xs
xsm
sm
md
lg

ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 9

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 9 
ตกกลางคืน มิเชลและเมฆาพาพายุมานั่งกินที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง เด็กเสิร์ฟยกอาหารวางบนโต๊ะ

“ชุดฮ่องเต้ครับ” กัปตันเอ่ย
“ขอบใจ ออกไปก่อน มีอะไรจะเรียกเอง” มิเชลพูดขึ้น
“ครับผม”
กัปตันรับคำแล้วพาเด็กเสิร์ฟออกไป ส่วนพายุมองของกินบนโต๊ะ ท่าทางตื่นๆ
“อยากทานอะไรก็ทานตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจกัน” มิเชลว่า
“ได้มีโอกาสกินข้าวด้วยกันกับคุณพายุ ผมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” เมฆาพูดขึ้น
พายุยังดูไว้ท่าทีอยู่ ยังไม่ไว้ใจพวกมิเชล
“คุณเมฆา คุณมิเชล อยู่ดีๆ พวกคุณมาเลี้ยงอาหารดีๆ แบบนี้ ผมว่าพวกคุณต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่เลย”
เมฆาไม่ตอบ เขาหยิบตะเกียบคีบอาหารให้พายุ
“ขอบคุณครับ” พายุเอ่ยขอบคุณ แต่ยังไม่กิน
“แน่นอนอยู่แล้ว เราไม่ให้คุณกินฟรีแน่ แต่ว่าคุณพายุ เพราะเป็นคนระดับคุณด้วยนะ เราถึงจัดเมนูระดับฮ่องเต้ให้ จะใช้งานขุนพลก็ต้องเลี้ยงดูแบบขุนพล ถูกไหมครับ” เมฆาว่า
“คุณพูดอย่างนี้ ผมยิ่งไม่กล้ากินเข้าไปใหญ่” พายุเอ่ย
เมฆาหัวเราะ
“ทำไมล่ะ คุณไม่รู้ตัวเหรอว่าความสามารถระดับคุณน่ะคือระดับขุนพล ทั้งสติปัญญา พลังฝีมือ ไม่ใช่ธรรมดาเลย”
“ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติ”
“เสียดาย เฮียติงลี่ ถึงเขาสายตาแหลมคม เห็นความสามารถของคุณ แต่กลับมีจิตใจคับแคบ” เมฆาเอ่ย
พายุตบโต๊ะปัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ใช่ ความจริงเรื่องนี้ผมไม่อยากพูด แต่ผมอดไม่ได้เหมือนกัน เขาดูถูกผมเกินไป หยามผมแบบไม่ไว้หน้าเลย”
พายุกินกับที่เมฆาคีบให้ เมฆายิ้มพอใจแล้วคีบให้อีก

ต่อมาทั้งสามก็ย้ายมาดื่มกันที่ดาดฟ้า พายุดูเริ่มมึนนิดๆ
“พายุ คุณดูสิ กรุงเทพกว้างใหญ่ มีคนมากมาย แต่คนมีความสามารถจริงๆ กลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย” เมฆาเอ่ย
“ถูกต้อง พูดถูก” พายุรับคำ
“คุณอย่าตอบส่งเดช คุณรู้ไหม เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่คุณถูกติงลี่ปลดด้วย” เมฆาพูด
พายุสั่นหน้า ก่อนตอบว่า
“ไม่เกี่ยวหรอก ผมถูกปลดเพราะ ไปยุ่งกับผู้หญิงของเขา”
เมฆาหัวเราะ
“คุณคิดงั้นเหรอ คุณซื่อเกินไปแล้วคุณพายุ สำหรับเฮียติงลี่ ผู้หญิงมีเป็นร้อย หาใหม่ได้ทุกวัน ทำไมต้องปลดคุณเพราะผู้หญิงคนเดียวแบบนี้ จริงๆ แล้วเขากลัวคุณต่างหาก” เมฆาว่า
“กลัวผม?”
“ใช่ ตอนแรกเขาส่งเสริมคุณเพื่อตอบแทนผลงานของคุณ แต่พอยิ่งนานวันคุณยิ่งฉายรัศมีเจิดจ้า จนเขาอิจฉาความสำเร็จของคุณ คุณรู้ไหม ตอนนี้คนในวงการเขาพูดกันว่ายังไง”
“ไม่รู้ครับ”
“เขาบอกคุณคือจูล่ง เฮียติงลี่คืออ้วนเสี้ยว”
พายุหน้าแดง อ้อมแอ้มพูด
“ผมไม่ค่อยได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ที่คุณพูดมา ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่”
“จูล่งคือสุดยอดขุนพลของเล่าปี่ เรียกได้ว่าเก่งกาจที่สุดในสามก๊ก แต่ตอนแรกเขาทำงานกับอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวกลับเป็นเจ้านายเลวทราม ไม่มีสมอง ใช้คนไม่เป็น ในสุดก็รั้งจูล่งไว้ไม่ได้”
“ เรื่องนี้คงเข้าหูเฮียติงลี่ เขาเลยสั่งปลดคุณ ไม่ให้คุณได้แสดงฝีมืออีกหนึ่งเพื่อกลบคำวิจารณ์ สองคือคนภายนอกจะได้ไม่รู้ว่าคุณเก่งแค่ไหน สามเป็นการขู่คุณให้อยู่ใต้อิทธิพลของเขาตลอดไป” มิเชลเสริม
เมฆาสังเกตพายุ เห็นแววขุ่นเคืองขึ้นมาบนใบหน้า เมฆาแอบยิ้ม
“ในความเห็นผม เฮียติงลี่ยังเลวกว่าอ้วนเสี้ยวซะอีก อ้วนเสี้ยวอย่างน้อยยังไม่กลั่นแกล้งจูล่ง แต่ติงลี่กลับเหยียดหยามคุณอย่างไม่เห็นคุณค่า” เมฆาใส่ไฟ
“เฮียติงลี่มันเลวจริงๆ เสียแรงผมนับถือเขา นี่ถ้าไม่ได้เจอคุณเมฆา ผมคงไม่รู้เรื่อง เป็นไอ้โง่ให้มันดูถูกต่อไป ผมนึกแล้วว่ามันต้องมีเบื้องหลังอย่างอื่นอยู่ด้วย ขอบคุณคุณเมฆามาก”
พายุพูด แล้วคีบกับที่เมฆาคีบให้ตอนแรกเข้าปาก เมฆามองอย่างพอใจ เขาลุกจากเก้าอี้ คุกเข่าประสานมือคำนับพายุ
“คุณทำอะไร” พายุตกใจ
“ผมกำลังจะทำการใหญ่ ขอสวมบทเล่าปี่ เชิญยอดขุนพลอย่างคุณมาอยู่ร่วมธงของผม” เมฆาว่า
พายุรีบคุกเข่าลง ประคองเมฆา
“คุณให้เกียรติผมเกินไป ใต้เข่าลูกผู้ชายมีทองคำ คุณเป็นเศรษฐีใหญ่ ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้”
“เป็นเศรษฐีแล้วทำไม ถึงมีเงินมากมายแต่ไม่มีกำลัง คิดทำอะไรก็ไม่ได้ ผมเจ็บใจที่เพชรเม็ดงามอย่างคุณกลับไปอยู่ในมือคนโง่อย่างติงลี่ พายุ มาอยู่กับผมเถอะ”
พายุตื้นตันใจมาก
“คุณเมฆา ในเมื่อคุณให้เกียรติผม ตกลง ผมจะเป็นจูล่ง ให้คุณเป็นเล่าปี่”
“ขอบคุณมากครับ”
“ขอบคุณคุณเช่นกัน” พายุเอ่ย
ทั้งสองจับมือกัน

พายุอยู่หน้าร้าน เขาหันกลับขึ้นไปมองที่ชั้นสองผ่านกระจก เห็นเมฆากับมิเชลโบกมือให้เขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
พายุยิ้มแล้วหันเดินจากมา สีหน้าชื่นมื่น

เมฆากับมิเชลมองตามพายุไป
“หน้าอย่างมันก็คิดจะเป็นจูล่งเหรอ ใครเชื่อก็ตายสิ อย่างมันเป็นได้แค่ลิโป้เท่านั้นแหละ” เมฆาเอ่ย
“เป็นลิโป้แล้วไม่ดีเหรอ ในสามก๊ก บางคนบอกลิโป้เก่งกว่าจูล่งด้วยซ้ำ” มิเชลว่า
“ถึงเก่งกว่าแต่ไร้ความจงรักภักดี ทรยศเจ้านายคนแล้วคนเล่าจนได้ฉายาลิโป้ ไอ้ลูกสามพ่อ ถ้าฉันไว้ใจมัน ฉันก็ต้องตายเหมือนเจ้านายลิโป้ โดนลูกน้องตัวเองฆ่าซะ ส่วนลิโป้เองสุดท้ายก็ตายอย่างหมา งิ้วเรื่องนี้ฉันไม่อยากเล่น ให้ไอ้ติงลี่กับไอ้พายุเล่นให้ดูดีกว่า ฮ่าๆๆ”

มิเชลจอดรถที่สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง เมฆาอยู่ในรถ มองวิวกรุงเทพพลางคุยโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจางซื่อ
“อีกไม่นานอสูรเทวากำลังจะได้ครอบครองกรุงเทพแล้วครับ” เมฆาพูด
“มีวิธีจัดการกับติงลี่แล้วเหรอ” เสียงติงลี่ดังมาตามสายโทรศัพท์
“ใช่ครับ หลังจากจัดการติงลี่ ต่อไปก็คือเฮียเต๋า”
“น้ำเสียงแกมั่นใจมาก อย่าประมาทนะเมฆา ติงลี่กับเฮียเต๋า พวกมันเป็นเจ้าพ่อขาใหญ่หนึ่งในสามของกรุงเทพ มันต้องไม่ใช่ธรรมดา”
“ผมไม่ประมาทหรอกครับ คนที่กำลังตกอยู่ในความประมาทคือพวกมันต่างหาก”

อีกด้านหนึ่ง ติงลี่ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในไนต์คลับ มีพวกลูกน้องยืนสองแถวต้อนรับ โค้งคำนับให้เขา ห่างออกมา รถของเมฆาจอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน เมฆาโอบมิเชลกำลังมองติงลี่
“ฉันกำลังจะเป็นเจ้าพ่อคนใหม่แทนมัน มิเชล เธอคิดไม่ผิดหรอกที่เป็นผู้หญิงของฉัน” เมฆาเอ่ย
“คุณเป็นผู้ชายของฉัน ฉันต่างหากที่เลือกคุณ” มิเชลยิ้มดุๆ ให้เมฆา

ความทรงจำในวัยเด็กของมิเชลผุดขึ้นมา..
“ป๊าเร็วอีก ป๊าเร็วอีก” เด็กหญิงมิเชลที่กำลังขี่หลังพ่อ เอ่ยปากเร่ง
“นี่ก็เร็วสุดๆแล้วนะ เร็วอีกไม่ไหวแล้ว” พ่อของมิเชลซึ่งก็คือเฮียหลอ เอ่ยขึ้น
“ไม่เอา เร็วอีกๆ”
“หมดพลังแล้ว ต้องเติมพลังก่อน” เฮียหลอหยุด แกล้งหอบแฮ่ก
“ยังไม่หมดซะหน่อย”
“หมดจริงๆ แฮ่กๆๆๆๆ” เฮียหลอนั่งยองๆ
“อ้ะ งั้นเดี๋ยวเติมพลังให้”
เฮียหลอหันข้างมา มิเชลยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มซ้าย
“ยังไม่พออ่ะ” เฮียหลอหันอีกด้าน
มิเชลจุ๊บแก้มขวา
“ได้เติมพลัง ไปละน้า ฮี้ กับๆๆๆๆๆๆๆ” เฮียหลอลุกพรวด
เฮียหลอวิ่งตั้กๆๆๆ มิเชลหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ

เฮียหลอวิ่งมาหยุดตรงริมน้ำ มองไปเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา
“ทำตัวสูงเร็ว” มิเชลว่า
“ฮึ้บ...จับหัวป๊าดีๆ นะ เดี๋ยวตกลงมา” เฮียหลอยกมิเชลขึ้นขี่คอ
มิเชลมองวิว
“โอ๊ย ผงเข้าตา” มิเชลหยีตา เห็นภาพไม่ชัด
“เหรอๆ อยู่เฉยๆ นะอย่าขยี้ตานะ เดี๋ยวป๊าดูให้” เฮียหลออุ้มมิเชลวางลงข้างหน้าเขา มิเชลหันกลับมามองหน้า เขาเช็ดตาให้จนมิเชลลืมตาได้

ทันใดนั้น มิเชลตื่นขึ้นมากลางดึก มีสีหน้างุนงง เมฆาที่นอนอยู่ข้างๆเธอ ยังไม่หลับ เขามองเธออยู่ครู่หนึ่ง
“เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ” เมฆาเอ่ยถาม
“ไม่เชิง ฉันฝันถึงพ่อฉัน แปลกมาก ฉันไม่ได้ฝันถึงพ่อมานานมากแล้ว” มิเชลว่า
“มีอะไรรึเปล่า” เมฆาถาม
“เรื่องนี้ฉันก็บอกไม่ถูก ช่วงหลายวันมานี้ ฉันรู้สึกเหมือนตอนเป็นเด็ก ตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ พ่อ”
“ระหว่างพ่อลูกมีสายสัมพันธ์กันอยู่ คุณอาจได้เจอเขาโดยไม่รู้ตัวก็ได้”
“ฉันนึกไม่ออกเลยว่าใคร” มิเชลขมวดคิ้ว
“เอางี้แล้วกัน ผมจะให้คนสืบให้ ทั้งเรื่องของพ่อคุณ เผื่อจะได้เบาะแสว่าตอนนี้พ่อของคุณท่านอยู่ที่ไหน”
“ขอบคุณมากค่ะ” มิเชลยิ้มให้เมฆา
“เรื่องเล็ก” เมฆาเอ่ย
มิเชลนอนลง กอดเมฆา

สันต์เดินเข้ามา ดึงรูปเก่าๆ ใบหนึ่งในกระเป๋าออกมา เป็นรูปมิเชลตอนเด็กๆ กับแม่ สันต์มองซ้ายมองขวาก็เจออาแปะแก่ๆคนหนึ่ง เขาเดินไปเข้าไปพร้อมให้ดูรูป สอบถามพูดคุย อาแปะส่ายหน้าไม่รู้เรื่อง สันต์ไม่ว่าอะไร เมื่อเจออาอึ้ม เขาก็เดินไปหาอาอึ้มแล้วหยิบรูปให้ดู

อีกด้านหนึ่งเนตรนภาลงจากแท็กซี่ กำลังจะเดินเข้าอพาร์ทเมนต์ พายุที่ดักอยู่เข้ามาหาเธอ
“เนตร” พายุเอ่ย
“พายุ…” เนตรนภามองซ้ายมองขวา กลัวคนเห็น รีบพาพายุเข้าหลบมุม
“คุณมาหาฉันทำไม คุณก็รู้นี่ว่าเฮียติงลี่ห้ามเราเจอกัน ถ้ามีคนมาเห็นเราแล้วเอาไปบอกเฮียติงลี่ล่ะก็…”
“ผมทนแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอกเนตร ผมคิดถึงคุณมาก”
“พายุ…”
“ผมมานี่เพื่อจะบอกคุณ ผมจะไปหาเขา ไปคุยกับเขาขอให้เขาปล่อยคุณ”
“เขาไม่ยอมหรอก เขาจะฆ่าคุณนะ”
“เป็นไงเป็นกัน”
“ไว้ให้เขาใจเย็นกว่านี้ก่อนดีไหมคะ”
“ไม่ ผมจะไปคุยกับเขาเลย ผมทนไม่ได้จริงๆ ผมรักคุณ เนตร”
พายุจูบเนตรนภา ทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวค่ะพายุ ถ้าคุณจะไปคุยกับเขาจริงๆ ให้ฉันเป็นคนคุยเถอะ ถ้าคุณคุยยังไงเขาก็ไม่ยอม”
“แต่ว่า…”
“เชื่อฉันเถอะ ให้ผู้หญิงคุยดีกว่า เขาไม่ใช่คนใจร้ายอะไร”
“ก็ได้”
“แต่ตอนฉันคุย คุณอย่าอยู่เลยนะ เดี๋ยวจะทะเลาะกัน”
“ถ้าอย่างนั้นผมไม่วางใจ ถ้าคุยในไนต์คลับ เขาอาจให้ลูกน้องทำร้ายคุณ คุณนัดเขาออกมาคุยข้างนอกได้ไหมล่ะ”
“ได้ ฉันจะนัดเขามาคุยตัวต่อตัวที่ห้องฉัน ดีมั้ยคะ”
“ดีครับ นัดเขามาเลยนะเนตร ผมร้อนใจมาก ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณ”
เนตรนภาน้ำตาไหล มองพายุยิ้มทั้งน้ำตา
“ถ้าฉันมาอยู่กับคุณแล้วคุณไม่มีเงินให้ฉันใช้นะ คอยดูเถอะ”
“อย่าว่าแต่หาเงินมาให้คุณเลย คุณอยากได้อะไรผมก็จะหามาให้หมดทุกอย่าง ขอให้คุณมีความสุขก็พอ”
พายุกอดเนตรนภา เธอซึ้งจนน้ำตาคลอ

บู๊ลิ้มเข้ามายืนเก้ๆ กังๆ ในร้านขายดอกไม้ จนคนขายที่เป็นสาวหวานน่ารักหันมาเห็นเข้า
“ว่าไงคะ ซื้อดอกอะไรดีคะ” เธอเอ่ย
บู๊ลิ้มดูอายๆหน้าแดง
“คือ ผมอยากจะซื้อดอกไม้ไปขอโทษแฟน...เอ๊ย...เพื่อนผู้หญิงอ่ะครับ...แต่ก็ไม่รู้จะซื้อดอกอะไรดีครับ”
“จะขอโทษเหรอ อืม ไฮยาซินธ์ก็ดีนะ กุหลาบสีขาวก็ได้”
“เอาทั้งสองแบบเลยครับ”
“สองแบบเลยเหรอ แต่ว่าราคามันอาจจะ…”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเงินเก็บอยู่ ไม่ได้ขอใครนะครับ เป็นเงินที่ผมได้จากการขายติ่มซำกับเพื่อนน่ะครับ”
“แหม น่ารักจัง เด็กตัวแค่นี้แต่รู้จักทำงานหาเงินเอง ไม่ใช่เอาแต่แบมือ ทำงานตั้งแต่เด็กๆ นี่โตขึ้นต้องเป็นคนขยันแล้วก็มีความรับผิดชอบแน่ๆเลย ชักอิจฉาสาวน้อยคนนั้นแล้วล่ะสิ”
“บู๊ลิ้มยิ้มเขินๆ”
“เอาการ์ดด้วยมั้ย พี่แถมให้”
“เอาครับ ขอบคุณครับ”
ฟลอริสต์เลือกการ์ดให้ใบหนึ่งกับปากกา ยื่นให้
“เขียนเพราะๆนะ ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวพี่ไปจัดช่อให้”
“ขอบคุณครับ”
คนขายดอกไม้เดินจากไป บู๊ลิ้มรับการ์ดมา นั่งคิดว่าจะเขียนอะไรดี

บู๊ลิ้มเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้องเมลดา ถือช่อดอกไม้สวยงามมีการ์ดแนบอยู่ด้วย เขายืนทำใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เคาะประตู สักครู่หลินหลินก็เปิดประตูออกมา เหงื่อตก เสื้อแสงยับยู่ หัวยุ่งเป็นกระเซิง
“ว่าไงบู๊ลิ้ม” หลินหลินเอ่ย
“เอ่อ...ขอโทษนะ ที่มากวน...คือว่า...ยุ่งอยู่อ๊ะป่าว” บู๊ลิ้มพูด
“ก็นิดหน่อยแหละ แต่ไม่เป็นไร มีอะไรก็ว่ามาสิ”
“คือวันก่อนน่ะ…”
“วันไหนเหรอ”
“ก็วันที่เธอเอาไก่ไปให้ฉัน แล้วฉันก็...เอ่อ...คือว่าฉันทำ…”
“พูดมาสิ รอฟังอยู่” หลินหลินมองดอกไม้ในมือบู๊ลิ้ม
“เอาตรงๆ เลยละกัน คือฉันอยากจะขอ…”
บู๊ลิ้มยังพูดไม่จบ ก็มีเสียงดังมาจากในห้อง
“หลินปิง ทำไมนานจัง”
บู๊ลิ้มอึ้งเมื่อเป๋งกุ่ยเดินออกมาจากในห้อง ตอนแรกเป๋งกุ่ยไม่ทันเห็นบู๊ลิ้ม
“ไปกินต่อเร็วๆสิ กำลังสนุกเลยนะ”
บู๊ลิ้มอ้าปากค้าง มองหน้าหลินหลินสลับหน้าเป๋งกุ่ย
เป๋งกุ่ยมองตามสายตาหลินหลิน ถึงเห็นบู๊ลิ้ม แล้วก็เห็นช่อดอกไม้ สายตาเป๋งกุ่ยบอกแววไม่สบอารมณ์ แต่ก็ทำเป็นยิ้มกว้าง
“บู๊ลิ้ม มาทำอะไรวะ” เป๋งกุ่ยเอ่ย
“พะ...พะ...พวกเธอ...พวกเธอ... “ บู๊ลิ้มอึ้งๆ
“ลื้อรู้ได้ไงวะว่าอั๊วกับหลินปิงกำลังดูวีดีโอกันอยู่น่ะ ว่างรึเปล่าล่ะ มาร่วมวงกันก็ได้นะ ... วีดีโอสนุกมากเลยนะ” เป๋งกุ่ยอยู่ด้านหลังหลินหลิน ทำท่าลามกกวนโมโหบู๊ลิ้ม
“ดูด้วยกันก็ได้นะ วีดีโอสนุกถึงใจเลย” หลินหลินเสริม
“แต่กลัวลื้อจะดูไม่รู้เรื่องอ่ะดิ เราสองคนดูกันมาตั้งนานแล้ว เนอะ” เป๋งกุ่ยว่า
“ไม่ ไม่ดู” บู๊ลิ้มพูด
อินโทรเพลงอกหัก
“ตามใจ เราไปต่อกันเถอะ” เป๋งกุ่ยจับมือหลินหลินเดินกลับเข้าไปในห้อง หลินหลินมองบู๊ลิ้ม
บู๊ลิ้มปล่อยดอกไม้ตกพื้น สะบัดหน้าเดินจากมา

เป๋งกุ่ยกับหลินหลินเดินกลับเข้ามาในห้อง เจอเมลดาในชุดเสื้อกล้ามกางเกงรัดรูป
“ทำไมนานจัง ต่อเลยนะ ต่อไปเรื่องเตะนะ” เมลดากดรีโมทในมือ วีดีโอสอนมวยไทยก็เล่นต่อ สอนท่าเตะ เมลดาหยิบเป้าล่อเตะมาถือในมือ กดพอส
“เอ้า มาฝึกของจริงกันเร็ว” เรมลดาว่า
“ว้า ยังไม่หายเหนื่อยเลยครับ” เป๋งกุ่ยเอ่ย
“หนูไม่เหนื่อยค่ะ ฝึกต่อเลยค่ะ” หลินหลินพูด
“ดีมาก ต้องอย่างนี้สิ เอ้า มาเลย”
หลินหลินเข้ามาเตะเป้า เป๋งกุ่ยนั่งดู หลินหลินเตะปั้กๆๆ
“ดีมากๆ บิดสะโพกอีก ดีมาก” เมลดาชม
หลินหลินถอยออกไป เมลดาเรียกเป๋งกุ่ย
“ตานายแล้วเป๋งกุ่ย”
เป๋งกุ่ยยกมือแบบไม่ไหวแล้ว
“ตอนแรกผมว่าจะมาชวนไปหลินปิงกินฟาสต์ฟู้ดซักหน่อย ชวนให้ฝึกมวยทำไมก็ไม่รู้ เหนื่อยแฮ่กเลย”
หลินหลินเดินเข้ามาซ้อมมวยแทนเป๋งกุ่ย ซ้อมไปพูดไป
“ก็อย่างนี้มันสนุกกว่า ถ้าเธอไม่ชอบกลับไปก่อนก็ได้นะ” หลินหลินว่า
“งั้นฉันกลับก่อนละ นึกว่าจะชวนไปเดินห้างแอร์เย็นๆ เฮ้อ”
“โชคดีนะจ๊ะ” เมลดาเอ่ย
เป๋งกุ่ยเดินออกไป ส่วนหลินหลินกับเมลดาก็ซ้อมมวยกันต่อ

เมื่อเป๋งกุ่ยเดินออกมาจากห้องเมลดา ก็เห็นช่อดอกไม้ของบู๊ลิ้ม เขาหยิบมาดู
“ของไอ้บู๊ลิ้มนี่หว่า”
เป๋งกุ่ยเปิดการ์ดออกมาอ่าน
“แหวะ”
เป๋งกุ่ยจับช่อดอกไม้ เงื้อสุดแขน
“บินไปเลย”
เป๋งกุ่ยมองรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครก็เขวี้ยงช่อดอกไม้ออกไปจากกำแพงดาดฟ้า หล่นหายไปข้างล่าง เป๋งกุ่ยหัวเราะชอบใจ เดินจากไป

อีกด้านหนึ่ง กังฟูเอาลูกประคบประคบหน้าผากให้บู๊ลิ้ม
“หน้าผากศิษย์พี่ทั้งโนทั้งแดงเหมือนปลาทองหัววุ้นเลย ฮะๆๆ” กังฟูว่า
“ยังดีศิษย์พี่ฝึกวิชาหัวเหล็ก เป็นคนอื่นนะกะโหลกแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว ล้มคว่ำสุดแรงซะขนาดนั้น” บู๊ลิ้มพูด
“ก็ดันวิ่งลุยฝนเอง แทนที่จะหาที่หลบฝนก่อน”
“คนอกหักต้องตากฝน มันเป็นกฎพื้นฐาน”
“อืม แล้วเจ็บมากมั้ยเนี่ย” กังฟูถาม
“เจ็บข้างนอกไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บข้างในนี่สิ”
“ศิษย์พี่อายุยังน้อย ไม่ต้องจริงจังกับความรักมากเกินไป”
“ศิษย์น้องไม่ต้องพูดแล้ว ศิษย์น้องไม่มีความรัก ย่อมไม่เข้าใจ”
“อ๊ะๆๆ”
กังฟูชี้หน้าบู๊ลิ้ม สีหน้ามีเลศนัย บู๊ลิ้มฉุกคิดได้
“อย่าบอกนะว่าศิษย์น้องมีแฟนแล้ว”
“หึๆๆ”
“ขั้นไหนแล้ว จับมือกันรึยัง”
“หึๆๆ”
“จับมือกันแล้วเหรอ...แล้ว...หอมแก้มกันยัง”
บู๊ลิ้มกระซิบข้างหูกังฟู
“หึๆๆ”
บู๊ลิ้มหน้าซีด
“ถ้าแบบนั้นไปแล้ว งั้นก็เหลือแต่...จูบ”
บู๊ลิ้มกระซิบอีก คราวนี้กังฟูแหงนหน้าหัวเราะภาคภูมิใจ
“ศิษย์น้อง นี่เจ้า...เจ้า...จูบกันไปแล้วหรือนี่”
“ยัง” กังฟูหยุดหัวเราะ
“อ้าว แล้วที่หัวเราะๆนี่แปลว่าอะไร”
“ยังไม่ได้ทำอะไรหรอก”
“ปู้โธ่ แล้วมาทำเป็นเหนือ ที่แท้ก็บ่มิไก๊ ไม่มีอะไรซักนิด”
“ศิษย์พี่พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ศิษย์พี่ดูอย่างงิ้วเรื่องม่านประเพณี นางเอกจู้อิงไถปลอมตัวเป็นชาย ในที่สุดก็รักกับเหลียงซันป๋อ ตำนานความรักของทั้งสองซาบซึ้งตราตรึงใจคนจีนเล่าขานกันมานับพันปี ไหนเลยมีฉากจูบกันอะไรกันแบบที่ศิษย์พี่ถาม ศิษย์น้องขอน้อมเตือน หากศิษย์พี่หมกมุ่นเรื่องพวกนี้เกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ”
บู๊ลิ้มหัวเราะ กังฟูหัวเราะด้วยแต่สักพักก็ทำหน้าจริงจัง
“ความรักแท้จริงน่ะต้องอยู่ที่หัวใจ” กังฟูเอ่ย
บู๊ลิ้มตะลึง ลุกขึ้นคำนับกังฟู
“ศิษย์น้องพูดได้ถูกต้อง ขอบคุณศิษย์น้องที่ชี้แนะ”
“ศิษย์พี่คิดได้ก็ดีแล้ว เจอเขาครั้งหน้า ก็ค่อยพูดค่อยจา”
บู๊ลิ้มเห็นด้วย พยักหน้าช้าๆ

ตกกลางคืน เมลดากับหลินหลินเดินออกมาจากห้องเมื่อซ้อมมวยเสร็จ
“เหนื่อยจัง แต่ยังอยากเตะมวยอยู่เลยค่ะ” หลินหลินว่า
“พอก่อนเถอะ วันแรกได้แค่นี้ก็เก่งแล้ว” เมลดาเอ่ย
“อืม ก็ได้ค่ะ”หลินหลินเดินออกมา หยุดมองไปรอบๆ แล้วทำเดินไปรอบๆ ดาดฟ้า ตามองหาช่อดอกไม้ แต่ไม่มี เธอมีสีหน้าผิดหวัง
“หลินหลิน หาอะไรรึเปล่า” เมลดาถาม
“เปล่าหรอกค่ะ” หลินหลินบอก
“งั้นไปหาข้าวกินกันเถอะ” เมลดาว่า
“ค่ะ”
เมลดากับหลินหลินเดินออกไป

อีกด้านหนึ่ง เจ๊ยี้นอนหัวซมอยู่บนเตียงที่บ้านเฮียป้อ โดยมีเฮียป้อดูแลอยู่ข้างๆอย่างห่วงใย
“อายี้ ลื้ออย่าเป็นอะไรไปนะ” เฮียป้อว่า
“เฮียป้อ ถึงอั๊วตาย อั๊วก็ดีใจ เพราะอั๊วได้ปกป้องคนที่อั๊วรัก” เจ๊ยี้พูด
“อายี้ ลื้ออย่าพูดอะไรเป็นลางอย่างงั้นสิ ตบปากๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ได้ๆ มา อั๊วตบให้” เฮียป้อตบปากเจ๊ยี้เพี๊ยะๆๆ
“เฮียป้อ”
“ว่าไงอายี้”
“อั๊วว่าลื้อตบแรงไปหน่อยนะ”
“อ้าว อั๊วขอโทษ อั๊วกลัวมากไปหน่อย ลื้อตบอั๊วคืนนะ”
เฮียป้อจับมือเจ๊ยี้มาตบปากตัวเองเพี๊ยะๆ แต่เจ๊ยี้ขืนมือไว้ แล้วจับแก้มเฮียป้ออย่างอ่อนโยน
“เฮียป้อ อั๊วกำลังจะตาย”
“บอกว่าอย่าพูดอย่างนั้น ตบปากๆ”
เจ๊ยี้รีบพูด
“ไม่ต้องๆ ไม่พูดแล้ว...เฮียป้อ อั๊วมีเรื่องอยากจะขอร้องลื้อ”
“ว่าไงอายี้”
“ช่วยทำให้อั๊วเป็นเมียลื้อหน่อยเถอะ”
เฮียป้ออ้าปากค้าง
“จะดีเหรออายี้ ลื้อเจ็บหนักอยู่นะเนี่ย”
“สบาย ชิวๆ” เจ๊ยี้เผลอพูดอย่างมั่นใจเต็มปากเต็มคำ จนเฮียป้องง เจ๊ยี้รู้ตัว รีบทำป่วยต่อ
“ไม่เป็นไร ถ้าลื้อไม่เต็มใจก็ไม่ต้อง ถือซะว่าอั๊วอายี้ เกิดมาอาภัพไม่มีผัว”
“อายี้ ถ้าลื้อพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็…”
เฮียป้อเลื่อนหน้าเข้าใกล้เจ๊ยี้ เจ๊ยี้ตื่นเต้น เฮียป้อกำลังจะปลดกระดุมเสื้อเจ๊ยี้
“เฮียป้อ เจ๊ยี้เป็นอะไรไปคะเนี่ย” เสียงเมลดาดังขึ้น
เมลดากับหลินหลินเข้ามา เจ๊ยี้ปรี๊ดแตกทันที
“ลื้อเข้ามาทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้”
เฮียป้อมองเจ๊ยี้งงๆ เจ๊ยี้รีบป่วยต่อ
“โอย...อั๊วจะไม่ไหวแล้ว”
“อาอี๊เป็นอะไรเหรอคะ” หลินหลินว่า
“เขาช่วยอั๊วจนตัวเองต้องเป็นแบบนี้” เฮียป้อพูด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“อายี้อีอยากเรียนไทเก๊ก เลยให้อั๊วสอนให้…” เฮียป้อบอก
อ่านต่อหน้าที่ 2


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 9 (ต่อ)
เฮียป้อเริ่มเล่า ภาพในตอนนั้นผุดขึ้นมา เป็นภาพขณะเฮียป้อกำลังสอนเจ๊ยี้รำไทเก๊ก ส่วนเจ๊ยี้แกล้งทำเก้ๆกังๆ

“ไม่ใช่แบบนั้นอายี้”
“ลื้อก็เข้ามาใกล้ๆ หน่อยอั๊วหน่อยสิ จับตัวอั๊วขยับหน่อย อั๊วไม่เข้าใจ”
เฮียป้อจะเข้ามาจับตัวเจ๊ยี้ แต่แล้วก็เห็นชื่อ ดอกท้อ ที่เขียนที่ข้อมือ หมึกยังชัดเจนอยู่จึงถอยออกไป หยิบกิ่งไม้มาแตะตัวเจ๊ยี้แทน
“นี่ ขยับแขนไปตรงนี้ เอวขยับไปตรงนี้”
เจ๊ยี้มองเฮียป้อ แล้วปรี๊ด
“เฮียป้อ ทำไมไม่เอามือจับ ทำไมต้องเอาไม้มาเขี่ยอั๊วด้วย”
“อายี้ ลื้อไม่เคยได้ยินเหรอโบราณว่าไว้ ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน”
“แต่อั๊วไม่ใช่อุนจิ ตามใจ ลื้อไม่อยากสอนก็ไม่ต้องสอน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น อายี้”
ทันใดนั้น เจ๊ยี้ก็เห็นมีของตกลงมาจากที่สูง กำลังจะหล่นใส่หัวเฮียป้อ
“เฮียป้อ ระวัง”
เจ๊ยี้ผลักเฮียป้อเซออกไป แล้วตัวเองก็กระโดดหลบไปอีกทาง
เฮียป้อหันมาดูของนั้นตกลงมาบนพื้น เป็นช่อดอกไม้ของบู๊ลิ้มที่เป๋งกุ่ยโยนลงมา
“ช่อดอกไม้...มาจากไหนวะเนี่ย...หรือว่า…”
เฮียป้อหน้าซีด เงยหน้ามองฟ้า
“อาดอกท้อ ลื้อโกรธอั๊วใช่มั้ย อั๊วขอโทษ แต่อั๊วยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ อาดอกท้อลื้ออย่าโกรธง่ายนักสิ”
เฮียป้อคุกเข่ากราบกรานท้องฟ้าหลายที แล้วค่อยลุกขึ้นมา เดินมาหยิบช่อดอกไม้พูดกับเจ๊ยี้ โดยไม่ได้หันไปมอง
“อายี้...เรื่องฝึกไทเก๊กน่ะ สรุปว่าลื้อไปหาคนอื่นช่วยสอนเถอะ...อายี้ อายี้”
เฮียป้อเอะใจที่เจ๊ยี้เงียบ หันมามองเจ๊ยี้ แล้วก็ร้องลั่นตกใจ เห็นเจ๊ยี้หน้าเหยเก กบาลแนบสนิทกับกำแพงตึก
“อายี้”
เจ๊ยี้ครางเบาๆ แล้วร่างก็รูดไหลลงมากองกับพื้น
“อายี้ยี้ยี้ยี้ยี้ยี้”

กลับมาที่ปัจจุบัน เฮียป้อกำหมัดแน่น
“ที่อาอี๊เจ็บตัวครั้งนี้เพราะช่วยอั๊วแท้ๆ”
“ไม่เป็นไร เพื่อลื้อ อั๊วไม่เสียดายชีวิตหรอก” เจ๊ยี้ว่า
เมลดามองไปเห็นช่อดอกไม้ที่มุมห้อง
“เอ๊ะ นั่นรึเปล่าคะ ช่อดอกไม้ที่ว่า” เมลดาถาม
“ใช่น่ะสิ” เฮียป้อพูด
“ดอกไม้ของบู๊ลิ้มนี่” หลินหลินเห็นแล้วดีใจรีบวิ่งมาดู เจ๊ยี้ลุกขึ้นนั่ง ตบโต๊ะเปรี้ยง
“ตกลงเป็นของไอ้บู๊ลิ้มเหรอ มันโยนลงมาแบบนั้นได้ไงวะ หา” เจ๊ยี้งง
หลินหลินไม่สนใจเจ๊ยี้ เห็นการ์ดที่ยังแนบอยู่กับช่อดอกไม้เธอก็เปิดดูแวบหนึ่งแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง
“อ้าว ไม่ใช่ของดอกท้อเหรอเนี่ย” เอียป้อเอ่ย
เจ๊ยี้หันขวับ แล้วเดินมาหาเมลดา
“ว่าไง หลินฮุ่ย ที่อั๊วหัวโนเนี่ยเพราะไอ้บู๊ลิ้มเหรอ มันอยู่ไหน”
เมลดากระพริบตาปริบๆ
“อุ๊ย เจ๊ยี้หายแล้วนี่คะ”
เจ๊ยี้สะดุ้ง รู้ตัวว่าโมโหเกินไป
“อายี้ลื้อหายแล้ว ดีใจจัง สบายใจจริงๆ”
เฮียป้อเดินออกไป เจ๊ยี้วิ่งตามไป แต่เฮียป้อไม่รอ
“แล้วเฮียป้อจะไปไหน”
“ไปกินข้าวดิ หิวจนตาลายแล้วเนี่ย”
เจ๊ยี้ฮึดฮัดเจ็บใจ เมลดากลัวโดน จึงค่อยๆ ย่องออกไปโดยเจ๊ยี้ไม่รู้ตัว

หลินหลินเดินจ้ำอ้าว ถือช่อดอกไม้เข้ามา แอบเหลือบมองเมลดา เมื่อเห็นเมลดาไม่ได้ตามมา ก็รีบหาที่นั่ง เอาการ์ดออกมาอ่านอย่างตั้งใจ
“ผมนั่งอยู่ในร้านดอกไม้มาเกือบชั่วโมงแล้ว คิดอยู่จะตั้งนานว่าจะเขียนอะไร มีถ้อยคำมากมายที่อยากบอก แต่กลับเขียนไม่ออกซักคำ จริงๆ แล้วมันก็มีแค่สามคำแต่ผมก็กลัวมันจะน้อยเกินไปสำหรับความผิดพลาดที่ผมได้ทำลงไป ผมอยากบอกว่า... ผมขอโทษ”
หลินหลินอ่านจบแล้วมองการ์ดอยู่เนิ่นนาน แล้วมองซ้ายมองขวาหาที่เก็บการ์ด ก่อนจะเก็บการ์ดไว้ใต้หมอน เธอมองช่อดอกไม้ ยิ้มปลื้มใจ

อีกด้านหนึ่ง เฮียเฉินกับฮูหยินคุยกันอยู่ที่โรงงิ้ว
“อาเฉิน เรื่องอสูรเทวาน่ะ ลื้อเชื่ออั๊วเถอะนะ เราหนีกันเถอะ” ฮูหยินเอ่ย
“ฮูหยิน อั๊วหนีมาครั้งหนึ่งแล้ว อั๊วจะไม่หนีอีกเด็ดขาด” เฮียเฉินยืนยันหนักแน่น
ฮูหยินถอนใจ
“ครั้งนั้นอั๊วไม่น่ารับลูกของไอ้จางเหลียงมาเลี้ยงเลย” ฮูหยินเอ่ย
“ฮูหยิน ครั้งนั้นลื้อตัดสินใจถูกแล้ว” เฮียเฉินพูด
“ถ้าวันนั้นเราไม่รับมันมาเลี้ยง วันนี้เราคงไม่เดือดร้อน”
“ถ้าวันนั้นเราไม่รับมันมาเลี้ยง วันนี้เราคงละอายใจ ฮูหยิน ผู้กล้าไหนเลยกลัวความเดือดร้อน”
ฮูหยินเงียบไป
“ฮูหยิน ลื้ออย่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้วเลย” อาเฉินตบบ่าฮูหยิน
ฮูหยินนิ่ง ไม่สนองตอบอะไร เฮียเฉินจึงได้แต่เดินจากไป

บู๊ลิ้มนอนหลับอยู่บนเตียง ฮูหยินโผล่หน้ามาดูใกล้ๆ ลูบศีรษะบู๊ลิ้ม
“บู๊ลิ้ม...เพื่อลื้อ อั๊วไม่ใช่แค่กล้าสู้เสี่ยงชีวิตกับจางซื่อ แต่อั๊วยังจะกล้าหนีมันด้วย เพื่อลื้อ...บู๊ลิ้ม”

วันใหม่ กังฟูเข้ามาในโรงงิ้ว ฮูหยินรออยู่แล้ว
“กังฟู มานี่ซิ” ฮูหยินเรียก
“จะให้ซ้อมงิ้วใช่ไหมครับ” กังฟูถาม
“วันนี้ไม่ซ้อมงิ้ว อั๊วบอกอาหลินฮุ่ยแล้วว่าวันนี้ไม่ต้องมา อั๊วมีเรื่องจะคุยกับลื้อโดยเฉพาะ” ฮูหยินเอ่ย
“เชิญอาจารย์แม่สอนสั่ง”
“ลื้อแอบฝึกวิทยายุทธใช่ไหม”
กังฟูอึ้ง
“ฝึกมวยแปดทิศ ฝึกลมปราณ แล้วไม่เคยบอกอั๊วซักคำ ลื้อยังเห็นอั๊วอยู่ในสายตารึเปล่า หา”
“ศิษย์ผิดไปแล้ว แต่ศิษย์ทำไปเพราะมีความจำเป็น อาจารย์แม่โปรดให้อภัย”
“ไอ้เฉินเล่าให้ฟังแล้ว ลื้อฝึกลมปราณลิ้นมังกรเพื่อช่วยมัดบ๊ะจ่างแล้วฝึกลมปราณหงส์แดงเพื่อไม่ให้เป็นตุ๊ด”
“ถูกต้อง”
“แต่มวยแปดทิศล่ะ ใครสอนให้ลื้อ”
“ศิษย์...ศิษย์…”
“ลื้อไม่เข้าใจหรือไง ถ้าลื้อไม่ฝึกเพลงหมัด ก็ปกป้องอั๊วไม่ได้ อั๊วเป็นอะไรไป อาจารย์แม่ก็เสียใจ ลื้อเข้าใจรึยัง”
“ก็ จริงของศิษย์พี่”
“ทำเพื่ออาจารย์แม่”
กังฟูมีสีหน้าอึดอัดและสับสน แต่ในที่สุดก็พยักหน้า
“ตกลง”
“ศิษย์...ศิษย์บอกไม่ได้”
“บังอาจ “
กังฟูคุกเข่า
“ศิษย์ขอสารภาพผิด อาจารย์แม่โปรดลงโทษ”
“อั๊วสั่งลื้อห้ามฝึกวิชา ห้ามนักห้ามหนา ทำไมถึงไม่เชื่ออั๊ว”
“ศิษย์มีความจำเป็น แต่ศิษย์บอกไม่ได้”
“บอกไม่ได้ก็ไสหัวออกไปซะ”
“อาจารย์แม่อย่าขับไล่ศิษย์เลย”
“ออกไปจากโรงงิ้วของอั๊วซะ”
“อาจารย์แม่”
ฮูหยินเดินไปหาคนงานแถวนั้นที่กำลังกวาดพื้นอยู่
“เอาไม้กวาดไล่มันออกไป”
คนงานลังเล
“อั๊วสั่งก็ทำสิ”
คนงานมาหากังฟู กล้าๆ กลัวๆ เอาไม้กวาดมาเขี่ยๆ กังฟู
“พี่กังฟู…”
“อั๊วรู้แล้ว อั๊วจะไม่ทำให้ลื้อลำบากใจ”
กังฟูลุกขึ้น เดินออกประตูไป แล้วหันกลับมาคุกเข่าตรงหน้าประตู
“ศิษย์จะคุกเข่าอยู่ตรงนี้จนกว่าอาจารย์แม่จะให้ศิษย์เข้าไป”
ฮูหยินไม่สนใจ สั่งคนงาน
“เอาน้ำสาดไล่ออกไป”
“ศิษย์ยอมเปียก”
ฮูหยินส่งเสียงเฮอะ เดินเข้าไปในตัวอาคาร

สันต์มานั่งคุยกับมิเชลและเมฆา
“นี่ครับ รายละเอียดที่ผมไปสืบเรื่องเกี่ยวกับพ่อของคุณมิเชล”
มิเชลหยิบรายงายมาอ่าน
“พ่อคุณมิเชลมาจากเมืองจีนเมื่อสี่สิบปีก่อน มาเจอแม่คุณที่เมืองไทย สักพักก็มีลูกซึ่งคือคุณมิเชล พอคุณมิเชลสามขวบก็หย่ากัน ภรรยาพาลูกไปฮ่องกง พ่อคุณมิเชลก็ย้ายบ้านออกไป ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่มีคนบอกว่าเคยเห็นแสดงงิ้วอยู่ที่คณะงิ้วฟ้าดิน”
“ใช่เขาจริงๆ ด้วย” มิเชลเอ่ย
“คณะงิ้วฟ้าดิน ทำไมบังเอิญจัง” เมฆาว่า
“หมายความว่ายังไง” มิเชลงง
“แม่ผมก็พาจางฟุมาที่นี่ ที่นี่ต้องมีความสำคัญอะไรบางอย่างแน่”
“ฉันจะลองไปสืบดูเอง”
“ให้ผมไปด้วยไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากสืบเรื่องนี้ดูด้วยตัวเอง”

อีกด้านหนึ่งเฮียเฉินยืนดูกังฟูที่ยังคงคุกเข่าอยู่ โดยมีบู๊ลิ้มถือชามข้าวอยู่ข้างๆ
“ศิษย์น้องลุกขึ้นเถอะ ศิษย์น้องทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร แม่เขาไม่รับรู้อะไรด้วยหรอก” บู๊ลิ้มเอ่ย
“ขอบคุณศิษย์พี่ แต่ศิษย์น้องขออภัย ศิษย์น้องจะไม่ลุก จนกว่าอาจารย์แม่จะบอกให้ศิษย์น้องลุก”
“ถ้าไม่ลุกก็กินข้าวหน่อยเถอะ”
“ไม่ ศิษย์น้องกำลังทำโทษตัวเองอยู่ ไม่กล้าสุขสบาย”
“ศิษย์น้อง…”
เฮียเฉินเห็นแล้วท่าทางไม่พอใจ

เฮียเฉินมาคุยกับฮูหยิน
“ฮูหยิน เธอไปลงกับกังฟูแบบนี้ไม่ถูกนะ” เฮียเฉินเอ่ย
“ไม่ถูกยังไง ในเมื่อมันสัญญากับอั๊วว่าจะไม่ฝึกวิทยายุทธ แต่มันผิดคำสัญญา อั๊วไล่มันออก ผิดตรงไหนวะ”
“ลื้อไล่มันออกไม่ใช่เพราะมันผิดสัญญา แต่เพราะลื้อกลัวจะมีเรื่องกับจางซื่อ”
“ลื้อไปถามบู๊ลิ้มก็ได้ ครั้งที่แล้วมันสัญญากับอั๊วแล้ว ถ้าฝึกวิทยายุทธจะถูกอั๊วไล่ออก”
“ไม่ต้องถามใครหรอก ถามใจลื้อเองดีกว่า”
ฮูหยินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เออ อั๊วไล่มันออกเพราะอั๊วกลัวจางซื่อเหมือนกับที่อั๊วกลัวจางเหลียงนั่นแหละ ถ้าวันนั้นเราไม่กลัวจางเหลียง เราสู้กับมัน เราก็คงตายอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว เราจะมีชีวิตแบบวันนี้เหรอ”

ภาพในอดีตผุดขึ้นมา ขณะนั้น เฮียเฉิน เฮียหลอและเฮียเก้า นั่งกันท่าทางอิดโรย ทั้งสามใส่เสื้อผ้าดูดีมีราคาแต่ขาดวิ่นมอมแมม ไม่มีใครพูดอะไรกัน ฮูหยินเดินเข้ามาท่าทางร้อนรน สามเฮียเห็นฮูหยินแล้วดีใจ ลุกพรวด
“เป็นไงมั่ง” เฮียเฉินถาม
“หาเรือได้แล้ว เรือออกได้เลย” ฮูหยินตอบ
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ“ เฮียเก้าว่า
แต่เฮียเฉินกลับดูลังเล
“ไปโว้ยไอ้เฉิน ช้ากว้านี้จะไม่ได้ไป” เฮียหลอพูด
“พวกลื้อไปเถอะ อั๊วขออยู่สู้ตายกับมัน...ไอ้จอมมารบู๊ลิ้ม มันกวาดสำนักอื่นเป็นของมัน ใครขัดขืนมันก็ฆ่าล้างสำนัก ทำไมสวรรค์จึงให้คนชั่วช้าอย่างมันมีฝีมือสูงเยี่ยมแบบนี้”
“อาเฉิน ไปด้วยกันเถอะ อั๊วขอร้อง” ฮูหยินเข้ามากอดเฮียเฉินด้วยท่าทางทั้งรักทั้งห่วง
“ฮูหยิน ... อั๊วขอตายเพื่อรักษาเกียรติภูมิเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม” เฮียเฉินมองไปที่ป้ายไม้ขนาดใหญ่ เขียนภาษาจีนว่าเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม
“ถ้าลื้ออยู่ อั๊วก็อยู่ด้วย ตายด้วยกัน” ฮูหยินว่า
“ฮูหยิน…” เฮียเฉินพูด
“ถ้าลื้อสองคนอยู่ อั๊วก็อยู่” เฮียเก้าว่า
“ถ้าลื้อสามคนอยู่ อั๊วก็อยู่” เฮียหลอเสริม
“อยู่ด้วยกัน” เฮียเก้าพูด
“ตายด้วยกัน” เฮียหลอพูดต่อ
“จะบ้าเหรอ จะมาตายกันหมดสำนักทำไมวะ” เฮียเฉินว่า
ยังไม่ทันมีใครพูดอะไร ก็มีเสียงก้องกังวานลอยมาแต่ไกล
“เจ็ดผู้กล้าคุณธรรม ยังอยู่ใช่ไหม” เสียงจางเหลียงดังมา
ทั้งสี่คนตกใจ
“จางเหลียงมาแล้ว” ฮูหยินว่า
“วิชาส่งเสียงพันลี้...มันยังมาไม่ถึง แต่ใกล้มากแล้ว” เฮียเฉินพูด
“ข้าจางเหลียงจะรีบไปคารวะ หวังว่าจะไม่ผิดหวังนะ” เสียงจางเหลียงดังขึ้นมาอีก
“เอาไงไอ้เฉิน จะอยู่สู้กับมันหรือจะหนี” เฮียหลอถาม
“แต่ไม่ว่ายังไง เราจะไม่ยอมสยบขึ้นอยู่กับอสูรเทวา ทำเรื่องชั่วช้าเด็ดขาด” เฮียเก้าพูด
“ถ้าเราสี่คนสู้ตาย อาจจะฟันแขนมันขาดได้ข้างหนึ่ง” เฮียหลอเอ่ย
“ไม่หรอก พวกเราห่างชั้นมันเกินไป ค่ายกลสิบกระบี่ยังถูกมันทำลายโดยที่มันไม่มีรอยขีดข่วนเลย พวกเราสู้ตาย อย่างมากก็ทำให้มันเหงื่อออกได้หลายหยดแค่นั้นเอง” เฮียเฉินพูด
“เจ็ดผู้กล้าคุณธรรม ข้าจางเหลียง ขอน้อมพบ” เสียงจางเหลียงดังมาอีก
เฮียเก้าเกร็งกำลังภายใน ตะโกนสวนออกไป
“มาเร็วๆ ไอ้ลูกสำส่อนไม่มีพ่อ อั๊วจะฆ่าบรรพบุรุษลื้อสิบแปดรุ่น ถล่มฮวงซุ้ยตระกูลลื้อให้ราบคาบ เยี่ยวรดให้น้ำท่วมเลย”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะจางเหลียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทั้งสี่ตั้งท่าสู้ตาย เฮียเฉินกับฮูหยินมองตากัน
“เฉิน หนีเถอะนะ” ฮูหยินเอ่ย
เฮียเฉินมองหน้าฮูหยิน เสียงหัวเราะจางเหลียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฮียเฉินเปลี่ยนใจวินาทีสุดท้าย
“พวกเรา หนี”
“รอคำนี้มานานแล้วโว้ย” เฮียหลอพูด
ทั้งสี่วิ่งหนีออกไป เฮียเฉินแบกป้ายไม้ไปด้วย

เฮียเฉินกับฮูหยินต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุด เฮียเฉินก็เอ่ยขึ้นว่า
“ลื้อพูดถูก ถ้าวันนั้นเราไม่หนีมาเมืองไทย เราคงไม่มีชีวิตแบบวันนี้ ชีวิตที่เรียบง่ายมีความสุข แล้วถ้าหนีต่อก็อาจจะมีชีวิตที่มีความสุขต่อไป แต่เราก็เป็นได้แค่คนแสดงงิ้ว ฮูหยิน อั๊วเล่นงิ้วพอแล้ว สำหรับอั๊ว นี่ถึงเวลาที่งิ้วจบแล้ว อั๊วขอกลับไปเป็นตัวของตัวเอง น้องสามแห่งเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม เฉินหลงเหล็ง”
ฮูหยินพูดอะไรไม่ออก
ส่วนเฮียหลอกับเฮียเก้าที่ยืนฟังอยู่นานแล้ว ก็เดินเข้ามา
“ครั้งนี้ พวกอั๊วจะไม่หนีเหมือนกัน” เฮียหลอเอ่ย
“อาเก้า อาหลอ” ฮูหยินรำพึง
“อั๊วก็ขอกลับไปเป็นตัวเองเช่นกัน พี่รองแห่งเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม เก้าซามเต้ง” เฮียเก้าว่า
“พี่ใหญ่แห่งเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม หลอหลอยี้” เฮียหลอพูดอีกคน
ทั้งสามเฮียยืนเก๊กหล่อ ฮูหยินมองทั้งสาม น้ำตาคลอ
“ดี...ดี...สามีที่ประเสริฐ พี่น้องที่ประเสริฐ ชีวิตข้าเกิดมาได้เจอพวกท่าน ถึงต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว”
ฮูหยินเดินมาร่วมกับสามเฮีย หันหน้าทางเดียวกัน
“น้องเล็กแห่งเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม...หวีอันอัน”
ทั้งสี่ยืนเคียงข้างกัน

อีกมุมหนึ่ง กังฟูยังคุกเข่าอยู่อย่างเดิม ประตูโรงงิ้วเปิดออก กังฟูเงยหน้าขึ้น เห็นอาจารย์ทั้งสี่ยืนอยู่
“ท่านอาจารย์…” กังฟูอุทาน
“กังฟู ลื้อลุกขึ้นเถอะ” ฮูหยินว่า
กังฟูลุกขึ้นแล้วฮูหยินเดินมาหา
“เรื่องที่ลื้อฝึกวิทยายุทธ ผิดคำสัญญา อั๊วต้องลงโทษลื้อสถานหนัก” ฮูหยินเอ่ย
“ศิษย์ขอน้อมรับ”
ฮูหยินตบหน้ากังฟูฉาดใหญ่
กังฟูยังยืนนิ่ง
“พอแล้ว...ลื้อยังนับเป็นศิษย์ของอั๊วอยู่”
กังฟูดีใจมาก คุกเข่าลงคำนับฮูหยิน
“ขอบคุณอาจารย์แม่”
ฮูหยินไม่มีท่าทียินดียินร้ายอะไร ขณะที่สามเฮียมองกังฟู ยิ้มด้วยความเมตตา
“ลุกขึ้นเถอะ ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว พวกอั๊วยังมีเรื่องต้องทำ”
“เชิญอาจารย์แม่ใช้งานศิษย์”
“บอกให้กลับก็ไปก่อนสิ”
กังฟูไม่กล้าพูดมากอีก รีบลุกขึ้น
“ศิษย์ขอตัว” กังฟูเอ่ยแล้วเดินออกไป
อาจารย์ทั้งสี่เดินออกมาที่หน้าประตู หันกลับไปมองป้ายโรงงิ้วบนประตูทางเข้า เขียนว่าคณะงิ้วฟ้าดิน ทั้งสี่มองหน้า พยักหน้าให้กัน เฮียเฉินเกร็งกำลังภายในกระโดดขึ้นไป ฟาดฝ่ามือใส่ป้าย แล้วลงมายืนรวมกลุ่มกัน ป้ายงิ้วปริร้าว ค่อยๆแตกพังร่วงหล่นลงมา เห็นป้ายไม้ภาษาจีนที่ซุกซ่อนอยู่ด้านหลัง เขียนว่า “เจ็ดผู้กล้าคุณธรรม”
อาจารย์ทั้งสี่มองหน้ากัน แล้วมองป้ายด้วยความตื้นตันใจ

รถเฮียติงลี่วิ่งมาจอดหน้าอพาร์ทเมนต์ของเนตรนภา เฮียติงลี่ลงจากรถ โดยมีบอดี้การ์ดลงมาด้วย เฮียติงลี่กับบอดี้การ์ดเดินเข้าไปในอพาร์ทเมนต์ เฮียติงลี่มองไป ตรงห้องผู้จัดการก็เห็นว่าไม่มีใคร
เฮียติงลี่ไม่ว่าอะไร เดินไปที่หน้าลิฟต์ โดยมีบอดี้การ์ดกดลิฟต์ให้ เขายื่นเงินให้บอดี้การ์ดจำนวนหนึ่ง
“ลื้อไปหาอะไรกินรออั๊วก่อนก็ได้”
“ครับ”
เฮียติงลี่เข้าไปในลิฟต์ ส่วนบอดี้การ์ดเดินออกไป
สักครู่ พายุก็ออกมาจากที่ซ่อน มองตามบอดี้การ์ดไปแล้วยิ้มเหี้ยม เดินขึ้นบันไดไป
ในห้องผู้จัดการที่เห็นว่าไม่มีใครนั้น ความจริง ผู้จัดการนอนหมดสติโดนมัดมือมัดปากกองอยู่ริมผนังใต้หน้าต่าง ในตำแหน่งที่ไม่มีใครเห็น

เฮียติงลี่เคาะประตูห้อง เนตรนภามาเปิดประตู เฮียติงลี่เดินเข้ามานั่งเอกเขนกตามสบาย
“ว่าไงเนตร มีอะไรก็ว่ามา รีบคุยให้เสร็จเร็วๆ เลย” เฮียติงลี่เอ่ย
“เฮียมีธุระที่อื่นต่อเหรอคะ” เนตรนภาถาม
เฮียติงลี่มองเนตรนภาแบบหื่นๆ
“เธอจะรู้ไปทำไม”
“นั่นสินะ จะถามไปทำไม ในเมื่อเฮียไม่เคยเห็นความสำคัญของเนตรเลย เนตรเป็นดอกไม้สวยๆ ไว้ประดับเฉยๆ ใช่ไหมคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ เนตรเป็นผู้หญิงของเฮีย หน้าที่เนตรก็มีความสำคัญแค่นั้นแหละ แต่เฮียก็จ่ายเนตรเยอะมากเลยนะ ไม่ต้องให้บรรยายนะว่ามีอะไรเท่าไหร่บ้าง จะมาทำตัดพ้ออะไรอีก”
“ไม่ใช่ตัดพ้อค่ะ”
“จะเอาไงเนี่ย พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า อย่ามาเล่นเชิงกัน”
“เนตรจะไม่เป็นผู้หญิงของเฮียอีก”
เฮียติงลี่ชะงัก จ้องหน้าเนตรนภา สายตาเย็นชาเหี้ยมเกรียม
“ไอ้พายุล่ะสิ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเฮีย”
“รู้ใช่มั้ย ไอ้พายุน่ะ แค่เฮียกระดิกนิ้วมันก็ต้องกลับไปยืนปลายแถวไม่มีใครรู้จัก ไม่มีงานไม่มีเงิน ไอ้หน้าตาหล่อๆ ของมันก็จะซูบซีดกลายเป็นกุ๊ยข้างถนน เนตรยอมเสียสละความสุขในชีวิตกับผู้ชายแบบนี้เหรอ”
“บอกแล้วไงว่าเรื่องของเนตร ความจริงเนตรจะหนีเฮียไปเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องบอกก่อนด้วยซ้ำ แต่เนตรยังรักและเคารพเฮีย”
“ถุย มึงกลัวกูจับได้แล้วโยนมึงลงแม่น้ำอ่ะเดะ รักและเคารพ อะโธ่ ไปหลอกควายเถอะ ยัยดอกไม้เอ๊ย”
เฮียติงลี่ด่าไป ลุกไปเตะเนตรนภาเปรี้ยง เนตรนภาจุกแอ้ก
“เอางี้เนตร เฮียจะจ่ายให้มากขึ้น เฮียเคยให้เนตรเท่าไหร่เฮียจะให้เป็นสองเท่า”
เนตรนภาฝืนลุกขึ้นยืน
“ไม่ค่ะ เนตรขอแยกตัว”
“เนตร เฮียให้เนตรเลือก จะเป็นเมียเฮียต่อไปหรือจะให้เฮียฆ่าเนตร”
“เนตรขอแยกตัว”
เฮียติงลี่จ้องหน้าเนตรนภาถมึงทึง สักพักสายตาก็อ่อนโยนลง ถอนใจเบาๆ
“เอาเถอะ อยากไปไหนก็ไป”
เนตรนภาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง มองหน้าติงลี่
“บอกให้ไปก็ไปสิ ถ้าไม่รีบไปเฮียจะเปลี่ยนใจนะ เฮียให้เวลา อยากขนทรัพย์สินอะไรติดตัวก็เอาไปเหอะ แล้วบอกไอ้พายุ ทั้งสองคนอย่ามาให้เฮียเห็นหน้าอีก”
“ขอบคุณเฮียมากค่ะ” เนตรนภากราบเฮียติงลี่
“รีบไป” เฮียติงลี่หลับตา โบกมือไล่
ประตูห้องเปิด พายุเดินเข้ามา เฮียติงลี่จ้องหน้าพายุ
“สวัสดีครับเฮียติงลี่”
เฮียติงลี่แค่นเสียงเฮอะ ไม่พูดอะไร
“คุณมาทำไม ฉันบอกว่าฉันพูดเอง” เนตรนภาว่า
“ขอโทษนะเนตร เรื่องนี้จริงๆ ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก” พายุเอ่ย
“หมายความว่าไง” เนตรนภางง
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ ทั้งสองคน อั๊วไม่อยากเห็นหน้าพวกลื้อทั้งคู่....” เฮียติงลี่พูด แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นพายุตั้งท่า
“พายุ ลื้อจะทำอะไร” เฮียติงลี่เอ่ย
“พายุ…” เนตรนภาอุทาน
พายุร้องลั่น บุกเข้ามาระดมต่อยเฮียติงลี่ เฮียติงลี่สู้ไม่ได้เลย ไม่นานก็โดนต่อยจนล้มฮวบ
เนตรนภาเข้ามาขวาง
“พายุ คุณทำอะไร เฮียติงลี่เค้ายอมให้เราไปด้วยกันแล้ว”
พายุหัวเราะ
“บอกแล้วไง ว่าคุณไม่เกี่ยว”
พายุผลักเนตรนภากระเด็นออกไป มองติงลี่ที่กระเสือกกระสนคลานหนี
“พายุ...ลื้อทำแบบนี้ทำไม ที่ผ่านมาอั๊วดีกับลื้อมาตลอด” เฮียติงลี่เอ่ย
“ดีกับอั๊ว ลื้อสั่งปลดอั๊ว ฉีกหน้าอั๊วต่อหน้าคนอื่น กดขี่ข่มเหงอั๊ว ไม่ให้อั๊วมีชื่อเสียง ไม่ให้อั๊วสร้างผลงาน นี่เหรอดีกับอั๊ว อั๊วไปหาคนอื่นที่เขาดีกับอั๊วจริงๆ ดีกว่า”
“ใคร...ใครที่มันลื้อว่ามันดีกับลื้อ” เฮียติงลี่เอ่ย
“เห็นว่าลื้อกำลังจะตาย จะบอกให้ จะได้ไปตอบยมบาลถูก”
พายุก้มลงมาใกล้เฮียติงลี่
“อสูรเทวา”
“อสูรเทวา…” เฮียติงลี่เอ่ย
พายุปล่อยหมัดเพชฌฆาตกลางกะโหลกเฮียติงลี่จนกระอักล้มคว่ำแล้วแน่นิ่งไป
พายุหัวเราะลั่น เนตรนภาอึ้งไป แล้วร้องกรี๊ด
อ่านต่อหน้าที่ 3 


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 9 (ต่อ)
รถเมฆาจอดซุ่มอยู่ด้านหน้าไนท์คลับเฮียติงลี่ สันต์นั่งอยู่ที่นั่งคนขับ ส่วนเมฆากับมิเชลนั่งอยู่ด้านหลัง มือถือเมฆาดัง เมฆารับสาย

“สวัสดีครับ”
พายุโทรมาจากอพาร์ตเม้นต์ของเนตรนภา
“เรียบร้อยครับ”
“ยอดเยี่ยมมาก” เมฆาบอก
“อย่าลืมตามที่ตกลงกันไว้แล้วกัน” พายุว่า
“ไม่ลืมหรอก คุณจะได้ครอบครองอาณาจักรของติงลี่แน่นอน แต่ว่าหลังจากที่เราถล่มเฮียเต๋าด้วย คงไม่ลืมนะ”
“ครับ...แล้วเรื่องศพติงลี่...”
เมฆาถามสวนออกไป “มีพยานรู้เห็นรึเปล่า”
พายุมองเนตรนภาที่นั่งขดตัวสั่นด้วยความกลัว พายุทำท่าบอกให้เนตรนภาเงียบๆ
“ไม่มีครับ” พายุตอบ
“ดี งั้นคุณออกมาได้เลย ไม่ต้องห่วงเรื่องศพไอ้ติงลี่ เดี๋ยวผมส่งลูกน้องไปจัดการเอง” เมฆาว่า
“ขอบคุณมากครับ”
“เช่นกันครับ”
เมฆาวางสายก่อนจะหันมาบอกมิเชล
“ติงลี่ตายแล้ว ลุยได้เลย”
“เยี่ยม”
มิเชลลงจากรถ ลูกน้องเกือบสิบคนที่ซุ่มรออยู่ออกมาพร้อมรับคำสั่งจากมิเชล
“สันต์...ฉันจะให้แกไปทำงานอื่น”
“งานอะไรครับ”
“ไปเก็บศพ”
พายุเดินมาจับแขนเนตรนภาแล้วดึงขึ้น เนตรนภายังช็อกอยู่จึงขืนตัวไว้ พายุตะคอกใส่
“ตามมา!”
เนตรนภาสะดุ้งมองพายุด้วยความกลัวก่อนจะยอมลุกตาม
“อย่าทำอะไรฉันนะ”
“ทำตามที่ฉันบอก แล้วจะไม่เจ็บตัว” พายุว่า
พายุพาเนตรนภาออกไปจากห้อง เนตรนภามองกลับไปที่ติงลี่
เนตรนภาเรียก “เฮียติงลี่”
“ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์คนอย่างมันหรอก” พายุบอก
พายุดันแขนเนตรนภาออกไปนอกห้องก่อนจะปิดประตู โดยทิ้งศพเฮียติงลี่ไว้


ไนต์คลับเฮียติงลี่เปิดบริการตามปกติ ประตูเปิดออก คนคุมประตูถูกถีบเข้ามาโดยกระเด็นไปกลางโถง แล้วนอนแน่นิ่งในสภาพเลือดกลบปาก แขกเหรื่อและพวกพนักงานตกใจ กลุ่มบอดี้การ์ดมองไปที่ประตู เมฆา มิเชลกับลูกน้องเดินเข้ามา มิเชลยิ้มหวาน

เฮียสาม ที่ปรึกษาติงลี่กำลังนั่งตรวจบัญชีอยู่ เขาได้ยินเสียงข้างนอกตึงตังโครมคราม เฮียสามมีสีหน้าหงุดหงิดก่อนจะตะโกนออกไป
“เฮ้ย เบาๆหน่อยโว้ย”
ข้างนอกยังมีเสียงโครมครามอยู่ เฮียสามลุกขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ เขาเปิดประตูออกไปดู
“เฮ้ย ทำอะไรกันวะ...”
เฮียสามอึ้งที่เห็นไนท์คลับเละเทะ โต๊ะเก้าอี้ล้ม จานแก้วแตกกระจายแต่ไม่มีนักท่องเที่ยว มีแต่พวกลูกน้องที่นอนหมดสภาพอยู่ เมฆากับมิเชลอยู่ข้างประตูพอดี
“แหม ยังไม่ทันเคาะประตูเลย ขอบคุณนะครับที่ออกมาต้อนรับ” เมฆาว่า
เฮียสามตกใจ “ไอ๊ย้า...”
เฮียสามรีบถอยเข้าไปในห้องแล้วจะปิดประตู มิเชลพรวดเข้ามาถีบประตูดังเปรี้ยงจนเฮียสามกระเด็น มิเชลตามเข้ามาชกเปรี้ยง

สันต์จอดรถหน้าอพาร์ตเม้นต์แล้วเดินออกไป

ภายในห้องเนตรนภาเงียบกริบเพราะไม่มีใครอยู่ มีเพียงร่างของติงลี่ที่นอนแน่นิ่ง สักพักนิ้วของติงลี่ก็เริ่มกระดิก แล้วติงลี่ก็ค่อยๆขยับพลิกนอนหงายมีลมหายใจรวยริน
“อูย...ไอ้พายุ...ไอ้เก๋าเจ๊ง ไอ้ชาติหมา” ติงลี่ด่า
ติงลี่พยายามชันกายลุกขึ้นมานั่งอย่างลำบากยากเย็น

สันต์ลากศพ ผจก.ออกไปจากอพาร์ตเม้นต์แล้วตรงไปที่รถ เขาวางศพลงแล้วเปิดฝากระโปรงหลัง ติงลี่ค่อยๆลุกขึ้นก็เห็นรอบข้างเบลอๆ ไม่ชัดเจน ติงลี่หยุดตั้งหลักแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
สันต์เดินกลับมากดลิฟต์ สักพักลิฟต์ก็มา

ติงลี่เดินตรงไปที่ประตูแล้วก็กระอักเลือดออกมาอีก เขาถ่มเลือดทิ้ง พอเดินต่อไปก็เข่าอ่อนกำลังจะล้มแต่ยังจับลูกบิดประตูไว้ทัน ติงลี่แข็งใจ กัดฟัน เปิดประตูออกไป
“อย่าเพิ่งตายโว้ย แข็งใจอีกนิดโว้ย”
สันต์เดินออกจากลิฟต์

ติงลี่เริ่มเดินได้คล่องขึ้นก็เดินออกจากห้องไปตามทางเดิน พอมาถึงหน้าลิฟต์ก็สวนกับสันต์ที่เดินออกมาพอดี ติงลี่เดินเข้าไปในลิฟต์ สันต์เอะใจจึงมองตามติงลี่ไปแว่บหนึ่ง ประตูลิฟต์ปิดพอดี สันต์มองไปก็เห็นรอยเลือดเปรอะเปื้อนตามรอยเท้าของติงลี่ สันต์รีบวิ่งไปดูที่ห้องเนตรนภาก็เห็นประตูห้องเปิดทิ้งไว้ สันต์พรวดเข้าไป วิ่งไปดูทั่วทั้งห้องแต่ก็ไม่เจอใครแล้ว
“ไอ้เวร...มันยังไม่ตายนี่หว่า” สันต์ว่า
สันต์วิ่งมาที่ลิฟต์แล้วกดปุ่มเรียกถี่ยิบ แต่ลิฟต์ก็ไม่มา สันต์วิ่งออกบันไดหนีไฟไป

ติงลี่เดินออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ได้สักพักก็เห็นสันต์วิ่งออกมาจากทางหนีไฟ ติงลี่รีบวิ่งออกมาที่ถนน รถตุ๊กๆ คันหนึ่งวิ่งมาพอดี ติงลี่รีบโบกรถตุ๊กๆ แล้วก้าวขึ้นไป สันต์วิ่งตามมาไม่ทันก็รีบวิ่งกลับไปขึ้นรถตัวเอง ก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วออกตัวเอี๊ยดไล่ตามรถตุ๊กๆไป

กังฟูนั่งโซ้ยข้าวอย่างหิวโหย ชามข้าววางซ้อนอยู่ข้างๆ เขาสามใบ เมลดานั่งมองกังฟูอย่างอึ้งๆ
“นี่ กินช้าๆก็ได้ เดี๋ยวจุกตายพอดี” เมลดาบอก
กังฟูเคี้ยวไปพูดไป
“อ็ อั้ง ใอ อา อิน อ๊าๆ...”
“ฟังไม่รู้เรื่อง ข้าวเต็มปากพูดมาได้ น่าเกลียดจังเลย”
กังฟูรีบกลืนข้าวลงคอ
“ก็ตั้งใจจะกินช้าๆนะครับ แต่มันห้ามมือห้ามปากตัวเองไม่อยู่จริงๆครับ” กังฟูบอก
“จะหิวอะไรขนาดนี้เนี่ย” เมลดาสงสัย
“แหม ไม่ได้กินข้าวมาเป็นวัน แล้วมันก็อร่อยด้วย ร้านนี้ทำอาหารเจอร่อยมาก”
“ก็ดี ตั้งหน้าตั้งตากินแบบนี้จะได้ไม่มีแรงมาคิดมุกลามกอีก”
“คุณเม ผมบอกคุณเมกี่ครั้งแล้วว่าผมไม่ใช่คนลามก”
กังฟูกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟ
“สั่งเพิ่มครับ” กังฟูบอก
เด็กเสิร์ฟถาม “เอาอะไรพี่”
“ข้าวหมูอบเจ”
“ไม่มีในเมนูนี่ครับ”
“ไปทำมาเหอะน่า”
เด็กเสิร์ฟเดินไป กังฟูมองเมลดาอย่างมีเลศนัยจนเมลดาเอะใจ
“อะไร ทำหน้าแบบนั้นทำไม” เมลดาถาม
“ไม่มีอะไร คุณเมอย่าคิดมากสิ” กังฟูว่า
“ต้องมีอะไรแน่เลย”
เด็กเสิร์ฟเอาข้าวมาเสิร์ฟ “อ่ะ หมูอบเจ”
เด็กเสิร์ฟเดินไป กังฟูหัวเราะหุๆ จนเมลดาเข้าใจ
“ไอ้กังฟูบ้า”
“อะไรครับ ว่าผมเรื่องอะไร ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“หมูอบเจ เมอบ...ไอ้บ้า”
เมลดาต่อยกังฟูดังตุบ กังฟูหัวเราะชอบใจ
วินาทีนั้น รถตุ๊กๆที่ติงลี่นั่งวิ่งมาถึงบริเวณนั้นพอดี รถของสันต์เร่งเครื่องปาดหน้า รถตุ๊กๆเบรคเอี๊ยดเสียงดังลั่นถนน ทุกคนหันมามองรวมทั้งเมลดากับกังฟูด้วย ติงลี่รีบลงจากรถก่อนจะเดินโซซัดโซเซหนีตาย สันต์ลงจากรถแล้วเดินตามไป

ติงลี่พยายามหนีแต่เพราะบาดเจ็บอยู่ สันต์จึงตามมาทัน ติงลี่แหกปากร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย ช่วยผมด้วยครับ ช่วยผมด้วย” ติงลี่ตะโกน
“เฮ้ย ใครไม่เกี่ยวอย่ายุ่ง” สันต์ว่า
สันต์กระชากคอเสื้อติงลี่มา ติงลี่ล้มกลิ้ง สันต์ตามไปยกขาจะกระทืบ แต่แล้วก็มีคนเข้ามาขวางโดยใช้ตัวยันฝ่าเท้าของสันต์ไว้ซึ่งก็คือกังฟูนั่นเอง
“ท่านพี่ ไว้ไมตรีด้วย” กังฟูบอก
“มึงเป็นใครเนี่ย บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง” สันต์ว่า
ติงลี่มองกังฟูแล้วก็จำได้
“กังฟู กังฟูใช่มั้ย”
กังฟูเพ่งมองติงลี่ครู่หนึ่ง
“อ้าว เฮียติงลี่เหรอครับ นึกว่าใคร”
สันต์ไม่สนใจ เขาถือโอกาสที่กังฟูคุยกับติงลี่ต่อยกังฟูแต่กังฟูหลบหมัดได้ทัน พร้อมทั้งดึงติงลี่หลบออกมาด้วย เมลดาเข้ามายืนประกบติงลี่ กังฟูเข้ามายืนข้างหน้าทั้งสอง สันต์ชี้หน้ากังฟู
“มึงไม่เกี่ยว ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ถอยไป”
“ผมไม่เกี่ยวจริงๆนั่นแหละครับ แต่ว่า ... ผมทนดูพี่ทำร้ายเขาไม่ได้หรอกครับ ดูสภาพเขาสิบาดเจ็บขนาดนี้ แล้วเขาก็แก่แล้วด้วย พี่ต่อยเขาเบาๆเขาก็ตายแล้วอย่าให้ถึงกับ...”
กังฟูยังพูดไม่จบ สันต์ก็บุกเข้ามาเตะต่อยแต่กังฟูหลบได้หมด สันต์ถึงกับอึ้งไป
“นี่ใจคอพี่จะไม่คุยไม่เจรจากันหน่อยเหรอครับ” กังฟูว่า
สันต์ตั้งท่ากางกงเล็บ “หมัดพยัคฆ์”
“พี่ครับ เราคุยกันก่อนเถอะครับ” กังฟูบอก
สันต์ทำหน้าเหี้ยมแต่ไม่ตอบ กังฟูจึงรีบตั้งท่าบ้าง
“หมัดแปดทิศ”
เมลดาทำท่าจะเข้ามาช่วย
กังฟูรีบบอก “คุณเม ดูเฮียติงลี่ด้วยครับ เผื่อมันมีคนอื่น”
สันต์ใช้หมัดพยัคฆ์บุกใส่กังฟู กังฟูหลบไปมา กรงเล็บของสันต์ที่พลาดเป้าไปโดนโต๊ะเก้าอี้แตกหักเสียหายไปตามๆ กันเหมือนโต๊ะเก้าอี้เหล่านั้นทำจากกระดาษ กังฟูหลบไปมาแล้วก็ปล่อยหมัดสวนออกไปตูม สันต์ยืนนิ่ง
กังฟูรีบถอยออกมาตั้งการ์ด
สันต์ยืนนิ่งสักพักแล้วก็ทรุดฮวบ ล้มคว่ำลงแบบไม่เหลือสติ กังฟูมองสันต์อย่างงงๆ เมลดากับติงลี่อึ้ง คนแถวนั้นก็อึ้ง กังฟูเดินมาหาสันต์แต่ยังระแวงๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก
“พี่ครับ...คุณพี่ อย่าหลอกผมเลย ผมรู้หรอกน่า...”
เมลดาเข้ามาตรวจอาการ
“เขาสลบจริงๆกังฟู” เมลดายืนยัน
“หา...ผมต่อยเขาแค่หมัดเดียวเอง” กังฟูบอก
“มันยังไม่ตายก็ฆ่ามันซะเลย” ติงลี่ว่า
“ไม่ ผมไม่ได้โกรธแค้นอะไรเขาขนาดนั้น” กังฟูบอก
“ตามใจ...กังฟู ลื้อช่วยอั๊วแล้วก็ช่วยให้ตลอดเถอะนะ พาอั๊วไปหาเพื่อนทีเถอะนะ อั๊วขอร้อง”
“ได้ครับ” กังฟูรับปาก

กังฟูกับเมลดาประคองติงลี่ขึ้นรถตุ๊กๆ แล้วขับออกไป สันต์ยังนอนแน่นิ่งไม่ขยับ

ติงลี่นั่งให้พยาบาลพันแผลเข้าเฝือกอยู่ที่โรงพยาบาล
“ดูคนผิดพลาดครั้งนี้เกือบตาย อั๊วรอดมาได้อย่างหวุดหวิด” ติงลี่ว่า
“ศิษย์พี่พายุไม่น่าทำแบบนี้ได้” กังฟูบอก
“แล้วนึกว่าอั๊วโกหกหรือไง”
“เปล่าครับ ไม่ได้หมายความว่างอย่างนั้น แต่ว่า...”
“ตอนแรกมันก็ดูอ่อนน้อมถ่อมตัวดี แต่พอมีพรรคใหญ่อย่างอสูรเทวาให้ท้าย มันก็ทรยศอั๊วอย่างเจ็บแสบ”
“เมื่อกี้เฮียบอกว่าพายุทำงานให้ใครนะคะ” เมลดาถาม
“พรรคอสูรเทวา” ติงลี่บอก
“ชื่อคุ้นๆแฮะ พรรคอสูรเทวา” กังฟูว่า
เมลดากำหมัดแน่น “มันคือพรรคของเมฆากับมิเชล”
“ลื้อรู้จักเหรอ” ติงลี่ถาม
“พวกมันฆ่าพ่อฉัน”
“เสียใจด้วยนะ พรรคอสูรเทวามันเป็นพรรคอั้งยี่ที่ใหญ่โต ทรงอิทธิพล และโหดเหี้ยมที่สุด ใครขวางทางมันมันถล่มราบเป็นหน้ากลอง แตอั๊วเพิ่งรู้ว่ามันมาเมืองไทยเมื่อไม่นานนี้นี่เอง คิดไม่ถึงว่าวันนึงอั๊วจะกลายเป็นเหยื่อของมัน”
“แล้วเพื่อนเฮียคนที่เฮียจะไปหา เขาจะกล้าช่วยเฮียเหรอครับ” กังฟูถามต่อ
“ถ้าเจออั๊วในสภาพแบบนี้มันจะเข้ามาช่วยทันโดยไม่ต้องคิดว่ากล้าหรือไม่กล้าเพราะมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอั๊ว เราคบกันมาตั้งแต่เด็กๆจนโต ต่างคนต่างเป็นใหญ่ ใครๆก็คิดว่าเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน แต่ที่จริงพวกเราคือเพื่อนตาย”
“เขาคือใครเหรอคะ” เมลดาถาม
“เฮียเต๋า” ติงลี่ตอบ

ติงลี่ กังฟู เมลดา ลงจากแท็กซี่แล้วเดินเข้ามาในเขตโรงงาน แล้วทุกคนก็อึ้งกิมกี่ที่เห็นภายในโรงงานมีแต่ความว่างเปล่า มีร่องรอยการต่อสู้ รอยเลือดกระจัดกระจาย ข้าวของเสียหายแตกพังเละเทะ เสื้อผ้าขาดวิ่น
เมลดาตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ฝีมือพรรคอสูรเทวาแน่ๆ...เมื่อคืนพวกมันคงลงมือแบบสายฟ้าแลบ ให้พายุฆ่าอั๊วแล้วก็ยึดแก๊งค์อั๊ว จากนั้นก็ผนึกกำลังของอสูรเทวากับลูกน้องอั๊วเข้ามาโจมตีแก๊งค์ไอ้เต๋า”
ติงลี่ปล่อยมือจากกังฟูที่ประคองอยู่แล้วเดินกระเผลกออกไปอย่างร้อนรน พร้อมทั้งตะโกนหาเพื่อน
“ไอ้เต๋า... ไอ้เต๋า... ลื้ออยู่ไหนวะไอ้เต๋า...”
ไม่มีเสียงตอบ ติงลี่คอตก กังฟูกับเมลดายืนดูอยู่ด้วยความสงสารติงลี่มาก
“สงสัยเขาสองคนจะเป็นเพื่อนรักกันมากเลยนะ” เมลดาว่า
“อืม...เพื่อนสนิทก็เหมือนพี่น้อง” กังฟูบอก
ติงลี่เดินหน้าเศร้ากลับมาหากังฟูกับเมลดา
“ไอ้เต๋า...มันยังไม่เฉ่งเงินอั๊วเลย ไอ้ลูกหมาเอ๊ย รู้งี้ไม่น่าให้มันยืมเลย” ติงลี่ว่า
กังฟูกับเมลดาทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“ลื้อสิไอ้ลูกหมา อั๊วคืนไปหมดแล้ว ลื้อไม่เคยจำเลย ไอ้เส็งเคร็ง” เฮียเต๋าว่า
เฮียเต๋าโผล่หน้าออกมาจากถังขยะใบใหญ่แถวนั้น
ติงลี่หันไปเห็น “ไอ้เต๋า”
เฮียเต๋ายิ้มแฉ่งเหมือนไม่เป็นอะไร แต่พอคลานออกมาติงลี่ถึงเห็นว่าโชกเลือดและบาดเจ็บสาหัสมาก เฮียเต๋าจะเดินมาหาเฮียติงลี่แต่ก็ล้มโครมเพราะเดินไม่ไหว
เมลดาตกใจ “ตายแล้ว”
เฮียเต๋าเงยหน้ามาอย่างโกรธๆ
“แม่ลื้อสิตาย ปากหมานี่ อั๊วยังไม่ตายโว้ย”
เฮียเต๋ากัดฟันจะลุกขึ้นมาแต่ก็ล้มโครมไปอีก คราวนี้เขาครางเสียงอ่อยอย่างหมดฟอร์ม
“แต่ก็ใกล้ตายแล้วล่ะ ช่วยอั๊วด้วย”

เฮียเต๋ามาให้พยาบาลทำแผลให้ พยาบาลใส่เฝือกพันผ้าพันแผล เฮียเต๋าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ติงลี่ฟัง
“ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนแรกอั๊วได้ข่าวมาก่อนว่าแก๊งค์ลื้อโดนอสูรเทวาถล่ม อั๊วยังไม่อยากเชื่อ กำลังเช็คข่าวอยู่ พวกมันก็บุกเข้ามาโดยไม่รู้ตัว มีลูกน้องอั๊วบางคนทรยศ แก๊งค์อั๊วพังทลายในพริบตา”
“ใครเป็นหัวหน้า”
“ลูกน้องลื้อที่ชื่อพายุ” เฮียเต๋าบอก

เสียงเฮียเต๋าเล่า “มันเป็นตัวนำเลย มันเก่งมาก เข้าตรงไหนพังตรงนั้น ทั้งเก่งทั้งโหด”
ภาพพายุบุกอย่างไม่คิดชีวิตถล่มพวกลูกน้องเฮียเต๋าแหลกลาญย้อนกลับมา
เฮียเต๋าเล่าต่อ “แต่มีเก่งกว่าไอ้พายุอีก อั๊วเห็นหัวหน้ามันมากับผู้หญิงสวยๆ อั๊วเลยเสี่ยงตายบุกเข้าไปเล่นงานพวกมัน ที่ไหนได้ ไอ้ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆนั่นเล่นงานอั๊วซะยับ จนมันนึกว่าอั๊วตาย ก็ยัดอั๊วลงถังขยะ ยัยกะปิเน่าเอ๊ย”
ภาพเหตุการณ์การต่อสู้กัน เมฆากับมิเชลยืนดูผลงานอยู่ด้านหลัง เฮียเต๋าโผล่มาจากด้านหลังเมฆาก่อนจะง้างหมัด กระโดดเข้าใส่ แต่มิเชลได้ยินเสียงอากาศเคลื่อนไหวจึงหมุนขวับกลับมาเตะเฮียเต๋าพอดี เฮียเต๋าจู่โจมใส่มิเชลแต่ก็สู้มิเชลไม่ได้ มิเชลเตะต่อยใส่เฮียเต๋าแบบน็อนสต็อปจนเฮียเต๋ากระอักเลือดและโงนเงนไปที่ถังขยะ มิเชลกระโดดถีบอีกทีจนร่างเฮียเต๋ากระแทกถังขยะหงายหลังไป

เฮียเต๋าพูด “ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้นั่นล่ะก็ อั๊วตายแน่ๆ”
“เหมือนกัน อั๊วรอดตายมาได้ก็เพราะไอ้นั่น” ติงลี่บอก
“พวกคุณรอดตายมาได้เพราะอะไรเหรอคะ” เมลดาถาม
เฮียเต๋ากับเฮียติงลี่มองหน้ากันอย่างลังเลว่าจะพูดดีมั้ย
กังฟูมองทั้งสองแล้วก็เอะใจ “ทำไม...”
เมลดาถามกังฟู “ทำไมอะไร”
“ทำไมเฮียสองคนบาดเจ็บกันคนละข้างแบบนี้ล่ะ ... พิลึก” กังฟูว่า
เมลดามองตามกังฟู “จริงด้วย”
เฮียเต๋าทำแผลเสร็จแล้วก็มานั่งข้างๆ ติงลี่ ติงลี่บาดเจ็บที่ด้านซ้าย ส่วนเฮียเต๋าบาดเจ็บที่ด้านขวา
ติงลี่พูดกับเฮียเต๋า “ถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรต้องปิดบังหรอก”
เฮียเต๋าพูด “ก็ตามใจลื้อละกัน”
ติงลี่พูดกับกังฟู “พวกเราฝึกวิชาระฆังทองคลุมกาย”
“แต่ฝึกได้คนละข้าง” เฮียเต๋าบอก
ติงลี่กับเฮียเต๋าเอามือโค้งอ้อมหัวเข้าหากันเป็นสัญลักษณ์รูปหัวใจ

ที่ไนต์คลับเฮียติงลี่ป้ายชื่อไนต์คลับหายไป แต่มีป้ายใหม่ที่เขียนว่า "อสูรเทวา" มาแขวนแทน รถหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าไนต์คลับ อาเฟยลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูรถด้านหลังให้จางซื่อ จางซื่อเดินลงจากรถ
เมฆากับมิเชลที่ยืนรอคำนับจางซื่อ
“คำนับท่านพ่อ” เมฆาพูด
“คำนับอาจารย์” มิเชลพูด
จางซื่อมองทั้งสองด้วยความภูมิใจ
“ทำได้ดี พวกเจ้าทำได้ดีมาก”
เมฆายิ้มภูมิใจ
“เชิญท่านพ่อข้างใน”
เมฆากับมิเชลพาจางซื่อเข้าไปภายใน อาเฟยเดินตามจางซื่อไป

จางซื่อนั่งเด่นอยู่บนบัลลังก์มังกรที่อยู่บนเวทีของไนท์คลับ ส่วนอาเฟยยืนอยู่ด้านหลังจางซื่อ เมฆากับมิเชลยืนอยู่ด้านหน้า ข้างหน้าเวทีเป็นเหล่าชายฉกรรจ์นักบู๊ที่ตั้งแถวอยู่ โดยมีพายุยืนอยู่แถวหน้าสุด
เมฆาประกาศ “พี่น้องทุกท่าน วันนี้พวกเราได้รับเกียรติอย่างยิ่ง ท่านจางซื่อหัวหน้าพรรคอสูรเทวาเดินทางมาให้กำลังใจพวกเรา ...” เมฆาพูดกับจางซื่อ “ขอเรียนเชิญท่านเจ้าสำนัก”
ชายฉกรรจ์ทุกคนทำท่าคำนับ
“คำนับท่านเจ้าสำนัก”
จางซื่อลุกขึ้นแล้วเดินมากลางเวทีก่อนจะประสานมือตอบ
“นับถือๆ”
จางซื่อกวาดสายตามองทุกคนแล้วหยุดที่พายุนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงก้องกังวาน
“พี่น้องทุกท่าน ก่อนหน้านี้พวกเราอาจจะอยู่คนละพรรค บางคนเป็นลูกน้องติงลี่ บางคนเป็นลูกน้องเต๋า แต่วันนี้ข้าขอเลียนแบบโจโฉเผารายชื่อศัตรู อดีตผ่านไปไม่เอามาจดจำ สร้างสรรค์อนาคตร่วมกัน วันนี้เราท่านทุกคนคือพี่น้องของพรรคอสูรเทวา ไม่แบ่งแยกเข้าก่อนหลัง ขอเพียงจงรักภักดี ตั้งใจสร้างผลงาน ทุกท่านจะได้รับก้าวหน้า พรรคอสูรเทวายิ่งแผ่อิทธิพลมากเท่าไหร่ ทุกท่านยิ่งมีหน้ามีตามากเท่านั้น ไปไหนไม่ต้องกลัวเจ้าถิ่น ทำผิดกฎหมายไม่ต้องกลัวตำรวจ ขอเพียงเป็นคนของอสูรเทวารับรองไม่มีปัญหา ...ดีหรือไม่”
ชายฉกรรจ์ทุกคนตอบพร้อมกัน “ดี!”
“แต่ความสำเร็จนี้ไม่ใช่ได้มาโดยง่าย ต้องอาศัยความกล้าหาญของลูกผู้ชาย ยามต่อยตีไม่กลัวเจ็บ เสี่ยงชีวิตไม่กลัวตาย พวกท่านกล้าหรือไม่” จางซื่อว่า
ชายฉกรรจ์ตอบพร้อมกัน “กล้า!”
“กฎข้อเดียวของอสูรเทวา ใครทรยศพรรค ตายโดยเจ็บปวดทรมาน ใครจงรักภักดีเสพสุขไม่สิ้น ทำได้หรือไม่”
ชายฉกรรจ์ตอบพร้อมกัน “ทำได้!”
“ดีมาก ข้าขอคารวะพวกท่าน” จางซื่อบอก
จางซื่อหยิบมีดมากรีดนิ้วตัวเองแล้วบีบเลือดลงขันใบใหญ่ก่อนจะเอามีดจุ่มลงไปแกว่งน้ำในขันแล้วยกขึ้นจิบก่อนจะส่งขันต่อให้เมฆา
“ข้าก็ขอคารวะพวกท่าน”
เมฆาพูดแล้วก็ดื่มน้ำในขันก่อนจะส่งต่อให้อาเฟย
“ข้าขอคารวะผู้กล้าทุกท่าน”
อาเฟยยกขันคารวะให้เหล่าชายฉกรรจ์แล้วดื่มก่อนจะส่งขันต่อให้มิเชล
มิเชลพูด “ขอคารวะพี่น้องทุกท่าน”
มิเชลดื่มส่งต่อให้พายุที่ยืนอยู่ข้างหน้าพวกลูกน้องทั้งหลาย
“ขอคารวะท่านประมุข ขอให้อสูรเทวายิ่งใหญ่เกรียงไกร ไร้ผู้ต้านทาน แผ่ขยายบารมีไพศาล เป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” พายุพูด
จางซื่อหยุดมองพายุอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง
“พูดได้ดีมาก...จางฟุ” จางซื่อชม
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก” พายุตอบ
พายุยกขันดื่ม จางซื่อมองพายุแล้วก็หัวเราะกระหึ่ม


จางซื่อนั่งอยู่ในห้อง เมฆานั่งอยู่ข้างๆจางซื่อ พายุยืนอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง
“เมฆาเล่าให้ข้าฟังแล้ว ว่าความสำเร็จวันนี้ เจ้ามีผลงานโดดเด่นที่สุด” จางซื่อบอก
“เป็นเพราะท่านพี่เมฆาส่งเสริม” พายุพูด
“เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวไป สายเลือดจางเหลียงไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
“ผู้น้อยยังเยาว์ หูตาคับแคบ ไม่รู้เรื่องราวของจางเหลียง” พายุบอก
“ตกลง วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะเล่านิทานให้เจ้าฟัง” จางซื่อเริ่มต้นเล่า
อ่านต่อหน้าที่ 4


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 9 (ต่อ)
เรื่องที่จางซื่อเล่าเริ่มต้นที่สลัมในฮ่องกง จอมยุทธชราคนหนึ่งบาดเจ็บนอนซมอยู่ในตรอก เด็กชายจางเหลียงมาพบและเข้ามาประคองจอมยุทธ

“ยุทธภพหลายสิบปีก่อนมีสุดยอดจอมยุทธชื่อโกวเล้ง ฝีมือสูงล้ำ ร่องรอยลี้ลับ จนวันหนึ่งที่เกาะฮ่องกง จอมยุทธโกวเล้งได้รับบาดเจ็บสาหัสนอนรอความตาย จางเหลียงตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยไปพบเข้า ช่วยชีวิตจอมยุทธโกวเล้งไว้ได้” จางซื่อเล่า

จอมยุทธโกวเล้งสอนวิทยายุทธให้จางเหลียงที่โตเป็นหนุ่มแล้ว โกวเล้งแปลกใจมาก
จางซื่อเล่า “จอมยุทธโกวเล้งตอบแทนด้วยการถ่ายทอดวิทยายุทธให้จางเหลียง วิทยายุทธของโกวเล้งนั้นลึกซึ้งพิสดาร คาดไม่ถึงจางเหลียงก็เป็นยอดอัจฉริยะ ในที่สุดจางเหลียงก็เป็นยอดฝีมือไร้ผู้ต่อต้าน”

จางเหลียงยืนเด่นเป็นสง่า รอบตัวเขามีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก โกวเล้งมีสีหน้าเศร้าสร้อยก่อนจะเดินจากมา
“จางเหลียงเหิมเกริม ถือดีในฝีมือ ปราบยอดฝีมือทั่วทั้งแผ่นดิน ใครยอมก็รอด ใครขวางก็ตาย โกวเล้งตักเตือนแต่จางเหลียงก็ไม่ฟัง โกวเล้งจึงจากไปด้วยความเสียใจที่ได้สร้างปีศาจร้ายขึ้นมา” จางซื่อเล่า

จางเหลียงขึ้นนั่งบนบัลลังก์ ผู้คนมากมายห้อมล้อมและค้อมหัวให้
“จางเหลียงก่อตั้งสำนักอสูรเทวา ชักชวนผู้คนเข้าร่วมอุดมการณ์ เพื่อเป็นหนึ่งในโลกนี้ ข้าเองก็เข้ามาร่วมกับจางเหลียงในตอนนี้ แล้วจึงรู้จักกับเหมยอิง แต่งงานกัน”

จางเหลียงมีลูก ส่วนภรรยานอนตายอยู่บนเตียง
“ต่อมาภรรยาจางเหลียงตายตอนคลอดลูก จางเหลียงเสียใจมาก จนธาตุไฟเข้าแทรก สติเลอะเลือน สั่งประหารพี่น้องร่วมสำนัก ข้าเองก็โดนเขาสั่งประหาร ในที่สุดพี่น้องในพรรคก็ทนดูไม่ได้ พร้อมใจกันโค่นอำนาจฆ่าจางเหลียง เชิญข้าขึ้นเป็นเจ้าสำนัก” จางซื่อเล่า

จางซื่อกับคนมากมายอยู่ที่ท่าเรือ เขามองไปไกลๆ ก็เห็นเหมยอิงที่อยู่บนเรืออุ้มลูกหนีไปได้
“ระหว่างที่วุ่นวาย เหมยอิงก็อุ้มลูกจางเหลียงที่ชื่อจางฟุหนีออกจากฮ่องกง ข้ารู้สึกผิดกับจางเหลียงมาก ใช้เวลาทั้งหมดตามหาจางฟุ ในที่สุดก็ได้เจอ”

เมื่อเล่าจบ จางซื่อก็เดินมาหาพายุ
“จางฟุ วันหนึ่งข้าจะคืนสำนักอสูรเทวาให้เจ้า”
พายุตะลึง
“จะ..จะ...เจ้าสำนัก... ข้าไม่เหมาะสม ข้าแม้เป็นลูกจางเหลียง แต่สติปัญญาความสามารถเทียบกันไม่ได้ ไหนเลยจะสามารถรับตำแหน่งนี้ได้”
“เจ้าทำได้ เชื่อข้าเถอะ เรื่องนี้เพียงรอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นเอง” จางซื่อยืนยัน
พายุอึกอัก “ข้า...ข้า...”
พายุพูดอะไรไม่ออกแต่ก็มีสีหน้าฉายแววยินดีสุดขีด เมฆานั่งฟังแล้วก็แอบกำหมัดแน่น

เมฆานั่งหน้าเครียดพร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มิเชลฟัง
“ผมแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ที่ผมทำมาทั้งหมดคืออะไร ทำไมพ่อจะยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้ไอ้พายุ”
มิเชลแค่นหัวเราะ
“คุณพูดแบบนี้แปลว่าคุณยังไม่รู้จักพ่อคุณ”
“หมายความว่ายังไง” เมฆาย้อนถาม
“เขาจงใจพูดให้คุณฟังน่ะสิ”
“ตั้งใจพูดให้ผมฟังเหรอ”
“คุณยังดูไม่ออกอีกเหรอ อาจารย์เป็นคนขี้ระแวง เขามีวันนี้ได้เพราะเขาทรยศจางเหลียง ชีวิตนี้เขาจึงกลัวคนทรยศเขามากที่สุด ตอนอยู่ฮ่องกง เขายุให้อาเฟยเกลียดฉัน ที่เมืองไทยเขายุให้ฉันกับคุณระแวงกัน ตอนนี้เขายุให้คุณกับพายุอิจฉากัน”
“ผมเข้าใจแล้ว ทำแบบนี้ทุกคนจะยึดเขาเป็นศูนย์กลาง ไม่มีใครรวมหัวกันทรยศเขา”
“ถูกต้อง” มิเชลบอก
“แปลว่าเขาไม่คิดจะมอบตำแหน่งหัวหน้าพรรคให้พายุน่ะสิ”
มิเชลหัวเราะ
“เศษสวะอย่างพายุ เรายังมองออก นับประสาอะไรกับอาจารย์”
“พายุเอ๊ยพายุ”
เมฆาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

พายุเดินยิ้มกริ่มออกมา
“หัวหน้าพรรคอสูรเทวา...หึๆๆ”
พายุเดินออกมาเรื่อยๆ จนเห็นสันต์เดินโซเซมา พายุรีบเข้าไปหา
“พี่สันต์ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“รีบไปบอกคุณเมฆาเร็ว...ไอ้ติงลี่ยังไม่ตาย” สันต์บอก
“อะไรนะ พี่เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ผมซัดมันไม่ยั้งเลย อย่าว่าแต่ติงลี่เลย ต่อให้เป็นวัวก็ต้องตาย”
สันต์ส่ายหน้า
“ตอนอั๊วไปถึง...มันหนีออกไปได้พอดี อั๊วตามไปแต่มีคนมาช่วย เรื่องนี้สำคัญมาก รีบไปบอกคุณเมฆาเร็ว”
พายุอึ้งและหน้าถอดสี
“แล้วมีใครรู้เรื่องนี้อีกมั้ย” พายุถาม
“ไม่มี”
พายุมองซ้ายขวาแล้วก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น
“พี่สันต์...ผมขอโทษนะ”
สันต์มองหน้าพายุงงๆ พายุต่อยใส่จุดชีวิตของสันต์ทันที สันต์มองหน้าพายุอึ้งๆ
“เรื่องนี้เป็นเพราะผมทำงานผิดพลาด ผมกำลังมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ จะให้เรื่องนี้มาทำลายอนาคตของผมไม่ได้”
“ลื้อ...โหดเหี้ยมนัก”
พายุต่อยใส่อีกหมัดจนสันต์คอพับ พายุระดมต่อยอีกนับสิบหมัดแล้วก็ตรวจชีพจรสันต์จนแน่ใจว่าแน่นิ่ง
“แล้วพี่จะฟื้นเหมือนไอ้ติงลี่มั้ยเนี่ย”
พายุระดมต่อยอีกรอบจนหอบแฮ่ก
“ตายนะเว้ย ห้ามฟื้นแล้วนะ...ไอ้ติงลี่ มันฟื้นได้ไงวะ” พายุโมโห

พายุเปิดประตูห้องแล้วผลักเนตรนภาเข้าไป เนตรนภาล้มลงไปกองกับพื้นที่มีรอยเลือดคล้ำๆของติงลี่อยู่ เนตรนภาร้องวี้ดก่อนจะลุกถอยออกมาชนพายุที่อยู่ด้านหลัง พายุจับตัวเธอไว้
“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอก ไอ้ติงลี่มันยังไม่ตาย” พายุบอก
เนตรนภาตกใจจึงหันมามองพายุ
“จริงเหรอ แต่ว่าวันนั้น...”
“จริง แต่เธอห้ามพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าเธอ เข้าใจไหม เนตรนภา”
เนตรนภาพยักหน้า
“เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเธอคืออยู่ที่ห้องนี้ ถ้าไอ้ติงลี่มันย้อนกลับมาหาเธอเมื่อไหร่ เธอต้องบอกฉันทันที เอ้า นี่เบอร์มือถือฉัน”
พายุยัดกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่งให้ เนตรนภามองเบอร์ในกระดาษ
“ไม่ต้องงง ฉันมีมือถือแล้ว แล้วก็จะมีรถแล้วด้วย อีกหน่อยก็จะมีคอนโด มีรถหรูๆ มีมากกว่าไอ้ติงลี่ซะอีก เพราะฉะนั้น ถ้าเธอยังอยากเป็นผู้หญิงของฉันอยู่ก็ทำตัวดีๆ ไม่งั้นจะโดนเชียะ”
พายุผลักเนตรนภาเข้าไปแล้วเดินออกไปจากห้อง


ติงลี่กับเฮียเต๋ามาพักอยู่ที่ห้องกังฟู โดยมีกังฟูกับเมลดาช่วยดูแล
“เมื่อก่อนเราสองคนคือศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน” ติงลี่ว่า
“ต่อมาพออาจารย์ตาย เราสองคนก็เข้าสู่วงการนักเลง” เฮียเต๋าพูดต่อ
“แล้วก็ทะเลาะกันเพราะเรื่องผู้หญิง แยกทางกันเดิน แต่ไปๆมาๆก็ได้เป็นเจ้าพ่อกันทั้งสองคน”
“พอเป็นเจ้าพ่อแล้วก็แกล้งทะเลาะกันไปงั้นแหละ ลึกๆเราก็ยังเป็นพี่น้องกันอยู่”
“แล้วทำไมคุณไม่เตือนเฮียติงลี่เรื่องพายุล่ะ ตอนพายุฆ่าพวกเดียวกันเพื่อปล่อยคุณแล้วไปโกหกเฮียติงลี่น่ะ”
เฮียเต๋าหัวเราะ
“เรื่องของมันสิ ถ้ามันอยากโง่ให้คนอื่นหลอกก็ช่วยไม่ได้”
“เราเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ก็แข่งขันกันด้วย ถ้าไม่ถึงขนาดเป็นตาย ก็ไม่ยื่นมือไปช่วยกันหรอก” ติงลี่บอก
“เรื่องนั้นผมเข้าใจ แล้วเฮียสองคนจะเอายังไงต่อครับ” กังฟูถาม
สองเฮียเงียบไปครู่หนึ่ง
แล้วติงลี่ก็พูดออกมา “บอกตรงๆว่าอั๊วเหนื่อยแล้วล่ะ เป็นเจ้าพ่อก็เหมือนนั่งหลังเสือ อยากลงก็ลงไม่ได้วันนี้โดนคนถีบลงมา โดยยังไม่ตาย จะถือเป็นวาสนาในคราวเคราะห์ก็ได้”
“เออ อั๊วก็อยากถอนตัวแล้วเหมือนกัน” เฮียเต๋าเห็นด้วย
“กังฟู คราวนี้ที่พวกอั๊วรอดได้ก็เพราะลื้อช่วย แต่สภาพพวกเราตอนนี้ ไม่มีอะไรจะให้ลื้อเลย”
“นอกจาก...ลมปราณระฆังทองคลุมกาย” เฮียเต๋าบอก
กังฟูตกใจ “หา...”
“ตอนหนุ่มๆเราทะเลาะกัน แย่งฝึกกันได้คนละครึ่ง ถึงรอดตายมาได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัสอย่างที่เห็นนี่แหละ” ติงลี่บอก
“ตอนนี้เราสองคนจะส่งมอบลมปราณนี้ให้ลื้อ รวมเป็นวิชาระฆังทองที่สมบูรณ์ที่ตัวลื้อ” เฮียเต๋าว่า
“อย่าเลยครับ ลมปราณนี้ถือเป็นสุดยอดวิทยายุทธแขนงหนึ่ง พวกท่านให้ผมง่ายๆ แบบนี้ ผมรับไม่ได้หรอก”
“อั๊วบอกแล้วไงว่าเหนื่อยแล้ว ลื้อรับไปเถอะ”
“ลมปราณนี้อยู่กับลื้อมีประโยชน์กว่า”
กังฟูซาบซึ้งใจ
“โบราณว่าเป็นอาจารย์วันเดียวนับเป็นอาจารย์ตลอดชีวิต พวกท่านถ่ายทอดลมปราณระฆังทองให้ผม นับเป็นบุญคุณสูงส่ง ผมขอคารวะพวกท่านเป็นอาจารย์”
กังฟูคุกเข่าแล้วก้มลงหัวแตะพื้น เฮียทั้งสองพยักหน้าแล้วยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเริ่มโคจรพลัง ทั้งสามนั่งหันหน้าเข้าหากัน ติงลี่กับเฮียเต๋ายื่นมือไปคนละข้างโดยสัมผัสกับฝ่ามือกังฟูทั้งสองข้าง กังฟูหลับตาทำสมาธิ
“เตรียมตัวนะ” ติงลี่บอก
“ลมปราณระฆังทองคืออะไรเหรอ” เมลดาถาม
“ลมปราณนี้เหมือนชุดเกราะ อย่าว่าแต่หมัดเท้าเลย ดาบมีดก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ฝึกถึงขั้นสูงสุด ยังกันกระสุนปืนได้อีกด้วย” เฮียเต๋าอธิบาย
เมลดาทึ่ง “ว้าว สุดยอดเลย”
“แต่ผู้ฝึกวิชานี้ต้องถือเพศพรหมจรรย์ ห้ามมีเพศสัมพันธ์กับสตรี” เฮียเต๋าบอก
กังฟูลืมตาแล้วลุกพรวดออกจากวง ติงลี่กับเต๋าที่กำลังประกบฝ่ามือถ่ายทอดพลังให้เสียหลัก คะมำหน้าทิ่มมาข้างหน้า
“มึงเอาของมึงคืนไปเลย” กังฟูบอก
เฮียเต๋ากับติงลี่มองกังฟูตาค้าง เมลดาก็มองกังฟู กังฟูรู้ตัวว่าสติแตกเกินไปจึงรีบพูด
“เอ่อ...อะแฮ่ม ผมตกใจไปหน่อย ... แต่เอาเป็นว่าผมไม่เอาแล้วครับ น้ำใจของท่านทั้งสองผมขอรับด้วยใจ”
“อะไรของลื้อวะ วิชานี้ช่วยชีวิตลื้อได้นะโว้ย” เฮียเต๋าบอก
“ไม่เอาครับ ยังไงก็ไม่เอา” กังฟูย้ำ
“เชอะ เล่นตัวอีก” เฮียเต๋าว่า
“ให้หนูได้ไหมคะ” เมลดาบอก
กังฟูรีบห้าม “คุณก็ห้าม”
กังฟูตวาดลั่น ทุกคนหันมามองกังฟูอีกครั้ง กังฟูหน้าแดง
“เอ่อ...”
เมลดาค้อนกังฟู
“วิชานี้ผู้หญิงฝึกไม่ได้อยู่แล้ว” เฮียเต๋าพูดกับกังฟู “ตกลงไม่เอาใช่มั้ย ตามใจ เห็นปลาร้าสำคัญกว่าชีวิตก็ตามใจโว้ย”
“อ้าว ว่าใครเนี่ย” เมลดาถาม
“พูดลอยๆ ไม่ต้องเดือดร้อน” เฮียเต๋าว่า
เมลดาทำท่าจะโต้ตอบแล้วก็นึกอะไรขึ้นได้
“เอ๊ะ เฮียติงลี่คะ อย่างงี้แปลว่าคุณกับพี่สาวฉันก็...”
“เนตรนภาน่ะเหรอ ฉันกับเขาไม่มีอะไรแบบกันนั้นหรอก แต่ก็มีอะไรกันแบบอื่นอยู่เหมือนกันนะ อยากรู้ไหมล่ะ เดี๋ยวอธิบายให้ฟังพร้อมภาพประกอบ” ติงลี่ว่า
“เอ่อ ไม่ต้องก็ได้ค่ะ ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น”
“เอาเถอะครับ เอาเป็นว่าพวกคุณสองคนพักที่ห้องผมได้ตามสบายนะครับ” กังฟูบอก
“ขอบใจลื้อมาก” เฮียเต๋ายิ้ม

กังฟูเดินไปส่งเมลดาที่บ้านเช่าของเธอ
“เมื่อกี้ตอนเขาจะให้วิชาระฆังทองนาย ทำไมนายต้องเว่อขนาดนั้นด้วยยะ” เมลดาถาม
“ก็...ผมไม่อยากเป็นฤาษีนี่ครับ...ผมอยาก...เอ่อ...กับคุณเม” กังฟูอึกอัก
“นี่ พูดดีๆนะ รู้จักให้เกียรติผู้หญิงบ้างสิ” เมลดาว่า
“ทำไมล่ะครับ ผมแค่จะบอกว่าผมอยากแต่งงาน มีครอบครัวกับคุณเม”
“อ๋อ เอ่อ ถ้าจะพูดแค่นั้นก็ไม่เป็นไรหรอก นึกว่าจะพูดอย่างอื่น”
“แหม เรื่องอย่างนั้นไม่ต้องพูดก็ได้ครับ ของมันรู้ๆกันอยู่”
“ไม่รู้ย่ะ กังฟู เลิกพูดเล่นแป๊บนึงนะ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า ตอนนี้ฉันไม่พร้อมจะคิดเรื่องนี้”
“ผมรู้ครับ ผมไม่ได้จะกดดันอะไรหรอก ผมแค่คิดถึงอนาคต ถ้าเราผ่านช่วงเวลาที่วิกฤตินี้ไปได้ ผมก็อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคุณเม สร้างครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก”
เมลดาตื้นตันใจมาก
“ขอบใจนายมากนะกังฟู สำหรับความรู้สึกดีๆที่นายให้ฉัน”
“มันเป็นความรู้สึกจริงๆของผมครับ” กังฟูบอก
“แต่ฉันไม่กล้าฝันไปถึงขนาดนั้นหรอก...อนาคตมีแต่เรื่องอันตราย ชีวิตนายก็เหมือนกัน ไอ้แก๊งค์อสูรเทวาที่มาดักเล่นงานนายตั้งสองครั้งเนี่ย มันอาจจะมาอีกก็ได้...พูดตรงๆนะกังฟู ทั้งนายทั้งฉัน อาจจะตายก่อนที่จะถึงวันเวลาที่นายฝัน”
กังฟูจ๋อยไป
เมลดาพูดต่อ “ขอโทษนะ ที่ทำลายความฝันอันสวยงามของนาย”
กังฟูเงียบไป ทั้งสองเดินด้วยกันไปเงียบๆ ระยะหนึ่ง
แล้วกังฟูก็พูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้น...ถ้าเราอาจจะไปไม่ถึงความฝันในวันข้างหน้า ผมขอฝันในวันนี้ ได้ไหมครับ”
เมลดาไม่เข้าใจที่กังฟูพูด

ร้านเว้ดดิ้งเล็กๆร้านหนึ่ง มีดิสเพลย์หน้าร้านเป็นหุ่นผู้ชายสวมสูททักซิโด้ เจ้าสาวสวมชุดราตรีสง่างาม เจ้าของร้านปิดไฟในร้านแล้วเดินมาดึงประตูเหล็กม้วนกำลังจะปิดร้าน ทันใดนั้นก็มีมือยื่นมาจับประตูไว้แล้วดันประตูเปิดขึ้น เจ้าของร้านตกใจ แล้วก็เห็นว่าเป็นกังฟูที่จับมือเมลดาวิ่งมาด้วยกัน ทั้งสองหอบแฮ่กๆ
“อย่าเพิ่งปิดร้านครับเฮีย” กังฟูบอก
“ไม่ต้องตกใจค่ะ ไม่ได้มาปล้นค่ะ ... ลูกค้าค่ะ” เมลดาว่า

กังฟูในชุดทักซิโด้กับเมลดาในชุดราตรีที่หุ่นโชว์สวมกำลังดินเนอร์กันใต้แสงเทียน ขวดกับแก้วไวน์วางอยู่บนโต๊ะดูเหมือนอยู่ในร้านอาหารหรูหรา กังฟูหยิบแก้วไวน์ดมเล็กน้อยก่อนจะเขย่าเบาๆ แล้วดูน้ำสีเข้มที่ไหลลงข้างขอบแก้วเหมือนเวลาดูขาไวน์
เมลดาถาม “ทำอะไรน่ะ”
“ดูความเข้มข้นครับ” กังฟูบอก
“อืม ใช้ได้ไหมคะ” เมลดาถามต่อ
“เท่าที่ดูก็ใช่ได้ครับ แต่ต้องชิมถึงจะบอกได้ดีที่สุด”
กังฟูยกแก้วจิบ
“เป็นไงบ้างคะ เข้าขั้นบอกโดซ์ไหมคะ”
“เหนือกว่าบอกโดซ์อีกครับครับ เป็นน้ำกระเจี๊ยบที่อร่อยมาก ไม่เชื่อลองชิมดูสิครับ”
แท้จริงแล้วทั้งสองกำลังกินอาหารที่ดาดฟ้าของบ้านเมลดา เมลดากลั้นหัวเราะก่อนจะหยิบแก้วน้ำกระเจี๊ยบมาชิมบ้างโดยวางท่าเหมือนกำลังจิบไวน์
“รสชาติดีนะเนี่ย น้ำกระเจี๊ยบเนี่ย” เมลดาบอก
“อันนี้สเต็กหมูปิ้งกับข้าวเหนียว เสิร์ฟพร้อมซุปต้มยำรวมมิตร ส่วนของหวานเป็นบัวลอย ลอดช่องครับ”
“น่าอร่อยหมดเลยค่ะ”
“ขอโทษนะครับ ผมหรูสุดได้แค่นี้แหละ”
“แต่ต่อให้มีคนเอาเนื้อโกเบ ไข่ปลาคาเวียร์ ไวน์บอกโดซ์มาแลกกับอาหารบนโต๊ะนี้ ฉันก็จะไม่แลก เพราะนี่เป็นอาหารที่ผู้ชายที่รักฉันตั้งใจทำให้”
กังฟูกับเมลดายิ้มให้กันแล้วชนแก้วกัน กังฟูวางแก้วไวน์แล้วลุกขึ้นมาโค้งให้เมลดา เมลดาทำหน้างง
กังฟูหยิบรีโมตออกมากดปุ่มทำให้เครื่องเสียงที่อยู่แถวนั้นเล่นเพลง เมลดายิ้มก่อนจะลุกขึ้นย่อเข่ารับการโค้ง
เพลง the moon represent my heart ของ เติ้งลี่จวิน ดังขึ้น กังฟูกับเมลดายืนคู่กัน กังฟูยืนเฉยจนเมลดางง
“เอ่อ ผมเต้นไม่เป็นหรอกครับ” กังฟูบอก
เมลดายิ้มอ่อนหวาน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันพอจะเต้นเป็นอยู่บ้าง” เมลดาบอก
เมลดาออกเสต็ปนำกังฟูเต้นไปด้วยกันบนฟลอร์ดาดฟ้า
“คุณเมครับ”
“คะ”
“วันข้างหน้าอันตรายแค่ไหนผมก็ไม่กลัว วันนี้ผมมีความสุขที่สุด ถึงผมจะตายผมก็ไม่เสียดายชีวิต”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ คนจีนเขาถือไม่ใช่เหรอคะ”
“ครับ แต่ผมอยากให้คุณรู้”
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
เพลงยังคงบรรเลงต่อไป

พายุกับเฮียเก้าเดินเข้ามาในห้องฝึก โดยมีเฮียเฉิย เฮียหลอ และฮูหยินนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“คำนับอาจารย์แม่ อาจารย์เฉิน อาจารย์หลอ” พายุพูด
ฮูหยินสั่ง “ปิดประตูด้วย”
พายุปิดประตู เฮียเก้ากับพายุเดินมานั่ง
“วันนี้อั๊วมีเรื่องสำคัญจะมาปรึกษากับทุกคน” ฮูหยินบอก
เฮียเก้าถาม “แล้วไอ้กังฟูล่ะ”
“อั๊วกลัวมันเป็นไส้ศึก เอาเฉพาะพวกเราแล้วกัน ... เรื่องนี้ต้องท้าวความไปถึงอดีต พายุอาจจะยังไม่รู้เรื่อง” ฮูหยินบอก
“ศิษย์น้อมรับฟัง”
“เมื่อก่อน อั๊ว อาเฉิน อาหลอ อาเก้า เราสี่คนรวมตัวกันเป็นเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม ผดุงความเป็นธรรมในบู๊ลิ้ม ต่อสู้กับพวกพรรคมาร...”
พายุยกมือขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยมาก ฮูหยินหยุดเล่าแล้วมองพายุ
พายุพูด “อาจารย์แม่บอกเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม แล้วอีกสามคนล่ะครับ”
“สามคนไหน มีแค่สี่คนแค่นี้แหละ”
“อ้าว แล้วทำไมไม่เรียกสี่ผู้กล้า ทำไมเรียกเจ็ดผู้กล้า”
“เราจะเอาอย่างเจ็ดผู้กล้าแห่งกังหนำที่เป็นอาจารย์ของก๊วยเจ๋ง ต่อมาพวกเราพยายามหาคนมาร่วมกลุ่ม แต่หายังไงก็ได้แค่สี่คน แต่ป้ายชื่อเขียนไปแล้ว ก็เลยต้องเลยตามเลย” เฮียหลออธิบาย
พายุบ่นเบาๆ “ติงต๊องจริงๆ”
“ลื้อว่าไงนะ” เฮียเก้าถาม
“ปละ ๆ เปล่าครับ ไม่ได้ว่าอะไร ... เล่าต่อเถอะครับ” พายุว่า
“ต่อมายุทธภพเกิดจอมมารจางเหลียงตั้งสำนักอสูรเทวา พวกเราสู้มันไม่ได้เลยหนีมาเมืองไทย ต่อมาจางเหลียงถูกคนฆ่าตาย คิดไม่ถึงน้องสาวจางเหลียงกลับพาลูกของมันชื่อจางฟุหนีมาขอความช่วยเหลือจากพวกเรา อั๊วเห็นแก่คุณธรรมจึงรับเลี้ยงมันไว้”
“แต่ในที่สุดอสูรเทวาก็ตามมาหาเรื่องพวกเราจนได้ ครั้งนี้เราจะไม่หนี เราจะสู้กับมัน ..พายุ เรารู้ว่าเรื่องนี้ลื้อทำใจลำบาก เราจึงจะถามลื้อก่อนว่าจะร่วมมือกับพวกเราไหม”
“พวกอาจารย์ชุบเลี้ยงผมมา ผมขอร่วมด้วย” พายุบอก
“ลื้ออาจจะต้องสู้กับกังฟูนะ ทำใจได้ไหม” เฮียเฉินว่า
“ทำไมล่ะครับ” พายุถาม
“เพราะลูกของจางเหลียงที่ชื่อจางฟุ ก็คือกังฟูนั่นเอง”
พายุอึ้งแบบสตั๊นท์ไปหลายวินาที เฮียหลอตบบ่าพายุ
เฮียหลอพูด “เรารู้ว่าลื้อเติบโตมาพร้อมกังฟู ย่อมมีความผูกพันกัน”
“เอ่อ...กังฟูคือลูกจางเหลียง เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดใช่ไหมครับ” พายุถาม
“แน่นอนที่สุด น้าของมันคือเหมยอิงอุ้มมันมาฝากพวกเราด้วยตัวเอง” ฮูหยินบอก
พายุเซจนแทบจะเป็นลม
“แล้ว...แล้วผมล่ะ ผมเป็นลูกใคร” พายุถาม
“อืม ตอนนี้ลื้อก็โตแล้ว บอกให้ก็ได้ พ่อแม่ลื้อคือคนงานก่อสร้าง ตายตอนที่พวกเราจ้างมาปรับปรุงโรงงิ้ว โดนไฟช็อตตายทั้งคู่ พวกเรารู้สึกผิด เลยรับเลี้ยงลื้อมา” เฮียเก้าเล่า
“คะ...คนงานก่อสร้างเนี่ยนะ” พายุช็อก
“สบายใจเถอะ พวกเขาทำอาชีพสุจริต ไม่ใช่จอมมารอะไรที่ไหน” เฮียเฉินบอก
พายุเงียบไป
“ถ้าลื้อร่วมมือด้วยก็ดี พวกเราเจ็ดผู้กล้าคุณธรรม จะขอสู้ตายกับอสูรเทวา ไม่ใช่มันก็เราต้องพังทลายสิ้นซาก” ฮูหยินบอก
พายุนั่งซึมแล้วมีดวงตาเหม่อลอย
เฮียเก้าถาม “พายุ ลื้อเป็นอะไรรึเปล่า”
“ศิษย์...ศิษย์ไม่เป็นไร” พายุบอก
“ปราบโจรปราบหัวหน้า เราจะวางกับดัก หลอกจางซื่อมาแล้วรุมฆ่ามัน พายุ ลื้อเตรียมตัวไว้ จางซื่อถึงไม่เก่งเท่าจางเหลียงแต่ก็นับเป็นยอดฝีมือ ห้ามประมาทมันเด็ดขาดเข้าใจไหม”
พายุพยักหน้าอย่างซึมเซา
ฮูหยินพูด “ข้อสำคัญ ห้ามใครพูดเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะกังฟู ไม่อย่างนั้นถ้าจางซื่อรู้เรื่อง คนที่จะตายจะกลายเป็นพวกเรา”
ทุกคนพยักหน้ารับรู้ ยกเว้นพายุที่ยังดูเหม่อลอยเพราะผิดหวังอย่างแรง
ติดตามอ่านต่อตอนที่ 10

กำลังโหลดความคิดเห็น