ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 14
หลวงจีนนำพวกเฮียเฉินมาพบโกวเล้งที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ โกวเล้งลืมตาขึ้นแล้วยิ้มอย่างเปี่ยมเมตตา
“ประสก พวกท่านสวดขอพรให้ใคร” โกวเล้งถาม
“เมียผมเองครับ นางคงอยู่ได้อีกไม่นาน” เฮียเฉินบอก
“พาเมียท่านมาที่นี่”
เฮียเฉินอึ้ง เฮียหลอเอียงหน้ามากระซิบ
“พระนี่ดูดี แต่พูดจาติงต๊องมาก อย่าสนใจเลยว่ะ”
“แต่ว่า...”
“อาจารย์เฉินคะ” เมลดาพูดขึ้น “หนูขอพูดอะไรหน่อย หนูไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์ แต่...ท่าทางของพระรูปนี้มีบารมีที่น่าศรัทธามาก ถ้าหนูเป็นอาจารย์เฉิน...หนูจะพาอาจารย์แม่มาที่นี่”
เฮียเฉินนิ่งคิดและมีท่าทางสับสน
เฮียเฉิน เฮียเก้า และเฮียหลอช่วยกันแบกฮูหยินเข้ามาที่วัดอย่างทุลักทุเล
“ไอ้กังฟูมันหายหัวไปไหนวะ” เฮียหลอถาม
“เห็นมันเอาแต่ฝึกวิชา บอกจะแก้แค้นให้อาจารย์แม่ให้ได้” เฮียเก้าบอก
“เมียอั๊วยังไม่ตาย มันจะรีบแก้แค้นไปไหนวะ” เฮียเฉินว่า
“งั้นปล่อยมันเหอะ มันคิดอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นหรอก”
“อั๊วสังหรณ์ใจว่าครั้งนี้มันจะคิดไม่เหมือนคนอื่นมากกว่าทุกครั้งน่ะสิ”
“เรื่องอื่นไว้ทีหลัง ให้เมียอั๊วปลอดภัยก่อน แล้วก็...อย่าลืมนะเรื่องนี้ต้องเป็นความลับ ถ้ารู้ไปถึงไอ้จางซื่อ คนในวัดนี้จะเป็นอันตราย” เฮียเฉินบอก
เฮียหลอกับเฮียเก้าพยักหน้า โกวเล้งออกมายืนรอรับอยู่แล้ว
เหตุการณ์ปัจจุบัน เฮียหลอพูด
“ถ้าไม่ได้อาจารย์โกว ฮูหยินคงตายไปแล้ว ตอนแรกที่เจออาจารย์ ผมมีตาแต่หามีแววไม่ ผมต้องขอโทษอาจารย์ด้วย”
โกวเล้งยิ้มเมตตาแต่ไม่พูดอะไร
เฮียเฉินพูด “ผมต้องขอโทษท่านด้วยที่พาคนมาให้ท่านรักษาโดยไม่ถามท่านก่อน แต่ว่า ผมไม่มีทางอื่น ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ลูกศิษย์ของผมคงต้องตายแน่ๆ ผมไม่มีอะไรที่คู่ควรจะตอบแทนท่านนอกจากขอเป็นคนรับใช้ของอาจารย์ไปตลอดชีวิต”
โกวเล้งส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่จำเป็น”
กังฟูถูกยกมาวางนอนที่ห้องอีกห้องหนึ่ง กังฟูถูกถอดเสื้อผ้าออกโดยมีผ้าห่มคลุมร่าง โกวเล้งเดินมาหยุดยืนข้างๆ กังฟูที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง แล้วโกวเล้งก็แมะกังฟู
“ลมปราณสับสนมาก” โกวเล้งบอก
“เรียกว่ามั่วเลยดีกว่าครับ ไอ้นี่มันมีลมปราณหลายสายมาก” เฮียหลอบอก
โกวเล้งแมะพบอะไรบางอย่างก็แปลกใจ
“อ๊ะ...ลมปราณย้ายสุริยัน”
“อาจารย์รู้จักด้วยเหรอครับ”
“อมิตพุทธ ลิขิตสวรรค์ ห้ามพูด ห้ามพูด” โกวเล้งว่า
พวกเฮียเฉินฟังแล้วก็งง
“เขาโดนพิษที่ร้ายกาจที่สุด” โกวเล้งบอก
“รักษาได้ไหมครับ” เฮียเฉินถาม
“ต้องปล่อยให้ตาย” โกวเล้งบอก
ทุกคนตกใจ
โกวเล้งพูดต่อ “ตายเพื่อฟื้น”
โกวเล้งเดินเข้ามาในห้องของเขา ก่อนจะเปิดตู้ หยิบย่ามของเขาออกมาแล้วก็หยิบกล่องใบเล็กๆออกมา โกวเล้งเปิดกล่อง เขามองแล้วทำใจครู่หนึ่งจึงค่อยปิดฝากล่องแล้วเดินถือกล่องออกไป
โกวเล้งเดินกลับมาแล้วหยิบกล่องออกมาเปิดฝา โกวเล้งจับแมลงกู่สีขาวตัวหนึ่งออกมา
เฮียหลอพูด “แมลงกู่”
“ถูกต้อง” โกวเล้งบอก
ฮูหยินเห็นโกวเล้งใช้สมาธิสูงมากแต่อดสงสัยไม่ได้เลยกระซิบถามเฮียหลอ
“มันคือตัวอะไรอ่ะ”
“แมลงกู่ เป็นแมลงที่ชาวเขาทางใต้ของจีนเลี้ยงไว้ เป็นวิชาลี้ลับชนิดหนึ่ง”
“อั๊วได้ยินมาว่าเป็นแมลงมนต์ดำไม่ใช่เหรอวะ” เฮียเฉินว่า
“ความจริงแมลงกู่เป็นแมลงในธรรมชาติ เพียงแต่คนเอามาเลี้ยงเพื่อทำร้ายคนอื่น จึงถูกมองเป็นแมลงมนต์ดำ หากเราเข้าใจธรรมชาติของมัน ก็สามารถเอามาช่วยคนได้เหมือนกัน” เฮียหลอบอก
“อาจารย์โกวนี่สุดยอดจริงๆ” ฮูหยินชื่นชม
“ไอ้กังฟูโชคดีมาก แมลงกู่ตัวนี้ต้องนับเป็นของหายากสุดๆ แต่อาจารย์โกวยังเอาออกมาช่วยมัน” โกวเล้งจับแมลงกู่มาลูบเบาๆ แล้วยัดเข้าปากกังฟู
ฮูหยินขยะแขยง “อี๋”
เฮียหลอพูด “พวกลื้อรู้มั้ย ในอดีตเด็กหนุ่มชั้นปลายแถวจากบู๊ตึ๊งคนหนึ่ง ใช้แมลงกู่ชนิดนี้ฝึกวิชา จนสร้างชื่อเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่งของบู๊ลิ้มเลย”
โกวเล้งพยักหน้ารับรองพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“จอมยุทธท่านใดครับ” เฮียเฉินถาม
“จอมยุทธฮุ้นปวยเอี้ยง” โกวเล้งบอก
“หรือว่านี่คือ...ยอดวิชาไหมฟ้า” เฮียเฉินถาม
โกวเล้งพยักหน้า ส่วนกังฟูยังคงนอนสงบนิ่ง
เมลดาลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย เมลดางง เธอจะลุกขึ้นก็พบว่ามือตัวเองถูกกุญแจมือล่ามไว้
เมลดางง “อะไรกันเนี่ย”
เมลดามองไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลับหันหลังให้อยู่
เมลดาเรียก “คุณ...คุณคะ”
ผู้หญิงคนนั้นสะดุ้งตื่นแล้วหันกลับมา เมลดาตะลึง
“เนตร”
เนตรนภาถาม “ตื่นแล้วเหรอ”
เมลดาอึ้งไปหลายวินาทีด้วยความรู้สึกสับสน
“เนตร...ที่นี่ที่ไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคนอื่นๆล่ะ”
“ใจเย็นๆ ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอก มีคนพาเธอมาที่นี่ ตอนที่พามาน่ะเธอโดนวางยาหลับปุ๋ยมาแต่แรกแล้ว”
“ใครพาฉันมา”
“พายุ”
“เธอรู้จักพายุด้วยเหรอ”
เนตรนภายิ้มเศร้า
“เขาเป็นผัวคนปัจจุบันของฉัน”
“พายุเนี่ยนะ...แต่หมอนั่นเป็นคนเลว เลวมากเลยนะ”
“ฉันรู้...แต่มันก็สายไปแล้ว”
“เนตร ปล่อยฉันเร็ว ฉันต้องออกไปจากที่นี่”
เนตรนภาลังเลแล้วส่ายหน้า
“ไม่ได้หรอก พายุสั่งห้ามเด็ดขาด ถ้าฉันช่วยเธอ เขาฆ่าฉันแน่”
“เนตร เธอฟังฉันนะ ถ้าเธอช่วยฉัน ฉันจะพาเธอหนี เธอไม่ต้องกลัวพายุ รับรองว่าเขาทำอะไรเธอไม่ได้หรอก”
“ไม่ เธอไม่รู้อะไร พายุเขาเก่งมาก ฉันเคยเห็นเขาฆ่าคนด้วย เขาโหดเหี้ยมมาก ฉันไม่กล้าทำให้เขาโกรธหรอก”
“เนตร นี่เธอเป็นอะไร ทำไมต้องกลัวเขาขนาดนี้...เนตร ช่วยฉันออกไปเถอะ”
เนตรนภาส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“เธอหิวข้าวไหม เดี๋ยวฉันเอาน้ำให้กินก่อนละกัน ปวดหัวมั้ย ฉันมีพารา”
“ไม่...ฉันแค่อยากให้เธอช่วยฉัน ปล่อยฉันออกไปเถอะ”
เนตรนภาทำหูทวนลม
เมลดาอึ้ง “เนตร...”
มิเชลถูกลูกน้องจางซื่อคุมตัวมาที่ห้องทำงานของจางซื่อ
จางซื่อไล่ “ออกไป”
พวกลูกน้องพากันออกไป
“ตอนที่แกทรยศฉัน คิดไม่ถึงสินะว่าจะมีวันนี้” จางซื่อว่า
“คิด...ฉันรู้ว่ายังไงก็หนีแกไม่พ้นหรอก แต่ที่คิดไม่ถึงคือวิธีการ นึกว่าแกจะส่งอาเฟยไปจับฉัน คิดไม่ถึงว่าแกจะใช้วิธีผสมยาสลบลงในอาหาร ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสำนักอสูรเทวาจะลดตัวลงมาใช้วิธีที่ต่ำทราม ทุเรศ และขี้ขลาดตาขาวแบบนี้”
“ฉันไม่เถียง จะใช้วิธีไหนก็ตาม แต่ตอนนี้แกอยู่ในน้ำมือฉันแล้ว ฉันจะให้ตายยังไงก็ได้”
“อยากฆ่ายังไงก็เชิญ” มิเชลบอก
“ฉันจะให้ข้อเสนอแก ขอเพียงแกกลับใจ ยอมเป็นลูกศิษย์ฉันอีกครั้ง จงรักภักดีต่ออสูรเทวา ฉันจะคืนทุกอย่างที่แกเคยมีและเคยเป็นให้เหมือนเดิม”
มิเชลงงไปวูบหนึ่งแล้วก็หัวเราะลั่น
“แกหัวเราะอะไร” จางซื่อถาม
“พออาเฟยตายแกก็ยื่นข้อเสนอนี้ให้ฉันเหรอ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแกจะอ่อนแอแบบนี้ จางซื่อ แกกลายเป็นไอ้แก่ขี้เหงาไปแล้ว”
จางซื่อยังคงเยือกเย็น
“ตกลงว่าแกปฏิเสธข้อเสนอของฉันใช่ไหม”
มิเชลหยุดหัวเราะ “แล้วพายุล่ะ”
“มันคือเศษสวะ ไม่คู่ควรจะเป็นลูกศิษย์ฉัน...มิเชล ฉันไม่ใช่ตาแก่ขี้เหงา ฉันไม่ได้ต้องการเพื่อนหรือลูกศิษย์ ฉันต้องการคนที่สืบทอดอสูรเทวา อาเฟยเป็นคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เสียดายที่มันตายแล้ว มิเชล เธอคือคนที่ฉันเห็นว่าเหมาะสม ยิ่งเธอฆ่าเมฆาด้วยมือตัวเองแบบนั้น เธอยิ่งเหมาะสม”
“อย่าพูดถึงเมฆานะ” มิเชลว่า
“คนที่จะสืบทอดอสูรเทวาต่อจากฉัน ในใจมันต้องเป็นมาร มิเชล ในใจเธอตอนนี้เป็นมารไปแล้ว”
“ฟังให้ดีนะจางซื่อ แกเข้าใจผิด ฉันไม่ใช่มาร ฉันฆ่าเมฆาเพราะฉันรักเขา เพราะฉันไม่อยากเห็นเขาเป็นอมนุษย์ เพราะฉันต้องปกป้องพ่อของฉัน ฉันทำเพราะความรัก ฉันไม่ใช่มารของแก”
จางซื่ออึ้งไป
“แกพูดจาน่าคลื่นไส้มาก ฉันคงเข้าใจผิด แกไม่ใช่มารจริงๆ แกไม่คู่ควรกับอสูรเทวา ไม่คู่ควรจะเป็นศิษย์ของฉัน”
“ถ้าจะฆ่าฉันก็ลงมือได้” มิเชลบอก
จางซื่อมองมิเชลแล้วถอนหายใจเบาๆ
บนเวทีที่ห้องโถงกลางมีบัลลังก์ตั้งอยู่ จางซื่อยืนอยู่หน้าบัลลังก์ เงยหน้ามองผ่าผ้าด้านหลังที่เขียนตัวหนังสือจีนตัวใหญ่ไว้ จางซื่อมองบัลลังก์ มองตัวหนังสือ แล้วก็ก้มมองป้ายเจ้าสำนักในมือ จางซื่อมีท่าทางกลัดกลุ้ม แต่สักพักก็ฉุกใจคิดอะไรขึ้นมาได้
“หรือว่า...ลูกจางเหลียง...จางฟุ”
เฮียเฉิน ฮูหยิน และเฮียหลอนั่งกินขนมจันอับไป จิบชาร้อน และคุยกันไปด้วย
“ฮูหยิน ลื้อแข็งแรงดีแล้วเหรอ” เฮียเฉินถาม
“อื้อ จะว่าไปอั๊วว่าดีกว่าเดิมด้วย ดูซิ หน้าผ่อง กดแก้มแล้วเด้งดึ๋งๆ เลือดลมก็ดีเป็นปกติ” ฮูหยินว่า
“สภาพลื้อตอนนั้นจะตายมิตายแหล่ แต่กลับมาเป็นอย่างนี้ได้ นับว่าอาจารย์โกวเก่งจริงๆ”
“งั้นกังฟูก็มีลุ้น...หวังว่ามันจะรอดได้แบบลื้อนะ” เฮียเฉินบอก
“เรื่องกังฟู อั๊วยังคาใจเรื่องที่อาจารย์โกวเจอลมปราณย้ายสุริยันแล้วบอกว่าลิขิตสวรรค์ มันหมายความว่ายังไงแน่วะ” ฮูหยินว่า
“ก็เขาบอกพูดไม่ได้ก็พูดไม่ได้ ลื้อก็อย่าไปสนใจสิวะ”
“พูดแบบนี้อั๊วยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่”
ติงลี่จ้ำฝีเท้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“พวกลื้อไปดูกังฟูรึยัง” ติงลี่ถาม
“ยังเลย มีอะไรเหรอ ... อย่าบอกนะว่ามันตายแล้ว” ฮูหยินถาม
“ไม่ใช่ แต่มีอะไรบางอย่าง เกิดมาอั๊วไม่เคยเห็น เห็นแล้วขนลุก” ติงลี่บอก
“อั๊วพอเดาออกแล้ว แต่อั๊วก็เคยอ่านเจอ ไม่เคยเห็นของจริง พวกเรารีบไปดูกันเถอะ” เฮียหลอว่า
แล้วพวกเฮียเฉินก็รีบเดินออกไป
เฮียเฉิน เฮียหลอ ฮูหยิน และเฮียติงลี่ กำลังยืนอยู่หน้าตั่งในวัดจีน กังฟูนั่งบนตั่งร่างเปลือยเปล่า เขากำลังนั่งสมาธิ รอบตัวกังฟูมีใยบางๆปกคลุมทั้งร่าง ดูแปลกตามาก
“นี่มัน…” เฮียเฉินเอ่ย
“นี่แหละ ยอดวิชาไหมฟ้า” เฮียหลอพูดต่อ
“เป็นวิชาที่พิสดารจริงๆ” เฮียเฉินว่า
“กังฟู ชีวิตไอ้นี่มันมีทั้งเคราะห์ทั้งโชค บอกไม่ถูกจริงๆ” ฮูหยินพูด
“บางที นี่คือดวงชะตาของยอดคน” เฮียติงลี่กล่าว
กังฟูยังคงนั่งนิ่งไม่รู้ตัว
จางซื่อยืนเด่นบนเวทีที่สำนักอสูรเทลา ด้านล่างเป็นพวกลูกน้องมากมาย มีคนเดินแจกปึกใบปลิวให้พวกลูกน้องรับไปคนละหนึ่งปึกใหญ่
“ใบปลิวพวกนี้ เอาไปแจกให้ทั่ว กระจายให้มากที่สุด เข้าใจไหม” จางซื่อสั่ง
“เข้าใจครับ” พวกลูกน้องรับคำ
“ไปได้”
อีกด้านหนึ่ง เป๋งกุ่ยกับพี่ชายที่ชื่อ “เหม่ง” กำลังเดินออกมาจากโรงพยาบาล
“แม่อาการดีขึ้นเยอะเลย ต้องยกความดีให้ลื้อนะเป๋งกุ่ย” เหม่งเอ่ย
“อั๊วคนเดียวที่ไหน ผลงานของเราสองพี่น้องต่างหาก” เป๋งกุ่ยว่า
“แต่ลื้อเป็นคนหาเงินก้อนโตมาให้ ถ้าไม่ได้เงินก้อนนั้นคงพาแม่เข้าโรงพยาบาลดีๆ แบบนี้ไม่ได้ ลื้อเก่งมาก” เหม่งชมเป๋งกุ่ยต่อ
“โชคช่วยแหละ แค่ทำงานให้พวกอสูรเทวานิดหน่อยเอง แต่พวกมันดันจ่ายเงินให้ตั้งเยอะ” เป๋งกุ่ยว่า
สองพี่น้องเดินมาถึงจุดที่ลูกน้องจางซื่อคนหนึ่งยืนแจกใบปลิวอยู่
“ส่งต่อด้วยครับ จากสำนักอสูรเทวาครับ ข้างล่างมีคูปองลดราคาสินค้าด้วยนะครับ ส่งต่อด้วยครับ”
“พวกอสูรเทวานี่” เป๋งกุ่ยเอ่ย
เหม่งรับใบปลิวมาแล้วเริ่มอ่าน
“ถึงจางฟุ หรือกังฟู…”
อีกด้านหนึ่ง เฮียเฉิน เฮียหลอ ฮูหยิน และเฮียติงลี่ ก็กำลังมุงอ่านใบปลิวเช่นกัน
“แกต้องมาหาฉัน จะมาคนเดียวหรือพาอาจารย์ พรรคพวกแกมาด้วยก็ได้ แต่ถ้าแกไม่มา ฉันจะฆ่าเชลยวันละคน เริ่มศพแรกพรุ่งนี้เที่ยงตรง จางซื่อ เจ้าสำนักอสูรเทวา”
“ไอ้จางซื่อ ไอ้สารเลว” เฮียหลอพูด
“ทำไงดีล่ะ พรุ่งนี้เที่ยงกังฟูมันหายไม่ทันหรอก เราไปบอกจางซื่อก่อนไหมว่าขอเวลาอีกซักสองสามวันก็ยังดี” ฮูหยินถาม
“คนอย่างไอ้จางซื่อมันไม่เจรจาด้วยหรอก ถ้าพรุ่งนี้เที่ยงกังฟูไม่ไปหามันก็รอลุ้นได้เลยว่าใครจะเป็นศพแรก” เฮียเฉินว่า
“ต่อให้กังฟูหายทัน...ก็ไม่ควรไป” เฮียติงลี่เอ่ยขึ้นมา
“หมายความว่า” ฮูหยินสงสัย
“ถ้ากังฟูไปคือไปตายแน่นอนอยู่แล้ว จางซื่อมันไม่มีทางปล่อยลูกจางเหลียงไปหรอก แล้วพอมันฆ่ากังฟูเสร็จมันก็จะฆ่าพวกเชลยทุกคนเสร็จแล้วก็ตามไล่ฆ่าพวกเราต่อ” เฮียติงลี่อธิบาย
“แล้วคนพวกนั้นล่ะ เมลดา ไอ้เก้า เฮียเต๋า เหมยอิง สวย มิเชล จะปล่อยให้โดนจางซื่อฆ่าตายโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอ” เฮียเฉินถาม
“อั๊วพูดนี่ไม่ใช่ใจดำนะ แต่เราต้องเลือก ระหว่างหกคนนั้นตาย กับตายกันหมดทุกคน” เฮียติงลี่เอ่ย
เฮียเฉิน เฮียหลอและฮูหยินได้ยินดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก
เมลดาอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ของเนตรนภา เธอยังพยายามหว่านล้อมให้เนตรนภาช่วย
“เนตร ฉันขอร้องพี่ล่ะนะ ช่วยฉันเถอะ” เมลดาว่า
“เธอจะพูดเรื่องอื่นบ้างได้มั้ย ไม่เบื่อหรือไง พูดเรื่องเดิมอยู่ได้” เนตรนภาพูด
“ก็พี่ไม่ฟังฉันเลย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันมีพรรคพวกที่เก่งกว่าพายุ”
“เก่งกว่าพายุแล้วไง ตอนนี้พรรคอสูรเทวายิ่งใหญ่ไม่มีใครสู้ได้ ใครมีเรื่องกับพายุก็เท่ากับมีเรื่องกับพรรคอสูรเทวา พวกเพื่อนเธอเก่งแค่ไหนก็สู้พวกมันไม่ได้หรอก”
“คำก็สู้ไม่ได้ สองคำก็สู้ไม่ได้ ทำไมเธอขี้ขลาดอย่างงี้ เธอจำไม่ได้เหรอไงที่พ่อบอกให้สู้น่ะ”
“แล้วพ่อเป็นไง ตายอย่างอเนจอนาถ ฉันไม่อยากตายแบบพ่อ”
“พ่อสอนว่าคนกล้าตายครั้งเดียว ถ้าเธออยู่แบบคนขี้ขลาดเธอก็ต้องอยู่แบบคนขี้ขลาดไปตลอดชีวิต”
“ฉันเป็นคนขี้ขลาด ฉันไม่ใช่นักสู้เหมือนเธอ เธออยากตายแบบพ่อก็ตามใจ แต่ฉันไม่”
มีเสียงไขประตู เนตรนภาสะดุ้ง รีบพูดเร็วปรื๋อ
“อย่าให้พายุรู้นะว่าเราเป็นพี่น้องกัน”
เนตรนภาพูดจบ พายุก็เข้ามาในห้องพอดี พายุเห็นเมลดาตื่นแล้วก็ยิ้มกริ่ม
“สวัสดีครับเมลดา รู้สึกเป็นไงบ้าง ขอโทษนะที่ต้องล่ามคุณไว้แบบนี้ คุณคงเข้าใจนะว่าผมจำเป็นต้องทำ”
“ฉันไม่รู้ว่าแกจับฉันมาได้ยังไง แต่ปล่อยฉันได้แล้ว” เมลดาว่า
“คุณไม่รู้เหรอว่าคุณมาได้ไง หึๆ จะบอกให้เอาบุญ ไอ้กังฟูมันแอบใส่ยาสลบในอาหารนั่น ทุกคนไม่ทันระแวงกังฟู กินเข้าไปเต็มที่ แล้วพวกคุณก็เป็นลม กังฟูมันจะฉวยโอกาสย่ำยีคุณ โชคดีที่ผมไปเจอแล้วห้ามมันทัน กังฟูมันสู้ผมไม่ได้ก็เลยหนีไป ส่วนผม ไม่รู้จะไปส่งคุณที่ไหน เลยต้องมาที่นี่” พายุพูด
“ทุเรศ ฉันไม่เชื่อแกหรอก กังฟูไม่ใช่คนแบบนั้น” เมลดาเอ่ย
พายุหัวเราะ
“ผมสงสารกลัวคุณเสียใจ บอกความจริงก็ได้ว่ากังฟูน่ะมันสมคบกับจางซื่อ มันวางยาพิษฆ่าทุกคน แต่คุณโชคดีรอดมาได้ ผมผ่านไปเจอ ช่วยคุณไว้ แล้วพาคุณมาซ่อนไว้ที่นี่”
“แกบ้ารึเปล่า แต่งเรื่องเพ้อเจ้ออะไรอยู่ได้”
“อ่ะ ความจริงก็คือ…”
“พอแล้ว” เมลดาเอ่ยขึ้นในที่สุด
พายุมองหน้าเมลดาแล้วพูดจริงจัง
“ตั้งแต่บัดนี้ความจริงมันขึ้นอยู่กับผม คุณเป็นผู้หญิงของผมแล้วเมลดา ผมบอกว่าข้างนอกเป็นสีขาว มันก็สีขาว บอกข้างนอกเป็นสีดำ มันก็สีดำ และคุณก็ต้องเชื่อผม เพราะผมจะไม่มีวันปล่อยคุณออกไปนอกห้องนี้”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของแก ไอ้ชาติชั่ว” เมลดาว่า
“คุณต้องเป็นของผม ไม่ช้าก็เร็ว และไม่ว่ายินยอมหรือขัดขืนก็ตาม”
พายุหัวเราะอย่างชั่วร้าย ยื่นหน้าเข้ามาหาเมลดา
“ตอนนี้เลยมั้ย”
เมลดาใช้มือข้างที่ว่างตบ พายุจับมือเมลดาทัน เมลดาถุยใส่หน้า พายุยิ้ม
“คืนนี้มันยังอีกยาวไกล”
พายุจูบเมลดา เมลดาดิ้นรน พายุหัวเราะสนุก ตอนนั้นเองที่มือถือพายุดัง เขาตัดใจมารับสาย
“สวัสดีครับ…”
พายุหน้าตาเคร่งขรึมขึ้นทันที
“ครับท่านเจ้าสำนัก...ผมกลับมาทำธุระที่ห้องพักครับ...ได้ครับ ท่านเจ้าสำนัก จะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
พายุวางสาย
“ฉันต้องไปก่อนละ…” พายุบอก ก่อนหันมาทางเนตรนภาแล้วสั่งว่า
“ดูแลผู้หญิงของฉันให้ดีนะ เสร็จธุระแล้วฉันจะรีบกลับมา อย่าให้มีอะไรผิดพลาดนะ เจ็บตัวแน่” พายุชี้หน้าขู่เนตรนภาแล้วเดินออกไป
เมลดาร้องไห้ โดยมีเนตรนภามองอยู่ด้วยความสงสาร
“พรุ่งนี้ฉันจะฆ่าตัวประกันหนึ่งคน ในฐานะที่แกรู้จักกังฟู แกเลือกมาคนหนึ่ง คนที่กังฟูจะต้องมาช่วยแน่ๆ” จางซื่อสั่งงานพายุ
“ครับ” พายุรับคำ
“แกจะเลือกใคร” จางซื่อถาม
“เอ่อ...อาจารย์เก้าครับ” พายุเอ่ย
“ทำไมไม่เลือกเมลดา” จางซื่อถามต่อ
“กังฟูมันรักเมลดาก็จริง แต่มันเป็นคนมีความกตัญญู เหมือนภาษิตที่ว่าร้อยความดี กตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง ถ้าใช้อาจารย์เก้า ถึงรู้ตัวว่าต้องตาย มันก็จะมาแน่ๆ” พายุอธิบาย
“ไม่ใช่เพราะว่าแกหักใจฆ่าเมลดาไม่ลง” จางซื่อถามอีก
“เอ่อ…”
พายุตกใจหน้าซีด
“ผม...ขอโทษ...คือว่า…”
จางซื่อมองพายุ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ต้องกลัว ฉันเป็นคนบอกให้แกดูแลเชลย แกจะทำอะไรกับเชลยก็เป็นเรื่องของแก”
“ซะ...ซะ...ทราบแล้วครับ” พายุตอบตะกุกตะกัก
“ส่วนเรื่องเฮียเก้า ฉันเห็นด้วย นับได้ว่าแกมองกังฟูทะลุปรุโปร่ง...อาจารย์เก้าคือคนแรกที่ต้องตาย...ถ้ากังฟูมันไม่มา” จางซื่อยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ยังมีอีก”
“ครับ”
“งานพรุ่งนี้ แกรับผิดชอบ”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก ผมจะทุ่มเทเต็มที่ไม่ให้เจ้าสำนักผิดหวังเลยครับ” พายุรับคำ ยิ้มแป้น
พายุไฟแรง คึกคัก สั่งลูกน้องทำงาน เตรียมเวทียกพื้นสำหรับทำแท่นประหารอยู่ที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง
“ตั้งใจทำงานให้ดีนะโว้ย งานนี้ผิดพลาดไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าต้องเสร็จ เราต้องทำงานกันทั้งคืน ห้ามง่วง ห้ามมึน ใครงี่เง่าทำอะไรเสียหายล่ะก็ อั๊วจะตัดมือมันทิ้ง ใครทำงานเต็มที่ผลงานดี อั๊วจะให้รางวัล” พายุประกาศเสียงก้อง ดูบ้าอำนาจ เขายิ้มกับตัวเอง
“เมฆาตาย อาเฟยตาย มิเชลทรยศ ก็เหลืออั๊วคนเดียวนี่แหละ ที่จะเป็นใหญ่รองจากจางซื่อ ฮ่าๆๆ”
จางซื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะที่มีอาหารจัดวางอย่างเรียบง่ายแต่ดูน่าทาน สักครู่ลูกน้องก็คุมตัวมาดามเหมยอิงมาส่ง จางซื่อโบกมือ ลูกน้องถอยออกไป จางซื่อเขยิบเก้าอี้ให้มาดามเหมยอิง
“นั่งก่อนสิ” จางซื่อเอ่ย
มาดามเหมยอิงนั่งลง จางซื่อกลับมานั่งที่ที่ของเขา ตักข้าวใส่ชามให้เหมยอิง
“ทานข้าวก่อน นี่ของโปรดเธอทั้งนั้นเลยนะ” จางซื่อว่า
“ต้องการอะไรกันแน่” มาดามเหมยอิงถามตรงๆ
“เหมยอิง ความจริงแล้วเธอกับฉันก็เป็นผัวเมียกัน เราจะพยายามทำเหมือนเป็นศัตรูกันไปทำไม”
“เข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้ทำเหมือนแกเป็นศัตรู แต่แกคือศัตรูของฉัน”
“เมื่อกี้ฉันให้พายุเลือกคนที่ต้องโดนฆ่าจากกลุ่มเชลย ตอนนั้นอยู่ดีๆ ฉันก็นึกกลัวขึ้นมาว่าถ้าพายุบอกชื่อเธอขึ้นมา ฉันจะฆ่ากล้าเธอหรือเปล่า”
“อย่าดัดจริตเลยจางซื่อ แกฆ่าฉันได้”
“ผิดแล้ว ถ้าไม่มีความจำเป็นมาบีบบังคับ ฉันฆ่าเธอไม่ลงหรอก เหมยอิง ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอเกลียดหน้าฉัน แต่รออีกสักนิด รอจนฉันรวบรวมแผ่นดินในย่านนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันก่อน เธอจะได้เห็นความฝันของฉันคืออะไรและมันสวยงามแค่ไหน
“ถ้าแกไว้ชีวิตฉันเพื่อให้ฉันเห็นความสำเร็จที่วิปริตของแก ฉันยอมควักลูกตาตัวเองให้ตาบอดดีกว่า”
“เฮ้อ...ดูสิ ความจริงฉันตั้งใจชวนเธอมากินข้าวด้วยกันเฉยๆ ทำไมต้องทะเลาะกันแบบนี้นะ ... เอาเป็นว่าฉันขอโทษแล้วกัน มาๆ กินข้าวกันดีกว่า” จางซื่อตัดพ้อ แล้วคีบกับข้าวให้มาดามเหมยอิง
“ฉันไม่กิน” มาดามเหมยอิงว่า
“ไม่เอาน่าเหมยอิง”
“ฉัน ไม่ กิน” มาดามเหมยอิงพูดจริงจัง
จางซื่ออึ้งไปครู่หนึ่งก่อนพูดเสียงดัง
“เข้ามา”
ลูกน้องเข้ามา
“พากลับไป” จางซื่อสั่ง
ลูกน้องคุมตัวมาดามเหมยอิงออกไป
จางซื่อนั่งมองโต๊ะอาหารที่ว่างเปล่า มีเขาเพียงผู้เดียว เขาคีบกับข้าวขึ้นมา แล้วนั่งรับประทานอาหารเพียงลำพัง
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 14 (ต่อ)
บริเวณลานจอดรถถูกดัดแปลงมีเวทียกพื้น สวยงาม ดูมีพลัง จางซื่อเดินเข้ามาบริเวณลานประหาร พวกลูกน้องที่เฝ้ารออยู่ยกมือประสานคำนับ
“คำนับท่านเจ้าสำนัก”
พายุยืนเด่นอยู่หน้าลูกน้อง
“คำนับท่านเจ้าสำนัก” พายุคำนับ
จางซื่อเดินมาที่ลานประหาร กวาดตามองโดยรอบ
“ทำได้ดี” จางซื่อเอ่ยชม
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก ... เชิญท่านเจ้าสำนัก” พายุปลื้มใจสุดๆ ที่ได้รับคำชม แต่พยายามเก็บอาการ เขาผายมือเชิญจางซื่อ จางซื่อเดินขึ้นไปนั่งที่ปะรำพิธี ตรงเก้าอี้ประธาน
“เริ่มได้” จางซื่อสั่ง
พายุพยักหน้า
“นำตัวเชลยเข้ามา”
ลูกน้องคุมตัว เฮียเก้า เหมยอิง สวยและมิเชล เข้ามา ทุกคนอยู่ในสภาพถูกมัดมือไพล่หลังไว้ สวยกลัวจนตัวสั่น ร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
“พวกเจ้าเป็นผู้ต่อต้านอสูรเทวา โทษคือตายทั้งหมดพร้อมกัน แต่หัวหน้าพรรคมีเมตตา จะฆ่าพวกเจ้าเพียงวันละคน วันนี้หนึ่งศพ พรุ่งนี้หนึ่งศพ มีมากเท่าไหร่ก็ฆ่ามากเท่านั้น ให้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่าอสูรเทวาห้ามต่อต้าน...ขอเชิญท่านเจ้าสำนักเลือกคนที่สมควรตายก่อน” พายุพูด
“ข้าเลือก เก้าซามเต้ง คนที่เหลือเอากลับไปไว้ในห้อง” จางซื่อเอ่ย
พวกลูกน้องคุมตัว เข้าประตูเข้าห้องห้องหนึ่งซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น
“เก้าซามเต้ง” จางซื่อเรียก
เฮียเก้าทำเหมือนไม่ได้ยิน พายุเดินมาตบหน้าเฮียเก้าฉาด
“บังอาจ ลื้อหูหนวกรึไง เจ้าสำนักเรียกชื่อ ให้ลื้อขานรับ” พายุว่า
เฮียเก้าหัวเราะ
“ขำอะไร” พายุถาม
“ขำลื้ออะดิ ไอ้พายุ ลื้ออุตส่าห์ทรยศอาจารย์ อั๊วนึกว่าเพราะลาภยศยิ่งใหญ่อะไร ที่แท้กลายมาเป็นขี้ข้ารับใช้คอยประจบหมาขี้เรื้อนแบบนี้ ฮ่าๆๆ ทุเรศจริงๆ ทุเรศจนอดขำไม่ได้” เฮียเก้าพูด
พายุตบหน้าเฮียเก้าอีกฉาด แล้วเอ่ยว่า
“ปากดี จะดูว่าถึงเวลาประหารลื้อ ลื้อยังจะปากดีแบบนี้อีกมั้ย อั๊วกลัวลื้อจะฉี่ราดร้องไห้ขอชีวิตน่ะสิ ฮ่าๆๆ”
“ต่อให้อั๊วฉี่ราด อย่างน้อยต้องเอาหัวไอ้จางซื่อมาเป็นกระโถนรองรับ ไม่อย่างนั้น หยดเดียวสวะอย่างลื้อก็ไม่ได้เห็น”
“พอแล้ว ไม่ใช่เวลาประคารม...ตอนนี้เก้าโมง ทุกคนประกาศออกไป ถ้าถึงตอนเที่ยง กังฟูยังไม่มาที่นี่ เก้าซามเต้ง อาจารย์ของมันจะถูกฆ่าเป็นศพแรก” จางซื่อตัดบท
พวกลูกน้องประสานมือรีบคำสั่ง
อีกด้านหนึ่ง เฮียเฉิน เฮียหลอและฮูหยิน นั่งดูกังฟูที่เป็นไหมฟ้าอยู่ไม่กระดุกกระดิก
“นี่มันใกล้ออกจากรังไหมรึยังวะเนี่ย” เฮียเฉินเอ่ย
“ไม่รู้ว่ะ เรื่องนี้มีมันใหม่มาก อั๊วไม่รู้อะไรเลย เผลอๆ ออกมาจะมีปีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้” เฮียหลอว่า
เฮียติงลี่เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน
“ว่าไง ติงลี่ มีข่าวคืบหน้ามั้ย” ฮูหยินถาม
“เมื่อกี้มีคนมาส่งข่าวว่าจางซื่อประกาศชื่อมาแล้ว เชลยคนแรกที่มันจะฆ่าคือเก้าซามเต้ง” เฮียติงลี่เล่า
“ไอ้เก้า” เฮียเฉินอุทาน
ฮูหยินกำหมัดแน่น
“ไอ้เก้า…” เฮียหลอเอ่ย
“ทุกคนต้องตั้งสติให้ดี อย่าลืมว่าเราต้องทำตามยุทธศาสตร์ ถ้าเราไปช่วยอาเก้า เราต้องตาย แพ้ทั้งกระดาน แต่ถ้าเราใจแข็งไว้ หลงเหลือแมกไม้ไม่กลัวไร้ฟืนไฟ เรายังมีโอกาสล้างแค้น” เฮียติงลี่พยายามเตือนสติ
“อั๊วรู้” เฮียเฉินเอ่ย
ทุกคนพยายามข่มใจ
ส่วนกังฟูยังคงนั่งนิ่ง ภายใต้ใยไหม
ขณะนั้น พวกลูกน้องจางซื่ออยู่กันแน่นลาน จางซื่อดูนาฬิกา ใกล้เที่ยงแล้ว
“เก้าซามเต้ง ถึงเวลาแล้ว ไอ้กังฟูยังไม่มา เจ้าก็เตรียมตัวตายซะเถอะ” จางซื่อว่า
“จะฆ่าก็ฆ่า ไม่ต้องโยนความผิดให้กังฟู อั๊วนึกว่าลื้อใจนักเลงที่แท้ก็พวกตาขาว” เฮียเก้าว่า
พายุเตะเฮียเก้าเปรี้ยง แล้วเอ่ยว่า
“ปากสุนัข ท่านเจ้าสำนักเป็นใคร ให้เจ้าเหน็บแนมได้เหรอ”
“ได้เวลาแล้ว…” จางซื่อเอ่ย
“หยุดก่อน” เสียงเฮียเฉินดังขึ้น
จางซื่อชะงัก เมื่อเห็นเฮียเฉินกับเฮียหลอกระโดดข้ามหัวพวกลูกน้องจางซื่อเข้ามา
“กังฟูล่ะ” จางซื่อเอ่ยถาม
“มันไม่ว่าง พวกอั๊วมาแทน” เฮียหลอว่า
“มาแทน? ในสายตาฉัน พวกแกล้วนเป็นตัวตลก ไหนเลยมีความสามารถจะมาแทนกังฟูได้” จางซื่อว่า
“ตัวตลก? ครั้งที่แล้วถ้าไม่ใช่มีคนทรยศ ลื้อคงโดนค่ายกลดอกเหมยของตัวตลกฆ่าตายไปแล้ว” เฮียเฉินเอ่ย
จางซื่อหัวเราะ
“ตกลง วันนี้ฉันจะฆ่าพวกตัวตลกให้หมดคณะเลย”
จางซื่อกระโดดพุ่งเข้าไปหาพวกเฮียเฉิน
ขณะนั้น เฮียติงลี่นั่งเคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวาย
“ป่านนี้พวกนั้นจะเป็นไงมั่งแล้ววะ ปากบอกเข้าใจแต่ถึงเวลาก็ไปกันจนได้ ไอ้พวกนี้สู้เก่งแต่ไม่เข้าใจหลักพิชัยสงครามเลย น่าห่วงจริงๆ อ๊ะ” เฮียติงลี่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงผิดปกติ เขาหันขวับไปทางกังฟูก็พบว่า รังไหมเริ่มมีรอยขาด
มือกังฟูโผล่ขึ้นมาฉีกรังไหมออก ช้าๆ ใบหน้ากังฟู ดูเปล่งปลั่งมีราศี ประกายตาเจิดจ้า กังฟูมองติงลี่
“กังฟู” เฮียติงลี่เอ่ย
กังฟูฉีกรังไหมดังแคว่ก
อีกด้านหนึ่ง จางซื่อถีบเฮียเฉินและเฮียหลอกระเด็นไปคนละทาง
“ท่านเจ้าสำนักสุดยอด” พวกลูกน้องโห่ร้องเชียร์จางซื่อ
“อาศัยพวกเจ้าสองคน ยังไม่คู่ควรให้อั๊วลงมือมากไปกว่านี้ อั๊วให้โอกาสลื้อ รีบไปซะ” จางซื่อเอ่ย
“ไม่ ลื้อต้องปล่อยตัวไอ้เก้ากับคนอื่นๆ ก่อน” เฮียเฉินต่อรอง
“ถ้าไม่ไป งั้นก็อยู่ดูเพื่อนแกตายต่อหน้าแล้วกัน” จางซื่อว่า
“อย่าฆ่าไอ้เก้านะ” เฮียหลอเอ่ย
“อาศัยแกยังห้ามฉันไม่ได้” จางซื่อว่า
“แล้วฉันล่ะ” เสียงของกังฟูดังขึ้น
จางซื่อมองไปตามเสียงก็เห็นกังฟูยืนอยู่บนหลังคา กระโดดลงยืนตรงหน้าเขา
“กังฟู ลอกคราบออกมาแล้วเหรอ” เฮียเฉินถาม
กังฟูพยักหน้า
“มันหล่อขึ้นเยอะเลยโว้ย” เฮียหลอว่า
กังฟูหันมาหาจางซื่อ ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“อั๊วห้ามลื้อได้มั้ย”
“ที่ผ่านมาฉันต้องขอโทษแกด้วยที่ตาต่ำ ไม่รู้ว่าแกคือทายาทที่แท้จริงของพี่จางเหลียง” จางซื่อพูด
“อย่าเรียกพ่ออั๊วว่าพี่จางเหลียง หากลื้อนับถือเขาเป็นพี่จริง ย่อมไม่ใช่วิธีต่ำช้าเล่นงานเขาแบบนั้น” กังฟูว่า
“ด่าได้ดี” จางซื่อเอ่ย
“อั๊วมาแล้ว ปล่อยอาจารย์เก้ากับคนอื่นเดี๋ยวนี้” กังฟูพูดขึ้น
“ถ้าเป็นความต้องการของลูกพี่จางเหลียง ฉันย่อมทำตาม แต่ว่า...แกต้องพิสูจน์ก่อนว่ามีดีพอที่จะเป็นลูกของพี่จางเหลียง” จางซื่อว่า
“อย่าเพ้อเจ้อ จะเอายังไงพูดมาตรงๆ” กังฟูบอก
“ฆ่าพายุซะ ถ้าแกเก่งพอจะฆ่ามันได้ ฉันถึงจะถือว่าแกเป็นลูกชายจางเหลียงที่แท้จริง” จางซื่อเอ่ย
“ท่านเจ้าสำนัก” พายุอุทานอย่างตกใจ
“พายุ ฉันรู้ว่าแกอยากแทนที่อาเฟย ถ้าแกฆ่ามันได้ จึงจะพิสูจน์ว่าแกเก่งกว่าอาเฟย” จางซื่อหันไปพูดกับพายุ
พายุอึ้งไป แล้วส่ายหน้า
“ไม่ ผมทำไม่ได้ ท่านเจ้าสำนักอย่าบีบบังคับผมเลย ผมเอาชนะมันได้ แต่จะให้ผมฆ่ากังฟู ผมทำไม่ได้”
“ถ้าทำไม่ได้ ฉันจะฆ่าพวกแกทั้งสองคนแล้วฆ่าไอ้ตัวตลกพวกนี้ด้วย” จางซื่อว่า
“ท่านเจ้าสำนัก...ไม่ ผมไม่ยอม” พายุพูด แล้ววิ่งมาหากังฟู
“ศิษย์น้อง หนีไป ไอ้จางซื่อมันจะฆ่าลื้อ”
“ให้หนีไปที่ไหน” กังฟูถาม
“ตามอั๊วมา” พายุจับมือกังฟู ทำท่าจะวิ่งนำแต่แล้วก็หมุนขวับ กำหมัดชกทันที กังฟูกลับหลบอย่างง่ายดาย เตะสวนออกไป พายุกระโดดหลบแล้วหัวเราะ
“ที่แท้ลื้อก็ไม่โง่เท่าไหร่” พายุว่า
“มังกรโบราณกล่าวว่าคนที่ชอบคิดว่าคนอื่นเป็นคนโง่ตลอดเวลาจึงเป็นคนโง่ที่แท้จริง” กังฟูเอ่ย
“ก็ดี ไม่ต้องใช้อุบายพวกนั้นอั๊วก็ฆ่าลื้อได้อยู่แล้ว” พายุว่า
พายุกับกังฟูตั้งท่าแล้วพุ่งเข้าหากัน ตอนแรกการต่อสูสีดุเดือด แต่แล้วกังฟูก็เตะต่อยพายุได้หลายครั้ง แต่พายุกลับไม่รู้สึกอะไรเลย
กังฟูแปลกใจแต่พายุกลับหัวเราะลั่น
“พายุ แกรุดหน้าเร็วกว่าที่ฉันคิดนะ” จางซื่อชม
“ลมปราณที่ท่านเจ้าสำนักสอนให้ ผมฝึกขั้นที่เจ็ดแล้ว หากกังฟูคิดจะฆ่าผม กลัวว่าอย่างมากได้แค่เกาให้หายคัน” พายุพูด
กังฟูหน้าเครียด กำหมัดแน่น ส่วนจางซื่อซ่อนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“พายุ แกต้องระวัง เคยได้ยินหรือไม่ ความแค้นคือพลังชนิดหนึ่ง…แกเป็นคนทำร้ายอาจาย์แม่ของมัน ระวังตัวไว้ด้วย” จางซื่อเอ่ยเตือน
“จางซื่อ ลื้อไม่ต้องย้ำเรื่องนี้ ยังไงอั๊วก็ไม่ลืม” กังฟูพูด ก่อนบุกเข้าหาพายุอีกทีด้วยท่าทีดุดันกว่าเดิม เขาเตะต่อยพายุอย่างรุนแรง พายุยังทนได้แต่ท่าทางไม่สบายๆ เหมือนครั้งที่แล้ว เมื่อพายุได้จังหวะก็สวนกลับจนกังฟูกระเด็น
“กังฟู ชาตินี้ลื้ออย่าหวังเอาชนะอั๊วได้เลย อั๊วจะส่งลื้อไปฝึกวิทยายุทธในชาติหน้าแล้วกัน” พายุเอ่ย
พายุจะบุกเข้ามา แต่กังฟูพุ่งออกมาก่อนแล้วโถมเข้าใส่ ต่อยเตะเปรี้ยงๆๆ พายุชักมือไม้ปั่นป่วน แต่ยังสวนกังฟูได้จนกังฟูกระเด็นออกไปล้มลุกคลุกคลาน พายุชักรู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก
จางซื่อแอบยิ้มเล็กน้อย
“มันสำเร็จวิชาไหมฟ้า แต่ทำไมพลังยุทธมันไม่ได้เพิ่มขึ้น” เฮียเฉินเอ่ย
“พลังยุทธไม่เพิ่มขึ้นก็จริง แต่ความไวกับความอึดมันเพิ่มขึ้น แสดงว่าวิชาไหมฟ้า นอกจากถอนพิษแล้วยังเติมเต็มส่วนที่บกพร่องในร่างกายจนสมบูรณ์” เฮียหลอว่า
กังฟูยังกัดฟันลุกขึ้นมาได้ มองหน้าพายุ
“อั๊วสาบานกับวิญญาณอาจารย์แม่แล้วว่าอั๊วต้องฆ่าลื้อให้ได้” กังฟูว่า
“เข้ามาเลย” พายุเอ่ย
ขณะที่เฮียเฉินกับเฮียหลอรู้สึกเอะใจ
“อั๊วว่าแล้ว มันต้องเข้าใจอะไรผิด” เฮียเฉินเอ่ย ก่อนทำท่าจะบอก แต่เฮียหลอขัดขึ้น
“เฮ้ย อย่าเพิ่งทำมันเสียสมาธิ...อย่าลืมสิ ความแค้นคือพลังชนิดหนึ่ง” เฮียหลอมองเฮียเฉินด้วยสายตาเป็นนัย เฮียเฉินเข้าใจ
“ย้าก” กังฟูบุกเข้าหาพายุ พายุสวนกลับแต่กังฟูไม่สนใจตั้งรับ ทั้งสองต่างโดนอาวุธของอีกฝ่ายจนยับเยินทั้งคู่ พายุทรุดฮวบ พายุแปลกใจและตกใจมาก
“ทำไม…”
กังฟูไม่หยุด เตะพายุเต็มเท้า พายุกระเด็นกลิ้งแล้วมองมาที่จางซื่อ
“ทำไม…”
“ขั้นที่เจ็ดก็ได้ประมาณนี้แหละ อ้อ แกสู้กับกังฟูอยู่นะ อย่าเสียสมาธิสิ” จางซื่อว่า
พายุหันมา กังฟูกระโดดมาถึงพอดี กระทืบเปรี้ยงกลางยอดอก พายุกระอักเลือด กังฟูเงื้อหมัด
“อย่า...ศิษย์น้อง อย่าฆ่าอั๊ว” พายุร้อง
“กังฟู อาจารย์แม่รักแกสองคนเหมือนลูกแท้ๆไม่ใช่เหรอ แต่มันกลับทำกับอาจารย์แม่แบบนั้น เรื่องชั่วๆแบบนี้บอกตรงๆ ฉันยังทำไม่ลงเลย สงสารอาจารย์แม่จริงๆ” จางซื่อยุยง
กังฟูกำหมัด ตาแดงฉาน
“พายุ ตายซะเถอะ”
กังฟูเงื้อหมัดกำลังจะต่อย ทว่ามีเสียงสวดมนต์อันเยือกเย็นดังกังวานลอยมาแต่ไกล หมัดกังฟูชะงักค้างกลางอากาศ เสียงสวดมนต์ยังดังจนพวกลูกน้องจางซื่ออุดหูลงไปเกลือกกลิ้ง
“วิชาราชสีห์คำราม รีบเดินลมปราณต้านพลังเสียง” เสียงเฮียเฉินร้อง
เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้าและพายุ ต่างพากันนั่งสมาธิเดินลมปราณ
มีเพียงกังฟูที่ยืนอย่างสงบนิ่ง กับจางซื่อที่หน้าตาดุดัน ตวาดเสียงดังลั่นกลับไป
“ยอดคนท่านใดมาเยี่ยม ทำไมต้องหลุบหัวหลุบหาง ขอเชิญออกมาทักทายกัน”
เงาร่างหนึ่งโผลงมา เป็นโกวเล้งนั่นเอง
“อมิตพุทธ” โกวเล้งเอ่ย แล้วหยุดสวดมนต์
พวกลูกน้องจางซื่อนอนหมดสภาพไปตามกัน
เฮียเฉินกับพวกตกใจ
“อาจารย์โกว...ที่แท้ท่านรู้จักกำลังภายในด้วยหรือนี่” เฮียเฉินว่า
“ถึงว่า ตอนนั้นพวกเราสวดมนต์อยู่ด้านนอกเบาๆ ท่านยังอุตส่าห์ได้ยิน” เฮียเก้าพูด
“แต่ว่า...ท่านงำประกายมิดชิด พวกเรามีตาหามีแววไม่ ถึงกลับดูไม่ออก” เฮียหลอเอ่ย
“หลวงจีน ทางที่ดีประกาศชื่อแซ่มา” จางซื่อว่า
“อาตมาฉายาวางมือ” โกวเล้งบอก
“อย่าเล่นลิ้น เอาชื่อตอนท่านเป็นฆราวาสด้วย ชื่ออะไร” จางซื่อถามต่อ
“นามเดิมโกวเล้ง”
จางซื่อชะงัก พวกเฮียเฉินถึงกับผงะ
“โกวเล้ง...อาจารย์จางเหลียง” เฮียเฉินเอ่ย
โกวเล้งพยักหน้า
“โกวเล้ง ได้ยินชื่อมานาน นับถือ นับถือ...เพียงแต่ว่า เมื่อท่านออกบวชแล้ว ก็ถือว่าตัดขาด ยังมาเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกทำไม ทางที่ดีกลับวัดไปเถอะ” จางซื่อพูด
“โลกมนุษย์วุ่นวาย ยากนักจะตัดขาด” โกวเล้งว่า
“นี่ไม่ใช่ธุระของท่าน กลับไปซะ” จางซื่อไล่
“จางซื่อท่านจะให้จางฟุให้เป็นฆาตกร เพื่อสร้างจอมมารเหมือนจางเหลียง อาตมาต้องออกหน้าขัดขวาง” โกวเล้งเอ่ย
กังฟูมองหมัดตัวเองที่จะต่อยพายุแล้วฉุกใจคิด เขารั้งหมัดกลับมา จางซื่อเห็นแล้วโกรธมากที่แผนการพังทลาย
“แปลว่าวันนี้หลวงจีนคิดจะแส่ให้ได้ใช่มั้ย...จัดการมัน” จางซื่อสั่งลูกน้อง พวกลูกน้องโถมรุมโกวเล่ง จางซื่อจับตาดูฝีมือของโกวเล้ง
ฝีมือของโกวเล้งนั้นสุดยอด ท่วงท่าเรียบง่ายแต่งดงามมีพลังซัดจนพวกลูกน้องล้มระเนระนาดอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใครตาย
จางซื่อตกใจกับฝีมือที่สูงส่ง
“อมิตพุทธ” โกวเล้งเอ่ย
จางซื่อกำหมัดแน่น รู้ตัวว่าสู้โกวเล้งไม่ได้
“กังฟู ความแค้นของเจ้าเป็นของไม่ควรมี” โกวเล้งหันมาเอ่ยกับกังฟู
“หลวงปู่หมายความว่ายังไง” กังฟูงง
ติงลี่ประคองฮูหยินเดินเข้ามา
“จ๊าก” กังฟูวิ่งจู๊ดไปหลบหลังโกวเล้ง
“อาจารย์แม่ ท่านจะเฮี้ยนไปรึเปล่า ศิษย์รักท่าน เคารพท่าน แต่ว่าไม่ได้บอกให้ท่านมาหาเลย” กังฟูว่า
“ไอ้ซีปังโต้ว อั๊วตายตอนไหนวะ” ฮูหยินเอ่ย
“แต่อั๊วเห็นกับตา อาจารย์เฉินพาบู๊ลิ้มไปกราบศพท่าน แล้วยังไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ด้วย” กังฟูพูด
“ไอ้บ้า เมียอั๊วยังไม่ตาย ลื้อรีบเดินหนีไปก่อนนี่หว่า เขาแค่เจ็บหนักโว้ย แล้วอยู่กับอั๊วก็ตั้งนาน ดันไม่ถามให้ชัดเจน” เฮียเฉินบอก
“ก็...ศิษย์กลัวกระทบกระเทือนจิตใจท่าน เลยไม่ค่อยกล้าพูดถึง” กังฟูพูด
“เฮ้ยๆๆ ไปเคลียร์กันทีหลัง วุ่นวายจัง กลับกันได้แล้ว” เฮียหลอว่า
“เดี๋ยวซิโว้ยไอ้หลอ ช่วยพวกอั๊วก่อนสิวะ” เฮียเก้าพูด
“อาตมาขอให้ปล่อยพวกตัวประกันด้วย” โกวเล้งหันไปพูดกับจางซื่อ
“ฉันไม่ให้ ถึงท่านจะเป็นพระ แต่นี่เป็นเรื่องในยุทธภพ ยุทธภพมีกติกาเดียว ผู้เข้มแข็งกว่าคือผู้ชนะ” จางซื่อว่า
“อาตมาเข้าใจ”
“เชิญ” จางซื่อเอ่ย
ทั้งสองเดินเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะหยุดห่างจากกันเกือบสามเมตร จางซื่อยกมืออย่างแช่มช้า ช้ามาก โกวเล้งยังนิ่งเฉยอยู่สักครู่ จึงค่อยขยับเท้าออกไปด้านข้างช้าๆ
โกวเล้งกับจางซื่อประสานตากัน ต่อสู้กันในจินตนาการ
โกวเล้งกับจางซื่อยังอยู่ในท่าเดิม แต่ระยะห่างเปลี่ยนเป็นระยะประชิดตัว ทั้งสองอยู่บนเวทีแห่งจินตนาการ จางซื่อบุกด้วยเพลงหมัด โกวเล้งหลบเลี่ยงไม่ตอบโต้ จางซื่อระดมบุกหลายร้อยเพลง โกวเล้งเพียงหลบเท่านั้น จนในที่สุด โกวเล้งก็ขยับ เพียงปาดดรรชนีออกครั้งเดียว จี้ไปที่จุดตรงขมับข้างหนึ่ง จางซื่อถึงกับหน้าบิดเบี้ยว
ภาพที่ทุกคนมองเห็นคือ โกวเล้งกับจางซื่อยังคงอยู่ห่างจากกันสามเมตร โกวเล้งจี้นิ้วออกไปหยุดกลางอากาศ จางซื่อเหงื่อตก ท่าทางเหน็ดเหนื่อย ขยับตัวยืนตามปกติ ประสานมือคำนับโกวเล้ง
“ฉันแพ้แล้ว” จางซื่อเอ่ย
พวกเฮียเฉินเฮลั่น โกวเล้งเพียงยิ้ม ไม่ตอบอะไร
“แพ้แล้วก็ปล่อยคนสิวะ อย่าเบี้ยวโว้ย” ฮูหยินว่า
จางซื่อไม่สนใจฮูหยิน พูดกับโกวเล้ง
“ฉันจะปล่อยคน แต่มีเงื่อนไขหนึ่ง” จางซื่อเอ่ย
“เชิญ”
“ท่านต้องสัญญาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอสูรเทวาอีก ฉันยอมให้ท่านสอดมือครั้งนี้ครั้งเดียว ไม่มีครั้งต่อไป หลังจากวันนี้ฉันกับพวกมันถือเป็นน้ำคนละบ่อ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ถ้าท่านไม่รับปาก ฉันจะส่
สัญญาณให้ลูกน้องของฉันฆ่าตัวประกันที่มีอยู่ในห้องนั้น ต่อให้ท่านเก่งกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่มีทางห้ามพวกมันทันที ตกลงหรือไม่”
“ตกลง อาตมารับปาก”
“ปล่อยคน” จางซื่อสั่ง
พวกลูกน้องเปิดประตู
“พวกเรากลับ” จางซื่อเดินออกไป โดยมีพวกลูกน้องรีบตามออกไป พายุจะลุกตามไปแต่ลุกไม่ไหว พวกจางซื่อไม่มีใครสนใจพายุ
“ท่านเจ้าสำนัก” พายุเอ่ย
ทว่า จางซื่อเดินออกไปเหมือนไม่ได้ยิน ตามด้วยพวกลูกน้อง พายุลุกขึ้นแต่ก็ล้มโครม มีคนมาประคองพายุลุก เป็นฮูหยินนั่นเอง
ระหว่างนั้นเฮียเฉินรีบเข้าไปช่วยเฮียเก้า ส่วนมาดามเหมยอิง สวยและมิเชล เดินออกมาจากห้อง เฮียหลอกับกังฟูรีบเข้าไปดูแล
“เป็นไงบ้างมิเชล” เฮียหลอถาม
“พวกเราสามคนไม่มีใครบาดเจ็บอะไร” มิเชลตอบ
“เมลดาล่ะครับ” กังฟูเอ่ย
“ไม่รู้” มาดามเหมยอิงว่า
“หมายความว่ายังไงครับ” กังฟูสงสัย
“พอพวกเราได้สติก็ไม่เห็นเมลดากับเฮียเต๋า...เห็นแต่รอยเลือดหย่อมหนึ่ง” มาดามเหมยอิงบอก
กังฟูหน้าเสีย รีบวิ่งตามจางซื่อออกไป
กังฟูวิ่งออกมา เห็นจางซื่อขึ้นรถพอดี
“จางซื่อ” กังฟูเรียก
จางซื่อหันกลับมา
“เมลดากับเฮียเต๋าล่ะ” กังฟูถาม
“ไอ้เต๋าตายไปแล้ว ตายอย่างจอมยุทธ อั๊วชื่นชมมัน” จางซื่อตอบแล้วขึ้นรถ คนขับรถขับออกไป กังฟูวิ่งตาม
“เดี๋ยวสิ...แล้วเมลดาล่ะ เมลดาอยู่ไหน…”
จางซื่ออยู่ในรถ มองกังฟูทางกระจกหลังที่วิ่งตามมา จางซื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดและกังวลของกังฟู เขายิ้มเล็กน้อย
“เปลี่ยนไปห้องพักของพายุ เร็ว” จางซื่อสั่งคนขับ
“ครับ” คนขับรับคำแล้วเลี้ยวขวับ เหยียบคันเร่งปื้ด
เมลดายังนั่งอยู่บนเตียง โดยมีเนตรนภานั่งห่างออกมา มองไปทางอื่น เมลดานั่งมองไปทางอื่น ดวงตาเหม่อลอย เนตรนภาเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“เม...อย่านั่งเงียบแบบนั้นสิ พูดอะไรกับฉันหน่อยสิ” เนตรนภาเอ่ย
“พี่อยากให้ฉันพูดอะไร” เมลดาถาม
“อะไรก็ได้ เธอนั่งเงียบอย่างนั้นฉันกลัว”
“กลัวอะไร กลัวฉันสติแตกเป็นบ้าเหรอ หรือว่ากลัวฉันโกรธพี่จนไม่ยอมพูดด้วย”
“เม…”
“พี่จะแคร์ฉันทำไมในเมื่อพี่กลัวไอ้พายุมากกว่าทุกอย่างในโลกนี้”
“เม เธอไม่เข้าใจ เธอไม่เห็นเขาฆ่าคนต่อหน้าพี่”
“หึ มันฆ่าใครเหรอ”
“เธอไม่รู้จักหรอก เขาเป็นผัวฉัน ชื่อเฮียติงลี่... “
“ไอ้ลามกนั่นน่ะเหรอ เขายังไม่ตายหรอก”
“คนละคนแล้ว ติงลี่ผัวฉันน่ะโดนฆ่าตายฉันเห็นกับตา”
“ติงลี่ ที่…” เมลดาพูดลักษณะของเฮียติงลี่ให้เนตรนภาฟัง
เนตรนภาอึ้ง
“ถ้าเธอช่วยฉัน ฉันพาเธอไปหาเขาก็ได้” เมลดาว่า
เนตรนภาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่...ถึงเฮียติงลี่ยังไม่ตาย แต่เขาก็สู้พายุไม่ได้อยู่ดี”
“จะกลัวอะไรมันขนาดนั้น พี่อยากเห็นฉันถูกมันข่มขืนต่อหน้าต่อตาพี่รึไง” เมลดาปรี๊ด
“ไม่หรอก...ถ้าฉันบอกเขาว่าเธอเป็นน้องสาวฉัน เขาคงไม่ข่มขืนเธอหรอก…”
“เนตร...ช่วยฉันเถอะ ฉันเป็นน้องสาวพี่นะ”
เนตรนภาเริ่มสับสน
“เนตร เธอคิดว่าพ่ออยากให้เธอทำยังไง “
“พ่อ…” เนตรนภานิ่งไป
ขณะนั้น จางซื่อลงจากรถ เดินเข้าตัวอาคาร
อีกด้านหนึ่ง เนตรนภาวิ่งถือกล่องไม้ออกมาหาเมลดา
“พายุเขาเก็บกุญแจสำรองไว้ในนี้” เนตรนภาบอก เธอมานั่งข้างๆ เมลดา เปิดฝากล่องไม้ ล้วงมือลงไปแล้วร้องลั่น เมื่อชักมืออกมาก็พบว่ามีรอยถูกกัด เลือดไหล พร้อมๆ กันนั้นก็งูตัวเล็กตัวหนึ่งหล่นออกมาด้วย
เมลดายกขากระทืบงูทันที
“เนตร” เมลดาอุทาน
เนตรนภาล้มลง กุญแจดอกหนึ่งหล่นลงพื้น
“พายุ...ไอ้ชั่ว...มันวางกับดักไว้...รอเดี๋ยวนะเม” เนตรนภาชักเกร็ง พยายามหยิบดอกกุญแจ แต่หยิบไม่ถึง ล้มงอหงิก
“เนตร...พี่ต้องไม่เป็นไรนะ เนตร เนตร” เมลดาร้อง เธอพยายามเอื้อมให้ถึงกุญแจ แต่มันอยู่ไกลไปอีก
“ขอโทษนะ น้องสาวคนเดียวของพี่ พี่ช่วยเธอไม่ได้” เนตรนภาว่า
“ไม่นะ...เนตร...เรามีกันสองพี่น้อง พี่อย่าทิ้งฉันไปนะ เนตร เนตร” เมลดาร้อง
แต่เนตรนภาหมดสติไปแล้ว
“เนตร!”
ประตูห้องกระเด็นปัง จางซื่อเดินเข้ามา
เมลดางง จางซื่อมองเนตรนภากับเมลดาแล้วหยุดสายตาที่เมลดา
“เมลดา” จางซื่อเอ่ย
เมลดาพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม
“แกเป็นใคร”
“ฉันชื่อจางซื่อ”
“จางซื่อ! ฟังนะ ฉันไม่รู้ว่าแกต้องการอะไร แต่ช่วยพี่สาวฉันก่อนได้ไหม”
“พี่สาว?” จางซื่อเอ่ย ก่อนมองเห็นซากงู เขาดินมาหาเนตรนภา ตบสกัดจุดให้เธอ
“ตอนนี้พี่สาวแกปลอดภัยแล้ว” จางซื่อเอ่ย
เมลดาโล่งอก
“ฉันมีธุระสำคัญกับแก เมลดา” จางซื่อเริ่มพูด
อ่านต่อตอนที่ 15