**เดินหน้าเปิดศึกกับภาคประชาชนเต็มรูปแบบแล้ว สำหรับ ณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการประกาศให้มีการยื่นขอสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยอ้างความจำเป็นต้องเร่งสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมภายในประเทศเพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้นในอนาคต
“การที่ไทยจะเปิดให้มีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศ รวมถึงการจัดหาจากต่างประเทศสิ่งสำคัญก็คือ จะต้องให้ราคาที่จะจัดหาและนำเข้ามาคุ้มค่าและคุ้มทุน อย่างขณะนี้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ เอ็นจีวี ราคาปัจจุบันก็ต่ำเกินไป ไม่จูงใจจัดหาและนำเข้ามา เราก็ต้องชี้แจงเพื่อไม่ให้ขัดขวางการปรับราคาทั้งหลาย จะได้ไม่ต้องมาโต้เถียงกัน เพราะต้องเป็นราคาที่เป็นธรรม เอื้อให้มีการจัดหา และนำเข้ามาได้นอกเหนือจากที่เราประหยัดใช้แล้ว”
จากเหตุผลดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ณรงค์ชัย ไม่มีความคิดที่จะรอข้อเสนอจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ที่อยู่ในระหว่างการวางกรอบกำหนดแนวทางการทำงานปฏิรูปในแต่ละด้าน โดยยังมิได้ลงรายละเอียดแม้แต่เรื่องเดียว แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่มี ณรงค์ชัย เป็นหัวหอกขับเคลื่อน กลับเหยียบคันเร่งจนมิด ทั้งที่การจัดทำแผนที่ยังไม่สำเร็จ
**นั่นย่อมตอกย้ำว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มีธงในใจอยู่แล้วว่า จะดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานอย่างไร
หากพิจารณาจากการบริหารตลอดห้าเดือนที่ผ่านมาก็จะเห็นทิศทางว่า นอกจากจะไม่แตกต่างอะไรกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้ามาต่อยอดในสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการขยับราคาพลังงานทั้งยวง การให้สัมปทานไปจนถึงการเจรจากับกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งเดินเครื่องไปพร้อม ๆกันอย่างเร่งรีบ ไม่มีการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกับประชาชน ภาพที่ปรากฏจึงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องจับตามอง และตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
**เพราะที่หวังไว้ว่า ยุคทหารเรืองอำนาจจะเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูบ้านเมืองให้สะอาดสะอ้านนั้น อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้
สิ่งที่คนไทยควรหันไปมองย้อนดูคือ ในยุครัฐบาลขิงแก่ที่เกิดหลังการรัฐประหารปี 2549 มีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับนโยบายพลังงานของไทย และนโยบายเหล่านั้น ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรม หรือเป็นการขยายเครือข่ายอำนาจทุนเข้าครอบงำกลไกรัฐทั้งระบบ จนมีแต่ผลประโยชน์เอกชนเข้ามาทับซ้อนสิทธิของประชาชน ที่ถูกเบียดบังไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นช่วงเวลาที่ต้องมีการแบ่งแยกทรัพย์สินจากปตท. คืนกลับมาเป็นสาธารณสมบัติ จากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่การคืนทรัพย์สินที่กำหนดหลักการ และนำเสนอเข้าครม.ในขณะนั้น โดย ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน ทำให้รัฐได้ท่อก๊าซคืนมูลค่าเพียงแค่กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท จากมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจนถึงวันนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังทวงถามติดตาม เนื่องจากการคืนสมบัติชาติยังไม่ครบถ้วน
**ในขณะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินชี้ว่า นอกจากคืนทรัพย์สินไม่ครบแล้ว ปตท.และเจ้าหน้าที่รัฐ ยังมีพฤติกรรมสมคบกันประพฤติมิชอบในการรายงานเท็จต่อศาลปกครอง ทำให้ได้ข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากการแบ่งแยกทรัพย์สินดังกล่าว ไม่ได้รับการรับรองจาก สตง.
นอกจากนี้ รัฐบาลในยุคคมช. ยังมีการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2550 ลดหย่อนค่าภาคหลวงปิโตรเลียม แก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5 และ 6) พ.ศ. 2550 ออกพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ซึ่งกฎหมายทั้งหมดมิได้มีเนื้อหาในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับทุนพลังงานโดยเฉพาะ ปตท.
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจากการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2550 ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี มีอำนาจให้สัมปทาน และลดหย่อนค่าภาคหลวงปิโตรเลียม โดยให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม มีอำนาจให้โอนข้อผูกพันระหว่างแปลงสำรวจ หมายเลขที่ G6/50 G7/50 และ G8/50 ซึ่งเป็นของกลุ่มบริษัท ปตท.สผ.
รัฐบาลในขณะนั้น ยังมีมติครม.เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 อนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ให้ต่ออายุสัมปทานแหล่งพลังงานในอ่าวไทยออกไปอีก10 ปี ให้กับกลุ่มบริษัทน้ำมันสองบริษัท ต่อมามีพิธีลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งยูโนแคล 123 ระหว่าง ปตท.กับกลุ่มผู้ขายก๊าซ (ปตท.สผ./เชฟรอน/มิตซุย ออยส์) โดยมีการรวมสัญญายูโนแคล 1 และ 2/3 ที่มีอยู่เข้าเป็นฉบับเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังให้กระทรวงพลังงานดำเนินการออกสัมปทานปิโตรเลียมของแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติมอีก 4 ฉบับ โดยให้อำนาจสิทธิขาด กับอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นผู้กำหนดเขตพื้นที่แปลงสำรวจ จากนั้นก็มีพิธีลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติจากบริเวณพื้นที่ทางตอนเหนือโครงการอาทิตย์ระหว่าง ปตท.กับ ปตท.สผ.
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มีความรีบเร่งในการบริหารจัดการเรื่องสัมปทานในช่วงเวลาที่การตรวจสอบทำได้ยาก เนื่องจากเป็นสถานการณ์หลังรัฐประหาร อีกทั้งประชาชนก็มิได้มีโอกาสติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ทำให้รัฐบาลดำเนินการได้อย่างสะดวกสบาย ไม่แตกต่างจากสิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กำลังฉกฉวยโอกาสเร่งรีบเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 อยู่ในขณะนี้ โดยปราศจากข้อมูลที่ชัดเจนในการหักล้างคำโต้แย้งของภาคประชาชน ที่ระบุว่า การดำเนินการในรูปแบบเดิมเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนพลังงาน มากกว่าที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งมี ปิยสวัสดิ์ เป็น รมว.พลังงาน ยังให้ความเห็นชอบแผนแม่บทระบบส่งท่อก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554 ส่งผลให้มีการจัดทำคู่มือการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติใหม่ เปิดโอกาสให้ ปตท. ขยายอายุการใช้งานทางบัญชีทรัพย์สินของระบบท่อส่งก๊าซจาก 25 ปี เป็น 40 ปี และโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 3 จาก 15 ปี เป็น 25 ปี หน่วยที่ 4 จาก 15 ปี เป็น 20 ปี ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินของ ปตท. พุ่งสูงขึ้นกว่าแสนล้านบาท โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
ในขณะเดียวกันยังมีการอนุมัติให้เพิ่มอัตราค่าบริการระบบท่อจาก19.74บาทต่อล้านบีทียู เป็น 22.57 บาทต่อล้านบีทียู ทำให้คนไทยจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ในขณะที่ปตท. เก็บกินสมบัติชาติที่ไม่ยอมคืนให้รัฐอย่างหน้าตาเฉย โดยมีอำนาจรัฐ และกลไกราชการ เป็นผู้จัดสำรับตั้งโต๊ะให้
ความไม่ถูกต้องอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลสุรยุทธ์ คือการแก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2550 ที่กำหนดว่า กรรมการของรัฐวิสาหกิจ ต้องไม่เป็นกรรมการ หรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดสรรหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานผู้ร่วมทุน หรือผู้มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ หรือผู้บริหาร โดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจ
**การเปิดช่องของกฎหมายดังกล่าว ทำให้ข้าราชการไปเป็นกรรมการในบริษัทลูกของปตท. จนเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ข้าราชการไม่รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน แต่มุ่งแสวงหากำไรให้กับปตท. ด้วยการกำหนดนโยบายเอื้อให้กับปตท. โดยอ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่กำไรที่ได้กลับคืนสู่รัฐเพียงแค่ 51% ที่เหลือกลายเป็นของผู้ถือหุ้น
เพราะนิยามคำว่า“รัฐวิสาหกิจ”ตามพ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีการแก้ไขในปี 2550 เอื้อให้เกิดการใช้ดุลยพินิจตีความเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานทำให้มีการอาศัยช่องว่างนี้ สร้างสิทธิพิเศษให้กับ ปตท. ที่มีสภาพเป็นบริษัทกึ่งรัฐกึ่งเอกชน แต่คนที่เสียประโยชน์คือ คนไทยทั้งชาติ
**เมื่อมาถึงยุคของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องพิสูจน์กันว่า จะเดินตามรอยเท้าทุนพลังงานที่กอบโกยกันอย่างเต็มที่หลังการรัฐประหาร หรือจะสร้างทางเดินใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน
“การที่ไทยจะเปิดให้มีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศ รวมถึงการจัดหาจากต่างประเทศสิ่งสำคัญก็คือ จะต้องให้ราคาที่จะจัดหาและนำเข้ามาคุ้มค่าและคุ้มทุน อย่างขณะนี้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ เอ็นจีวี ราคาปัจจุบันก็ต่ำเกินไป ไม่จูงใจจัดหาและนำเข้ามา เราก็ต้องชี้แจงเพื่อไม่ให้ขัดขวางการปรับราคาทั้งหลาย จะได้ไม่ต้องมาโต้เถียงกัน เพราะต้องเป็นราคาที่เป็นธรรม เอื้อให้มีการจัดหา และนำเข้ามาได้นอกเหนือจากที่เราประหยัดใช้แล้ว”
จากเหตุผลดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ณรงค์ชัย ไม่มีความคิดที่จะรอข้อเสนอจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ที่อยู่ในระหว่างการวางกรอบกำหนดแนวทางการทำงานปฏิรูปในแต่ละด้าน โดยยังมิได้ลงรายละเอียดแม้แต่เรื่องเดียว แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่มี ณรงค์ชัย เป็นหัวหอกขับเคลื่อน กลับเหยียบคันเร่งจนมิด ทั้งที่การจัดทำแผนที่ยังไม่สำเร็จ
**นั่นย่อมตอกย้ำว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มีธงในใจอยู่แล้วว่า จะดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานอย่างไร
หากพิจารณาจากการบริหารตลอดห้าเดือนที่ผ่านมาก็จะเห็นทิศทางว่า นอกจากจะไม่แตกต่างอะไรกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้ามาต่อยอดในสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการขยับราคาพลังงานทั้งยวง การให้สัมปทานไปจนถึงการเจรจากับกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งเดินเครื่องไปพร้อม ๆกันอย่างเร่งรีบ ไม่มีการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกับประชาชน ภาพที่ปรากฏจึงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องจับตามอง และตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
**เพราะที่หวังไว้ว่า ยุคทหารเรืองอำนาจจะเข้ามาปัดกวาดเช็ดถูบ้านเมืองให้สะอาดสะอ้านนั้น อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้
สิ่งที่คนไทยควรหันไปมองย้อนดูคือ ในยุครัฐบาลขิงแก่ที่เกิดหลังการรัฐประหารปี 2549 มีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับนโยบายพลังงานของไทย และนโยบายเหล่านั้น ทำให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่เป็นธรรม หรือเป็นการขยายเครือข่ายอำนาจทุนเข้าครอบงำกลไกรัฐทั้งระบบ จนมีแต่ผลประโยชน์เอกชนเข้ามาทับซ้อนสิทธิของประชาชน ที่ถูกเบียดบังไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นช่วงเวลาที่ต้องมีการแบ่งแยกทรัพย์สินจากปตท. คืนกลับมาเป็นสาธารณสมบัติ จากคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่การคืนทรัพย์สินที่กำหนดหลักการ และนำเสนอเข้าครม.ในขณะนั้น โดย ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน ทำให้รัฐได้ท่อก๊าซคืนมูลค่าเพียงแค่กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท จากมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจนถึงวันนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังทวงถามติดตาม เนื่องจากการคืนสมบัติชาติยังไม่ครบถ้วน
**ในขณะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินชี้ว่า นอกจากคืนทรัพย์สินไม่ครบแล้ว ปตท.และเจ้าหน้าที่รัฐ ยังมีพฤติกรรมสมคบกันประพฤติมิชอบในการรายงานเท็จต่อศาลปกครอง ทำให้ได้ข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากการแบ่งแยกทรัพย์สินดังกล่าว ไม่ได้รับการรับรองจาก สตง.
นอกจากนี้ รัฐบาลในยุคคมช. ยังมีการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2550 ลดหย่อนค่าภาคหลวงปิโตรเลียม แก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 5 และ 6) พ.ศ. 2550 ออกพ.ร.บ.ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ซึ่งกฎหมายทั้งหมดมิได้มีเนื้อหาในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับทุนพลังงานโดยเฉพาะ ปตท.
ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนจากการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2550 ส่งผลให้คณะรัฐมนตรี มีอำนาจให้สัมปทาน และลดหย่อนค่าภาคหลวงปิโตรเลียม โดยให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม มีอำนาจให้โอนข้อผูกพันระหว่างแปลงสำรวจ หมายเลขที่ G6/50 G7/50 และ G8/50 ซึ่งเป็นของกลุ่มบริษัท ปตท.สผ.
รัฐบาลในขณะนั้น ยังมีมติครม.เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 อนุมัติตามข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ให้ต่ออายุสัมปทานแหล่งพลังงานในอ่าวไทยออกไปอีก10 ปี ให้กับกลุ่มบริษัทน้ำมันสองบริษัท ต่อมามีพิธีลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแหล่งยูโนแคล 123 ระหว่าง ปตท.กับกลุ่มผู้ขายก๊าซ (ปตท.สผ./เชฟรอน/มิตซุย ออยส์) โดยมีการรวมสัญญายูโนแคล 1 และ 2/3 ที่มีอยู่เข้าเป็นฉบับเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังให้กระทรวงพลังงานดำเนินการออกสัมปทานปิโตรเลียมของแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติมอีก 4 ฉบับ โดยให้อำนาจสิทธิขาด กับอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นผู้กำหนดเขตพื้นที่แปลงสำรวจ จากนั้นก็มีพิธีลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติจากบริเวณพื้นที่ทางตอนเหนือโครงการอาทิตย์ระหว่าง ปตท.กับ ปตท.สผ.
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มีความรีบเร่งในการบริหารจัดการเรื่องสัมปทานในช่วงเวลาที่การตรวจสอบทำได้ยาก เนื่องจากเป็นสถานการณ์หลังรัฐประหาร อีกทั้งประชาชนก็มิได้มีโอกาสติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ทำให้รัฐบาลดำเนินการได้อย่างสะดวกสบาย ไม่แตกต่างจากสิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กำลังฉกฉวยโอกาสเร่งรีบเปิดสัมปทานปิโตรเลียม รอบที่ 21 อยู่ในขณะนี้ โดยปราศจากข้อมูลที่ชัดเจนในการหักล้างคำโต้แย้งของภาคประชาชน ที่ระบุว่า การดำเนินการในรูปแบบเดิมเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนพลังงาน มากกว่าที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งมี ปิยสวัสดิ์ เป็น รมว.พลังงาน ยังให้ความเห็นชอบแผนแม่บทระบบส่งท่อก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554 ส่งผลให้มีการจัดทำคู่มือการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติใหม่ เปิดโอกาสให้ ปตท. ขยายอายุการใช้งานทางบัญชีทรัพย์สินของระบบท่อส่งก๊าซจาก 25 ปี เป็น 40 ปี และโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 3 จาก 15 ปี เป็น 25 ปี หน่วยที่ 4 จาก 15 ปี เป็น 20 ปี ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินของ ปตท. พุ่งสูงขึ้นกว่าแสนล้านบาท โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
ในขณะเดียวกันยังมีการอนุมัติให้เพิ่มอัตราค่าบริการระบบท่อจาก19.74บาทต่อล้านบีทียู เป็น 22.57 บาทต่อล้านบีทียู ทำให้คนไทยจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ในขณะที่ปตท. เก็บกินสมบัติชาติที่ไม่ยอมคืนให้รัฐอย่างหน้าตาเฉย โดยมีอำนาจรัฐ และกลไกราชการ เป็นผู้จัดสำรับตั้งโต๊ะให้
ความไม่ถูกต้องอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลสุรยุทธ์ คือการแก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2550 ที่กำหนดว่า กรรมการของรัฐวิสาหกิจ ต้องไม่เป็นกรรมการ หรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดสรรหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานผู้ร่วมทุน หรือผู้มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เว้นแต่เป็นประธานกรรมการ หรือผู้บริหาร โดยการมอบหมายของรัฐวิสาหกิจ
**การเปิดช่องของกฎหมายดังกล่าว ทำให้ข้าราชการไปเป็นกรรมการในบริษัทลูกของปตท. จนเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ข้าราชการไม่รักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน แต่มุ่งแสวงหากำไรให้กับปตท. ด้วยการกำหนดนโยบายเอื้อให้กับปตท. โดยอ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่กำไรที่ได้กลับคืนสู่รัฐเพียงแค่ 51% ที่เหลือกลายเป็นของผู้ถือหุ้น
เพราะนิยามคำว่า“รัฐวิสาหกิจ”ตามพ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีการแก้ไขในปี 2550 เอื้อให้เกิดการใช้ดุลยพินิจตีความเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานทำให้มีการอาศัยช่องว่างนี้ สร้างสิทธิพิเศษให้กับ ปตท. ที่มีสภาพเป็นบริษัทกึ่งรัฐกึ่งเอกชน แต่คนที่เสียประโยชน์คือ คนไทยทั้งชาติ
**เมื่อมาถึงยุคของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องพิสูจน์กันว่า จะเดินตามรอยเท้าทุนพลังงานที่กอบโกยกันอย่างเต็มที่หลังการรัฐประหาร หรือจะสร้างทางเดินใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน