สะเก็ดไฟ
รายชื่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จากความลับขั้นสุดยอดมาตลอดเส้นทางการสรรหา กลับถูกโยนออกมาให้เห็นโฉมหน้า 173 คน จาก 11 ด้าน ความลับที่สั่งกำชับมาดิบดี กลับรั่วง่ายๆ
ประเด็นนี้น่าสงสัยว่า “หลุดจริง” หรือ “ตั้งใจ” หยั่งกระแสสังคม โยนออกมาเหมือนฉายหนังตัวอย่างก่อนจะเข้าโรงฉายจริง คงจะเหลือเพียง 77 คน จาก 77 จังหวัด ที่ยังเก็บงำอยู่
รายชื่อทั้งหมดที่ออกมาให้เห็นคงจะไม่ไปวิพากษ์ ปล่อยให้เป็นดุลพินิจของท่านผู้อ่าน เพราะถึงจะจาระไนไปก็ไร้ความหมาย เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี ก็ในเมื่อ คสช. ท่านพอใจเช่นนี้ เราก็มิอาจทัดทาน เพราะอำนาจการสรรหาท่านก็เขียนให้เอาอำนาจตัวเองไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญและพระราชกฤษฎีการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติไว้เรียบร้อยโรงเรียนนายพล คสช.
ใครจะเห็นว่ามีปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. วินิจฉัยถือเป็นที่สุด จบข่าว! ยังจะพูดอะไรอีก เดี๋ยวทุ่มด้วยโพเดี่ยมเลย
แต่สิ่งที่ควรพูดถึงวันนี้คือความ “น่าเกลียด” ของบรรดาผู้ทรงเกียรติจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ผ่านการทำคลอดมาอย่างดีกับมือ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ กลับมาทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เสียขบวน
สืบเนื่องจากกรณีที่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา สนช. พร้อมพวก 28 คน วิ่งหน้าตั้งเข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ สนช. ต่อสาธารณชน
มันบ้อท่าชะมัด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ พล.อ.นพดล โร่เข้าหาศาลปกครองเพราะสงสัยในอำนาจของ ป.ป.ช. สามารถสั่งให้สนช. แจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สินหรือไม่ ราวกลับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
เรื่องนี้ นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ชี้แจงและยันยันว่า “มติ ป.ป.ช. เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 35 ที่ระบุให้ ป.ป.ช. ต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และ ส.ว. ให้สาธารณชนทราบโดยเร็ว และไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดยื่นบัญชี ซึ่ง ป.ป.ช. เห็นว่า สนช. เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้ว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็ตาม แต่ศาลปกครองจะตัดสินในประเด็นโต้แย้งอย่างไร ไม่ขอก้าวล่วงอำนาจศาล”
ถ้าตรวจทานดูแล้ว ป.ป.ช. ก็ทำตามหน้าที่ ไม่ได้ล้ำเส้นอะไรเลย และตามปฏิทิน วันที่ 3 ตุลาคม ถึงกำหนดที่ ป.ป.ช. จะเปิดขุมทรัพย์ของ สนช. ให้สาธารณชนได้รู้รับทราบ แสดงให้เห็นกันไปเลยใครรวยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม พล.อ.นพดล น่าจะแจ้งอยู่ในใจแล้ว ว่าอำนาจของ ป.ป.ช. มีมากน้อยแค่ไหน เพราะระดับนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ล้วนผ่านมือป.ป.ช.เปิดแสดงทรัพย์สินทุกซอกทุกมุม กระทั่งซุกไว้ตรงไหน ป.ป.ช. ยังมีอำนาจตรวจสอบได้ทั้งหมด ดังนั้นสนช.ก็มิอาจละเว้นข้อนี้ได้
นักการเมืองที่ท่านจะมาปฏิรูปเขา ก็ล้วนผ่านขั้นตอนนี้มาแล้วทั้งนั้น ถูกจับเปิดออกหมด แล้วท่านยังจะกลัวอะไร
และอย่าทำตัวเป็นศรีธนญชัย เลี่ยงคำว่า “สนช.” ไม่ใช่ “ส.ส. หรือ ส.ว.” ต่างกันเพียงที่มา แต่อำนาจของท่านเล่า ต่างจาก ส.ส. หรือ ส.ว. หรือไม่ ลองทบทวนดู อย่าให้ต้องสอนหนังสือสังฆราช
การแสดงออกอย่างร้อนรน มันส่อเจตนาหมกเม็ด มีวาระซ่อนเร้น
ในฐานะข้าราชการระดับสูงก็ยังต้องเคยแสดงบัญชีทรัพย์สิน หนี้สินของตัวเองต่อ ป.ป.ช. เพียงแต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้น
ดังนั้น การเปิดบัญชีจากมุมลับ ออกมามุมสว่างมันจะทำให้เสียหายมากเลยหรือ หรือมีอะไรที่ไม่อยากให้สังคมรู้ ยิ่งออกมาแสดงอาการ “กินปูนร้อนท้อง” ยิ่งกระตุ้นความรู้สึกของคน เร้าให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นว่ามันมีอะไรอยู่ในกอไผ่
ป.ป.ช. ต้องคุ้ยออกมาให้หมด
ในเมื่อยินดีปรีดาเข้ารับตำแหน่งมาอยู่ในสภาสูง นั่นย่อมหมายถึงต้องมีการเสียสละ และมาจากการแต่งตั้ง ยิ่งต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมให้มากและต้องมากกว่า “นักการเมือง” หลายเท่า ไม่งั้นจะพากันลงเหว
การที่ คสช. เข้ามายึดอำนาจปกครองประเทศ เพราะต้องการขจัดการโกง ปฏิรูปประเทศให้เข้ารูปเข้ารอย สร้างบรรทัดฐานใหม่ ถ่ายเทของเสียทิ้ง นำสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ นี่คือคำโฆษณาที่ทำให้เกิดความหวังต่อประชาชนกำลังเฝ้ารอและเฝ้าดู หวังจะเห็นให้เกิดขึ้นจริงในชาตินี้
คนที่สมัครใจเข้าร่วมวงกับ คสช. โดยเฉพาะ พล.อ.นพดล ก็เป็นถึงนายทหารระดับสูง ต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างเยี่ยงทหาร
หากคิดจะเข้ามาเพื่อทำบ้านเมืองแล้วยังกลัวการตรวจสอบกับเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ ก็อย่าอยู่ให้ลำบากใจ ถ้าเพียงแค่จุดเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการแสดงบัญชีทรัพย์สินทำอึดอัด ก็ลาออกไปจะดีกว่า
อย่าอยู่เป็นปลาเน่าจะทำให้เหม็นไปทั้งข้อง พลอยจะทำให้ผู้ปกครองของท่านอย่างคสช.ต้องอายนักการเมือง
เพราะก่อนจะปฏิรูปเขา ต้องปฏิรูปเราก่อน ไม่อย่างนั้นจะเรียกศรัทธาและทำให้คนไว้ใจได้อย่างไรว่าอำนาจที่เปลี่ยนมือแล้วจะทำให้บ้านดีขึ้น หรือเปลี่ยนถ่ายแค่กลุ่มเข้ามาแสวงประโยชน์ สุดท้ายบ้านเมืองอยู่วังวนเดิม
ฉะนั้น ถ้าไม่ได้โกงก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หรือกลัวคนจะรู้ว่ารวยไม่น้อยกว่านักการเมือง