ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 7
กังฟูเดินตามหลินหลินแบบคนใจลอย
“เอ แต่ถ้าเราเป็นสุภาพบุรุษ เราควรจะห้ามคุณเมไว้ ชายหญิงคบกันพึงมีข้อห้าม แต่ห้ามแล้วเกิดชวด เสียดายไปจนตาย ไม่ได้ๆๆ ยังไงก็ต้องห้ามใจ เรายังไม่พร้อมเป็นจะเป็นพ่อคน” กังฟูคิดไปเรื่อย โดยไม่ได้สังเกตว่าหลินหลินเร่งฝีเท้าหายไปไหนแล้วไม่รู้
กังฟูมารู้ตัวอีกที อยู่ท่ามกลางที่เปลี่ยว เขามองรอบๆ อย่างงงๆ
“อ้าว แล้วมาโผล่ตรงนี้ได้ไงวะเนี่ย นี่มันไม่ใช่ทางไปบ้านคุณเมนี่นา หลินหลิน หลินหลิน” กังฟูร้อง
ตอนนั้นเอง มีผู้หญิงชุดดำสวมไอ้โม่งโผล่ออกมา
“แกเป็นใคร หลินหลินอยู่ไหน” กังฟูพูด
ผู้หญิงคนนั้นเดินมาหากังฟู แล้วลงมือจู่โจมทันที กังฟูถอยกรูด
“อั๊วไม่ตีกับผู้หญิง...โอ๊ย” กังฟูร้องเมื่อโดนเตะเข้ากลางหน้า แต่เขายังเอาแต่วิ่งหนีจึงโดนต่อย โดนเตะอีกหลายที
“ยังไงอั๊วก็ไม่สู้กับผู้หญิงหรอก โอ๊ย” กังฟูเอาแต่รับกับหนีจนสาวชุดดำฉุน เธอชี้หน้ากังฟู กวักมือให้เข้ามาหา กังฟูส่ายหน้าปฏิเสธ
“ดี” ผู้หญิงคนนั้นหายไปในเงามืด ก่อนเดินจิกหัวหลินหลินที่กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสารออกมา
กังฟูชะงัก ท่าทีเปลี่ยนไป เขาจ้องหญิงชุดดำเขม็ง ดวงตาแข็งกร้าว
“ปล่อยหลินหลินเดี๋ยวนี้นะ”
ผู้หญิงชุดดำมีท่าทีพอใจ เธอจับแขนหลินหลินบิดเหมือนจะหักแขน หลินหลินร้อง
“ไอ๊ย้า ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยเหรอวะ” กังฟูตกใจ มองไปรอบๆ
ผู้หญิงชุดดำ บิดแรงขึ้นทุกที
“พี่กังฟู ช่วยหลินหลินด้วย” หลินหลินร้องลั่น
กังฟูหันมามองหญิงชุดดำ แล้วตั้งท่ามวย
“หมัดแปดทิศ”
หญิงชุดดำผลักหลินหลินกระเด็นออกไปแล้วตั้งท่ามวยไทย เธอบุกเข้าใส่กังฟูก่อน เขาตั้งรับอย่างเดียวแล้วรอจนได้จังหวะก็สวนเปรี้ยง โดนหน้าเธอจนแทบสลบ แต่หญิงชุดดำยังไม่เลิก วนเข้าโจมตีทุกทิศทุกทาง กังฟูยังรับมือและสวนกลับได้
“มวยพหุยุทธ” หญิงชุดดำเอ่ยพร้อมกับตั้งท่า
“เพลงหมัดแปดทิศ” กังฟูเองก็ตั้งท่าใหม่เช่นกัน
เมื่อหญิงชุดดำบุกเข้าอีกที คราวนี้กลยุทธเปลี่ยนไป มีการใช้ หัว ใช้เล็บ ใช้ท่าทุ่ม ท่ารัด งัดเหวี่ยง เล่นงานจนกังฟูล้มกลิ้งไปกลิ้งมาไม่เป็นท่า เธอดูดีใจมาก แต่กังฟูก็ไม่ยอมแพ้
“ลมปราณหงส์แดง” กังฟูกำหมัด บุกเข้ามาแข็งกร้าวรุนแรง คราวนี้สูสี
“ลมปราณลิ้นมังกร” กังฟูเปลี่ยนแนวเป็นใช้ผ่ามือ อ่อนไหวพลิ้วไปมา เน้นการตบ เขาตบหน้าหญิงชุดดำได้หลายฉาด จนเธอเสียหลัก หันหลังให้ กังฟูตีก้นเธอเต็มแรง จนเธอโกรธจัด หันขวับมาตบ กังฟูจับมือเธอได้ บุกเข้าประชิดตัว กำลังจะต่อย แต่เมื่อเห็นดวงตาของหญิงชุดดำ กังฟูก็ชะงัก มองตาหญิงชุดดำก่อนอุทานออกมา
“คุณเม…”
เมลดาชะงัก มองหน้ากังฟู ทั้งสองมองหน้า สายตาประสานกันอยู่ครู่หนึ่ง
กังฟูดึงถุงโม่งของหญิงชุดดำออก เป็นเมลดาจริงๆ
“คุณเมจริงๆด้วย”
กังฟูยิ้มให้ เมลดาถอยออกไปอย่างเขินๆ
“ความแตกซะแล้ว กำลังมันส์เลย” หลินหลินที่แอบดูอยู่บ่นอุบ
กังฟูนั่งดูตำรามวยไทยพหุยุทธอยู่ที่ห้องเช่าของเมลดา สักครู่เธอก็เดินออกมาจากข้างใน
“หลินหลินหลับแล้วเหรอครับ” กังฟูถาม
เมลดาพยักหน้า ยืนคุยกับกังฟู
“เป็นไง มวยไทยพหุยุทธ” เมลดาถาม
“ผมเพิ่งเคยเห็นเพิ่งเคยได้ยินนี่แหละครับ”
“ใช่ ฉันเองก็เพิ่งได้ลองของจริงกับนาย ก่อนหน้านี้ลองซ้อมคนเดียวดู มันก็ไม่รู้ว่าถึงขั้นไหนแล้ว”
“ก็บอกดีๆก็ได้ ผมพร้อมจะมาซ้อมกับคุณเมอยู่แล้ว”
“ฉันกลัวนายลงมือไม่เต็มที่น่ะสิ อยากรู้ว่าสู้กันจริงๆมันเป็นยังไง”
“ตอนแรกที่คุณเมใช้มวยไทยธรรมดา ผมก็ยังเฉยๆ เพราะมีแค่หมัด เข่า ศอก เท้า แต่พอคุณเมเปลี่ยนมาใช้พหุยุทธ ยอมรับว่าน่วมเลย เพราะอาวุธมาแบบคาดไม่ถึง”
“นี่ฉันยังฝึกไม่ค่อยคล่องนะ แล้วก็เพิ่งฝึกไปได้ไม่กี่ท่า หลังๆมันจะมีล้ม ลุก คลุกคลาน เป็นการโจมตีในแนวพื้น แล้วยังมีการใช้หัว ใช้สะโพก เป็นอาวุธเพิ่มมาอีก”
“นี่ขนาดเพิ่งเริ่มนะ แปลว่ามวยพหุยุทธนี่น่ากลัวจริงๆ”
“พ่อฉันบอกว่ามันเป็นวิชามวยที่ใช้ในสงคราม ท่าแต่ละท่าจึงอันตรายสุดขีด มุ่งเอาชีวิตอีกฝ่าย ไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์มารยาท แม้แต่เป้าที่หว่างขาก็เป็นเป้าโจมตีของมวยพหุยุทธ”
“อันตรายจริงๆด้วยครับ” กังฟูเอ่ย
เมลดาค้อนขวับ
“คุณเมนั่งก่อนสิครับ ยืนคุยมันเมื่อย”
“ไม่เป็นไร ลมเย็นดี”
“นั่งก็ได้ลมครับ นั่งเถอะครับ ผมจะได้ไม่เมื่อยคอ”
“ข้างบนลมเย็นกว่า”
“นั่งลงเหอะน่า”
กังฟูจับแขนเมลดาดึงลงนั่งจนได้ เมลดาร้องโอ๊ย กังฟูตกใจ
“เป็นอะไรครับ” กังฟูถาม
“ก็เจ็บก้นที่นายฟาดเมื่อกี้น่ะสิ”
“ขอโทษครับ” กังฟูเอ่ย
“วิทยายุทธบ้าบออะไรของนาย ใช้วิธีตีก้นเนี่ย หา”
“ก็คุณเปิดช่องว่างนี่นา มา ถอดกางเกง เดี๋ยวผมนวดให้”
เมลดาหันขวับ จ้องกังฟูตาเขียวปั้ด
“เอ่อ...ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น ผมอยากช่วยจริงๆครับ ไม่เป็นไร ไม่นวดก็ได้ครับ” กังฟูพูด
“ไม่ใช่ก็ได้ นายห้ามนวดก้นฉันอยู่แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ตาม” เมลดาว่า
“แต่ผมรู้สึกผิดจริงๆนะครับ หวดซะสุดแรงเลย”
“รู้สึกผิดเหรอ ... งั้นยืนขึ้นสิ”
กังฟูพาซื่อ ยืนขึ้นจริงๆ
“เขยิบไปข้างหน้าอีกนิด”
กังฟูเขยิบไปข้างหน้า เมลดาเตะเปรี้ยง 3 ทีซ้อน กังฟูถลาไป เมลดาหัวเราะ
“เป็นไง อย่างนี้เรียกว่าเจ๊ากัน”
“เล่นทีเผลอ ไม่ถือเป็นผู้กล้า ไร้คุณธรรม” กังฟูชี้หน้า
“อ้าว ก็นายบอกรู้สึกผิด ฉันก็ช่วยให้นายรู้สึกดีขึ้นไง ฮ่าๆๆ”
กังฟูลุกขึ้น
“แต่คุณเตะผมหนักกว่าที่ผมฟาดคุณ”
“เป็นผู้ชายอย่าคิดหยุมหยิมสิ”
“อ้าว หลินหลิน “
กังฟูมองไปทางด้านหลังเมลดา เมลดารีบหันกลับไปดูหลินหลิน แต่ไม่มีใคร กังฟูวิ่งเข้ามาฟาดก้นเมลดาป้าบ เมลดาร้องลั่น หน้าตาเหยเก
“ไอ้กังฟู”
เมลดาวิ่งไล่เตะกังฟู กังฟูวิ่งหนีไปหัวเราะไป จนโดนเมลดาเตะก้นป้าบ เมลดาหัวเราะคิกคัก กังฟูวิ่งไล่กลับบ้าง
ทั้งสองเข้านอนโดยต่างนึกถึงเรื่องราวของวันนี้อย่างมีความสุข
วันใหม่ กังฟูกับเมลดาซ้อมท่างิ้วกัน โดยมีเฮียเฉินกับฮูหยินดูอยู่ เมื่อทั้งสองซ้อมเสร็จ หันมามองเฮียเฉินกับฮูหยิน ก็เห็นทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจ
“ดีขึ้นมากนะ” เฮียเฉินพูด
“เออ อั๊วก็ว่าดีขึ้น แบบนี้พอไปไหว” ฮูหยินว่า
กังฟูกับเมลดายิ้มดีใจ
“แต่ยังมีข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ... เอ้า มาฟังมา” ฮูหยินกวักมือเรียกทั้งสองให้มานั่งฟังที่เก้าอี้ กังฟูกับเมลดาเดินมาแต่ไม่มีใครนั่ง ยืนด้วยกันทั้งคู่
“เอ้า นั่งลง เดี๋ยวจะบอกให้ ต้องปรับอะไรกันบ้าง” ฮูหยินบอกอีกที
“อาจารย์แม่โปรดชี้แนะ” กังฟูเอ่ย
“เออ ก็นั่งลงก่อนสิ” ฮูหยินพูดอีก
“อาจารย์แม่จะให้หนูปรับตรงไหนบ้างคะ” เมลดาถาม
“ก็นั่งลงก่อนสิวะ” ฮูหยินว่า
เมลดากับกังฟูดูอิดออด
“บอกให้นั่ง” เฮียเฉินมาจากด้านหลัง กดบ่าทั้งสองคนลงนั่งพรวดบนเก้าอี้อย่างแรง
เมลดากับกังฟูร้องโอ๊ยพร้อมกัน ไหลลงจากเก้าอี้ลงไปนั่งยองๆ คลำก้นไปมาพลางร้องโอดโอย เฮียเฉินกับฮูหยินเห็นแล้วงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
สันต์เข้ามาคุยกับเมฆาที่คฤหาสน์ โดยมีมิเชลอยู่ด้วย
“นี่ครับ แผนผังการปกครองของแก๊งค์เฮียเต๋ากับแก๊งค์เฮียติงลี่”
สันต์ส่งแฟ้มให้เมฆากับมิเชลดู เมฆากับมิเชลช่วยกันดูอย่างละเอียดในรายงานของสันต์ มีทั้งภาษาไทยและภาษาจีนควบคู่กัน
“สองแก๊งค์นี้บริหารแตกต่างกันมาก เฮียเต๋านี่มันเป็นเผด็จการ ไม่เชื่อใจใคร กุมอำนาจไว้คนเดียว ส่วนไอ้เฮียติงลี่นี่มันพวกใจกว้าง เจอใครเก่งก็คบเป็นพรรคพวกไปหมด เวลาบริหารอำนาจมันต้องกระจายอำนาจของมันออกไปหลายๆทาง” เมฆาสรุปหลังจากอ่านรายงาน
“แบบนี้แปลว่าเราควรลงมือทางแก๊งค์เฮียติงลี่ใช่มั้ยคะ” มิเชลถาม
“ใช่ เข้าทางเฮียติงลี่น่าจะง่ายกว่า” เมฆาว่า
เมฆาโยนกระดาษที่แสดงผังของแก๊งค์เฮียเต๋าออกไป ก่อนอ่านดูผังของแก๊งค์เฮียติงลี่
“ดูแล้วยิ่งเห็นความลึกซึ้งของเฮียติงลี่ เขามีเพื่อนฝูงลูกน้องมากมาย แต่ไม่ไว้ใจใครร้อยเปอร์เซ็นต์ มีการคานอำนาจกันตลอด”
“แต่ฉันคิดว่าสองคนนี้น่าสนใจ” มิเชลชี้ไปที่ชื่อสองชื่อ
“เก่งมากมิเชล อย่างงี้เรียกว่าเก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊” เมฆายิ้มเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ”
เมฆาหันมาทางสันต์
“สองชื่อที่น่าสนใจคือเฮียสามกับอีกคนชื่อพายุ ไปสืบรายละเอียดของสองคนนี้มา เราจะใช้คนใดคนหนึ่งในสองคนนี้เป็นหนอนบ่อนไส้ กัดกินภายในของเฮียติงลี่ให้ขาดย่อยยับ”
“ครับ” สันต์รับคำ
เมฆายิ้มเหี้ยม
ขณะนั้น พายุนั่งกินอาหารดื่มเหล้าอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในไนท์คลับ เนตรนภาเดินมาหา
“สวัสดีค่ะ ท่านรองหัวหน้า” เนตรนภาเอ่ย
พายุหันมาเจอเนตรนภา ก็รีบลุกขึ้น
“สวัสดีครับคุณเนตรนภา”
“นั่งคนเดียวไม่เหงาเหรอคะ”
พายุดูตื่นเต้น รีบเขยิบที่ให้
“เหงาสิครับ แต่ไม่รู้จะทำยังไง กำลังนั่งภาวนาให้สวรรค์ส่งนางฟ้ามาอยู่เคียงข้างผม”
เนตรนภาหัวเราะ
“พอดีฉันชื่อเนตรนภาแปลว่าดวงตาแห่งท้องฟ้า ขอเป็นตัวแทนสวรรค์ทำหน้าที่นี้แทนแล้วกันนะคะ”
“เป็นเกียรติอย่างที่สุดเลยครับ”
เนตรนภาเบี่ยงตัว เห็นสาวสวยสองคนที่เนตรนภาพามาด้วย
“คนนี้ย้งยี้ คนนี้เหล่งนึ่ง .. สวัสดีเฮียพายุหน่อยสิ”
สองสาวไหว้พายุ พลางส่งสายตาปิ๊งๆ
“หวังว่าสองสาวนี้จะช่วยให้คุณพายุไม่เหงานะคะ”
พายุอึ้งไป
“เอ่อ…”
“เอาใจเฮียพายุดีๆนะ อย่าปล่อยให้เขาเหงานะ” เนตรนภาพูดกับสาวๆ ก่อนหันมาพูดกับพายุต่อ
“หวังว่าคงถูกใจนะคะ”
เนตรนภาเมื่อพูดจบก็จะเดินไป แต่พายุจับมือเธอไว้
“แล้วคุณจะไม่อยู่กับผมเหรอ” พายุถาม
“คุณพายุ คุณเป็นคนเก่ง แต่ที่ฉันกำลังจะบอกคุณก็คือ คนเราไม่อาจได้ทุกอย่างหรอกค่ะ ทำใจมีความสุขกับสิ่งที่มีจะดีกว่า ยิ่งดิ้นรนไขว่คว้าก็ใช่ว่าจะสมหวังเสมอไป กลับจะยิ่งเหนื่อยนะคะ” เนตรนภาแกะมือพายุออก แล้วเดินออกไป
พายุมองตามเนตรนภา แม้สองสาวเข้ามาเคลียคลอ แต่พายุก็ไม่สนใจ เขาหน้าตาเซ็งๆ สองสาวเข้ามาคลอเคลีย หนึ่งในนั้นชงเหล้าให้
“แก้วนี้น้องชงให้ ถือว่าเป็นการคารวะเฮียพายุนะคะ” เธอกล่าว
พายุปัดมือสาวคนนั้นออกไป
“ชงเองก็กินเองเหอะ”
พายุเดินออกไปโดยไม่สนใจปล่อยให้สองสาวหน้าเสียทำท่าจะร้องไห้
พายุเดินหงุดหงิดๆเข้ามาในโรงงิ้ว เห็นกังฟูซ้อมงิ้วกับนางเอกอยู่ โดยนางเอกสวมผ้าดำคลุมหน้า พายุหยุดยืนมองเหยียดๆ เห็นหน้ากังฟูมีแต่รอยยิ้มดูมีความสุขก็ยิ่งหงุดหงิด
“ไอ้กังฟู” พายุเรียก
กังฟุหยุดซ้อม รีบเดินมาหา นางเอกก็หยุดยืนมองมา
“คำนับศิษย์พี่” กังฟูเอ่ย
“ได้ข่าวว่าเล่นบทจั่นเจาเหรอ”
“ครับ”
พายุเหลือบมองนางเอกที่สวมผ้าดำ
“เล่นกะยัยหน้าเบี้ยวนั่นน่ะเหรอ”
“เอ่อ…”
“อั๊วจะบอกให้ ลื้อเล่นไม่ได้เรื่องเลย จั่นเจาอะไรวะ รำกระบี่ยังกะพ่อค้าหมูถือปังตอ จะไปสับหมูที่ไหน ไม่มีความสง่าเลย”
“ศิษย์พี่โปรดชี้แนะ”
“ยืนตัวตรง”
กังฟูยืนตัวตรง
“ช่วงขาต้องหนักแน่นเหมือนภูเขา” พายุพูดแล้วเตะเปรี้ยงเข้าที่ขาอ่อนกังฟู
กังฟูไม่ทันตั้งตัว โดนเตะขาพับทรุดฮวบ
“เอวตรงเหมือนทวน” พายุพูดต่อ
พายุถีบเอวกังฟูสุดแรง กังฟูกลิ้ง พายุตามมารวบคอเสื้อกังฟูลุกขึ้น
“คางเชิดขึ้น”
พายุกระทุ้งศอกเข้าใต้คาง กังฟูกระเด็น
“สุดท้าย...สายตาจดจ้องแน่วแน่”
พายุกำหมัดจะต่อยหน้ากังฟู แต่คราวนี้ นางเอกสวมผ้าดำคลุมหน้ายื่นมือมาสกัดไว้ พายุเงยหน้ามองนางเอก เธอปลดผ้าดำออก ก็เห็นเป็นฮูหยิน
“ลื้อทำอะไรวะพายุ” ฮูหยินเอ่ย
พายุตกใจสุดขีด
“อาจารย์แม่” พายุรีบปั้นยิ้ม
“แหม ว่าแล้วเชียวต้องเป็นอาจารย์แม่ หุ่นเป๊ะซะขนาดนี้จะมีเป็นใครไปได้อีก” พายุประจบ
“เหรอ ไม่ขนาดนั้นหรอก อิๆ” ฮูหยินยิ้มพอใจ
“อาจารย์แม่ใส่หน้ากากทำไมครับเนี่ย” พายุถาม
“อ๋อ ซ้อมบทกับกังฟูน่ะ แต่มันบอกเห็นหน้าอั๊วแล้วเล่นไม่ออก อั๊วเลยเอาผ้ามาคลุมหน้า” ฮูหยินบอก
“แต่ยังไม่อาจซ่อนความงามได้ อาจารย์แม่ เข้าบ้านกันเถอะ” พายุจะพาฮูหยินออกไป แต่ฮูหยินรั้งไว้ มองพายุดวงตาคมปลาบ
“เมื่อกี้ทำไมลื้อต้องเล่นงานกังฟูด้วย” ฮูหยินถาม
“อ๋อ อั๊วเห็นกังฟูมันรำกระบี่เก้ๆกังๆ ส่วนอาจารย์แม่หมดจดงามสง่า ทนดูไม่ได้เลยต้องเข้ามาสอนน้องให้มันรำให้สวยงาม”
ฮูหยินพยักหน้าเห็นด้วย
“ดีแล้วๆ แต่ลื้อลงมือหนักไปรึเปล่าเนี่ย” ฮูหยินเอ่ย
“โธ่ กังฟูมันเห็นอาจารย์แม่อยู่ด้วย มันก็แกล้งออเซาะน่ะสิ ทำเป็นล้มกลิ้งไปงั้นแหละ” พายุว่า
“อาจารย์แม่ ศิษย์ไม่เป็นไร ศิษย์พี่สอนถูกต้องแล้ว หนักเบานิดหน่อยไม่ถือเป็นอะไรฎ กังฟูเอ่ย
“ดีใจที่ศิษย์น้องเข้าใจ” พายุพูด
“งั้นก็ดีแล้ว ... เพิ่งกลับมาเหรอ หิวไหมเนี่ย” ฮูหยินถาม
“หิวครับ หิ้วท้องรอมาทานอาหารฝีมืออาจารย์แม่ครับ” พายุว่า
“งั้นเดี๋ยวอั๊วไปทำอะไรให้กิน กังฟู ลื้อซ้อมไปคนเดียวก่อนแล้วกันนะ ที่พายุสอนลื้อน่ะถูกต้องแล้ว จั่นเจาเป็นจอมยุทธ ต้องสง่าผ่าเผยเหมือนจอมยุทธ”
“ครับ” กังฟูรับคำ
ฮูหยินเดินไปกับพายุ
กังฟูที่นั่งอยู่ ลุกขึ้น แต่แล้วกลับทรุดลงไป เจ็บขาตรงที่โดนเตะ
“แปลว่าช่วงล่างเรายังไม่แข็งแกร่งพอ” กังฟูกัดฟันลุกขึ้นยืน ยืนขึ้นมาได้ ก็ตัวงอ คลำป้อยๆ เจ็บที่โดนต่อย
“ลำตัวต้องตั้งตรง” กังฟูตัดใจ ยืดตัวตรง แล้วก็ร้องจ๊าก แต่ก็กัดฟันทน
“นี่สินะ ท่วงท่าของจอมยุทธจั่นเจา” กังฟูรำกระบี่อีกที พยายามเอาชนะความเจ็บปวดที่โดนพายุต่อย ยืนถือกระบี่ตั้งท่าอย่างสง่างาม แต่ก็ไม่ไหว ทรุดฮวบลงไปกอง
“อูย ศิษย์พี่ลงมือหนักหน่วงจริงๆ...แล้วจะเล่นงิ้วไหวมั้ยเนี่ย” กังฟูเอ่ย
เมื่อช่วงเวลาโรงเรียนเลิกมาถึง นักเรียนก็ทยอยกันเดินกลับบ้าน บู๊ลิ้มยืนแอบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง คอยโผล่หน้ามาดูพวกนักเรียนที่เดินออกมา
“คุณหลินหลินครับ ไม่ทราบคืนพรุ่งนี้คุณหลินหลินจะพอให้เกียรติผมไปร่วมทัศนา รับชมงิ้ว... เอ๊ย อุปกรณ์จีนด้วยกันได้ไหมครับ..” บู๊ลิ้มซ้อมท่องบทอยู่คนเดียวด้วยท่าทีประหม่า
บู๊ลิ้มถือซองจดหมายสีชมพูใบหนึ่งในมือ เขามองซองจดหมาย บนหน้าซองมีลายมือเด็กผู้ชายบรรจง เขียนว่า เรียนเชิญคุณหลินหลิน บู๊ลิ้มดูลายมือตัวเองบนซอง แล้วก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง บู๊ลิ้มตกใจ
“เฮ้ย...เรียนเชิญ เฉยๆ มันไม่สุภาพนี่หว่า มันต้องบอกว่า ขอเรียนเชิญ...เอาไงดีวะ”
บู๊ลิ้มหยิบปากกาออกมา นั่งลง เขียนบนตักตัวเอง เขียนคำว่า "ขอ" เพิ่มลงไปอีกคำ แต่ตัวหนังสือโย้เย้
“ไม่สวยเลย ไม่น่าเขียนเพิ่มลงไปเลย” บู๊ลิ้มเอ่ย
หลินหลินโผล่มาจากทางด้านหลัง
“อะไรอ่ะ”
เมื่อบู๊ลิ้มหันมาเจอ ก็ตกใจสุดขีด ถอยหลังเสียหลัก หงายหลังตึง เขารีบลุกขึ้นมายืน ซ่อนซองไว้
“หลินหลิน หวัดดีจ้ะ แหะๆ” บู๊ลิ้มพูด
“นั่นซองไร” หลินหลินถาม
“อ๋อ ไม่มีอะไร ซองผ้าป่า”
“เอามาสิ เขียนชื่อฉันไม่ใช่เหรอ ฉันจะทำบุญ”
“วันหลังก็ได้”
หลินหลินเข้ามาแย่งซองไป
“เอามานี่”
หลินหลินเปิดซอง เจอบัตรดูงิ้วสองใบ ทำมาจากกระดาษซีร็อกส์ เขียนภาษาจีนเยอะแยะ
“ไม่ใช่ผ้าป่านี่ นี่มันตั๋วอะไรเหรอ”
“แหะๆ ไม่ใช่ผ้าป่าหรอก ฉันล้อเล่น...เอ่อ ...คืองี้ อะแฮ่ม” บู๊ลิ้มเก๊กหล่อแล้วพูดต่อ
“คุณหลินหลินครับ ไม่ทราบคืนพรุ่งนี้คุณหลินหลินจะพอให้เกียรติผมไปร่วมทัศนา รับชมอุปกรณ์จีนด้วยกันได้ไหมครับ”
“อุปกรณ์จีนบ้านเธอสิ งิ้วใช่ไหม เขาเรียกอุปรากรจีน”
“ขอโทษ ฉันจำผิดอ่ะ” บู๊ลิ้มพูด เขารู้สึกอายมาก
“สรุปว่าจะชวนดูงิ้ว เอาเดะ ไปก็ไปเดะอะโด่ นึกว่าเรื่องอะไร” หลินหลินเอากระเป๋าฟาดหลังบู๊ลิ้ม แล้วเดินกอดคอไปแบบซี้กัน หลินหลินท่าทางร่าเริง ไม่ได้คิดอะไร แต่บู๊ลิ้มแอบยิ้มเคลิบเคลิ้มมีความสุข จับมือหลินหลินที่คล้องคอเขาอยู่ให้คล้องแน่นๆ มากขึ้น
บู๊ลิ้มเดินหน้ายิ้มกริ่มเข้ามาในโรงงิ้ว เฮียเฉิน เฮียหล่อ เฮียเก้า นั่งกินขนมหวานกันอยู่ เฮียเฉินรีบเข้าไปหา
“เฮ้ย บู๊ลิ้ม เป็นไง สำเร็จมั้ย”
บู๊ลิ้มดูเขินๆ
“สำเร็จครับ”
เฮียเฉินหัวเราะถูกใจ ขยี้หัวบู๊ลิ้ม
“ร้ายกาจมาก อย่างงี้สิวะถึงสมเป็นลูกป๊า”
บู๊ลิ้มยักคิ้วให้ เฮียเฉินหัวเราะ สองพ่อลูกหยอกล้อกัน
อ่านต่อหน้าที่ 2
เฮียหลอกับเฮียเก้าดูภาพสองพ่อลูก แล้วเฮียเก้าก็พลอยยิ้มแย้มไปด้วย แต่เฮียหลอดูอึ้งๆ แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป
“อ้าว จะไปไหนวะไอ้หลอ”
“เอาเหล้ามากิน”
“อะไรของลื้อวะ กินขนมกันอยู่ดีๆจะไปเอาเหล้ามากิน”
เฮียหลอไม่ตอบ สายตายังมองที่เฮียเฉินกับบู๊ลิ้ม เฮียเก้ามองตามแล้วเข้าใจ
“ไอ้หลอเอ๊ย อั๊วนึกว่าลื้อลืมเรื่องนี้ไปได้แล้ว”
“อั๊วไม่เคยลืม เพียงแต่วันนี้อั๊วยังไม่เมา ที่ลื้อนึกว่าอั๊วลืมได้แล้วน่ะ อั๊วแค่เมา อั๊วไม่เคยลืมเรื่องนั้นได้หรอกเดี๋ยวมา”
เฮียหลอเดินจากไป เฮียเก้าถอนใจ สักพักบู๊ลิ้มก็จากไป เฮียเฉินเดินกลับมานั่ง
“ไอ้หลออ่ะ”
“ไปเอาเหล้า ... มันเห็นลื้อกับบู๊ลิ้ม…”
เฮียเฉินนึกได้ ทำหน้าปวดใจ
“อั๊วไม่ตั้งใจ ...อา ความผิดอั๊วเอง อั๊วไม่น่าทำแบบนั้นเลย” เฮียเฉินเอ่ย
“เมื่อไหร่มันจะลืมเรื่องนี้ได้ว้า” เฮียเก้าว่า
“มันลืมไม่ได้หรอก ลื้ออาจจะไม่เข้าใจเพราะลื้อไม่มีลูก” เฮียเฉินบอก
มิเชลยืนดูย่านชุมชนชาวจีนเก่าแก่ เมฆาอยู่ข้างๆมิเชล เมฆาดูเบื่อๆ ขณะที่มิเชลดูมีความสุขเล็กๆ
“คุณพาผมมาดูอะไรเนี่ย” เมฆาถาม
“ฉันเกิดที่นี่” มิเชลเอ่ย
“อะไรนะ...คุณเกิดเมืองไทยเหรอ” เมฆาถาม
“ใช่...ฉันอยู่ที่นี่จนถึง 4 ขวบ แม่ถึงพาฉันไปฮ่องกง แม่ตายที่ฮ่องกง แล้วฉันก็ได้เจออาจารย์จางซื่อ”
“บ้านคุณหลังไหนล่ะ”
“บ้านฉันโดนไฟไหม้ไปแล้ว”
“น่าเสียดาย”
“คนเผาบ้านคือพ่อฉันเอง”
“ทำไมเขาทำแบบนั้นล่ะ”
“เขาไม่ตั้งใจหรอก เขาเมา แม่ฉันโกรธมาก เพราะเขาไม่เคยคิดจะเลิกเหล้าเลย ก็เลยพาฉันหนีไปฮ่องกง เขาก็ไม่คิดจะไปตาม”
“เป็นพ่อที่แย่จริงๆ”
“ใช่”
“แต่สำหรับผม...คงต้องขอบคุณเขา เพราะไม่งั้นอาจจะไม่ได้เจอคุณ”
เมฆาจับมือมิเชล
“ฉันจำพ่อเลวๆคนนั้นได้น้อยมาก จำหน้าไม่ได้ จำได้แต่ว่าเขาชอบเมาเหล้า แล้วก็ชื่อ...หลอซัน” มิเชลเอ่ย
กังฟูเดินกะเผลกๆกลับมาบ้าน ถอดเสื้อออก เหลือเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น เห็นรอยช้ำปื้นใหญ่ที่ขาที่โดนเตะ พอเลิกชายเสื้อกล้ามขึ้นก็เห็นรอยช้ำอีกปื้นที่ลำตัว เขาพยายามกล้ำกลืนความเจ็บปวด เดินหยิบผ้าเช็ดตัว เข้าห้องน้ำ
“จั่นเจาเป็นยอดจอมยุทธ แค่นี้ต้องทนได้” กังฟูเอ่ย
ตกกลางคืน เหมยอิงนั่งเย็บชุดกี่เพ้าสีสดสวยงามอยู่ สวยเดินหอบถุงหลายใบเข้ามา
“ขอโทษค่ะมาดาม กลับมาดึกไปหน่อย” สวยเอ่ย
“ได้ของครบตามที่ต้องการรึเปล่า” เหมยอิงถาม
“ค่ะ”
“ดี...ขอบใจเธอมากนะสวย”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“พรุ่งนี้ฉันคงต้องพึ่งเธอแล้วนะ”
“ค่ะ สวยพร้อมค่ะ”
เหมยอิงยิ้มเล็กน้อย เป็นยิ้มที่ดูลึกลับ
จางซื่อนั่งอยู่ตามลำพังห้องทำงานเมฆา ไฟในห้องปิดมืด มีเพียงไฟจากโต๊ะทำงานที่ส่องแสงสว่างอยู่ ในมือมีรูปถ่ายขาวดำ เป็นรูปของจางซื่อกับจางเหลียงถ่ายด้วยกัน
“พี่จางเหลียง...จางฟุจะอยู่หรือตาย พรุ่งนี้อั๊วคงได้รู้คำตอบแล้ว ถ้ามันตายไปแล้วก็แล้วไป แต่ถ้ามันยังไม่ตาย พรุ่งนี้อั๊วจะส่งเสริมให้สองพ่อลูกได้เจอหน้ากันเร็วๆ ...ในโลกของคนตาย” จางซื่อรำพึง แล้วเก็บรูปเข้ากระเป๋า ปิดไฟ
ยามเช้าของวันใหม่ ที่ประตูโรงงิ้ว คนงานเอากระดาษแดงเขียนอักษรมงคลมาติดหน้าประตู ส่วนในโรงงิ้ว ก็มีคนงานปัดกวาดเช็ดถูกันวุ่นวาย โดยมีฮูหยินชี้นิ้วบัญชาการ
“เฮ้ย ตรงนั้นยังสกปรกอยู่เลย ถูให้สะอาดสิ...กระถางโป๊ยเซียนตั้งให้ตรงๆสิวะ...ไอ้ป๋องแป๋ง รีบไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวนี้ เสี่ยอี๊ดมาจัดงานวันเกิดที่นี่ เขาเจอลื้อใส่เสื้อดำแล้วเผ่นกลับลื้อมีปัญญาจ่ายเงินค่าจัดงานมั้ย หา ไอ้ซาจี๊นี่...คนดูรอบนี้เสี่ยอี๊ดให้ดูฟรี เก้าอี้ไม่ต้องจัดแน่นมาก ให้ยืนดูบ้างก็ได้ ...ทุกคนฟังนะ ถ้าทุกคนตั้งใจทำงาน เสี่ยอี๊ดพอใจ เขาจะให้อั่งเปา แล้วจะได้จ้างเราเล่นงิ้วทุกๆปี เพราะฉะนั้นห้ามชุ่ยนะโว้ย”
คนงานทุกคน พยักหน้าเข้าใจ
เหมยอิงแต่งตัวสวยงาม โดยมีสวยมาส่งที่หน้าบ้าน
“ฝากด้วยนะสวย” เหมยอิงว่า
“ค่ะ”
เหมยอิงกำลังจะเดินออกไป เมฆามาพอดี
“คุณแม่จะไปไหนเหรอครับ” เมฆาถาม
“จะไปดูงิ้วจ้ะ” เหมยอิงบอก
“ไม่พาสวยไปด้วยเหรอครับ”
“แม่ให้สวยทำธุระอย่างอื่น อีกอย่างสวยมันดูไม่รู้เรื่องหรอก”
“งั้นผมขับไปส่งให้ไหมครับ เลิกแล้วผมไปรับ”
“ไปเป็นไรหรอก แม่เรียกแท็กซี่ไปเองได้ ไม่อยากกวน”
“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมว่าง ผมขับไปส่งแล้วกัน”
เมฆาเข้ามาประคองเหมยอิง แต่ที่จริงจับแขนพาไปขึ้นรถ เมฆายิ้มให้เหมยอิง เหมยอิงฝืนยิ้มตอบ
เมฆาขับรถไป โดยมีเหมยอิงนั่งอยู่ตอนหลัง
“จะถึงสี่แยกแล้วครับ ไปทางไหนต่อครับ” เมฆาถาม
“เธอไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ เมฆา” เหมยอิงว่า
“ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ แม่ไม่เคยพาผมมาดูงิ้วด้วยเลย แม่มาคนเดียวตลอด”
เหมยอิงมองเมฆา แล้วบอกทาง “เลี้ยวซ้าย”
“ครับ” เมฆาเลี้ยวซ้ายตามที่ว่า
เหมยอิงกับเมฆาแอบมองกัน ต่างงคนต่างครุ่นคิดวางแผนในใจ
เมื่อมาถึง เมฆาจอดรถ ลงมาเปิดประตูรถให้เหมยอิง
“เชิญครับ” เมฆาเอ่ย
เหมยอิงอิดออดเล็กน้อย
“เป็นอะไรครับ ไม่อยากดูงิ้วแล้วเหรอครับ” เมฆาถาม
“ดูจ้ะ ดู...เธอจะดูด้วยกันมั้ย”
“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวพอเสร็จแล้วผมมารับดีกว่า”
เหมยอิงดูโล่งอกขึ้น เดินตรงไปที่โรงงิ้ว เมฆายืนอยู่สักพัก สันต์ที่แฝงกายอยู่แถวนั้นก็เดินเข้ามาหา
“เป็นไง” เมฆาถาม
“เราตรวจดูอย่างละเอียด ยังไม่เจออะไรน่าสงสัยครับ” สันต์ว่า
“สอบถามคนแถวนี้รึยัง” เมฆาถามต่อ
“ถามแล้วครับ ทุกคนยืนยันว่ามาดามชอบมาดูงิ้วที่นี่ แต่ก็มาดูงิ้วอย่างเดียว ไม่เคยพูดคุย ทักทายอะไรกับใคร” สันต์ว่า
“สั่งลูกน้องแกจับตาดูให้ดี ฉันกับแกออกหน้าไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะรู้ตัว” เมฆาสั่ง
“เข้าใจแล้วครับ”
สันต์เดินไปทางที่เหมยอิงเดินไป
กังฟูเดินขโยกเขยกเข้ามาในโรงงิ้ว เมลดาเห็นเข้า ก็รีบเข้ามาหา
“นายเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมเดินท่าแปลกๆแบบนี้ล่ะ” เมลดาถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ”
อีกด้านหนึ่ง บู๊ลิ้มก็พาหลินหลินเข้ามา
“ฉันไม่เคยดูงิ้วมาก่อนเลย สนุกไหม” หลินหลินเอ่ย
“เดี๋ยวก็รู้ “
เหมยอิงเดินมาตามทาง เข้าสู่บริเวณโรงงิ้ว บรรยากาศจอแจ เหมยอิงไม่ได้เข้าไปที่โรงงิ้วที่กังฟูแสดง แต่เป็นที่อื่น เธอเดินซื้อน้ำซื้อขนม ระหว่างนั้นลูกน้องสันต์ที่ปะปนในหมู่คนดู แอบจับตาดูเหมยอิงตลอดเวลา ต่อมา เหมยอิงเดินเข้าไปห้องน้ำหญิง
เหมยอิงเข้ามา เจอสวยรออยู่แล้ว
“มาดาม เป็นไงบ้างคะ” สวยถาม
“เมฆามันแกล้งทำเป็นไม่รู้ทาง แต่ฉันดูออกว่าเขารู้ มันคงนึกว่าที่นี่คือที่ที่ฉันมาดูงิ้วประจำ หึๆ” เหมยอิงว่า
“มาดามไม่ได้มาที่นี่ประจำเหรอคะ” สวยถาม
“ไม่ ฉันแกล้งมาที่นี่เพื่อไปที่อื่นต่อ ... ระวังตัวนะสวย ในนี้ต้องมีลูกน้องเมฆาคอยจับตาดูอยู่”
“แล้วเราจะทำสำเร็จเหรอคะ”
“ถ้าเราไม่กลัวเกินไป เราทำได้”
ฝ่ายลูกน้องสันต์ที่แอบดูอยู่ชักกังวลใจ ก้มดูนาฬิกาสลับกับมองไปทางห้องน้ำ รู้สึกว่าเหมยอิงอยู่ในห้องน้ำนานเกินไป เขาตัดสินใจจะเดินไปที่ห้องน้ำ แต่ก็เห็นเหมยอิงเดินออกมา ไปนั่งปะปนอยู่กับคนดู เขาจึงคลายใจ นั่งดูเหมยอิงต่อ
อีกด้านหนึ่ง เหมยอิงในชุดของสวย สวมแว่นสายตากรอบหนา สวมวิก เดินก้มหน้าก้มตาเรียกสามล้อ สามล้อจอด เหมยอิงขึ้นไปบนรถ แล้วรถตุ๊กๆ ก็วิ่งออกไป เหมยอิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
โดยเหมยอิงที่ลูกน้องสันต์จับตาดูอยู่ ที่แท้คือสวยนั่นเอง สวยนั่งนิ่งๆ แต่นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นและความกลัว
ระหว่างที่ทีมงานและนักแสดงกำลังเตรียมตัว เสี่ยอี๊ด เจ้าของงานวันเกิดก็เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้อง 2-3 คนเดินตามมาด้วย ฮูหยินหันมาเห็นก็รีบพาเฮียเฉินมาหา
“เสี่ยอี๊ด สวัสดีค่ะ สุขสันต์วันเกิดค่ะ” ฮูหยินเอ่ย
“ขอบคุณๆๆๆ” เสี่ยอิ๊ดว่า
“ผมในฐานะตัวแทนคณะงิ้วฟ้าดิน ขออวยพรให้เสี่ยอี๊ดมีความสุขสมบูรณ์มั่งคั่ง อายุยืนพันๆปี” เฮียเฉินพูด
“ขอบคุณอีกครั้ง เอาล่ะ วันนี้ทุกคนเล่นให้เต็มที่เลยนะ ถ้าเล่นดี อั๊วมีโบนัสให้อีก” เสี่ยอี๊ดว่า
“อย่างงี้เล่นสุดชีวิตเลยครับ” เฮียเฉินเอ่ย
เสี่ยอี๊ด ฮูหยิน เฮียเฉินหัวเราะกัน
“อ่ะ อันนี้มัดจำจะได้รู้ว่าอั๊วพูดจริง” เสี่ยอี๊ดยื่นมือ ลูกน้องส่งขวดวิสกี้สวยงามให้ เขารับมาโชว์ให้พวกฮูหยินดู
“ขวดนี้ชั้นพรีเมี่ยมเลย อ่ะ อั๊วให้เป็นมัดจำ”
ฮูหยินพนมมือไหว้ แต่พอจะยื่นมือไปรับเฮียหลอมาจากไหนไม่รู้ รับเหล้าไปแทน
“ขอบคุณขอบคุณ” เฮียหลอว่า
เสี่ยอี๊ดงงๆ แต่ได้แต่ฝืนยิ้ม แล้วเดินออกไป
“โอ้โฮ ขวดนี้เข้าขั้นอรหันต์ หายากมากเลยนะ บุญปากของอั๊วจริงๆ” เฮียหลอเอาเหล้ามาชื่นชม
นักแสดงแต่งตัวใส่เสื้อผ้ากันดูวุ่นวาย ส่วนกังฟูนั่งเขียนหน้าให้เมลดาอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง
“กังฟู นายเล่นไหวมั้ย” เมลดาถาม
“ไหวครับ” กังฟูยิ้ม
“ตอนฉันเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเคยเล่นละครเวทีด้วย”
“เป็นไงครับ”
“จะว่าไปมันก็มีบางมุมที่เหมือนงิ้วเหมือนกัน”
“ตรงไหนครับ”
“เมื่ออยู่บนเวที นักแสดงทุกคนก็เหมือนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ถ้าใครพลาด คนอื่นต้องช่วย ไม่อย่างนั้นเรืออาจจะล่ม”
“ก็จริงครับ”
“ถ้านายไม่ไหว นายต้องบอกฉันนะ อย่าฝืน ฉันจะช่วยนาย เราต้องไปด้วยกัน”
“ขอบคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไร บอกแล้วไงเราลงเรือลำเดียวกัน”
“แล้วถ้า…”
“ถ้าอะไร”
“ถ้างิ้วเรื่องนี้จบแล้ว คุณเมกับผม เรายังจะไปด้วยกันได้รึเปล่าครับ”
เมลดาหน้าแดงวูบ
“รองิ้วจบค่อยว่ากันแล้วกัน...มา ฉันช่วยใส่เสื้อผ้าให้”
เมลดาเปลี่ยนเรื่อง พลางช่วยกังฟูประดับเสื้อผ้า
ตกกลางคืน พายุนั่งเบื่อๆอยู่คนเดียว เนตรนภาเดินมาหา พายุฝืนยิ้มให้
“คุณเนตรนภา” พายุเอ่ย
“เป็นอะไร วันนี้ดูเบื่อๆ ได้ข่าววันก่อนคุณไม่ยอมอยู่กับน้องๆที่ฉันหามาให้เหรอ” เนตรนภาถาม
“ผมถือว่าคุณดูถูกผมมาก ผมไม่ได้อยากนั่งกับน้องๆพวกนั้น”
“ฉันขอโทษ...ฉันขอแก้ตัวแล้วกัน ค่ำนี้ฉันจะอยู่กับคุณ”
พายุมองหน้าเนตรนภา
“บางทีเฮียติงลี่ก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกฉัน เห็นฉันเป็นแค่ดอกไม้สวยๆดอกหนึ่ง”
“เอาเถอะ อย่าไปพูดถึงเขาเลย...คืนนี้คุณอยากไปที่ไหน” พายุว่า
“ไปที่ไหนก็ได้ ที่ที่ฉันไม่เคยไป”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเคยไปที่ไหนมาบ้าง”
เนตรนภาอมยิ้ม
“ลองเดาดูสิ ถ้าคุณพาฉันไปที่ที่ฉันไม่เคยไปแล้วทำให้ฉันสนุกได้ ถือว่าคุณชนะ ฉันจะให้รางวัล”
“รางวัลคืออะไรครับ”
“ไม่บอก...แต่ถ้าไปที่ที่ฉันเคยไปแล้ว ถือว่าคุณแพ้นะ”
“ผู้หญิงสวยและกล้าอย่างคุณ คงไปมาหมดแล้วเกือบทั่วทั้งกรุงเทพ”
พายุคิดอะไรออก
“แต่ผมมีอยู่ที่นึง ขอลองเสี่ยงดู”
สามล้อที่เหมยอิงนั่งมาจอดที่หน้าโรงงิ้ว มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งตามสามล้อมาจอด เหมยอิงลงจากรถสามล้อ เดินเข้าไปในโรงงิ้ว คนขับมอเตอร์ไซค์เป็นผู้ชายลงมา เขาคืออาเฟยนั่นเอง
เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียหลอ นั่งจิบน้ำชากัน เทน้ำชาจากกาชา รินใส่ถ้วยชา ยกจิบช้าๆ ฮูหยินที่แต่งตัวสวยงามมาก เดินผ่านมาเห็นพอดี
“นั่งทำอะไรกันเนี่ย” ฮูหยินถาม
“จิบน้ำชาก่อน วอร์มเส้นเสียงให้มันอุ่นๆ เดี๋ยวจะได้ร้องเพราะ” เฮียเฉินว่า
“ดีๆๆ” ฮูหยินเดินจากไป สามเฮียมองตามไป ปิดปากหัวเราะคิกคัก
“น้ำชาสก็อตวิสกี้ ฮ่าๆๆ” เฮียหลอเอ่ย
เฮียเก้ายกดื่มรวดเดียวหมดจอก
“ร้อนๆๆ น้ำชาลวกปากเว้ย” เฮียเก้าว่า
สามเฮียหัวเราะกัน เฮียเก้าเทวิสกี้จากกาน้ำชาใส่จอก ยกดื่มอีกจอก
“เฮ้ย ช้าๆๆ โว้ยไอ้เก้า เดี๋ยวหมดกา เสี่ยอี๊ดเขาให้มาขวดเดียว” เฮียเฉินว่า
“อย่าเขียมเลยวะ อยากกินก็กิน หมดก็หาใหม่โว้ย” เฮียหลอพูด ซดอีกจอก แล้วรินเติม
“อั้ยหยา แทนที่จะค่อยๆจิบกันให้มันสุนทรีหน่อย ... อย่างงี้อั๊วก็อดสิวะ” เฮียเฉินว่า แล้วยกจอกซดพรวด แล้วรีบรินอีกจอกบ้าง
รถเก๋งหรูคันหนึ่งวิ่งมาจอดหน้าโรงงิ้ว จางซื่อกับมิเชลลงมาจากรถ คนขับขับรถวิ่งต่อไป อาเฟยที่รออยู่เดินมาหาจางซื่อ
“ มาดามเหมยเข้าไปในโรงงิ้วแล้ว” อาเฟยบอก
“เขารู้ตัวมั้ย” จางซื่อถาม
“ไม่ครับ ศิษย์ทำตามคำสั่งอาจารย์ สะกดรอยเขาตั้งแต่โรงงิ้วแรก เขาสลับตัวกับคนใช้ แล้วมาที่นี่ตามลำพัง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าศิษย์ตามมา” อาเฟยบอก
“หึๆ เธอนึกว่าเธอฉลาดแล้วเหรอเหมยอิง แต่เธอไม่ได้ฉลาดไปกว่าฉันหรอก” จางซื่อเอ่ย
“อาจารย์คาดการณ์แม่นยำ อาจารย์รู้ได้ยังไงคะว่าเขาจะทำแบบนี้” มิเชลว่า
“พอฉันบอกเหมยอิงว่ารู้เรื่องที่แอบมาดูงิ้ว ถ้าเธอเป็นเหมยอิง เธอจะทำยังไง”
มิเชลหยุดคิดสักพัก
“อาจารย์พูดแบบนั้นเป็นการบีบให้มาดามต้องมาดูงิ้ว เพราะถ้าไม่มาก็ดูจะมีพิรุธ ต้องมาแต่ต้องหาทางหลบเลี่ยงไม่ให้คนอื่นตามมาถูกทาง”
“ถูกต้อง นี่เรียกว่านั่งในใจศัตรู กับคนอย่างเหมยอิง ซื้อไม่ได้ ข่มขู่ก็ไม่ได้ ต้องให้เขาบอกเราเอง”
“อาจารย์ลึกซึ้งยิ่งนัก…” มิเชลเอ่ย ก่อนหันไปพูดกับอาเฟย “ศิษย์พี่บอกเมฆารึยัง”
“ทำไมข้าต้องบอกมัน” อาเฟยถาม
มิเชลงง หันมามองจางซื่อ
“มิเชล เรื่องนี้ข้าบอกเจ้าแต่ไม่บอกเมฆา เจ้าคิดด้วยนะว่าทำไม” จางซื่อพูด
มิเชลอึ้งจางซื่อเดินตรงไป ปล่อยให้มิเชลยืนขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบตามจางซื่อไป แล้วเข้าไปในโรงงิ้ว พายุกับเนตรนภาลงจากแท็กซี่ เดินเข้ามาที่หน้าโรงงิ้ว
“คุณพาฉันมาดูงิ้วเนี่ยนะ” เนตรนภาว่า
“คุณเคยมารึยัง” พายุถาม
“ยัง”
“ผมชนะไปครึ่งนึงแล้ว”
“แต่ถ้าน่าเบื่อล่ะก็ ถือว่าแพ้นะ”
“ลองดูครับ”
พายุพาเนตรนภาเข้าไปในโรงงิ้ว
ห่างออกมาไม่มาก บู๊ลิ้มในชุดหล่อเนี้ยบ ยืนอยู่ท่าทางกระวนกระวาย ชะเง้อมองไปรอบๆ มือถืออะไรสักอย่างอยู่ด้านหลัง หลินหลินเดินมา แต่งตัวธรรมดาแบบเด็กผู้ชาย บู๊ลิ้มยิ้มแป้น รีบเข้าไปหา
“นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”บู๊ลิ้มเอ่ย
“มาสิ ทำไมจะไม่มา” หลินหลินว่า
บู๊ลิ้มยื่นดอกกุหลาบสีสดให้หนึ่งดอก
“ดอกไม้งามแด่สาวงามครับ” บู๊ลิ้มพูด
“ลืมแล้วเหรอไง ฉันต้องปลอมเป็นเด็กผู้ชายนะ”
“เอ่อ...จริงด้วย...งั้นทิ้งไปก็ได้”
บู๊ลิ้มจะทิ้งดอกกุหลาบ หลินหลินเห็นแล้วสงสาร
“แต่เธออุตส่าห์เตรียมมาให้…”
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อความปลอดภัยของหลินหลิน ทิ้งมันไปดีกว่า” บู๊ลิ้มว่า
หลินหลินจับดอกกุหลาบไว้
“งั้นขอกลีบหนึ่งละกัน” หลินหลินเด็ดกลีบกุหลาบมาหนึ่งกลีบ เก็บใส่กระเป๋าเสื้อข้างซ้าย
“ไว้ตรงนี้นะ” หลินหลินว่า
บู๊ลิ้มยิ้มแก้มปริ โยนดอกกุหลาบทิ้งขยะไป
“ไปเถอะ” บู๊ลิ้มจับมือหลินหลินพาเข้าไปในโรงงิ้ว
ฮูหยินเดินมาหากังฟูกับเมลดา
“พร้อมแล้วนะ วันนี้คนดูเยอะมากเลย ไม่เชื่อออกไปดูสิ”
เมลดาตื่นเต้น เดินออกมา มองออกไปทางหลืบเล็กๆ เห็นคนดูมากมาย
“หูย มากันเยอะจริงๆด้วยค่ะ” เมลดาเอ่ย
“สงสัยจะมาดูพระนางคู่ใหม่ พวกลื้อต้องทำให้ดีๆนะ”
เมลดาท่าทางตื่นเต้น แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นเนตรนภานั่งดูอยู่กับพายุ
“นั่นมัน…” เมลดาเดินกลับมา
“อย่าตื่นเต้นล่ะ” ฮูหยินเดินจากไป
เมลดามองหน้าตัวเองในกระจกเงา หยิบดินสอเขียนหน้าขึ้นมา
“คุณเมจะทำอะไร” กังฟูถาม
“เนตรนภามาด้วย ฉันไม่อยากให้เขาจำฉันได้ ฉันจะแต่งหน้าเพิ่ม” เมลดาบอก
“เหรอครับ จะว่าไป เขาก็เคยเห็นหน้าผมเหมือนกัน ... มา ผมช่วยเองครับ”
กังฟูหยิบดินสอเขียนหน้าไป
คนดูมากันมากมายเต็มโรงงิ้วไปหมด โดยมีเสี่ยอี๊ดนั่งด้านหน้าสุด
“วันนี้คนดูมากันมากมาย เพราะตั้งใจมาอวยพรวันเกิดเสี่ยอี๊ด ถือเป็นหน้าเป็นตา ของคณะงิ้วฟ้าดินของเราด้วย” ฮูหยินมายืนค้อมตัวพูดคุย
“ขอบคุณๆ แล้วนี่เมื่อไหร่จะแสดง เลยเวลาแล้วนี่นา” เสี่ยอี๊ดเอ่ย
“ใกล้แล้วค่ะ อดใจรออีกนี้ดเดียวนะคะ”
ฮูหยินมองไปทางหลังเวที หน้าตาหงุดหงิด ยิ้มให้เสี่ยอี๊ดแล้วรีบเดินไปทางหลังเวที
ขณะนั้น บู๊ลิ้มเอาน้ำกับขนมมาให้หลินหลินที่นั่งรออยู่ หลินหลินนั่งอุดหูอยู่
“ทำอะไรน่ะ” บู๊ลิ้มถาม
“เค้าบอกงิ้วหนวกหูมาก” หลินหลินว่า
“มีบ้าง แต่ไม่มากขนาดนั้นหรอก เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวถ้าหนวกหูมาก ผมจะอุดหูให้ หลินหลินจะได้มีมือกินขนมไงครับ”
“ขอบใจจ้ะ”
“ซ้อมไว้ก่อนนะครับ”
บู๊ลิ้มเอามือปิดหูให้หลินหลิน หลินหลินกินขนมที่บู๊ลิ้มเอามาให้
เป๋งกุ่ยนั่งกินขนมอยู่ห่างออกมา มองไปเห็นบู๊ลิ้มกับหลินหลินพอดี
“บู๊ลิ้มกับหลินปิงนี่หว่า” เป๋งกุ่ยว่า พลางมองไปทางบู๊ลิ้มกลับหลินหลินด้วยความสนใจ
ส่วนเหมยอิงที่นั่งอยู่ห่างออกมาอีก เธอนั่งตัวตรงรอชมการแสดง
“ตั่วกอ...วันนี้ลูกลื้อจะได้เป็นพระเอกงิ้วแล้วนะ” เหมยอิงกำมือแน่น ดวงตาไหวระริก โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ที่ด้านหลังของเธอ มีคนนั่งจ้องเขม็งอยู่ จางซื่อกับมิเชลและอาเฟยนั่นเอง
“แค่ดูจากท่าทางของเหมยอิงตอนนี้ ฉันก็รู้แล้วว่าไอ้จางฟุยังไม่ตาย และมันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ” จางซื่อว่า
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้จางฟุคงโตเป็นผู้ชายวัยฉกรรจ์...ฝีมือมันจะร้ายกาจเหมือนพ่อมันไหม” อาเฟยพูด
“เป็นไปได้ จางเหลียงเป็นจอมยุทธอัจฉริยะ ลูกมันก็อาจจะเป็นยอดฝีมือได้เหมือนกัน” จางซื่อเอ่ย
“ข้าอยากสู้กับลูกของจางเหลียง”
“ยังไม่เริ่มอีกเหรอ ฉันชักเบื่อแล้วนะ” เนตรนภาเอ่ยขึ้น
“ถ้าการแสดงน่าเบื่อ ผมจะเผาโรงงิ้วนี่เลย” พายุว่า
“กล้าพูดกล้าทำนะ” เนตรนภาหัวเราะ
“ไม่มีปัญหาครับ ผมเกลียดไอ้โรงงิ้วนี่มานานแล้ว” พายุเอ่ย
“ทำไมต้องเกลียดด้วยล่ะ” เนตรนภาถาม
“ผมเกลียดความกระจอกของมัน มันทำให้ผมอาย” พายุพูด
เนตรนภามองพายุงงๆ พายุก็ไม่พูดอะไรอีก
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 7 (ต่อ)
ฮูหยินเดินหน้าบึ้งเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงดังลั่น
“ไอ้เฉินอยู่ไหนวะ ได้เวลาแล้วทำไมยังไม่ขึ้นเวที”
“แต่งหน้าจะเสร็จแล้วค่ะ” คนงานตอบ
ฮูหยินมองไปก็เห็นเฮียเฉินที่แต่งหน้าแต่งตัวเป็นเปาบุ้นจิ้นนั่งคอง่อกแง่ก เธอจึงปรี่เข้าไปหา
“ลื้อเมาเหล้าเหรอ” ฮูหยินถาม
เฮียเฉินรีบตั้งคอตรงแล้วทำหน้าตาแจ่มใส
“เปล่า เมาเมอวอะไร ซี้ซั้วต่า”
ฮูหยินมองหน้าเฮียเฉินอย่างคาดคั้น
“ไม่เมาก็ดี ... เตรียมตัวได้”
ฮูหยินเดินไปที่ไมโครโฟนที่อยู่ข้างเวที พอฮูหยินเดินจากไป เฮียเฉินก็กลับมาคอตกเพราะเมาแอ๋ เฮียเก้ากับเฮียหลอที่แต่งตัวเป็นหวังเฉา หม่าฮั่นและกำลังหลบอยู่เดินเมาปลิ้นออกมาหา
“ไหวมั้ยวะไอ้เฉิน” เฮียหลอถาม
“อั๊วตายแน่ อั๊วลืมบทหมดแล้ว พวกลื้อต้องช่วยกระซิบหน่อยนะ”
เฮียเก้าหัวเราะ
“ช่วยยังไงวะ อั๊วก็จำไม่ได้”
“งั้นก็มั่วไปเลยโว้ย ระดับเราแล้ว ... เนียน”
ฮูหยินเดินมาที่ไมโครโฟนที่ข้างเวที
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน...”
คนดูด้านนอกเงียบเสียงลงแล้วมองไปบนเวทีที่มีม่านปิดอยู่
ฮูหยินพูดต่อ “เนื่องในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 65 ของเสี่ยอี๊ด ทางคณะงิ้วฟ้าดินขออวยพรให้เสี่ยอี๊ดมีความสุขมีความมั่งคั่งมีอายุยืนยาว และ ณ.บัดนี้ ขอเชิญทุกท่านได้พบกับงิ้ว เรื่องเปาบุ้นจิ้นตอนจั่นเจาพบรักได้ เมื่อผู้หญิงที่จั่นเจารักกลับเป็นฆาตกรโหดเรื่องราวจะเป็นอย่างไรเชิญชมได้แล้วค่ะ”
คนดูปรบมือ ม่านเปิดออก ฉากแรกเป็นศาลไคฟงที่มีบัลลังก์เปาบุ้นจิ้น เฮียเฉินนั่งบนบัลลังก์อยู่ตรงกลาง ส่วนเฮียเก้ากับเฮียหลอยืนขนาบข้าง
“อั๊ว...เปาบุ้นจิ้น” เฮียเก้าพูด
“อั๊ว...หวังเฉา” เฮียหลอบอก
เฮียเก้าพูดปิดท้าย “อั๊ว...หม่าฮั่น”
แล้วทั้งสามก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีก เวทีเงียบ คนดูก็เงียบ
ฮูหยินที่อยู่ข้างเวทีกำหมัดแน่นก่อนจะกระซิบเสียงดัง
“ไอ้เฉิน ตาลื้อพูด”
เฮียเฉินทำหน้านิ่งแล้วก็พยายามนึกบท
“เอ่อ...เอ่อ...”
เฮียเฉินกระตุกเสื้อเฮียหลอให้ช่วย
“อั๊วต้องพูดว่าอะไรวะไอ้หลอ” เฮียเฉินถาม
“อั๊วก็ไม่รู้” เฮียหลอบอก
“ไอ้เก้า”
เฮียเก้านึกไม่ออกเหมือนกัน คนดูเริ่มพึมพำ เฮียเก้าหันไปสั่งช่างเสียงข้างเวทีด้วยเสียงดังลั่น
“มิวสิก”
ฮูหยินงง “มิวสิกอะไรวะ”
ช่างเสียงข้างเวทีก็งง
“มิวสิก...เปาบุ้นจิ้นไง” เฮียเก้าบอก
ช่างเสียงเก็ตแล้วก็รีบเปิดเพลง อินโทรเพลงเปาบุ้นจิ้นดังขึ้น เฮียเก้าพูดกับคนดู
“ก่อนเข้าเรื่องก็ต้องมีเพลงนำก่อนสิ อั๊วพูดถูกไหม”
คนดูปรบมือ เฮียหลอกับเฮียเฉินพยักหน้าเห็นด้วย สามเฮียวาดท่าทางสวมบทบาททำให้คนดูเริ่มสนุก เฮียเฉินกระซิบกับเฮียหลอ
“อั๊วจำเนื้อเพลงไม่ได้ว่ะ” เฮียเฉินบอก
“อ้าว...งั้นใช้เนื้อที่เราแต่งกันเองตอนเมาไปก่อนแล้วกัน”
เฮียเฉินทำท่าลังเล แต่แล้วเฮียหลอก็ผลักเฮียเฉินออกไปยืนข้างหน้า แล้วทั้งสามเฮียก็ร้องเพลงทำนองเพลงเปาบุ้นจิ้น เวอร์ชั่นของตัวเอง
“เมียฝากผัวเอา เปาถั่วดำ
สั่งมาถุงนึง กะส้มตำ
แต่พอกินกับเบียร์ เมียซัดจนนั่งเมา
เหม็นเฉาจนหมาหัน หมาเมาเบียร์...”
คนดูฮา
ดนตรีบรรเลง พอถึงท่อนร้อง เฮียเฉินก็หันมาเจอฮูหยินที่กำลังมองมาแบบโกรธสุดๆ เฮียเฉินรีบหลบก่อนจะผลักเฮียหลอมายืนตรงกลางแทน
“ใครคันหูฮู้ฮู สั่นใบหูดู
อย่าเกาหูฮู้ฮูประเดี๋ยวยิ่งคัน
ถ้ายังคันหูฮู้ฮูเกาจนนิ้วเพลีย
ลองทาหูดูยาหม่องทามันน”
เฮียหลอหันมาเจอฮูหยินมองก็หลบวูบก่อนจะผลักเฮียเก้าออกไป เฮียเก้าร้องอย่างมั่นใจมากเพราะนึกว่าเพื่อนเปิดโอกาสให้โชว์
“เมียคันหูฮู้ฮูต้องชวนน้องเมียยย
ไล่เมียไปน้องเมียเข้ามา
ไม่มีหูฮูฮู้เลยน้องเมียเป็นผู้ชาย”
เพลงจบ คนดูฮาลั่น
จางซื่อ มิเชล และอาเฟยนั่งอึ้งกันท่ามกลางคนดูที่นั่งหัวเราะ
“งิ้วบ้าอะไรเนี่ย ลามกที่สุด” จางซื่อว่า
“อาจารย์ ลูกจางเหลียงอยู่ในที่แบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย”
“เฮ้อ”
จางซื่อดูเหนื่อยหน่ายมาก ในขณะที่มิเชลจ้องเฮียหลอ
“เป็นอะไรมิเชล” อาเฟยถาม
“ไม่...ไม่มีอะไร” มิเชลบอก
มิเชลก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ฮูหยินดึงเชือกรูดม่านปิดทันทีก่อนจะบุกขึ้นเวทีแล้วชี้หน้าเฮียทั้งสามพร้อมทั้งกระซิบเสียงกร้าว
“ตาย”
ฮูหยินกางกรงเล็บอินทรี
เฮียเฉินรีบบอก “ลื้อจะทำอะไร คนดูชอบนะเว้ย”
ฮูหยินโผล่หน้าออกจากม่านไปดู เฮียทั้งสามโผล่มาดูด้วย ทุกคนเห็นคนดูหัวเราะกิ๊วก๊าว เสี่ยอี๊ดเห็นฮูหยินพอดีก็ยกหัวแม่โป้งให้สองหัว ฮูหยินยิ้มรับ เฮียทั้งสามตีมือไฮไฟว์กัน
“โย่ว...”
“เวิร์กว่ะ เรื่องหน้าเอาอีก” เฮียเก้าบอก
ฮูหยินถีบเฮียเฉินล้มไปโดนเฮียเก้ากับเฮียหลอจนล้มลงไปทั้งสามคน
“ทะลึ่งละ นี่มันฟลุ้ค เรื่องหน้าถ้าเล่นแบบนี้อีก ... ตาย” ฮูหยินว่า
หลินหลินนั่งหัวเราะกลิ้ง บู๊ลิ้มนั่งหน้าแหยอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนดู
“ปกติเขาไม่เล่นกันแบบนี้นะครับ นี่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น”
“สนุกมาก สนุกที่สุดเลยบู๊ลิ้ม วะฮ่าๆๆ”
“หลินหลินชอบเหรอครับ”
“ชอบสิ ชอบมากด้วย” หลินหลินบอก
บู๊ลิ้มยิ้มแป้นเพราะรู้สึกได้หน้า
“เป็นไงล่ะ ถ้าไม่สนุกผมไม่ชวนมาดูให้เสียชื่อหรอกครับ” บู๊ลิ้ม
หลินหลินมองบู๊ลิ้มแล้วยิ้มตาเป็นประกาย
“ขอบคุณนะ”
บู๊ลิ๊มยิ้มปลื้มแบบโลกกำลังเป็นสีชมพู แต่แล้วเป๋งกุ่ยก็เดินมานั่งอีกข้างของหลินหลิน
“หวัดดีหลินปิง บู๊ลิ้ม” เป๋งกุ่ยทักทาย
บู๊ลิ้มชะงัก
“อ้าว เป๋งกุ่ย มาไงเนี่ย” หลินหลินงง
“ก็มาดูงิ้วอ่ะดิ บังเอิญจังนะหลินปิง เจอกันบ่อยๆอยู่เรื่อย นี่ถ้าแกไม่ใช่ผู้ชาย ฉันคงนึกว่าเราเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆเลย ว่ามั้ย ฮ่าๆๆ”
เป๋งกุ่ยกอดคอหลินหลิน หลินหลินหน้าแดง บู๊ลิ้มปัดมือเป๋งกุ่ยออก
“ไร้สาระน่าเป๋งกุ่ย” บู๊ลิ้มว่า
“ฉันพูดเล่นขำๆ จะซีเรียสทำไมวะ” เป๋งกุ่ยบอก
“ไม่ได้ซีเรียสเว้ย ขำๆเหมือนกัน” บู๊ลิ้มบอก
บู๊ลิ้มหัวเราะกลบเกลื่อน เป๋งกุ่ยยื่นห่อขนมให้หลินหลิน
“กินหนมด้วยกัน”
“น่ากินจัง ขอบใจนะ” หลินหลินบอก
“นี่ๆ หยิบชิ้นนี้สิ ชิ้นนั้นมันไหม้ไปหน่อย”
หลินหลินกินขนมของเป๋งกุ่ยก่อนจะหันหลังให้บู๊ลิ้ม บู๊ลิ้มมองไม่เห็นห่อขนมเพราะเข้าไม่ถึง หลินหลินกับเป๋งกุ่ยหัวเราะคิกคักกันสองคน
“หลินหลิน” บู๊ลิ้มเรียก
หลินหลินไม่สนใจ บู๊ลิ้มหน้าบึ้งเพราะงอนจึงมองไปทางอื่น
เหมยอิงหน้านิ่วก่อนจะส่ายหน้าแบบไม่สบอารมณ์
ช่างประจำเวทีเปลี่ยนฉากหลังเสร็จเรียบร้อย
“พร้อมแล้ว” ช่างบอก
ฮูหยินสั่งเสียงดัง “เลีย”
เฮียเฉินที่อยู่ใกล้ๆสะกิด “เคลียร์”
“เออ...เคลียร์” ฮูหยินบอก
ทุกคนออกจากฉาก พนักงานดึงผ้าม่านเปิดเวทีอีกครั้ง
ม่านเวทีเปิดขึ้นอีกครั้ง ฉากหลังเป็นทิวทัศน์ภูเขาสูงสวยงาม กังฟูในบทจั่นเจาเดินองอาจมาดเท่ออกมา
แม่ยกกรี๊ดกร๊าด เหมยอิงมองกังฟู
“งามสง่ามาก...จางฟุ...ลื้อเหมือนพ่อลื้อมาก” เหมยอิงบอก
เมลดาเดินออกมาชมวิวทิวทัศน์เช่นกัน กระทั่งมาชนกับจั่นเจา
“ขออภัยแม่นาง” กังฟูพูดบท
“ข้าต่างหากที่ต้องขออภัย...ท่านจอมยุทธแมวหลวง จั่นเจา” เมลดาพูด
“เจ้ารู้จักชื่อข้าได้ไงเนี่ย”
“รู้จากกระบี่ของท่าน …ผู้น้อยเหลียนไฉ่หยุน”
ขณะเดียวกัน จางซื่อกับมิเชลก็จ้องเขม็งที่เหมยอิง ทั้งสองเห็นท่าทางของเหมยอิงที่จ้องจั่นเจาแล้วก็ตื่นเต้นมาก
“อาจารย์ หรือว่านั่นคือจางฟุ” มิเชลถาม
จางซื่อไม่ตอบแต่จับตามองกังฟู
“ดูไปก่อน” จางซื่อบอก
มิเชลจ้องเมลดา
“มีอะไร” จางซื่อถาม
“หน้านางเอกดูคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าใคร...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” มิเชลบอก
มิเชลไม่ติดใจอะไรอีก
เนตรนภาก็จ้องเมลดาเช่นกัน
“นางเอกงิ้วนั่นเหมือนคนที่ฉันรู้จัก” เนตรนภาว่า
“ยัยหน้าเบี้ยวน่ะเหรอ” พายุว่า
“ตัวจริงไม่สวยเหรอคะ” เนตรนภาถาม
“ไม่เลย หน้าตาแย่มากๆ ถึงต้องแต่งหน้ากันขนาดนั้น”
“งั้นคงไม่ใช่คนที่ฉันรู้จักหรอก” เนตรนภาบอก
การแสดงบนเวทีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จั่นเจาได้รับบาดเจ็บจึงเดินโซซัดเซมา เหลียนไฉ่หยุนที่รับบทโดยเมลดามาเจอ เข้ามาประคอง
“จอมยุทธจั่น ท่านได้รับบาดเจ็บหรือนี่”
“ไฉ่หยุน...ข้าถูกโจรลอบทำร้าย” กังฟูพูด
“ข้าจะช่วยท่านเอง” เมลดาบอก
ทันใดนั้นหลินหลินก็ลุกขึ้น
เป๋งกุ่ยถาม “หลินปิงจะไปไหน”
“ปวดฉี่” หลินหลินบอก
“เออ ไปด้วยสิ ปวดเหมือนกัน”
เป๋งกุ่ยลุก หลินหลินชะงักแล้วหันมามองบู๊ลิ้ม
“บู๊ลิ้ม”
บู๊ลิ้มยังงอนอยู่จึงทำเป็นไม่ได้ยิน
คนดูข้างหลังพูดขึ้นมา “เฮ้ย อย่าบังสิ”
“เฮ้ย ไปเร็ว บังเขา” เป๋งกุ่ยเร่ง
เป๋งกุ่ยพาหลินหลินเดินออกไป
“เชอะ ไอ้เป๋งกุ่ยมีอะไรดีวะ กะอีแค่ขนมแบบนั้น ไปฉี่ยังต้องไปด้วยกัน ฮี่โธ่...” บู๊ลิ้มงอน
แล้วบู๊ลิ้มก็นึกได้
“เฮ้ย หลินหลินปลอมเป็นเด็กผู้ชายอยู่นี่หว่า งานเข้าแล้ว”
บู๊ลิ้มรีบลุกพรวดตามไปทันที
ที่ห้องน้ำมีคนเยอะมาก เป๋งกุ่ยจับมือหลินหลินมาที่ห้องน้ำ แต่หลินหลินดูไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ห้องน้ำคนเยอะแยะเลย ไปฉี่ข้างหลังเหอะ” เป๋งกุ่ยชวน
“เอ่อ เป๋งกุ่ย ฉันไม่ปวดฉี่แล้วล่ะ กลับไปดูงิ้วก่อนนะ” หลินหลินบอก
“เดินออกมาแล้วก็ฉี่ไปเลย เดินเข้าเดินออกเสียเวลาจะตาย ... ไป ไปฉี่ข้างหลังเหอะ”
“ไม่ดีหรอก”
“ไม่ดียังไง ผู้ชายเขาไปฉี่ข้างหลังกันทั้งนั้น”
เป๋งกุ่ยพาหลินหลินมาที่ด้านหลังห้องน้ำซึ่งเป็นทุ่งโล่ง ผู้ชายหลายคนยืนฉี่กันอยู่ หลินหลินปิดตาแล้วหันหลังให้
เป๋งกุ่ยงง “เป็นอะไรเหรอหลินปิง”
หลินหลินอึกอัก “เอ่อ...”
“มีอะไร หันหลังทำไม หรือว่า...”
เป๋งกุ่ยชักสงสัย
เสียงบู๊ลิ้มถามขึ้นมาทันที “ผงเข้าตาเหรอหลินปิง”
“เออ ใช่ ผงเข้าตา” หลินหลินรีบสวมรอยทันที
“ไปที่อื่นเหอะ ตรงนี้ลมแรง” บู๊ลิ้มบอก
บู๊ลิ้มประคองหลินหลินเดินออกไป
“เดี๋ยวผมพาไปเข้าห้องน้ำในบ้านนะ”
หลินหลินยิ้มดีใจ
เป๋งกุ่ยมองตามไปแล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา ทำให้เขาตาแทบถลน
“หรือว่า...พวกมันเป็นเกย์”
บู๊ลิ้มกับหลินหลินเดินกลับมา โดยที่บู๊ลิ้มเดินนำห่างพอสมควร หลินหลินเดินผ่านเหมยอิงที่กำลังจดจ่อกับงิ้วบนเวที หลินหลินรู้สึกคุ้นๆ จึงหันกลับไปมองเหมยอิงอีกครั้ง เธอพยายามนึกแต่ก็นึกไม่ออก หลินหลินเดินไปกับบู๊ลิ้มต่อ เหมยอิงรู้สึกตัวว่ามีคนมองก็หันไปมองก็เห็นด้านหลังของหลินหลิน แว้บเดียวหลินหลินก็ถูกบัง
เหมยอิงจึงหันมาดูงิ้วต่อ
ผ้าม่านบนเวทีปิดอยู่ กังฟูในชุดจั่นเจายืนข้างเมลดาที่สวมชุดดำรออยู่ข้างๆ ฉาก
“ฉากสำคัญแล้ว ทำสมาธิให้ดีนะ” ฮูหยินเตือน
กังฟูกับเมลดาพยักหน้า กังฟูแอบชำเลืองมองเมลดา เมลดาหันมายิ้มให้ คนงานรูดม่านเปิด ฉากต่อไปเป็นบ้านใครสักคน ทีมงิ้วคนหนึ่งที่ยืนข้างหลังเวทีตะโกนลั่น
“มีคนร้าย มีคนร้าย”
เมลดาวิ่งออกไปหน้าเวทีแล้วทำท่าเหมือนวิ่งหนีออกมา กังฟูตามออกไป
“หยุดนะ เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” กังฟูบอก
เมลดาหยุดแล้วก็หันมาชักกระบี่ กังฟูก็ชักกระบี่ออกมา แล้วทั้งสองก็เข้ามาต่อสู้กัน
ฮูหยินกับเฮียเฉินดูอยู่ข้างเวที
“เล่นได้ดีกว่าที่คิด” ฮูหยินบอก
“เล่นดีเหมือนตอนเราเล่นเลยเนอะ” เฮียเฉินว่า
เฮียเฉินกอดฮูหยินจากด้านหลัง ฮูหยินเคลิ้มไปกับการแสดงเลยไม่ปัดป้องอะไรแถมเธอยังมีความสุขด้วย
“ทำไมอยู่ดีๆกังฟูมันเล่นฉากยากแบบนี้ได้น้า...” ฮูหยินรำพึง
กังฟูรำกระบี่สู้กับเมลดา โดยมองเมลดาไปตลอด
เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา กังฟูสู้กับเมลดาในชุดดำ แล้วเขาก็จำเมลดาได้
กังฟูกับเมลดาประสานสายตากันเหมือนเชื่อมความรู้สึกถึงกัน
“เหลียนไฉ่หยุน...เจ้าใช่มั้ย” กังฟูถาม
“ไม่ใช่ ท่านจำผิดแล้ว” เมลดาว่า
ทั้งสองฟาดฟันกันด้วยท่าทางสวยงามราวนาฏลีลาคู่พระนางซึ่งดูไม่เหมือนคู่ต่อสู้ที่กำลังห้ำหั่นกันเลย
คนดูนั่งดูเหมือนถูกมนต์สะกด ทุกคนนั่งเงียบและมีท่าทางอินมาก เหมยอิงนั่งตาเป่ง
“เหมือนมาก เหมือนเฮียจางเหลียงมาก” เหมยอิงบอก
จางซื่อเองก็นั่งมองกังฟูในบทจั่นเจาด้วยสายตาตะลึงตะลาน
“จางเหลียง...จางเหลียง....”
จางซื่อมองกังฟูในบทจั่นเจารำกระบี่ไปมา
ภาพในอดีตย้อนกลับมา จางเหลียงรำกระบี่ด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยด้วยมาดที่เหมือนกังฟูขณะอยู่บนเวที
“เป็นไงจางซื่อ นี่คือท่ากระบี่พิชิตกวาง...ข้าขอถ่ายทอดให้เจ้าเพียงผู้เดียว เพราะเจ้าคือคนที่ข้าไว้ใจที่สุด”
“ขอบคุณศิษย์พี่” จางซื่อบอก
“ไม่ต้องขอบคุณ เราพี่น้องกัน มากเรื่องทำไม ฮ่าๆๆ” จางเหลียงว่า
จางเหลียงโอบไหล่จางซื่อแล้วหัวเราะ จางซื่อก็หัวเราะไปด้วย ทั้งสองมีท่าทางสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต จางซื่อก็น้ำตาคลอแล้วก็พึมพำเบาๆ
“ศิษย์พี่...ข้าเสียใจ...”
อาเฟยที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หันมาเห็นจางซื่อมีท่าทางแปลกๆ
“อาจารย์ เป็นอะไรรึเปล่า” อาเฟยถาม
จางซื่อได้สติก็ตื่นจากภวังค์แล้วจ้องมองกังฟูด้วยดวงตาที่เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
“ไอ้คนที่เล่นเป็นจั่นเจา มันคือจางฟุ ลูกจางเหลียงแน่ๆ...มันต้องตาย”
จางซื่อกำหมัดด้วยความแค้น
งิ้วแสดงมาถึงฉากสุดท้ายซึ่งเป็นตอนที่เมลดาในบทเหลียนไฉ่หยุนฆ่าตัวตายในศาลไคฟงโดยการเอามีดแทงตัวเองต่อหน้าเปาบุ้นจิ้น หวังเฉา หม่าฮั่น และจั่นเจา เมลดากับกังฟูร้องงิ้ว
เมลดาร้อง “ข้านี้ผิดไปแล้ว ขอตายโช้ดใช้ควาาาามผิด จั่นเจา ท่านจ่านนนเจาาา ยกโทษให้ข้าด้วย”
กังฟูร้อง “เจ้าแม้ทามมมมมมผิดแต่ได้สามมมมนึกผิดแล้ววววว ฟ้าดินนนนนย่อมให้อาภัยยย เหลียนไฉ่หยุน เหลียนไฉ่หยุนนนน เจ้าไยต้องผลาญชีวิตตตตตตั่วเองงเช่นนี้”
“เลือดข้านี้ขอฝากว้ายยยยที่กลางใจท่าน อย่าได้ลืมเลือนนนนข้าาา”
“ฟ้าดินเป๋นนนพยานนนน ข้าจะไม่ลืมเลือนนนนนเจ้าาตลอดดดดกาลล”
“จั่นเจาา”
“ไฉ่หยุนนนนนน”
เมลดารำงิ้วรอบหนึ่งแล้วก็ฟุบลงตายในอ้อมกอดของกังฟู เปาบุ้นจิ้น หวังเฉา และหม่าฮั่นยืนดูด้วยความสลดใจ ม่านรูดปิด คนดูปรบมือเกรียวกราว อาแปะและอาม้าบางคนอินมากก็น้ำตาไหลเป็นทาง เสี่ยอี๊ดยืนขึ้นปรบมือให้ คนอื่นๆลุกขึ้นปรบมือตาม
ฮูหยินโผล่หน้าออกไปดูก่อนจะหดหน้ากลับเข้ามาบอกทีมงานทุกคนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“สุดยอดเลยทุกคน สุดยอดเลยโว้ย ยาฮู้”
เฮียเฉินตบบ่ากังฟูกับเมลดา
“เก่งมาก ลื้อสองคนเก่งมากๆ”
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ”
“ขอบคุณเช่นกันค่ะ”
เมลดากับกังฟูยิ้มให้กัน
“หลินฮุ่ย ลื้อเก่งมาก ถึงจะสวยไม่เท่าอั๊วแต่ก็เล่นได้ดีเกือบเท่าอั๊วเลย”
ฮูหยินเข้ามาแสดงความยินดีกับเมลดา กังฟูถือโอกาสขณะที่ทีมงานลั้นลาอยู่เดินปลีกตัวออกมาด้านหลังฉากแล้วทรุดฮวบลง ก่อนจะคลำจุดที่โดนพายุทำร้ายด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่สักพักเขาก็อดทนลุกขึ้นยืนตัวตรง แล้วเดินต่อไป
เฮียหลอเปลี่ยนเสื้อผ้า ลบหน้าเสร็จแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำก่อนจะเซไปชนคนที่เดินสวนมา
“ขอโทษครับ” เฮียหลอพูด
ปรากฏว่าคนนั้นคือมิเชลที่เดินมากับจางซื่อกับอาเฟยซึ่งเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว มิเชลมองเฮียหลอแว่บหนึ่งแต่ไม่พูดอะไรก่อนจะเดินจากไป เฮียหลอกำลังจะเดินจากมาแต่แล้วก็รู้สึกอะไรบางอย่างจึงหันกลับไปมองมิเชล เฮียหลอกระพริบตาปริบๆ แต่แล้วก็ส่ายหน้ากับตัวเอง
“สงสัยเมาไปหน่อย”
แล้วเฮียหลอก็เดินต่อไป
มิเชลเองก็รู้สึกแปลกๆ จึงหยุดแล้วหันกลับมามองเฮียหลอ แต่ก็ไม่เห็นเพราะเฮียหลอหายไปกับฝูงชนแล้ว มิเชลเดินตามจางซื่อกับอาเฟยไป
อ่านต่อหน้าที่ 4
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 7 (ต่อ)
กังฟูเดินหลบออกมาตามลำพังโดยไม่รู้เลยว่าจางซื่อ มิเชล และอาเฟยกำลังเดินตามเขาไป
คนดูทยอยเดินออกจากโรงงิ้ว บู๊ลิ้มเดินมากับหลินหลิน
“เดี๋ยวเราเดินไปส่งนะ” บู๊ลิ้มบอก
หลินหลินตอบรับ “อื้อ”
เป๋งกุ่ยแอบสะกดรอยตาม
“พวกลื้อเป็นเกย์จริงๆเหรอเนี่ย” เป๋งกุ่ยสงสัย
เป๋งกุ่ยแอบตามหลินหลินกับบู๊ลิ้มไป พายุเดินออกมากับเนตรนภาที่อีกด้านหนึ่ง
“คุณไม่ต้องไปส่งฉันหรอก ฉันเรียกแท็กซี่กลับเองได้”
พายุฝืนยิ้ม ทั้งสองเดินมาถึงริมถนนที่มีคนออกันแย่งเรียกตุ๊กตุ๊กกับแท็กซี่เต็มไปหมด เหมยอิงขึ้นแท็กซี่คันหนึ่งไป
“อย่างงี้เมื่อไหร่จะเรียกแท็กซี่ได้เนี่ย” เนตรนภาว่า
“ความจริงที่นี่ก็ไม่ไกลจากไนต์คลับ เราเดินไปก็ได้นะครับ” พายุบอก
เนตรนภามองพายุ
“ผมจะเดินไปเป็นบอดี้การ์ดให้คุณ” พายุบอก
“ขอบคุณค่ะ”
พายุจับมือเนตรนภาจะพาเดินออกไป เนตรนภาหยุดมองมือพายุแล้วก็บีบมือพายุก่อนจะเดินไปกับเขา
พายุยิ้ม
“ผมจะพาไปทางลัดครับ”
เนตรนภายิ้มแล้วเดินตามไป พายุเดินนำเลี้ยวเข้าตรอกมืดๆแคบๆ
ชาวโรงงิ้วทุกคนกำลังเฮฮาและกินข้าวกินน้ำกันอยู่ ฮูหยินกับเฮียทั้งสามตั้งโต๊ะกินข้าวกินเหล้ากันอย่างมีความสุข ขณะที่คนอื่นๆก็จับกลุ่มพักผ่อน ฮูหยินหันมาเห็นเมลดาก็กวักมือเรียกเธอแต่ไกล
“อาหลินฮุ่ย มากินข้าวเร็ว”
“ค่ะ...อาจารย์แม่เห็นกังฟูไหมคะ” เมลดาถาม
“ไม่เห็นอ่ะ”
“ไม่ต้องห่วงมันหรอก พระเอกงิ้วก็งี้แหละ” เฮียหลอบอก
“ทำไมเหรอคะ” เมลดาสงสัย
“ก็จะมีพวกคนดูสาวๆมาตามตื๊ออ่ะดิ ชวนไปกินข้าวต้มกัน พวกอั๊วเคยกันทุกคนแหละ โดยเฉพาะไอ้เฉิน ขาวๆหล่อๆเนี่ย โหย ยังไม่ทันลบหน้างิ้วเลยก็ซดข้าวต้มกันแล้ว”
เฮียเฉินรีบอุดปากเฮียหลอ แต่ก็ไม่ทัน ฮูหยินลุกพรวดขึ้นมาชี้หน้าเฮียเฉิน
“ไอ้หลอพูดจริงเหรอ หา ไอ้เฉิน”
“จริงที่ไหนเล่า ไม่เคยเลย ไอ้หลอมันพูดเล่น” เฮียเฉินว่า
ฮูหยินกางกงเล็บอินทรีจู่โจมทันที เฮียเฉินปัดป้องเป็นพัลวัน เฮียเก้าที่นั่งตรงกลางระหว่างคู่ผัวเมียหลบไปกินข้าวไป เมลดาไม่สนใจพวกฮูหยิน เธอมองซ้ายขวาก่อนจะเดินตามหากังฟู แล้วเธอก็ถามคนงานคนหนึ่ง
“พี่ เห็นกังฟูไหมคะ”
“เมื่อกี้เห็นเดินกะเผลกๆอยู่อ่ะ”
“ว่าแล้วเชียว”
เมลดาเดินตามหากังฟูต่อไป
กังฟูเดินมาตามลำพังแล้วก็ชะงักเมื่อเห็นว่าข้างหน้าเขามีเงาคนยืนขวางอยู่ กังฟูหยุดมองแต่ก็เห็นหน้าคนคนนั้นไม่ชัด จนคนคนนั้นเดินขยับเข้ามาหาบริเวณที่เป็นแสงสว่างทำให้เห็นว่าเป็นจางซื่อนั่นเอง อาเฟยยืนอยู่ด้านหลังจางซื่อ
“อั๊วตามหาลื้อมานานมาก ตั้งแต่ลื้อเกิดเลย...จางฟุ” จางซื่อบอก
“เฮีย ทักคนผิดหรือเปล่า อั๊วไม่ได้ชื่อจางฟุ” กังฟูบอก
“ลูกผู้ชายนั่งไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่ เจ้าทำไมต้องปฏิเสธ” จางซื่อว่า
“อั๊วไม่ได้ชื่อจางฟุ อั๊วชื่อกังฟู”
“ชื่อจางฟุก็ดี ชื่อกังฟูก็ดี ขอเพียงเจ้าเป็นลูกของจางเหลียง...ชื่ออะไรก็ต้องตาย”
“นี่เฮียมาหาเรื่องเหรอเนี่ย”
“ฝากบอกจางเหลียงด้วย ว่าข้าขอโทษ แต่ต้นเหตุเกิดจากมัน หากมันจะแค้นข้าก็แค้นตัวเองด้วยเถอะ”
“เฮียพูดอะไร อั๊วไม่รู้เรื่อง”
จางซื่อเดินเข้ามา กังฟูถอยหลังแล้วก็ชนเข้ากับใครสักคน กังฟูหันมาก็เห็นว่าเป็นมิเชล มิเชลจำกังฟูไม่ได้ แต่กังฟูกลับจำมิเชลได้ เพราะเขานึกถึงตอนที่สู้กับมิเชล
ในที่สุด กังฟูก็สู้กับมิเชล
กังฟูกลิ้งหลบแล้วจะวิ่งหนี มิเชลกระโดดขวางก่อนจะเตะใส่ กังฟูหลบแล้วต่อยสวน
“หมัดแปดทิศ”
มิเชลปัดหมัดกังฟูแล้วเตะสวนดังเปรี้ยงทำให้กังฟูกระเด็น กังฟูรีบลุกขึ้นมาแต่ก็ทรุดลงไปอีก เขาจับขาตรงที่โดนพายุเตะมาก่อน กังฟูกัดฟันลุกขึ้นแล้วเกร็งหมัด
“ลมปราณหงส์แดง”
กังฟูต่อยเปรี้ยง มิเชลหลบแล้วฟาดใส่ตรงเอวที่เคยโดนพายุซัดมาก่อน กังฟูกลิ้งฟุบแล้วก็ลุกแทบไม่ขึ้น
มิเชลตามมาเหยียบกังฟู
“ให้ฆ่ามันเลยมั้ย” มิเชลถาม
อาเฟยมีสีหน้าผิดหวังมาก
“เจ้ามีฝีมือแค่นี้เองหรือ...น่าผิดหวังที่สุด” อาเฟยว่า
จางซื่อขมวดคิ้ว
“นี่เหรอลูกจางเหลียงที่ข้าหวาดกลัวมาตลอดยี่สิบกว่าปี” จางซื่อว่า
พายุเดินมากับเนตรนภาที่อีกด้านหนึ่งของซอย พายุมองเนตรนภาด้วยสายตาหื่นกระหาย
“นี่ทางลัดหรือทางไปไหนเนี่ย” เนตรนภาถาม
“ไม่ไว้ใจผมเหรอ” พายุถาม
“ฉันเชื่อว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษ แต่ประสบการณ์สอนฉันว่าสุภาพบุรุษทุกคนก็เปลี่ยนร่างเป็นซาตานได้”
พายุหยุดชะงัก
“คุณพูดแบบนี้ คุณท้าทายผมใช่ไหม”
“คุณเข้าใจผิด ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
พายุจ้องเนตรนภา เนตรนภาพยายามจะแกะมือออก แต่พายุจับแน่นก่อนจะรั้งเนตรนภาเข้ามาใกล้
“อย่านะ”
“คุณจะกลัวผมทำไม”
“ปล่อยฉันนะ”
“ผมแค่อยากจะจูบคุณ”
เนตรนภาหยุดดิ้นแล้วมองหน้าพายุ พายุเข้าใกล้มาเรื่อยๆ แล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะดังลั่น ซึ่งเป็นเสียงหัวเราะที่น่ากลัว พายุชะงัก เนตรนภาก็ตกใจ
“เสียงอะไรน่ะ” เนตรนภาถาม
พายุบอกใบ้ให้เนตรนภาเงียบ แล้วเขาก็ย่องออกไปดูก็เห็นมิเชลเหยียบกังฟู อาเฟยยืนเซ็งๆ ขณะที่จางซื่อยืนหัวเราะ
“เจ้าเศษสวะที่ใช้ไม่ได้ ข้ากลัวเจ้ามาตลอดยี่สิบปี คิดไม่ถึง เจ้าจะต่ำต่อยจนอเน็จอนาถขนาดนี้ ทุเรศสายตาจริงๆ” จางซื่อว่า
กังฟูพยายามดิ้นรน
“กังฟูนี่หว่า” พายุว่า
“นี่คุณรู้จักเขาเหรอ” เนตรนภาถาม
พายุตอบ “ใช่”
“ไปช่วยเขาสิ”
พายุทำหน้าไม่เต็มใจ
“เนี่ยน่ะเหรอลูกผู้ชาย เห็นคนอื่นโดนทำร้ายแล้วไม่เข้าไปช่วยเหลือเนี่ย” เนตรนภาว่า
พายุถอนหายใจ
“ได้ เห็นแก่คุณ ผมจะยอมเปลืองตัวซักครั้ง”
พายุจะเดินออกไปหากังฟูแต่เนตรนภาดึงไว้ด้วยสายตาแสดงความห่วงใย
“เดี๋ยว คุณสู้เขาได้เหรอ พวกเขามีตั้งสามคนนะ” เนตรนภาว่า
พายุยิ้ม
“ขอบคุณที่เป็นห่วง ผมปลื้มใจมาก ... แต่พวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ผมหรอก ไล่เตะแป๊บเดียวก็กระเจิงหมดแล้ว...คอยดูฝีมือผมให้ดีนะ”
พายุเดินออกไป จางซื่อกับมิเชลหยุดมองพายุ
“ปล่อยศิษย์น้องอั๊วเดี๋ยวนี้”
“ศิษย์พี่”
“ลื้อไม่ได้เรื่องเลยกังฟู แพ้ผู้หญิงได้ไงวะ” พายุว่า
มิเชลเดินมาหาพายุแล้วเตะใส่ทันที พายุหลบได้ มิเชลอึ้งเพราะไม่คิดว่าพายุจะหลบได้ง่ายๆแบบนี้
“ท่าทางจะมีฝีมืออยู่ท่าสองท่า” มิเชลว่า
“เธอก็เหมือนกัน” พายุบอก
มิเชลตั้งท่าเอาจริง พายุก็ไม่ประมาท มิเชลจู่โจมทันที แล้วมิเชลกับพายุสู้กันดุเดือดสูสี จางซื่อมองดูด้วยความสนใจ มิเชลกับพายุสู้กันแบบไม่มีใครเหนือกว่า อาเฟยขยับตัวจะเข้าไป จางซื่อกันอาเฟยไว้
“เจ้าไม่ต้อง ข้ายังไม่อยากให้มันตาย ข้ามีเรื่องจะคุยกับมันก่อน”
อาเฟยถอยไป จางซื่อกระโดดเข้ามาตรงกลางระหว่างทั้งสองแล้วกรีดไม้กรีดมือง่ายๆ แต่กลับผลักทั้งสองกระเด็นออกจากกันได้
“หยุดได้แล้ว” จางซื่อบอก
พายุตะลึงในฝีมือที่สูงส่ง
“วิทยายุทธท่านสูงส่งยิ่งนัก”
“เจ้าชื่ออะไร” จางซื่อถาม
“ข้าชื่อพายุ”
“พายุ...ฝีมือเจ้าดีมาก...เจ้ากับมันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องแต่ทำไมความสามารถต่างกันราวฟ้ากับเหว”
“แม้อาจารย์จะสั่งสอนวิทยายุทธให้เราสองคนเหมือนๆกัน แต่ร่างกายต่างกัน ภูมิปัญญาต่างกัน ฝีมือจึงต่างกัน”
“พ่อแม่เจ้าเป็นใคร” จางซื่อถาม
“ข้ากับศิษย์น้องเป็นลูกกำพร้า อาจารย์แม่เมตตาเลี้ยงดู”
จางซื่อเขม้นมองพายุ
“เจ้าเป็นกำพร้ารึ” จางซื่อถาม
จางซื่อมองพายุกับกังฟู
ระหว่างนั้น เนตรนภาก็วิ่งนำตำรวจเข้ามาในซอย
“ทางนี้ค่ะ คุณตำรวจ ทางนี้” เนตรนภาบอก
มิเชลรีบเตือนจางซื่อ “อาจารย์”
จางซื่อพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกระโดดข้ามรั้วแถวนั้นหายไปทั้งสามคน กังฟูลุกขึ้นอย่างยากเย็น
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือ” กังฟูบอก
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ขอบคุณทำไม เราเป็นพี่น้องกัน ตายแทนกันได้อยู่แล้ว” พายุว่า
“ศิษย์น้องไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โต ขอหนีหน้าก่อน”
กังฟูรีบซมซานเดินจากไป
เนตรนภาวิ่งนำตำรวจสองนายเข้ามา
“ไหน คนร้ายอยู่ไหน”
“ขอโทษครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องเข้าใจผิดกันครับ” พายุว่า
ตำรวจทำหน้าไม่พอใจ
กังฟูเดินออกจากซอย มาริมถนน สภาพน่ากลัว แต่งงิ้วแต่เลือดเพียบ แถมเดินโซเซ คนเดินบนถนนมีไม่มาก แต่ทุกคนเห็นสภาพกังฟูแล้วก็ฉากหลบ
กังฟูเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลงริมตู้โทรศัพท์สาธารณะโดยไม่มีใครสนใจ
เหมยอิงเดินเข้ามาในโรงงิ้วอีกแห่งก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ สวย
“เป็นไงบ้างสวย” เหมยอิงถาม
“มีช่วงที่พวกมันสงสัยเหมือนกัน แต่สวยนั่งก้มหน้า บางทีก็ทำเป็นนั่งหลับ พวกมันก็ไม่สนใจอะไร” สวยบอก
“เธอเก่งมาก ... ไปเปลี่ยนเสื้อกันเถอะ”
“ค่ะ”
เหมยอิงกับสวยลุกเดินออกไปที่ห้องน้ำ พวกลูกน้องสันต์มองตามไปโดยไม่เอะใจอะไร
บู๊ลิ้มมาส่งหลินหลินที่หน้าประตูบ้าน
“งิ้วนี่สนุกจัง วันหลังชวนฉันไปดูอีกนะ” หลินหลินบอก
“ดีใจจังที่เธอชอบ ตอนแรกกลัวเธอจะหนวกหูซะอีก” บู๊ลิ้มดัีใจ
“ไม่หรอก สนุกจริงๆ ... อุ๊บส์”
จู่ๆหลินหลินก็หน้าเหยและตัวงอ
บู๊ลิ้มสงสัย “เป็นอะไร”
“จู่ๆก็ปวดท้อง”
“ปวดแบบไหนอ่ะ”
หลินหลินพูดไม่ออก “มัน...”
“หรือว่า เมนส์มา”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้น ปวดแบบแก๊สเยอะ”
“ว่าแล้ว ไม่น่ากินขนมของไอ้เป๋งกุ่ยเลย”
“อย่าไปว่าเขาสิ ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ... ขอบใจมากนะที่มาส่ง บ๋ายบาย”
“ครับ แล้วเจอกันครับ”
หลินหลินเข้าไปในบ้าน บู๊ลิ้มมองตามไปครู่หนึ่งแล้วทำท่าส่งจูบให้แต่หลินหลินไม่อยู่แล้ว บู๊ลิ้มเดินลั้นลากลับไปทางเดิม เป๋งกุ่ยที่ซุ่มดูอยู่โผล่หน้าออกมาด้วยหน้าตาตกใจมาก
“สงสัยว่าเมนส์มา...หลินปิงเป็นผู้หญิงเหรอเนี่ย…มิน่า ถึงรู้สึกมีความสุขเวลาอยู่ใกล้ๆเธอ โล่งอก นึกว่าเราจะเป็นเกย์ไปด้วย”
เป๋งกุ่ยมองไปชั้นบนของบ้านเฮียป้อแล้วส่งจูบแบบเดียวกับบู๊ลิ้ม
เมฆาคุยอยู่กับมิเชล
“อะไรนะ พ่อพาคุณตามแม่ไปเหรอ แล้วไม่บอกความจริงให้ผมรู้” เมฆาว่า
“ใช่ ความจริงอาจารย์ไม่ให้ฉันบอกคุณด้วย” มิเชลบอก
“แต่คุณก็บอก”
“ฉันเคยบอกแล้วไง ฉันเป็นคนของคุณ ไม่ใช่คนของอาจารย์”
“พ่อลองใจคุณรึเปล่า เขาเป็นคนขี้ระแวง นี่อาจเป็นกับดัก”
“ไม่หรอก ถึงเขาจะรู้ว่าฉันรักคุณ แต่เขาไม่คิดว่าฉันจะกล้าทรยศเขา...เพราะคนอย่างเขาไม่รู้จักความรัก”
เมฆายิ้ม จูบหน้าผากมิเชล
“ขอบคุณคุณมาก...แต่เรื่องนี้แปลว่าพ่อไม่จริงใจกับผม” เมฆาว่า
“ถึงคุณจะเป็นลูกชายของเขา คุณก็ต้องระแวงเขาไว้เหมือนกัน”
เมฆาพยักหน้าเพราะเห็นด้วย
พายุมาส่งเนตรนภาที่หน้าอพาร์ตเม้นต์
“ผมส่งแค่นี้นะ”
พายุกำลังจะเดินจากไปแต่เนตรนภาจับแขนเขาไว้
“ตอนอยู่ในตรอก คุณบอกคุณอยากจูบฉันไม่ใช่เหรอ” เนตรนภาถาม
พายุมองเนตรนภาแล้วดึงร่างเธอเข้ามาก่อนจะจูบอย่างดูดดื่ม สักครู่ทั้งสองก็หยุดมองหน้ากัน
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคุณพาฉันที่ที่ฉันไม่เคยไป และทำให้ฉันสนุก ฉันจะให้รางวัลคุณ”
“เป็นรางวัลที่ผมปลาบปลื้มใจมาก”
“นั่นยังไม่ใช่รางวัล ฉันให้คุณได้มากกว่าจูบ”
พายุอึ้งไปเล็กน้อย เนตรนภาจับมือพายุแล้วพาเดินเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์ของเธอ
กังฟูนอนสลบอยู่ เมลดาในชุดงิ้วซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมเดินมาเจอ
เมลดาเรียก “กังฟูๆ”
กังฟูลืมตาขึ้นมาเห็นเมลดาแบบเบลอๆ
“เหลียนไฉ่หยุน”
“ไหวมั้ยเนี่ย แข็งใจหน่อย ฉันแบกคุณไม่ไหวหรอกนะ ลุกเร็ว” เมลดาบอก
กังฟูยันกายลุกขึ้น
“ฉันจำเธอได้” กังฟูบอก
“รู้แล้ว”
กังฟูลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นเมลดาอย่างชัดเจน กังฟูยิ้มเล็กน้อย
“ผมรักคุณ” กังฟูพูด
“จอมยุทธจั่นอย่าเพิ่งพูดมากน่า” เมลดาว่า
“ไม่ใช่”
กังฟูพึมพำด้วยเสียงอู้อี้
“ไม่ใช่จั่นเจา ... ผม...กังฟู...”
เมลดาฟังไม่ชัด
“บอกให้เงียบๆ ตั้งใจเดินหน่อย...ฉันจะช่วยนายเอง”
เมลดาดุ ขณะช่วยประคองกังฟูเดินไป กังฟูยอมเงียบแต่ก็มองเมลดาด้วยความรู้สึกมีความสุข
เหตุการณ์บนเวทีงิ้วในอดีตย้อนกลับมา เป็นตอนที่จั่นเจาได้รับบาดเจ็บ เหลียนไฉ่หยุนมาช่วยประคอง
“ข้าจะช่วยท่านเอง”
“ไฉ่หยุน เจ้าช่างดีต่อข้า”
ไฉ่หยุนก้มหน้าด้วยความเขินอาย
นักดนตรีข้างเวที บรรเลงเพลงหวานคลอ จั่นเจากับเหลียนไฉ่หยุนประคองกันเดินไป
เหตุการณ์ปัจจุบัน เมลดาก็ประคองกังฟูเดินไปเหมือนกัน
เมลดาประคองกังฟูจนถึงห้องของกังฟูก่อนจะวางกังฟูลงบนเตียง เมลดาเหงื่อแตกซ่ก
“เอาอีกละ ตัวร้อนเป็นไฟอีกละ บาดเจ็บทีไร ตัวร้อนแบบนี้ทุกที ฝึกวิชาพิสดารอะไรของเค้ามารึเปล่าเนี่ย”
เมลดาเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเปียกๆโปะลงบนหน้าผากกังฟูแล้วกำลังจะลุกออกไป กังฟูจับมือเมลดาไว้ แล้วละเมอพึมพำ
“รัก...”
“รู้แล้วท่านจอมยุทธจั่น ไฉ่หยุนรู้แล้ว”
“คุณเม...ผมรักคุณ”
เมลดาตะลึง เธอมองกังฟูที่ยังละเมอไม่ได้สติ
“กังฟู...”
เมลดารู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็แกะมือกังฟูออก กังฟูยื่นมือคว้าไว้แล้วนิ้วไปเกี่ยวโดนผ้าชุดงิ้วตรงก้นเมลดาในช่วงที่เมลดาเดินออกมาพอดีทำให้ดิ้นประดับขาด เมลดาแกะมือกังฟูออกแล้วเดินตรงไปที่ประตู
“คุณเม...”
เมลดาชะงักก่อนจะหันกลับไปมองกังฟู แล้วก็ตัดใจปิดประตูเดินจากมา เมลดาเดินออกมาแล้วเดินลงบันได ผ่านประตู ออกไปที่ถนน โดยที่เมลดาร้องไห้ไปด้วย
“ขอโทษนะกังฟู ฉันรักนายไม่ได้”
เมลดาเดินหายไปในเงามืด
จางซื่อนั่งกินข้าวโดยมีอาเฟยยืนอยู่ข้างๆ
“ที่ข้าหวาดกลัวมาตลอดคือกลัวว่าก่อนตายจางเหลียงจะถ่ายทอดลมปราณเคลื่อนตะวันให้ลูกของมัน” จางซื่อว่า
“ลมปราณเคลื่อนตะวัน...ศิษย์ไม่เคยได้ยิน” อาเฟยบอก
“ก่อนหน้านี้ไม่มี หลังจากนี้ก็คงไม่มี เป็นลมปราณที่จางเหลียงคิดค้นขึ้นมาเอง”
“แต่อาจารย์คิดว่าไม่มี”
“ไม่มีแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชื่อกังฟูหรือพายุก็ตาม ล้วนไม่มีลมปราณนี้”
“เกี่ยวอะไรกับคนชื่อพายุครับ”
“อั๊วคิดว่าพวกเราอาจจะเข้าใจผิด ลูกของจางเหลียงอาจไม่ใช่กังฟู แต่เป็นพายุ” จางซื่อว่า
“คนที่เก่งกว่าน่ะเหรอ”
“ใช่ ... เหมยอิงต้องให้จางฟุแก้แค้นให้พ่อของมัน ไม่มีทางปล่อยจางฟุโตมาเป็นคนไร้ฝีมือหรอก ข้าว่าเหมยอิงอาจจะรู้ตัวว่าเราตามมาที่โรงงิ้ว เลยแกล้งมองกังฟูเพื่อหลอกเรา แต่ความจริงเด็กกำพร้าที่โตที่โรงงิ้วและเป็นลูกของจางเหลียงก็คือพายุ”
“ถ้าเป็นพายุก็ดี ค่อยมีฝีมือพอให้ข้าลงมือฆ่ามัน”
อาเฟยมองเล็บที่นิ้วทั้งสองของตัวเอง จางซื่อชำเลืองมองอาเฟยแว่บหนึ่งแต่ก็ไม่พูดอะไร
กังฟูนอนอยู่คนเดียว ผ้าขนหนูมีควันขโมงเหมือนน้ำเดือด ไอร้อนเกิดขึ้นบนตัวกังฟูเนื่องจากความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
อ่านต่อตอนที่ 8