xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กำนันรัน มโนมัน สนั่นแปซิฟิกคลับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -พูดเลยว่า “ไม่น่าแปลกใจ” แม้แต่น้อยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ “ลุงกำนัน-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ระหว่างงานเลี้ยงพบปะแฟนพันธุ์แท้ กปปส. ภายใต้ชื่อ “รับประทานอาหารเย็นกับกำนันสุเทพ” ณ แปซิฟิกคลับ ย่านสุขุมวิท

เพราะถ้าหากติดตามและไล่เรียงพฤติกรรมของนายสุเทพมาตั้งแต่ต้นก็จะสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยากนัก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายสุเทพทำให้เห็นว่า เขากับทหาร ซึ่งก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีความสัมพันธ์ในระดับที่ไม่ธรรมดา

แน่นอน คงไม่ต้องแสวงหาคำตอบหรือ “ซึ่งต้องพิสูจน์” ว่า สิ่งที่นายสุเทพพูดที่แปซิฟิกคลับเป็นเรื่องจริงหรือไม่

กระนั้นก็คือ คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า ทำไมนายสุเทพต้องพูด ทำไมนายสุเทพถึงเลือกที่จะพูดในช่วงเวลานี้ เพราะการตัดสินใจพูดย่อมหมายความชัดเจนว่า “ระดับความสัมพันธ์” ระหว่างนายสุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์และคสช.อยู่ในสถานการณ์ที่สามารถใช้คำว่า “ไม่ดีนัก”

ย้อนหลังกลับไปก่อนจะเกิดปรากฏการณ์ “แปซิฟิกคลับ” มีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่ต้องบันทึกไว้ และเชื่อว่าสังคมจะจำได้ดี

วันที่ 3 เมษายน 2557

นายสุเทพกล่าวบนเวทีปราศรัย กปปส.ที่สวนลุมพินีว่า “ผมยืนยันจากประสบการณ์ที่เคยทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์เมื่อปี 21-53 ได้ว่า เหล่าทัพจำเป็นต้องวางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ผมเห็นใจกองทัพที่ต้องยืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างมวลมหาประชาชนกับฝ่ายรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง….ผมเชื่อว่า ทหารเป็นมิตรกับประชาชนและยืนข้างเรา ถ้าผมคิดผิด ผมรับผิดชอบเอง ผมการันตีพี่น้องทั้งประเทศ คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์และแม่ทัพนายกองส่วนใหญ่ยืนอยู่ข้างแผ่นดิน ยืนอยู่ข้างประชาชน””

วันที่ 20 พฤษภาคม 2557

นายสุเทพกล่าวบนเวทีปราศรัย กปปส.เอาไว้ว่า “ผมดูทีวี นักข่าวถามว่า ประกาศอัยการศึกบอกรัฐบาลหรือยัง เห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบว่า รัฐบาลอยู่ไหนล่ะ ขอโทษเถอะตั้งแต่คบกันมาพูดได้สะใจก็วันนี้ ผมนึกในใจหากสู้ไม่ชนะจะเดินไปมอบตัวต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่รู้จักกัน ผมรู้สึกรัก พล.อ.ประยุทธ์เพิ่มกว่าเดิม 100 เท่า และขออนุญาตบอกรัก พล.อ.ประยุทธ์”

วันที่ 29 พฤษภาคม 2557

นายสุเทพและเหล่าแกนนำ กปปส.สร้างความฮือฮาอีกครั้งหลังทหารทำรัฐประหารด้วยการพร้อมใจกันใส่ “ชุดเขียวลายพรางทหาร” ไปร่วมงาน “ปาร์ตี้” ฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 48 ปีของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แกนนำ กปปส.ที่ร้านอาหารฝรั่งเศส 4 Garcons ซอยทองหล่อ 13 กทม.แถมบนเสื้อของ “คู่จิ้นแห่ง กปปส.” ยังสุดแซ่บ โดยเสื้อของน้องตั๊น-จิตภัสร กฤดากร สกรีนคำว่า “บูรพาพยัคฆ์” ไว้ที่ด้านหลัง ส่วนหนุ่มขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สกรีนคำว่า “ชัยชนะ” เอาไว้ข้างหน้า

วันที่ 30 พฤษภาคม 2557

หรือหลังจากปาร์ตี้ลายพรางวันเดียว เสธ.ต๊อด-พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกของ คสช.ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เนื่องจากช่วงนี้เริ่มมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้สวมชุดแต่งกายคล้ายทหารไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่บางครั้งอาจดูไม่เหมาะสม ทำให้สังคมเข้าใจผิด ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรทหาร จึงขอความร่วมมือทุกท่านในช่วงขณะนี้งดแต่งกายลอกเลียนทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบหญิงหรือชาย หรือตามแบบแฟชั่น เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมิสมควร”

วันที่ 16 มิถุนายน 2557

นายสุเทพได้แสดงความคิดเห็นถึงจุดยืนและทิศทางการเคลื่อนไหวของตนเองเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “หลังจากที่มี คสช. กลุ่ม กปปส.ก็ได้หยุดความเคลื่อนไหวเพื่อให้ คสช.ดำเนินการต่างๆ ได้โดยสะดวก ช่วงนี้ผมไม่ได้พูดเรื่องการเมืองเลย หลังจากนี้อีกไม่นาน คงมีธรรมนูญการปกครองชั่วคราวที่ คสช.จะร่างขึ้นมาทูลเกล้าฯ ก็จะได้รู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร โดยผมเข้าใจว่าธรรมนูญการปกครองชั่วคราวจะพูดถึงที่มาและองค์ประกอบของรัฐบาล สภาการปฏิรูปประเทศและสภานิติบัญญัติจะมีหน้าที่อย่างไร”

ทั้ง 5 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย เพราะมีความชัดเจนและอธิบายความระหว่างบรรทัดจากเหตุการณ์แรกจนถึงเหตุการณ์สุดท้ายได้ในตัวเองอยู่แล้ว โดยเฉพาะคำพูดของนายสุเทพเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557 ที่เป็นบทสรุปในเบื้องต้นว่า “ลุงกำนันไม่ได้ทิ้ง แต่ชิ่งแระ?” เนื่องจากลุงกำนันได้แสดงให้เห็นว่า ภารกิจของ กปปส.ได้ถูกส่งต่อไปให้ คสช.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดจะไม่มีวันเชื่อมต่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมือนหนึ่งนวนิยายขนาดยาวอิงประวัติศาสตร์ได้เลย ถ้าหากไม่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา ณ แปซิฟิกคลับ เพราะแต่ละคำพูดของนายสุเทพได้เฉลยคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้เสร็จสรรพในตัวเอง

แน่นอน เหตุการณ์นี้ต้องไขปริศนากันทีละประเด็น

23 มิถุนายน 2557 หนังสือพิมพ์และเว็บไซต์บางกอกโพสต์ ได้นำเสนอข่าวเรื่อง “สุเทพคุยลับกับประยุทธ์ตั้งแต่ปี 2553 เป้าหมายคือระบอบทักษิณ (Suthep in talks with Prayuth ‘since 2010’ Thaksin regime target in secret talks)”

โปรดฟังอีกครั้ง....เรื่องนี้ถูกเปิดเผยโดยเครือบางกอกโพสต์

ทั้งนี้ เนื้อหาของรายงานข่าวชิ้นดังกล่าวระบุว่า ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อระดมทุนของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ที่แปซิฟิกคลับย่านสุขุมวิท เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ได้กล่าวยอมรับภายในงานว่าตนพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกี่ยวกับปัญหาของระบอบทักษิณ ตั้งแต่ปี 2553

“นายสุเทพเปิดปากพูดระหว่างงานเลี้ยงอาหารเย็นเพื่อระดมทุนเมื่อคืนวันเสาร์ ที่แปซิฟิกคลับ ในกรุงเทพฯ โดยเขาระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์มีส่วนในการวางแผนเพื่อล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมถึงช่วงก่อนหน้าที่เกิดเหตุนำไปสู่การรัฐประหาร ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วย” บางกอกโพสต์ระบุ

นอกจากนี้ นายสุเทพยังอ้างด้วยว่า มีการติดต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์และทีมงานอย่างสม่ำเสมอผ่านทางช่องทางแอปพลิเคชันไลน์ ทั้งนี้ ก่อนการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ได้แจ้งกับตนเองว่า “คุณสุเทพ คุณกับมวลมหาประชาชน กปปส.เหนื่อยมามากแล้ว จากนี้เป็นภารกิจของกองทัพเอง”

ขณะเดียวกัน ในงานดังกล่าวนายสุเทพยังเปิดเผยกับผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยว่า กปปส.ใช้เงินในการเคลื่อนไหวล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และขับไล่ระบอบทักษิณไปประมาณ 1,400 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ เงิน 400 ล้านบาทมาจากครอบครัวและตัวแกนนำ กปปส. ส่วนอีก 1 พันล้านบาทมาจากเงินสนับสนุนและเงินบริจาค

เรื่องนี้ ต้องขยายความใน 2 ประเด็นด้วยกัน

ประเด็นแรกคือ ทำไมนายสุเทพถึงได้เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ประเด็นที่สองคือ ทำไมนายสุเทพถึงได้ระบุถึงตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และขับไล่ระบอบทักษิณ

กล่าวสำหรับประเด็นแรกนั้น มีความเชื่อมโยงกับคำพูดของนายสุเทพมื่อ วันที่ 16 มิถุนายน 2557 ว่า “หลังจากที่มี คสช. กลุ่ม กปปส.ก็ได้หยุดความเคลื่อนไหวเพื่อให้ คสช.ดำเนินการต่างๆ ได้โดยสะดวก”

เพราะในวันนั้น นายสุเทพได้ทำให้สังคมเข้าใจโดยทั่วกันว่า กปปส.ไม่มีกิจกรรมอันใดอีกต่อไปแล้ว และส่งมอบภารกิจของ กปปส.ให้กับ คสช.ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาเป็นกระบุงโกย และคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ แล้วสิ่งที่นายสุเทพนำมวลมหาประชาชนในนาม กปปส.ต่อสู้มายาวนานกว่า 7 เดือนนั้น ทำเพื่ออะไร

การต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณจบสิ้นลงแล้วหรือ

การปฏิรูปประเทศไทยที่เป็นความต้องการของมวลมหาประชาชนสำเร็จผลแล้วหรือ

แล้วทำไม นายสุเทพถึงไม่เดินหน้าตรวจสอบการทำงานของ คสช.ว่าเป็นไปตามที่มวลมหาประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับประเทศไทย

ดังนั้น ในงานเลี้ยงระดมทุนที่แปซิฟิกคลับ นายสุเทพจึงต้องตอกย้ำภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ พล.อ.ประยุทธ์ให้บรรดา “พ่อยกและแม่ยก” ได้เห็นและเข้าใจ

ประหนึ่งว่า “ถ้าไม่มีลุงกำนันก็ไม่มี คสช.” อย่างไรอย่างนั้น หรืออาจใช้คำว่า “เคลมผลงาน” เพื่อเรียกคะแนนจากแฟนคลับลุงกำนัน โดยร่ายยาวมาตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะต้องไม่ลืมว่าในช่วงนั้นเป็นช่วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ซึ่งขณะนั้นมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่คนรองของ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้บัญชาการทหารบก ขณะที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก การพูดคุยกันจึงเป็นเรื่องธรรมดา

แน่นอน เรื่องนี้ย่อมไม่เป็นที่พอใจของ พล.อ.ประยุทธ์และคสช.เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยเกิดมาแล้วครั้งหนึ่งกับปาร์ตี้ลายพราง เพราะนั่นเท่ากับเป็นการมัดมือชก พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.ให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ใช่

ด้วยเหตุดังกล่าว ในวันถัดมาหลังปรากฏข่าว พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษก ทบ. และทีมโฆษก คสช.จึงได้รับคำสั่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ ให้ชี้แจง เป็นการคลาดเคลื่อนไป โดย พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าไม่เคยมีการพูดคุยหรือสื่อสารเป็นการส่วนตัว หรือส่งข่าวใดๆ กับ นายสุเทพ ทั้งสิ้น

“ท่านบอกว่า มีเพียงได้รับมอบจากรัฐบาล ในขณะนั้น ให้ดำเนินการในฐานะหน่วยงานความมั่นคง เพื่อสื่อสารแจ้งกับทุกกลุ่มฯ ให้หาทางเจรจากัน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จบรรลุผล

“รวมทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ให้แจ้งเตือนทุกกลุ่มหลีกเลี่ยงการทำผิดกฎหมาย และระมัดระวังให้ประชาชนได้มีความปลอดภัยเท่านั้น ซึ่งในขณะนั้นกองทัพคงไม่สามารถทำในลักษณะดังกล่าวได้ เพราะเป็นด้วยงานความมั่นคง ต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย และดำเนินการทุกอย่างไปตามกระบวนการที่เหมาะสมของภาครัฐ”พ.อ.วินธัยตอบโต้นายสุเทพ

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นพวกเดียวกับนายสุเทพ ซึ่งถ้าหากย้อนกลับไปติดตามและตรวจสอบคำให้สัมภาษณ์ก็จะเห็นความจริงที่ชัดเจน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์บอกมาโดยตลอดว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมืองและ “ผ่าทางตัน” เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินหน้าต่อไปได้ มิใช่รัฐประหารเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ

สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของ พลโทฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข รองเสนาธิการทหารบก ที่ให้สัมภาษณ์ “โจนาธาน เฮด” ผู้สื่อข่าวบีบีซี เอาไว้ว่า “เมื่อเราได้เข้าสู่เฟสสุดท้าย พร้อมกับมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ กระบวนการปฏิรูปจะเสร็จสมบูรณ์ ใครก็ตามที่เป็นพลเมืองไทยและมีคุณสมบัติครบถ้วนสามารถเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร คุณจะได้เห็นถึงวิธีการจัดการของทางคสช. เราไม่ได้ตามไล่ล่าทักษิณอย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้ ทักษิณมีอิสระที่จะทำสิ่งใดก็ได้ เราต้องการเห็นเขาเดินทางกลับประเทศ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และหากทักษิณมั่นใจว่าบริสุทธิ์จริง เขาสามารถกลับเข้าสู่แวดวงการเมืองหลังจากหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาคอรัปชันแล้ว”

นั่นแสดงว่า นายสุเทพกำลังพูดเองเออเอง และเคลมผลงานเป็นของตนเองเช่นนั้นหรือ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่นายสุเทพประกาศยุติบทบาทของ กปปส.จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และนับจากวันที่ พ.อ.วินธัยออกมาปฏิเสธ นายสุเทพในฐานะเลขาธิการ กปปส.จะต้องเคลื่อนไหวใหญ่ทันที

ใช่หรือไม่ มวลมหาประชาชน กปปส.

คำปฏิเสธของ พล.อ.ประยุทธ์ชี้ให้เห็นว่า นายสุเทพกำลัง “มโน” ไปเอง แล้วใช้การมโนของตัวเองไปครอบหรือทำให้มวลมหาประชาชนเกิดความเข้าใจผิดเพื่อหาทางลงให้กับตัวเอง และโยนเผือกร้อนไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งๆ ที่นี่ไม่ใช่หน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์เลยแม้แต่น้อย

การกวาดล้างจับกุมอาวุธสงครามคือเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ใช่การถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ

การเปลี่ยนแปลงบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ หรือการแต่งตั้งโยกย้ายต่างๆ ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเสมอๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และนั่นก็ไม่ใช่การถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณอีกเช่นกัน

แต่นายสุเทพกำลังทำให้ประชาชนเชื่อเช่นนั้น

ขณะที่ประเด็นที่สองคือ ทำไมนายสุเทพถึงได้ระบุถึงตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์และขับไล่ระบอบทักษิณ เรื่องนี้เห็นทีจะต้องหยิบยืมบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 25 มิถุนายน 2557

บทวิเคราะห์หน้า 3 ซึ่งใช้ชื่อ “ปล่อยใบเสร็จทวง?” เขียนเอาไว้ว่า “การขยับของนายสุเทพเป็นปฏิกิริยาภายหลังกระแสวงในหนาหูเลยว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เปิดให้ทีมงาน “ลุงกำนัน” ได้เข้าร่วมในการจัดสรรอำนาจการบริหารภายหลังยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แม้จะมีการดีลผ่าน “ทีมงานพี่ใหญ่” ที่มีความสนิทสนมกันมาตั้งแต่การพลิกขั้วจัดรัฐบาลในค่ายทหาร ส่งโพย ส่งข้อความผ่านไป แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงหัวหน้า คสช.อยู่ดี ตามเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” พยายามประคองน้ำหนัก รักษาความเป็นกลาง ก็อย่างฉากที่แสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติแบบไม่เลือกข้าง ตั้งแต่วันประกาศยึดอำนาจการปกครอง พร้อมล็อกตัวแกนนำทั้งสองขั้วแม้แต่ตัว “กำนันเทพ” ก็โดนหิ้วไปนอนอยู่ในค่ายทหาร”

“ที่สำคัญมีการยืนยันจากทีมงานโฆษก คสช.ด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ซีเรียสมากกับประเด็นข่าวของนายสุเทพ เพราะบรรยากาศกำลังดีอยู่แท้ๆ เอาเป็นว่า จากเหตุการณ์ที่ “ลุงกำนัน” ปล่อยของครั้งนี้ ช็อตต่อไปหนีไม่พ้นโดนจับตา ถ้ามีการจัดให้เครือข่าย กปปส.เข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือแม้แต่โควตาสภาปฏิรูปย่อมถูกตีความได้ เป็นการชดเชยค่าใช้จ่ายตามใบเสร็จ”

เอ...หรือว่า ว่าที่ประธานบอร์ด ปตท.คนใหม่ก็เป็นหนึ่งในใบเสร็จที่เป็นเสียงตอบรับซึ่งมาจากแปซิฟิกคลับ

อุ๊ต๊ะ....อย่าตกใจ

เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สังคมไทยและมวลมหาประชาชนต้องไม่ลืมว่าลุงกำนันคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “นักการเมือง” แม้จะประกาศปากเปียกปากแฉะว่า จะเลิกเล่นการเมืองแล้วก็ตาม


ล้อมกรอบ//

แปซิฟิกคลับ คลับหรูของ “ครอบครัวลุงกำนัน”

นอกเหนือจากประเด็นที่ต้องถอดความระหว่างบรรทัดจากกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณในการชี้แจงแถลงไขกับบรรดาพ่อยกแม่ยกที่ “แปซิฟิกคลับ” แล้ว เชื่อว่าสิ่งที่หลายคนอยากรู้ก็คือ “แปซิฟิกคลับ” ที่ใช้จัดงาน “รับประทานอาหารเย็นกับลุงกำนัน” อยู่ที่ไหน และเป็นของใคร

แปซิฟิก คลับ หรือ แปซิฟิก ซิตี้ คลับ เป็นคลับระดับวีไอพี ที่อนุญาตให้เฉพาะสมาชิกเข้าใช้บริการ ตั้งอยู่ที่ชั้น 28-30 อาคารทู แปซิฟิก เพลส เลขที่ 142 ถนนสุขุมวิท ใกล้กับสถานีบีทีเอส นานา และโรงแรมแลนด์มาร์ก

ทั้งนี้ คลับชั้นสูงดังกล่าว ครอบครัวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ซื้อมาบริหารในช่วงปี 2555 ด้วยเงินประมาณ 60 ล้านบาท โดยจดทะเบียนในชื่อ บริษัท แปซิฟิค เอ็กซ์คลูซิฟ ซิตี้ คลับ จำกัด จดทะเบียน ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2555 ด้วยเงินทุน 60 ล้านบาท จากนั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 จึงเพิ่มทุนเป็น 70 ล้านบาท โดยมีที่ตั้ง ณ เลขที่ 142 อาคารทูแปซิฟิคเพลส ชั้น 11,12,28,29,30 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 27 กันยายน 2556 ประกอบไปด้วย น.ส.น้ำทิพย์ เทือกสุบรรณ (บุตรสาวนายสุเทพ) ถือหุ้นใหญ่ 255,000 หุ้น (36.42%) นายแทน เทือกสุบรรณ 120,000 หุ้น (17.14 % ) นางสาวแขแสง เทือกสุบรรณ 70,000 หุ้น (10%) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ ถือคนละ 5%

ทั้งนี้ โดยมีนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง นายสมศักดิ์ วงศ์ยืน น.ส.อัญชลี จิวะไพบูลย์ศักดิ์ นายสุเมธ แผลงประพันธ์ น.ส.น้ำทิพย์ เทือกสุบรรณ เป็น กรรมการ แจ้งผลประกอบการ ปี 2555 รายได้ 3,434,223 บาท ขาดทุนสุทธิ 3,738,247 บาท

สำหรับงานเลี้ยงในวันดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องอาหารฝรั่งซึ่งบริเวณชั้น 29 ของแปซิฟิก ซิตี้ คลับ ซึ่งจุคนได้ประมาณ 100 คน โดยในวันงานนายสุเทพ สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้า สกรีนลายการ์ตูนลุงจ่อย ฝีมือชัย ราชวัตร กับกางเกงแสลคสีดำ มาต้อนรับแขก ทั้งๆ ที่แขนขวายังต้องใส่เฝือกเพื่อฟื้นฟูร่างกายจากการผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาอักเสบ ขณะเดียวกันก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม และกลุ่มผู้สนับสนุน กปปส. เข้าร่วมงานดังกล่าวเป็นจำนวนมาก



นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่แปซิฟิกคลับ
บัตรเชิญร่วมงาน
บรรยากาศในงาน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณขณะกำลังพูดคุยกับแฟนคลับ กปปส.
หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับที่นำเรื่องมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
บรรยากาศแห่งความหรูหราในแปซิฟิกคลับ

กำลังโหลดความคิดเห็น