ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 12
ท่ามกลางบรรยากาศน่ากลัวราวกับภาพยนตร์สยองขวัญจางซื่ออยู่ท่ามกลางหมอกควัน มีเงาคนคนหนึ่งเดินมาหา จางซื่อพยายามเพ่งตาดูว่าใคร แล้วก็จำเงานั้นได้
“พะ...พี่จางเหลียง” จางซื่ออุทาน
พอเงาดำๆ นั้นเข้ามาใกล้ จางซื่อจึงพบว่าเงาดำนั้นอุ้มเด็กคนหนึ่ง ก่อนปล่อยเด็กลงพื้นให้เดินมาหาจางซื่อ เด็กคนนั้นวิ่งตามมา จางซื่อวิ่งหนีจนสะดุดหกล้มก่อนจะโดนตะครุบกรงเล็บที่กลางหลัง เด็กคนนั้นยังกระชากเสื้อของเขาขาดแควก จางซื่อร้องลั่น เด็กคนนั้นกางกรงเล็บทั้งสิบ ตะกุยหลังจางซื่อจนเลือดแดงฉาน
จางซื่อสะดุ้งตื่น ภาพเมื่อสักครู่คือภาพในฝันร้ายของเขานั่นเอง เขาพยายามระงับสติอารมณ์ เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาประมาณตีห้า
เช้าวันใหม่ เฮียหลอกับมิเชลเดินขึ้นมา ท่าทางกะปลกกะเปลี้ย บาดเจ็บมาทั้งคู่ เจอพวกเฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียเต๋าและเฮียติงลี่ นั่งหลับๆ ตื่นๆ อยู่
“ไอ้หลอ...ลื้อกับมิเชลหายไปไหนมาวะทั้งคืน” เฮียเฉินเอ่ย
“สู้กับผู้ร้ายมา” เฮียหลอว่า
เฮียเก้ามองทั้งสองอย่างพินิจพิจารณา
“สู้กับผู้ร้ายหรือสู้กันเองว้า ฮั่นแน่ ท่าทางเหนื่อยมานะเนี่ย” เฮียเฉินหยอก
“มิเชลคือลูกสาวอั๊ว” เฮียหลอพูด
ทุกคนถึงกับงง
“ลื้อรับมิเชลเป็นลูกบุญธรรมเหรอ” ติงลี่ถาม
“เปล่า เป็นลูกสาวอั๊วจริงๆ เป็นลูกในสายเลือดอั๊วที่พลัดพรากกันเมื่อยี่สิบปีก่อน” เฮียหลอเฉลย
ทุกคนครางอั๊ยหยา
“ถ้าจำไม่ผิด ลูกสาวชื่อหลอเตี๋ยเม่ง ใช่มั้ย ใช่คนนั้นจริงๆ เหรอ” เฮียเฉินว่า
“เรียกฉันว่ามิเชลต่อไปเถอะ ฉันยังไม่ยอมรับเขาเป็นพ่อหรอก” มิเชลเอ่ย
พวกเฮียเฉินกร่อยไปตามๆ กัน เฮียหลอเลยเปลี่ยนเรื่องด้วยการพูดว่า
“ว่าแต่พวกลื้อเหอะ ทำไมมานั่งจั่วไพ่กันตั้งแต่เช้างี้วะ”
“เปล่าโว้ย นั่งรอเมลดาช่วยกังฟูอยู่” เฮียเฉินบอก
“ธาตุไฟแตกน่ะเหรอ...อ๊ะ เมลดายอมช่วยเหรอ”
“อือ ท่าทางจะรักกันจริง” คราวนี้เฮียเก้าเป็นฝ่ายตอบ
ตอนนั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออก เมลดาเดินออกมา
“เรียบร้อยมั้ย” เฮียติงลี่ถาม
สักครู่หนึ่ง กังฟูก็เดินตามออกมา
“เป็นไงบ้างวะกังฟู” เฮียเก้าเอ่ย
กังฟูรำมวยให้ดูแทนคำตอบ หมัดเท้าฝ่ากาศเสียงดังครืน พวกอาเฮียหันมาตีมือกันด้วยความดีใจ
“สุดยอดเลยคุณเม นับถือยิ่งนัก” เฮียเต๋าว่า
เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียหลอ เฮียเต๋าและเฮียติงลี่ ต่างประสานมือคำนับเมลดา เธอประสานมือคำนับตอบแล้วยิ้มให้ทุกคน มาจบสายตาที่มิเชล มิเชลฝืนยิ้ม
ณ มุมหนึ่งของดาดฟ้า มิเชลกำลังคุยกับเมลดาสองต่อสอง
“ฉันยังไม่ได้ขอบคุณเธอเลยที่ช่วยฉันไว้” มิเชลเอ่ย
“ฉันช่วยเธอเพราะมนุษยธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อฉันสอนไว้” เมลดาพูด
มิเชลเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“เธอคงแค้นมากสินะที่ฉันฆ่าพ่อเธอน่ะ ถ้าเธอจะฆ่าฉันตอนนี้ก็เอาเลย ล้างแค้นให้พ่อเธอได้เลย”
“ยังไม่ถึงเวลา”
“เธอไม่ฆ่าฉันตอนที่ฉันโดนยาพิษ แล้วยังช่วยฉันตอนที่ฉันบาดเจ็บ เธอจะเอาไงแน่เมลดา เธอจะให้ฉันมีชีวิตอยู่แบบอัปยศเหรอไง”
“เธอจะมีชีวิตอยู่ยังไงก็เรื่องของเธอ แต่อย่าคิดว่าฉันเป็นแม่พระ มิเชล เมื่อเธอแข็งแรงดี ฉันจะสู้กับเธอ และจะเอาชนะเธอ แล้วตอนนั้นแหละที่ฉันจะฆ่าเธอ...เข้าใจหรือยัง”
“ดี...เมื่อไหร่ที่ฉันแข็งแรงดีเหมือนเดิม ฉันจะบอกเธอ”
“ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน”
เมลดาเอ่ยทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป
กังฟูกับเมลดาออกมาทานก๋วยเตี๋ยวกัน
“คุณเมยังรู้สึกร้อนอยู่ไหมครับ” กังฟูถาม
“ไม่แล้วล่ะ รู้สึกเป็นปกติดี” เมลดาบอก
“ดีจัง ถ้าอย่างนั้นผมฝึกหนักๆ ให้ธาตุไฟแตกบ่อยๆ ดีกว่า” กังฟูว่า
“มะเหงกแน่ะ เห็นฉันเป็นอะไร”
“ผมจะเห็นคุณเมเป็นอะไรได้ล่ะครับ ภายในคุณเมเป็นยังไงผมเห็นหมดแล้วฎ
“นี่ อย่ามาเล่นมุกลามกแบบนี้นะ ต่ำมาก”
“ผมหมายถึงภายในจิตใจของคุณเมที่สวยงาม น่ารัก มีเมตตา และน่าชื่นชม มันลามกอะไรเหรอครับ”
“งั้นแล้วไป”
“แล้วก็ขาวจั๊วะ”
“กังฟู!”
“ขาวจั๊วะบริสุทธิ์เหมือนจิตใจของเด็กๆ ทำไมครับ มีอะไรเหรอครับ”
เมลดามองกังฟูแบบไม่ค่อยไว้ใจ ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
“แล้วก็มีญาณ…”
เมลดาปรี๊ด กระชากคอเสื้อกังฟู ดึงเข้ามาแล้วถามว่า
“มียานตรงไหนยะ”
“มีญาณหยั่งรู้ รู้ว่าต้องรับธาตุไฟยังไงทั้งที่ไม่เคยฝึกวิทยายุทธเลย เอ๊ะ ผมพูดอะไรให้คุณเมโกรธโดยไม่รู้ตัวรึเปล่าครับเนี่ย”
เมลดาปล่อยมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ฉันว่านายเปลี่ยนเรื่องเถอะ ฟังดูสองแง่สองง่ามยังไงไม่รู้”
“ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ แต่ใหญ่กว่าที่คิด”
เมลดาจะด่าแต่แล้วก็ห้ามตัวเองทัน ดูกังฟูที่คีบลูกชิ้นอยู่
“หมายถึงลูกชิ้นใช่มั้ย เขาปั้นมาใหญ่กว่าที่นายคิดใช่มั้ย”
กังฟูหัวเราะ คีบลูกชิ้นขึ้นมา
“เดี๋ยวนี้ชักรู้ทัน”
“ไอ้บ้า”
กังฟูกับเมลดามากินไอติมกันเป็นของหวาน
“อะไรเนี่ย เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวแล้วยังมาเลี้ยงไอติมอีก” เมลดาเอ่ย
“คิดว่าคุณเมต้องทนร้านอยู่ตั้งนาน เลยตั้งใจพามากินไอติมให้หายร้อนน่ะครับ” กังฟูว่า
“จริงๆ มันไม่เกี่ยวกันหรอก แต่ไม่เป็นไร เพราะฉันชอบกินไอติมอยุ่แล้ว”
“ผมก็ชอบครับ เมื่อก่อนตอนผมเป็นเด็ก ผมอยากเข้าร้านไอติมมาก แต่นานๆ ทีอาจารย์แม่ถึงจะยอมพาเข้าร้านไอติม”
กังฟูเอ่ยแล้วเงียบไป หน้าตาดูหม่นหมอง
“กังฟู เป็นอะไรรึเปล่า”
“ผมคิดถึงอาจารย์แม่”
“ไม่รู้ตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง”
“คงมีความสุขอยู่บนสวรรค์แล้วมั้งครับ”
“หา บนสวรรค์เนี่ยนะ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ”
“ก็ท่านเป็นคนดี”
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายถึง…”
เมลดายังพูดไม่จบ พนักงานเสิร์ฟเดินมาชนโต๊ะแล้วร้องว้าย น้ำดื่มบนถาด หกราดไอติมของกังฟูกับเมลดา แถมหกรดโต๊ะอีกด้วย กังฟูกับเมลดารีบลุกขึ้น
“ขอโทษค่ะๆ” พนักงานละล่ำละลัก
“ไม่เป็นไรครับ” กังฟูว่า
“เดี๋ยวหนูเช็ดโต๊ะให้นะคะ แล้วจะเสิร์ฟไอติมให้ใหม่ด้วยค่ะ” พนักงานบอก
“เสิร์ฟใหม่เหรอ...เอ่อ...งั้นเลือกรสใหม่ได้มั้ยครับ ไม่อยากกินรสเดิม” กังฟูเอ่ย
“ได้ค่ะ” พนักงานรับคำก่อนจะหยิบเมนูยื่นให้ แล้ววิ่งหยิบผ้าที่คาดเอวมาเช็ดโต๊ะให้ ขณะที่กังฟูกับเมลดาอ่านเมนูเลือกรสไอติมใหม่
“ผมเอารสนี้ครับ” กังฟูชี้บอก
“ฉันเอารสนี้ค่ะ” เมลดาว่า
“ค่ะๆ ขอโทษอีกทีนะคะ” พนักงานเอ่ย ก่อนจะรีบเดินออกไป
กังฟูกับเมลดามองหน้ากันและยิ้มให้กัน
“เดี๋ยวถ้วยใหม่มารีบๆ กินนะครับ” กังฟูบอก
“ทำไมเหรอ” เมลดาสงสัย
“ถ้าน้องเขาเดินมาอีก คราวนี้ผมจะขัดขาให้สะดุดอีกที เราจะได้กินไอติมใหม่อีกรอบ” กังฟูว่า
“บ้า” เมลดาเอ่ย
กังฟูกับเมลดาหัวเราะกันแล้วกินไอติมต่อ โดยลืมเรื่องอาจารย์แม่ที่คุยกันอยู่ไปเสียสนิท
ขณะนั้น เฮียเฉิน เฮียเก้า เฮียหลอ เฮียเต๋าและเฮียติงลี่กำลังนั่งคุยกันพร้อมกับกินกาแฟ ไมโล ขนมปัง ไส้กรอก ไข่ดาวกันไปด้วย
“ถ้าเมฆามันเดินมาตามหามิเชลได้ใกล้ๆ แปลว่าอีกไม่นาน พวกอสูรเทวาก็ต้องหาเราเจอแน่ๆ” เฮียเก้าว่า
“แปลว่าเราต้องหาที่อยู่ใหม่อีกแล้วเหรอ” เฮียเฉินเอ่ย
“หรือชนกับมันไปเลยดีวะ” เฮียหลอพูด
“อั๊วว่าตอนนี้เราไม่ควรชนกับมัน เราต้องใช้ยุทธศาสตร์กองโจร เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม” เฮียติงลี่แสดงความเห็น
“เอ็งตาม ข้าเก” เฮียเต๋าเอ่ย
“เอ็งเก ข้าจั่ว” เฮียหลอพูด
“เอ็งจั่ว ข้าหมอบ” เฮียเก้าเสริม
“เฮ้ย! ไม่ใช่เก้าเก” เฮียเฉินพูดเบรค
ทุกคนเงียบ เฮียเฉินหยิบขนมปังข้างหน้าแยกเป็นสองกอง
“อั๊วแยกขา” เฮียเฉินเอ่ย
“เฮ้ย! พอแล้ว” ทุกคนทีี่เหลือประสานเสียง
“ประเด็นคืออั๊วเห็นด้วยกับไอ้ติงลี่ ตอนนี้เราต้องหาที่อยู่ใหม่” เฮียเต๋าว่า กลับมาจริงจังอีกครั้ง
“จะไปหาที่ไหน กว่าจะได้ที่บ้านเฮียป้อนี่ก็ยากแล้ว” เฮียเฉินพูด
ทั้งห้าเงียบกันไปครู่หนึ่ง
“อั๊วคิดออกที่นึง” เฮียติงลี่เอ่ยขึ้น
“ที่ไหนวะ” เฮียหลอถาม
“โรงงานไอ้เต๋า” เฮียติงลี่เฉลย
“โรงงานอั๊วเนี่ยนะ” เฮียเต๋าเอ่ย
เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า เฮียเต๋า และเฮียติงลี่แอบมาซุ่มดูที่โรงงานเฮียเต๋าซึ่งอยู่ในสภาพรกร้าง เต็มไปด้วยเศษใบไม้และขี้หมาขี้แมว เฮียเต๋าเห็นแล้วน้ำตาซึม เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่น่าเชื่อ เนี่ยเหรอสถานที่ที่เคยเป็นป้อมปราการของเฮียเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมตอนนี้มันกลายรังหมาขี้เรื้อนไปแล้ววะ”
“สภาพมันก็เหมือนเจ้าของตอนนี้แหละวะ ฮ่าๆๆ” เฮียติงลี่เอ่ย
เฮียเต๋าค้อนขวับ
“ท่าทางพวกอสูรเทวาจะไม่ได้ส่งคนมาดูแลที่นี่เลยนะ” เฮียเฉินพูด
“งั้นก็เหมาะ พวกเราหลบมาอยู่ที่นี่ได้” เฮียเก้าว่า
เฮียหลอมองไปก็สะดุ้งเมื่อเห็นซากแมวตาย
“ซากแมวตาย แมวดำด้วย ลางไม่ดีละเว้ย” เฮียหลอเอ่ย แล้วหันมาหาเฮียเต๋าก่อนจะถามต่อ
“ที่นี่มีผีรึเปล่าวะ”
“ลื้อจะถามทำไมวะ เรื่องไร้สาระ” เฮียเฉินเอ่ย
“ไร้สาระก๋งลื้อสิ เราต้องแอบๆอยู่ ตอนกลางคืนก็เปิดไฟไม่ได้ มันน่ากลัวนะโว้ย ถามก่อนให้รู้เรื่องจะได้สบายใจ” เฮียหลอว่า
“ตอนอั๊วอยู่น่ะไม่มี แต่ตอนอสูรเทวาบุกมาถล่มน่ะ ตายกันหลายศพเลย จะมีผีบ้างก็ไม่แปลก ลื้อกลัวผีเหรอ” เฮียเต๋าตอบ
เฮียหลอมองรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“แค่นิดๆน่ะ...ถ้ายังไงเราหาที่ใหม่มั้ย”
“ไม่ต้องหาใหม่แล้ว เอาที่นี่แหละ” เฮียเฉินตัดบท
เฮียหลอกลืนน้ำลายเอื๊อก มองรอบๆ อย่างไม่สบายใจ
ท่ามกลางบรรยากาศน่ากลัวราวกับภาพยนตร์สยองขวัญ จางซื่ออยู่ท่ามกลางหมอกควัน มีเงาคนคนหนึ่งเดินมาหา จางซื่อพยายามเพ่งตาดูว่าใคร แล้วก็จำเงานั้นได้
“พะ...พี่จางเหลียง” จางซื่ออุทาน
พอเงาดำๆ นั้นเข้ามาใกล้ จางซื่อจึงพบว่าเงาดำนั้นอุ้มเด็กคนหนึ่ง ก่อนปล่อยเด็กลงพื้นให้เดินมาหาจางซื่อ เด็กคนนั้นวิ่งตามมา จางซื่อวิ่งหนีจนสะดุดหกล้มก่อนจะโดนตะครุบกรงเล็บที่กลางหลัง เด็กคนนั้นยังกระชากเสื้อของเขาขาดแควก จางซื่อร้องลั่น เด็กคนนั้นกางกรงเล็บทั้งสิบ ตะกุยหลังจางซื่อจนเลือดแดงฉาน
จางซื่อลืมตาตื่นขึ้นจากภาพความฝัน เขาฟุบหลับอยู่ในห้องทำงาน โดยมีอาเฟยหลับอยู่ด้วย จางซื่อขบคิดครู่หนึ่ง
“อาเฟย” จางซื่อเอ่ย
อาเฟยลืมตาตื่นทันที
“อั๊วจะกลับฮ่องกง”
จางซื่อเล่าความหลังให้ซินแสคนเดิมฟังแล้วถามว่า
“แบบนี้แปลว่าอะไร”
“ทายาทของศัตรูของท่านกำลังจะกลับมาแก้แค้น” ซินแสพูด
“แก้แค้น...แล้วอั๊วจะชนะมันมั้ย”
ซินแสขมวดคิ้ว แล้วหลับตา นับนิ้ว สักครู่ค่อยลืมตาขึ้น
“ลิขิตสวรรค์ เปิดเผยไม่ได้”
“ซินแส ครั้งนี้อั๊วเดินทางมาจากเมืองไทยเลยนะ บอกอะไรอั๊วหน่อยสิว่าอั๊วควรจะทำยังไง”
ซินแสเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ”
เมื่อพูดจบ ซินแสก็โบกมือไล่จางซื่อให้ไปได้แล้ว
เมลดานั่งอยู่หน้ากระจกเงา ถอดวิกออก เปลี่ยนเครื่องหน้าเครื่องผมให้กลับเป็นเมลดาคนเดิม
ระหว่างนั้นมาดามเหมยอิงเดินเข้ามาเจอพอดี
“ทำอะไรอยู่เหรอหนูเม” มาดามเหมยอิงเอ่ยถาม
“ฉันจะเลิกปลอมตัวแล้วค่ะ...ตอนแรกที่ปลอมตัวก็เพื่อให้หลบรอดสายตาของเมฆา แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว”
เหมยอิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ขอโทษแทนเมฆาด้วยนะ ที่ทำให้เธอต้องลำบาก”
“ไม่ใช่ความผิดของมาดามค่ะ แล้วอีกอย่าง เมฆาก็จากไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นเรื่องของเขาขึ้นมา...ฉันคิดว่าพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องเดินหน้าต่อไป” เมลดาพูด
“เธอพูดถูก...งั้นฉันช่วยเธอเอง” เหมยอิงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วช่วยเมลดารื้อหน้า
ทั้งสองมองตากันในกระจก แล้วยิ้มให้กัน
วันใหม่ เมลดา หลินหลิน บู๊ลิ้ม เหมยอิง สวย เฮียเฉิน เฮียหลอและเฮียเก้า เก็บข้าวของเตรียมออกจากบ้านเฮียป้อ โดยมีเจ๊ยี้นั่งดูอยู่แล้ว
“อาป้อ ที่ผ่านพวกอั๊วขอบคุณมาก” เฮียเฉินเอ่ย
“ลื้ออยู่ต่อได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เฮียป้อว่า
“ไม่เกี่ยวกับเกรงใจ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าพวกเราอยู่ต่อ จะทำให้ลื้อเดือดร้อน ... พวกอั๊วไปก่อนล่ะ
เจ๊ยี้ยิ้มสะใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณสวรรค์ สวรรค์มีตาจริงๆ คนที่ควรอยู่ก็จะได้อยู่ต่อ คนที่ควรไปก็จะออกไปซะ”
“สวรรค์ หากท่านมีตาจริง คนที่ควรหุบปากก็บันดาลให้มันเป็นใบ้ไปตลอดชาติเลยดีกว่า” สวยโต้ตอบ
“สวย ไม่เอาน่ะ” มาดามเหมยอิงเบรค
“มาดามครับ ผมต้องขอโทษแทนอายี้ด้วยนะครับ ถึงเขาจะพูดจาแปลกๆ แต่จริงๆ เขาเป็นคนดีนะครับ” เฮ้ยป้อเอ่ย
“ฉันไม่ถือหรอกค่ะอาป้อ...อาป้อคะ ที่ผ่านมาคุณดีกับพวกเรามาก ฉันไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไง เงินทองก็ไม่มีให้ ขอให้รับคารวะจากฉันด้วย” มาดามเหมยอิงเอ่ย ก่อนคุกเข่าลงคารวะเฮียป้อ
เฮียป้อรีบย่อตัวลงมารับ
“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับมาดาม”
ทั้งสองสบตากัน เจ๊ยี้ปรี๊ด ถลาเข้ามาขวาง
“นี่ ยืนขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เค้าบอกไม่ต้องก็ไม่ต้องไงล่ะ จะแกล้งคุกเข่าให้เค้าประคองใช่มั้ยล่ะ รู้ทันหรอกน่า ยืนขึ้นมาเดี๋ยวนี้” เจ๊ยี้จับมาดามเหมยอิงจากด้านหลัง กระชากให้ลุก
“นี่ ปล่อยนะ จะทำอะไรน่ะ” สวยเอ่ย
เมลดารีบเข้ามาปัดมือเจ๊ยี้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พอเถอะค่ะ”
เจ๊ยี้สะบัดมือจากเมลดา เมลดาเสียหลัก เซไปกระแทกมาดามเหมยอิงจนถลาไปด้านหน้าที่มีเฮียป้อประคองอยู่ มาดามเหมยอิงล้มทับเฮียป้อ ปากชนปากแนบสนิท
ทุกคนในที่นั้นชะงักงันและนิ่งไป
เมลดา เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้า หลินหลิน บู๊ลิ้ม ต่างอ้าปากค้าง
“กรี๊ด” เจ๊ยี้ร้อง
ส่วนมาดามเหมยอิงกับเฮียป้อเมื่อได้สติก็รีบลุกแยกจากกัน
“ล้มจูบเนี่ยนะ ยังกะละครทีวีเลย” บู๊ลิ้มว่า
หลินหลินเองก็ไม่คิดฝันว่าจะได้เห็นเรื่องแบบนี้ในชีวิตจริง
“มาดาม ผม...ผมขอโทษ ผมไม่ได้มีเจตนาเลย” เฮียป้อเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ มันเป็นอุบัติเหตุค่ะ” มาดามเหมยอิงเอ่ย
“จงใจใช่มั้ยล่ะ ยัยปลาร้าค้างปี จงใจชัดๆ” เจ๊ยี้ว่า
“แกว่าใคร หา ยัยเด็กดอง” สวยพูดขึ้น
“สวย ไปได้แล้ว” มาดามเหมยอิงว่า
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมานะ” เจ๊ยี้ไล่
“อา…” เฮียป้อกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่เจ๊ยี้ขัดเสียก่อน
“อาป้อ...ลบๆๆๆ”
มาดามเหมยอิงหน้าเสีย เธอดึงสวยเดินออกไป ส่วนทุกคนที่เหลือก็พากันเดินออกไปเช่นกัน โดยมีเจ๊ยี้มองตามไป หน้าตาเดือดดาลมาก
เมื่อเจ๊ยี้หันกลับมา แล้วก็ตกใจ เห็นเฮียป้อมองตามไปพร้อมกับจับริมฝีปากตัวเอง
เจ๊ยี้เอามือถูปากเฮียป้อ เฮียป้อเจ็บปากร้องลั่น
เฮียเฉินโผล่หน้าออกมาจากซอกอาคารแห่งหนึ่ง มองซ้ายมองขวา แล้วหันกลับมาบอกเฮียหลอ เฮียเก้า เหมยอิง สวย บู๊ลิ้ม หลินหลิน เมลดา ที่หลบอยู่
“ไม่มีอะไรน่าสงสัย ... แบ่งกันไปกันทีละคนสองคน รวดเร็วแต่อย่าให้มีพิรุธ เข้าใจนะ...ไปได้” เฮียเฉินเอ่ย
เฮียหลอกับเฮียเก้าเข้าไปในโรงงานเป็นชุดแรก ตามไปด้วยเหมยอิงกับสวย แล้วก็เมลดา เหลือหลินหลินกับบู๊ลิ้ม
“ไป” เฮียเฉินพูด
บู๊ลิ้มกับหลินหลินออกจากที่ซ่อนแล้ววิ่งไป กำลังจะเข้าโรงงาน มีจักรยานคันหนึ่งวิ่งมา บู๊ลิ้มกับหลินหลินรอให้จักรยานไปก่อน แต่จักรยานกลับหยุด คนที่ขี่จักรยานคือเป๋งกุ่ยนั่นเอง
“หลินหลิน บู๊ลิ้ม” เป๋งกุ่ยทัก
หลินหลินกับบู๊ลิ้มชะงัก
“เป๋งกุ่ย สบายดีนะ แล้วเจอกันนะ” บู๊ลิ้มว่า
บู๊ลิ้มกำลังจะเดินไปกับหลินหลิน เป๋งกุ่ยรีบลงจากจักรยานมาดักไว้
“เดี๋ยวก่อน...ฉันมีเรื่องจะพูดกับหลินฮุ่ย” เป๋งกุ่ยพูดขึ้น
“มีอะไรเหรอ” หลินหลินเอ่ยถาม
“ตอนที่เธอสลบคราวที่แล้วน่ะ ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้อยู่ช่วยเธอ เพราะฉันตกใจ ยกโทษให้ฉันด้วยเถอะนะ” เป๋งกุ่ยว่า
“ก็ได้ ฉันยกโทษให้” หลินหลินบอก
เป็งกุ่ยยิ้ม จับมือหลินหลิน
“ขอบใจจริงๆ งั้นเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วสินะ” เป๋งกุ่ยเอ่ย
บู๊ลิ้มดึงมือเป๋งกุ่ย พร้อมกับเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า
“เออ เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
“แล้วนี่จะไปไหนกันเนี่ย ทำอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าจะเข้าไปในโรงงานร้างนั่น มันสกปรกแล้วก็เหม็นมากเลย มีคนบอกมีผีด้วยนะ จะเข้าไปสำรวจผีใช่มั้ย ไปด้วยคนสิ” เป๋งกุ่ยพูด
“ปละ...เปล่า...ไม่ใช่” บู๊ลิ้มโกหกแบบไม่ค่อยเนียน
ขณะที่หลินหลินดูนิ่งกว่า
“บังเอิญผ่านมาแถวนี้ เป๋งกุ่ย เธอจะไปไหนก็ไปเถอะ ธุระของเราสองคนไม่เกี่ยวกับเธอ”
“หูย อย่าพูดอย่างงั้นสิ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” เป๋งกุ่ยตัดพ้อ
“บอกให้ไปไงล่ะ” หลินหลินเอาจริง บางอย่างในสายตาเธอทำให้เป๋งกุ่ยยอม
“เออ ไปก็ไป อะโด่ ไม่ได้อยากไปด้วยเท่าไหร่หรอกนะ พวกเธอสองคนอย่าทำอะไรไม่ดีละกัน ขอเตือนนะ”
เป๋งกุ่ยขึ้นจักรยานขี่ไป หลินหลินกับบ๊ลิ้มรอจนเป๋งกุ่ยขี่จักรยานเลี้ยวไป ค่อยเดินเข้าไปในโรงงานเฮียเต๋า
แต่เป๋งกุ่ยแอบดูอยู่ตรงมุมถนน เห็นทั้งสองเข้าไปในโรงงานก็เบะปาก
“เชอะ หาที่จู๋จี๋กัน นึกว่าไม่รู้รึไง ไอ้เด็กใจแตก”
เป๋งกุ่ยขี่จักรยานจากไป พร้อมกับพูดว่า
“อิจฉาว้อย”
อ่านต่อหน้าที่ 2
ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 12 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่ง จางซื่อเดินเข้ามาในสำนัก อาเฟยกับพายุรอต้อนรับอยู่ ยืนคำนับจางซื่อ
“อาจารย์” อาเฟยเอ่ย
“ท่านเจ้าสำนัก” พายุพูด
“วิชาที่ฉันบอกแกฝึก แกฝึกถึงไหนแล้ว” จางซื่อถามพายุ
“เรียนท่านเจ้าสำนัก ผมฝึกไปได้สามส่วนแล้ว” พายุตอบ
“สามส่วน...ดี...นับว่าเร็วมาก แต่ก็ดีที่ฝึกได้แค่นั้น ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะต้องเปลืองแรงมากขึ้น…”
พายุงง
“ในการฆ่าแก” จางซื่อพูดต่อ เขาบีบคอพายุจนติดผนัง พายุดิ้นขลุกขลัก
“ท่าน...ผม...ทำอะ..ไร..ผิด” พายุเอ่ย
“แกยังไม่ได้ทำ แต่แกกำลังจะทำ...ลูกของจางเหลียงจะฆ่าอั๊ว นี่คำพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ลื้อตายซะเถอะ”
จางซื่อออกแรงมากขึ้น พายุหน้าเขียวกำลังจะขาดใจตาย แต่ยังพยายามพูดออกมาอีก
“ผม...ไม่...ใช่...ลูก...จางเหลียง”
“อะไรนะ”
พายุหน้าเป็นสีม่วงพยายามจะพูดแต่พูดไม่ออกแล้ว จางซื่อปล่อยมือ ร่างของพายุหล่นฮวบลงไปกองที่พื้น พยายามสูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเพื่อต่อชีวิต
“อาเฟย...ประคองมันขึ้นมา” จางซื่อสั่ง
อาเฟยรับคำ เดินมาขยุ้มคอหอยพายุ ดันจนพายุต้องยืนตาม
“หมายความว่ายังไง” จางซื่อถามต่อ
พายุทั้งหวาดกลัวและบาดเจ็บ เล่าอย่างกระท่อนกระแท่น
“ผม...เป็นลูกกรรรมกร...อาจารย์แม่...เก็บผมมาเลี้ยง...พร้อมๆกับ...จางฟุ...เป็นเหตุให้....ให้...เจ้าสำนักเข้าใจผิด...ผม...ไม่ได้บอกความจริง...ผมผิดไปแล้ว ท่านเจ้าสำนักโปรดไว้ชีวิตต่ำต้อยของผมด้วย”
จางซื่อมองพายุ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า
“แกโกหกฉันเหรอ”
“ผม...ผมขอโทษ…” พายุพูด
อาเฟยเกร็งลมปราณ เล็บเป็นสีดำ มองหน้าจางซื่อว่าให้จิ้มเลยมั้ย จางซื่อยกมือปรามไว้ อาเฟยเอามือลง เล็บกลายเป็นปกติ
“จางฟุอยู่ที่ไหน” จางซื่อถาม
“มันคือ...กังฟู” พายุบอก
“ไอ้ซื่อบื้อซีปังโต้วนั่นน่ะเหรอ” จางซื่อถามต่อ
“ครับ” พายุรับคำ
“ถ้าเป็นไอ้นั่นล่ะก็ ... ศิษย์ว่ามันแกล้งซื่อบื้อมากกว่า ฝีมือมันสูงมาก” อาเฟยว่า
จางซื่อหันมาหาพายุ
“ทำไมตอนแรกใครๆ ก็บอกว่ามันห่วยล่ะ เกิดอะไรขึ้น”
“ตอนแรกอาจารย์แม่ห้ามมันฝึกวิทยายุทธ ต่อมามันก็ค่อยๆแอบฝึกเอง ผมเคยสอนวิชาหมัดแปดทิศให้มัน มารู้ทีหลังว่ามันเอาไปสู้กับมิเชลได้
“ใช้หมัดแปดทิศสู้กับมิเชลเนี่ยนะ...ต่อให้เป็นฉันก็ยังทำไม่ได้” จางซื่อว่า ก่อนจะเงียบไป สีหน้าบิดเบี้ยว แล้วพูดต่อว่า
“ถ้ามันทำได้ขนาดนั้น ก็สมควรเป็นลูกของจางเหลียงจริงๆ”
จางซื่อหันมาหาพายุ แล้วเอ่ยขึ้น
“แกโกหกฉัน รู้มั้ยว่าต้องได้รับโทษอะไร”
พายุคุกเข่าโครม หัวโขกพื้นถี่ยิบ
“ผมขอโทษ ท่านเจ้าสำนักไว้ชีวิตผมด้วย ฮือๆ ผมอยากมีอำนาจ ฮือ ผมอยากมีชื่อเสียง ยกโทษให้ความโง่เขลาของผมด้วย ฮือๆ” พายุกลัวจัดจนร้องไห้โขกพื้นไปพูดไป
จางซื่อหันมาทางอาเฟยแล้วถามว่า
“ที่ฉันให้แกไปกำจัดพวกโรงงิ้วที่เหลือ เป็นไงบ้าง”
“คนของเราสืบหาพวกมันไม่เจอเลยครับอาเฟยบอก
จางซื่อสอดเท้าเข้าไปกั้นหน้าผากพายุที่ยังโขกพื้นอยู่ พายุชะงัก เงยหน้ามองจางซื่อ
“แกเคยเป็นครอบครัวเดียวกับพวกมัน แกต้องไปสืบหาที่อยู่ของพวกมันมา ถ้าทำสำเร็จ ฉันจะลดโทษให้” จางซื่อ
“ได้ครับ ผมจะสืบหาที่อยู่ของพวกมันมาให้ได้ครับ” พายุรับปาก
“แต่ถ้าไม่สำเร็จ...ฉันจะทำให้แกเสียใจที่เกิดมาเป็นคน” จางซื่อเอ่ยทิ้งท้าย
พายุเดินออกมาจากสำนักอสูรเทวาอย่างกะปลกกะเปลี้ยทรุดโทรม
“อะไรวะเนี่ย...ฉันอุตส่าห์ทรยศอาจารย์เพื่อช่วยจางซื่อ อุตส่าห์ซัดอาจารย์แม่เพื่อปิดเรื่องนี้ ลงทุนไปขนาดนี้แล้วทำไมผลตอบแทนมันกลายเป็นอย่างนี้วะ ไอ้จางซื่อ ไอ้สารเลว ไอ้หมาขี้เรื้อน ไอ้ตัวเงินตัวทอง อย่าให้ถึงทีของฉันบ้างนะ”
พายุหยุดหอบ
“แต่ว่า ตอนนี้ต้องเอาชีวิตรอดก่อน ไอ้กังฟู มันไปอยู่ที่ไหนวะ”
พายุเข้ามาดูห้องพักกังฟู เจอห้องปิดประตูอยู่
“กังฟู...กังฟู...อั๊วมาเยี่ยม…”
พายุถีบประตูเปรี้ยง ในห้องว่างเปล่า ไม่มีใคร
พายุเข้ามาคุยกับเฮียป้อ
“พวกอาจารย์ลื้อเขามาพักอยู่กับอั๊วหลายวันเหมือนกัน แต่ตอนนี้พวกเขาเช็กเอ๊าท์ออกไปกันหมดแล้ว” เฮียป้อว่า
“เฮียป้อรู้ไหมครับว่าพวกเขาไปที่ไหน” พายุถามต่อ
“เอ...เขาก็ไม่ได้บอกด้วยสิ” เฮียป้อเอ่ย
พายุมองหน้าเฮียป้อเหมือนไม่ค่อยเชื่อ เขาหยิบกระเป๋าตังก์ออกมา หยิบเงินออกมาปึกหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“พวกเขาไปที่ไหนครับ ถ้าเฮียตอบได้ เอาเงินนี่ไปเลย”
“พายุ อั๊วไม่รู้จริงๆ ถ้าอั๊วรู้อั๊วบอกไปแล้ว เก็บเงินของลื้อไปเถอะ” เฮียป้อพูด
พายุเก็บเงิน แล้วลุกพรวด จ่อสองนิ้วที่ลูกตาเฮียป้อ เฮียป้อร้องลั่น
“บอกมา อั๊วนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่บอกอั๊วจะจิ้มให้ลูกตาเฮียทะลุเดี๋ยวนี้ บอกมา 1..2..”
“หยุดนะ พายุ ลื้อจะทำอะไรเฮียป้อ” เจ๊ยี้วิ่งมาจากข้างนอก ตั้งหมัดจะชกพายุ
พายุเตะเปรี้ยงสวนออกไป เจ๊ยี้กระเด็นออกไปนอกบ้าน
“อายี้” เฮียป้อร้อง
“หาเรื่องเองนะ” พายุเอ่ย
เจ๊ยี้กรี๊ด แหกปากเสียงดังลั่นซอย
“ช่วยด้วย ไอ้พายุมันจะปล้ำอั๊ว ช่วยด้วยๆๆๆๆ”
คนแถวนั้นหันมามอง บางคนวิ่งมาดูว่ามีอะไร พายุหน้าเจื่อน
“พายุ อั๊วไม่รู้จริงๆ อย่าทำอะไรอั๊วเลย” เฮียป้อว่า
“ตำรวจๆๆๆๆๆๆ” เจ๊ยี้ตะโกนโหวกเหวก
พายุมองซ้ายมองขวา กลัวตำรวจมา ชี้หน้าเฮียป้อก่อนเอ่ยทิ้งท้าย
“อย่าให้รู้ว่าโกหก”
ในบรรดาไทยมุงที่มามุง มีเป๋งกุ่ยรวมอยู่ด้วย เป๋งกุ่ยมองเข้าไปก็เห็นพายุกำลังจะออกมา
“พายุ” เฮียป้อเรียก
พายุหันขวับ แล้วเอ่ยว่า
”จะบอกแล้วใช่ไหม”
“เปล่า อั๊วจะเตือนว่าอย่าลืมเงิน” เฮียป้อว่า
พายุมองหน้าเฮียป้อ แล้วหยิบเงินของเขา
“อู้หู” เป๋งกุ่ยมองตาโตเมื่อเห็นปึกเงิน
พายุหันมามอง เห็นไทยมุงก็สีหน้าไม่ดี จึงรีบเดินหายไป
เป๋งกุ่ยชะเง้อมองตามแต่หาพายุไม่เจอแล้ว
เจ๊ยี้รีบวิ่งมาหาเฮียป้อ
“อาป้อ เป็นอะไรไหม” เจ๊ยี้ถาม
“อั๊วไม่เป็นอะไร ลื้อล่ะ โดนมันเตะเป็นไงมั่ง” เฮียป้อตอบ แล้วถามเจ๊ยี้บ้าง
“เจ็บอ่ะสิ เจ็บๆๆๆ” เจ๊ยี้โอดครวญ
“หู เขียวเลย มาเดี๋ยวอั๊วทาน้ำมันนวดให้นะ”
“ขอบคุณมากนะอาป้อ”
เจ๊ยี้ยิ้มปลื้ม ตามเฮียป้อเข้าไปในบ้าน
“ท่าทางไม่ค่อยดีนะ...คุณเหมยอิงเป็นยังไงบ้างน้า หวังว่าคงจะปลอดภัยนะ”
เจ๊ยี้ชะงัก หน้าบึ้งเป็นตูด เดินหนีออกไป เฮียป้อหยิบน้ำมันหันกลับมา
“อายี้ ลื้อเจ็ตรงไหน...อ้าว หายไปไหนวะ อายี้ อายี้”
เฮียป้อหันซ้ายหันขวาหาเจ๊ยี้ไม่เจอ
ภายในห้องประชุมของโรงงานเฮียเต๋าที่อยู่ชั้นบน เป็นที่อยู่ของเหมยอิง สวย หลินหลิน บู๊ลิ้ม มิเชล
หลินหลินกับบู๊ลิ้มเป็นลูกมือสวยกับเหมยอิง ทำกับข้าว ล้างจานชาม ซักผ้า ตากผ้า
หลินหลินช่วยล้างจานอยู่กับบู๊ลิ้ม คุยกันไป
“ฉันว่าอยู่แบบนี้ก็มีความสุขดีเนอะ” บู๊ลิ้มว่า
“ฉันกลัวว่าถ้าไม่ได้ไปเรียนหนังสือแล้วเราจะโง่น่ะสิ” หลินหลินเอ่ย
“ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆ เธอ ฉันยอมโง่”
“พูดออกมาได้เนอะ โง่จริงๆ ด้วยเธอนี่”
อีกด้านหนึ่ง สวย เหมยอิง มิเชล ช่วยกันหุงข้าว เจียวไข่
“มิเชล ถ้าเธอยังไม่หายดีพักก่อนก็ได้นะ” มาดามเหมยอิงว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ทำไหวค่ะ ฉันแค่ใช้กำลังภายในไม่ได้แค่นั้นเอง” มิเชลบอก
“มาดามคะ แล้วนี่เราต้องอยู่แบบนี้อีกนานไหมคะ” สวยเอ่ยถาม
“ไม่นานหรอก เราซ่อนจางซื่อได้ไม่นานหรอก นอกจากไปต่างจังหวัด หรือไม่ก็หาทางเอาชนะมันให้ได้” มาดามเหมยอิงตอบ
“พวกนั้นจะเอาชนะจางซื่อได้ไหมคะ” สวยถามต่อ
“ไม่มีใครรู้” มาดามเหมยอิงตอบ พลางมองออกไปที่ด้านหนึ่งของตึก
อีกด้านหนึ่ง กังฟูกับเมลดาเข้าฝึกค่ายกลดอกเหมย ร่วมกับเฮียเฉิน เฮียเก้าและเฮียหลอ โดยมีเฮียเต๋า และเฮียติงลี่คอยดูให้
ทั้งห้าฝึกซ้อมค่ายกลดอกเหมยหนึ่งชุด เฮียเฉินถามเฮียเต๋ากับติงลี่
“คิดว่าค่ายกลดอกเหมยนี่เป็นไงบ้าง” เฮียเฉินเอ่ย
“พวกลื้อห้าคนยังไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต้องซ้อมให้มากกว่านี้” เฮียเต๋าบอก
“ไอ้เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ที่อยากรู้น่ะคือมวยไทยของเมลดาเข้ามาในค่ายกลนี้แล้วเป็นยังไง” เฮียเฉินถามต่อ
“ เมลดาไม่มีพื้นฐานกำลังภายใน แต่อาวุธมวยไทยก็พิสดาร หนัก คม เร็ว สร้างความเสียหายให้ศัตรูได้เหมือนกัน เป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลดอกเหมยได้” เฮียเต๋าว่า
“ขอบคุณค่ะ” เมลดาเอ่ย
“แต่เฮียเต๋าพูดก็ถูก เราต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อให้ลงมือเป็นหนึ่งเดียว” เฮียหลอว่า
“ฉันจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ ซ้อมได้ทุกที่ทุกเวลา” เมลดาพูด
“ต้องใช้เวลานานไหมครับ กว่าจะลงมือเป็นหนึ่งเดียวได้” กังฟูถาม
“บอกไม่ได้หรอก” เฮียเก้าว่า
“แต่หวังว่าจะทำได้ก่อนที่จางซื่อจะหาเราเจอ” เฮียหลอเอ่ย
“เพราะฉะนั้น ช่วงนี้พวกเราต้องไม่ประมาท อยู่แต่ในห้อง ออกไปเฉพาะเท่าที่จำเป็น ยืดเวลาซ่อนตัวให้ได้นานที่สุด เราถึงจะมีหวังชนะมันได้” เฮียเฉินเอ่ย
ขณะนั้น พายุค้นหาร่องรอยเบาะแสตามจุดต่างๆ ในโรงงิ้ว แต่ไม่เจออะไรเลย เขาหงุดหงิดมาก แต่เมื่อกำลังเดินออกจากโรงงิ้ว ก็เห็นมีคนลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงประตู พายุระวังตัว ตั้งท่าเดินเข้าไปหา พอถึงที่ก็เงื้อหมัดจะชก
“อย่าครับ อย่า” เป๋งกุ่ยร้อง
พายุเพ่งมองเป๋งกุ่ย รู้สึกคุ้นๆ หน้า
“ลื้อเป็นเด็กแถวนี้นี่หว่า...ชื่ออะไรกุ่ยๆใช่มั้ย” พายุถาม
“เป๋งกุ่ยครับ ลูกร้านขายยาตรงตลาดอ่ะครับ”
พายุดูคลายลง
“อั๊วเกือบอัดลื้อหน้าเละไปแล้วมั้ยล่ะ เข้ามาทำไม เห็นไม่มีคนอยู่แล้วจะขโมยของเหรอ”
“เปล่าครับ ผมมาหาพี่”
“หาอั๊ว...มีอะไร”
พายุพาเป๋งกุ่ยมาเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนม ของกินเต็มโต๊ะ เป๋งกุ่ยกินนู่นกินนี่ไม่มีหยุด
“สรุปว่าลื้อเห็นหลินฮุ่ยกับบู๊ลิ้มที่นั่นแน่ๆ แต่คนอื่นไม่แน่ใจ” พายุถามย้ำ
เป๋งกุ่ยกินไปตอบไป
“ครับ...ตอนแรกผมนึกว่าพวกเขาไปพลอดรักกัน แต่พอมารู้ทีหลังว่าพวกเขาหายกันไปทั้งบ้าน ผมก็เลยเอะใจ ว่าจริงๆแล้วพวกนั้นอาจจะไปหลบอยู่ที่นั่นกันหมดทุกคนเลยก็ได้”
“ลื้อเก่งมากเป๋งกุ่ย” พายุยิ้มพอใจ
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ผมอยากได้มากกว่าคำชม”
“หมายความว่ายังไง”
“ผมเห็นพี่หยิบเงินให้อาเจ็กป้อ แต่บังเอิญว่าอาเจ็กป้อไม่รู้ แต่ผมรู้...ผมอยากได้เงินเท่าที่พี่จะให้อาเจ็กป้ออ่ะ”
“ได้ซี้ มากกว่านั้นก็ได้ แต่ลื้อต้องไปแอบดูให้แน่ใจก่อนว่าในโรงงานนั้นมีใครอยู่บ้าง โดยเฉพาะไอ้กังฟู แล้วลื้อจะได้เงินตามที่ต้องการ”
“แน่นะครับ”
“แน่นอน”
เป๋งกุ่ยอยู่ในชุดเสื้อดำกางเกงดำ ด้อมๆมองๆหน้าโรงงาน มองเข้าไป บรรยากาศวังเวงน่ากลัว
“จะมีผีรึเปล่าวะ...แต่เอาวะ เพื่อเงิน”
เป๋งกุ่ยปีนเข้าไปในโรงงาน
ขณะเดียวกัน ด้านในโรงงาน หลินหลินกับบู๊ลิ้มก็กำลังจะออกมา ในมือมีใบรายการซื้อของ
“ไข่ไก่ 4 โหล ข้าวสาร 5 กิโล น้ำมันพืช 2 ขวด ซี่อิ๊ว บะหมี่ กระเทียม เยอะแยะจัง จะถือกันหมดมั้ยเนี่ย” บู๊ลิ้มอ่านทวน
“ช่วยไม่ได้ คนอยู่กันเยอะก็ต้องกินเยอะเป็นธรรมดา นี่ อย่ามัวเสียเวลาเลย รีบไปซื้อให้เสร็จเถอะ” หลินหลินว่า
“เดี๋ยวๆๆ จุ๊ๆ” บู๊ลิ้มยกมือหลินหลิน ชี้ไปให้ดูที่ด้านหน้าโรงงาน เห็นเป๋งกุ่ยกำลังย่องๆเข้ามา
“เป๋งกุ่ย...เขาเข้ามาทำไม” หลินหลินถาม
“ไอ้นี่มันชอบสอดรู้สอดเห็น วันก่อนมันเห็นเราสองคนอยู่แถวนี้ มันเลยอยากรู้ว่าเราเข้ามาทำอะไรกัน” บู๊ลิ้มว่า
“งั้นเราไปบอกทุกคนซ่อนก่อนเถอะ เขาไม่เจออะไรเดี๋ยวก็คงกลับออกไป” หลินหลินแนะนไ
“คนตั้งเยอะ ซ่อนไม่มิดหรอก...เอางี้ ฉันว่าเราทำผีหลอกมันให้มันเผ่นออกแบบขนหัวลุกกันดีกว่า”
“ทำผีหลอกเนี่ยนะ...น่าสนุกดี อิๆ”
เป๋งกุ่ยย่องๆเข้ามา ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาหอน เป๋งกุ่ยสะดุ้งสุดตัว เสียงหมาหอนโหยหวนมาก เป็นบู๊ลิ้มนั่นเองที่แอบอยู่ทำเสียงหมาหอนได้เนียนมากเป๋งกุ่ยชักใจไม่ดี มองซ้ายมองขวา ชักลังเล
“เอ ท่าทางไม่ค่อยดีแฮะ...แต่ว่า...เพื่อเงิน” เขาเอ่ย แล้วกัดฟันเดินต่อไป
คราวมีเสียงผู้หญิงร้องเพลงกล่อมลูก เสียงเยือกเย็นชวนขนลุก เป๋งกุ่ยยืนตัวแข็ง ไม่กล้าขยับ เป็นหลินหลินแอบร้องเพลงกล่อมลูกเสียงยานคาง
“ไม่มีอะไร...ชาวบ้านแถวนี้เขาคงร้องเพลงกล่อมลูกมั้ง...แต่ว่า...ใครมันจะมาเลี้ยงลูกแถวนี้วะ” เป๋งกุ่ยเริ่มถอย
หลินหลินร้องเพลงเสียงยะเยือกบี้ให้โหยหวนมากขึ้นบี้เข้าไปอีกดอก แต่ดัดเสียงมากไปหน่อย เผลอไอแค้กๆ
“ที่แท้ก็เสียงเลี้ยงลูกจริงๆ ผีที่ไหนมันจะไอวะ” เป๋งกุ่ยยิ่ม
หลินหลินโมโหตัวเอง
เป๋งกุ่ยเดินต่อเข้ามา
บู๊ลิ้มย่องมาอีกทาง ในมือมีซากแมวดำตายตัวที่เฮียหลอทักไว้ตอนแรกด้วย หลินหลินผงะกลัว บู๊ลิ้มทำท่าบอกใบ้ให้หลินหลินทำเสียงแมว
เป๋งกุ่ยเดินต่อมา ชะงักได้ยินเสียงแมวสองตัวขู่กัน เป๋งกุ่ยขนลุก
“แค่แมวน่า ไม่มีอะไร” เขาบอกตัวเอง
เสียงแมวขู่กันกลายเป็นเสียงแมวกัดกันดุเดือด
เป๋งกุ่ยข่มใจเดินหน้าต่อ บู๊ลิ้มโยนศพแมวออกไป เข้าหน้าเป๋งกุ่ยพอดี เป๋งกุ่ยร้องลั่น ตะครุบไว้ เอามาดู แล้วตกตะลึงพรึงเพริด เส้นผมบนหัวตั้งชี้
“แมวผี...จ๊าก”
เป๋งกุ่ยหันหลังวิ่งหนีออกไปแบบไม่คิดชีวิตแต่สะดุดขาตัวเองหกล้มกลิ้งโคล่ แล้วก็ลุกจะวิ่งต่อแต่ไปไม่ไหว ร้องอ๊ากๆๆ นั่งจับขาตัวเอง
“โอ๊ยๆๆ ขาหักแล้ว ช่วยด้วย”
บู๊ลิ้มกับหลินหลินตกใจ ไม่รู้จะทำยังไง เห็นเป๋งกุ่ยจับขาดิ้นเร่าๆ
“เอาไงดี ท่าทางมันเจ็บจริงนะนั่น” บู๊ลิ้มว่า
“แต่ถ้าเราออกไปช่วยเขาก้รู้หมดสิว่าเราอยู่ที่นี่” หลินหลินเอ่ย
ทว่า กังฟูวิ่งผ่านทั้งสองคนออกไป
“ศิษย์น้อง เดี๋ยว…” บู๊ลิ้มเรียก แต่ไม่ทันเสียแล้ว
กังฟูวิ่งมาดูอาการเป๋งกุ่ยที่ร้องเจ็บราวกับกำลังจะตาย
“อยู่เฉยๆนะ…”
กังฟูดันเข้าดังกร๊อบ สักพักเป๋งกุ่ยก็ดีขึ้น
“โห หายเจ็บเลย สุดยอดเลยครับ”
“เข่าหลุดน่ะ ไม่ใช่ขาหักหรอก”
“ขอบคุณเฮียกังฟูมากครับ”
“ไม่เป็นไร”
“เฮียกังฟูอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“อื้อ อย่าบอกใครล่ะ...หมดเรื่องแล้ว รีบออกไปเถอะ อย่าอยู่ที่นี่เลย”
“ครับ ผมขอบคุณเฮียกังฟูอีกครั้งนึงครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ”
เป๋งกุ่ยเดินออกไป กังฟูมองตามไปจนเป๋งกุ่ยลับตา
บู๊ลิ้มกับหลินหลินเดินมาอยู่ข้างๆ กังฟู
“ศิษย์น้องออกมาช่วยเขา เขาก็รู้สิว่าเราอยู่ที่นี่”
“เป๋งกุ่ยไม่ใช่พวกอสูรเทวานี่นา อีกอย่าง เห็นคนเดือดร้อนต้องช่วยเหลือ ถ้าศิษย์น้องไม่ออกมาช่วย ขาเขาอาจจะหักหรือพิการไปตลอดชีวิตก็ได้นะครับ...ศิษย์พี่อย่าวิตกอะไรไปเลยครับ ศิษย์น้องช่วยเขา เขาไม่เอาเรื่องของเราไปบอกคนอื่นหรอก”
แต่ว่า บู๊ลิ้มก็ยังคงมีสีหน้ากังวล
กังฟู เมลดา เฮียเฉิน เฮียหลอ และเฮียเก้า กำลังฝึกซ้อมค่ายกลดอกท้อ โดยมีเฮียเต๋ากับติงลี่คอยดูอยู่ เมื่อซ้อมเสร็จก็หอบแฮ่กๆ เหงื่อท่วมกายกันทุกคน
“เป็นไงบ้าง” เฮียเฉินถาม
“ดีขึ้นมาก การเคลื่อนที่ของทั้งห้าคนดูสอดคล้องกันมากขึ้น เริ่มจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว” เฮียเต๋าพูด
“การที่เมลดาใช้มวยไทยแม้จะขาดพื้นฐานกำลังภายในแต่ก็ทำให้ค่ายกลนี้จู่โจมได้เร็วและแหลมคมขึ้น” เฮียติงลี่เสริม
“พร้อมสู้กับจางซื่อรึยัง” กังฟูถามขึ้น
“ไม่มีใครบอกได้หรอก ของแบบนี้จะรู้ก็ต่อเมื่อได้สู้กันแล้ว” เฮียเต๋าบอก
“ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย แพ้ก็ตาย เราจะไม่หนีอีกแล้ว” เฮียเฉินว่า
“เพื่อแก้แค้นให้อาจารย์แม่ ศิษย์ขอสู้ตาย” กังฟูว่า
“ฮูหยินเขาคงไม่อยากลื้อคิดอย่างนี้หรอก” เฮียเฉินเอ่ย
“พวกมันฆ่าอาจารย์แม่ตายอย่างโหดเหี้ยม ยังไงศิษย์ก็จะไม่มีทางปล่อยพวกมัน ศิษย์จะเอาหัวพวกมันเซ่นไหว้อาจารย์แม่” กังฟูว่า
เฮียเฉินทำหน้างง
“กังฟู อั๊วว่าลื้อ…” เฮียเฉินกำลังจะถามกังฟูว่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า แต่ก็มีเสียงตะโกนโหวกเหวกจากข้างนอกดังขึ้นมา
ทุกคนไปดูที่หน้าต่าง เห็นตรงลานโล่ง เป๋งกุ่ยแบกถุงใบหนึ่งตะโกนโหวกเหวก
“เฮียกังฟูอยู่รึเปล่า เฮียกังฟู...เฮียกังฟูอยู่ไหน...เฮียกังฟู” เป๋งกุ่ยร้องเรียก
อ่านต่อตอนที่ 13