xs
xsm
sm
md
lg

มีแต่คนชั่วกลัวสื่อดี...

เผยแพร่:   โดย: โสภณ องค์การณ์

เริ่ม 1 ตุลาคม คือชีวิตของรัฐบาลประยุทธ์ 1 มีเพียบพร้อมทั้งอำนาจพิเศษหนุนด้วยกฎอัยการศึก มีงบประมาณ 2.5 ล้านล้านบาทเพื่อรายจ่ายประจำและงบลงทุนใหม่ ชาวบ้านได้แต่หวังว่าการอาสามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองจะทำให้สภาวะโดยรวมดีขึ้น

จะเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ หลังจากได้สาธยายความนโยบายแผนงานต่างๆ ในช่วงก่อนตั้งรัฐบาล แผนโรดแมปตามขั้นตอน อ้างว่าได้ผลรวดเร็วตามคาด เหมือนการวางรากฐานโครงสร้างอาคารใหม่ใช้ฐานรากสำเร็จรูป ซีเมนต์แห้งเร็ว ประหยัดเวลา

จากนี้ไปคือการยกฝาติดตั้งประตู หน้าต่าง ส่วนประกอบอื่นๆ ก่อนสร้างขื่อ ฝ้าเพดาน มุงหลังคา อีกไม่นานพร้อมให้เข้าอยู่อาศัยร่วมกัน โดยพวกที่แยกเขี้ยวใส่กันมาก่อนและถูกสั่งให้ปรองดอง ลืมความหลัง ห้ามพูดถึงอดีต ต้องยิ้มเห็นฟันเต็มปาก 32 ซี่

ผู้อาศัยห้ามทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่ายก็ต้องไม่พูด เก็บไว้ในใจ เพื่อให้ผู้บริหารจัดการบ้านเรือนมีสมาธิ ไม่วอกแวก ไร้เสียงวิจารณ์ทุกแบบ อีกประมาณ 1 ปี จะให้ผู้อาศัยเลือกผู้นำครอบครัวคนใหม่ ผู้มีอำนาจถือว่าเสร็จภารกิจ

เป็นไปได้อย่างไร สำหรับการแก้ปัญหาโดยไม่พูดถึงอดีต ไม่ชำระสะสางให้เสร็จสิ้นก่อนเริ่มต้นกันใหม่ แม้แต่ในกระบวนการยุติธรรม ผู้กระทำความผิดต้องได้รับโทษก่อน มิฉะนั้นบ้านเมืองก็ไร้กฎเกณฑ์บังคับ ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษแต่อย่างใด

ทุกวันนี้เริ่มมีคำถามดังๆ ถึงเหตุผลแท้จริงของการทำรัฐประหารว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เมื่อเริ่มมีสัญญาณแปร่งๆ สร้างความไม่มั่นใจให้ประชาชนว่าคำประกาศเหตุผล และผลงานที่ได้กระทำไปในช่วงกว่า 4 เดือนไม่ตรงกัน และผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

ผู้สงสัยตั้งคำถามว่าเมื่อการรัฐประหารอยู่บนเหตุผลของการรักษาความสงบในบ้านเมือง เป็นวิธีพิเศษเพื่อจัดการปัญหาต่างๆ อันเป็นต้นเหตุของความแตกแยก การชุมนุม ความรุนแรงในการใช้กำลัง ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เข้าสู่ภาวะปกติ ทำไมการจัดการปัญหาถึงไม่เสร็จสิ้นไปกับอำนาจพิเศษ แต่เป็นไปตามกระบวนการตามปกติ

เมื่อเป็นเช่นนั้น จะเกิดความล่าช้า กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับประกันว่าการแยกผิดแยกถูกจะเป็นไปตามความคาดหมาย หรือตามข้อเท็จจริง เมื่อยังมีอำนาจการเมืองแฝงเร้น อิทธิพลลึกลับบงการเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบางส่วนให้พลิกรูปแบบคดี

ถ้าไม่ใช้อำนาจพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหาร เพียงแต่มาแยกคู่กรณีออกจากนั้น รักษาความสงบ และกองทัพกลับเข้ากรมกองแทนการเข้ามากุมอำนาจรัฐ เสี่ยงต่อการถูกสงสัยว่าเป็นการเล่นพรรคเล่นพวกในกลุ่มผู้มีอำนาจ กำหนดแผนอยู่ยาวนาน

ข้อสงสัยเหล่านี้ทำให้รัฐบาลยังต้องระแวง ดังนั้นจึงจำเป็นคงไว้ซึ่งอำนาจภายใต้กฎอัยการศึก ห้ามประชาชนชุมนุมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ห้ามวิจารณ์ในเชิงลบ และเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพเต็มที่ เป็นธรรมชาติของระบอบเผด็จการโดยทั่วไป

ในโลกนี้ไม่มีผู้กุมอำนาจเผด็จการใจดี มีความกรุณาปรานี ไม่เช่นนั้นจะรักษาอำนาจไว้ไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะมีลักษณะเผด็จการเข้มข้นแค่ไหนเท่านั้น ดังเช่นตัวอย่างในประเทศอื่นๆ ที่มีเผด็จการทหาร เช่น อาร์เจนตินา ชิลี หรือทรราชสุดโต่ง เช่น อิดี้ อามิน

ในเอเชียก็มีทั้งเผด็จการและทรราช ผู้นำเหล่านี้เชื่อมั่นว่าจะอยู่รอดได้ โดยกำลังกองทัพและอำนาจอิทธิพลเถื่อน ผลสุดท้ายก็อยู่ได้ระยะหนึ่ง จบไม่สวย ต้องดิ้นรนหนีตายไปต่างประเทศ ไม่ได้เหยียบแผ่นดินเกิด ดังเช่น มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน ส่วนคนอื่นๆ ต้องเผชิญกับคดีความ เช่น ซูฮาร์โต ของอินโดนีเซีย

ของบ้านเราใช้คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ต่างจากสังคมตะวันตกซึ่งมองรูปแบบรัฐบาลปัจจุบันว่าเป็นเผด็จการจากรัฐประหาร จึงสงวนตัว ไม่คบหาสมาคมด้วย ทำให้เป็นประเด็นต่อเนื่องถึงปัญหาเศรษฐกิจ ความยากลำบากในการฟื้นฟูให้อยู่รอด

รัฐบาลขอโอกาสบริหารบ้านเมือง งดเว้นการวิพากษ์วิจารณ์ ให้สื่อรายงานความจริงได้ แต่ห้ามพูดถึงอดีต ห้ามกล่าวร้ายต่อผู้มีอำนาจ สร้างบรรยากาศแห่งความปรองดอง แต่สื่อบางแห่งยังขอสงวนสิทธิ์ทำหน้าที่ แม้ต้องเสี่ยงต่อการถูกคำสั่งปิด

คนทำสื่อมืออาชีพมองว่า “อาชีพใคร อาชีพมัน ใครมีหน้าที่อาชีพอะไรก็ทำไป ไม่ควรก้าวก่าย ใช้อำนาจบังคับกัน” ที่สำคัญ ถ้าทำดี เป็นคนดีใจซื่อมือสะอาด มุ่งทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่โกงกิน ย่อมไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวสื่อดี มีแต่คนชั่วซึ่งกลัว

ถ้าทำดี ซื่อสัตย์สุจริต สื่อดีย่อมไม่มีเหตุต้องรายงานหรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร้เหตุผล ข้อเท็จจริง ...ถ้าสื่อชั่ว วิจารณ์คนดี นั่นมีวิธีจัดการได้ตามกระบวนการกฎหมาย และถ้าสื่อชั่วรายงานพฤติกรรมคนชั่ว ทั้ง 2 ฝ่ายย่อมใช้วิธีชั่วๆ จัดการกันเองได้อยู่แล้ว

เท่าที่ปรากฏในช่วง 3-4 เดือน เรียกเอะอะโวยวาย อาการไม่พอใจต่างๆ ล้วนเกิดจากพวกมีอำนาจหน้าที่บางประการซึ่งสื่อมองว่ามีประวัติ พฤติกรรมไม่สะอาด ร่ำรวยผิดปกติ ปกป้องผู้กระทำความผิด ฝักใฝ่ต่อผู้เคยมีอำนาจชั่วร้ายโกงบ้านกินเมืองทั้งนั้น

และพวกนี้แหละ จะเป็นตัวบั่นทอนความน่าเชื่อถือศรัทธาของประชาชนต่อผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ พวกนี้สมควรถูกเฝ้ามองโดยกลุ่มอำนาจใหม่ว่าเป็นเครือข่ายกลุ่มอำนาจเก่า มีวัตถุประสงค์แฝงเร้นในการทำหน้าที่เพื่อผลร้ายต่อรัฐบาล

ในโลกนี้เห็นได้ชัด มีแต่ผู้นำรัฐที่หวาดผวา มีแผล หรือมุ่งประสงค์ทำความชั่วร้ายมุ่งใช้อำนาจเผด็จการปิดปากสื่อ ประชาชน ดังเช่นเกาหลีเหนือ ซิมบับเว และประเทศที่มีทรราชกุมอำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชน จนเป็นสาเหตุให้เกิดความไม่สงบ ก่อการร้าย

การเปิดใจกว้างต่อบทบาทสื่อให้ตรวจสอบได้ คือความกล้าอวดว่ามือไม่สกปรก!
กำลังโหลดความคิดเห็น