ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 6
เมลดาเปิดประตูเข้ามาในห้องที่ปิดไฟมืด
“หลินหลิน...หลินหลิน...นอนหลับแล้วเหรอ ทำไมวันนี้นอนเร็วจัง ไม่สบายรึเปล่า” เมลดาพูด
เมลดาเปิดไฟในห้องแล้วก็ตกใจเมื่อเห็นข้าวของในห้องเละเทะเหมือนโดนรื้อ
“หลินหลิน…” เมลดาตกใจ
เมลดามองหาหลินหลินแต่ไม่เจอตัวเลย เมลดาหันรีหันขวาง ทำอะไรไม่ถูก แล้วตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงหลินหลินกรีดร้องดังขึ้นมา
“กรี๊ดดดดดดดดดด”
“หลินหลิน” เมลดารีบวิ่งออกไป
เมลดาวิ่งออกมาจากบ้านเช่า ไปตามเสียงร้องของหลินหลินที่มาจากที่ว่างด้านหลังตึก เมลดาพรวดออกไป กำหมัดพร้อมต่อสู้ แต่ภาพที่เห็นคือ หลินหลินกำลังเล่นบอลโกล์หนูกับ บู๊ลิ้ม เป๋งกุ่ย และเด็กๆแถวนั้น
หลินหลินเลี้ยงบอล กระชากหลบ เตะอัดตู้ม พอเพื่อนได้บอล หลินหลินวิ่งไปกระแทกแย่งบอลมาได้ หน้าตาเมามันส์สนุกสนานมาก จนเมลดางง
หลินหลินเลี้ยงบอลมาแล้วกำลังจะยิง เป๋งกุ่ยพุ่งเสียบทั้งบอลทั้งคน หลินหลินล้มโครม
“ว้าย” เมลดาตกใจ กำลังจะวิ่งเข้าไป แต่หลินหลินลุกขึ้น ปัดก้น ไม่อิดออด วิ่งตามไปจะเล่นบอลต่อ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” เมลดางงมาก
บู๊ลิ้มได้บอล ส่งบอลให้หลินหลิน
“หลินปิง” บู๊ลิ้มเรียก
หลินหลินวอลเลย์แบบไม่จับ ตูมเดียวเข้าโกลไปอย่างเด็ดขาด หลินหลินวิ่งมาฉลองประตู ด้วยการถอดเสื้อออก
“อย่า…” เมลดาร้องห้าม
แต่หลินหลินยังมีเสื้อกล้ามข้างในอีกตัว เขียนว่า WHY ALWAYS ME? แถมทำท่าเบ่งกล้ามแบบมาริโอ บาโตเรลลี่ด้วย
“อะไรกันเนี่ย” เมลดาถึงกับเหวอ
"อะไรกันเนี่ยย"
เมลดาพาพวกเด็กๆมากินขนมกันที่ร้านฟาสต์ฟู้ดหนึ่ง เมลดา หลินหลิน บู๊ลิ้ม เป๋งกุ่ย นั่งโต๊ะเดียวกัน ส่วนเด็กคนอื่นๆนั่งแยกออกไป
“พี่ไม่เคยรู้เลยว่าเธอชอบเล่นฟุตบอล” เมลดาเอ่ย
“ตอนแรกเขายืมขอ
ผมไปเล่นในห้อง แต่ผมกลัวห้องจะพังซะก่อน เลยชวนมาเล่นข้างล่าง เล่นสองคนมันไม่ค่อยมันส์ ผมเลยไปชวนเป๋งกุ่ยกับคนอื่นๆมาด้วย” บู๊ลิ้มว่า
“แปลกๆนะ จู่ๆมาชอบฟุตบอลแบบนี้เนี่ย” เมลดาพูด
“ดีออกครับ หลินปิงเขาเล่นเก่งด้วย ฝึกอีกนิดเก่งที่สุดในย่านนี้เลย” เป๋งกุ่ยว่า
เป๋งกุ่ยยิ้มให้หลินหลิน หลินหลินก็ปลื้ม บู๊ลิ้มชะงัก
“พรุ่งนี้มาเล่นกันอีกสิ” หลินหลินว่า
“ทุกวันเลยก็ได้” เป๋งกุ่ยเอ่ย
“สัญญานะ” หลินหลินพูด
หลินหลินยื่นนิ้วก้อยไป
“ได้ แต่ผู้ชายที่ไหนเขาเกี่ยวก้อยกันวะ เอาก็เอา” เป๋งกุ่ยยื่นนิ้วก้อยออกไปเกี่ยวด้วย
ข้างหน้าใบหน้าของบู๊ลิ้มที่อยู่ตรงกลางพอดี
บู๊ลิ้มอ้าปากหวอ มองหลินหลิน หลินหลินมองแต่เป๋งกุ่ย ทั้งสองยังคงหัวเราะกันอยู่ บู๊ลิ้มมีสีหน้าหวาดหวั่น
กังฟูนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด อ่านบทงิ้วอยู่ มีเสียงเคาะประตู บู๊ลิ้มเดินเข้ามา สีหน้าละห้อยเหี่ย
“ศิษย์พี่” กังฟูเรียก
“ศิษย์น้อง ทำอะไรอยู่รึเปล่า” บู๊ลิ้มถาม
“กำลังพยายามทำความเข้าใจกับบทจั่นเจาอยู่” กังฟูว่า
“ยังไงเหรอ” บู๊ลิ้มถาม
“ฉากอื่นไม่มีปัญหา แต่ฉากรักนี่น่ะสิ ย้ากยาก ความรักมันคืออะไร” กังฟูเอ่ย
ประโยคนี้เข้าทางบู๊ลิ้มพอดี
“ใช่ ความรักเป็นเรื่องยาก บางทีก็ทำให้เรามีความสุข แต่ไม่ทันไร แค่เสี้ยววินาทีที่เธอยิ้มให้คนอื่น มันก็บันดาลทุกข์ให้เราอย่างแสนสาหัส ขมขื่นยิ่งนัก อึดอัดยิ่งนัก”
“ศิษย์พี่ เป็นอะไรรึเปล่า” กังฟูถาม
“ศิษย์น้องฟังนะ ต่อให้จั่นเจาเป็นยอดจอมยุทธ แต่จั่นเจาก็เป็นผู้ชาย เจอปัญหาเรื่องความรักก็จนปัญญา เพราะใช้กระบี่ฟันก็ไม่ได้ ใช้ตัวเบาไล่จับก็ไม่ได้” บู๊ลิ้มเอ่ย
“ศิษย์พี่ลึกซึ้งยิ่งนัก” กังฟูพูด
“ศิษย์น้องถามว่าความรักคืออะไร ศิษย์พี่จะบอกให้ว่าแค่ถามก็ผิดแล้ว”
“ศิษย์พี่โปรดชี้แนะ”
“ถ้าศิษย์น้องอยากรู้จักรัก มีทางเดียว...คือต้องรัก”
กังฟูอึ้งไป
“แล้วศิษย์น้องจะไปรักใคร”
“อย่าถามหาความรัก ความรักจะมาหาเราเอง”
บู๊ลิ้มตบไหล่กังฟูให้กำลังใจแล้วเดินออกไป
“ความรักจะมาหาเราเองงั้นเหรอ” กังฟูมองที่บทงิ้ว บนหัวของแผ่นแรก มีชื่อนักแสดงนำเขียนไว้
จั่นเจา รับบทโดยกังฟู
เหลียนไฉ่หยุน รับบทโดยหลินฮุ่ย
กังฟูมองที่ชื่อหลินฮุ่ย
เมลดากับหลินหลินช่วยกันเก็บกวาดห้อง
“ขอโทษนะคะพี่เม หลินหลินเล่นมันส์เท้ามากไปหน่อย เลยเล่นซะห้องเละเทะตุ้มเป๊ะเลย” หลินหลินเอ่ย
“หลินหลินทำห้องเละก็จริง แต่หลินหลินก็มาเก็บแบบนี้ ถือว่าใช้ได้นะ ถือว่าเริ่มโตแล้ว” เมลดาว่า
“หลินหลินยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย”
“เด็กหรือผู้ใหญ่บางทีไม่ได้ดูที่อายุ เราดูที่ความรับผิดชอบ คนที่รู้จักรับผิดชอบการกระทำของตัวเองได้ ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็จะมีคนเชื่อถือเหมือนเป็นผู้ใหญ่ ตรงกันข้าม ผู้ใหญ่คนไหนทำอะไรแล้วไม่รู้จักรับผิดชอบ ก็เหมือนโตแต่ตัว ไม่มีวุฒิภาวะไม่มีคนเชื่อถือ”
“งั้นพี่เมไม่ต้องช่วย หลินหลินเก็บคนเดียวก็ได้ เพราะหลินหลินทำเละคนเดียว”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่วยกันได้”
“ขอบคุณมากค่ะ จริงๆหลินหลินพูดไปงั้นแหละค่ะ ให้หลินหลินเก็บคนเดียว หลินหลินทำไม่ไหวหรอก แหะๆ”
สองสาวหัวเราะกันเบาๆ
“เอ้า เก็บต่อ อย่ามัวเล่น ดึกแล้ว” เมลดาว่า
หลินหลินจะเก็บกรอบรูปของเมลดาที่หล่นลงมา ปรากฏว่ากระจกแตก
“หลินหลิน อันนั้นพี่เก็บเองดีกว่า เดี๋ยวเธอโดนกระจกบาด”
“ค่ะ”
หลินหลินเดินไปเก็บกวาดที่อื่น เมลดาเขยิบมาไปหยิบกรอบรูปที่หล่นลงมาแตก แล้วเมลดาก็แปลกใจเมื่อเห็นหนังสือเล่มหนึ่งซ่อนอยู่หลังกรอบรูป
เมลดาหยิบออกมาดู เป็นตำราเล่มหนึ่ง เก่ามาก หน้าปกเขียนด้วยลายมือไม่สวย
“ตำรามวยพหุยุทธ” เมลดาอ่าน
ดึกแล้ว เมลดาออกมานั่งที่ดาดฟ้านอกห้องคนเดียว ถือหนังสือตำรามวยออกมาดู
“นี่มันเขียนเองด้วยมือทั้งเล่มเลยนี่นา” เมลดาเอ่ย เธอเปิดทีละหน้าอย่างระมัดระวัง แต่ละหน้าเป็นรูปนักมวยในท่าต่างๆ บางหน้าเป็นนักมวยคนเดียว บางหน้าเป็นรูปนักมวยสองคน กำลังต่อสู้กัน มีชื่อแม่ไม้หรือท่ามวยกำกับในแต่ละหน้าด้วย
“นรสิงห์เหยียบมาร...นนทุกข์ชี้นิ้ว...ครุฑยุดนาค...หนุมานต้องลม...กุมภกรรณซัดหอก...ท่ามวยอะไรเนี่ย ไม่เคยได้ยินชื่อเลย” เมลดาอ่าน
เมลดาหลับตานึกทบทวนอยู่ครู่ใหญ่
“ตอนนั้น…”
ภาพในความทรงจำของเมลดาผุดขึ้นมา ขณะนั้นเมลดาซ้อมมวยเสร็จ นั่งคุยกับชนะ
“พ่อได้ข่าวที่เขาจะจัดแข่งมวยไทยปะทะมวยจีนรึเปล่าคะ” เมลดาเอ่ย
“อ่านเจอในหนังสือพิมพ์เหมือนกัน” ชนะว่า
“พ่อว่าใครชนะ” เมลดาถาม
“จะไปรู้เหรอ มวยไทยส่งใครลงแข่งพ่อยังไม่รู้เลย ยิ่งมวยจีนพ่อยิ่งไม่รู้จักเข้าไปใหญ่” ชนะพูด
“พ่อว่ามวยไทย มวยจีน คาราเต้ ยูยุตสึ ใครเก่งที่สุดคะ”
“เอามาเทียบกันไม่ได้หรอกลูก ศาสตร์แต่ละอย่างมันกว้างไกลลึกซึ้งทั้งนั้น เอาแค่มวยไทยเองก็ยังต้องถามอีกว่ามวยไทยแบบไหน” ชนะว่า
“หา มีแบบอื่นด้วยเหรอคะ”
“มวยไทยแบบที่พ่อสอนเธอน่ะ เป็นมวยไทยแบบกีฬา มีกติกา มีเรื่องกฎการให้คะแนนแพ้ชนะ ส่วนมวยไทยเมื่อก่อนเรียกว่ามวยไทยพหุยุทธ อันนั้นไว้ในการต่อสู้ในสนามรบเอากันถึงตาย”
“ โห พ่อสอนหนูหน่อยสิคะ”
“มวยไทยพหุยุทธน่ะอันตรายมาก เด็ดขาดและโหดเหี้ยม แต่ก็ฝึกยากสุดๆ ... อย่าเพิ่งไปสนใจเลย เอาพื้นฐานให้ดีก่อนเถอะ ทุกวันนี้ฝีมือเธอยังไม่ได้เรื่องเลย”
เมลดาหัวเราะแหะๆ
กลับมาที่ปัจจุบัน เมลดามองคัมภีร์ในมือเธอ
“มวยไทยพหุยุทธน่ะอันตรายมาก เด็ดขาดและโหดเหี้ยม” เสียงของชนะดังขึ้นมาในหัว
เมลดาดูรูปในคัมภีร์ นึกถึงตอนที่สู้กับมิเชลแล้วสู้ไม่ได้ เธอเปิดคัมภีร์ดูอย่างตั้งใจ
กังฟูกำลังรำหมัดแปดทิศให้พายุดูในบ้านร้างแห่งหนึ่ง
“ใช้ได้ กังฟู ทำได้ดี แปลว่าซ้อมมาหนักเหมือนกันใช่มั้ยเนี่ย” พายุว่า
“เป็นเพราะศิษย์พี่ชี้แนะ”
“แต่อั๊วเพิ่งรู้ว่าพวกของไอ้เต๋า มันใช้อาวุธด้วย อั๊วกลัวว่าลื้อจะ…”
“ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ศิษย์น้องเมื่อรับปากย่อมทำตามที่พูด ศิษย์น้องจะเป็นเกราะเลือดเนื้อให้ศิษย์พี่ ไม่ให้คมอาวุธโดนศิษย์พี่แม้แต่น้อย แม้ตายก็ขอใช้ร่างกายหนีบอาวุธของพวกมันให้ศิษย์พี่ปลอดภัย” กังฟูเอ่ย
พายุตื้นตันใจมาก
“กังฟู ... ลื้อกล้าหาญจริงๆ อั๊วพูดอะไรไม่ออก” พายุเอ่ย
“อาจารย์แม่มีบุญคุณกับศิษย์น้อง ศิษย์น้องต้องตอบแทนด้วยชีวิต” กังฟูว่า
“ดี...พูดได้ดี…”
พายุน้ำตาคลอ จับมือกังฟู
เนตรนภารินเหล้าให้ติงลี่
“ขอบใจ” ติงลี่เอ่ย
“ป๋าขา ป๋าไม่ยกพวกไปตีกับเสี่ยเต๋าไม่ได้เหรอ” เนตรนภาถาม
“ไม่ได้ อยู่วงการนี้เราไม่ตีเขา เขาก็มาตีเรา” ติงลี่พูด
เนตรนภาท่าทางไม่เห็นด้วย มีเสียงเคาะประตู
“ดึกป่านนี้ ใครมาอีกวะ...เข้ามา”
คนที่เข้ามาคือพายุ พายุมองติงลี่ แล้วมองเนตรนภา ยิ้มให้ เนตรนภาเมิน
“พายุ ลื้อย้อนกลับมาทำไม” ติงลี่ถาม
“ผมมีเรื่องขอร้องเฮียครับ”
“มีอะไรว่ามาเลย เราไม่ใช่คนอื่นไกล”
“เรื่องเสื้อเกราะ”
“ทำไม”
“ผมขอสองตัว”
ติงลี่ชะงัก
“ลื้อรู้มั้ยเสื้อเกราะนี่ตัวเท่าไหร่ รู้มั้ยมันเป็นของผิดกฎหมาย รู้มั้ยว่ายากแค่ไหนกว่าจะได้มา รู้มั้ยว่ามันไม่พอกับพี่น้องของเรา”
“ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็น แต่ผมขอสองตัว”
“ลื้อจะเอาไปให้ใคร”
“ให้คนสำคัญของผม”
ติงลี่เงียบ มองหน้าพายุ ชั่งใจ
“ได้ ถึงวันลงมืออั๊วจะให้ลื้อสองตัว”
“ขอบคุณเฮียติงลี่ ผมจะไม่ทำให้เฮียผิดหวังเลย ขอบคุณมากครับ”
พายุเดินออกไปจากห้อง
“หนูไม่ชอบลูกน้องของป๋าคนนี้เลย เอาของสำคัญแบบนั้นไปให้ใครก็ไม่ยอมบอก” เนตรนภาเอ่ย
“เอาไปให้ใครก็เรื่องของมัน สำคัญที่ถึงเวลาสู้ มันสู้ให้เราเต็มที่ก็พอแล้ว เมื่อกี้เห็นสายตาที่มันมองอั๊วไหม มันตื้นตันใจมาก ซื้อใจมันได้เสื้อเกราะสองตัวยังถูกไปด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆ”
กังฟูเดินถือถุงซาลาเปาถุงใหญ่มาที่โรงเจ เด็กๆเห็นเข้าก็ยิ้มแป้น วิ่งมาหากังฟู พูดกันเซ็งแซ่
“เฮียกังฟู หายไปไหนตั้งหลายวัน...เขาบอกเลิกขายซาลาเปาแล้วเหรอ...แล้วทำไมวันนี้เอามาเยอะจัง แต่เยอะแค่ไหนก็กินหมดนะ ฮ่าๆๆ
กังฟูกอดๆเด็กด้วยความเอ็นดู
“ถามเป็นปืนกลเลย เฮียตอบไม่ทัน เอ้า ฟังนะ เฮียเลิกขายซาลาเปาแล้ว แต่ถ้าทุกคนยังทำตัวน่ารักกันอยู่ เฮียก็จะทำซาลาเปามาแจกไปเรื่อยๆแบบวันนี้ไง นี่เห็นมั้ยเยอะแยะเลย ... แต่อีกไม่กี่วันเฮียต้องไปทำงานสำคัญและอันตรายมาก ถ้าเฮียกลับมาอีกไม่ได้ ทุกคนสัญญากับเฮียนะว่าจะเป็นเด็กดี เชื่อฟังอาเหล่าโกวที่โรงเจ ตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่ยุ่งเกี่ยวยาเสพติด โตไปไม่โกง สัญญากับเฮียก่อนนะ”
“สัญญาค่ะ,ครับ” เด็กๆ ว่า
“ดีมาก อ้ะ เอาซาลาเปาไป”
กังฟูยื่นถุงซาลาเปาให้ เด็กที่รับถุงมาวิ่งตื๋อไป เด็กๆเฮวิ่งไปรุมซาลาเปา เหลือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไม่ไป หันมาหากังฟู
“ว่าไงมะลิ”
“เฮียกังฟูจะไปทำงานอันตรายเหรอ ไม่ทำได้มั้ยคะ” มะลิว่า
“ไม่ได้หรอกจ้ะ ยังไงก็ต้องทำ”
“งั้นมะลิขอให้เฮียกังฟูปลอดภัยนะ อย่าเป็นอะไรนะ”
“ขอบใจมะลิมากครับ”
เด็กหญิงชูแขนสองข้าง กังฟูยิ้ม อุ้มขึ้นมา เด็กหญิงจุ๊บแก้มกังฟู กังฟูยิ้มจุ๊บคืน แล้วอุ้มเดินไปหาเด็กที่รุมซาลาเปา
ฮูหยินกับคนงานช่วยกันตากผ้าของคนในโรงงิ้ว ฮูหยินก้มตัวทุบขาตัวเองตุ้บๆ
“เฮ้ย เมื่อยจังโว้ย” ฮูหยินบ่น
กังฟูเดินมาหา
“อาจารย์แม่ อยู่เฉยๆนะ” กังฟูบอก
“อะไรของลื้อวะกังฟู...เฮ้ยๆๆ ลื้อจะทำอะไรวะ ปล่อยนะโว้ย ปล่อยๆๆ”
กังฟูช้อนสะโพกอุ้มฮูหยินเดินกลับเข้ามาในร่ม วางลงที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง
“ลื้อจะทำอะไร”
“ได้ยินอาจารย์แม่บ่นเมื่อยไม่ใช่เหรอครับ”
กังฟูหยิบม้าวางขามาวาง จับขาฮูหยินวางพาด ล้วงขวดน้ำมันจีนออกมา เทใส่ฝ่ามือ นั่งยองๆแล้วนวดขาให้ฮูหยิน
“อะไรของลื้อวะเนี่ย”
“สบายไหมล่ะครับ”
กังฟูบรรจงนวดให้ ฮูหยินเคลิ้ม
“อา...สบายดีจัง”
“ศิษย์ขอโทษ ศิษย์น่าจะทำให้อาจารย์แม่แบบนี้ทุกวันตั้งนานแล้ว”
“อั๊ยย่า ทำทุกวันได้ไงวะ เสียเวลาทำมาหากิน ว่าแต่วันนี้ลื้อนึกไงวะ อยู่ดีๆมาปรนนิบัติอั๊วแบบนี้”
“ก็อยากทำน่ะครับ อยากทำให้มากกว่านี้ด้วย ถ้ายังมีโอกาส”
“แปลว่าอะไรวะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
กังฟูนวดต่อไป ฮูหยินหลับตา มีความสุข กังฟูเห็นแล้วยิ้ม ยิ่งตั้งใจนวดเข้าไปใหญ่
เฮียเก้า เฮียเฉิน เฮียหลอ ต่างคนต่างถือของมาคนละอย่าง เดินมาเจอกันพอดี
“ไอ้เก้า ไอ้หลอ อั๊วว่ากำลังจะไปหาพวกลื้อพอดี” เฮียเฉินว่า
“เออ เหมือนกันเลย” เฮียหลอเอ่ย
ทั้งสามเฮียมานั่งที่โต๊ะตรงกลาง เฮียเก้าเอาถึงพลาสติกที่ถือมาวางบนโต๊ะ เปิดออก มีอาหารน่ากิน ทั้งเป็ดย่าง แฮ่กึ๊น ฮ่อยจ๊อ ฯลฯ
“นี่ อยู่ดีๆก็มีคนเอาอาหารพวกนี้วางในห้องอั๊ว ลื้อดูดิ ภัตตาคารห้าดาวด้วยนะ ใครเอามาวางก็ไม่รู้ แต่ไหนๆก็มีกับแกล้มดีเลิศขนาดนี้ อั๊วก็เลยจะชวนพวกลื้อมานั่งกินกัน” เฮียเก้าว่า
กังฟูมองอยู่ห่างออกไป
“อาจารย์เก้า ศิษย์มีปัญญาหาได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้ โปรดรับคารวะจากศิษย์ด้วย” กังฟูคุกเข่าคารวะเฮียเก้า
เฮียหลอหยิบขวดเหล้าจีนขวดใหญ่ออกมา
“เออ อั๊วก็ได้โว้ย นี่ดู เหล้ายาจีนชั้นเยี่ยมเลย อั๊วดมแล้ว มีทั้งโสม ถั่งเช่า แล้วก็สมุนไพรหายากอีกหลายตัว สุดยอดทั้งนั้น เลยเอามาเผื่อพวกลื้อด้วย” เฮียหลอว่า
“อาจารย์หลอ ขออภัยด้วย ให้เหล้าเท่ากับแช่ง ศิษย์เลยให้เป็นเหล้ายาแทน หวังให้สุขภาพของอาจารย์แข็งแรง อายุยืนนาน” กังฟูคารวะเฮียหลอ
เฮียเฉินก็หยิบม้วนวีดีโอออกมาสิบม้วน กระซิบกระซาบ
“ของอั๊วเจอไอ้นี่โว้ย ... ชีๆแปะแป๊ะ... ลื้อดูหน้าปกซะก่อน คนนี้ไออิจิมา คนนี้มาโดกะ สุดยอดทั้งนั้นเลย หาซื้อยากมาก ขนาดร้านเจ๊โอ๋ยังไม่มี เดี๋ยวกินเสร็จแล้วเราไปดูกันนะ” เฮียเฉินโชว์ของในถุงให้ดู
“อาจารย์เฉิน ศิษย์ละอายใจนักให้ของพรรค์นี้แก่ท่าน ศิษย์ลำบากใจจริงๆ เพราะศิษย์ซื้อให้ท่านทั้งที่ศิษย์ก็อยากดูก่อนใจแทบขาด แต่เสียดายที่ไม่มีโอกาส ...ไม่ใช่อะไร ศิษย์กลัวข้างในไม่ตรงปก ทำให้อาจารย์ขุ่นเคือง” กังฟูว่า
อาจารย์ทั้งสามแกะของกิน เปิดขวดเหล้า โซ้ยกันแล้ว และ พยายามเอาเนื้อเทปวีดีโอมาส่องไฟดูแบบส่องรูปสไลด์ ท่าทางมีความสุขมาก
“อาจารย์ทั้งสาม พวกท่านเหมือนพ่อของศิษย์ ศิษย์ขอจดจำพระคุณพวกท่านไปชั่วชีวิตนี้” กังฟูยิ้มดีใจ ก่อนก้มลงคารวะหัวจรดพื้น เนิ่นนาน
อาจารย์ทั้งสามเฮฮากันโดยไม่รู้อะไร
วันใหม่ เมลดากำลังปัดกวาดเช็ดถูห้องเช่าอยู่
กังฟูเดินถือถุงพลาสติกมาใบหนึ่ง มาหยุดยืนอยู่ข้างนอก กำลังจะเคาะประตูเรียก แต่ก็เปลี่ยนใจ ยืนเฉยๆดูเมลดาทำนู่นทำนี่ แล้วกังฟูก็แขวนถุงพลาสติกที่ถือมาที่ประตู
“คุณเม โชคดีนะครับ ลาก่อน” กังฟูพูดเบาๆ กำลังจะเดินออกไป แต่เมลดาบังเอิญหันมาเห็นเข้าเสียก่อน
“กังฟู” เมลดาเรียก
กังฟูหันกลับมา ยิ้มให้
“สวัสดีครับ” กังฟูทักทาย
“มาหาฉันเหรอ” เมลดาถาม
“ครับ แต่พอดีเห็นคุณเมยุ่งๆอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวน” กังฟูบอก
เมลดาไม่เป็นไรหรอก มีอะไรเหรอ
กังฟูทำหน้าพิกล
“จริงๆแล้วก็ไม่มีธุระอะไร แค่เอาของกินอร่อยๆมาฝากน่ะครับ”
“ของกินของนายน่ะอร่อยก็จริง แต่ทะลึ่งทุกที วันนี้ทะลึ่งอีกป่ะเนี่ย”
“ไม่เลยครับ เจ้านี้อร่อยจริงๆนะครับ ไม่ได้ขายทุกวันด้วย”
“อะไรเหรอ”
กังฟูหยิบถุงพลาสติกส่งให้
“กะหรี่ปั๊บบิ๊กบึ้มครับ”
เมลดาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนรับถุงพลาสติกมา
“ฉันจะพยายามเชื่อว่านายไม่ได้ลามก...ขอบคุณมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับ...งั้น ผมกลับก่อนนะครับ”
“เอ่อ...จะกลับเลยเหรอ มีธุระอะไรด่วนเหรอไง”
“ไม่มีอะไรด่วนหรอกครับ เอ่อ…”
“งั้น…”
กังฟูกับเมลดาอึกอักๆกันไปครู่หนึ่ง
“บ๊ายบายครับ”
เมลดาหน้าเจื่อน
“ค่ะ”
กังฟูเดินจากมา เมลดามองตามไปจนกังฟูเดินลับตาไป
เมลดาหน้าจ๋อยๆ เดินกลับเข้าบ้านไปทำความสะอาดต่อ
กังฟูหยุดมองกลับเข้าไปที่บ้านของเมลดา
“ฟ้าดินเป็นพยาน คุณเม ถ้าผมไม่ตาย ผมจะกลับมาจีบคุณ"
กังฟูหันหน้าเดินต่อไปตามทางของเขา
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 6 (ต่อ)
ตกกลางคืน ที่หน้าไนท์คลับของติงลี่ มีป้ายแขวนไว้ เขียนว่า “ปิด 1 วัน” ส่วนภายในร้าน ลูกน้องติงลี่ เตรียมตัวพร้อมลุยกันเกือบยี่สิบคน มีพายุรวมอยู่ด้วยโดยที่ทุกคนเปลือยท่อนบน
ลูกน้องเข้าแถวไปหยิบเสื้อเกราะกันคนละตัว จนถึงคิวพายุ พายุมองหน้าติงลี่แล้วหยิบไปสองตัว ติงลี่ไม่ว่าอะไร
พวกลูกน้องของติงลี่ใส่เสื้อเกราะกัน เนตรนภามองติงลี่กับพวกลูกน้องด้วยความเป็นห่วงกังวล เมื่อลูกน้องใส่เสื้อกันเสร็จ ติงลี่ยืนเด่นบนเวทีต่อหน้าลูกน้อง
“วันนี้ พวกเราทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อร่วมเดิมพันชีวิตกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ วันนี้เราจะประกาศศักดิ์ศรีของเรา วันนี้ เราจะถล่มแก๊งค์ไอ้เต๋า”
ลูกน้องเฮ
“ไม่มีคำว่าลังเล ไม่มีคำว่าถอย ไม่มีคำว่าแพ้ มีแต่ตายหรือไม่ก็ชนะ เท่านั้น” ติงลี่พูดต่อ
ลูกน้องเฮ
พายุยืนอยู่แถวหลัง แอบหลบออกไป
พายุออกมาเจอกังฟูที่ตรอกข้างไนท์คลับ กังฟูยืนรออยู่แล้ว
“พร้อมมั้ยศิษย์น้อง” พายุถาม
“พร้อมครับ” กังฟูว่า
“อ้ะ อั๊วเอามาให้ เอาไปใส่ซะ” พายุบอก ก่อนยื่นเสื้อผ้าให้กังฟู กังฟูรับมาคลี่ดู เป็นเสื้อผ้าธรรมดาชุดหนึ่ง
“นี่คือชุดที่พวกลูกน้องเฮียติงลี่ใส่กัน ลื้อใส่แบบพวกมันนั่นแหละ แล้วปลอมตัวไปช่วยอั๊วลุย คนจะได้ไม่ผิดสังเกต” พายุเอ่ย
“เข้าใจครับ”
“อย่าทะลึ่งทำอะไรมีพิรุธล่ะ อั๊วไม่อยากให้เฮียเขารู้ว่าอั๊วพาคนนอกเข้ามาช่วย” พายุว่า
กังฟูพยักหน้าเข้าใจ
“เต็มที่นะกังฟู อย่านะว่าเราทำเพื่อใคร” พายุพูด
“ศิษย์น้องไม่ลืมครับ”
กังฟูเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาสวนเสื้อผ้าของลูกน้องติงลี่
เนตรนภามองดูวิวอยู่ที่ริมหน้าต่างในห้องมุมังกร ระหว่างนั้น ประตูห้องเปิดออก เนตรนภาไม่ทันรู้ตัว คนที่เข้ามาคือพายุ
พายุกระแอมเบาๆ เนตรนภาสะดุ้ง หันมา
“คุณเข้ามาทำไม” เนตรนภาถาม
“ผมคิดถึงคุณครับคุณเนตรนภา” พายุเอ่ย
“คิดถึงฉัน จะขี้หลีไปไหน ลืมแล้วเหรอไงว่าฉันเป็นใคร”
“คุณต่างหากที่ควรจะถามตัวเองว่าคุณเป็นใคร”
“ฉันเป็นเมียนายคุณไงล่ะ ชัดเต็มรูหูดีมั้ยคะ”
“เข้ารูหูทะลุไปถึงหัวใจ แต่ขอโทษเถอะ ผมไม่เห็นว่าผัวอย่างเฮียติงลี่เขาจะห่วงใยอะไรเมียอย่างคุณเลย... แต่ผมห่วง”
พายุยื่นเสื้อเกราะให้เนตรนภา
“คุณคือคนสำคัญของผม สวมเสื้อเกราะนี่ซะ” พายุว่า
“ฉันไม่ได้ออกไปรบด้วย ไม่จำเป็น”
“โบราณว่าทำการศึกไม่เบื่ออุบาย ใครๆก็รู้ว่าตอนนี้คุณคือเมียเฮียติงลี่ ถ้าพวกนั้นส่งคนมาจับคุณเป็นตัวประกัน หรือฆ่าคุณเพื่อเอาคืนแล้วจะเป็นยังไง ... เคยคิดเรื่องนี้บ้างไหม” พายุถาม
เนตรนภาเงียบไป
“เรื่องนี้คนฉลาดอย่างเฮียติงลี่คงคิดได้อยู่แล้ว แต่เขาอาจจะไม่แคร์” พายุพูดต่อ
เนตรนภาชะงัก มองหน้าพายุ
“แต่ผมแคร์ ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ศึกคืนนี้อันตรายที่สุด และผมก็อยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงที่สุดด้วย แต่ผมก็ไม่ห่วงตัวเองเท่าห่วงคุณหรอกครับ” พายุเอ่ย
เนตรนภาไม่พูดอะไร แต่ดวงตาหวั่นไหว
พายุกับกังฟูกลับเข้ามาในห้อง ติงลี่ก็ยังคงพูดอย่างดุเดือด
“สองมือเปล่าของเราจะเอาชนะสนับมือของมัน เพราะพวกเราคือจอมยุทธที่แท้จริง ... กลัวพวกมันไหม”
“ไม่กลัว” ลูกน้องตอบ
“ดีมาก ... ลุย” ติงลี่ชูกำปั้นบุก
พวกลูกน้องเฮรับเสียงดังสนั่น
รถตู้สามคันวิ่งมาจอดริมถนน ติงลี่กับพวกลูกน้องลงจากรถ ข้างกายติงลี่มีที่ปรึกษาด้วย เบื้องหน้าพวกเขาคือโรงงานของเฮียเต๋า
“หัวธนู!” ติงลี่เอ่ย
พายุ กับลูกน้องกำยำของติงลี่อีก 2 คน ออกมายืนข้างหน้ากลุ่ม
“พวกลื้อนำพวกเราจู่โจมทันที หน้าที่พวกลื้อคือตะลุยไปให้ถึงตัวไอ้เต๋าให้เร็วที่สุด แล้วฆ่ามันซะ”
พายุกับลูกน้องทั้งสองรับคำ
พายุเหลือบตามองมาที่กังฟูที่ปะปนอยู่ในกลุ่มลูกน้องติงลี่ กังฟูพยักหน้าให้
ติงลี่หันมาสั่งกับลูกน้องที่เหลือ
“พวกที่เหลือ ลุยเต็มที่ อย่าปล่อยให้ใครไปช่วยไอ้เต๋า”
ลูกน้องพยักหน้า
“รวดเร็ว เงียบกริบ ตีมันแบบไม่ให้มันตั้งตัว...ลงมือ!” ติงลี่สั่ง
พวกติงลี่พากันเคลื่อนเข้าประชิดโรงงานของเฮียเต๋า
ที่ด้านนอก พนักงานชายคนหนึ่งกำลังตรวจกล้องวงจรปิดหน้าโรงงาน ที่ออฟฟิศของเฮียเต๋า เซลส์แมนกำลังคุยกับเฮียเต๋า โดยมีลูกน้องประกบเฮียเต๋าอยู่ 2 คน
“เฮงซวย กล้องวงจรปิดของบริษัทลื้อมันเฮงซวย ตอนมาขายของโม้น่าดู ไหนบอกเป็นสินค้าแห่งอนาคต อีกหน่อยที่ไหนๆก็มีใช้กัน แล้วทำไมอั๊วใช้ได้แค่วันเดียวก็เจ๊งแล้ววะ” เฮียเต๋าว่า
“กล้องวงจรปิดของเราคุณภาพเยี่ยมมาก ถ้าลูกน้องเฮียไม่ไปถอดชิ้นส่วนเอาผงซักฟอกไปล้างทำความสะอาดแบบนั้น มันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้านะครับ” เซลล์เอ่ย
“อ้าว อั๊วเป็นคนบอกให้มันทำเองแหละ ถ้าไม่ถอดออกมาแล้วจะล้างเลนส์ยังไงวะ แล้วไม่ได้ใช้ผงซักฟอกนะโว้ย ใช้น้ำยาล้างจานโว้ย อย่างดีด้วย ล้างทั้งด้านนอกด้านในใสกิ๊งเลย ภาพมันจะได้ชัดๆ อั๊วผิดเหรอวะ ก็ไหนลื้อคุยว่าตากแดดตากฝนได้” เฮียเต๋าว่า
เซลส์ชักยัวะ
“ตากแดดตากฝนได้ แต่อย่าถอดชิ้นส่วน ฟังเข้าใจมั้ย” เซลล์พูด
เต๋าตบโต๊ะเปรี้ยง หยิบปังตอออกมา ชี้หน้าเซลส์
“ลื้อด่าอั๊วเหรอ ลื้อกล้าด่าอั๊วเหรอไอ้เวรนี่ เบื่อชีวิตหรือไงวะ หา อั๊วจะสับลื้อเป็นท่อนๆเดี๋ยวนี้แหละ เอาไง”
เซลส์รีบยกมือไหว้
“ขอโทษครับเฮีย ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”
“แล้วหมายความว่ายังไง ไหนลื้อบอกมาให้ชัดๆเด๊ะ อั๊วเอากล้องวงจรปิดลื้อไปล้างน้ำยาล้างจานแล้วเจ๊งเนี่ย สรุปว่าใครผิดวะ”
“ผมผิดเองคร้าบ”
เฮียเต๋าเก็บปังตอ
“เออ พูดจามีเหตุผลแบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย แล้วซ่อมเสร็จรึยังวะเนี่ย”
“น่าจะเสร็จแล้วครับ”
เซลส์มองเฮียเต๋าแบบกลัวๆ ขยับมาเปิดทีวี มีภาพจากกล้องวงจรปิดสี่ตัวขึ้นมา เป็นภาพมุมต่างๆของโรงงานเต๋า
“เรียบร้อยแล้วครับ ภาพแจ่มแจ๋วครับ” เซลล์ว่า
เฮียเต๋าดูภาพด้วยความพอใจ
“เออ ซ่อมเสร็จเร็วดี ... แต่ในเมื่อเมื่อกี้ลื้อก็พูดเองว่าลื้อเป็นฝ่ายผิด นอกจากอั๊วไม่ต้องจ่ายค่าซ่อมแล้ว ลื้อยังต้องชดใช้ให้อั๊วด้วย” เฮียเต๋าพูด
เซลส์ตะลึง พูดไม่ออก ไม่นึกว่าเฮียเต๋าจะมาไม้นี้
“เอ่อ”
เฮียเต๋ายิ้มเจ้าเล่ห์ แต่ระหว่างนั้น ตาหันไปเห็นภาพในจอวงจรปิดพอดี
“..เอ๊ะ แล้วพวกนี้ใครวะ ลูกน้องลื้อรึเปล่า”
เต๋าชี้ไปที่ภาพภาพหนึ่ง เห็นพวกติงลี่กำลังย่องปีนกำแพงบุกเข้ามา
“ไม่ใช่ครับ” เซลล์ว่า
เต๋าเพ่งดู
“หน้าเหมือนไอ้ติงลี่...ไอ้ติงลี่จริงๆด้วย” เฮียเต๋าชักปังตอออกมา ตะโกนสั่งลูกน้อง
“เฮ้ย ไอ้ติงลี่บุกโว้ย”
พวกหัวธนูทั้งสามคนวิ่งย่อตัวเข้ามา เจอยามคนหนึ่งยืนกำลังพยายามจุดบุหรี่อยู่
พายุหันกลับไป เห็นติงลี่อยู่ด้านหลังกำลังมองมา พายุวิ่งพรวดแซงหัวธนูอีกสองคน รวบกำปั้นต่อยออกที่จุดชีวิตของยาม ยามล้มลงทันที พายุยิ้มภูมิใจ
หัวธนูทั้งสามพุ่งต่อไป แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อเจอกลุ่มลูกน้องเฮียเต๋าแห่กันออกมา เฮียเต๋าที่บัญชาการอยู่ด้านหลังตะโกนลั่น
“ฆ่ามัน”
ลูกน้องเฮียเต๋าเฮ วิ่งเข้ามา
ติงลี่หน้าเขียวคล้ำ เจ็บใจที่เฮียเต๋ารู้ตัว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากสู้ตาย ตะโกนลั่น
“ฆ่ามัน” เฮียติงลี่ตะโกนบ้าง
พวกติงลี่เฮ วิ่งเข้าไปหาลูกน้องเต๋า พวกหัวธนูอยู่ส่วนหน้าอยู่ล้ำหน้าเพื่อนมาเยอะ เลยโดนพวกเต๋ารุม ลูกน้องเต๋าวิ่งเข้ามา จะอัดพายุ ตอนนั้นเอง มีร่างร่างหนึ่งวิ่งแซงทุกคน กังฟูนั่นเอง
พายุรับมือลูกน้องเต๋าคนหนึ่ง แต่มีอีกสองคนบุกเข้ามาพร้อมกัน
“ย้าก”
พายุต่อยลูกน้องเต๋าคนแรก ถีบลูกน้องเต๋าคนที่สอง แต่คนที่สองกลับกอดขาพายุเอาไว้ จนพายุเซ ลูกน้องเต๋าคนที่สามเงื้อหมัด เห็นสนับมือติดมีดเงาวับ ต่อยลงมา
กังฟูพรวดเข้ามาแทรก กันหมัดไว้ได้
“เพลงหมัดแปดทิศ” กังฟูโหมต่อยลูกน้องเต๋าคนที่สามกระเด็นไป
พายุพยายามดึงขากลับ แต่ลูกน้องสองกอดไว้แน่น ดึงจนพายุล้มลง
“ปล่อยสิวะ ไอ้บ้าเอ๊ย” พายุพยายามทั้งถีบทั้งเตะสารพัด แต่ลูกน้องสองกอดไม่ปล่อย
ลูกน้องคนอื่นจะรุมพายุ กังฟูเข้ามาแทรก ต่อยกระเด็นไปอีกคนนึง แต่กลับโดนไปอีกหลายหมัด
กังฟูร้องลั่น แต่กัดฟันบุกต่อยกลับไป
พายุสลัดหลุดจากไอ้คนที่กอดขาได้แล้ว มองไปเห็นเฮียเต๋าอยู่ด้านหลังสุด
“กังฟู ตามอั๊วมา” พายุว่า
พายุพุ่งไปหาเฮียเต๋า เจอพวกลูกน้องเฮียเต๋าบุกเข้ามา
กังฟูตามมาขวาง ทั้งต่อยลูกน้องเต๋าออกไป แต่ก็โดนต่อยโดนเตะหลายมัด
เฮียเต๋าเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็เริ่มถอย วิ่งขึ้นไปชั้นสอง พายุตามมา ลูกน้องเฮียเต๋าสองคนที่คอยประกบอยู่มาขวางหน้า แล้วทั้งสองก็รุมพายุ
กังฟูซึ่งตอนนี้เลือดโชกแล้วกระโดดเข้ามาขวาง พายุถอย ปล่อยให้กังฟูรับมือตามลำพัง กังฟูโดนหมัดลูกน้องเต๋าทั้งสองจนแทบร่วงแต่ยังตั้งสมาธิ กำหมัดไว้แน่นไม่ปล่อย โดนต่อยโดนเตะ จนในที่สุดเห็นช่องว่างก็จู่โจมออกไป ต่อยสวนโครม หมัดเดียว ลูกน้องหนึ่งคนร่วงลงกองกับพื้น แต่ลูกน้องอีกคนก็ซัดกังฟูกระเด็น แล้วจะไปหาพายุ กังฟูกลับพุ่งมาตามพัวพัน
ห่างออกไป ติงลี่ยืนดูภาพรวมอยู่ โดยมีอาเฮียที่ปรึกษายืนอยู่ใกล้ๆ อาเฮียที่ปรึกษากับติงลี่มองที่พายุกับกังฟู
ขณะนั้น กังฟูพัวพันลูกน้องไว้
“ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง รีบไปกำจัดหัวหน้าวายร้ายซะ” กังฟูเอ่ย
“เก่งมากศิษย์น้อง” พายุวิ่งตามเต๋าไป
ลูกน้องเฮียเต๋าร้อนใจ หันมาระดมต่อยเตะใส่กังฟูจนหมอบ ลูกน้องเหนื่อยหยุดหอบ จะวิ่งตามพายุไป แต่กังฟูกลับลุกขึ้นมาได้
“ไอ้นี่...ฝึกวิชาโคตรอึดมาจากไหนเนี่ย” ลูกน้องเฮียเต๋าว่า
“เปล่า...จะตายอยู่แล้วเนี่ย แต่แข็งใจลุกขึ้นมา”
ลูกน้องนึกว่ากังฟูกวนตีน ระดมต่อยเตะอีกยก กังฟูอดทน กำหมัดแน่น จนในที่สุดก็เห็นช่อง ในจังหวะที่ลูกน้องก็เงื้อหมัดเช่นกัน
“เพลงหมัดแปดทิศ” กังฟูต่อยเปรี้ยงเข้าลิ้นปี่ ลูกน้องตัวงอ หมัดที่ง้างหยุดค้างกลางอากาศ ลูกน้องมองหน้ากังฟูอย่างไม่เชื่อสายตา
“ลื้อใช้เพลงหมัดแปดทิศสยบอั๊วได้ยังไงวะ”
ลูกน้องล้มโครม กังฟูก็ล้มตาม
ลูกน้องติงลี่ตำแหน่งหัวธนูอีกคนหนึ่งวิ่งมาถึง ก้มมองเห็นทั้งคู่นอนหมดสติก็วิ่งตามพายุกับติงลี่ไป
ไกลออกไป ที่ปรึกษากับติงลี่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เฮียเต๋าวิ่งมาตามทาง โดยมีพายุไล่กวดตามมาติดๆ เฮียเต๋าวิ่งมาถึงประตูทางหนีไฟแล้ววิ่งออกไป พายุตามมา เฮียเต๋าวิ่งลงบันไดหนีไฟ เมื่อหันมาเห็นพายุตามลงมา ก็เอาปังตอคู่มือเขวี้ยงใส่พายุ พายุยกมือปัดปังตอหล่นพื้นแถวนั้น
พายุเดินตรงไปหาเต๋า
“หยุด” เฮียเต๋าว่า
พายุหยุดมองเต๋า
“ลื้อมีอะไรสั่งเสียก่อนตายมั้ย” พายุถาม
เต๋าถอดสร้อยทองคำตัวเองออกมา เส้นใหญ่เบ้ง
“สร้อยทองแท้ หนักยี่สิบบาท ถ้าลื้อยอมปล่อยอั๊ว ลื้อเอาสร้อยนี่ไป” เฮียเต๋าว่า
“งั้นอั๊วจะฆ่าลื้อแล้วค่อยเอาสร้อยมาเป็นของอั๊วก็ได้” พายุบอก
“ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่สุดอั๊วก็รู้แล้วว่าลื้อจะเอาทอง ไม่ใช่ไม่เอา” เฮียเต๋าหัวเราะ
“แล้วไงวะ” พายุถาม
“ถ้าลื้อฆ่าอั๊ว อั๊วจะโยนสร้อยนี่ลงไปซะ” เฮียเต๋าทำท่าจะเหวี่ยงสร้อยออกไปลงคลองที่อยู่ข้างล่าง “ลื้อมันเจ้าเล่ห์จริงๆ” พายุมองหน้าเต๋า สลับกับมองสร้อยทองในมือ
“ลื้อฆ่าอั๊วตาย ไอ้ติงลี่อย่างมากก็ให้เหล้าลื้อขวดนึง สู้ทองยี่สิบบาทนี่ไม่ได้หรอก” เฮียเต๋าว่า
“ถ้าอั๊วปล่อยให้ลื้อหนีไป จะไปแก้ตัวกับติงลี่ยังไง” พายุถาม
“ท่าทางลื้อเป็นคนฉลาด คิดเองได้อยู่แล้ว ตกลงแล้วใช่มั้ย”
เฮียเต๋าโยนสร้อยทองออกไป แล้วตัวเองก็วิ่งหนีลงไป
พายุพุ่งตามไปคว้าสร้อยทันก่อนที่มันจะตกลงไปข้างล่าง เมื่อพายุมองลงไปก็ไม่เห็นวี่แววเต๋าแล้ว
“หายไปไหนแล้ววะ” พายุเอ่ย แล้วมองทองในมือ
“ถ้าเป็นทองเก๊นะ อั๊วจะตามฆ่าลื้อเก้าชั่วโคตรเลย คอยดู” พายุว่า
พายุเก็บทองเข้ากระเป๋า ลูกน้องหัวธนูอีกคนวิ่งตามมาถึงพอดี
“ไอ้เต๋าล่ะ” ลูกน้องหัวธนูถาม
พายุทำหน้าผิดหวังสุดๆ
“มันหนีไปได้แล้ว” พายุว่า
“ทำไมลื้อไม่รีบตามไป” ลูกน้องหัวธนูถามต่อ
“อั๊วบาดเจ็บ...ลื้อรีบตามไปเหอะ” พายุบอก
ลูกน้องธนูวิ่งตามไป ผ่านหน้าพายุ พายุหยิบปังตอของเต๋าปาดคอลูกน้องธนู ลูกน้องธนูตะลึง หันมามองพายุ เหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษด้วย ลื้อมันซวยเอง” พายุเอ่ย
ไกลออกไปเสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้น
ติงลี่เอาสีสเปรย์พ่นหน้าโรงงานเต๋าว่า “สะใจโว้ย” ที่ปรึกษาเดินมา
“หมาต๋ามาแล้ว ถอยก่อนเถอะ” ที่ปรึกษาบอก
ติงลี่พยักหน้ารับรู้ ตะโกนสั่งลูกน้อง
“ทุกคนถอย ดูแลพี่น้องที่บาดเจ็บด้วย” ติงลี่ตะโกน
พวกลูกน้องติงลี่ที่อยู่ในโรงงานก็ถอย พวกที่บาดเจ็บก็ประคองกันออกไป เหลือแต่พวกลูกน้องเต๋าที่นอนโอดโอย
ส่วนกังฟูลุกขึ้นมาได้ในสภาพเลือดท่วมตัว ง่อกแง่กๆ มองไปรอบๆ เห็นไกลออกไป พายุเดินเหินแข็งแรงดี พายุหันมาเจอกังฟูพอดี กังฟูยกมือขึ้นทำท่าว่าโอเค พายุยักคิ้วให้ทีหนึ่ง แล้วรีบเดินจากไปเหมือนกลัวคนเห็น
กังฟูมองตามพายุไป พยักหน้าให้ตัวเอง เดินตุปัดตุเป่จะล้มมิล้มแหล่ ล่าถอยออกไปทางอื่น ปีนกำแพงออกไปตามลำพัง
พายุสีหน้าเจ็บช้ำ น้ำตาคลอ เล่าเรื่องให้ติงลี่กับที่ปรึกษาฟัง
“ผมเกือบจะได้ตัวไอ้เต๋าแล้ว แต่มันกลับเอามีดเชือดคอพี่น้องเราแล้วทิ้งเอาไว้ ผมหลงกลมันรีบไปช่วยพี่น้องเรา จนมันหนีไปได้ แต่ในที่สุดพี่น้องท่านนั้นก็ไม่รอด ... เพราะผมใจอ่อนเอง” พายุว่า
“โทษลื้อไม่ได้ ความจริงอั๊วก็พอจะเดาออกว่าลื้อคงฆ่าไอ้เต๋าไม่ได้หรอก” ติงลี่เอ่ย
“ฝีมือมันสูงมากเหรอครับ” พายุถาม
“ฝีมือไม่ต้องพูดถึง แต่มันทั้งกลอกกลิ้งและกลิ้งกลอก ลื้อเป็นคนหนุ่ม ผ่านโลกมาน้อย จุดนี้ยังสู้มันไม่ได้”
“แต่ผมเจ็บใจ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เราคงชนะแบบเด็ดขาดไปแล้ว เป็นความผิดของผม เฮียติงลี่โปรดลงโทษผมด้วย”
“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง พายุ ศึกครั้งนี้ลื้อต้องได้รับความดีความชอบมากที่สุด ลื้ออาจหาญชาญชัย บุกตะลุยเข้าไปจนคนอื่นตามไม่ทัน แล้วดูซิ บาดแผลซักเล็กน้อยก็ไม่มี ถือเป็นสุดยอดจอมยุทธตัวจริง คนอย่างลื้อ ถึงตายอั๊วก็ไม่ปล่อยลื้อไป”
“ขอบคุณเฮียติงลี่” พายุว่า
“พายุ...อั๊วสังเกตเห็นพี่น้องเราคนหนึ่ง อยู่ข้างๆตัวลื้อ เขาเป็นใคร” ที่ปรึกษาของติงลี่เอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอครับ” พายุสงสัย
“รู้สึกจะชื่อ กังฟู ใช่ไหม” ติงลี่ว่า
“กังฟูมันขอตามมาด้วย แต่มันขี้กลัว เลยเกาะอยู่ข้างๆผมตลอดเวลา” พายุบอก
“คนคนนั้นวิทยายุทธไม่สูงนัก แต่ดูคล้ายงำประกายเจิดจ้าไว้ แต่อั๊วก็ไม่แน่ใจสายตาตัวเอง อั๊วอยากเจอเขาใกล้ๆชัดๆ” ที่ปรึกษาว่า
พายุหัวเราะ
“กังฟูมันเป็นคนใช้โง่ๆ ใช้ให้เปิดทีวี ต้องสั่งมันเสียบปลั๊กให้ด้วย ไม่งั้นมันเปิดไม่ติด คนแบบนี้จะงำประกายอะไรได้ครับ” พายุเอ่ย
“ที่อั๊วเห็น คนคนนั้นเพียงใช้เพลงหมัดแปดทิศก็สู้กับยอดฝีมือได้” ที่ปรึกษาบอก
“ท่านอาดูผิดแล้ว เพลงหมัดแปดทิศไหนเลยจะต่อสู้กับยอดฝีมือได้” พายุพูด
“เออ อั๊วก็ไม่เคยได้ยิน” ติงลี่เสริม
“อืม ก็จริง งั้นอั๊วคงตาฝาด ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ที่ปรึกษาเอ่ย
“หมดเรื่องแล้ว ลื้อลงไปฉลองเถอะ บอกทุกคนรอรับรางวัลใหญ่จากอั๊วได้เลย” ติงลี่พูดกับพายุ
“ขอบคุณครับ” พายุตอบรับ
พายุเดินมาที่โถงไนท์คลับ พวกลูกน้องเห็นพายุแล้วปรบมือให้ พายุโบกมือรับ แล้วเดินมานั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง บริกรยกเครื่องดื่มกับของกินมาให้
พายุยกแก้วดื่ม เนตรนภาเดินมาหยุดยืนข้างๆ
“คุณเนตรนภา เชิญนั่งครับ” พายุเอ่ย
เนตรนภาไม่นั่ง
“ได้ยินว่าคืนนี้คุณโดดเด่นมาก เก่งกล้ากว่าทุกคน” เนตรนภาพูด
“ไม่กล้ารับ ผมแค่ทำสิ่งที่ผมถนัด ... สู้แบบไม่คิดชีวิต ก็แค่นั้นเอง” พายุว่า
เนตรนภามองพายุ มีแววตายกย่องเลื่อมใส
“ฉันเคยนึกว่าคุณเป็นคนขี้ขลาด” เนตรนภาพูด
“คุณพูดถูกแล้ว ผมขี้ขลาด...ผมขี้ขลาดในเรื่องความรัก” พายุมองเนตรนภาแบบเว้าวอน
เนตรนภาหัวเราะ “ฉันไม่เชื่อ...อ้ะ เอาคืนไป ... ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจ”
เนตรนภาคืนเสื้อเกราะให้แล้วเดินจากไป พายุรับมา แล้วก็สังเกตเห็นว่ามีรอยลิปสติกอยู่เสื้อเกราะ พายุยิ้ม เขาประกบริมฝีปากลงบนรอยลิปสติก
กังฟูเปิดประตูห้องเช่า สภาพจะตายมิตายแหล่เดินเข้าห้องมา ทำทุกอย่างโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว เพราะอีกข้างเลือดไหลโกรก เอาไว้ห้อยได้เฉยๆ
กังฟูล้มตัวนอน หายใจรวยริน หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ทำท่าเหมือนจะหลับไปแล้ว แต่แล้วกลับลืมตาขึ้น เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ กังฟูหลับตาอีกครั้ง คราวนี้เพื่อเพ่งสมาธิ ทบทวนภาพเหตุการณ์ ครุ่นคิดเรื่องการต่อสู้
อ่านต่อหน้าที่ 3
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 6 (ต่อ)
เมฆานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยความสนอกสนใจอยู่ที่ห้องอาหารจนมิเชลที่นั่งอยู่ข้างๆอดถามไม่ได้
“มีข่าวอะไรเหรอ”
“โรงงานของเฮียเต๋าโดนแก๊งค์มาเฟียถล่ม” เมฆาเล่า
“ฉันเคยได้ยินชื่อเฮียเต๋า เป็นมาเฟียแก๊งค์หนึ่ง เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพวกเรามั้ย”
“เกี่ยว...เฮียเต๋ากำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่กับเฮียติงลี่ สองคนนี้สู้กันมานาน กินกันไม่ลงพอไม่มีใครชนะเด็ดขาดเลยทำให้เกิดพวกแก๊งค์เล็กแก๊งน้อยในย่านนั้นอีกเพียบ ถ้าเราหนุนหลังใครสักคนให้เป็นผู้ชนะได้ พื้นที่อิทธิพลจะกว้างขวางขึ้นไม่ใช่แค่สองเท่า แต่เป็นทวีคูณ จะบอกว่าหนึ่งในสามของกรุงเทพก็ได้”
“แล้วคุณคิดว่าเราควรจะหนุนหลังใครดี เฮียเต๋าหรือเฮียติงลี่” มิเชลถาม
เมฆาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับมีดวงตาเจ้าเล่ห์วาววับ
“อืม ต้องไม่ใช่ทั้งสองคนนี้” เมฆาว่า
“หมายความว่ายังไง” มิเชลถาม
“เฮียติงลี่กับเฮียเต๋าสู้กันมานานแต่ไม่มีใครแพ้ชนะ จริงๆแล้วเป็นเพราะพวกมันต้องการรักษาสมดุลแบบนี้เอาไว้ ถึงฆ่าอีกฝ่ายได้ก็จะไม่ฆ่า เพราะถ้ายังมีเฮียเต๋ามีเฮียติงลี่ จะไม่มีมือที่สามเข้าไปสอดแทรกได้แน่ๆ ดังนั้นต่อให้เราเสนอตัว พวกมันก็คงไม่เอาด้วย ดีไม่ดีจะร่วมมือกันรุมเราอีก”
“แล้วเราจะทำยังไง” มิเชลถาม
“ต้องหาคนทรยศ...ล้มสมดุลนี้” เมฆาบอก
เมฆานิ่งคิดอีกครู่หนึ่งก่อนจะเรียก “สันต์”
สันต์เดินเข้ามาทันที “ครับ”
“ให้คนเข้าไปสืบข่าวแก๊งค์เฮียติงลี่กับแก๊งเฮียเต๋า แต่ละแก๊งค์มีโครงสร้างยังไง กระจายอำนาจยังไง เอาให้ละเอียดนะ”
“ครับ”
สันต์เดินออกไป เมฆามองหนังสือพิมพ์แล้วเอานิ้วเขียนวงกลมล้อมรอบรูปเฮียเต๋ากับเฮียติงลี่ที่นสพ.ลงเป็นรูปประกอบไปด้วย มิเชลมองเมฆาด้วยความเลื่อมใส
เฮียเต๋าปาหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวตีกันลงบนพื้น
“ไอ้พวกนักข่าวงี่เง่า ใครบอกว่าแก๊งค์อั๊วโดนถล่มยับวะ แค่ตั้งตัวไม่ทันโว้ย สิวๆว่ะแค่นี้ แป๊บเดียวแก๊งค์อั๊วก็กลับมาผงาดเหมือนเดิมแล้ว”
เฮียเต๋าหันมาหาลูกน้องที่บาดเจ็บไปตามๆ กัน
“พวกลื้อ ใครมีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยากทำงานได้เงิน บอกให้มาเป็นลูกน้องอั๊วได้เลยคุณสมบัติไม่ต้องมีอะไรมาก โง่ก็รับ เลวก็รับ บุคลิกไม่ต้องการ มารยาทไม่ต้องมี ขอแค่ใจถึง ไม่กลัวตีกัน ก็มาได้เลย อั๊วรับหมด เข้าใจมั้ย”
ลูกน้องรับคำ “เข้าใจครับ”
เฮียเต๋าเดินมาที่หน้าต่างก่อนจะตะโกนออกไปที่ท้องฟ้า
“อั๊วจะกลับไปยิ่งใหญ่กว่าเดิม ระวังตัวให้ดีเถอะไอ้ติงลี่ อั๊วต้องแก้แค้นแน่”
เฮียเต๋าหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
เมลดาซ้อมงิ้วอยู่ ฮูหยินเดินเข้ามามองซ้ายมองขวา
“อาหลินฮุ่ย ไอ้กังฟูยังไม่มาเหรอ” ฮูหยินถาม
เมลดาตอบ “ค่ะ”
“ซี้ซั้วจริงๆ อะไรของมันวะ อยู่ดีๆก็หายหน้าไปตั้งสองวัน หายไปไหนของมันวะ งิ้วมันต้องซ้อมทุกวันไม่รู้เรื่องหรือไงวะ”
“งั้นหนูจะลองไปดูที่บ้านเขานะคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเจอก็ถามมันด้วยว่าจะเล่นมั้ยงิ้วน่ะ ถ้าเล่นก็รีบไสหัวกลับมาเร็วๆเลย” ฮูหยินว่า
เมลดาตอบรับ “ค่ะ”
เมลดามาที่บ้านของกังฟู เธอเคาะประตูเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงขานรับ
“เอ...ไปไหนของเขานะ”
เมลดากำลังจะเดินออกไปก็ได้ยินเสียงของหล่นตุ้บดังพอสมควร เมลดาสงสัยจึงเดินอ้อมมาดูทางหน้าต่าง พอมองเข้าไปก็เห็นกังฟูนอนกลิ้งหล่นลงมาจากเตียงในสภาพมีเลือดเต็มตัว เมลดาตกใจ
“กังฟู...กังฟู...”
กังฟูไม่ได้ยินจึงยังคงนอนนิ่ง เมลดาร้อนใจจึงเดินมาที่ด้านหน้าแล้วเล็งที่ลูกบิดประตูด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว เธอตั้งท่าเกร็งขาแล้วยกเท้าเตะเปรี้ยง
“ย้าก...โอ๊ยย”
ลูกบิดยังอยู่ดี แต่เมลดาทรุดลงกุมข้อเท้าด้วยหน้าตาเหยเกอยู่ครู่หนึ่ง เธอสูดปากเบาๆ พอให้อาการทุเลา ก่อนจะเอามือยันประตูลุกขึ้น แต่จังหวะพอมือยันโดนประตูลูกบิดก็หลุดออกมาในสภาพร่องแร่ง
เมลดาเดินเข้ามาหากังฟู กังฟูยังคงนอนนิ่ง
“กังฟู...กังฟู...” เมลดาเรียก
กังฟูลืมตาขึ้น “คุณเม”
“คุณเป็นอะไรไปเนี่ย ใครทำร้ายคุณ”
กังฟูพยายามพูดแต่ก็ไม่มีแรง
“รอแป๊บนึงนะ ฉันจะโทรเรียกรถพยาบาล” เมลดาบอก
กังฟูรีบบอก “อย่า...อย่า...”
เมลดาชะงัก
กังฟูพูดอีก “อย่า...”
“ตกลง ฉันไม่เรียกรถพยาบาล ไม่บอกใครด้วย โอเคมั้ย”
กังฟูยิ้มอย่างอ่อนแรง
“ลุกไหวมั้ย กลับขึ้นไปนอนบนเตียงได้มั้ย”
กังฟูพยายามยันกายแต่ก็เหมือนจะไม่ไหว เมลดาจึงเข้ามาช่วยอุ้ม
“ทำไมตัวคุณร้อนอย่างนี้”
“ผม...ร้อนมาก...” กังฟูบอก
เมลดาประคองกังฟูขึ้นมานอนบนเตียง
“นี่ ตัวคุณไม่ได้ร้อนธรรมดานะ ร้อนเป็นบ้าเลยนะ”
กังฟูมองเมลดาแล้วก็พยายามจะพูดอะไรกับเธอ
จางฟุมองจางเหลียงจากตอนแรกที่ภาพเบลอๆ ก็ค่อยๆชัดขึ้นทีละนิด
“จางฟุ จำไว้ สิ่งสำคัญที่สุดของจอมยุทธ ไม่ใช่แก้แค้น แต่เป็น...คุณธรรม” จางเหลียงบอกจางฟุ
จางฟุอยู่ในสภาพบาดเจ็บ จางเหลียงพูดกับจางฟุที่อยู่ในอ้อมแขน โดยมีเหมยอิงคอยมองซ้ายมองขวาอยู่ จางเหลียงเกร็งพลังแล้ววาดมือในอากาศ
“ลมปราณเคลื่อนย้ายตะวัน”
จางเหลียงทาบฝ่ามือลงบนตัวของจางฟุ
กังฟูที่นอนอยู่ดิ้นรนไปมาเหมือนอึดอัดเพราะฝันร้าย เมลดาถอดเสื้อให้กังฟูแล้วก็เอาผ้าขนหนูจุ่มน้ำในกาละมังข้างตัวแล้วเช็ดตัวให้เขา
“เช็ดยังไงก็ไม่หายร้อน อะไรของเค้าเนี่ย ร้อนยังกะเตาอั้งโล่” เมลดาว่า
เมลดาพลอยร้อนไปด้วยจึงมีหน้าแดงก่ำ เหงื่อเมลดาหยดติ๋งๆ เธฮจึงถอดเสื้อชั้นนอกออกจนเหลือแต่เสื้อกล้ามข้างใน แล้วเมลดาก็เช็ดตัวให้กังฟูต่อ
“ร้อนขนาดนี้เดี๋ยวชักตายพอดี”
เมลดามีท่าทางร้อนใจแล้วก็หันไปเห็นตู้เย็นพอดี
บู๊ลิ้มกับหลินหลินเดินขึ้นบันไดมาที่ห้องกังฟู โดยที่บู๊ลิ้มถือลูกฟุตบอลมาด้วย
“เดี๋ยวขอผมแวะดูศิษย์น้องก่อนนะ แล้วค่อยไปเตะบอลกัน” บู๊ลิ้มบอก
“ยังไงก็ได้ วันนี้เฉยๆไม่ได้อยากเตะบอลเท่าไหร่ ว่าแต่ศิษย์น้อง เอ๊ย พี่กังฟูเขาเป็นอะไรเหรอ” หลินหลินว่า
“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีก็หายหน้าไป ก็เลยจะแวะมาดูซักหน่อย”
บู๊ลิ้มกับหลินหลินเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า บู๊ลิ้มเห็นประตูห้องเปิดอ้าและเห็นลูกบิดห้อยร่องแร่ง
“อ๊ะ ...”
“มีอะไรเหรอ” หลินหลินถาม
บู๊ลิ้มเอานิ้วทาบปากเป็นทำนองให้หลินหลินเงียบๆ แล้วก็เดินนำแบบย่องไปที่ประตู บู๊ลิ้มมองเข้าไปก็เห็นเมลดาที่ใส่เสื้อกล้ามอยู่ในสภาพเหงื่อแตกโดยกำลังเอาน้ำแข็งถูหลังกังฟูที่นอนเปลือยท่อนบนอยู่ กังฟูส่งเสียงครางเบาๆ
บู๊ลิ้มตกใจ “เฮ้ย”
บู๊ลิ้มตาโตก่อนจะรีบหันมาปิดตาหลินหลินที่เดินตามมาทีหลัง
บู๊ลิ้มกระซิบ “จุ๊ๆ อย่าส่งเสียงนะ”
หลินหลินกระซิบตอบ “มีอะไรเหรอ”
บู๊ลิ้มกระซิบ “เธออย่าดูเลย มันหวาดเสียวมาก”
หลินหลินกระซิบตอบ “พี่กังฟูโดนโจรฆ่าเหรอ”
บู๊ลิ้มกระซิบ “ไม่ใช่อย่างนั้น”
หลินหลินกระซิบตอบ “แล้วมันยังไงเหรอ”
หลินหลินจะแกะมือออกแต่บู๊ลิ้มไม่ยอม
บู๊ลิ้มกระซิบ “ศิษย์น้องเขา...เอ่อ...โป๊อยู่”
หลินหลินกระซิบตอบ “งั้นเราอย่าแอบดูเขา เลยไปเถอะ”
หลินหลินดึงบู๊ลิ้มออกมา แต่บู๊ลิ้มยังติดใจจึงพยายามจะดูต่อ
บู๊ลิ้มกระซิบ “เดี๋ยวๆ ขอดูอีกนิด กำลังจะได้ที่เลย”
บู๊ลิ้มมัวแต่จดจ่อกับการแอบดู หลินหลินจึงถือโอกาสแกะมือบู๊ลิ้มออกแล้วยื่นหน้ามาดูบ้างซึ่งบู๊ลิ้มห้ามไม่ทัน หลินหลินเห็นแล้วก็ถึงกับตาโตและกลืนน้ำลายเอื๊อก หลินหลินกับบู๊ลิ้มแอบดูต่อ ทั้งสองกลืนน้ำลายเอื๊อก และพูดอะไรไม่ออก หลินหลินหน้าแดงก่ำ
เมลดาถูน้ำแข็งจนเหนื่อยจึงหยุดหอบ เธอสังเกตเห็นเงาคนตรงประตู เมลดาเงยหน้ามองไปแต่ก็ไม่เห็นใครเลย
บู๊ลิ้มกับหลินหลินวิ่งมาหลบบริเวณบันได
“เราไปกันเถอะ” หลินหลินหันมาบอก
บู๊ลิ้มอิดออดเพราะอยากดูต่อ
“มันเรื่องส่วนตัวของเขา เราอย่าเสียมารยาทเลย” หลินหลินว่า
“แต่ฉันไม่เคยเห็นของจริงเลยนี่นา”
“ก็ดีแล้ว นี่ เรายังเด็กอยู่นะ อย่าสนใจเรื่องพวกนี้เลย ไปเตะบอลกันดีกว่า”
“เอ่อ...”
“เอาน่า ไปเตะบอลกันดีกว่า เร็ว ตอนนี้ฉันอยากเตะบอลมากเลย เตะบอลๆๆ”
หลินหลินจับมือบู๊ลิ้มแล้วดึงลงบันไดไป บู๊ลิ้มมองมือหลินหลินที่จับมือเขาอยู่แล้วก็แอบยิ้มปลื้ม
“เตะบอลก็เตะบอล” บู๊ลิ้มว่า
เมลดาเอาน้ำแข็งถูตามตัวกังฟูจนละลายหมด เธอหันมาควานหาน้ำแข็งอีกแต่ก็หมดแล้ว เมลดาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้กังฟูต่อ กังฟูลืมตาขึ้นเห็นหน้าเมลดาจางๆ เขาก็ยิ้มให้
“กังฟู รู้สึกตัวแล้วเหรอ” เมลดาถาม
กังฟูจับมือเมลดาบีบ เมลดาเขินแต่กังฟูไม่ยอมปล่อย เมลดาก็ไม่ว่าอะไร เธอปล่อยให้กังฟูจับมืออยู่เนิ่นนาน จู่ๆกังฟูก็หมดสติมือห้อยลงข้างตัว
“กังฟู...กังฟู...”
กังฟูลืมตาขึ้นมาเห็นเมลดานั่งหลับอยู่ข้างๆเตียง กังฟูก้มมองตัวเองก็เห็นว่ามีพลาสเตอร์ยากับผ้าก๊อซแปะเต็มตัว กังฟูยันตัวจะลุกขึ้น แต่แล้วเขาก็เจ็บแผลจึงร้องออกมาเบาๆ เมลดาลืมตาขึ้นมาทันที
“กังฟู เป็นไงบ้าง” เมลดาถาม
“คุณเม...คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้วพลาสเตอร์ยาพวกนี้” กังฟูงง
“ฉันทำให้เองแหละ...คืออาจารย์แม่บ่นคุณเรื่องขาดซ้อม ฉันก็เลยแวะมาดู ก็เห็นคุณในสภาพจะตายมิตายแหล่อยู่เนี่ย พอฉันบอกจะพาไปโรงพยาบาล คุณก็ห้ามไว้”
“ผมจำไม่ได้เลยแฮะ”
“แล้วคุณไปทำอะไรมา ถึงอยู่ในสภาพนี้”
“ผมไปช่วยคนดีปราบคนเลว”
“พูดยังกะหนังการ์ตูน”
กังฟูหัวเราะเบาๆ
“แต่จริงๆแล้วผมไปช่วยไม่ให้อาจารย์แม่เสียใจ”
“ฉันไม่เข้าใจ อาจารย์แม่ก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม”
“ให้ท่านรู้ไม่ได้ เพราะผมเคยรับปากท่านว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้”
กังฟูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วทำท่าเหมือนจะไอ แต่เขาก็กลั้นไว้
“คุณเม ผมขอบคุณคุณมากนะที่มาช่วยผม”
“ไม่เป็นไร คุณก็ช่วยฉันมาตั้งเยอะแล้วนี่นา”
กังฟูมองเมลดา เมลดาเขินจึงหลบตา
“คุณรู้ไหม ก่อนที่ผมจะไปปราบคนเลวเนี่ย ผมรู้ตัวว่าอาจจะไม่รอดกลับมา ผมสาบานกับฟ้าดินว่าอะไรรู้มั้ย”
“ว่าอะไรเหรอคะ”
“ถ้าผมไม่ตาย ผมจะ...”
กังฟูกลั้นไปไม่ไหวขึงไอออกมาอย่างรุนแรง แล้วเขาก็กระอักเลือด เมลดาร้องว้าย
“ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะกังฟู” เมลดาบอก
“ไม่เป็นไร มันเป็นเลือดเสีย กระอักออกไปก็ดีแล้ว” กังฟูว่า
“รู้สึกดีขึ้นเหรอ”
“ครับ...คือเมื่อกี้ผมจะบอกว่า...”
เสียงท้องกังฟูร้องดังจ๊อก กังฟูอึ้ง เมลดาอดขำไม่ได้
“กินข้าวก่อนเถอะ เมื่อกี้ฉันออกไปซื้อของกินมาเตรียมไว้แล้ว” เมลดาว่า
เมลดาลุกออกไป กังฟูทำหน้ากร่อยๆ
เมลดากับกังฟูออกมานั่งข้างนอก
“ไหวมั้ย” เมลดาถาม
“ไหวครับ ดีขึ้นมากแล้วครับ”
เมลดามองกังฟูอย่างทึ่งๆ
“ดีจัง ร่างกายคุณนี่ฟื้นตัวเร็วมากเลยนะ”
“ครับ ช่วงหลังๆรู้สึกร่างกายผมแปลกๆไปเหมือนกัน”
เมลดากับกังฟูเปิดข่าวกล่องกินด้วยกัน กังฟูตักกินไปได้คำนึงก็รู้สึกเอะใจจึงก้มมองข้าวในกล่อง
“อร่อยจังเลยครับ คุณเมซื้ออะไรให้ผมกินเนี่ย”
“ไม่รู้จักจริงๆเหรอ เขาเรียกไข่ลูกเขย”
“ผมเคยกินแต่ไข่เยี่ยวม้า เพิ่งเคยกินไข่ลูกเขยนี่แหละ”
กังฟูก้มมองอย่างพิจารณาแล้วเขาก็หัวเราะ
“เออ เหมือนจริงๆด้วยครับ ผิวไข่มันดู...”
เมลดาพูดแทรก “นี่ ทะลึ่งอีกแล้วนะ ไม่น่าซื้อให้กินเลย”
“ว้า ผมไม่ได้เจตนาเลย เปลี่ยนเรื่องคุยก็ได้ แล้วคุณเมกินอะไรครับ ท่าทางกรอบๆดี”
“อ๋อ นี่เขาเรียกหมูกระจก”
กังฟูชะงักมองหน้าเมลดา
“ไหนบอกไม่ให้ผมทะลึ่ง แล้วทำไมคุณทะลึ่งซะเอง” กังฟูว่า
“ทะลึ่งอะไรของนาย”
“ก็หมูกระจก ก็หมก...”
เมลดารีบปิดปากกังฟู
“ไม่ต้องพูด ไม่หมกอะไรทั้งนั้น มีแต่นายนั่นแหละที่หมกมุ่น คิดไปได้”
“แต่...”
“พอแล้ว เลิกพูด กินไป”
กังฟูก้มลงกินข้าวจ๋อยๆ เมลดาเงียบไปแล้วจู่ๆ เธอก็หลุดหัวเราะออกมาเสียเอง
“บ้า ผวนทำไมก็ไม่รู้”
กังฟูหัวเราะตาม แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะด้วยกัน
เมลดากลับเข้ามาในบ้านก็เจอหลินหลินนั่งทำการบ้านอยู่
“ขอโทษทีจ้ะ วันนี้กลับบ้านดึกไปหน่อย” เมลดาบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องมีเวลาไปทำเรื่องส่วนตัวบ้าง อันนี้หลินหลินเข้าใจค่ะ” หลินหลินบอก
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พี่แค่ไป...”
หลินหลินพูดแทรก “ไม่ต้องบอกก็ได้ค่ะ หลินหลินยังเป็นเด็กอยู่ ไม่เหมาะที่จะฟัง”
เมลดางง
“เอ่อ...หลินหลินพูดเหมือนพี่ไปทำอะไรที่ไม่ดีๆมา”
“ไม่ใช่ไม่ดีหรอกค่ะ แต่มันไม่งาม หลินหลินเป็นเด็กสมัยใหม่ก็จริงแต่หลินหลินก็ไม่ใช่ว่าจะรับได้หมดทุกรูปแบบนะคะ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรเปิดประตูทิ้งไว้เหมือนอยากจะโชว์ใครงั้นแหละ”
หลินหลินยิ่งพูดยิ่งเคือง พูดจบเธอก็ลุกเดินหนีออกไป เมลดางงเป็นไก่ตาแตก
“ฉันทำอะไรผิดเนี่ย...เปิดประตูทิ้งไว้...หรือว่า...”
เมลดานึกได้ก็เดินไปหาหลินหลิน
“นี่ เมื่อกลางวันไปที่ห้องกังฟูใช่ไหม ไอ้ที่เห็นน่ะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ คิดแบบนั้นได้ไงเนี่ย ยัยเด็กแก่แดด”
เมลดาตามไปอธิบายให้หลินหลินฟัง
ติงลี่นั่คุยอยู่กับพายุสองคน
“ที่เฮียได้ถล่มรังไอ้เต๋าแก้แค้นมันได้เนี่ย ลื้อมีความดีความชอบมากที่สุด พายุ อั๊วขอแต่งตั้งลื้อเป็นรองหัวหน้าของกลุ่มเพื่อนติงลี่”
“กลุ่มเพื่อนติงลี่?” พายุถาม
“พายุ เจ้าพ่ออย่างเฮียน่ะไม่ได้มีแค่ไนท์คลับแห่งนี้แห่งเดียวหรอกนะ คนมีบารมีอย่างเฮียพวกเจ้าของกิจการมากมายก็เอาหุ้นลมมาให้ พูดง่ายๆว่ามาขอให้เฮียคุ้มครอง ทั้งบ่อน โต๊ะบอล อาบอบนวด อีกมากมายในเขตอิทธิพลของเฮีย พวกนี้แหละคือกลุ่มเพื่อนติงลี่”
“เฮียติงลี่สุดยอดเลยครับ” พายุชม
“พอพายุได้เป็นรองหัวหน้าก็จะต้องมีหน้าที่ไปตรวจดูความเรียบร้อยของกิจการพวกนี้แทนเฮีย เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ ผมจะตั้งใจทำงานไม่ให้เฮียผิดหวังครับ”
“เฮียไม่ผิดหวังแน่ๆ รับรองลื้อจะกลายเป็นคนขยันสุดๆ ... เฮียจะกระซิบบอกให้ เวลาไปตรวจงานแต่ละที่นะ พวกมันจะเอาใจเราสารพัด ลื้อไปตรวจงานที่ไหนก็ตาม ได้หมด ทั้งเหล้ายาอาหารผู้หญิง ฮ่าๆๆ”
พายุคุกเข่าแล้วโค้งคำนับแบบหัวจรดพื้น
“ขอบคุณเฮียติงลี่”
ติงลี่มองพายุด้วยความพึงพอใจ
“เออ แล้วกังฟูเพื่อนลื้อคนนั้น เขาอยากมาช่วยงานอะไรเฮียไหมล่ะ จะให้เฮียสนับสนุนอะไรไหม” ติงลี่ถาม
“อ๋อ ไม่ต้องหรอกครับ อย่าไปสนใจมันเลยครับ ไอ้นั่นมันโง่ ทำอะไรไม่เป็นหรอกครับ” พายุว่า
เนตรนภาร้องเพลงเสร็จแล้วก็เดินลงมาจากเวที จนมาเจอพายุที่ยืนดักอยู่
“สวัสดีครับเนตรนภา” พายุทักทาย
“สวัสดีคุณพายุ...อ๊ะ ...ต้องเรียกว่าท่านรองหัวหน้ามั้ยคะ”
พายุหัวเราะชอบใจ
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ใช่คนบ้าอำนาจซักหน่อย...สรุปว่าคุณรู้เรื่องนี้แล้ว” พายุว่า
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ ... คืนนี้เป็นคืนพิเศษของผม คุณจะให้เกียรติไปดื่มกับผมได้มั้ย”
“อยากค่ะ แต่ว่าคืนนี้ฉันมีนัดกับ"หัวหน้า"ของคุณค่ะ คุณ"รองหัวหน้า"
พายุอึ้งไป เขามองไปที่ห้องมุกมังกร
“คุณคงเห็นเขาสำคัญมากสินะ” พายุว่า
“ตรงข้ามค่ะ เขาต่างหากที่เห็นฉันสำคัญมาก”
พูดจบเนตรนภาก็เดินผ่านพายุไปที่ห้องมุกมังกร พายุมองตามไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เนตรนภาเดินเข้ามาเห็นติงลี่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่คนเดียวเหมือนคิดอะไรอยู่ เนตรนภาเข้ามานวดบ่าอย่างเอาใจ
“คิดอะไรอยู่เหรอคะเฮีย” เนตรนภาถาม
“อย่าเพิ่งกวน” ติงลี่ว่า
เนตรนภาจ๋อย
“มีอะไรให้เนตรช่วยมั้ยคะ” เนตรนภาถาม
ติงลี่รำคาญจึงหยิบเงินโยนให้ปึกหนึ่ง
“ช่วยออกไปที เอาเงินไปอยากไปเที่ยวไหนก็ไป อั๊วอยากอยู่คนเดียว”
เนตรนภาอึ้ง ติงลี่ไม่สนใจเนตรนภาอีกต่อไป เนตรนภางอนแต่ก็หยิบเงินมาแล้วเดินเปิดประตูจะออกไป เธอเห็นพายุอยู่ด้านนอกแต่ไม่ได้มองมาทางนี้ เนตรนภาไม่กล้าออกไป เธอปิดประตูนั่งลง ติงลี่ไม่สนใจเนตรนภาเลย เนตรนภามีสีหน้าหดหู่เพราะทั้งเสียใจและน้อยใจ
เมลดาแอบดูเพราะแน่ใจว่าหลินหลินหลับแล้วจึงย่องออกมานอกห้อง เธอหยิบตำรามวยพหุยุทธออกมาเปิดออกดู เมลดาพยายามทำความเข้าใจก่อนจะวางตำราลง
“วานรงัดงาช้าง”
เมลดาฝึกซ้อมท่ามวยกับอากาศ เมลดางงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน เมลดาพยายามฝึกซ้อมต่อไป
“ไม่มีคู่ซ้อมแล้วจะฝึกยังไงเนี่ย” เมลดาบ่น
เมลดาเกาศีรษะอย่างเซ็งๆ
เหมยอิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ สวยยกของว่างซึ่งเป็นซาลาเปามาให้
“ของว่างค่ะมาดาม” สวยบอก
“ขอบใจมากนะสวย” เหมยอิงว่า
เหมยอิงกำลังจะกิน สวยกระซิบเบาๆ
“มาดามคะ”
เหมยอิงมองสวย แต่สวยมองทางอื่น เหมยอิงมองตามที่สวยมองไปก็เห็นจางซื่อมายืนใกล้ๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“จางซื่อ...มาทำไมอีก” เหมยอิงว่า
“มาหาเมีย มาหาแม่ของลูก ไม่ได้รึไง” จางซื่อว่า
“มีอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะ”
จางซื่อเดินมาอย่างใจเย็นพร้อมกับมองที่จานขนมของเหมยอิง
“ซาลาเปา...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไส้งาดำ เห็นไหม ฉันยังจำได้แม่นเลยว่าของโปรดของเธอคืออะไร” จางซื่อบอก
“แล้วไง” เหมยอิงถามต่อ
“เวลาเปลี่ยนไป แต่นิสัยคนไม่ได้เปลี่ยนตาม เธอเคยชอบขนมอะไรก็ยังชอบอยู่ แต่สงสัยอยู่อย่างนึง”
“เรื่องอะไร”
“เมื่อก่อนเธอไม่ชอบดูงิ้วนี่ แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบไปดูงิ้วแล้วล่ะ”
จางซื่อสังเกตสีหน้าเหมยอิง แต่เหมยอิงมีสีหน้าปกติ
“เมื่อก่อนไม่ชอบดูเพราะมันเสียงดัง ดูแล้วคิดอะไรไม่ออก แต่ตอนนี้ที่ฉันชอบดูก็เพราะมันเสียงดัง ดูแล้วไม่ต้องคิดอะไร”
ท่าทีของจางซื่อเหมือนชวนคุยไปเรื่อยๆ แต่สายตาของเขาคมปลาบและจับตาเหมยอิงทุกอิริยาบถ
“อย่าบอกนะว่าติดใจพระเอกงิ้วน่ะ”
“อย่าบอกนะว่าหึง”
จางซื่อหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าเธอพอใจคนไหนก็บอกมา ฉันจะจ้างให้มันมาเล่นงิ้วให้เธอดูทุกวันเลย” จางซื่อว่า
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าฉันก็เหมือนงิ้วเรื่องนึง ... กำลังรอดูจุดจบของไอ้วายร้าย กรรมต้องตามสนองมัน”
“ชีวิตจริงไม่ใช่งิ้ว วายร้ายของลื้ออาจจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ผู้ต่อต้านก็ได้ ฮ่าๆๆ”
จางซื่อเดินออกไป
อ่านต่อหน้าที่ 4
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 6 (ต่อ)
จางซื่อเดินออกมา เมฆายืนรออยู่
“ทำไมท่านพ่อถึงบอกแม่เรื่องงิ้วล่ะครับ ไม่กลัวแม่รู้ตัวหรือครับ” เมฆาถาม
“ลองคิดดูสิ” จางซื่อว่า
เมฆาคิดแต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ
“หวังว่าแกจะเรียนรู้จากฉันให้มากๆ” จางซื่อบอก
พูดจบจางซื่อก็เดินจากไป
เหมยอิงนั่งหน้าเครียดอยู่ สวยเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“มาดาม เป็นอะไรไหมคะ” สวยถาม
“ไม่มีอะไรหรอก”
“สวยว่าเมื่อกี้มาดามกับเขาคุยกันแปลกๆนะคะ”
“มันไม่ได้มาคุย มาพยายามมาจับผิดฉัน”
“เรื่องอะไรเหรอคะ” สวยถาม
“เรื่องที่ฉันโกหกเขาน่ะสิ...เรื่องที่เขาอยากรู้ความจริง...เรื่องที่ทำให้กลัว” เหมยอิงบอก
เหมยอิงเล่า
เหตุการณ์ตอนที่จางเหลียงล้มลง
“พวกเจ้า...บัดซบนัก...” จางเหลียงว่า
“เฮียเหลียง”
เหมยอิงวิ่งเข้ามาหาจางเหลียง จางเหลียงนิ่งไป ชายสูงวัยกับจางซื่อดีใจ ชายสูงวัยหัวเราะในขณะที่จางซื่อยังไม่ไว้ใจจางเหลียง จางซื่อจับตาดูจางเหลียง ชายสูงวัยเข้ามาหาจางเหลียงแล้วค้นหาของที่อกเสื้อก่อนจะล้วงป้ายเจ้าสำนักออกมา
“ข้าคือเจ้าสำนักอสูรเทวาคนใหม่...” ชายสูงวัยบอก
จางเหลียงลืมตาขึ้นแล้ใกระโดดฟาดฝ่ามือใส่ชายสูงวัยกับจางซื่อ จางซื่อกระโดดหนีทันแต่ชายสูงวัยโดนเข้าไปเต็มๆ จางเหลียงอุ้มจางฟุกับเหมยอิงวิ่งหนีออกมา
เหมยอิงเล่าเหตุการณ์เดียวกันในมุมมองของเธอ
จางเหลียงได้รับบาดเจ็บก็วิ่งพาเหมยอิงกับจางฟุมาที่ท่าเรือ
“ตั่วกอ เป็นไงบ้าง” เหมยอิงถาม
“ข้าคงไม่รอดแล้ว” จางเหลียงบอก
“ตั่วกอ...”
“เหมยอิง เจ้าอย่าเพิ่งเสียขวัญ เจ้าต้องตั้งสติให้ดี กว่าพวกมันจะตามมาถึง เรือคงมารับพวกเจ้าหนีไปก่อนแล้ว”
“ท่านจะไปกับเรามั้ย”
“ไม่”
จางฟุร้องไห้จ้า จางเหลียงลูบศีรษะจางฟุ
“ไม่ต้องกลัวนะลูกพ่อ ถึงพ่อจะตาย แต่พ่อจะให้สิ่งสำคัญที่สุดของพ่อ ให้กับเจ้า...สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ใช่วิทยายุทธ แต่เป็นหลักการข้อหนึ่ง สำคัญกว่าวิทยายุทธ”
จางเหลียงก้มลงกระซิบกับจางฟุ
“จางฟุ จำไว้ สิ่งสำคัญที่สุดของจอมยุทธ ไม่ใช่แก้แค้น แต่เป็น...คุณธรรม”
จางเหลียงเกร็งพลังแล้ววาดมือในอากาศ
“ลมปราณเคลื่อนย้ายตะวัน”
จางเหลียงทาบฝ่ามือลงบนตัวจางฟุ จางเหลียงถ่ายทอดลมปราณให้จางฟุ แต่ไม่ทันไร จางเหลียงก็หมดแรงแล้วล้มลง
เหมยอิงเรียก “ตั่วกอ”
จางเหลียงหน้าซีด ดวงตาหมอง ก่อนจะลูบหน้าจางฟุแล้วหันมาบอกเหมยอิง
“เหมยอิง .. ข้าจะถ่ายทอดลมปราณย้ายตะวันให้จางฟุ แต่ข้าถ่ายทอดได้เพียงส่วนนึง...ชีวิตที่เหลือของจางฟุ ข้าฝากเจ้าด้วย”
“ไม่ต้องห่วงตั่วกอ ข้าจะเลี้ยงดูเขาให้เติบโตขึ้นมา ล้างแค้นให้ท่าน” เหมยอิงบอก
“อย่า อย่าล้างแค้น ข้าไม่ได้ต้องการล้างแค้น ไม่ได้ต้องการให้เขาเป็นจอมยุทธ อย่าให้เขาเป็นจอมยุทธ”
“ตกลง ข้าจะไม่ให้เขาเป็นจอมยุทธ”
“ข้าถ่ายทอดลมปราณให้เขาไม่ได้ต้องการให้เขาเป็นจอมยุทธ แต่ต้องการให้เขา...”
ยังพูดไม่ทันจบจางเหลียงก็สิ้นใจตาย
“ตั่วกอ...”
เหมยอิงร้องไห้
เสียงหวูดเรือดังมา เหมยอิงคำนับศพจางเหลียงแล้วอุ้มจางฟุขึ้นมา
“บอกลาพ่อเข้าซะจางฟุ นับแต่นี้ เจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อของเจ้าอีกเลย” เหมยอิงว่า
เหมยอิงจับจางฟุมามองหน้าจางเหลียง
เหตุการณ์ในอดีตเมื่อยี่สิบปีก่อน เหมยอิงอุ้มจางฟุมายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูโรงงิ้วพร้อมกับแฟนคลับกลุ่มหนึ่ง สักครู่เฮียเฉินกับฮูหยินที่สวมแว่นกันแดด เสื้อผ้าเก๋เท่ก็เดินออกมา พวกแฟนคลับร้องกรี๊ดกร๊าดพร้อมกับเข้ามารุมล้อมเฮียเฉินกับฮูหยิน
“เฮียเฉินทางนี้ค่า...ฮูหยินสวยจัง...ขอถ่ายรูปหน่อยค่า...”
เฮียเฉินกับฮูหยินทักทายแฟนคลับครู่หนึ่ง พวกแฟนคลับก็จากไป
“เฮ้อ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า หมู่นี้แฟนคลับค่อยๆน้อยลงแล้วนะฮูหยิน” เฮียเฉินว่า
“ลื้อไม่ได้คิดไปเองหรอก น้อยลงจริงๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ” ฮูหยินบอก
“คนดูงิ้วก็น้อยลง”
“เอาเถอะ บ่นไปก็ไม่ช่วยอะไร ไปทำธุระกันก่อนเถอะ”
ฮูหยินกับเฮียเฉินเดินต่อ เหมยอิงที่รออยู่เดินเข้ามาหา
“เฮียเฉิน” เหมยอิงเรียก
“หวัดดีครับ ให้เซ็นชื่อตรงไหนดีครับ” เฮียเฉินถาม
“เฮียเฉิน จำฉันไม่ได้เหรอ” เหมยอิงถาม
เฮียเฉินเพ่งมองเหมยอิง “เหมยอิง”
ฮูหยินมองเฮียเฉินแบบไม่สบอารมณ์
“คนนี้ใคร”
เฮียเฉินอึกอัก “เอ่อ...”
“ฉันชื่อเหมยอิง เป็นแฟนเก่าเฮียเฉินน่ะค่ะ”
ฮูหยินโกรธ เฮียเฉินรีบชี้แจง
“แค่แฟนเก่า เลิกกันตั้งนานแล้ว” เฮียเฉินบอก
ฮูหยินพูดกับเหมยอิง “แล้วเธอมาทำไม”
เหมยอิงก้มลงมองจางฟุ
“คือว่า...เฮียเฉิน...”
ฮูหยินตาโต
“ไหนบอกแฟนเก่า ไหนบอกเลิกแล้ว เด็กนี่เพิ่งคลอดชัดๆ ลื้อกล้าทรยศอั๊วเหรอ”
“ไม่...”
เฮียเฉินยังไม่ทันแก้ตัว ฮูหยินก็ตบบ้องหูเฮียเฉินเต็มแรง
เฮียเฉินได้ยินแต่เสียงวิ้งๆๆ
เฮียเฉินเซไปเซมา เหมยอิงพูดอะไรกับฮูหยินก็ไม่รู้เพราะได้ยินแต่เสียงวิ้ง เฮียเฉินพยายามเดินเข้ามาหา แต่ก็ยังเป๋ๆแล้วเขาก็สะดุดขาตัวเองล้มคว่ำ
เฮียเฉินนอนอยู่บนเตียง ฮูหยินคอยประคบประหงมดูแลเอาใจใส่จนเฮียเฉินลืมตาได้สติ
“นี่อั๊วตายไปแล้วเหรอเนี่ย”
ฮูหยินตบปากเฮียเฉินเบาๆแบบหมั่นไส้ปนเอ็นดู
“นี่แน่ะ พูดจาอัปมงคล...ลื้อยังไม่ตาย แต่สลบไป”
เฮียเฉินลุกขึ้นนั่ง
“ตอนหลับไปอั๊วฝันว่ามีแฟนเก่าพาเด็กทารกมาคนหนึ่งมาหาอั๊ว...แว้ก”
เฮียเฉินตกใจเมื่อมองผ่านประตูไปแล้วเห็นทารกหลับอยู่ที่ห้องโถง
“มีจริงด้วยโว้ย อั๊วไม่ได้ฝันไปเหรอเนี่ย”
“จุ๊ๆ เบาๆหน่อยเดี๋ยวเขาตื่น” ฮูหยินบอก
“แล้วอาเหมยอิงล่ะ” เฮียเฉินถาม
“เขาไปแล้ว”
“ไปไหน”
“ไม่รู้ แต่ไปแล้ว แล้วจะไม่กลับมาอีก”
“แล้วเด็กนี่”
“ก็ฝากให้เราเลี้ยงต่อไง”
“แต่เรามีพายุเป็นลูกบุญธรรมแล้วนะ”
“ก็เลี้ยงต่ออีกคน” ฮูหยินบอก
เฮียเฉินมองหน้าฮูหยิน
“ไอ้เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกอั๊วนะ” เฮียเฉินบอก
“อั๊วรู้แล้วว่าไม่ใช่ อั๊วขอโทษที่ตบลื้อ อั๊วรู้แล้วว่ามันเป็นลูกใคร” ฮูหยินว่า
เฮียเฉินถาม “ใคร”
“จางเหลียง” ฮูหยินบอก
เฮียเฉินตาโต
“จางเหลียง จอมยุทธอันดับหนึ่งเนี่ยนะ”
ฮูหยินตบหัวเฮียเฉิน
“ลื้อเป็นแฟนเหมยอิงภาษาอะไรวะ ไม่รู้ว่าเขาเป็นน้องสาวจางเหลียง” ฮูหยินบอก
“อั๊วจีบเหมยอิงเพราะเขาขาวอวบอึ๋มสะบึ้มบึ้บบั้บ ไม่ได้จีบเพราะพี่ชายเค้าเป็นใคร”
ฮูหยินตบหัวเฮียเฉินอีกที
“ในหัวมีแต่เรื่องลามก” ฮูหยินว่า
“แล้วลื้อรับเด็กคนนี้มาทำไม มันเป็นลูกจอมมารอย่างจางเหลียง มันอาจทำให้เราเดือดร้อนก็ได้”
“เพราะมันเป็นลูกจอมมารน่ะสิ เราถึงต้องรับเลี้ยง” ฮูหยินบอก
ฮูหยินเดินมาดูจางฟุ เฮียเฉินเดินมาดูตาม
“จางเหลียงถูกทรยศตายไปแล้ว ถ้าเราไม่รับเลี้ยง เด็กนี่ไปโตที่อื่น จะต้องเป็นคนหนุ่มที่เต็มไปด้วยความแค้นบวกพรสวรรค์ที่ถ่ายทอดจากพ่อของมัน มันคงเป็นจอมมารคนต่อไป แต่ถ้าเราเลี้ยงมัน เราไม่ให้ผึกวิทยายุทธ ไม่บอกความจริงให้มันรู้ มันก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง” ฮูหยินบอก
“แล้วทำไมถึงต้องเป็นเราด้วย ให้คนอื่นทำไม่ได้เหรอไง” เฮียเฉินพูด
“เหมยอิงไม่รู้จักใครที่นี่อีกแล้ว แล้วอีกอย่าง โบราณว่าไว้ เราไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก”
“ใครพูดประโยคนี้วะ พิลึก ใครอยากลงก็ปล่อยมันลงไปสิ...โอ๊ย”
ฮูหยินถีบเฮียเฉินลงไปนั่งพับเพียบ
ฮูหยินพูด “พระโพธิสัตว์กล่าวประโยคนี้ไว้ตอนจะลงนรก เพราะพระองค์เห็นว่าในนรกยังมีวิญญาณที่ได้รับความทุกข์ทรมาน หากพระองค์ไม่ลงไปเทศนาวิญญาณเหล่านั้นก็คงไม่มีใครลงไป ... งานยิ่งยากลำบากที่ไม่มีใครอยากทำ เรายิ่งต้องทำ มัวแต่เกี่ยงกันก็ไม่มีใครทำซักคน”
เฮียเฉินลุกขึ้นมาดูจางฟุ
“เราไม่ลงนรกใครจะลงนรกงั้นเหรอ” เฮียเฉินถาม
เฮียเฉินอุ้มจางฟุขึ้นมา
“เลี้ยงไอ้เด็กนี่คงไม่น่ากลัวขนาดลงนรกละมั้ง”
“ไม่แน่ ยังไงมันก็คือลูกจางเหลียง ไว้ใจมันไม่ได้”
“ถึงจางเหลียงจะเป็นจอมมารแต่ก็เป็นจอมยุทธอันดับหนึ่ง เพื่อให้เกียรติพ่อมัน เราจะตั้งชื่อมันว่ากังฟู”
“แต่อั๊วจะไม่ให้มันฝึกกังฟูเด็ดขาด อย่างมากก็สับหมูสับผักทำขนมจีบซาลาเปาไป”
ฮูหยินยื่นหน้ามาพูดกับจางฟุ
“สายเลือดจอมมารอย่างลื้อ ห้ามฝึกวิทยายุทธเด็ดขาด”
เหมยอิงแอบดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ที่นอกหน้าต่าง
เฮียเฉินหยอกเอินกับจางฟุอยู่ ส่วนเหมยอิงคุยกับฮูหยินอยู่ด้านหน้า
“ลื้อคงเห็นหมดแล้ว ถ้าให้อั๊วเลี้ยงหลานลื้อ อั๊วจะไม่ให้ฝึกวิทยายุทธ ลื้อตกลงมั้ย” ฮูหยินถาม
“ตกลง” เหมยอิงบอก
“ยังมีอีก ห้ามลื้อกลับมาหามัน ไม่อย่างนั้นมันอาจจะรู้ว่ามันเป็นใคร ลื้อตกลงมั้ย” ฮูหยินถามอีก
“ตกลง” เหมยอิงบอก
“งั้นลื้อไปได้แล้ว อั๊วจะเลี้ยงลูกไอ้จางเหลียงเอง”
เหมยอิงคุกเข่าคารวะฮูหยิน
“บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก เหมยอิงขอคารวะฮูหยิน”
“หมดเรื่องแล้ว รีบไปเถอะ” ฮูหยินบอก
เหมยอิงลุกเดินออกไป
ฮูหยินเรียกไว้ “เดี๋ยว”
“ฮูหยินมีอะไร”
“ไอ้จางซื่อมันต้องส่งคนมาตามล่าลื้อกับหลานแน่ ทางที่ดี ลื้อหาที่ซ่อนตัวให้มิดชิด วันไหนโดนพวกมันจับได้ ห้ามพูดถึงอั๊วเด็ดขาด”
“รู้แล้ว ฮูหยินโปรดวางใจ ถึงฉันตายก็จะไม่ให้ฮูหยินเดือดร้อน”
เหมยอิงเดินจากมา ฮูหยินเดินกลับเข้าไปในโรงงิ้วแล้วปิดประตู
เหมยอิงที่สวมแว่นดำมีผ้าโพกหัวยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เธอดูเด็กชายอายุ 8-9 ขวบคนหนึ่งที่ใส่ชุดนักเรียนกำลังกวาดหน้าโรงงิ้ว ฮูหยินเดินออกมา
“กังฟู” ฮูหยินเรียก
“ครับ” กังฟูรับคำ
“เดี๋ยวก่อนไปโรงเรียนไปซักเสื้อกีฬาสีของพายุด้วย พรุ่งนี้เขาต้องใส่แล้ว”
“ครับ อาจารย์แม่” กังฟูบอก
เหมยอิงดู ดช.กังฟูที่ปัดกวาดอย่างรวดเร็วแล้วก็วิ่งไปซักผ้าต่อ
“แบบนี้น่ะ ดีแล้วล่ะ” เหมยอิงว่า
เหตุการณ์ปัจจุบัน เหมยอิงถอนใจเบาๆ
สวยเรียก “มาดามคะ”
เหมยอิงสะดุ้งเพราะตื่นจากภวังค์
“ว่าไง” เหมยอิงถาม
“มาดามจะไปดูงิ้วหรือเปล่าคะ” สวยถาม
“ไปสิ ถ้าไม่ไปจะมีพิรุธ”
“เอ๋ พิรุธอะไรเหรอคะ”
“เขาจะรู้ว่าฉันไม่ได้ไปดูงิ้ว แต่ไปดูคน”
“แต่ถ้าไป มันไม่ยิ่งเป็นพิรุธใหญ่เหรอคะ”
“ก็ต้องดูกัน ว่าฉันกับมันใครจะฉลาดกว่ากัน คนฉลาดกว่าคือคนชนะในเกมส์นี้”
เหมยอิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบแต่มือของเธอสั่นระริก
กังฟูกับเมลดารำงิ้วซ้อมด้วยกัน ฮูหยินกับเฮียเฉินมองอยู่ สักครู่กังฟูกับเมลดาก็รำเสร็จ
“ฉากอื่นๆพอได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉากรักมันยังไม่ประทับใจ โดยเฉพาะกังฟู อาหลินฮุ่ย ใช้ได้แล้ว เล่นดี สายตาลื้อสื่ออารมณ์ดูแล้วเชื่อว่าลื้อรักผู้ชายคนนี้” ฮูหยินว่า
เมลดาเขินแต่พยายามกลบเกลื่อนทำไม่รู้ไม่ชี้
“ขอบคุณค่ะ คือหนูเคยมีพื้นฐานการแสดงมาบ้าง เลยเอามาประยุกต์ใช้กับงิ้วน่ะค่ะ” เมลดาบอก
“ดีแล้ว...แต่ไอ้กังฟูยังไม่ดี ดูแข็งๆอยู่” ฮูหยินบอก
เฮียเฉินถาม “อะไรแข็งวะ”
เฮียเฉินดูกังฟูตั้งแต่หัวจรดเท้า ฮูหยินผลักเฮียเฉินจนเซออกไป
“อั๊วหมายถึงการแสดงโว้ย” ฮูหยินว่า
ฮูหยินหันมาหากังฟู
“ฉากนี้ลื้อยังเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณของจั่นเจา ยังไม่ผ่าน” ฮูหยินบอก
“ศิษย์ขอโทษ” กังฟูพูด
“เหลือเวลาอีกไม่มาก ลื้อต้องหาทางเข้าถึงความรู้สึกของจั่นเจาให้ได้” ฮูหยินบอก
“ศิษย์จะพยายาม” กังฟูบอก
กังฟูนั่งพึมพำงึมงำอยู่คนเดียวอยู่ที่ม้านั่งโต๊ะหินอ่อน เฮียเฉินเดินผ่านมาเจอก็เอ่ยถาม
“ทำอะไรอยู่กังฟู”
“ศิษย์กำลังพยายามทำความเข้าใจองครักษ์จั่นเจา จะได้เข้าถึงบทของเขาน่ะครับ” กังฟูบอก
“อืม เป็นเรื่องยากเหมือนกัน ลื้อกับองครักษ์จั่นเจามีชีวิตที่แตกต่างกันมาก” เฮียเฉินว่า
“ศิษย์พยายามเต็มที่แล้ว แต่ศิษย์ไร้ความสามารถ ไม่สามารถเป็นจั่นเจาได้”
“ลื้อเองก็ไม่มีพื้นฐานการแสดงซะด้วย...ความจริงมันยังมีอีกวิธีนึงนะ”
“อาจารย์โปรดชี้แนะ”
“ในเมื่อลื้อไม่สามารถเป็นจั่นเจา งั้นก็ให้จั่นเจาเป็นลื้อ”
กังฟูงง “ศิษย์ไม่เข้าใจ”
“เวลาลื้อแสดง เลิกคิดว่าลื้อเป็นจั่นเจา เลิกคิดว่าหลินฮุ่ยเป็นเหลียนไฉ่หยุน ให้คิดว่าลื้อเป็นลื้อ และหลินฮุ่ยเป็นผู้หญิงที่ลื้อรัก...ลื้อมีผู้หญิงที่ปิ๊งๆๆแล้วใช่มั้ย”
กังฟูตาลอยเพราะคิดถึงใครบางคนก่อนจะตอบออกมา
“ครับ”
“นึกถึงผู้หญิงคนนั้น พยายามคิดว่าหลินฮุ่ยเป็นผู้หญิงคนนั้น เอาใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นมาแทนหลินฮุ่ยคงไม่ยากเกินไป”
กังฟูเงียบไปครู่นึงก่อนจะพูดออกมา
“เอาใบหน้าของผู้หญิงที่ผมชอบมาแทนใบหน้าหลินฮุ่ย ... จะว่ายากก็ว่ายาก แต่จะบอกว่าง่ายสุดๆเลยก็ได้เหมือนกันครับ”
“อั๊วฟังแล้วงง เอาเป็นว่าถ้าลื้อทำไม่ได้ก็อดเล่น อั๊วจะเล่นเป็นพระเอกแทนลื้อ”
เฮียเฉินเดินออกไป กังฟูขมวดคิ้ว
ในจินตนาการของกังฟู ณ เวทีงิ้วสุดอลังการ เมลดาเป็นนางเอก เฮียเฉินเป็นพระเอก เฮียเฉินมีแววตาลามกและหื่นมาก เมลดาร้องตามบทงิ้วของเธอ แต่เฮียเฉินนอกบทด้วยการเข้ามากระแซะตรงนู้นตรงนี้แล้วมีท่าทางก้อร่อก้อติก ลวนลามเมลดา จนเมลดาทนไม่ไหวร้องไห้วิ่งหนีเข้าหลังฉาก เฮียเฉินหัวเราะแล้ววิ่งไล่ตามเข้าไป
เมื่อจินตนาการเช่นนั้น กังฟูก็ตวาดลั่น
“ยอมไม่ได้”
กังฟูต่อยใส่โต๊ะหินข้างหน้าโครมแล้วก็ได้สติร้องจ๊าก เขาสะบัดมือเร่าๆ ร้องโอดโอยก่อนเดินออกไป สักครู่ ลมก็พัดกรูผ่านมาทำให้โต๊ะหินหักครึ่ง
กังฟูท่องบทงิ้วแล้วตั้งท่ากระบี่ก่อนจะพูดกับลมกับแล้ง
“เจ้าคือแม่นางเหลียนไฉ่หยุนใช่หรือไม่...ข้ารู้ เพราะว่าข้าจำนัยน์ตาของเจ้าได้”
กังฟูเพ่งมองลม หลินหลินเดินขึ้นมา เธอเห็นกังฟูเหม่ออยู่ก็นึกสนุกจึงย่องไปแล้วตะโกนลั่น
“แฮ่”
กังฟูตกใจจึงหันขวับไปต่อยเต็มแรงเคราะดีที่หลินหลินเป็นเด็กตัวเตี้ยทำให้หมัดกังฟูอยู่สูงจากศีรษะเธอ แต่ก็มีลมพัดกระพือจนผมเธอปลิว ผมหลินหลินขาดตกลงพื้นหลายเส้น หลินหลินโดนพลังหมัดคุกคามก็ตกใจจนพูดไม่ออก
“ตกใจหมดเลย ขอโทษทีนะ หลินหลิน มีอะไรเหรอครับ” กังฟูถาม
“พี่เมบอกให้ไปหาหน่อยค่ะ” หลินหลินบอก
“ตอนนี้อ่ะเหรอ”
“ค่ะ”
กังฟูงง “ทำไมต้องให้ไปตอนดึกๆด้วยล่ะ”
“หลินหลินก็ไม่รู้ค่ะ”
จู่ๆกังฟูก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงทำหน้าลามกสุดขีด
“หรือว่า...กึ๋ยๆๆ”
กังฟูทำหน้าตาหื่นมากจนหลินหลินตกใจแล้วถอยหนี
“พี่กังฟูเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะคะ”
กังฟูรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ไม่มีอะไร อะแฮ่ม ไปสิ”
กังฟูเดินไปกับหลินหลิน สักครู่เขาก็ทำหน้าหื่นขึ้นอีก
“หลินหลิน เดี๋ยวพี่ขอแวะร้านขายยาแป๊บนึงนะ”
“พี่กังฟูจะซื้ออะไรเหรอคะ” หลินหลินถาม
“เด็กๆไม่รู้จักหรอก อะจึ๋ยๆ”
“ว้าย ทำหน้าน่ากลัวอีกแล้ว”
หลินหลินแขยงจึงไม่กล้าเข้าใกล้กังฟูอีก แต่กังฟูไม่สนใจ เขาเดินต่อไปด้วยสีหน้าหื่นๆ
อ่านต่อตอนที่ 7