ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากเวทีเสวนาถาม-ตอบ ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2557 ณ สโมสรทหารบก ล่มไม่เป็นท่า หลวงปู่พุทธอิสระในฐานะผู้ดำเนินรายการ ถูกตั้งคำถามถึงความโน้มเอียงเลือกข้างปตท. กลายเป็นประเด็นที่ทำให้หลวงปู่ออกมาโพสต์เฟสบุ๊คแฉเบื้องหลัง “เรื่องจริงที่หลายคนยังไม่รู้ฯ” ตามมาด้วย “เปิดใจลูกผู้ชายไท หัวใจราชสีห์” และ “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนนี่แหละเป็นที่พึ่งของตนได้จริง” สับแหลกนักสู้ “หูเดียว” ต้นทุนสูง ชนิดที่ว่าเดินกันคนละเส้นทางเสียแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่พลังของภาคประชาชนถูกลดทอนลง
แน่นอนที่สุด การผนึกกำลังกันอย่างเป็นปึกแผ่นของภาคประชาชนทุกฝ่าย ย่อมสร้างความวิตกกังวลให้แก่ฝ่ายกลุ่มทุนพลังงานและร่างทรงที่ต้องการ “แปรรูปกิจการพลังงาน” ภายใต้เสื้อคลุมปฏิรูปพลังงานอย่างไม่ต้องสงสัย ภารกิจเจาะยางทำให้ภาคประชาชนแตกเป็นเสี่ยง ซึ่งสำเร็จอย่างงดงามที่เกิดขึ้นหลังงานเสวนา จึงนับว่าคุ้มค่ามาก มิเสียแรงที่หัวเรือใหญ่ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด ปตท. พร้อมด้วยนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.ปตท. นำคณะเข้ากราบหลวงปู่พุทธะอิสระ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2557 ก่อนวันจัดงานเสวนาฯ ล่วงหน้าหนึ่งวัน
ขณะที่ภาคประชาชนกำลังก่นด่ากันเอง พวกหูเดียวบ้าง หลวงปู่เอียงข้างบ้าง เครื่องฟอกปตท.บ้าง ป่านฉะนี้กลุ่มทุนพลังงานคงหัวร่องอหาย อย่าลืมว่าเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ทุนพลังงานเขาถนัดนัก ดูกรณีที่จัดการกับสื่อเสียอยู่หมัดนั่นไง ไม่เช่นนั้นเรื่องพลังงานของประเทศไทยคงไม่เป็นอย่างที่เห็นอยู่แน่
ท่าทีของหลวงปู่หลังงานเสวนาที่โฟสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2557 เผยเรื่องจริงที่หลายคนยังไม่รู้เกี่ยวกับปมเสวนาถาม-ตอบฯ หรือเสวนาปฏิรูปพลังงานนั้น หลวงปู่ได้แสดงความผิดหวังกับนักสู้เพื่อพลังงานและบริวารที่ไร้หัวคิด ฟังความข้างเดียว เอาแต่วิวาทะหาตัวคนผิด ย้ำทำย้ำคิด
เรื่องที่หลวงปู่ต้องการให้ทำคือ เตรียมคำถามชี้นำทิศทางพลังงานของประเทศในอนาคตได้อย่างยั่งยืน และต้องส่งคำถามพร้อมรายชื่อผู้ถามมาให้ตรวจสอบก่อนและจะส่งคำถามนั้นให้กลุ่มผลประโยชน์เพื่อหาหลักฐานมาตอบอย่างถูกต้อง แต่กลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานฯ ไม่อยากส่งการบ้านให้อีกฝ่ายเตรียมทางหนีทีไล่ล่วงหน้า อีกทั้งยังพุ่งเป้าไปที่นายปิยสวัสดิ์ ที่คสช.แต่งตั้งให้เป็นประธานบอร์ดปตท.ว่าไม่เหมาะสม ทำให้หลวงปู่ไม่พอใจ เพราะไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยแสดงความอิดหนาระอาใจว่าทำไมพวกเขาไม่ก้าวข้ามความขัดแย้งเสียที “.... มันทำให้ฉันรู้เช่นเห็นชาติถึงสันดานของนักสู้เพื่อพลังงานเหล่านี้ ....”
หลวงปู่ซึ่งบอกว่าตนเองเป็นคนหนึ่งหัวสองหู ต้องการเห็นทิศทางพลังงานของบ้านเมือง โดยจะต่อสู้ร้องขอให้กระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คิดหาพลังงานทดแทน เพื่อเป็นทางรอดของบ้านเมือง
หากติดตามเรื่องพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่าถ้าผู้กุมนโยบายและกลุ่มทุนพลังงานฟอสซิลอยากให้พลังงานทดแทนเกิดอย่างที่หลวงปู่อยากเห็น ป่านนี้สัดส่วนการใช้พลังงานฟอสซิลก็ลดลงแล้ว และพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน คงก็ได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปถึงไหนๆ
แต่ความจริงที่ผ่านมาเรื่องพลังงานยั่งยืนนี้ดีแต่พูด พูดกันมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วทำทีวางนโยบาย เป้าหมาย เสร็จแล้วก็อยู่ในแผ่นกระดาษเหมือนเดิม ถ้าไม่อยากมโนกันต่อไปก็ให้กลับไปพลิกดูแผนพัฒนาพลังงานนี้ที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ดูได้
ทำไมเรื่องพลังงานทดแทน พลังงานยั่งยืน ถึงเป็นเป็นแค่น้ำจิ้มที่พูดเอาเท่ห์แต่ไม่ลงมือทำ เรื่องนี้ถามนักวางแผนพลังงานมือขั้นเทพของประเทศ คือนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด ปตท. นั่นแหละรู้ดีที่สุด เพราะอยู่มาหลายตำแหน่ง ทำมาแทบทุกเรื่อง และอยู่วงในเกือบทุกรัฐบาล
เว้นเสียแต่ว่ามีนกรู้คนไหนเตรียมตัวรอเอาไว้แล้ว ราวกับรู้ว่าเร็วๆ นี้ คสช.อาจจะประกาศนโยบายตรงนี้เป็นหลักใหญ่ในการปฏิรูปพลังงาน
ใช่หรือไม่ เหตุที่กลุ่มทุนพลังงานอยากให้หลวงปู่เบนเข็มไปสนใจและพูดคุยเรื่องพลังงานทดแทนเพื่ออนาคต ก็เพราะพวกเขารู้ดีว่ามันไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้จริง อีกอย่างเพราะหลวงปู่ มีพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ที่กำลังเรืองอำนาจเป็นลูกศิษย์ลูกหา การเข้าถึงหลวงปู่และทำให้หลวงปู่เลิกสนใจเรื่องท่อก๊าซ เรื่องสัมปทานปิโตรเลียม ทำให้หลวงปู่รำคาญพวกมุดท่อฯชวนทะเลาะหาเรื่อง เปลี่ยนมาเป็นหนุนพลังงานทางเลือก ออกแนวสร้างสรรค์ อุดมการณ์สีขาว ปฏิรูปแบบปรองดอง สมานฉันท์ พูดจาภาษาดอกไม้ นี่ก็เท่ากับกลุ่มทุนพลังงานมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
ใช่หรือไม่ เบื้องหลังที่มีการสนับสนุนให้หลวงปู่ออกหน้าเรื่องพลังงานทดแทน เพราะว่ามีวงศ์วานว่านเครือพี่น้องผู้หลักผู้ใหญ่บางคนที่มีอำนาจในขณะนี้ทำธุรกิจนี้อยู่ หากหันมาบูมพลังงานด้านนี้บริษัทที่ว่าก็เตรียมปูเสื่อรับงานใหญ่ได้เลย
อาจจะเป็นเรื่องประจวบเหมาะหรือบังเอิญก็ไม่ทราบได้ เพราะเมื่อตรวจสอบข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า มีชื่อบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่มีกรรมการบริษัทหน้าคุ้นๆ เข้าไปนั่งเป็นกรรมการ อาทิ นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการ, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ กรรมการบริหารความเสี่ยง/กรรมการอิสระ เป็นต้น
สำหรับท่าทีของหลวงปู่ นอกจากจะโพสต์เฟซบุ๊ก เผยเรื่องจริงฯ แล้ว ในวันต่อมา เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2557 หลวงปู่ยังโฟสต์ “เปิดใจลูกผู้ชายไท หัวใจราชสีห์” ร่ายยาวถึงชีวิตที่สู้เพื่อชาติ และการรับอาสามาเป็นตัวกลางเจรจาพูดคุยปัญหาพลังงาน ผลที่ได้สุดท้ายโดนด่าเพียงเพราะไม่ถูกใจคนเชียร์ “แต่ฉันว่าที่โดนกล่าวหาว่าไม่เป็นกลางเพราะไม่เข้าข้างพวกที่ด่ามากกว่า”
จากนั้น วันที่ 29 ก.ย. 2557 หลวงปู่ก็โพสต์ขึ้นหัวข้อเรื่อง “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนนี่แหละเป็นที่พึ่งของตนได้จริง” เล่าย้อนกรณีเชิญแกนนำประชาชนคนแจ้งวัฒนะ 8 - 9 จังหวัดมาประชุมเพื่อแจ้งเหตุวิวาทะให้แกนนำรับทราบและขอให้ประชาชนคนแจ้งวัฒนะ นักสู้ผู้กล้า ผู้มีหัวใจสีขาว อุดมการณ์สีขาว มีสองหูพร้อมรับฟังทั้งสองด้าน มาประชุมที่วัดอ้อน้อย วันที่ 30 ก.ย. 2557 เพื่อร่วมกันตั้งประเด็นปัญหา เสนอแนะและกำหนดทิศทางพลังงานทุกชนิดเพื่อความยั่งยืน
ภายหลังการประชุมสรุปประเด็นสำคัญๆ ได้ดังนี้ 1) ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และ ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร รองอธิบดี พพ. รับปาก จะกลับไปแก้ไขระเบียบที่ไม่เอื้อต่อภาคประชาชนที่จะผลิตพลังงานทดแทน และ 2)ขอร้องให้ภาครัฐและ ปตท. ช่วยลดราคาก๊าซหุงตุ้มภาคครัวเรือน และลดค่ากระแสไฟฟ้า ซึ่งฝ่าย ปตท.และกกพ. พร้อมที่จะนำไปพิจารณา ทั้งนี้หลวงปู่ปลื้มมากที่บรรยากาศเป็นไปด้วยดีถ้อยทีถ้อยอาศัย ประมาณว่าดีใจที่สามารถนำแกนนำประชาชนชุดแจ้งวัฒนะมาสวมต่อการปฏิรูปของภาคประชาชนได้เป็นผลสำเร็จ
ส่วนความเคลื่อนไหวของแนวร่วมกลุ่มเวทีปฏิรูปพลังงาน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นตัวแทนพร้อมคณะ ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2557 ที่ผ่านมา โดยเสนอแนวทางปฏิรูปพลังงานในประเด็นเร่งด่วนและแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.ให้ ปตท. ส่งคืนท่อก๊าซ โรงแยกก๊าซ และสาธารณสมบัติทั้งหมดก่อนการแปรรูปให้แก่กระทรวงการคลัง และยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการแบ่งแยกท่อก๊าซของ ปตท.มาตั้งบริษัทใหม่ เพราะไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
2.ขอให้เปิดเผยรายละเอียดการประมูล สัญญาสัมปทานเนื่องจากที่ผ่านมาขาดความโปร่งใส และให้แหล่งปิโตรเลียมใหม่ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตในการจัดการแทนระบบสัมปทาน เพื่อคงกรรมสิทธิปิโตรเลียมที่ขุดได้เป็นของรัฐ และรัฐสามารถกำหนดราคาที่เป็นธรรมต่อประชาชนได้ ส่วนแหล่งปิโตรเลียมที่ใกล้หมดอายุสัมปทาน ที่ยังมีพลังงานเหลืออยู่ขอให้ทำการจ้างผลิต
3.ให้ลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากประชาชน จัดสรรการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางตรงต่อประชาชน และควรปรับราคาก๊าซของอุตสาหกรรมทุกประเภทให้เป็นอัดตราเดียวกันกับตลาดโลก เนื่องจากปัจจุบัน ปตท. ซื้อปิโตรเคมีถูกกว่ากลุ่มอื่น
นอกจากนั้น ตัวแทนกลุ่มเวทีปฏิรูปพลังงาน ยังโต้แย้งข้อสรุปของนายปิยสวัสดิ์ จากการจัดเวทีปฏิรูปพลังงาน ณ สโมสรกองทัพบก ที่จะนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี โดยยืนยันว่า ทางกลุ่มมิได้เห็นพ้องหรือมีข้อตกลงในผลสรุปงานเสนากับนายปิยสวัสดิ์ แต่อย่างใด
การไม่ยอมรับผลสรุปการเสวนาที่มีหลวงปู่เป็นผู้ดำเนินการของแนวร่วมฯ ข้างต้น ทำให้ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2557 ที่ผ่านมา หลวงปู่ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ตอกย้ำถึงการไม่ทำตามกติกาที่หลวงปู่กำหนดและไม่ต้องการให้นักสู้ทั้งหลายมาใช้เวทีนี้กำจัดศัตรู มาล้างแค้นใคร แล้วจะมาโวยวายว่าเวทีจัดขึ้นเป็นประโยชน์แก่นายปิยสวัสดิ์ ก็เท่ากับหาว่าหลวงปู่ไม่เป็นกลาง
อันที่จริงแล้ว เล่ห์เหลี่ยมของกลุ่มพลังงานและร่างทรงนั้นแพรวพราวแค่ไหน พิสูจน์ได้จากการที่ประชาชนต้องทนลำบากตรากตรำเพราะต้นทุนค่าพลังงาน ต้นทุนค่าครองชีพแพงระยับ ขณะที่กลุ่มทุนพลังงานของชาติและต่างชาติต่างรวยกันพุงปลิ้น เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้แล้วยังจะโลกสวยกันไปถึงไหน?
หรือว่าจริงๆ แล้ว แนวทางการปฏิรูปพลังงานของหลวงปู่ ก็ไม่ต่างจากคสช.ที่ให้ลืมเรื่องเก่าๆ มุ่งหน้าไปสู่พิมพ์เขียวพลังงานทดแทนที่มีการร่างกันไว้แล้วเพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับใครบางคน??