ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 11
ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเก้านั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันอยู่
“ตอนนี้ค่ายกลดอกท้อของเราสมบูรณ์แล้ว เราต้องรีบลงมือจัดการกับไอ้จางซื่อ ถ้ายืดเยื้อไปพวกเราจะลำบาก”
“ลำบากไงเหรอฮูหยิน อยู่อย่างนี้ก็สบายดีออก” เฮียหลอบอก
“ลำบากเพราะไม่มีเงินน่ะสิ พูดออกมาได้ สบายดี ไม่ได้เล่นงิ้วแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาใช้วะ” ฮูหยินว่า
“ขนาดตอนเล่นงิ้วยังไม่ค่อยมีเงินเลย ฮ่าๆๆ” เฮียเก้าหัวเราะลั่น
“ปากเสียโว้ย พูดอะไรที่มันเป็นมงคลหน่อยสิ” เฮียเฉินว่า
กังฟูเดินเข้ามา ฮูหยินรีบสะกิดให้ทุกคนเงียบ
“กังฟูมา เลิกพูดก่อนโว้ย” ฮูหยินบอก
“กังฟู กวาดเสร็จแล้วเหรอ มากินข้าวด้วยกันมา” เฮียเฉินชวน
ฮูหยินมองเฮียเฉินอย่างตำหนิ
“อั๊วอิ่มแล้ว” ฮูหยินบอก
ฮูหยินวางชามลง
“ยังกวาดไม่เสร็จหรอกครับ แต่มีคนมาหาพวกอาจารย์” กังฟูบอก
“ใครวะ มาหาแต่เช้า”เฮียเก้าถาม
“คนของอสูรเทวาครับ” กังฟูบอก
พวกอาจารย์ตื่นตัวทันที
“ให้เข้ามาไหมครับ”
พวกอาจารย์ยังไม่ทันตอบ อาเฟยก็เดินเข้ามามองซ้ายมองขวาเพื่อสำรวจสถานที่แล้วค่อยคำนับพวกอาจารย์แต่สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโอหัง
“คำนับเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม”
พวกอาจารย์อึ้งไปครู่หนึ่ง
“เจ็ดผู้กล้าคุณธรรมเคยมีบทบาทในอดีต คิดไม่ถึงท่านเป็นคนรุ่นใหม่ก็รู้จักพวกเรา” เฮียเฉินพูด
“ไม่รู้จักไม่ได้ ผมทำงานให้อสูรเทวา หูตาต้องกว้างไกล ถึงเป็นกลุ่มจอมยุทธเล็กๆ ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรก็ยังต้องทำความรู้จัก” อาเฟยบอก
“หนอย ว่าพวกเราเป็นกลุ่มจอมยุทธเล็กๆไม่มีบทบาทเหรอไง ตอนที่พวกอั๊วกำลังรุ่งเรืองน่ะ ลื้อยังเป็นวุ้นอยู่เลย”
“ส่วนตอนที่ผมรุ่งเรือง พวกท่านคงเป็นขี้เถ้าไปแล้ว” อาเฟยว่า
“อะไรนะ!”
เฮียเก้าขยับจะบุกเข้ามาซึ่งก็ไม่มีใครห้าม
เฮียเก้าหันมาถาม “ทำไมไม่ห้ามวะ...เฮ้ย ห้ามหน่อยเดะ”
“อ้ะๆๆ อั๊วห้ามเอง...เฮ้ย ไอ้เก้า ใจเย็น” เฮียหลอบอก
เฮียเก้าทำเป็นฮึดฮัด อาเฟยไม่สนใจเฮียเก้า เขาหยิบจดหมายส่งให้ฮูหยิน
“ดูไปดูมา พี่สาวคนนี้ท่าทางน่าเชื่อถือที่สุด ผมขอส่งจดหมายให้ท่าน”
ฮูหยินยิ้มแป้น
“จอมยุทธน้อยปากหวานยิ่งนัก คำพี่สาว ไม่กล้ารับ ขอรับเพียงจดหมาย” ฮูหยินบอก
ฮูหยินรับจดหมายจากอาเฟย
“ภารกิจเสร็จสิ้น ขออำลา”
อาเฟยคำนับอีกทีแล้วก็เดินออกไป
ขณะที่อาเฟยเดินผ่านกังฟู กังฟูมองหน้าอาเฟย อาเฟยก็มองกังฟู ทั้งสองสบตากัน อาเฟยยิ้มที่มุมปากนิดนึงก่อนจะเดินต่อไป ฮูหยินจับตามอง
เฮียเฉินบอก “กังฟู ส่งแขก”
กังฟูรับคำ “ครับ”
กังฟูเดินมาส่งอาเฟย
“เมื่อคืนแกทำได้น่าประทับใจมาก” อาเฟยบอก
“หมายความว่ายังไง”
“กังฟู ในรอบสิบปีหลังนี้ ไม่เคยมีใครรับมือฉันได้เกินยี่สิบกระบวนท่า แกเป็นคนแรกที่ทำได้ ยังทำให้ฉันต้องใช้วิชาเล็บอสูรด้วย นับว่าแกนี่ไม่ธรรมดา นี่เป็นคำชมนะ”
กังฟูงง
“จะชมว่าเก่งใช่มั้ย”
“ก็เออสิวะ” อาเฟยบอก
กังฟูยิ้มแป้น
“ขอบคุณพี่ท่าน”
“หวังว่าจะได้มีโอกาสพิสูจน์แพ้ชนะกันนะ”
“เอ่อ...ประลองแบบแค่จี้จุดแล้วหยุดมือใช่มั้ย”
อาเฟยอึ้งไปเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะ
“มีอารมณ์ขัน...ฉันชอบแกจริงๆ”
อาเฟยตบไหล่กังฟูแล้วเดินไปขึ้นรถ ก่อนจะขับรถออกไป
กังฟูมองตามด้วยสีหน้าหนักใจ
ฮูหยินอ่านจดหมายของอสูรเทวา โดยมีเฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเก้านั่งฟังอย่างตั้งใจ
“ได้ยินชื่อเสียงเจ็ดผู้กล้าคุณธรรมมานาน อยากทำความรู้จักยิ่งนัก จึงขอส่งเทียบเชิญฉบับนี้ เวลาคือเย็นนี้ สถานที่คือ...”
ฮูหยินหยุดอ่าน เมื่อเห็นกังฟูเดินเข้ามา
“อสูรเทวาส่งสาส์นท้ารบมาเหรอครับ” กังฟูถาม
“รู้จักอสูรเทวาด้วยเหรอ” ฮูหยินถามกลับ
กังฟูเงียบไป
“ลื้อรู้อะไรอีกมั่ง” ฮูหยินถาม
“พวกมันเป็นพรรคมาร” กังฟูบอก
“ใช่”
“อาจารย์แม่ ขอศิษย์ไปด้วย เผื่อศิษย์จะช่วยอะไรได้”
ฮูหยินขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบออกมา “ตกลง”
กังฟูยิ้มดีใจ
“เจ้ากลับไปเตรียมตัวให้ดี เย็นนี้เจอกันที่ตรอกบัวขาว”
“อาจารย์แม่โปรดวางใจ ถึงแม้ศิษย์ฝีมทือไม่สูงนักแต่ศิษย์ก็จะทำตัวให้เป็นประโยชน์กับอาจารย์ทุกท่าน” “ดีมาก...ลื้อกลับไปก่อนเถอะกังฟู พวกอั๊วต้องเตรียมตัวอะไรอีกหลายอย่าง แล้วไปเจอกันที่ตรอกบัวขาว”
“แล้วที่นี่มีอะไรที่ศิษย์ช่วยได้ไหมครับ” กังฟูถาม
“ไม่มี” ฮูหยินตอบทันที
“ปัดกวาดเช็ดถูล้างถ้วยล้างชามอะไรก็ได้ครับ”
“บอกให้ไปก็ไปสิ” ฮูหยินว่า
สีหน้าฮูหยินดูชักจะไม่พอใจ กังฟูกลัวฮูหยินโกรธจึงไม่กล้าเซ้าซี้
“ศิษย์ขอลา”
กังฟูรีบเดินออกไป เฮียเก้ายื่นหน้ามาดูในจดหมายของอสูรเทวา
“เอ๊ะ ไหนวะตรอกบัวขาว”
ฮูหยินรีบเอานิ้วทาบปากให้เฮียเก้าเงียบเพราะกลัวกังฟูจะได้ยิน ฮูหยินกระซิบเบาๆ
“อั๊วไม่ไว้ใจกังฟู พวกลื้อไม่เห็นเหรอ ตอนคนของอสูรเทวามา มันสบตากันเหมือนรู้จักกันมาก่อน”
“แล้วลื้อไปหลอกมันทำไมว่าเจอกันที่ตรอกบัวขาว” เฮียเฉินว่า
“ถ้ามันเป็นไส้ศึกของอสูรเทวา ถึงอั๊วหลอกมันว่าเจอกันที่ตรอกบ้าตรอกบออะไรก็เท่านั้นเย็นนี้มันก็ไปถูกที่อยู่ดี”
ฮูหยินหยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“แต่ถ้ามันเป็นเด็กดี หลอกมันไปที่ตรอกบัวขาวก็ดีแล้ว ถึงมันอยากช่วยเราแต่ฝีมืออย่างมัน ไปด้วยก็เหมือนไปตายเปล่าๆ สู้ให้มันอยู่รอดเพื่อรักษาคณะงิ้วของพวกเราต่อไปดีกว่า”
“ในกรณีที่พวกเราไม่รอดใช่ไหม”
“ใช่”
ทุกคนเงียบลง เฮียเฉินจับมือฮูหยิน
กังฟู เฮียเต๋า และติงลี่นั่งกันอยู่ตรงนอกบ้าน กังฟูเล่าเรื่องให้เฮียเต๋ากับติงลี่ฟัง
“แปลกจัง ทำไมนัดเจอที่ตรอกบัวขาว ที่นั่นถึงจะกว้างขวาง แต่ก็ค่อนข้างพลุกพล่าน ชาวบ้านเยอะแยะ จะตีกันสะดวกเหรอ” เฮียเต๋าว่า
“นั่นสิ...ความจริงตีกันที่ไหนสะดวกสุดรู้ไหม” ติงลี่ถาม
“ที่ไหนวะ”
“ที่โรงงิ้วนั่นแหละ กว้างขวาง มิดชิด ตีกันให้ตายยังไงก็ไม่มีใครโทรไปแจ้งความบอกตำรวจมาขัดจังหวะ”
“ถ้าเป็นไปอย่างที่พวกเฮียว่า แปลว่าพวกอสูรเทวามันต้องวางแผนอะไรอีกขั้นนึงแน่”
เฮียเต๋ากับติงลี่นั่งคิด
“นึกไม่ออกแฮะ ในทางพิชัยสงครามแถวนั้นก็ไม่มีอะไรโดดเด่น จะรุกจะรับจะวางกับดักก็ไม่ดีซักอย่าง”
เมลดาเดินออกมาจากในบ้าน
“มิเชลเป็นไงบ้างครับ” กังฟูถาม
“ยังไม่ได้สติ แต่ดีขึ้น ลมหายใจปกติ ชีพจรปกติ”
“ก็ดีครับ หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรมากเกินไปนัก” กังฟูบอก
“ได้ยินแว่วๆว่าคุณจะไปช่วยอาจารย์สู้กับอสูรเทวาเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ฉันจะไปด้วย”
“คุณเม...มันเสี่ยงมากนะครับ”
“ฉันรู้ แต่อสูรเทวาคือศัตรูของฉันเหมือนกัน”
“ตกลงครับ”
กังฟูกับเมลดาจับมือแล้วยิ้มให้กัน ติงลี่กับเฮียเต๋าทำหน้าเอียน
ฮูหยินกับเฮียเฉินพาบู๊ลิ้มมาหาเฮียป้อ ฮูหยินเล่นกับบู๊ลิ้มอยู่หน้าบ้านปล่อยให้เฮียเฉินคุยกับเฮียป้อในห้องโถงที่เปิดโล่ง
“อะไรนะ ลื้อจะให้อั๊วเลี้ยงดูบู๊ลิ้มเนี่ยนะ” เฮียป้อถาม
“ใช่” เฮียเฉินบอก “อาป้อ ลื้อไม่ใช่คนในยุทธจักร อั๊วอธิบายไป ลื้อก็ไม่เข้าใจ แต่มีเรื่องบางเรื่องเราไม่ทำไม่ได้ ถึงอันตรายแค่ไหนก็ต้องทำ ถึงรู้ตัวว่าอาจจะตายก็ต้องทำ”
เฮียป้อถอนใจ
“อั๊วไม่ใช่คนในยุทธจักร อั๊วไม่เข้าใจจริงๆว่าจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการเลี้ยงดูลูกวะ”
“มีคำกล่าวว่า คนในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง ... อั๊วก็อยากทำอย่างที่ลื้อว่าแต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้”
“อาเฉิน อั๊วรับปากลื้อได้ อั๊วอยากมีลูกแต่ไม่มีลูก เลี้ยงบู๊ลิ้มก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ว่านะสำหรับบู๊ลิ้ม ต่อให้มีอั๊วอีกร้อยคนก็สู้ลื้อคนเดียวไม่ได้”
“อั๊วรู้...อั๊วรู้สึกผิด...แต่อั๊วไม่เปลี่ยนใจแล้ว ถ้าโชคดี อั๊วรอดกลับมาได้อั๊วก็จะเป็นพ่อของบู๊ลิ้มต่อไป แต่ถ้าโชคร้าย...ทั้งหมดขอฝากลื้อด้วย ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดที่อั๊วกับฮูหยินมี อั๊วทำพินัยกรรมยกให้ลื้อ”
“ไอ้หยา นี่ลื้อเตรียมการกันขนาดนี้แล้วเหรอ”
เฮียเฉินพยักหน้า
“เอาเถอะ อั๊วรับปากลื้อจะดูแลอาบู๊ลิ้มให้ดีเหมือนลูกของอั๊วคนหนึ่ง ลื้อไม่ต้องห่วง” เฮียป้อว่า
เฮียเฉินลงจากเก้าอี้แล้วคุกเข่าคำนับเฮียป้อ
“ขอบคุณ”
เฮียป้อตกใจจึงรีบมาประคองเฮียเฉิน
“ไม่ต้องๆ”
“ขอบคุณลื้อจริงๆ” เฮียเฉินบอก
“ยังไงก็กลับมาเหอะนะ คิดซะว่าเห็นแก่บู๊ลิ้ม”
เฮียเฉินหันไปมองบู๊ลิ้มกับฮูหยินที่หน้าบ้าน
เฮียเฉินกับฮูหยินคุยกับบู๊ลิ้มที่หน้าบ้านของเฮียป้อ
“บู๊ลิ้ม คืนนี้ป๊ากับม้าจะไปทำธุระที่อื่น ลื้ออยู่บ้านเฮียป้อไปก่อนนะ” เฮียเฉินบอก
“แล้วป๊ากับม้าจะกลับดึกไหมครับ” บู๊ลิ้มถาม
“คงไม่ดึกหรอก แต่ถ้ากลับมาไม่ทัน ลื้อก็นอนค้างบ้านเฮียป้อไปก่อนนะ” ฮูหยินบอก
“ได้ครับ”
“เดี๋ยวป๊ากับม้าจะไปแล้ว มา ขอกอดหน่อยซิ”
เฮียเฉินกอดบู๊ลิ้ม
“มา ขอหม่าม้ากอดด้วย”
ฮูหยินกอดบู๊ลิ้ม บู๊ลิ้มเอะใจ
“อะไรเนี่ย วันนี้มาแปลกๆทั้งสองคนเลย มีอะไรปิดบังผมรึเปล่า”
เฮียเฉินหัวเราะกลบเกลื่อน
“อะไร กอดแค่นี้ต้องทำเป็นระแวงด้วย ...หึๆๆ”
เฮียเฉินฝืนหัวเราะ ขณะที่ฮูหยินทำท่าจะร้องไห้ก่อนจะหันไปทางอื่นเพื่อพยายามกลั้นน้ำตา เฮียป้อเห็นเหตุการณ์ก็รีบเข้ามา
“บู๊ลิ้ม อั๊วนึกได้ว่าจะไปร้านหนังสือ ไปด้วยกันไหม เผื่อลื้อจะได้ไปซื้อการ์ตูนด้วย” เฮียป้อถาม
“ไปสิครับ”
เฮียป้อพาบู๊ลิ้มเดินออกไป บู๊ลิ้มหันกลับมามองเฮียเฉินกับฮูหยินแว่บหนึ่ง เฮียป้อยังฝืนหัวเราะอยู่จนเมื่อเฮียป้อพาบู๊ลิ้มเดินเลี้ยวลับตาไป เฮียเฉินก็หยุดหัวเราะแล้วกัดกรามแน่น
“บู๊ลิ้ม ป๊าขอโทษนะ”
ฮูหยินกอดเฮียเฉินร้องไห้โฮ
กังฟูกับเมลดาอยู่ในชุดแต่งตัวรัดกุมเตรียมออกศึก ทั้งสองทั้งเท่ หล่อ และสวย เมลดาคุยกับเฮียเต๋าและติงลี่
“ฝากดูมิเชลด้วยนะ” เมลดาบอก
“ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” ติงลี่รับปาก
“ถึงภายนอกพวกเราจะดูลามก แต่ลึกลงไปเราเป็นคนดี แต่ลึกลงไปอีกทีก็ลามกจริงๆนั่นแหละ แต่ลึกที่สุดของที่สุดเลย เราเป็นคนดีจริงๆ”
“ไม่ต้องทำเป็นพูดเล่นหรอกครับ ผมรู้ว่าพวกคุณเป็นคนดี” กังฟูว่า
เฮียเต๋ากับติงลี่ยิ้มปลื้ม
“ตาแหลมๆ” ติงลี่ว่า
เมลดาบอกกังฟู “ไปเถอะ”
เมลดากับกังฟูเดินออกไป มิเชลลืมตาขึ้นพอดี
“เดี๋ยว...” มิเชลพูด
ทุกคนหันมามองมิเชลก่อนจะเข้ามาดูเธอ
“รู้สึกเป็นไงบ้าง” เมลดาถาม
“พวกเธอจะไปไหน” มิเชลถาม
กังฟูลังเลนิดหนึ่งแต่ก็ตัดสินใจบอกความจริง
“ไปช่วยอาจารย์ของผมสู้กับจางซื่ออาจารย์ของคุณ” กังฟูบอก
“พวกคุณสู้อาจารย์ไม่ได้หรอก เขาเก่งมาก” มิเชลว่า
“แต่ผมรู้ว่าพวกเขาฝึกค่ายกลดอกเหมย”
“ค่ายกลดอกเหมย”
“ใช่ มีอาจารย์ของผมสี่คนแล้วก็พายุ”
“พายุ?”
“ศิษย์พี่ผม”
“ศิษย์พี่คุณทำงานให้จางซื่อ” มิเชลบอก
“จริงเหรอ...ที่แท้เขาทำงานให้จางซื่อเพื่อเป็นไส้ศึกจางซื่อ สืบข้อมูลมาให้พวกอาจารย์ งั้นผมต้องรีบไปเตือนเขา ถ้าจางซื่อรู้ความจริงอาจจะฆ่าเขาก็ได้”
มิเชลหัวเราะ
“กลับกันแล้วกังฟู พายุเป็นไส้ศึกอาจารย์คุณต่างหาก”
กังฟูอึ้งไป
“ผมไม่เชื่อคุณหรอก พวกอาจารย์เลี้ยงดูพายุมาตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่มีทางทรยศอาจารย์หรอก”
“แต่เฮียว่าพายุมันทำได้ว่ะ”
“ไม่...เป็นไปไม่ได้ ถึงศิษย์พี่จะไม่ใช่คนดีนัก แต่ก้ไม่เลวขนาดที่จะทรยศพวกอาจารย์หรอก พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์พี่ทรยศจางซื่อต่างหาก”
“กังฟู เรื่องนี้มีความสำคัญมาก ถ้ามิเชลพูดจริง อาจารย์คุณตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้ามิเชลโกหก พายุก็ตกอยู่ในอันตราย เรารีบไปดูกันเถอะ”
“ตรอกบัวขาว”
กังฟูวิ่งตะบึงออกไป เมลดาวิ่งตามไปด้วย
“ฉันไปด้วย”
มิเชลทำท่าจะลุกตามแต่แล้วก็จุก ติงลี่กับเฮียเต๋ารีบเข้ามาดู
“ใจเย็นก่อน”
“พวกเขาสองคนช่วยไม่ได้หรอก คนน้อยเกินไป ฝีมือไม่สูงพอ” มิเชลบอก
เฮียเต๋ากับติงลี่หยุดใช้ความคิด
“เค้าพูดถูก” ติงลี่ว่า
“อืม...งั้นต้องลองหาทางอื่น” เฮียเต๋าบอก
พายุเดินเข้ามา ฮูหยิน เฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเต๋าแต่งชุดรัดกุมพร้อมอยู่แล้ว
“คำนับอาจารย์ ขอโทษครับที่ศิษย์มาสาย” พายุบอก
“ไม่เป็นไร มาสายดีกว่าไม่มา” เฮียเฉินว่า
“พายุ ลื้อกลัวมั้ย” เฮียเก้าถาม
“ถ้ากลัวคงไม่มา”
“ดี พูดได้ดี กล้าหาญสมเป็นลูกผู้ชาย”
“เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม” ฮูหยินถาม
“ครับ” พายุตอบ
ฮูหยินดุพายุแต่สายตาแสดงความพึงพอใจ
“พายุ ลื้ออายุยังน้อย แต่เมื่อเจอศึกใหญ่หลวงแบบนี้ ลื้อยังดูเยือกเย็น ไม่ลนลาน นับว่าขวัญกล้าเทียมฟ้า อั๊วภาคภูมิใจในตัวลื้อจริงๆ”
“ขอบคุณอาจารย์แม่ ที่ศิษย์ไม่ตื่นเต้นเพราพวกเราฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี คำนวณทุกอย่างถี่ถ้วน มั่นใจว่าลงมือแล้วต้องประสบความสำเร็จแน่นอน เมื่อมีความเชื่อมั่น ศิษย์จึงไม่แตกตื่นลนลาน”
“ดี ขอให้เป็นอย่างที่ลื้อพูด” เฮียเฉินบอก
พายุยิ้มรับ ฮูหยินมองพายุด้วยสายตาชื่นชม
เฮียเต๋า ติงลี่ และมิเชลเดินออกมาหยุดริมถนนเพื่อรอเรียกแท็กซี่ ติงลี่หันไปถามมิเชล
“พอไหวมั้ย”
“ถ้าไม่ต้องใช้แรงก็พอไหวค่ะ” มิเชลบอก
“ไม่ต้องห่วง แผนของเราไม่ต้องใช้แรงอะไรมาก”
“ข้อที่ดีที่สุดของแผนนี้คือไม่ว่าจางซื่อจะนัดไปประลองกันที่ไหน เราก็ช่วยพวกนั้นได้ หึๆ”
แท็กซี่คันหนึ่งวิ่งมา ติงลี่โบกเรียก แท๊กซี่จอด ทั้งสามขึ้นไปบนแท็กซี่แล้วแท็กซี่ก็ขับออกไป
กังฟูกับเมลดาเดินมาที่ตรอกบัวขาวซึ่งเป็นย่านชุมชนย่านหนึ่งเห็นทุกอย่างดูปกติ กังฟูกับเมลดามองซ้ายมองขวาด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
“ไม่เห็นพวกอาจารย์หรือพวกอสูรเทวาเลย” กังฟูว่า
“แน่ใจนะว่าฟังมาไม่ผิด” เมลดาถาม
“ตรอกบัวขาวแน่ๆ”
“ฉันว่ามันแปลกๆนะกังฟู นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาต่อสู้กันเลย”
“ก็จริง...แต่อาจารย์แม่บอกว่าตรอกบัวขาวจริงๆนะ”
กังฟูมองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางร้อนรน
รถหรูแล่นมาจอดหน้าโรงงิ้ว โดยที่อาเฟยซึ่งเป็นขับรถลงมาเปิดประตูให้ จางซื่อลงจากรถแล้วเงยหน้ามองป้าย
“ห้าผู้กล้าคุณธรรม...หึๆ”
จางซื่อหัวเราะแล้วก็เดินเข้าไปในโรงงิ้ว อาเฟยเดินตามเข้าไปด้วย
จางซื่อกับอาเฟยเดินเข้ามาในโรงงิ้วจนเจอพวกห้าผู้กล้าคุณธรรมนั่งเรียงแถวหน้ากระดาน อกผายไหล่ผึ่ง ดูสง่างาม โดยมีฮูหยินนั่งอยู่ตรงกลาง
จางซื่อคำนับ
“ห้าผู้กล้าคุณธรรม จากกันมานาน สบายดี”
“สบายดี” ฮูหยินตอบ
“ไม่เชิญอั๊วนั่งกินน้ำชาหน่อยรึ” จางซื่อถาม
“ไม่จำเป็น เราท่านไม่ใช่มิตรสหาย อย่าเสแสร้งทำเป็นมีมารยาท”
“จะมาตีกันก็อย่ามัวพูดมาก”
“อสูรเทวา ก่อความเดือดร้อนไปทั่ว วันนี้พวกเราขอหยุดลื้อเอง”
จางซื่อหัวเราะ
“ดูท่ารีบร้อนอยากตายกันซะจริงๆ”
ห้าผู้กล้าลุกขึ้นแล้วเดินออกมาประจัญหน้ากับจางซื่อ
“ได้ยินมานาน หัวหน้าสำนักอสูรเทวาจางซื่อ วิทยายุทธยอดเยี่ยมไม่แพ้จางเหลียงในอดีตดังนั้นวันนี้พวกเราห้าผู้กล้า ขอทอดทิ้งศักดิ์ศรี ใช้คนมากเข้ากลุ้มรุม หวังว่าจะไม่คิดเล็กคิดน้อย”
“ดี...พูดจาชัดเจนเปิดเผยน่านับถือ ตกลง อั๊วคนเดียวขอรับรู้ฝีมือของห้าผู้กล้าคุณธรรม..อาเฟย ลื้อแค่ดูอยู่วงนอก ไม่ว่าฉันจะแพ้หรือชนะยังไงก็ห้ามแกลงมือเกี่ยวข้อง”
“ครับ”
ห้าผู้กล้าตั้งค่ายกล จางซื่อยิ้มเล็กน้อย
“ค่ายกลดอกเหมย” ฮูหยินบอก
“น่าสนใจ” จางซื่อว่า
จางซื่อเดินดูรอบๆ ค่ายกล ห้าผู้กล้าหันตามจางซื่อไปตลอดทาง
จางซื่อร้องย้ากแล้วพุ่งเข้าใส่เฮียหล่อ เฮียหล่อรับมือ ขณะเดียวกันอีกสี่คนก็เข้ามาโอบล้อมจางซื่อ ทั้งสองฝ่ายผลัดกันบุกผลัดกันถอย การประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว พายุที่อยู่ในค่ายกลร่วมมือกับพวกอาจารย์บุกใส่จางซื่อ
กังฟูกับเมลดาหันรีหันขวางอยู่ในตรอก
“กังฟู มีอะไรผิดแน่ๆ” เมลดาว่า
“แต่อาจารย์แม่...”
“รีบกลับไปดูที่โรงงิ้วเถอะ”
“แต่ถ้าเราไป แล้วเขามาสู้กันที่นี่ล่ะ”
“กังฟู เห็นชัดๆแล้ว เขาไม่สู้กันที่นี่หรอก”
“อาจารย์แม่โกหกผมเหรอ...” กังฟูอึ้งไป
“อย่าเพิ่งคิดมาก รีบกลับไปโรงงิ้วเร็ว” เมลดาบอก
“ครับ”
เมลดากับกังฟูรีบออกไปจากตรอกบัวขาว
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 11 (ต่อ)
อาเฟยมีสีหน้าสบายใจในขณะที่ดูจางซื่อสู้กับค่ายกลดอกเหมย ในตอนแรก จางซื่อมีท่าทางปลอดโปร่ง โดยสู้กับค่ายกลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ต่อมาการต่อสู้ยิ่งดุเดือด ข้าวของรอบข้างพังเสียหาย เสียงปล่อยหมัดปล่อยเท้าดังเหมือนพายุ เสียงหมัดเท้ากระทบกันหนักแน่นเหมือนแผ่นดินไหว ห้าผู้กล้ารุกไล่จางซื่อตลอดเวลาไม่มีปล่อยให้หยุดพัก จางซื่อเริ่มมีสีหน้าหนักใจ มือไม้ของเขาปั่นป่วน ขณะที่ห้าผู้กล้ายังดูเหมือนตอนแรกด้วยการผลัดกันรุมจางซื่อ อาเฟยที่อยู่วงนอกเริ่มเครียดแทนจางซื่อ ในที่สุดจางซื่อก็พลาดโดนเฮียเฉินฟาดใส่ จางซื่อตั้งหลักแต่ก็โดนฮูหยินเตะใส่ แต่จางซื่อยังคงเป็นยอดฝีมือ เขาซัดกลับใส่เฮียเก้ากับเฮียเฉินไปคนละดอก จางซื่อก็เริ่มเหนื่อยหอบ แต่พวกห้าผู้กล้าก็ไม่ได้ปล่อยจางซื่อไปเลย ทั้งห้ากลับยิ่งระดมบุกหนักขึ้นเรื่อยๆ
กังฟูกับเมลดาวิ่งหน้าตั้งมาเห็นรถจางซื่อจอดอยู่
“มีคนมาที่โรงงิ้ว ... หรือว่า พวกเฮียติงลี่จะพูดถูก” กังฟูว่า
เมลดาพูด “รีบไปดูเถอะ”
กังฟูกับเมลดารีบเข้าไปก็เจออาเฟยยืนดูอยู่ที่มุมหนึ่ง อาเฟยไม่ทันเห็นกังฟูกับเมลดาเพราะใจมัวจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ สีหน้าอาเฟยไม่สู้ดี จางซื่อยังคงรับมือกับการโจมตีแบบน็อนสต็อปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น ขณะเดียวกัน พวกห้าผู้กล้าก็เริ่มเหนื่อยอ่อน
“ศิษย์พี่อยู่ในค่ายกลด้วย เล่นงานจางซื่ออยู่หมัดเลย” กังฟูบอก
“ฉันไม่รู้จักวิทยายุทธของจีน แต่ฉันว่าแปลกๆนะ” เมลดาว่า
“แปลกยังไงครับ”
“ฉันก็อธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกว่าการต่อสู้ของพายุมันดูหลอกๆยังไงไม่รู้”
จางซื่อตั้งสบตากับพายุ พายุพยักหน้านิดนึง วินาทีต่อมา ฮูหยินก็จู่โจมใส่จางซื่อ พายุที่อยู่ด้านหลังฮูหยินเกร็งหมัดขึ้นแล้วต่อยออกไปสุดแรงเกิดโดยหมัดกระแทกชายโครงฮูหยินเต็มๆ ฮูหยินชะงักแล้วหันมามองพายุด้วยสายตาไม่เข้าใจ จางซื่อได้โอกาสก็ฟาดฝ่ามือใส่หลังฮูหยิน ฮูหยินถลามาหาพายุ พายุกำหมัดแน่นแล้วเงื้อขึ้น
กังฟูร้องลั่น “อย่า”
พายุต่อยหมัดเข้าที่กลางลำตัวจนฮูหยินกระเด็นไปไกลแล้วล้มฟุบ
เฮียเฉิน เฮียเก้า และเฮียหลอชะงักไปคนละหลายวินาที
“พายุ ลื้อ...” เฮียเฉินจะพูด
จางซื่อไม่ปล่อยให้เฮียเฉินมีโอกาสพูด เขาระดมปล่อยหมัดเท้าใส่เฮียเฉินไม่ยั้ง เฮียเก้ากับเฮียหลอช่วยกันต้านโดยสู้ไปถอยไป พายุลงมือช่วยจางซื่อสู้กับพวกสามเฮีย
“พายุ ไอ้ชาติชั่ว วันนี้อั๊วขอฆ่าลื้อให้ตาย อั๊วไม่น่าเก็บลื้อมาเลี้ยงเลย” ฮูหยินว่า
พายุชะงักหันไปมองจางซื่อแว่บหนึ่ง เขาเห็นจางซื่อตั้งสมาธิกับการต่อสู้เต็มที่โดยไม่ได้มองไปทางอื่น พายุพุ่งไปหาฮูหยินแล้วเอานิ้วทาบริมฝีปาก
“จุ๊ๆ เรื่องนั้นเป็นความลับนะครับ”
กังฟูรีบวิ่งมา
“ศิษย์พี่ อย่านะ...”
พายุไม่สนใจกังฟู เขารวบหมัด
“ฉันมองแกผิดไป ไอ้ลูกกรรมกร” ฮูหยินว่า
พายุต่อยสุดแรงเข้าที่ลิ้นปี่ฮูหยิน ฮูหยินกระอักเลือดพรวดมองพายุด้วยสายตาอ่อนแรงและไม่มีแววตา
“พายุ...ฉันนึกไม่ถึง...”
พายุรัวต่อยปักๆๆ จนฮูหยินนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง
“อาจารย์แม่”
กังฟูวิ่งมาหาฮูหยิน พายุไม่สนใจกังฟู เขาร่วมมือกับจางซื่อสู้กับสามเฮีย สามเฮียมือไม้ปั่นป่วน โดยเฉพาะเฮียเฉินที่มองที่ฮูหยินตลอดเวลา
“ฮูหยิน ฮูหยิน ตอบอั๊วสิ ฮูหยิน”
แต่จางซื่อไม่เปิดโอกาสให้เฮียเฉินไปหาฮูหยินจนเฮียเฉินเสียสมาธิโดนฝ่ามือจางซื่อกระเด็นไป
กังฟูวิ่งเข้ามาดูฮูหยิน
“กังฟู...อั๊ว...ขอ...โทษ...”
ฮูหยินแน่นิ่ง ไม่หายใจ กังฟูร้องตะเบ็ง
“อาจารย์แม่...”
กังฟูกำหมัดแน่น น้ำตารินไหล เขากัดปากแน่นแล้ววางร่างฮูหยินลงอย่างอ่อนโยนก่อนจะลุกขึ้นมองไปที่พายุแล้วชี้หน้าตะโกนลั่น
“พายุ”
พายุหันมามองกังฟูแว่บหนึ่งแล้วไม่สนใจกังฟูอีก
“นับแต่วันนี้ ลื้อกับอั๊วขาดกัน” กังฟูประกาศ
พายุหัวเราะแล้วหันมาตอบกังฟูแว่บหนึ่ง
“ถุย เศษสวะอย่างลื้ออั๊วไม่เคยนับเป็นพี่น้องตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้ซีปังโต้ว ไอ้ซื่อบื้อ”
กังฟูไม่สนใจ เขาเดินเข้ามาหาพายุ พายุไม่สนใจกังฟูเพราะว่าเขากำลังสู้กับเฮียเก้าอยู่ พายุรู้ตัวอีกทีก็โดนกังฟูเตะเปรี้ยงจนเซถลาออกไป เฮียเก้ารีบกลับไปช่วยเฮียเฉินกับหลอสู้กับจางซื่อ พายุหันมามองก็เห็นกังฟูที่กำลังเตะเขา พายุโกรธจัด
“ไอ้ชาติหมา กล้าเตะอั๊วเหรอ อั๊วจะฆ่าลื้อเดี๋ยวนี้แหละ ไอ้ลูกหมา”
อาเฟยมองมาด้วยความรู้สึกสนุก เขายิ้มที่มุมปากแล้วพูดเบาๆ
“ไอ้พายุ นึกว่ามันหมูเหรอไง ระวังเจอหมูป่านะโว้ย ฮ่าๆๆ”
เมลดาใจหายจึงตะโกนบอก
“กังฟู ถอยมา”
พายุชี้หน้ากังฟู
“ฝีมือเท่าเด็กสิบขวบ ยังกล้าเสนอหน้าอีก ไอ้หน้าโง่ ตายซะเถอะ”
พายุบุกเข้าใส่โดยกะจะอัดกังฟูให้เต็มที่ พายุเงื้อหมัดแต่ยังไม่ทันได้ปล่อยหมัดก็โดนกังฟูต่อยสวนออกมาก่อน พายุกระเด็น กังฟูร้องลั่นแล้วบุกเข้าใส่พายุก่อนจะรัวอีกหลายหมัด พายุเซถลาแล้วก็ตั้งหลักได้
“อะไรวะเนี่ย”
กังฟูบุกเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้พายุไม่ประมาทแล้ว เขาตั้งรับอย่างมีสมาธิ ทั้งสองสู้กันอย่างสูสี
เฮียเฉินจะวิ่งไปหาฮูหยิน
“ไอ้เฉิน” เฮียหลอเรียก
เฮียเฉินหันมา พอเขาไม่อยู่ เฮียหลอกับเฮียเก้าสู้กับจางซื่อไม่ได้ ทั้งสองโดนรุกไล่ เมลดาเข้ามาช่วยก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เฮียเฉินมองไปที่ฮูหยินแต่ก็ต้องจำใจกระโดดเข้าไปช่วยเพื่อนสู้กับจางซื่อ แต่ขนาดสี่รุมหนึ่งยังทำอะไรจางซื่อไม่ได้แถมยังโดนจางซื่อเล่นงานอีกต่างหาก
พายุสู้กับกังฟูได้สักพักก็ออกอาการเพราะจุดที่พายุโดนกังฟูซัดเต็มๆ เริ่มส่งผล กังฟูเจ็บแปลบที่จุดนั้น จนต้องถอยร่นเพราะสู้กังฟูไม่ได้ จางซื่อหันมาเห็น
“อาเฟย ช่วยมันด้วย” จางซื่อสั่ง
“ครับ”
อาเฟยมองกังฟูกับพายุสู้กันอยู่ อาเฟยเกร็งลมปราณ สักครู่เล็บของอาเฟยก็กลายเป็นสีดำ อาเฟยขยับเดินเข้าไปแต่แล้วก็ได้ยินเสียงมือถือดังมาจากในรถ อาเฟยลังเลวูบหนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่รถแล้วเปิดประตูรับสาย อาเฟยมีสีหน้าเปลี่ยนไป13
“รู้แล้ว” อาเฟยพูด
อาเฟยวางสาย
“อาจารย์...”
จางซื่อหันมามองหน้าอาเฟยก็เห็นอาเฟยสีหน้าไม่ดี จางซื่อเอะใจจึงผละมือจากสามเฮียแล้วกระโดดลอยตัวลงมาหาอาเฟย อาเฟยลดเสียงลง
“มีคนโจมตีสำนักครับ”
จางซื่อขมวดคิ้วก่อนจะหันไปดูพายุที่กำลังโดนกังฟูเล่นงานอยู่ จางซื่อกระโดดไปตกลงกึ่งกลางระหว่างทั้งคู่ กังฟูไม่สนใจ เขาระดมหมัดต่อยใส่จางซื่อ จางซื่อแค่นเสียง หลบหลีกแล้วปาดมือไม่กี่ครั้งก็เล่นงานกังฟูจนกระเด็นไป จางซื่อจับคอเสื้อพายุ
“ไป”
จางซื่อโยนพายุไปทางอาเฟยแล้วหันไปหาสามเฮีย
“ค่ายกลดอกเหมยร้ายกาจนัก ให้เวลาพวกเจ้าไปปรับปรุง แล้วเจอกันใหม่”
จางซื่อกระโดดลอยตัวไปลงที่ข้างรถ พวกสามเฮียมองตามจางซื่อไป
เกิดไฟไหม้ที่สำนักอสูรเทวา พวกลูกน้องวิ่งดับไฟกันวุ่นวาย ขณะที่ภายนอกมีกลุ่มหัวโจ๋สวมชุดดำกลุ่มหนึ่งโจมตีด้วยการขว้างก้อนอิฐเข้าไป โจ๋ชุดดำกลุ่มหนึ่งแอบปีนหน้าต่างออกมาจากภายในตึกแล้ววิ่งข้ามถนนไปที่ตรอกแห่งหนึ่ง ติงลี่ เฮียเต๋า และมิเชลซุ่มสังเกตการณ์อยู่ อาเคี้ยง เด็กหนุ่มท่าทางแสบเอาเรื่องเป็นหัวโจกของกลุ่มโจ๋ อาเคี้ยงเข้ามาหาเฮียเต๋า เฮียเต๋ากับติงลี่ปรบมือให้ก่อนจะตบไหล่อย่างสนิทสนม
“สุดยอดเลยอาเคี้ยง เก่งจริงๆ ใจถึงพึ่งได้” เฮียเต๋าชม
“พวกผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเฮีย ตั้งแต่ไอ้อสูรเทวามันขึ้นมาเป็นใหญ่ มันเพิ่มค่าคุ้มครองจนพ่อค้าอย่างพ่อแม่ผมเหลือแต่กระดูก แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ได้เอาคืนวันนี้ สะใจจริงๆ”
อาเคี้ยงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งกับพวงกุญแจพวงหนึ่งคืนให้มิเชล กระดาษเขียนแผนผังภายในของสำนักอสูรเทวา
“ได้แผนที่ภายในกับพวงกุญแจผีนี่ งานพวกผมง่ายยังกะปอกกล้วยเข้าปาก”
“ไม่ใช่กุญแจผีนะ กุญแจจริงๆ” มิเชลบอก
มิเชลส่งพวงกุญแจคืนให้อาเคี้ยง
“รบกวนเคี้ยงเอากุญแจเขวี้ยงใส่หัวพวกมันซักคน จางซื่อมันจะได้รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ”
อาเคี้ยงรับพวงกุญแจมา
“ได้ครับ”
“อาเคี้ยง บอกทุกคนถอยได้แล้ว เดี๋ยวพวกตัวเจ๋งๆกลับมาจะหนีไม่ทัน”
“ครับ เมื่อกี้ตอนออกมาผมเห็นพวกมันโทรศัพท์ออกไปหาเจ้านายมันแล้ว”
“จริงเหรอ งั้นถือว่าแผนล้อมเว่ยช่วยเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว” เฮียเต๋าว่า
“ล้อมเว่ยช่วยจ้าว คืออะไร” มิเชลถาม
“สมัยจ้านกว๋อ แคว้นเว่ยบุกไปโจมตีแคว้นจ้าว แคว้นจ้าวขอให้แคว้นฉีที่เป็นพันธมิตรยกทหารไปช่วยรบ กุนซือแคว้นฉีใช้กลยุทธพิสดาร แทนที่จะยกทัพไปจ้าวเพื่อสู้กับทหารเว่ย กลับยกทัพไปตีเมืองหลวงของเว่ย แคว้นเว่ยต้องรีบถอนทัพจากแคว้นจ้าวกลับไปปกป้องเมืองหลวงของตนเอง นี่คือที่มาของกลยุทธล้อมเว่ยช่วยจ้าว”
มิเชลพยักหน้าเข้าใจ
“แผนนี้สำเร็จได้ ต้องขอบคุณอาเคี้ยงมาก” ติงลี่บอก
“เช่นกันครับ”
อาเคี้ยง หันไปสั่งลูกน้องที่ตามมา
“เฮ้ย บอกพวกเรา ถอนตัวเดี๋ยวนี้”
พวกลูกน้องรับคำ อาเคี้ยงกับลูกน้องแยกย้ายกันออกไป ติงลี่ เฮียเต๋า และมิเชลเดินเข้าไปในตรอกก่อนจะหายไปในความมืด
เฮียหลอ เฮียเก้า กังฟู และเมลดายืนดูเฮียเฉินกำลังกอดศพฮูหยิน
“ฮูหยิน...”
เฮียเฉินกำหมัดแน่นมองร่างฮูหยิน แล้วเขาก็จับมือฮูหยินขึ้นมาบีบ
ภาพเหตุการณ์ในอดีต ณ ถนนสายเล็กๆแห่งหนึ่งที่สองข้างเป็นสุมทุมพุ่มไม้ เฮียเฉินใส่เครื่องนักศึกษามหาวิทยาลัยฮ่องกงเดินอยู่ริมทาง ฮูหยินขี่จักรยานสวนมา เฮียเฉินเงยหน้าขึ้นพอดีก็เห็นหน้าฮูหยิน เฮียเฉินตะลึง เพราะรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอจนต้องอุทานเสียงดัง
“โอ๊ะ”
ฮูหยินขี่จักรยานมาเพลินๆ ตกใจหันมามองเฮียเฉินทำให้ไม่ได้ดูทาง เฮียเฉินยังคงมองฮูหยินแบบตะลึงลาน
“อา...”
ฮูหยินยิ่งงงทำให้จักรยานเป๋ลงท้องร่องข้างทางแล้วก็ล้มโครม ฮูหยินลงไปนอนแอ้งแม้งในท้องร่อง
เฮียเฉินรีบวิ่งมาหา ฮูหยินลุกขึ้นมาไม่ได้ก็ยื่นมือขึ้นมาจะให้เฮียเฉินดึง แต่เฮียเฉินไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่ประหม่า
“สวัสดีครับ...เอ่อ...ผมชื่อเฉินครับ เฉินหลงเหล็ง”
ฮูหยินงงวูบแต่ก็ตอบไป
“ฉันชื่อฮูหยินค่ะ”
“ครับ เอ่อ ถ้า...ถ้าไม่รังเกียจ ผมขออนุญาตเป็นเพื่อนกับคุณฮูหยินได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ...อูย...นี่คุณเฉิน ช่วยฉันด้วยสิ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ จะให้ผมช่วยอะไรว่ามาเลยครับ”
“ช่วยดึงฉันขึ้นไปที”
เฮียเฉินได้สติ
“จริงด้วย...ขอโทษรับ ผมลืมไป”
เฮียเฉินจะจับมือฮูหยินแต่เขาก็ชะงักมองมือฮูหยินเหมือนเป็นของสูงส่ง
ฮูหยินเร่ง “เร็วสิคะ”
“ขอผมไปล้างมือก่อนนะครับ ผมกลัวทำมือคุณฮูหยินเปื้อน”
“ไม่ต้อง ดึงขึ้นไปที เร็วๆ”
เฮียเฉินจะจับมือฮูหยินแต่ก็ชะงักอีก
“โบราณว่าไว้ หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน”
“จะบ้าเหรอไง จับมือแค่นี้ เร็วๆสิ”
“คุณฮูหยิน คุณจะให้ผมจับมือคุณจริงๆเหรอครับ”
“ก็จริงน่ะสิ”
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ผมสัญญา จะดูแลคุณให้ดีที่สุด...ระวังนะครับ จะจับแล้วนะครับ”
ฮูหยินทำท่าเบื่อ เฮียเฉินจับมือฮูหยินแล้วดึงขึ้นมาจนได้
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“เอ่อ...”
“อย่าคิดมากครับ ผมไม่ต้องการของตอบแทนอะไรเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เอ่อ ปล่อยมือฉันได้แล้วค่ะ”
ฮูหยินดูเขินๆ เฮียเฉินถึงรู้ตัวจึงก้มมองมือของตัวเองที่จับมือฮูหยินอยู่ เฮียเฉินหัวเราะเขินๆ แต่ไม่ยอมปล่อยมือฮูหยิน
“แหม ไม่อยากปล่อยเลยครับ”
เฮียเฉินยังกุมมือฮูหยินเอาไว้
เหตุการณ์ปัจจุบัน เฮียเฉินจับมือฮูหยินแน่นแล้วร้องไห้
เฮียป้อจูงมือบู๊ลิ้มออกมา เฮียเฉินรออยู่หน้าบ้าน บู๊ลิ้มวิ่งมาหาเฮียเฉิน
“พ่อกลับมาแล้ว อั๊วกำลังเบื่อที่นี่เลย ที่นี่คับแคบมาก ทำเสียงดังก็ไม่ได้ กลับบ้านกันดีกว่า”
เฮียเฉินมองหน้าบู๊ลิ้ม บู๊ลิ้มเห็นสีหน้าเฮียเฉินก็รู้ว่ามีเรื่องผิดปกติ
“มีอะไรรึเปล่า...แล้วม้าล่ะครับ” บู๊ลิ้มถาม
“ม้าลื้อ...เค้า...”
บู๊ลิ้มยังไม่เข้าใจแต่จากสีหน้าเฮียเฉินทำให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“ม้า...”
กังฟูที่ยืนอยู่หน้าห้องมองเข้าไป เขาเห็นเฮียเฉินยืนดูร่างของฮูหยินที่อยู่บนเตียง ขณะที่บู๊ลิ้มกอดร่างฮูหยินร้องไห้ กังฟูทนดูไม่ได้จึงเดินจากมา บู๊ลิ้มยังคงกอดร่างอาจารย์แม่ร้องไห้
จางซื่อดูสำนักอสูรเทวาที่โดนไฟไหม้แต่ขณะนี้ไฟดับแล้ว ตัวอาคารไม่ได้เสียหายมากนัก แต่ภายในเละเทะแล้วเต็มไปด้วยควันและเขม่า ลูกน้องคนหนึ่งรายงายความเสียหายให้จางซื่อฟัง
“รายงานท่านเจ้าสำนัก ไฟไหม้ครั้งนี้เสียหายเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ครับ ส่วนพี่น้องเราไม่มีใครตาย มีแต่คนได้รับบาดเจ็บ”
ลูกน้องอีกคนหนึ่งเดินมาหาแล้วส่งของให้จางซื่อ
“มีพวกเราคนนึงโดนไอ้นี่ปาหัวครับ”
จางซื่อรับมาดูก็เห็นว่าเป็นพวงกุญแจ ที่พวงกุญแจมีด็อกแท็กที่มีชื่อมิเชล
“มิเชล...”
จางซื่อเค้นลมปราณแล้วขยำพวงกุญแจจนบุบบู้บี้
“ฉันจะตอบแทนเธออย่างสาสม ให้สมกับความโอหังของเธอ”
จางซื่อแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “อาเฟย”
อาเฟยเดินเข้ามาหา
“แกไปหาซิว่ามิเชลซ่อนตัวอยู่แถวไหน ถ้าไม่รู้ว่าอยู่บ้านหลังไหนก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้รู้ว่าแถวไหนก็พอ”
“ครับ”
พายุไอแค่กๆ แล้วมีสีหน้าเจ็บแปลบ
“เป็นอะไร” จางซื่อถาม
“ผมพลาดโดนไอ้กังฟูมันทำร้าย” พายุเล่า
“ฉันเห็นแล้ว ฝีมือแกไม่ได้ต่ำกว่ามัน ถ้าแกไม่ประมาทตอนแรกคงไม่เจ็บตัวขนาดนี้”
“ผมนึกไม่ถึงว่ามันจะเก่งขนาดนี้ ก่อนหน้านี้มันเป็นแค่พวกหางแถว ฝีมือกระจอกมาก”
จางซื่อมองพายุอย่างละเอียดลออ
“ตามฉันมา” จางซื่อบอก
ในห้องทำงานจางซื่อ พายุที่ยืนอยู่ถอดเสื้อออก จางซื่อมองดูร่างกายของพายุก็เห็นรอยฟกช้ำที่โดนกังฟูเล่นงาน จางซื่อดูจนพอใจก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะ
“ฉันจะหาทางให้แกเอาชนะกังฟู”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” พายุบอก
“แต่ดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย”
พายุหน้าเสีย
“หมายความว่ายังไงครับ”
“วิทยายุทธของแกถึงทางตันแล้ว” จางซื่อบอก
“ผมไม่เข้าใจ”
“ต้นไม้บางต้น รีบร้อนโตเกินไป ใส่ปุ๋ยมากเกินไป พอถึงจุดหนึ่งก็จะหยุดโต ใส่ปุ๋ยอีกเท่าไหร่ก็ไม่อาจโตขึ้นได้อีก วิทยายุทธในตัวแกเป็นแบบนั้น ไม่สามารถจะรุดหน้ามากไปกว่านี้แล้ว”
พายุตะลึง
“แต่...แล้วผมจะทำยังไง ผมอยากเก่งกว่านี้”
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันจะทำให้แกเอาชนะกังฟู”
“ท่านเจ้าสำนักโปรดเมตตา”
จางซื่อหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งจากในลิ้นชักแล้วโยนให้พายุ
“วิชานี้ทำให้แกเอาชนะกังฟู แกไม่ต้องเก่งขึ้นก็เอาชนะมันได้”
พายุมองคัมภีร์ก่อนจะหยิบขึ้นมาเก็บไว้ พายุคุกเข่าคำนับจางซื่อ
“ท่านเจ้าสำนักเมตตายิ่งนัก ผมขอกราบท่านเป็นอาจารย์”
จางซื่อรีบโบกมือ
“อย่าเลย ฉันเห็นที่แกทำกับอาจารย์ของแกวันนี้แล้วฉันไม่กล้าเป็นอาจารย์ของแกหรอก ฮ่าๆๆ”
พายุหน้าคล้ำ
“คนอย่างแก เรื่องเลวร้ายอกตัญญูแบบนั้นยังทำได้หน้าตาเฉย ฉันชอบจริงๆ ต่อไปจะใช้งานแกไปทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าแค่ไหนแกก็คงทำได้ทั้งนั้น ฮ่าๆๆ”
จางซื่อหัวเราะพลางโบกมือไล่พายุให้ออกไป พายุได้แต่เดินออกมาจากห้อง พายุแอบมองกลับเข้าไป โดยดวงตาฉายแววไม่พอใจ
พายุนั่งอ่านคัมภีร์ของจางซื่อด้วยความตั้งใจ เนตรนภาเดินเข้ามาหาแบบกลัวๆ ก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้
“น้ำค่ะ”
พายุรับมาดื่ม
“ขอบใจ”
เนตรนภายิ้มออกก่อนจะเข้ามานั่งใกล้ๆ
“หนังสืออะไรเหรอคะ” เนตรนภาถาม
“ตำรา”
“เย็นนี้อยากกินอะไรคะ เดี๋ยวเนตรทำให้”
“กินอะไรก็ได้ ไปทำมาเถอะ แต่ว่าตอนนี้อย่าเพิ่งมากวนฉัน ฉันต้องการสมาธิ อยากอยู่เงียบๆ”
เนตรนภาเดินออกไปแบบจ๋อยๆ พายุอ่านคัมภีร์อยู่คนเดียวสักพักก็วางคัมภีร์ หลับตาแล้วโคจรลมปราณ
เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า บู๊ลิ้ม และเมลดายืนอยู่ข้างหลังแม่ชีวัดจีนคนหนึ่ง ข้างหน้ามีรูปถ่ายฮูหยินเป็นสีขาวดำขนาดใหญ่ในกรอบตั้งไว้ ทุกคนถือธูป สวดตามแม่ชี เสียงสวดบวกกับเสียงเคาะไม้บักฮื้อดูสงบและเศร้า
กังฟูยืนอยู่ห่างออกมาไม่เข้าไปร่วมด้วย
“อาจารย์แม่ ศิษย์ขอติดไว้ก่อน ศิษย์ไม่กล้าไปยืนให้อาจารย์แม่เห็นหน้า ศิษย์ละอายใจยิ่งนัก ศิษย์ขอสาบานต่อหน้าวิญญาณอาจารย์แม่ว่าศิษย์จะล้างแค้นจะเอาหัวของคนที่ฆ่าท่านมาเซ่นไหว้ท่านให้ได้”
พวกเฮียเฉินสวดเสร็จแล้ว แม่ชีเชิญพวกเฮียเฉินเข้าด้านในวัด กังฟูหันหลังเดินจากมา
กังฟูนั่งอยู่ข้างๆ บู๊ลิ้มโดยคุยกับหลินหลินที่ม้านั่งในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างบู๊ลิ้ม” หลินหลินถาม
“รู้สึกเศร้า คิดถึงแม่...ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงความจำเสื่อม มันคงเศร้าจนทนไม่ได้เลยใช่ไหม” บู๊ลิ้มบอก
“คงอย่างนั้นมั้ง ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันไปของมันเอง” หลินหลินบอก
“ฉันก็อยากความจำเสื่อมแบบเธอนะ จะได้ไม่เศร้า” บู๊ลิ้มว่า
“มันช่วยได้ไม่นานหรอก สักพักเธอก็ต้องยอมรับความจริง”
บู๊ลิ้มพยักหน้า
“หลินหลินผ่านวันเวลาที่แสนเศร้ามาได้ ศิษย์พี่ก็ต้องทำได้” กังฟูบอก
“อืม”
กังฟูยิ้มให้หลินหลิน
“ฝากดูบู๊ลิ้มด้วยนะ”
หลินหลินยิ้มรับ กังฟูจึงเดินจากมา หลินหลินจับขาบู๊ลิ้ม
“เชื่อฉันเถอะ สักพักทุกอย่างก็จะดีขึ้น” หลินหลินบอก
“ขอบใจนะหลินหลินที่ปลอบฉันน่ะ”
หลินหลินเดินหายไปครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมไอติมสองแท่งกับดอกไม้ช่อหนึ่ง โดยที่กินเองแท่งหนึ่งแล้วยื่นให้บู๊ลิ้มแท่งหนึ่ง บู๊ลิ้มรับไปกิน ทั้งสองนั่งกินกันอยู่เงียบๆ กังฟูเดินจากมาไกลแล้วหันกลับไปมองเห็นทั้งสองกินไอติมด้วยกัน กังฟูยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเดินจากมา
กังฟู เฮียเฉิน เฮียเก้า และเฮียหลอเดินเข้ามาในโรงงิ้ว
“อาจารย์ ศิษย์ว่าตอนนี้พวกอาจารย์ต้องหาที่พักใหม่แล้วล่ะ อยู่ที่นี่อันตรายเกินไป” กังฟูบอก
“เออ อั๊วเห็นด้วย” เฮียหลอว่า
“ใครอยากไปก็ไปเถอะ อั๊วอยากอยู่ที่นี่” เฮียเฉินบอก
“อาเฉิน อั๊วรู้ว่าลื้อยังเศร้าเสียใจอยู่ อั๊วเข้าใจ แต่ว่า...ลื้อต้องไปกับพวกเรา” เฮียเก้าพูด
“ใครจะบังคับอั๊วก็เข้ามา” เฮียเฉินท้า
“ไม่มีใครบังคับลื้อได้หรอก” เฮียหลอบอก “แต่ลื้อก็รู้ใช่มั้ย ว่าถ้าลื้ออยู่ อั๊วกับไอ้เก้าก็ต้องอยู่ แล้วถ้าเราอยู่นี่ ไอ้จางซื่อมันก็ต้องกลับมาฆ่าเรา”
“ดี อั๊วจะฆ่ามันเอง” เฮียเฉินบอก
“เราสามคนรวมกันยังไม่รู้ว่าจะเตะมันได้สักดอกนึงมั้ย”
“ลื้อก็รู้ว่าตอนนี้เรายังสู้มันไม่ได้”
เฮียเฉินเงียบไป
“อาจารย์ ศิษย์ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ หากอาจารย์ต้องการฆ่าจางซื่อ อาจารย์ต้องหลบไปก่อน หากอาจารย์อยู่ต่อ ไม่เพียงฆ่ามันไม่ได้ ยังจะถูกมันฆ่าอีก อาจารย์ หากท่านตายง่ายดายแบบนี้ จะมีหน้าไปเจออาจารย์แม่ได้ยังไง” กังฟูบอก
เฮียเฉินสะท้านแล้วก็ได้สติ เขาหลับตาทบทวนความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตกลง...อั๊วไป”
เฮียเก้า เฮียหลอ และกังฟูโล่งใจ
“ว่าแต่ว่า จะไปอยู่ที่ไหนดีวะ” เฮียเก้าถาม
ทุกคนขมวดคิ้วราวกับลืมนึกมาก่อน
เฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเก้าเข้ามาคุยกับเฮียป้อ
“อาป้อ พวกเรามีความจำเป็นต้องมาขออยู่กับลื้อ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วง เราจะจ่ายค่าเช่าให้” เฮียเฉินบอก
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ อั๊วจะทำอาหารให้ด้วย” เฮียเก้าว่า
“ยิ่งไปกว่านั้น นี่ อั๊วมีของดีมาฝากลื้อด้วย” เฮียหลอบอก
เฮียหลอเปิดปากถุงให้ดูก็เห็นวีดีโอหลายสิบตลับ
“ดูกันตาแฉะเลย” เฮียหลอบอก
เฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเก้าประสานมือคารวะเฮียป้อ
“ขอบคุณอาป้อที่ช่วยเหลือ”
“เอ่อ...”
เฮียป้อไม่มีโอกาสพูดสักคำ ทั้งสามแบกกระเป๋าเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้วพักอยู่กับเฮียป้อที่ข้างล่างนั่นเอง
อาเฟยเข้ามาหาจางซื่อ
“อาจารย์”
“ว่าไง”
“ศิษย์รู้แหล่งที่อยู่ของมิเชลแล้วครับ เพียงแต่ว่ารู้กว้างๆไม่รู้ละเอียดว่าอยู่ที่ไหน”
“ไม่เป็นไร ขอเพียงเป็นที่ที่มันผ่านอยู่บ่อยๆก็ใช้ได้แล้ว”
“เป็นที่ที่มันผ่านอยู่บ่อยๆครับ มีชาวบ้านเคยเห็นมันเดินอยู่ละแวกนั้นหลายครั้ง”
“ดี” จางซื่อพอใจ
รถของจางซื่อวิ่งมาจอดที่ย่านชุมชนแห่งหนึ่ง จางซื่อลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูอีกฝั่ง
“ลงมา”
ใครบางคนที่นั่งอยู่ในรถเดินลงมา ซึ่งก็คือเมฆานั่นเอง แต่สภาพของเมฆาตอนนี้ดูแปลกไปมากเพราะดูเหมือนผีดิบมากกว่า
“จำมิเชลได้ใช่ไหม”
เมฆาพยักหน้า
“ไปหามันให้เจอแล้วฆ่ามันซะ”
เมฆาพยักหน้าอีกครั้ง เขาหันมองไปรอบๆ แล้วกวาดสายตามองทุกจุดอย่างละเอียดแต่ก็ไม่เจออะไร เมฆาเริ่มดมกลิ่นจากอากาศรอบๆตัว แล้วก็ชะงัก เขาสูดดมกลิ่นอีกครั้งจนแน่ใจก่อนจะเดินออกไปโดยไม่สนใจใคร เขาเดินชนคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย
“อาจารย์ เมฆามันดูแปลกๆนะ”
จางซื่อหัวเราะ
“นั่นคือร่างกายของเมฆา แต่มันไมใช่เมฆา” จางซื่อบอก
“แล้วถ้าอย่างนั้น มันคือใครครับ” อาเฟยถาม
“ตอนนี้ร่างกายมันถูกแมลงกู่บังคับ ส่วนฉันเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งให้แมลงกู่อีกที ฉันสั่งอะไร ไอ้เมฆามันก็ต้องทำตามทุกอย่าง สั่งให้ไปฆ่ามิเชล มันก็ต้องไปฆ่ามิเชล”
“แต่ท่าทางมันเงิบๆอย่างนี้ มันจะฆ่ามิเชลได้เหรอ”
“มันไม่ได้ช้าอย่างที่แกคิดหรอกนะ แต่มันฆ่ามิเชลไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ ถ้าฆ่ามันมิเชลไม่ได้ งั้นก็ให้มิเชลฆ่ามันซะ...ฮ่าๆๆ”
เมฆาเดินดุ่มไปตามทางจนหายลับไป
อ่านต่อหน้าที่ 3
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 11 (ต่อ)
เหตุการณ์ในอดีต เด็กชายกังฟูจูงจักรยานล้อคดกลับเข้ามาในโรงงิ้วพร้อมกับร้องไห้จ้า ที่แขนกับที่ขาของเขามีเลือดไหลนอง
“ช่วยด้วย ฮือๆๆ”
ฮูหยินที่กำลังท่องบทงิ้วอยู่แถวนั้น หันมาเห็นก็โยนบททิ้งแล้วรีบวิ่งมาดู
“กังฟู เป็นอะไรไป”
“อาจารย์แม่”
กังฟูทิ้งจักรยานวิ่งมาหาฮูหยิน
“อั๊วจักรยานล้ม ฮือๆๆ”
กังฟูจะวิ่งมากอด แต่ฮูหยินเอามือจับหน้าผากกังฟูแล้วยันเอาไว้
“เงียบก่อน เงียบเดี๋ยวนี้ แค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ น้ำตาลูกผู้ชายมีค่าเหมือนเพชร ห้ามร้องไห้พร่ำเพรื่อ”
“แต่อั๊วเจ็บ”
กังฟูร้องไห้โฮ
“เจ็บนิดเดียว ร้องซะเยอะ”
“อั๊วเจ็บมาก”
ฮูหยินนึกหาวิธีปลอบอยู่ครู่หนึ่ง
“กังฟู ลื้ออยากเป็นจอมยุทธใช่มั้ย” ฮูหยินถาม
กังฟูพยักหน้า
“เป็นจอมยุทธห้ามร้องไห้ เจ็บก็ต้องทน ไม่อย่างนั้นไม่ใช่จอมยุทธ”
“จอมยุทธไม่ร้องไห้เหรอ” เด็กชายกังฟูถามซื่อๆ
“ใช่ เป็นจอมยุทธต้องไร้น้ำตา มีน้ำตาย่อมไม่ใช่จอมยุทธ...ไหน ขออั๊วดูซิ ลื้อมีน้ำตามั้ย”
ฮูหยินทำท่าจะดูหน้าของกังฟู กังฟูรีบหลบแล้วปาดน้ำตา ในที่สุดเขาก็หยุดร้องไห้จนได้ ฮูหยินประสานมือคารวะ
“นับถือๆ จอมยุทธกังฟูฝีมือร้ายกาจ วิชาหยุดน้ำตาทลายภูผาของท่านนับว่าสูงล้ำยิ่งนัก”
กังฟูยิ้มแป้นก่อนจะรีบประสานมือคารวะตอบ
“มิกล้าๆ”
“เข้าไปในบ้านกันเถอะท่านจอมยุทธ เดี๋ยวอั๊วจะล้างแผลให้ท่านจอมยุทธนะ” ฮูหยินบอก
ฮูหยินจูงกังฟูเข้าไปในบ้าน กังฟูเดินกางแขนกางขาวางมาดจอมยุทธเต็มที่
เหตุการณ์ปัจจุบัน กังฟูลืมตาตื่นขึ้น ภายในห้องของเขามีติงลี่กับเฮียเต๋านอนอยู่ข้างๆ ในขณะที่มิเชลนอนอยู่ด้านหนึ่งของห้อง กังฟูหลับตาลง
เสียงฮูหยินดังแว่วมาเป็นช่วงๆ “กังฟู ทำอะไรอยู่ มากินข้าวก่อน วันนี้มีของโปรดลื้อด้วยนะ”
“เอ้า นี่อั่งเปา ลื้อเก็บไว้ซื้อของที่อยากได้จริงๆนะ อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย”
“ถ้าลื้อไม่กินยาแล้วจะหายได้ไง อย่าดื้อสิวะ อั๊วเหนื่อยนะโว้ย”
กังฟูลืมตาขึ้นแล้วน้ำตาก็ไหลเป็นทาง
“อาจารย์แม่...ท่านตายอย่างน่าอนาถนัก”
กังฟูพยายามข่มตาหลับ
ภาพตอนที่พายุรัวหมัดใส่ฮูหยินย้อนกลับมา
กังฟูลืมตาขึ้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น กังฟูพยายามข่มใจจะหลับแต่ก็นอนไม่หลับ
กังฟูนอนไม่หลับจึงเดินออกมาถึงบริเวณโรงงิ้วที่เงียบ สงบ และไม่มีใคร แต่แล้วกังฟูก็เห็นใครสักคนนั่งหันหลังมองโรงงิ้วอยู่ กังฟูระวังตัวแต่ชายคนนั้นรู้ตัวจึงหันกลับมาทำให้กังฟูเห็นว่าเป็นเฮียเฉินที่กำลังนั่งน้ำตาไหลอยู่ เฮียเฉินยกมือปาดน้ำตา
“อาจารย์...ศิษย์ไม่ทราบว่าอาจารย์อยู่ที่นี่ ศิษย์ขอโทษที่รบกวนท่าน” กังฟูบอก
“นั่งลงสิกังฟู” เฮียเฉินชวน
กังฟูนั่งข้างๆ เฮียเฉิน
“อาจารย์ ท่านเป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรหรอก ... ลื้อมาทำอะไรที่นี่” เฮียเฉินถาม
“ศิษย์นอนไม่หลับ ... หลับตาลงก็เห็นแต่อาจารย์แม่...ศิษย์ข่มตานอนไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาศิษย์ไม่เคยแค้นใครขนาดนี้ ยิ่งนึกถึงพระคุณที่อาจารย์แม่มีต่อศิษย์ ศิษย์ก็ยิ่งแค้นมากเป็นทวีคูณ”
เฮียเฉินมองกังฟูด้วยสายตาเป็นห่วง
“ความแค้นคือยาพิษ ลื้อยิ่งแค้น ใจลื้อยิ่งเป็นพิษ” เฮียเฉินเตือน
“อาจารย์ ท่านพูดเหมือนไม่แค้น” กังฟูว่า
“ถ้าอั๊วบอกอั๊วไม่แค้นล่ะ”
“อั๊วไม่เชื่อ อาจารย์ อั๊วดูออกว่าอาจารย์รักอาจารย์แม่แค่ไหน ไม่มีทางที่อาจารย์จะไม่แค้น”
“กังฟู เคยได้ยินไหม ชีวิตคนจริงๆแล้วสั้นนัก อยู่อย่างมีความสุขจึงอาจนับว่ายืนยาว”
“ศิษย์ไม่เข้าใจ” กังฟูบอก
“อั๊ว ลื้อ หรือฮูหยิน สักวันก็ต้องตาย ไม่โดนฆ่า ก็เป็นโรคร้าย ไม่เป็นโรคร้ายก็แก่ตาย ใครจะมีชีวิตยืนยาวค้ำฟ้าได้ สำคัญที่ตอนมีชีวิตอยู่ ทำตัวยังไง อั๊วกับฮูหยินอยู่ร่วมกันทุกวันมานานหลายสิบปี พูดได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด วันนี้ถึงอั๊วไม่ได้อยู่ร่วมกับฮูหยินแต่ช่วงเวลานั้นยังอยู่ในใจอั๊ว ต่อให้พายุหรือจางซื่อก็แย่งไปไม่ได้ อั๊วจะแค้นพวกมันทำไม”
“อาจารย์ แล้วท่านจะปล่อยพวกมันไปอย่างนั้นเหรอ”
“อั๊วต้องหาทางกำจัดมัน แต่ไม่ใช่เพราะแค้น แต่เพราะขจัดคนเลว สร้างความสุขให้ส่วนรวม” เฮียเฉินบอก
“อั๊วแค้นมัน อั๊วจะช่วยอาจารย์ปราบพวกมัน เรามีเป้าหมายเดียวกัน” กังฟูแค้นมาก
“แต่ความแค้นจะทำให้ลื้อขาดสติ”
“ศิษย์ไม่เข้าใจ ศิษย์รู้แต่ว่าศิษย์ต้องฆ่าพวกมัน”
“อั๊วรู้ว่าจริงๆแล้วลื้อเป็นคนฉลาด ทางที่ดี พยายามคิดทบทวนเรื่องนี้อีกหลายๆครั้ง”
พูดจบเฮียเฉินก็ลุกเดินออกไป
กังฟูมองตามเฮียเฉินแล้วหันมามองโรงงิ้ว
เสียงฮูหยินดังแว่วมาอีก “กังฟู กังฟู อยู่ไหนวะ อั๊วซื้อขนมมาให้ ไม่กินหรือไง ของโปรดลื้อด้วยนะจะบอกให้”
กังฟูกำหมัดแน่น
เฮียเฉิน เก้า และป้อนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน เฮียเก้าตักข้าวแจก เฮียเฉินยกชามยกตะเกียบมา
เฮียป้อพูด “มาๆๆ อั๊วช่วย”
“ไม่ต้องๆๆ พวกอั๊วจัดการเอง” เฮียเฉินบอก
เฮียหลอยกกับข้าวออกมาจากในครัว
“เสร็จแล้วโว้ย อั๊วใส่สุดฝีมือเลย ไม่อร่อยให้เตะ”
“อาเฉิน อาเก้า อาหลอ พวกลื้อทำอย่างงี้อั๊วเกรงใจแย่เลย”
“เฮ้ย อาป้อ พวกอั๊วมารบกวนลื้อ ลื้อต้องให้โอกาสพวกอั๊วตอบแทนน้ำใจลื้อนะถึงจะถูกต้อง”
“หม่ายนา พวกลื้อมากินกับอั๊ว อั๊วก็มีความสุขแล้ว กินกันหลายๆคนอย่างนี้น่ะอั๊วชอบ ไม่เหงาดีออก” เฮียป้อว่า
“อย่ามัวแต่พูดมากเลย กินกันเหอะ”
ทั้งสี่หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวกันหนุบหนับ สักพักกังฟูก็เดินเข้ามา
“กังฟู กินข้าวมั้ย” เฮียป้อชวน
กังฟูไม่พูดอะไร เขาคุกเข่าคำนับต่อหน้าพวกอาเฮีย ทุกคนมองอย่างงงๆ
“อาจารย์ สอนวิทยายุทธให้ศิษย์ด้วย” กังฟูอ้อนวอน
“อะไรของลื้อวะ ลุกขึ้นมาคุยดีๆเด๊ะ” เฮียเก้าว่า
กังฟูไม่ยอมลุก เขายังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม
“อาจารย์ สอนวิทยายุทธให้ศิษย์ด้วย” กังฟูย้ำ
“ลื้อจะเอาวิทยายุทธไปแก้แค้นให้ฮูหยินใช่มั้ย” เฮียเฉินถาม
“ใช่” กังฟูตอบ
เฮียเฉินถอนใจ
เฮียเก้าพูดขึ้น “ดี...ลุกขึ้น กังฟู พวกเราจะสอนวิทยายุทธให้ลื้อ”
“ไอ้เก้า ลื้อลืมไปแล้วเหรอว่ามันเป็นใคร สอนวิทยายุทธให้มันได้ไง” เฮียเฉินเบรค
“เมียลื้อก็พูดแบบนี้ ไม่สอนมัน ไปสอนแต่ไอ้พายุ แล้วเป็นไง” เฮียเก้าย้อน
เฮียเฉินพูดไม่ออก
“อั๊วสนับสนุน” เฮียหลอบอก “วันก่อนลื้อก็เห็น ขนาดมันเรียนแบบเฮงๆซวยๆมันอย่างเก่งขนาดนั้น ถ้าพวกเราสอนมันให้เป็นเรื่องเป็นราว มันจะเก่งขึ้นอีกแค่ไหน”
“แต่ตอนนี้ไม่เหมาะ ฝึกวิทยายุทธต้องมีความพร้อม จิตใจต้องสงบ ตอนนี้จิตใจมันมีแต่ความแค้น ยากจะมีสมาธิ พวกลื้อเข้าใจไหม” เฮียเฉินบอก
เฮียเก้ากับเฮียเฉินเงียบไป
เฮียป้อพูดขึ้น “แต่ลื้ออย่าลืม โบราณว่าไว้ ความแค้นคือพลังชนิดหนึ่ง”
สามเฮียมองเฮียป้อ เฮียหลอกับเฮียเก้ามองด้วยความประหลาดใจ ส่วนเฮียเฉินมองอย่างไม่พอใจ เฮียป้อยิ้มแหยๆา
“อั๊วรู้ว่าอั๊วไม่เกี่ยว แต่อั๊วอยากมีส่วนร่วมบ้างอ่ะ”
“แต่อั๊วว่าเฮียป้อพูดได้ถูกต้องแล้ว มันแค้นมากมันก็มีพลังมาก ไม่แน่ กังฟูอาจจะเป็นคนที่ช่วยเราปราบจางซื่อก็ได้”
“ไอ้เฉิน ลื้อนึกถึงฮูหยินมั่งสิวะ ต่อให้ลื้อไม่แค้นแต่พวกอั๊วแค้นโว้ย เรื่องนี้อั๊วกับไอ้เก้าอยู่ข้างกังฟู” เฮียหลอบอก
เฮียเฉินเถียงไม่ออก ในที่สุดเขาก็ต้องคล้อยตาม เฮียเฉินหันมาพูดกับกังฟู
“ตกลง...พวกเราจะสอนวิทยายุทธให้ลื้อ”
กังฟูน้อมศีรษะคำนับ
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
เฮียทั้งสามสอนวิทยายุทธให้กังฟู เฮียเฉินสอนเพลงหมัดให้กังฟู เฮียหลอสอนเพลงฝ่ามือให้กังฟู และเฮียเก้าสอนเพลงเตะให้กังฟู
เวลาผ่านไป สามเฮียนั่งพักดูกังฟูฝึกซ้อม เฮียทั้งสามทึ่งกับพัฒนาการของกังฟู
“อะไรของมันวะเนี่ย อั๊วสอนให้แค่แป๊บเดียว ไม่เพียงมันจำได้และเข้าใจ แต่ดูเหมือนจะต่อยอดได้อีก” เฮียเก้าทึ่ง
“ถ้าเทียบกัน ตอนอาจารย์สอนอาจารย์สอนฝ่ามือยูไลให้อั๊ว อั๊วต้องใช้เวลาสามเดือนถึงจะเท่ากับที่มันทำได้ในวันเดียว” เฮียหลอบอก
“ความเป็นอัจฉริยะของจางซื่อส่งต่อมาถึงมันด้วย” เฮียเฉินว่า
แล้วเฮียเฉินก็ลุกเดินไปหากังฟู
“กังฟู วันนี้พอแค่นี้ก่อน” เฮียเฉินบอก
“อาจารย์ แต่ศิษย์ยังรู้สึกไม่คล่องมือคล่องเท้าเท่าไหร่”
“กังฟู การฝึกวิชาเหมือนปลูกต้นไม้ ต้องให้เวลากับมัน อย่าเร่งจนเกินไป ต้นไม้จะตายได้” เฮียเฉินบอก
“แต่ว่า...”
“ลื้อไม่เชื่ออาจารย์เหรอไง” เฮียเฉินถาม
กังฟูตกใจจึงรีบคารวะ
“ศิษย์มิกล้า...ศิษย์จะหยุดพักก่อน”
“ดีมาก” เฮียเฉินบอก
เฮียทั้งสามลุกเดินจากไป กังฟูมองตาม
กังฟูกลับมาฝึกวิทยายุทธที่เฮียทั้งสามสอนอย่างต่อเนื่องและเอาจริงเอาจัง
เมลดาเดินถือห่อของกินขึ้นบันไดมาถึงดาดฟ้าจนมาที่ห้องของกังฟู แต่ที่ห้องของกังฟูปิดไฟมืดและไม่มีใครอยู่ เมลดาลองตะโกนเรียก
“กังฟู กังฟู”
ไม่มีใครตอบ เมลดาแขวนห่อของกินไว้ที่ประตูแล้วกำลังจะเดินกลับออกไป สักพักติงลี่ก็วิ่งมาเรียกเธอ
“คุณเม กังฟูอยู่ทางนี้”
“เฮียติงลี่”
เมลดาตามติงลี่ไปที่มุมหนึ่งของดาดฟ้า ติงลี่ เฮียเต๋า และมิเชลกำลังจับกลุ่มกันดูกังฟูด้วยสายตาเป็นห่วงและกังวล เพราะกังฟูฝึกซ้อมวิทยายุทธอย่างดุดันและจริงจัง
“กังฟู ทำอะไรอยู่ ฉันเรียกไม่ได้ยินเหรอไง” เมลดาถาม
กังฟูไม่ตอบ เขาเอาแต่ฝึกซ้อมไม่สนใจใคร
“มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่บ่ายแล้ว ตอนแรกพวกเราก็ไม่นึกอะไร เห็นมันเอาจริงก็ไม่อยากกวน แต่นี่มันผิดปกติมากเกินไปแล้ว” เฮียเต๋าว่า
“พวกเราเรียกมันมันก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน พวกเรามายืนตรงนี้มันก็ทำเหมือนมองไม่เห็น” ติงลี่บอก
“เขาฝึกแบบบ้าคลั่งอย่างนี้ มันจะมีผลร้ายมากกว่าผลดีนะ เธอเป็นแฟนเขา ต้องหยุดเขาให้ได้นะ” มิเชลว่า
เมลดาเดินเข้าไปใกล้ๆกังฟูแล้วเรียก “กังฟู”
กังฟูตอบโดยยังไม่หยุดซ้อม
“ผมไม่เป็นไรครับคุณเม แค่อยากเก่งขึ้นเร็วๆ”
“แต่ถ้านายไม่หยุดพัก ร่างกายนายจะทนไม่ไหวนะ แทนที่จะยิ่งเร็วจะกลายเป็นยิ่งช้านะ” เมลดาบอก
กังฟูไม่ตอบอะไร
เมลดาพูดอีก “กังฟู ฉันขอร้องล่ะ ฉันเป็นห่วงนายนะ”
กังฟูรั้งหมัดรั้งเท้าเข้ามา สูดลมหายใจ แล้วก็หยุดฝึก
“ตกลงครับ ผมหยุดแล้วครับ”
เมลดายิ้มปลื้ม
“งั้นไปกินข้าวก่อนเถอะ ฉันซื้อข้าวมาให้นายพอดี” เมลดาพูดกับคนอื่น “เผื่อทุกคนด้วยนะคะ”
ติงลี่กับเฮียเต๋ารีบไปที่หน้าบ้าน โดยที่มิเชลเดินตามไปด้วย เมลดาหันมาหากังฟู กังฟูจับมือเมลดา
“คุณเม ขอบคุณครับ คุณดีกับผมมาก” กังฟูบอก
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นา ไปกินข้าวเถอะ” เมลดาชวน
กังฟูยิ้มอย่างมีความสุข
เมลดาโบกมือลากังฟู กังฟูยิ้มแล้วโบกมือตอบ เมลดาเดินจากไป กังฟูมองตามเมลดาแล้วเดินไปที่ฝึกซ้อมก่อนจะเริ่มฝึกซ้อมอีกครั้ง มิเชลโผล่หน้ามาดู
“กังฟู...”
กังฟูไม่ตอบอะไร
มิเชลพูดต่อ “ฉันว่าคุณควรหยุดพักก่อนเถอะ”
กังฟูไม่พูดอะไร
มิเชลทำท่าจะเดินออกไปตามเมลดา
กังฟูรีบบอกมิเชล “อย่าบอกคุณเม”
น้ำเสียงของกังฟูเข้มและเอาจริงจนทำให้มิเชลหันมามองกังฟูด้วยความตกใจ
มิเชลอึ้ง “เอ่อ...”
มิเชลทำทีเดินกลับเข้าไปในห้องแต่แล้วก็แอบลงไป ขณะที่กังฟูฝึกซ้อมต่อไป ท่วงท่าของกังฟูเร็ว คล่องแคล่วและดูอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงจากการเคลื่อนหมัดและเท้าของเขาเร็วและทรงพลังมากขึ้นทุกทีๆ
มิเชลเดินบนทางเท้าปะปนกับคนทั่วไป เธอเดินผ่านไปนานพอสมควร เมฆาที่เดินแบบไร้สติก็เดินผ่านมาที่บริเวณเดียวกัน เมฆาชะงักแล้วหันตามมิเชลไปแต่เมฆาเดินได้ช้ากว่า
มิเชลเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เมลดากับเฮียทั้งสามฟังที่บริเวณชั้นล่างของบ้านเฮียป้อ
“เอ อย่างงี้ท่าจะไม่ดีเว้ยเฮ้ย” เฮียเก้าว่า
“ก็อั๊วเตือนแล้ว พวกลื้อก็บอกความแค้นเป็นพลังเป็นไงล่ะ ใช่ มันเป็นพลังแต่ก็เป็นดาบสองคม ถ้าคุมไม่อยู่มันก็จะทำร้ายตัวเอง”
“พรุ่งนี้ต้องบอกมันให้หยุดก่อน ฝึกอย่างงี้ต่อไปเป็นอันตรายแน่ๆ” เฮียหลอเสนอ
“ถ้าจะเป็นอันตราย งั้นเราไปบอกกังฟูคืนนี้เลยดีกว่าค่ะ” เมลดาว่า
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ไปตอนนี้ไปเจอมันนอนหลับมากกว่า เชื่อสิ ฝึกหนักขนาดนั้นเดี๋ยวก็พับ ไว้ไปพรุ่งนี้รอมันตื่นแล้วค่อยคุยกับมัน” เฮียเก้าบอก
“เอางี้แล้วกันค่ะคุณเม เดี๋ยวฉันจะกลับไป ถ้ากังฟูยังไม่หยุดแล้วก็ไม่พับ ฉันจะโทรมาบอกให้ทุกคนรีบไปหยุดเขา ดีไหมคะ” มิเชลเสนอ
“ขอบคุณมากมิเชล” เมลดาบอก
“งั้นฉันกลับก่อน”
เฮียหลออาสา “ฉันไปส่ง”
เมลดาเงียบไป มิเชลมองเมลดาด้วยสายตาที่เห็นใจและเข้าใจ มิเชลฝืนยิ้ม สองสาวมองตากันแว่บหนึ่งทุกคนมองเฮียหลอด้วยความแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
มิเชลพูดออกมา “ตามใจค่ะ”
มิเชลเดินออกไป เฮียหลอเดินตาม เฮียเก้ากับเฮียเฉินสุมหัวกันทันที เมลดาทำทีไม่สนใจแต่ก็เงี่ยหูฟัง
“ไอ้หลอจีบมิเชลเหรอวะ” เฮียเก้าสงสัย
“นั่นสิ เกิดฟิตอะไรตอนแก่วะ” เฮียเฉินว่า
“นี่...พวกอาจารย์นี่ซกมกจริงๆ อาจารย์หลอเขาไม่ใช่คนลามกอย่างที่คิดกันหรอก เมว่าเขาอาจจะมีเหตุผลอื่นก็ได้ค่ะ” เมลดาบอก
เฮียเก้ากับเฮียเฉินทำหน้าหมั่นไส้เมลดา
มิเชลเดินไปตามทาง เฮียหลอเดินตามโดยเว้นระยะห่างพอสมควร มิเชลหันมาเจอเฮียหลอแล้วเธอก็หันกลับมาเดินต่อไป เฮียหลอเดินตามต่อ หลังจากที่ทั้งคู่เดินผ่านไปแล้ว สักพักเมฆาก็โผล่ออกมาจากมุมมืดแล้วเดินตามมิเชลกับเฮียหลอไป
มิเชลกับเฮียหลอเดินอยู่ในซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง
“ทำไมต้องมาส่งฉัน” มิเชลถามขึ้น
“สถานการณ์ไม่แน่นอน มันอาจจะมีอันตราย” เฮียหลอบอก
“ทำไมต้องห่วงฉัน” มิเชลถามต่อ
เฮียหลอมองมิเชล
“เธอทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน” เฮียหลอพูด
“ใครเหรอ” มิเชลถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน บอกไม่ถูก แต่เป็นใครบางคนที่ฉันต้องปกป้อง”
มิเชลเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“แฟนเหรอ”
“ไม่ใช่ เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์กว่านั้น จริงแท้แน่นอนกว่านั้น” เฮียหลอบอก
“สัตว์เลี้ยงไง” มิเชลถามต่อ
เฮียหลอหัวเราะ
“ฉันไม่เคยเลี้ยงสัตว์...เธอล่ะ”
“เด็กๆฉันอยากเลี้ยงสัตว์ แต่แม่ไม่ให้เลี้ยง”
“แล้วพ่อเธอว่าไง”
“เขาไม่อยู่”
“เธอเกิดเมื่อไหร่” เฮียหลอถาม
“ถามทำไม” มิเชลย้อนถาม
“วันเกิดเธอ ฉันจะเอาลูกหมาไปให้เป็นของขวัญวันเกิด”
“ฉันจำวันเกิดฉันไม่ได้หรอก”
เฮียหลอมองด้านหลังของมิเชลแล้วก็เอ่ยออกมา
“เธอเกิดวันที่...”
เฮียหลอลังเลที่จะพูด มิเชลหยุดเดินแล้วหันมา
“ไม่ต้องเดา ฉันไม่บอก”
เฮียหลอทำตาโตก่อนจะตะโกนบอกมิเชล “หลบ”
เฮียหลอพุ่งเข้าไปกระชากมิเชลให้หลบออกมา ชายลึกลับยืนบังแสงสว่างจากอีกด้านจนเห็นเป็นเงาดำย้อนแสงก่อนจะจู่โจมใส่มิเชล มิเชลตั้งท่าสู้
“เธอยังไม่หายดีไม่ใช่เหรอไง” เฮียหลอถาม
“จะให้หนีเหรอไง” มิเชลว่า
“เธอหนีไปก่อน ฉันรับมือมันเอง”
เฮียหลอตั้งท่าแล้วเผชิญหน้ากับชายลึกลับ
กังฟูฝึกซ้อมจนเหงื่อโทรมกายและมีสีหน้าอิดโรย แต่เขาก็ยังกัดฟันฝึกซ้อมไม่ยอมหยุด ยิ่งซ้อม กระบวนท่าของกังฟูก็ยิ่งดูมีอายุภาพมากขึ้น เฮียเต๋ากับติงลี่เดินทำหน้างัวเงียออกมาดู ทั้งสองเห็นแล้วก็ตกตะลึง
“มิน่า เสียงอะไรวะหนวกหูจนนอนไม่หลับ” เฮียเต๋าว่า
“ทำไมกระบวนท่ามันดูรุนแรงกว่าตอนหัวค่ำอีกวะ” ติงลี่อึ้ง
“มันก้าวหน้าเร็วจริงๆ”
เฮียเต๋ากับติงลี่เดินไปหากังฟู
“เฮ้ย ไอ้กังฟู ลื้อพอได้แล้ว จะบ้าเหรอไง ซ้อมจนไม่หลับไม่นอนน่ะ หา” ติงลี่ปราม
กังฟูไม่สนใจ เขายังคงซ้อมต่อไป พลังหมัดพลังเท้าก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงลมกับเท้าฝ่าแหวกอากาศดังครืนๆไม่ขาดสาย ติงลี่กับเฮียเต๋าดูแล้วอ้าปากค้าง
“มันบ้าพลัง ปล่อยมันไปเหอะ ไปนอนต่อเหอะ” เฮียเต๋าชวน
“แต่ต้องหาที่อุดหูก่อน คนบ้าอะไรวะ ปล่อยหมัดเสียงดังยังกะเครื่องบินบินผ่าน” ติงลี่บ่น
เฮียเต๋ากับติงลี่หันหลังจะเดินกลับเข้าห้อง แต่แล้วทั้งสองก็ได้ยินตึง ส่วนเสียงครืนๆ นั้นหายไปหมดกลายเป็นความเงียบ เฮียเต๋ากับติงลี่หันกลับมาก็เห็นกังฟูล้มลงอยู่ที่พื้น ดวงตาของกังฟูสับสนตกใจแต่ร่างกายของกังฟูกลับไม่ขยับเขยื้อน
“เอาแล้วไง” เฮียเต๋าว่า
กังฟูพยายามขยับยริมฝีปากอย่างยากเย็นกว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ
“ช่วย...ด้วย...”
ชายลึกลับบุกเข้ามาแบบทื่อๆ จึงโดนเฮียหลอสวน เฮียหลอต่อยใส่ชายลึกลับหลายหมัดซึ่งก็โดนอย่างถนัดถนี่ ทำให้ชายลึกลับเซออกไป เฮียหลอหยุดยืนมอง
“ไปฝึกมาสิบปีนะไอ้หนู” เฮียหลอว่า
ชายลึกลับไม่เป็นอะไร เขายังคงบุกจู่โจมเฮียหลออีกครั้ง เฮียหลอต่อยแต่ชายลึกลับไม่สน เขาต่อยสวนใส่เฮียหลอจนเฮียหลอกระเด็น
“มีอะไรผิดปกติละ หนีก่อน” เฮียหลอบอก
เฮียหลอจับมือมิเชลวิ่งหนี ชายลึกลับวิ่งตาม
เฮียหลอพามิเชลหนีมา แต่ชายลึกลับไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเฮียหลอกับมิเชลก็เจอทางตันและสองข้างเป็นตึกร้าง เฮียหลอกับมิเชลหันขวับมา ชายลึกลับวิ่งตามมา คราวนี้แสงสว่างส่องเห็นหน้าชัดเจนว่าเป็นเมฆาที่ดูสกปรกและโทรมมาก ไม่มีราศีเหมือนเมฆาเมื่อก่อน
มิเชลตกใจ “เมฆา”
เมฆาไม่มีทีท่ารับรู้อะไร เขาจ้องมองมิเชลหัวจรดเท้าก่อนจะคำรามลั่นแล้วบุกจู่โจมใส่เธอ
“เมฆา...”
มิเชลไม่ทันตั้งตัวจึงโดนเมฆาต่อยกระเด็น เมฆาจะตามมาซ้ำแต่เฮียหลอรีบเข้ามาช่วยโดยการซัดเมฆากระเด็น แต่เมฆาไม่รู้สึกอะไร
เฮียหลอยืนคุ้มกันมิเชลไว้
“ท่าทางแฟนเธอมันแปลกๆไปนะ” เฮียหลอว่า
“เมฆา คุณเป็นอะไรไป”
เมฆาไม่สนใจ เขาบุกเข้ามาอีกโดยสู้กับเฮียหลอ เมฆาฝีมือไม่ดีเท่าไหร่ทำให้โดนเฮียหลออัดโครมๆ แต่เมฆาก็ยังไม่สะดุ้ง เขาสวนกลับตูมๆๆ จนเฮียหลอถอยกรูด
มิเชลร้องตะโกน “เมฆา หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“มิเชล อย่าเสียเวลา นี่ไม่ใช่เมฆา” เฮียหลอบอก
มิเชลงง “หมายความว่ายังไง”
“เขาไม่มีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่แล้ว เขาไม่รู้ตัวด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่ไม่ใช่เมฆา ... จางซื่อคงสะกดจิตหรือทำอะไรสักอย่าง”
มิเชลอึ้งไปแล้วก็นึกได้
“แมลงกู่...อาจารย์เลี้ยงแมลงกู่ไว้ บอกใช้ทำร้ายคนได้ แต่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน” มิเชลว่า
“ฉันรู้จักแมลงกู่” เฮียหลอบอก “เป็นไปได้ มีแมลงกู่พันธุ์หนึ่งจะกัดกินสมองของคน จนคนคนนั้นไม่ใช่คนอีกต่อไปแต่เป็นผีดิบที่จะทำตามคำสั่งของคนเลี้ยงแมลงเท่านั้น”
“หรือว่าอาจารย์สั่งให้เมฆามาฆ่าฉัน” มิเชลสงสัย
เฮียหลอร้องบอก “ระวัง”
เมฆาบุกเข้ามาอีก มิเชลกับเฮียหลอแยกจากกัน เมฆาบุกจู่โจมใส่มิเชลแต่มิเชลเอาแต่หลบและตั้งรับไม่ยอมตอบโต้
“เมฆา...นี่ฉันนะ เมฆา มองตาฉันสิ เมฆา”
เมฆาไม่สนใจ เขาบุกจู่โจมอย่างเดียวจนมิเชลฉุน มิเชลผลักเมฆาจนเสียหลักออกไปแล้วยืนเฉย
“ถ้าฆ่าฉันลงก็เข้ามาเลย” มิเชลบอก
เมฆาถีบเปรี้ยงจนมิเชลกระเด็น แต่มิเชลก็ยังลุกขึ้นมามองตาเมฆา
“เข้ามาสิ” มิเชลบอก
เมฆาเข้าซัดอีกเปรี้ยงจนมิเชลกลิ้งไป แต่เธอก็ยังลุกขึ้นมาท้าอีก มิเชลร้องตะโกนทั้งน้ำตา
“เข้ามา”
เมฆาซัดอีกเปรี้ยงจนมิเชลล้มคว่ำ แต่เธอก็ยังยืนขึ้นมาอีก
“เข้ามา”
เมฆาซัดอีกโครม มิเชลเจ็บหนักแต่ยังกัดฟันลุกขึ้นมา
“เข้า...มา...”
เมฆาเงื้อหมัดแล้วประสานสายตากับมิเชล
ภาพตอนที่มิเชลพูดกับเมฆาผุดขึ้นมา
“นับแต่วันนี้ ฉันไม่ใช่คนของท่านอาจารย์ แต่ฉันคือคนของคุณ”
มิเชลเข้ามากอดเมฆา
ภาพตอนที่เมฆาบอกมิเชล
“ไม่ต้อง ผมไม่ใช่คนหน้าตัวเมียขนาดนั้น คุณอย่าเพิ่งพูดอะไรมาก ไม่ต้องคิดเรื่องพ่อผมหรือเรื่องผม ตอนนี้อันดับแรกคือคุณต้องพักรักษาตัวให้แข็งแรงเป็นปกติให้เร็วที่สุด เข้าใจไหม”
มิเชลพยักหน้าแล้วจับมือเมฆา ก่อนที่น้ำตาของเธอจะไหล
เหตุการณ์ปัจจุบัน แววตาของเมฆาอ่อนโยนลงวูบหนึ่ง มิเชลดีใจ แต่แล้วแววตาของเมฆาก็กลับเป็นแววตาที่ว่างเปล่าเหมือนเดิม เมฆาต่อยเปรี้ยงจนมิเชลลงไปกลิ้ง มิเชลไม่ยอมแพ้ เธอกัดฟันจะลุกขึ้น เมฆาง้างหมัด
มิเชลพูด “เข้า...มา...”
เมฆาต่อยแต่คราวนี้เฮียหลอเข้ามาถีบเมฆาจนล้มกลิ้งไป
“พอได้แล้วมิเชล มันไม่ใช่เมฆาแล้ว มันไม่ใช่คนด้วยซ้ำ มันเป็นสัตว์ร้ายของจางซื่อ”
เมฆาพุ่งเข้ามา เฮียหลอต่อยตูมๆๆ เมฆาไม่สนใจ เขายังคงพุ่งเข้าใส่มิเชล เฮียหลอล็อคมือล็อคเท้าของเมฆาได้
“มิเชล...ฆ่ามัน” เฮียหลอร้องบอก
มิเชลเดินเข้ามาตั้งกรงเล็บจะตะปบที่คอหอยเมฆาแต่แล้วก็ทำไม่ลง
“เร็ว....ฉันจะไม่ไหวแล้ว...แรงมันเยอะหยั่งกะไม่ใช่คน” เฮียหลอบอก
เมฆามีเรี่ยวแรงมหาศาล เขากำลังจะดิ้นหลุด มิเชลมองหน้าเมฆาแล้วก็ตัดใจ สุดท้ายเธอก็ทำใจฆ่าเมฆาไม่ได้ เมฆาดิ้นหลุดแล้วก็ถีบมิเชลกระเด็น เมฆาตรงไปหามิเชล เฮียหลอพุ่งเข้ามาขวางอีกครั้ง คราวนี้เฮียหลอพลาดท่าโดนเมฆาจับได้ เมฆาซัดเฮียหลอกระเด็นไปชนแผ่นป้ายโฆษณาเก่าๆ จนทะลุไปครึ่งตัว เฮียหลอติดอยู่กับป้ายจึงดิ้นขลุกขลักๆ เพราะออกมาไม่ได้แขนทั้งสองข้างของเขาติดอยู่ในแผ่นไม้ เมฆาหันไปมองซ้ายขวา แล้วหยิบท่อเหล็กขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาเฮียหลอ
เฮียหลอตกใจ “ซวยแล้วไง”
เมฆาจะฟาดใส่เฮียหลอเปรี้ยงแต่เฮียหลอโยกหัวหลบได้หวุดหวิด เมฆาใช้เท้ายันเฮียหลอตรึงอยู่กับที่ก่อนจะจับท่อเหล็กทำเหมือนหอกจะแทงใส่กลางศีรษะ
เฮียหลอร้องลั่น “อย่า”
เมฆาเงื้อแขนจะแทงลงมา แต่แล้วก็หยุดชะงักเพราะกรงเล็บมิเชลเข้ามาขยุ้มลูกกระเดือกเมฆา
“อย่าฆ่าพ่อฉันนะ” มิเชลบอก
เมฆาไม่สนใจ เขาเงื้อเหล็กแล้วจะแทงลงไป
มิเชลพูดกับเมฆา “เมฆา ฉันขอโทษ”
มิเชลบีบลูกกระเดือกเมฆาเสียงกร๊อบดังลั่นทำให้เมฆาชะงัก แล้วมิเชลก็กระทุ้งศอกใส่ลิ้นปี่เขา
“ลาก่อน” มิเชลบอก
เมฆาหงายหลังล้มตึง หัวฟาดพื้น แล้วก็กระอักเลือด เฮียหลอดิ้นหลุดออกมาจากแผ่นไม้ได้ มิเชลเข้ามามองเมฆาแล้วก็ร้องไห้ สักพักหนอนกู่ก็คลานออกมาจากหูของเมฆา
เฮียหลอว่า “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน”
เฮียหลอกระทืบเปรี้ยงจนหนอนกู่เละคาเท้า มิเชลนั่งซึมกระทืออยู่ข้างๆเมฆา
เมฆาร้องออกมา “มิเชล...”
มิเชลตกใจก่อนจะหันมามอง เธอเห็นเมฆาลืมตาขึ้นด้วยท่าทางอ่อนล้า
“เมฆา...”
“มิเชล...ฉัน...คงไม่รอดแล้ว” เมฆาบอก
“เมฆา ฉันเสียใจ ฉันไม่มีทางเลือก” มิเชลว่า
“ผมรู้ คุณทำถูกแล้ว...มิเชล ผมแค่อยากบอกว่า...ผมรักคุณ...ตลอดไป”
เมฆาสิ้นใจตาย มิเชลร้องไห้โฮ
“เมฆา”
เฮียหลอยืนดูด้วยความหดหู่ใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 11 (ต่อ)
เหมยอิงเดินออกมาจากห้องของเมลดา สวยที่อยู่ในห้องเดินตามมา
“มาดามจะไปไหนคะ” สวยถาม
“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากตากลมหน่อย เธอไม่ต้องตามมาหรอก” เหมยอิงบอก
“ค่ะ”
สวยปิดประตู เหมยอิงเดินออกมาที่ริมกำแพงแล้วเงยหน้าดูดาวบนฟ้า สักพักก็มีดาวตก เหมยอิงเห็นแล้วรู้สึกใจไม่ดี เธอรู้สึกเหมือนเห็นใครแวบๆที่หางตา เหมยอิงหันไปก็เห็นเมฆายิ้มให้แล้วเดินผ่านไป เหมยอิงหันตามไปแต่ไม่เห็นใคร
“เมฆา”
เหมยอิงมองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอใคร
มิเชลเรียก “มาดาม”
เหมยอิงหันไปก็เห็นมิเชลอยู่ในสภาพยับเยินเดินขึ้นมาจากบันได สีหน้ามิเชลดูสงบและโศกเศร้า เหมยอิงรู้ได้ว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น...เมฆาเป็นอะไรรึเปล่า”
มิเชลแปลกใจแต่เธอก็ยังมีสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนเดิม
ศพของเมฆาถูกวางริมขอบท่าเรือปริ่มน้ำ เหมยอิงนั่งคุกเข่าร้องไห้ มิเชลนั่งอยู่ข้างๆเหมยอิง เฮียหลอที่อยู่ห่างออกไปยืนดูอยู่อย่างสงบนิ่งโดยจับจ้องมองที่มิเชลอยู่ตลอดเวลา
“เมฆา...แม่ขอโทษ ที่ลูกเป็นอย่างนี้ก็เพราะแม่เลี้ยงลูกไม่ดีเอง แม่ผิดเอง” เหมยอิงว่า
เหมยอิงจับใบหน้าเมฆาแล้วก็พยายามสะกดอารมณ์
“ชาตินี้เราเป็นแม่ลูกกันนี้กันได้แค่วันนี้ ชาติหน้า กลับมาเป็นลูกของแม่ใหม่นะ แม่จะเลี้ยงลูกให้ดีกว่านี้”
มิเชลก้มลงจูบปากเมฆา
“ลาก่อนนะเมฆา” มิเชลพูด
เหมยอิงกับมิเชลผลักร่างเมฆาลงน้ำ ร่างเมฆาจมน้ำลงไปช้าๆ เหมยอิงร้องไห้ ขณะที่มิเชลหยุดร้องแล้ว
มิเชลกับเฮียหลอมาส่งเหมยอิงที่หน้าบ้านเฮียป้อ เหมยอิงยังสะอึกสะอื้นอยู่ เธอพยักหน้าให้คนที่มาส่งทั้งสองแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินขึ้นบ้านเฮียป้อไป เฮียหลอรอจนเหมยอิงเดินขึ้นไปแล้วค่อยคุยกับมิเชล
“มิเชล”
มิเชลหันมาทางเฮียหลอด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนรู้ว่าเฮียหลอจะคุยอะไร
“ตอนที่เมฆาจะฆ่าฉัน ฉันได้ยินเธอพูดว่า...อย่าฆ่าพ่อฉันนะ” เฮียหลอว่า
“ค่ะ หลอซัน คุณคือพ่อของฉัน” มิเชลบอก
“เธอ...เธอคือหลอเตี๋ยเม่ง”
“ค่ะ”
เฮียหลอหลับตาลง
“ใช่เธอจริงๆ ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสวรรค์”
เฮียหลอลืมตามองมิเชล
“พ่อขอร้องต่อสวรรค์ทุกคืน ขอให้พ่อได้เจอหน้าลูกสาวของพ่ออีกสักครั้ง”
“คุณเอาแต่อ้อนวอนจากสวรรค์ ทำไมคุณไม่ไปตามหาฉันที่ฮ่องกง รู้มั้ยตอนที่ฉันอยู่ฮ่องกง ฉันคิดหาเหตุผลต่างๆนานา ฉันคิดว่าคุณอาจจะติดคุก หรือไม่ก็ความจำเสื่อม หรือไม่ก็ตายไปแล้ว แต่ไม่ใช่เลย คุณปกติดีทุกอย่าง คุณไปหาฉันได้”
“พ่อไม่กล้า พ่อกลัวแล้วว่าถ้าไปฮ่องกงแล้วไม่เจอลูก ความหวังในชีวิตของพ่อจะหมดสิ้นลง”
“ก็เลยอยู่ที่นี่ รอให้ฉันมาหางั้นเหรอ”
เฮียหลอเงียบ
“คนขี้ขลาดอย่างคุณ ฉันไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อหรอกนะ”
“ดีแล้ว ลูกคิดแบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว พ่อเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้จริงๆ”
มิเชลมองหน้าเฮียหลออย่างเหยียดหยามแล้วเดินจากไป เฮียหลอยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า
“ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณสวรรค์”
ทีวีกำลังฉายละครช่อง 3 ในยุคของเฮียป้อกับเจ๊ยี้ เฮียป้อกับเจ๊ยี้กำลังนั่งดูละครกันอย่างมีความสุข
“เฮียป้อดูสิ พระเอกเค้าจะปล้ำนางเอกแล้ว ว้าย หวาดเสียว ทนดูไม่ได้”
“จะเสียวอะไรของลื้อ อายี้”
“ก็...แบบว่า...อั๊วเสียว...กลัวเดี๋ยวเฮียป้อดูแล้วนึกว่าตัวเองเป็นพระเอก จะมาปล้ำอั๊ว แล้วอั๊วจะทำยังไง”
“ลื้อจะกลัวทำไม คนอยู่กันตั้งเยอะแยะอย่างนี้ ใครมันจะปล้ำใครได้เหรอ”
นอกจากเฮียป้อกับเจ๊ยี้ที่นั่งดูละครกันอยู่ ในห้องยังมีเฮียเก้า เฮียเฉิน สวย เหมยอิง เมลดา บู๊ลิ้ม และหลินหลินนั่งดูอยู่ด้วย เจ๊ยี้ทำหน้าเซ็งก่อนจะแกล้งพูดลอยๆเสียงดัง
“ใช่ คนมันอยู่กันตั้งเยอะเพราะคนบางคนมีบ้านก็ไม่ยอมอยู่ ต้องมาอาศัยอยู่กับคนอื่น มองไปทางไหนมีแต่ก้างทั้งนั้น พวกก้างขวางคอ”
เหมยอิงหน้าเสียแต่คนอื่นไม่มีใครรู้สึกอะไร สวยพูดลอยๆ เสียงดังสวนขึ้นทันที
“นั่นน่ะซี้ คนบางคนบ้านมีแต่ไม่ยอมไปอยู่ มาอ่อยเช้าอ่อยเย็นที่บ้านคนอื่นอยู่ได้ เห็นแล้วขำ พวกอ่อยมาราธอน”
เจ๊ยี้หันขวับไปมองสวย สวยมองตอบอย่างไม่กลัว
“ขี้ข้าอย่าสะเออะ”
“มีเรื่องกับขี้ข้าด้วยกันไม่เรียกสะเออะหรอกย่ะ”
“สวย หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เหมยอิงปราม
“ใจเย็นๆน่าอายี้” เฮียป้อบอก
สวยเงียบลง เจ๊ยี้เชิดใส่
“กำลังมันส์เลย อย่าเพิ่งหยุดสิครับ” เฮียเก้าบอก
“ไอ้เก้า คนเค้ากำลังแย่งผัวกันอยู่ ลื้ออย่ายุ่งน่า ไม่ใช่เรื่องของลื้อเลย”
“พูดดีๆนะคะเฮียเฉิน ฉันไม่ได้จะแย่งอะไรของใครนะคะ” เหมยอิงว่า
“ให้มันจริงละกัน” เจ๊ยี้บอก
“ไม่ต้องท้าหรอก ออกหน้าตลอดเลยนะ ของเธอเหรอไง” สวยถาม
สวยจับแก้มเฮียป้อเย้ยเจ๊ยี้ เจ๊ยี้ปรี๊ดจึงจับมือสวยผลักออกไป
เฮียป้อเซ็ง “นี่เห็นอั๊วเป็นตัวอะไรวะเนี่ย”
บู๊ลิ้มเข้ามาปิดหูหลินหลินแล้วจับหันหน้าไปทางอื่น
“หลินหลินอย่าดูอย่าฟังครับ มีแต่เรื่องคาวโลกีย์”
หลินหลินแกะมือบู๊ลิ้มออก
“สนุกออก นอกจอนี่มันส์กว่าในจออีก” หลินหลินว่า
“ฉันว่าเธอสองคนขึ้นไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวจะซึมซับคำพูดของผู้ใหญ่แย่ๆแถวนี้เข้าไป” เมลดาบอก
“โอ้โฮ ด่าทีเดียวโดนทั้งวง” เฮียเก้าสะอึก
เมลดาพาหลินหลินกับบู๊ลิ้มจะขึ้นไปนอน แต่ติงลี่วิ่งเข้ามาหอบแฮ่กๆ
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ไปช่วยที ...ไอ้กังฟู...ธาตุไฟเข้าแทรก”
เฮียเต๋าพากังฟูเข้ามานอนบนเตียง กังฟูขยับตัวได้ลำบากมาก
“อั๊วหนาว...หนาวมาก...”
กังฟูหยิบผ้าห่มมาห่มทับเฮียเต๋าจับตัวกังฟูแล้วพูด
“ตัวลื้อปกติ ใช้มือจับก็ธรรมดา ไม่ร้อนไม่หนาว แต่ความจริงแล้วในทางกำลังภายใน ตัวลื้อตอนนี้ร้อนมาก ร้อนจากข้างใน...ทุกคนก็เตือนลื้อแล้วว่าอย่าหักโหม ลื้อก็ไม่เชื่อ ในที่สุดก็เป็นแบบนี้ ธาตุไฟเข้าแทรก”
“มันเป็นยังไง” กังฟูถาม
“ร่างกายลื้อเสียสมดุลเพราะธาตุไฟมากเกินไป ถ้าปล่อยไปพลังฝีมือจะถูกทำลายแล้วลื้อก็จะตาย”
“แล้วต้องทำยังไงครับ”
เฮียเต๋ามองกังฟูด้วยดวงตาที่ฉายแววซุกซน
“ต้องถ่ายทอดความร้อนให้ผู้หญิง”
“เฮียอย่าล้อผมเล่นสิ”
“อั๊วพูดจริง...ความร้อนต้องส่งผ่านจากกายลื้อเข้าสู่กายของผู้หญิง ให้ผู้หญิงรับความร้อนของลื้อไป”
“แล้วผู้หญิงจะเป็นอะไรมั้ย”
“ไม่เป็นไร ธรรมชาติออกแบบมาให้เขารับธาตุไฟของผู้ชายได้อยู่แล้ว แล้วเวลาทำก็ต้องเปลือยกายด้วย เข้าใจมั้ย อิๆ”
เฮียเต๋าหัวเราะอย่างมีเลศนัย กังฟูเงียบไป
“ให้อั๊วหาผู้หญิงให้มั้ย เอาเช้งๆเลย เดี๋ยวอั๊วจัดให้” เฮียเต๋าบอก
“มีผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะยอมมอบธาตุไฟของผมให้ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ผมยอมตาย” กังฟูบอก
“รักเดียวใจเดียว ช่างเป็นผู้ชายที่โรแมนติกจริงๆ”
กังฟูไม่พูดอะไร
เฮียเต๋าเรียก “กังฟู”
“ครับ”
เฮียเต๋ายื่นทิชชูให้
“เลือดกำเดาลื้อไหล”
กังฟูมีเลือดกำเดาไหลทะลักออกมา กังฟูรีบเอาทิชชูไปซับเลือด
เฮียเฉิน เฮียเก้า และติงลี่เล่าเรื่องการรักษาธาตุไฟให้เมลดาฟัง
“พวกคุณล้อฉันเล่นใช่มั้ยเนี่ย” เมลดาถาม
“พูดจริงๆ” เฮียเฉินบอก
“ลื้อดูตาอั๊วได้เลย อั๊วพูดจริง ดูตาอั๊วแล้วฟังอีกทีนะ” เฮียเก้าจ้องตาติงลี่ “วิธีรักษาอาการธาตุไฟแตก คือให้ผู้ชายกับผู้หญิงนั่งเปลือยกาย ฝ่ายชายถ่ายทอดลมปราณธาตุไฟไปให้ฝ่ายหญิง ... เป็นไง สายตาอั๊วมีพิรุธบ้างไหม”
เมลดายังตะขิดตะขวงใจ
“อั๊วสาบานเลย ขอให้โดนฟ้าผ่าตายเลย ถ้าไม่จริง” ติงลี่บอก
“พวกเราก็กลัวว่าลื้อไม่เชื่อ เลยต้องลากกันมาสามคนเนี่ย” เฮียเก้าว่า
“แต่ละคนน่าเชื่อมากเลยนะ” เมลดาบอก
“เฮ้อ ถ้าฮูหยินอยู่ที่นี่ อั๊วก็จะให้ฮูหยินมาพูดกับลื้อหรอก”
“ดี...ด้วยศักดิ์ศรีของฮูหยิน เรื่องนี้จริงใช่มั้ย” เมลดาถามย้ำ
“อ้อ ดึงเมียอั๊วมารับประกัน ได้ ด้วยศักดิ์ศรีและเกียรติยศของฮูหยิน เรื่องที่เราพูดเป็นความจริง” เฮียเฉินบอก
“อ้ะ เชื่อก็ได้ ... แล้วมาบอกฉันทำไม ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”
สามเฮียโห่ลั่น
“ขนาดนี้แล้วยังทำมาปากแข็ง เดี๋ยวพาไอ้กังฟูไปซ่องซะเลย” เฮียเก้าบอก
“ลองดูสิ” เมลดาว่า
“ก็นี่ไง ลื้อเป็นแฟนมัน เราก็ไม่อยากทำอะไรที่มันเป็นการหักหาญน้ำใจลื้อ เลยมาบอกให้ลื้อจัดการซะ”
“ถึงจะบอกว่าเป็นแฟนกันก็เหอะ แต่มันก็...เขินอยู่ดีนั่นแหละ...ของแบบนี้มัน...ฉันเขินนะ”
เมลดาพูดไม่ออกแล้วก็หน้าแดงแจ๋
“ถ้าลื้อไม่ยอมก็ปล่อยมันธาตุไฟเข้าแทรกตายไปเลยแล้วกัน” ติงลี่บอก
“อ้ะๆๆ ยอมก็ได้ ขู่กันจัง”
เมลดาทำเป็นโกรธกลบเกลื่อนความเขิน
พายุเดินลมปราณอย่างคร่ำเคร่ง โดยมีเนตรนภานอนหลับอยู่ข้างๆ พายุลืมตาขึ้นมองเนตรนภา
“เนตร”
เนตรนภาลืมตาขึ้นมาก็เห็นพายุนั่งอยู่
“มีอะไรคะ”
พายุมองเนตรนภาด้วยดวงตาลุกวาวเต็มไปด้วยความปรารถนา เนตรนภากระเถิบหนี โดยก้มหน้า ไม่กล้าสบตา
“อีกแล้วเหรอ” เนตรนภาถาม
พายุกำหมัดแน่น “ไม่...”
พายุต่อยหมัดเข้ากำแพง เขาต่อยๆๆ จนมือเปื้อนเลือดแล้วก็ค่อยสงบลง จึงหันมาหาเนตรนภาด้วยสีหน้าที่สงบลง
“ผมหิว หาอะไรให้ผมกินหน่อยสิ”
เนตรนภางงๆเหมือนกันกับพฤติกรรมของพายุ
“ค่ะ รอแป๊บนึงนะคะ”
เนตรนภาลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น พายุมองดูเรือนร่างของเนตรนภาแล้วกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดไหล ก่อนจะเมินหน้ามองไปทางอื่น
จางซื่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ โดยมีอาเฟยนั่งอยู่ด้านหลัง สักครู่จางซื่อก็สะดุ้งขึ้นมา อาเฟยงง
“อาจารย์ มีอะไรรึเปล่า” อาเฟยถาม
จางซื่อนั่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะออกมา
“หนอนกู่ที่ฉันปล่อยใส่เมฆามันตายแล้ว แปลว่าเมฆาก็คงไม่รอด ฮ่าๆๆ ต้องเป็นฝีมือมิเชลแน่ๆ ฉันอยากเห็นหน้าพวกมันเหลือเกิน ตอนที่พวกมันต้องฆ่ากันเองน่ะ”
“เมฆาตายแล้ว อาจารย์จะให้ทำยังไงต่อครับ”
จางซื่อหยุดคิดนิดหนึ่ง
“ตอนนี้ขยะของอสูรเทวาชักมีมากเกินไปแล้ว คงต้องหยุดเรื่องอื่น ทำความสะอาดซักครั้ง... ทั้งมิเชล พวกที่โรงงิ้ว แล้วก็หลินหลิน รวมทั้ง เหมยอิง เมียฉันด้วย ต้องฆ่าให้หมด”
“ผมจะจัดการให้เรียบร้อยครับ” อาเฟยบอก
จางซื่อพยักหน้า
เมลดายืนทำใจอยู่หน้าห้อง เฮียเฉิน เฮียเก้า และติงลี่อยู่หน้าห้อง สักครู่เฮียเต๋าก็เดินออกมา
เฮียเฉินถาม “อาการกังฟูเป็นไงบ้าง”
“ธาตุไฟแตก แต่ยังไม่กระเทือนถึงจุดชีพจรกับอวัยวะภายใน ถ้าจะรักษามันก็ต้องรีบลงมือ” เฮียเต๋าบอก
“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว ลื้อออกมาสิ จะลงมือรักษา”
เฮียเต๋ามองหน้าเมลดาแล้วอธิบาย
“ไม่มีอะไรยาก ลื้อแค่นั่งสมาธิ ประกบฝ่ามือกับมัน พลังธาตุไฟจะไหลเข้าตัวลื้อเหมือนของร้อนถ่ายเทความร้อนให้ของที่เย็นกว่า แต่ลื้อจะไม่เป็นอันตราย ลื้อแค่อยู่เฉยๆจนรู้สึกว่าพลังธาตุไฟในตัวมันสมดุลดีแล้ว ก็เสร็จ”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เมลดาบอก
เฮียเต๋าหลีกทางให้เมลดา เมลดาเดินเข้าไปแล้วปิดประตูลงกลอน พวกอาเฮียทั้งสี่มองตากัน
กังฟูนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยท่าทางหนาวมาก
“คุณเม...”
“พวกนั้นบอกฉันหมดแล้วว่าต้องทำยังไงบ้าง”
“คุณยอมเหรอครับ”
เมลดาพยักหน้าอายๆ กังฟูเลือดกำเดาทะลัก เมลดาตกใจ
“กังฟู”
“มะ...มะ..ไม่เป็นไรครับ อย่าไปสนใจมัน...แต่ก่อนอื่น ผมอยากบอกคุณเมว่านี่เป็นครั้งแรกของผม”
“แหงสิ นายไม่เคยฝึกวิทยายุทธมาก่อนนี่นา จะธาตุไฟแตกได้ไง”
“ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึง ที่คุณเมกับผมจะ...เอ่อ...มีอะไรกัน”
เมลดาชะงักเอี๊ยด
“นายว่าอะไรนะ”
“ไม่เข้าใจเหรอครับ ผมหมายถึง...เอ่อ...เล่นจ้ำจี้ไงครับ”
“ไม่เข้าใจ”
“ปั่มป๊าม”
“ไม่”
“มุ้งมิ้ง”
กังฟูมอง สีหน้าเมลดายังอึ้งอยู่ กังฟูนึกว่าเมลดายังไม่เก็ต
“โชะเชะ...บึ้ดจ้ำบึ้ด...ป้าบๆ...สะด๊วบ...ซั่ม...ขย่ม...ล่อ...ซด...ฟาด...ฟัน” กังฟูพูดเป็นชุด
“พอ”
“เผด็จศึก...”
“พอแล้ว! ฉันรู้ว่านายหมายความว่ายังไง แต่ไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่ายังไง”
กังฟูงง แต่เมลดาเดินพรวดออกไป
เมลดาเปิดประตูพรวด เฮียเก้า เฮียเฉิน เฮียเต๋า และติงลี่ที่แนบหูที่ประตูเพื่อแอบฟังกันอยู่ล้มระเนระนาด ทั้งสี่รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
“เสร็จแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง” เฮียเต๋าถาม
เมลดากระชากคอเสื้อเฮียเต๋าด้วยท่าทางโกรธจัด
“ไหนตอนแรกพวกเฮียบอกแค่นั่งสมาธิรับพลังธาตุไฟเฉยๆไง”
“ก็...ก็ใช่อ่ะดิ”
“แล้วทำไมกังฟูบอกต้อง...ต้อง...เผด็จศึกด้วย”
เฮียทั้งสี่ร้องลั่น
“ไม่ใช่แล้ว”
“ไม่ต้องทำแบบนั้น”
“ไอ้เต๋า ลื้อบอกกังฟูยังไงวะ”
“อั๊วไม่เกี่ยว นี่อั๊วปรี๊ดเหมือนกันนะเว้ยเนี่ย”
เฮียเต๋าพรวดเข้าไปในห้อง พวกเฮียๆตามเข้าไปด้วย เมลดายืนหน้าบูดอยู่ข้างนอก
เฮียเต๋าพรวดเข้ามาชี้หน้ากังฟู เฮียเฉิน เฮียเก้า และติงลี่เดินตามเข้ามา
“ไอ้กังฟู ไอ้เก๋าเจ้ง ทำไมลื้อต้องไปขอเผด็จศึกเค้าวะ”
“ก็เฮียบอกอั๊วไม่ใช่เหรอ” กังฟูว่า
“อั๊วบอกตอนไหน” เฮียเต๋าถาม
“เฮียบอกให้ใช้ร่างกายถ่ายทอดธาตุไฟออกไปให้อีกฝ่าย ก็...ถ้าไม่ใช่ปั่มป๊ามแล้วให้ทำยังไง”
“ไอ้หูหมาเอ๊ย อั๊วหมายถึงให้ลื้อกับคุณเมนั่งเปลือยกาย โคจรพลัง ถ่ายทอดธาตุไฟให้โว้ย เหมือนเอี้ยก้วยกะเซียวเหล่งนึ่งอ่ะ ไม่เคยดูรึไง”
“อ้าว แล้วทำไมไม่พูดอย่างงี้ตั้งแต่แรก อั๊วก็เข้าใจไปอีกแบบ”
“ไอ้ซีปังโต้ว ไอ้ซื่อบื้อ”
“ไม่ใช่ละ อั๊วว่าแบบนี้แกล้งซื่อบื้อตีความเข้าข้างตัวเองมากกว่า ใช่มั้ย ยอมรับมาซะดีๆไอ้บ้ากาม”
“ศิษย์มิกล้า ศิษย์เข้าใจผิดจริงๆ”
“มิน่า ตอนบอกวิธีแก้ ลื้อเลือดกำเดาพลั่กๆๆ” เฮียเต๋าว่า
“ไอ้กังฟู ลื้ออย่าทำเป็นล้อเล่นนะ ถ้าคุณเมเขาเปลี่ยนใจไม่ช่วยลื้อ อาการลื้อถึงตายเลยนะ” ติงลี่บอก
กังฟูจ๋อย
“ช่วยอธิบายให้คุณเมเข้าใจด้วยเถอะนะครับ”
เมลดาเดินเข้ามา
“ได้ยินหมดแล้วล่ะ”
“คุณเม ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ” กังฟูบอก
“อืม ฉันรู้ว่าตัวจริงนายเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่คนฉวยโอกาสหรอก”
กังฟูยิ้มปลื้ม
“ฉันจะช่วยนาย”
“ขอบคุณครับ”
เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียเต๋า และติงลี่ที่ยืนดูอยู่ผงกศีรษะ เมลดาหันมามองทั้งสี่ ทั้งสี่ก็ยังยืนเฉย
เฮียเก้าบอก “เอาเลยครับ ช่วยไอ้กังฟูเลยครับ”
“ก็ออกไปข้างนอกซะทีสิ”
เมลดาตวาดลั่น พวกอาเฮียสะดุ้งก่อนจะรีบกรูกันออกไป
เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียเต๋า และติงลี่เดินออกมาจากห้อง ทั้งสี่เดินมานั่งอยู่ห่างออกมาไกลพอสมควร
ทั้งสี่ปรายตามองเข้าไปในห้องแว่บหนึ่ง
“อั๊วอดคิดไม่ได้เหมือนกัน ว่าถ้าวันนี้เกิดอั๊วธาตุไฟเข้าแทรกขึ้นมาบ้าง ใครจะเป็นคนช่วยอั๊ววะ” เฮียเก้าว่า
“ผู้หญิงคนไหนก็ช่วยลื้อได้หมดแหละ ถ้าลื้อไม่เลือกมาก” เฮียเต๋าบอก
“แต่อั๊วเข้าใจความหมายของไอ้เก้านะ มันหมายถึงผู้หญิงที่เราผูกพันทางใจด้วย”
“งั้นทางที่ดี พวกเราก็อย่าฝึกจนธาตุไฟแตกแล้วกัน เพราะพวกเราไม่ได้มีใครแบบกังฟู” ติงลี่บอก
“รู้มั้ย ตอนอั๊วบอกวิธีแก้ให้มัน มันบอกว่าไง มันบอกว่า... มีผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะยอมมอบธาตุไฟของผมให้ ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น ผมยอมตาย”
“โอหังจริงๆ...แต่ได้ใจว่ะ”
พวกเฮียทั้งสี่เหลียวไปมองในห้องอีกทีแล้วก็ยิ้มกันเล็กน้อย
เมลดาถอดผ้าห่มแล้วถอดเสื้อผ้ากังฟูออก กังฟูนอนตัวเปลือยเปล่ากอดอก ตัวสั่นกึกๆๆ
“ผม...หนาว...”
เมลดากอดกังฟู
“ทนอีกนิดนะ ฉันกำลังจะช่วยนายเดี๋ยวนี้”
เมลดาลุกเดินไปด้านหลังกังฟูแล้วถอดเสื้อผ้าตัวเองออก
กังฟูหนาวสั่นจนหน้าซีดปากเขียว เมลดาเดินกลับมานั่งด้านหน้าของกังฟู กังฟูหลับตาปี๋
เมลดาบอก “ยื่นมือมา”
กังฟูหนาวสั่นแต่ก็พยายามยื่นมือออกมา มือของเขาสั่นกึกๆๆ แต่ไม่โดนมือเมลดา
“กังฟู”
“ครับ”
“ลืมตาเถอะ”
“แต่ว่า...”
“นี่ไม่ใช่เรื่องราคะ ความรู้สึกที่เรามีให้กันสูงส่งกว่านั้นไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่เราต้องอายกัน”
กังฟูลืมตา
“คุณพูดถูก...ขอบคุณคุณมากคุณเม”
กังฟูยื่นมือออกไปประกบกับฝ่ามือเมลดา
พลังธาตุไฟไหลพรวดเข้าสู่เมลดา เมลดาสะท้านเฮือกหนึ่ง กังฟูตกใจ
“คุณเม”
เมลดาฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไร แค่รู้สึกแปลกๆน่ะ”
กังฟูลังเล เมลดาบีบจับฝ่ามือกังฟูไว้ให้แน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไร กังฟูพยักหน้า ทั้งสองประกบฝ่ามือกัน
อากาศภายในห้องเริ่มร้อนระอุ เมลดามีเหงื่อไหล ขณะที่ใบหน้ากังฟูมีสีเลือด กังฟูมีสีหน้าดีขึ้น ทั้งสองมองตากัน นิ่งและเนิ่นนาน ขณะที่กังฟูดูดีขึ้น เมลดากลับหน้าแดงก่ำ เหงื่อผุดเต็มตัวจนกังฟูกังวล
“คุณเม รู้สึกเป็นไงบ้าง”
“ฉันร้อน มันร้อนมาก”
กังฟูทำท่าจะดึงมือกลับแต่เมลดาจับมือกังฟูไว้
“อย่าหยุด...ฉันยังทนได้” เมลดาบอก
“คุณเม”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ...ปล่อยมาเถอะ”
กังฟูกับเมลดามองตากัน กังฟูดันฝ่ามือทาบกับฝ่ามือเมลดาอีกครั้ง เมลดาร่างสะท้านขึ้น เหงื่อไหลเป็นสาย ขณะที่กังฟูดูดีขึ้นตามลำดับ
“คุณเม”
เมลดามองกังฟู
“ผมรักคุณ”
“ฉันก็รักนาย”
ทั้งสองมองตากันโดยฝ่ามือทั้งสองทาบกันสนิท
อ่านต่อตอนที่ 12