ้าง” เมลดาถาม
“ไปถึงก็รู้ หึๆๆ” ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงชั่วร้าย
เมลดารู้สึกตึงเครียดมากจึงบีบมือกังฟู กังฟูตบหลังมือเมลดาเป็นทำนองปลอบให้ใจเย็นๆ
รถของชายฉกรรจ์มาจอดที่อาคารร้าง ชายฉกรรจ์ทั้งสองลงมาจากรถแล้วชี้เข้าไปในอาคาร
“เจ้านายฉันรอพวกแกอยู่ เร็วๆ...โอ๊ย”
เมลดาลงมาจากรถแล้วอาศัยจังหวะที่ชายฉกรรจ์เผลอลงมือแบบฉับพลันด้วยการเตะคนนึงแล้วศอกใส่อีกคน ทั้งสองสลบแทบจะพร้อมๆกัน เมลดาหยิบกุญแจรถส่งให้กังฟู
“ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล นายพาหลินหลินหนีไปก่อนเลยนะ”
กังฟูรับกุญแจมา เมลดาเดินตรงไปที่อาคารร้าง
เมลดาเดินเข้ามาในบริเวณอาคารร้างที่มืดทะมึน
“ฉันมาแล้ว” เมลดาบอก
ไฟสปอร์ตไลท์ดวงหนึ่งเปิดขึ้นโดยส่องตรงมาที่เมลดาจนเธอต้องหยีตามองย้อนแสงขึ้นไปที่บริเวณยกพื้น ทำให้เห็นเงาคน 2-3 คนซึ่งมีมิเชลอยู่ในนั้นด้วย
“หลินหลินอยู่ไหน” มิเชลถาม
“อยู่ข้างนอก ฉันจะไม่มีวันพาเข้ามาจนกว่าฉันจะได้เห็นพ่อฉันก่อน” เมลดาบอก
มิเชลพยักหน้าให้คนที่ควบคุมสปอร์ตไลท์ คนคุมหมุนสปอร์ตไลท์ไปอีกทางทำให้เห็นชนะนั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยมีลูกน้องมิเชลคนหนึ่งคุมตัวอยู่ด้านหลัง ชนะมีท่าทางอ่อนแรง และมีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายจนเขียวช้ำและมีแผลตกสะเก็ด เมลดาเห็นแล้วก็ถึงกับเข่าอ่อน
“พ่อ...”
เมลดาหันมาหามิเชล
“แกทำร้ายพ่อฉันทำไม”
“พ่อเธอปากไม่ดี ต้องอบรมสั่งสอนกันหน่อย...แต่ยังไงก็ไม่ถึงตายหรอก”
มิเชลเพยิดหน้าให้ลูกน้องที่คุมตัวชนะอยู่ ลูกน้องคนนั้นยกเท้าเหยียบขาชนะตรงที่มีแผลทำให้ชนะร้องอ๊าก
เมลดารีบพูด “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
มิเชลพยักหน้า ลูกน้องหยุดมือ
“เรียกหลินหลินเข้ามาได้แล้ว” มิเชลสั่ง
เมลดาหยิบไฟฉายออกมาแล้วส่องไปที่ที่กังฟูอยู่โดยเปิดปิดเปิดปิดสลับกัน 3-4 ครั้ง สักครู่ก็มีแสงไฟฉายเปิดปิดสลับกันตอบกลับมา ครู่หนึ่ง กังฟูก็อุ้มหลินหลินเดินเข้ามา มิเชลเห็นหน้าหลินหลินไม่ชัด
“พาตัวปลอมมารึเปล่า เปิดหน้าให้ดูชัดๆซิ” มิเชลสั่ง
กังฟูเสยผมที่ปรกหน้าออกก่อนจะเงยหน้าแล้วเก๊กหล่อมองมิเชล มิเชลปรี๊ด
“ไอ้บ้า ฉันไม่ได้หมายถึงแก ฉันหมายถึงหน้าหลินหลิน”
“แล้วก็ไม่บอก” กังฟูว่า
กังฟูจับหน้าหลินหลินเอียงให้มิเชลเห็นชัดๆ
“มันตายแล้วเหรอ” มิเชลถาม
“คนตายที่ไหนจะปากแดงแก้มชมพูแบบนี้ ถามจริงๆไม่เคยเห็นคนตายเหรอ” กังฟูว่า
“คงได้เห็นเร็วๆนี้ คือศพแกนั่นแหละ” มิเชลสวน
“แซวแบบนี้คนจีนเขาถือนะครับ” กังฟูว่า
มิเชลมองหน้ากังฟูด้วยสายตาเย็นเยียบ กังฟูเห็นแล้วสยองจึงไม่พูดอะไรอีก
“พาหลินหลินมาหาฉัน” มิเชลสั่ง
เมลดารีบเบรค “เดี๋ยว ให้คนของแกพาพ่อมาหาฉันด้วย แลกกัน”
“ได้สิจ๊ะ คุณลูกกตัญญู”
มิเชลให้สัญญาณ ลูกน้องที่คุมตัวชนะอยู่ประคองชนะให้ลุกขึ้นแล้วเดินพามาหาเมลดา กังฟูกับเมลดาเดินออกไปหา มิเชลนั่งดูเหตุการณ์อยู่โดยมีลูกน้องรายล้อมอยู่หลายคน พวกเมลดากับลูกน้องและชนะเดินมาเจอกันตรงกลาง ลูกน้องผลักชนะไปหาเมลดา เมลดารีบพยุงไว้
“พ่อคะ เป็นไงบ้าง” เมลดาถาม
“เม...” ชนะพยายามฝืนยิ้ม
“หนูขอโทษ เพราะหนูเป็นต้นเหตุแท้ๆ”
“เฮ้ย ไปดราม่ากันที่อื่น รำคาญ” มิเชลว่า “ส่งยัยหลินหลินมาได้แล้ว”
กังฟูส่งร่างหลินหลินให้ลูกน้องที่พาชนะมา ลูกน้องรับไปอุ้มแล้วเดินกลับไปหามิเชล ในขณะที่เมลดากับกังฟูช่วยกันประคองชนะเดินกลับมาฝั่งเดิม เมลดากระซิบกับชนะ
“พ่อ เตรียมตัวนะคะ เราต้องหนี มันไม่ปล่อยเราง่ายๆหรอก”
ชนะพยักหน้าเข้าใจแล้วก็มีดวงตาฉายแววนักสู้เต็มที่
“พร้อมมั้ยกังฟู” เมลดาถาม
กังฟูพยักหน้า
“ชีวิตของหลินหลินฝากไว้ที่นายนะ”
กังฟูพยักหน้า
มิเชลแอบกระซิบกับพวกลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ
“เตรียมตัวนะ รอให้ฉันดูก่อนว่าหลินหลินตัวจริงรึเปล่า ถ้าไม่มีปัญหา ฉันจะฆ่าหลินหลิน พวกแกก็ลงมือฆ่าพวกมันซะ”
พวกลูกน้องพยักหน้า ต่างคนต่างมีปืนพกไว้ข้างตัว
เมลดากับกังฟูประคองชนะเดินช้าๆ ลูกน้องอุ้มหลินหลินเดินเร็วกว่าทำให้ใกล้จะถึงตัวมิเชลแล้ว
ลูกน้องอุ้มหลินหลินถึงตัวมิเชล มิเชลตรวจดูอย่างละเอียด
“หลินหลินตัวจริง...ตายซะเถอะยัยเด็กตัวยุ่ง”
เมลดามองด้วยหางตาก็เห็นมิเชลยกมือขึ้นจะฟาดใส่หลินหลิน
เมลดารีบเรียก “กังฟู”
กังฟูหันขวับ ที่ข้อมือของเขามีด้ายผูกอยู่โดยที่เส้นด้ายโยงออกไปที่ไหนสักที่
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ กังฟูเดินเข้ามาหาเฮียหลอตอนกลางดึก
“ลมปราณมัดบ๊ะจ่าง มิใช่วิทยายุทธ ใช่หรือไม่” กังฟูถาม
“ไม่ใช่ๆ ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้าใช่วิทยายุทธ พวกอั๊วจะกล้าสอนลื้อเหรอ” เฮียหลอบอก
กังฟูยิ้มโล่งใจ
“ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ช่วยชี้แนะลมปราณมัดบ๊ะจ่างขั้นสูงให้ศิษย์ด้วย”
“แกจะเอาไปมัดอะไร”
“ศิษย์จะเอาไปช่วยชีวิตคน”
เฮียหลอหัวเราะเพราะนึกว่ากังฟูล้อเล่น
“ช่วยชีวิตคน พลังลมปราณแบบนั้นเนี่ยนะจะเอาไปช่วยใครได้ เอาเหอะ เห็นแก่เหล้าขวดนี้ ตกลง ฉันจะช่วยแก”
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
กังฟูคำนับสุดตัว
“แต่ไม่ใช่ของง่าย งานนี้ต้องวัดใจแกเหมือนกัน” เฮียหลอบอก
กังฟูนั่งสมาธิ เดินลมปราณ โดยมีเฮียหลออยู่ใกล้ๆ
“ลมปราณลิ้นมังกร เอ๊ย ลมปราณมัดบ๊ะจ่างเนี่ย เป็นปราณพลังอ่อนหยุ่น หลักการคือใช้อ่อนสยบแข็ง ฉันจะทะลวงจุดเพื่อส่งเสริมพลังอ่อนหยุ่นในตัวแก แต่ขอเตือนไว้ก่อน นี่คือขั้นที่สอง ถ้าแกฝึกจนชำนาญ อย่าได้เข้าสู่ขั้นที่สามเด็ดขาด” เฮียหลอบอก
“ทำไมล่ะครับ” กังฟูถาม
“อันตรายยิ่งกว่าตาย”
“สองก็พอแล้วครับ”
“ดี...เตรียมตัว เดินลมปราณทะลวงจุด ทำใจนะ จะเจ็บมาก”
กังฟูพยักหน้า เฮียหลอกดจี้จุดตรงนู้นตรงนี้ทำให้กังฟูร้องอ๊าก
“ไหวมั้ย” เฮียหลอถาม
กังฟูพยักหน้า เฮียหลอกดจี้จุดต่อแบบหนักมือกว่าเดิม กังฟูหนาเหยเกแต่ก็ทนและฮึดสู้
เหตุการณ์ปัจจุบัน มิเชลเกร็งฝ่ามือและกำลังจะกดกระแทกเด็ก แต่แล้วมิเชลก็สังเกตเห็นว่าที่ตัวหลินหลินเส้นด้ายผูกอยู่ กังฟูเกร็งลมปราณ
“ลมปราณมัดบ๊ะจ่าง ขั้นที่สอง”
กังฟูสะบัดข้อมือ เส้นด้ายที่ผูกมือเขาอยู่กระตุกวูบตามเหมือนมีชีวิต โดยที่ปลายเส้นด้ายผูกอยู่ที่หลินหลิน
อ่านต่อตอนที่ 4