xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“สนช.-สปช.” กับ “3 คลื่นยักษ์” ที่กำลังก่อตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.นพดล อินทปัญญา
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไฟสปอร์ตไลต์จับไปที่กลุ่มสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทันที เพราะมีการเคลื่อนไหวสำคัญที่น่าจับตามองด้วยกันอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งกลายเป็นคลื่น 3 ลูก ที่กำลังก่อตัวและสั่นสะเทือนไปถึงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เริ่มกันที่คลื่นลูกที่ 1 บิ๊กกี่-พล.อ.นพดล อินทปัญญา ที่ปรึกษาคสช. เพื่อนรักของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ บิ๊กป้อม-ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้นำทัพ 28 สนช.ฟ้องร้องศาลปกครองต่อกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน โดยระบุว่าไม่มีหน้าที่ต้องยื่น เพราะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

คลื่นลูกที่ 2 นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช.โยนคดีกรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กลับไปยัง ป.ป.ช. โดยให้เหตุผลว่า เพราะสำนวนเก่าอ้างตามรัฐธรรมนูญฯ (รธน.) ปี 2550 แต่ปัจจุบันไม่มีการบังคับใช้รธน.ดังกล่าวแล้ว

พ่วงด้วยคลื่นลูกที่ 3 กรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง สนช. และการคัดเลือก สปช. จากคอนเนกชั่นวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 50 และ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 20

กรณีของ “บิ๊กกี่” นั้นกลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อเพื่อนรักของ “บิ๊กป้อม” คนนี้ นำทัพ สนช. 28 คน ฟ้อง ป.ป.ช. ประเด็นให้เพิกถอนมติเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินโดยมิชอบ โดยระบุว่าทำให้เกิดความเดือดร้อน อีกทั้งไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงไม่ใช่หน้าที่ที่จะไปเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินแก่สาธารณะชน เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2557 หลังจากก่อนหน้านี้ ที่ประชุม ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 14 ส.ค.57 มีมติว่า รธน. 2557 มาตรา 6 วรรคสอง บัญญัติให้ สนช. ทำหน้าที่ ส.ส. และส.ว. แสดงว่า สนช.เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำหน้าที่เช่นเดียวกับ ส.ส.และส.ว. จึงต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

กรณีดังกล่าวนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่า “บิ๊กกี่” จะอธิบายอย่างไร สังคมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไม 28 สนช.ถึงไม่ปรารถนาที่จะทำตามกฎและกติกาที่วางเอาไว้

ที่สำคัญคือสั่นสะเทือนไปถึงภาพลักษณ์ของ คสช.ผู้คัดเลือกสนช.ทั้ง 28 คน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะการทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งในการบริหารประเทศชาติ แต่ไม่ยอมถูกตรวจสอบทรัพย์สินฯนั้น ทำให้ คสช. ถูกตั้งคำถามในด้านความไว้วางใจอย่างหนักหน่วง

โดยเฉพาะพล.อ.นพดล และสนช.ทั้ง 28 คน ล้วนแล้วแต่เป็นคนใกล้ตัวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเตรียมทหารรุ่น12 เพื่อนร่วมรุ่นกับพล.อ.ประยุทธ์ อย่าง พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.อ.ยุวนัฎ สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก หรือ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ อดีตผบ.หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก

ขณะเดียวกัน ยังมีเตรียมทหารรุ่น 6 ร่วมรุ่นกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อาทิ พล.อ.นพดล ที่ปรึกษาคสช. ซึ่งเป็นคนนำทัพสนช.ทั้ง 28 คน ฟ้องร้อง ป.ป.ช. ต่อศาลปกครอง พล.อ.จิรพงศ์ วรรณรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษากองทัพบก พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ อดีตเสนาธิการทหารบก พล.อ.เลิศฤทธิ์ เวชสวรรค์ อดีต ส.ว.สรรหา เป็นต้น

กระทั่งล่าสุด วันที่ 30 ก.ย. 2557 ความหวังของ พล.อ.นพดล และพวก ก็ต้องพังทลายลง เมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งไม่รับฟ้อง และอธิบายเหตุผลชนิดที่ต้องบอกว่าเงยหน้าก็อายฟ้า ก้มหน้าก็อายดินกันเลยทีเดียว

“ผู้เอาภาระของบ้านเมืองเป็นภาระของตน ไม่ว่าจะโดยสมัครใจเข้าสมัครรับเลือกตั้ง หรือสมัครใจตามที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในการตรากฎหมายอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน และการสรรหาบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามารับใช้บ้านเมืองในตำแหน่งต่างๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติและอื่นๆ มีหน้าที่ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ เปิดเผยความจริง ว่าก่อนตนเข้ามาดำรงตำแหน่งมีทรัพย์สินใดบ้าง รวมทั้งภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพื่อให้สังคมรับรู้รับทราบถึงความโปร่งใสของผู้เข้ามารับภาระของบ้านเมืองว่าไม่ได้เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ แก่ตนเองและครอบครัว”

ภายหลังศาลมีคำวินิจฉัย พล.อ.นพดลให้ภาษณ์เอาไว้ว่า “น้อมรับในคำวินิจฉัยของศาล และส่วนตัวแม้จะเป็นผู้ยื่นฟ้อง ก็ได้ปฏิบัติตามมติ ป.ป.ช. ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไปแล้ว ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด และการยื่นฟ้องครั้งนี้ เพื่อเป็นการตรวจสอบให้ชัดเจน ว่า ป.ป.ช. มีอำนาจริงหรือไม่เท่านั้น”

คลื่นลูกที่ 2
“พรเพชร” โยนปมถอดถอนกลับป.ป.ช.

คลื่นลูกที่ 2 กับการเคลื่อนไหวสำคัญของสนช.ต่อกรณีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ได้ส่งรายงานกรณีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กลับไปยัง ป.ป.ช. กรณีถอดถอนนายนิคม ไวรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแน่นอนว่าได้เกิดแรงกระเพื่อมภายในสนช.เนื่องจากมีทั้งผู้ที่เห็นว่าสามารถถอดถอนได้และไม่ได้

งานนี้ นายนิคม เตรียมโร่ฟ้องศาลยุติธรรม เพื่อให้ศาลพิจารณาในประเด็นการยกร่างข้อบังคับ สนช. พ.ศ. 2557 ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.ที่จะดำเนินการถอดถอน ว่ามีพฤติกรรมที่ไม่ชอบ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากนายพรเพชร ได้ให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสนช. ทำหนังสือส่งคืนสำนวนไปยังป.ป.ช.ซึ่งเป็นรายงานที่ ป.ป.ช.ได้เคยส่งมายังวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ 2550 ก่อนรัฐประหาร เนื่องจากนายพรเพชรต้องการให้ ป.ป.ช. พิจารณาในส่วนข้อกฎหมายใหม่ โดยให้เหตุผลว่า เพราะสำนวนเก่าอ้างตามรัฐธรรมนูญ 2550 แต่ปัจจุบันไม่มีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญดังกล่าวแล้ว ส่วน ป.ป.ช.จะอ้างกฎหมายใดก็เป็นเรื่องของป.ป.ช.ที่ต้องพิจารณาให้ครบถ้วน

ล่าสุด วันที่ 30 ก.ย. 2557 ภายหลังจาก สนช. ได้ส่งรายงานและสำนวนการสอบสวนกลับคืนไปยังป.ป.ช.ให้พิจารณาขอบเขตอำนาจสามารถกระทำการถอดถอนได้หรือไม่นั้น นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช. แถลงภายหลังการประชุม ว่าสามารถกระทำการถอดถอนได้ โดยยึดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 ซึ่งสนช.ต้องทำหน้าที่เช่นเดียวกับ ส.ส. ส.ว.

การเคลื่อนไหวกรณียื่นถอดถอนที่ สนช. ติดข้อสงสัยด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ว่ามีอำนาจถอดถอนได้หรือไม่ โดยเฉพาะการถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตจำนำข้าว ที่นายจารุรงต์ ฉายแสง จากพรรคเพื่อไทย ออกตัวแรงว่า สนช.ไม่มีอำนาจถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ถูกยกเลิกไปแล้ว

นายพีระศักดิ์ พอจิต รอง สนช. บอกว่า ต้องตั้งทีมกฏหมายขึ้นมาดูอีกครั้ง ถ้ามีปัญหาต้องนำเข้าที่ประชุมสนช. โดยใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 5 ที่บัญญัติว่า กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยกรณีใดตามความเกิดขึ้นในวงงานสนช. ให้สนช. เป็นผู้วินิจฉัยขาด

“ยืนยันว่าไม่มีใบสั่งอะไร หากเขามีความผิดและอำนาจหน้าที่ของสนช.ทำได้ก็ต้องทำ”

ที่สำคัญคือ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังถูกตั้งข้อสงสัยที่เชื่อมโยงไปถึงเรื่องการปรองดองกับระบอบทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คลื่นลูกที่ 3
วปอ.-ปรอ. คอนเน็กชั่นตั้งสนช. ล็อกสปช.

คลื่นลูกที่ 3 หนักหน่วงไม่แพ้กัน ต่อเสียงร่ำลือที่ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งคนใน สนช.โดยมีความเกี่ยวโยงกับเพื่อนร่วมรุ่น และ สปช. ก็ล็อกเปกมาจากคอนเน็กชั่นดังกล่าว ซึ่งมาจากการเรียนในวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่น 50 จำนวน 107 คน วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรหลักสูตรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่น 20 อีก 107 คน

ทั้งนี้ ข้าราชการหลายคนที่จบมาจากวปอ.-ปรอ. ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกระทรวงต่างๆ อาทิ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี, น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์, นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รักษาการตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร ประธานบอร์ดกองสลากฯ เป็นต้น

ข่าวการล็อกสเปค สปช. ที่อุ้มเพื่อนวปอ.-ปรอ. ทำให้นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ อดีต ส.ว.ยโสธร ออกมาโวยระบบคัดเลือกสปช.ระดับจังหวัดไม่มีความเป็นธรรม ยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้ชะลอการประกาศรายชื่อ สปช.ในจังหวัดที่ไม่มีความโปร่งใส

“ส่วนตัวเชื่อว่ามีการล็อกสเปกจริง เพราะหลายคนรู้ตัวล่วงหน้าว่าได้เป็นสปช. และเลี้ยงฉลองล่วงหน้าไปแล้ว เชื่อว่าผู้ได้รับการคัดเลือกส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เรียนอยู่ในหลักสูตร วปอ. ปปร. พตส. ทำให้มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนในกองทัพที่มาเรียนหลักสูตรดังกล่าวเช่นกัน” นายยุทธนา แจกแจง

ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดถึงกรณีวปอ.-ปรอ.คอนเน็กชั่นว่ากฏหมายข้อไหนห้ามคนในหลักสูตรนี้เข้ามาในสปช. “แล้วทำไมนักศึกวปอ.เป็นไม่ได้เหรอ เขาเขียนไว้ในคุณสมบัติข้อไหนว่าเป็น วปอ. เป็นหลักสูตรอะไรแล้วเป็นสปช.ไม่ได้มีไหม ไปอ่านกฎหมายดู"

และทั้ง 3 เหตุการณ์ก็ล้วนแล้วแต่สร้างความสั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพของคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


กำลังโหลดความคิดเห็น