ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุด “คำถาม” ที่สังคมตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของ “การปฏิรูปพลังงาน” และปริศนา “จิ๊กซอว์แห่งอำนาจ” ซึ่งสังคมยังไม่สามารถ “ไข” และ “คลี่คลาย” ก็ปรากฏออกมาอย่างชัดแจ้งผ่านคำให้สัมภาษณ์ของ “หลวงปู่พุทธะอิสระ” แห่งวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หนึ่งในแกนนำของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ กปปส. ที่มี “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นเลขาธิการ
โดยเฉพาะเบื้องหลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่ต้องบอกว่า “เป็นครั้งแรก” ที่สาธารณชนได้รับรู้ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากปากของหลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งชัดเจนแล้วว่า “เป็นคนวงใน” ที่ใกล้ชิดและแนบแน่นกับศูนย์กลางอำนาจของประเทศในเวลานี้อย่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
เป็นจิ๊กซอว์แห่งอำนาจที่สำแดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลวงปู่พุทธะอิสระและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเฉลยผ่านบทสัมภาษณ์ที่ใช้ชื่อว่า “เขาหักหลังเรา” ที่อดีตแกนนำ กปปส.แห่งเวทีแจ้งวัฒนะรูปนี้ ให้ไว้กับ “ไทยโพสต์ แทบลอยด์” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“อยากเล่าในเรื่องที่สังคมไม่ได้รู้ ให้ได้รู้ว่าช่วงการต่อสู้ของ กปปส. ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นสัก ประมาณ 15 วัน หรือ 3 สัปดาห์ ทุกเวที กปปส. เริ่มระส่ำระสาย เสียขวัญ ไม่เว้นแม้แต่เวที แจ้งวัฒนะ แต่ฉันก็พยายามรักษาฟอร์มไว้ แต่ทุกเวทีโดยเฉพาะเวทีลุงกำนัน จะเห็นได้ว่าแกเริ่มเซ เริ่มรวน เวที คปท. ของนิติธร ล้ำเหลือด้วย มีทั้งคนเจ็บ คน ตาย มีทั้งกฎหมายเข้ามาบีบ มีการข่มขู่คุกคามสารพัด ไม่เว้นแม้แต่เวทีแจ้งวัฒนะ หนทางที่ว่าจะเสร็จ ยุติ จบ มันล่มมาตลอด ในช่วงนั้นฉันก็ประสานกับทหารอย่างหลวมๆ ไว้ในระดับต้นแล้วว่ามันจะไปอย่างใดแบบไหน ในขณะเดียวกันเราก็พยายามประคองตัวไม่ให้เพลี่ยงพล้ำเกินไป ไม่ให้เสียมวย จะล้มก็ล้มอย่างมีเชิง จะยืนอยู่ก็ต้องอยู่อย่างปลอดภัยแบบผู้ชนะ
“...เราก็พยายามบอกลุงกำนัน โทร.ไปเตือน ก่อนหน้าที่จะปฏิวัติหนึ่งวัน ฉัน โทร.ไปบอกลุงกำนันว่าทหารเขาจะทำแล้วนะ ลุงกำนันบอกว่าถ้าทหารจะทำก็อยู่ข้างหลังผม ถามว่ามีทหารที่ไหนที่เขาจะโง่ขนาดนั้น ที่ไปอยู่หลังลุงกำนัน เราก็เลยบอกว่า วิธีการของลุงกำนันที่จะให้ได้รัฐบาลที่มาจากสมาชิกวุฒิสภา มันไม่น่าจะได้ข้อยุติหรอก เพราะขบวนการของตระกูลชินมันฝังรากลึกในทุกระบบ องคาพยพสังคมไทย ภาคประชาชนมือเปล่าๆ ทำอะไรไม่ได้ ปล่อยให้ทหารจัดการเถอะ แต่ลุงกำนันก็ยังเชื่อในอำนาจประชาชนอยู่ เราก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนี้ไม่น่าถูกต้องหรอก คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ เราก็สงวนตัวเรา ที่แจ้งวัฒนะเปิดทาง มีทหารมาพูดคุย หากไม่ได้ทหารเข้ามาก็ยังไม่รู้อีกกี่ศพ
“ความจริงข้อนี้ไม่มีใครรู้ มีแต่ไปถล่ม รุมประณามคุณประยุทธ์ ทหารและพวก ซึ่งคนพวกนี้ไม่ได้มาอยู่บนถนน ถ้าลองไปนอนบนถนนแบบพวกเรา กปปส. จะรู้เลยว่า ทหารช่วยชีวิตเรา หาทางออก-ทางลงให้ชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริง
“ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับทหารมา แล้วทหารก็เข้ามาคุยอยู่เป็นระยะๆ เป็นเรื่องที่เราก็พยายามส่งสารต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ให้เตรียมพร้อม ฉันก็มีการขีดเส้นให้ลุงกำนันสองรอบคือ ถ้าคุณไม่ไป ไม่สามารถเผด็จศึกจากวันที่ 8 พ.ค. มาเป็นวันที่ 17 พ.ค. และขยับไปวันที่ 20 พ.ค. เลื่อนไปเรื่อย ฉันจะเดินทางไปหัวหินเพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ ทหารก็เข้ามาติดต่อว่าอย่าไปรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ปล่อยให้ลูกหลานทหารทำอะไรซักอย่าง เราก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะตอนนั้นรัฐบาลไม่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ผู้คนในบ้านเมืองสิ้นไร้ไม้ตอก คนที่ชุมนุมก็ตายเพิ่มขึ้น มันก็เป็นเหตุผลที่พร้อมจะทำ แต่ตอนนั้นลุงกำนันก็ฝันหวานว่าจะได้พึ่ง ส.ว.(หัวเราะ)”
สิ่งที่ออกมาจากคำให้การของหลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลวงปู่พุทธะอิสระและนายสุเทพ คือคนกลุ่มเดียวกันในการเดินเกมขับเคลื่อนภาคประชาชน
ดังนั้น ในเวลาต่อมา จงโปรดอย่าแปลกใจว่า ทำไมนายสุเทพถึงเดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย ทำไมนายสุเทพถึงนัดชุมนุมใหญ่หลายครั้งหลายคราแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากคนบาดเจ็บล้มตายที่เพิ่มมากขึ้น
และจงอย่าแปลกใจว่า ทำไมนายสุเทพถึงกล่าวปกป้องและชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นอย่างออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของอดีต ผบ.ทบ.ผู้นี้ดังขรึมทั้งแผ่นดิน เพราะนายสุเทพรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ทหารเตรียมการที่จะทำรัฐประหารเอาไว้
ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้หากทหารประกาศยืนเคียงข้างประชาชน เป็นกองกำลังให้ประชาชนอย่างหาญกล้าก็จะทำให้การปฏิวัติของประชาชนสำเร็จอย่างงดงามโดยที่ไม่ต้องอาศัยการรัฐประหารแต่อย่างใด วันที่ 3 เมษายน 2557
นายสุเทพกล่าวบนเวทีปราศรัย กปปส.ที่สวนลุมพินีว่า “ผมยืนยันจากประสบการณ์ที่เคยทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์เมื่อปี 21-53 ได้ว่า เหล่าทัพจำเป็นต้องวางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ผมเห็นใจกองทัพที่ต้องยืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างมวลมหาประชาชนกับฝ่ายรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง….ผมเชื่อว่า ทหารเป็นมิตรกับประชาชนและยืนข้างเรา ถ้าผมคิดผิด ผมรับผิดชอบเอง ผมการันตีพี่น้องทั้งประเทศ คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์และแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ยืนอยู่ข้างแผ่นดิน ยืนอยู่ข้างประชาชน””
วันที่ 20 พฤษภาคม 2557
นายสุเทพกล่าวบนเวทีปราศรัย กปปส.เอาไว้ว่า “ผมดูทีวี นักข่าวถามว่า ประกาศอัยการศึกบอกรัฐบาลหรือยัง เห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบว่า รัฐบาลอยู่ไหนล่ะ ขอโทษเถอะตั้งแต่คบกันมาพูดได้สะใจก็วันนี้ ผมนึกในใจหากสู้ไม่ชนะจะเดินไปมอบตัวต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่รู้จักกัน ผมรู้สึกรัก พล.อ.ประยุทธ์เพิ่มกว่าเดิม 100 เท่า และขออนุญาตบอกรัก พล.อ.ประยุทธ์”
วันที่ 29 พฤษภาคม 2557
นายสุเทพและเหล่าแกนนำ กปปส.สร้างความฮือฮาอีกครั้งหลังทหารทำรัฐประหารด้วยการพร้อมใจกันใส่ “ชุดเขียวลายพรางทหาร” ไปร่วมงาน “ปาร์ตี้” ฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 48 ปีของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส.ที่ร้านอาหารฝรั่งเศส 4 Garcons ซอยทองหล่อ 13 กทม.แถมบนเสื้อของ “คู่จิ้นแห่ง กปปส.” ยังสุดแซ่บ โดยเสื้อของน้องตั๊น-จิตภัสร กฤดากร สกรีนคำว่า “บูรพาพยัคฆ์” ไว้ที่ด้านหลัง ส่วนหนุ่มขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สกรีนคำว่า “ชัยชนะ” เอาไว้ข้างหน้า
วันที่ 23 มิถุนายน 2557
หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์บางกอกโพสต์ ได้นำเสนอข่าวเรื่อง “สุเทพคุยลับกับประยุทธ์ตั้งแต่ปี 2553 เป้าหมายคือระบอบทักษิณ (Suthep in talks with Prayuth ‘since 2010’ Thaksin regime target in secret talks)”
“นายสุเทพเปิดปากพูดระหว่างงานเลี้ยงอาหารเย็นเพื่อระดมทุนเมื่อคืนวันเสาร์ ที่แปซิฟิกคลับ ในกรุงเทพฯ โดยเขาระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์มีส่วนในการวางแผนเพื่อล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงช่วงก่อนหน้าที่เกิดเหตุนำไปสู่การรัฐประหาร ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย” บางกอกโพสต์ระบุ
นอกจากนี้ นายสุเทพยังอ้างด้วยว่า มีการติดต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์และทีมงานอย่างสม่ำเสมอผ่านทางช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ ทั้งนี้ ก่อนการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ได้แจ้งกับตนเองว่า “คุณสุเทพ คุณกับมวลมหาประชาชน กปปส.เหนื่อยมามากแล้ว จากนี้เป็นภารกิจของกองทัพเอง”
สิ่ง “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” ปฏิเสธไว้ว่า “ไม่เป็นความจริง” เวลานี้ได้รับคำยืนยันจากปากของหลวงปู่พุทธะอิสระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะพระซึ่งถือศีล 227 ข้อ ย่อมไม่ทำผิดศีลข้อ “มุสา” ซึ่งเป็นแค่ 1 ในศีล 5 อย่างแน่นอน
ที่สำคัญคือ นอกจากมีความสัมพันธ์อันดีแล้ว หลวงปู่พุทธอิสระยังปกป้อง 3 ป.แห่งบูรพาพยัคฆ์แบบเปิดหน้าเปิดตาอีกต่างหาก โดยมั่นใจว่า คสช.มีความจริงใจที่จะปฏิรูปบ้านเมือง ทั้งๆ ที่ ณ เวลานี้สังคมตั้งคำถามกันมากมายเกี่ยวกับการแต่งตั้ง สปช.ที่เต็มไปด้วย “บุคคล” ทั้งที่เคยทำและปัจจุบันยังทำงานอยู่ในองค์กรที่จำเป็นต้องการมีปฏิรูปไม่แพ้กัน รวมถึงคนในวงศ์วานว่านเครือกับ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” ที่ไม่ว่าจะมีหัวซีกเดียวหรือหูข้างเดียวก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมถึงต้องเป็นคนกลุ่มก๊วนนี้
“คุณประวิตรก็มาบ่อย ตอนมีอำนาจเขาก็เคยตัดพ้อกับว่า ทำไมไม่ชวนเขาไปร่วมงานด้วย ฉันก็บอกว่าฉันจะคบกับคนที่ไม่มีอำนาจ ถ้าเมื่อใดคุณมีอำนาจก็ไม่อยากคบ เพราะจะกลายเป็นว่าฉันไปอิงอำนาจพวกคุณ เราก็รู้จัก เข้าใจดีว่าเขาคิดเพื่อประโยชน์บ้านเมือง ไม่ได้คิดเพื่อประโยชน์ส่วนตน ถ้าถามว่าวันนี้เหมาะสมไหม ก็วันนี้ไม่ใครที่คุณประยุทธ์ไว้ใจมากเท่ากับ พล.อ.ประวิตร เขาทั้งหมดที่มาที่นี่ เขาก็เรียกพี่เรียกน้อง สนิทชิดเชื้อกัน ก็ไม่ได้อะไรมาก
“ส่วนที่วิจารณ์ว่าจะพังเพราะ พล.อ.ประวิตร คงไม่หรอก พล.อ.ประวิตร เขามีเพื่อนมากทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น ฝ่ายรัฐบาล มีคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนได้เยอะและ ได้ดี การที่คุณประยุทธ์ดึงเข้ามาเพื่อจะได้รับความร่วมมือจากปลัดกระทรวงต่างๆ จะเห็นว่าคุณประวิตรจะมีเพื่อนฝูงรอบตัวไปหมด และดึงคนที่ไว้ใจมาร่วมทำงาน เมื่อคุณประยุทธ์ที่นิสัยค่อนข้างจะเก็บตัว ไม่ค่อยกว้างขวางเหมือนคุณประวิตร มันก็เลยเป็นที่มาว่าคุณประวิตรเป็นพี่ใหญ่รับหน้าเสื่อไป ก็เป็นธรรมดาเพราะเขาไว้ใจคุณประวิตร ก็เหมือนฉันที่ไว้ใจใครก็ใช้คนนั้น เพราะว่าอำนาจที่อยู่บนหลังเสือ พลาดนิดเดียวก็หัวทิ่มแล้ว เพราะคนจ้องอยู่ทุกอย่างก้าว”
“เท่าที่เห็นที่คนเรียกกันว่าพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ก็รักกันดี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยก็เคยมาที่วัด 2 ครั้ง คุณประวิตรมาตั้งแต่สมัยเป็นเสนาธิการทหารบก จนมาเป็น ผบ.ทบ. ที่นี่จะเป็นเสียงร่ำลือ อย่างที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าไว้ ใครอยากเป็น ผบ.ทบ. ต้องมาทอดกฐินที่นี่ ประมาณเหมือนอย่างนั้นเลยแหละ ถ้าทอดปุ๊บกลับไปได้เป็น ผบ.ทบ. อะไรประมาณนั้น เหมือนจะเป็นความเชื่อหรือแม้กระทั่งพลเอก สมทัต อัตตะนันทน์ และคนก่อนหน้านั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นได้อย่างไร แต่ พลเอก อุดมเดช ไม่เคยมาเพราะเขาไม่รู้ ก็ไม่ต้องมาหรอก ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองก็พอ และคิดว่า คสช. คงไม่สืบทอดอำนาจ เพราะเขาต้องการให้บ้านเมืองมีทิศทางที่ชัดเจน เมื่อชัดเจนแล้วเขาก็คงวางมือ รามือ และก็เลิก”
เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่เฉลยคำตอบว่า ทำไมคนที่อยู่ในสังกัดของป้อมคอนเนกชันถึงได้เข้ามามีตำแหน่งแห่งหนเป็นจำนวนมาก ทั้งรัฐบาล สนช.สปช.รวมทั้งหน่วยราชการ ทหาร ตำรวจและรัฐวิสาหกิจต่างๆ
เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่เฉลยคำตอบว่า ทำไมถึงมีคำกล่าวของสังคมในทำนองล้อเลียนกันสนุกปากว่า “ประวิตรคิด ประยุทธ์ทำ”
สำหรับประเด็นเรื่องความขัดแย้งกับภาคประชาชนในเรื่องการปฏิรูปพลังงาน บทสัมภาษณ์ของหลวงปู่พุทธะอิสระบ่งบอกและตอกย้ำให้เห็น
เช่นกันว่า การที่หลวงปู่พุทธะอิสระมีทัศนคติเชิงลบต่อการต่อสู้ของเครือข่ายภาคประชาชนด้านพลังงานเป็นเพราะเหตุผลอะไร
หลวงปู่ตั้งคำถามถึง มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน
หลวงปู่ตั้งคำถามถึง “รสนา โตสิกระกูล “อดีตสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)
หลวงปู่ตั้งคำถามถึง “อิฐบูรณ์ อ้นวงษา” หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
แต่สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง นอกจากหลวงปู่จะไม่ตั้งคำถามถึงแล้ว ยังปกป้องอย่างออกนอกหน้า โดยไม่เคยย้อนหลังกลับไปดูสิ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้เคยทำในอดีตเลยแม้แต่น้อย
“อยากถามว่าฝ่ายคุณสู้มากี่ปีแล้ว ให้คำตอบอะไรกับบ้านเมืองบ้าง คุณสามารถเอาคนที่บอกว่าโกงบ้านโกงเมืองติดคุกได้หรือยัง ทำกันมาเป็นสิบปีแล้วแต่ละคน แล้วอะไรคือคำตอบพลังงานของชาติ บ้านเมืองนี้ต้องรอให้คุณมาสร้างวิวาทะ แล้วจะเดินหน้าไปได้หรือ ฉันคิดไม่เหมือนเขา เลยบอกไม่เอา เลิกคบ”
หลวงปู่พุทธะอิสระคงจะลืมไปว่า มิใช่ภาคประชาชนหรอกหรือที่ฟ้องร้อง ปตท.และสามารถทวงคืนท่อก๊าซซึ่งเป็นสมบัติของชาติที่ ปตท.นำไปใช้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวกลับมาเป็นของประชาชนได้
หลวงปู่พุทธะอิสระคงจะลืมไปว่า มิใช่ภาคประชานหรอกหรือที่ฟ้องร้องกระทั่งทำให้ไม่สามารถแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้สำเร็จ
ยิ่งกับ “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์”ประธานกรรมการ บมจ.ปตท.ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัด
“ไอ้ประโยชน์ที่จะได้ข้างหน้าไปไป มั่วแต่ย่ำอยู่กับที่ในความผิดของ นาย ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์”
“ฉันไม่สนใจหรอก ได้ประกาศไปแล้วว่า หากคุณคิดว่า วิธีที่คุณสู้เรื่องนี้มาสิบปีแล้วจะเอาคนผิดมาลงโทษ แล้วจ้องจะเป็นฮีโรบนซากศพคนอื่น แล้วคิดว่าชาติบ้านเมืองจะได้ประโยชน์ คุณก็สู้ของคุณไป”
“ภาคประชาชนที่สู้กันมาเป็นสิบปี ไม่มีใครเครดิตอะไรให้เขาเชื่อแล้ว ก็เพราะตัวเองชวนทะเลาะตลอด ย่ำอยู่กับที่ตลอด ฉันถึงเขียนในเฟซบุ๊กว่า นักสู้ พลังงานมีใครบ้างที่มีปฏิสัมพันธ์อันดีกับ คสช.และทหาร ถ้าไม่ใช่ฉัน ทำไมคุณไม่ใช้ฉันทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ทำไมมาใช้ฉันไปรบกับศัตรู แล้วทำให้ศัตรูมันด่าวดิ้นสิ้นใจตาย นี่คือวิธีคิดของพวกคุณหรือ”
คำตอบของหลวงปู่พุทธะอิสระในเรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะจิ๊กซอว์แห่งอำนาจระหว่าง “บิ๊กป้อม บิ๊กตู่ หลวงปู่และลุงกำนัน” เป็นคำตอบที่ทำให้สามารถยังเชื่อมโยงไปถึงบางอ้อว่า ทำไมบนเวที กปปส.ถึงห้ามพูดถึงเรื่องการปฏิรูปพลังงาน
ทำไม “นายดุสิต เครืองาม” น้องชายของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับโซลาร์เซลล์ถึงได้คัดเลือกเข้ามาเป็น สปช.สายพลังงาน แล้วบังเอิญไปสอดคล้องกับแนวทางในการปฏิรูปพลังงานของหลวงปู่ที่มุ่งเน้นไปที่พลังงานทางเลือก
และที่สำคัญคือทำไมนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ที่ปรากฏตัวบนเวทีของ กปปส.หลายครั้งหลายคราจึงได้รับการแต่งตั้งให้เข้าไปเป็นประธานกรรมการ บมจ.ปตท. และทำไมหลวงปู่พุทธะอิสระถึงให้การสนับสนุนนายปิยสวัสดิ์ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู
เพราะพวกเขาคือคนกลุ่มเดียวกัน!!!
บิ๊กป้อม....บิ๊กตู่....หลวงปู่.....และลุงกำนัน
หลวงปู่คิดอย่างไร ลูกศิษย์ก็คิดอย่างนั้น
และแน่นอนใครก็ตามที่คิดและแสดงออกในทิศทางที่ไม่เห็นด้วยก็จะถูกหาว่าเป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เป็นพวกเสี้ยมให้ประชาชนแตกกับทหาร เข้าทางทักษิณและเสื้อแดง หรือเป็นพวกที่คิดแต่จะเอาชนะคะคานบนซากศพของศัตรูทันทีโดยมีมวลชนชาวนกหวีดผู้ภักดีทำหน้าที่เดินหน้าท้าชนในทุกรูปแบบ
ถามว่า แล้วประเทศชาติและประชาชนได้อะไร การปฏิรูปจะสำเร็จหรือไม่
ตอบว่า ไม่รู้ เพราะกาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์