xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม “การจับชายชุดดำคือแสงสว่างรำไร และถ้าตั้งใจทำจริง เชื่อว่าจะโยงถึงผู้สั่งการได้”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีใครลืมเหตุการณ์และความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่ชื่อ “นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม” เนื่องเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นได้นำไปสู่ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ เมื่อ “พล. อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม” ผู้เป็นสามีต้องเสียชีวิต

ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เธอเดินหน้าเรียกร้องแสวงหาความจริงให้กับสามี ทว่า ไม่มีความคืบหน้าเกิดขึ้นให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

แต่ในวันนี้ เธอดูเหมือนจะมีความหวัง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุม “ชายชุดดำ” ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุในวันนั้นได้

นิชามีความรู้สึกอย่างไรกับการจับกุมชายชุดดำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการณ์กลับกลายเป็นว่า ชายชุดดำ 5 ใน 7 คนที่ถูกจับได้ถูกตั้งข้อหาแค่พกพาอาวุธสงคราม และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์จึงได้สัมภาษณ์พิเศษ เพื่อสอบถามความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ ณ เวลานี้

จากกรณีที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงสามารถจับกุมชายชุดดำได้ คุณนิชามองเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ว่าอย่างไร พิสูจน์อะไรให้เห็นบ้าง

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ก็รู้สึกเป็นเรื่องที่ดีที่ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ความสนใจ ดำเนินคดีด้วยตัวเอง เพราะว่าตลอดช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา คดีผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงทางการเมืองปี 53 ได้หยุดชะงักไป ซึ่งก็ไม่มีความคืบหน้าและก็แทบจะไม่มีความหวังว่าจะมีการดำเนินการต่อไป พอถึงจุดนี้ก็เป็นข่าวดีที่ทางตำรวจลงมาดำเนินการให้ แต่ก็ยอมรับว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เกิดตั้งแต่ปี 53 ซึ่งระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมาก ทั้งการพัฒนาทางการเมือง ทั้งในเรื่องของพยานหลักฐานต่างๆ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน ความซับซ้อนของคดีจึงเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าถ้าทุกฝ่ายผนึกกำลังกัน แล้วก็ร่วมมือกันอย่างแท้จริง ก็จะสามารถที่จะทำงานนี้ได้อย่างจริงจังค่ะ

หลังจากที่ตำรวจมีการแถลงข่าวจับกุมชายชุดดำแล้ว กลายเป็นว่าคดีนี้ไม่ได้ตั้งข้อหา ที่สามารถโยงไปถึงบุคคลที่สังหารทหารที่เสียชีวิต รวมถึงพล.อ.ร่มเกล้า คุณนิชามองว่ามีอะไรผิดสังเกตหรือไม่

ความจริงเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชนก็ตาม ในส่วนพื้นที่เกิดเหตุบริเวณค่อนข้างกว้าง ดังนั้นรายละเอียดในจุดที่ตำรวจได้ชี้แจงก็คิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดน่าจะมีความเชื่อมโยงถึงกัน มีการวางแผน มีการเตรียมการ ซึ่งในรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ก็ยืนยันไว้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน2553ได้มีการวางแผน เตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า เป็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่หลายจุด แต่คิดว่ามันเป็นความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เชื่อว่าพยานหลักฐานส่วนหนึ่งก็น่าจะนำไปขยายผลได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริง ความบริสุทธิ์ใจของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะทำความจริงให้ปรากฏค่ะ

แต่รู้สึกแปลกใจหรือไม่ว่า ทำไมการตั้งข้อกล่าวหาถึงมีแค่ครอบครองอาวุธสงคราม?

ยังไม่ได้เห็นในรายละเอียดของคดีต่างๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่สังคมก็ตั้งประเด็นเหมือนกันว่า เป็นเรื่องของคดีอาวุธสงคราม แต่วันนี้ทางตำรวจก็บอกมาว่าไม่ได้เกี่ยวโยงกับคดีการเสียชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้า แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เป็นจุดเริ่มต้นที่เขามาทำคดีปี 53 ก็หวังว่าจะทำของปี 56 ปี 57 ด้วย

ตอนนี้หลักฐานที่ทางตำรวจเชื่อมโยงไปได้มีแค่สลิปการโอนเงินของคุณกริชสุดา ซึ่งเธอก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องต่อการจ้างวานชายชุดดำ คิดว่าหลักฐานนี้จะช่วยขยายผลสาวถึงผู้บงการได้ไหม

หวังอย่างยิ่งและก็คิดว่าทุกฝ่ายก็ตั้งความหวังที่จะโยงถึงผู้สั่งการซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรม กลายเป็นความสูญเสียในครั้งนี้ค่ะ

ทีนี้พอมีการจับกุมชายชุดดำได้ คุณจตุพรก็โวยว่าเสื้อแดงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ที่ทหาร-ประชาชนเสียชีวิตในวันที่ 10 เม.ย.53 คุณนิชาคิดเห็นว่าอย่างไร

ความจริงอันนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ได้ข้อยุติแล้วว่า มีชายชุดดำจริง ซึ่งก็อย่างที่เรียนไปว่าย้อนกลับไปยังรายงานข้อเท็จจริงของคอป.ฝ่ายต่างๆ ก็มีข้อสรุปเรื่องของชายชุดดำออกมาแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เห็นว่าสังคมไม่น่าจะถกเถียงกันว่ามีชายชุดดำหรือไม่ แต่ควรจะตั้งประเด็นว่าชายชุดดำเป็นใคร มาร่วมกันหาข้อสรุปมากกว่า โดยเฉพาะประเด็นใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งหากมีแค่การตั้งคำถามว่ามีชายชุดดำหรือไม่ เรื่องราวดังกล่าวก็คงไม่เป็นที่ยุติ ที่จะหาความจริงและเดินหน้าต่อไปได้

เพราะหลักฐานต่างๆ ปรากฏให้เห็น อย่างรูปถ่ายที่บันทึกไว้ได้ก็ชัดเจนว่ามีแน่ๆ ?

เหตุการณ์บนถนนดินสอ ที่ทหารเสียชีวิต คิดง่ายๆว่ามีแค่ 2 ฝ่ายที่เผชิญหน้ากัน คือฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารอยู่ฝั่งหนึ่ง กลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ฝั่งหนึ่ง ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำร้ายทหาร ถ้าคุณยืนยันเช่นนั้น ก็แสดงว่าต้องมีชายชุดดำทำร้ายทหาร ถ้าไม่มีชายชุดดำ มันก็ต้องย้อนกลับไปว่า เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ทำร้าย ก็ต้องมาช่วยกันหาว่าชายชุดดำเป็นใคร ชายชุดดำผ่านกลุ่มผู้ชุมนุมมาได้ยังไง

คุณนิชาได้พูดคุยกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โดยตรงไหม

ยังไม่เคยค่ะ

คุณนิชาคิดว่าการจับกุมชายชุดดำตอนนี้ช้าไปหรือไม่

ช้าแน่นอน แล้วยิ่งช้าก็ยิ่งสาวถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลังยากยิ่งขึ้น ถึงได้บอกว่าอยากให้นำพยานหลักฐานที่มีทั้งหมดจากฝ่ายต่างๆมาประกอบกัน เพื่อที่ว่าจะได้เอื้อประโยชน์ให้การทำงานรอบคอบมากขึ้น เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาก็มีผลการสืบหาข้อเท็จจริงของฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของคอป.หรือว่าของฝ่ายนปช.เอง และก็ยังมีของดีเอสไอ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงของตัวเองก็มีไปยื่นต่อวุฒิสภาด้วย ก็น่าจะนำมาประกอบกันเพื่อให้เกิดการยอมรับของทุกฝ่าย

แสดงว่าที่ผ่านมาตำรวจน่าจะรู้ข้อมูล แต่ว่าไม่มีการดำเนินการจริงจัง เพราะการเมือง ?

อย่างคดีของพี่ร่มเกล้าอยู่ในการดูแลของดีเอสไอ เขาก็โอนคดีนี้ให้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้วซึ่งช่วงนั้นก็มีแต่คดีที่ทหารถูกกล่าวหาที่มีความคืบหน้า แต่คดีที่ทหารถูกกระทำไม่มีความคืบหน้าอะไร

คนเสื้อแดงมักจะพูดเสมอว่า ไปดูเหตุการณ์ที่เสื้อแดงถูกยิงบ้าง

ทหารโดนขึ้นศาลมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่คดีของฝ่ายเราต่างหากที่ไม่มีความคืบหน้าเลย แล้วก็ไม่ได้หยุดไปเฉยๆ แต่เปลี่ยนเป็นว่าไม่มีพยานหลักฐานอะไรเหลือเลย โดยในช่วงแรกก็มีการแถลงข่าวออกมา ว่าจับกุมบุคคลที่เกี่ยวโยงกับคดีก่อการร้าย จากนั้นก็เงียบหายไป

คุณนิชาคิดหรือไม่ว่า ที่ตำรวจหยิบคดีชายชุดดำขึ้นมา เป็นประเด็นทางการเมือง หรือต้องการสืบข้อเท็จจริง?

ก็มองโลกในแง่ดีว่า ถ้าหากขั้นตอนดังกล่าวจะนำประเทศไปสู่การปรองดองสมานฉันท์ เรื่องนี้ก็อยู่ในขั้นตอนหนึ่งซึ่งมีความจำเป็นในกระบวนการยุติธรรม ต้องทำความจริงให้ปรากฏ มันจำเป็น ไม่งั้นจะเดินข้ามผ่านไปด้วยกันไม่ได้ หากความรู้สึกในใจมันยังมีบาดแผลขนาดใหญ่กันแบบนี้ สังคมมันก็ไม่สามารถจะหันมาปรองดองแล้วก็จับมือเดินไปด้วยกันได้

คุณนิชาเคยคิดไหมว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จะมีการจับชายชุดดำได้เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนตอนนี้

ตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา... เชื่ออย่างยิ่งนะคะว่าต้องหาเจอ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตาม แต่คิดว่าความจริงแล้วอาจเป็นสิ่งที่สังคมจะรับทราบได้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในปี 53 เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งข้อเท็จจริงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราก็รับทราบอยู่ว่าความรุนแรงมันเกิดขึ้นจากใคร แต่ว่าตราบใดที่ยังไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนเราก็ไม่ปรักปรำฝ่ายใด แต่ก็เชื่ออยู่เสมอว่า เราต้องตามหาชายชุดดำเจอ

ที่ผ่านมาคุณนิชาก็เรียกร้องให้มีการดำเนินการเรื่องนี้มาโดยตลอด ทั้งยื่นเรื่องต่อพล.อ.อนุพงษ์ และพล.อ.ประยุทธ์ ตอนนี้น่าจะมีความคืบหน้า เพราะพล.อ.ร่มเกล้า สังคมก็ทราบอยู่ว่าเป็นหนึ่งในบูรพาพยัคฆ์เช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์

คิดว่าไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาสายตรงหรือไม่ แต่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับทหารในปี 53 ก็เป็นสิ่งที่ทำให้คนที่เป็นทหารทุกคนสะเทือนใจ แล้วสิ่งสำคัญเลยก็คือ ที่ตนเองติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดก็เพราะว่าเจตนาที่เคยบอกไว้ว่า ยังไงพี่ร่มเกล้าก็ไม่ฟื้น แต่ว่าต้องไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับพี่-น้องพี่ร่มเกล้าที่ยังมีชีวิตอยู่ และมันก็เป็นการพิสูจน์ยืนยันว่าทหารไม่ได้ทำร้ายประชาชน นี่คือหัวใจสำคัญที่ต้องพิสูจน์ว่าในเหตุการณ์วันนั้น ทหารไม่ได้คิดที่จะมาทำร้ายประชาชนจริงๆ

มีโอกาสได้พบและคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์เรื่อง พล.อ.ร่มเกล้าโดยตรงหรือไม่

ในช่วงที่ท่านเป็นผู้บัญชาการทหารบก ท่านก็เคยมีหนังสือขอให้ทางกองทัพบกช่วยเร่งรัดติดตามคดีให้ ซึ่งท่านก็สั่งการให้ติดตามเร่งรัดคดีอยู่ตลอดมา แต่ไม่เคยยื่นหนังสือโดยตรงกับท่าน จริงๆแล้วเรื่องดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบของพนักงานสอบสวนแล้วก็ของดีเอสไอ แต่ก็คิดว่าท่านก็คงมีเจตนาเดียวกันก็คือ ต้องการให้ข้อเท็จจริงเปิดเผย แล้วก็ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม

ในช่วงที่ผ่านมาคดีของพล.อ.ร่มเกล้าไม่คืบหน้าเลย แต่เปลี่ยนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้วก็น่าจะดีขึ้น?

ก็รอดู.. ความจริงต้องเรียนว่าเป็นโอกาสที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเรียกคืนความเชื่อมั่นให้แก่สังคมด้วย อย่างน้อยในส่วนตัวเองก็เสียความเชื่อมั่น เพราะเขาไม่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้

ที่ผ่านมาที่คุณนิชาติดตามคดีของพล.อ.ร่มเกล้ามาโดยตลอด มีหลักฐานอยู่ในมือบ้างไหมที่จะเชื่อมโยงไปถึงผู้บงการเบื้องหลัง

เราไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เลยไม่มีหลักฐานในส่วนที่เป็นรายละเอียดคดี แต่ว่าสิ่งที่คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ แถลงด้วยตัวเองในช่วงรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เป็นครั้งแรกที่มีการแถลงข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีของพล.อ.ร่มเกล้า มันเป็นหลักฐานในตัวมันเอง เพราะว่ามีความคืบหน้ามาก แล้วเราก็ติดตามจากสื่อเหมือนกับที่พี่น้องประชาชนติดตามจากสื่อเนี่ยแหละค่ะ แล้วก็รวมทั้งข้อเท็จจริงของคอป. ของกรรมการสิทธิมนุษยชนถ้าจะได้เห็นก็คงจะเป็นส่วนนั้นเพิ่มเติม เขาก็มีคณะทำงานลงทำงานในรายละเอียด ถึงบอกว่าขอให้นำสิ่งเหล่านี้มาประกอบด้วย

ถ้าพล.อ.ร่มเกล้ารู้ก็คงยินดีว่ามีการจับชายชุดดำได้อย่างจริงจัง

คงจะยินดีมากกว่านี้ หากไม่เกิดความสูญเสียดังเช่นที่เขาได้รับทั้งในอดีตและในอนาคตไม่ว่าจะกับใครก็ตาม คงไม่เพียงแค่การจับใครได้เท่านั้น แต่ควรจะมีหลักประกันว่าจะไม่เกิดความสูญเสียแบบนี้อีก ไม่ว่าจะกับประชาชนหรือทหารพี่-น้องของพล.อ.ร่มเกล้าก็ตามค่ะ

ตลอดเวลา 4 ปีที่คุณนิชารอคอยให้เกิดความเป็นธรรมกับคดีนี้ ตอนนี้คุณนิชาคิดว่าความเป็นธรรมเกิดขึ้นแล้วหรือยัง

มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นค่ะ ความจริงก็เคยเริ่มต้นมาแล้วตั้งแต่พี่ร่มเกล้าเสียชีวิต แล้วมันก็หยุดชะงักไป จนกระทั่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราสูญเสียความมั่นใจ เราสูญเสียความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญเหมือนกันในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่รัฐบาลนี้กำลังดำเนินการอยู่นะคะ แต่ว่าขณะนี้พอมีการหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา มันก็เป็นเหมือนแสงสว่างรำไรให้เราเห็นว่า พอจะมีโอกาสที่จะเดินต่อไปได้ แต่ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายเจ้าหน้าที่ในการที่จะผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นความสำคัญว่า มันเป็นเรื่องที่ต้องก้าวข้ามผ่านข้อเท็จจริงที่สังคมต้องเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อที่ว่าจะนำประเทศเดินหน้าไปได้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียนจากเหตุการณ์นี้ร่วมกัน ประสบการณ์จากต่างประเทศทั้งหมดที่มีการศึกษากันมา อย่างน้อยประชาชนจะต้องได้เรียนรู้ร่วมกันสักอย่างหนึ่ง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศเขา และจะป้องกันยังไงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ทีนี้สังคมจะเห็นว่าคุณนิชาใส่ชุดสีดำตลอด เลยอยากทราบว่าทุกครั้งที่หยิบชุดสีดำมาใส่ คุณนิชารู้สึกยังไง

เป็นความตั้งใจในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมาประการแรกเลยก็คือ ต้องการจะใช้เป็นสัญลักษณ์สื่อให้เห็นว่า คุณยังไม่ได้ดำเนินการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้สูญเสียเหตุความรุนแรงทางการเมือง ประการที่สอง คุณยังไม่ได้ดำเนินการอะไรที่จะป้องกันไม่ทำให้เกิดความสูญเสียอีก เพราะว่าทั้งที่มีมาตรการต่างๆที่สามารถจะป้องกันได้ถ้าหากว่ารัฐบาลในสมัยนั้นดำเนินการตามคำแนะนำของคอป.อย่างน้อยก็ยังมีหนทางที่จะป้องกันเหตุการณ์ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในปี 56 ปี 57 แต่ว่าไม่ได้ดำเนินการตามคำแนะนำหรือข้อเสนอแนะทั้งของคอป.และของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติในเรื่องของหลักการปรองดองสมานฉันท์อย่างแท้จริง แล้วในที่สุดก็เกิดขึ้นอีกจนได้แก่ผู้ชุมนุมกปปส.ซึ่งหากเป็นเช่นนี้อีกก็คงมีคนอยากแต่งชุดดำมากยิ่งขึ้นเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

คุณนิชาได้คุยกับคนที่บาดเจ็บซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53วันเดียวกับที่พล.อ.ร่มเกล้าเสียชีวิตบ้างไหม

ได้เจอกันทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหารหรือนปช. เขาก็ต้องการความจริง ต้องการความเป็นธรรมต้องการข้อเท็จจริง แม้กระทั่งอย่างญาติผู้เสียชีวิตของผู้ร่วมชุมนุมก็บอกเหมือนกันว่า ก็ต้องการข้อเท็จจริงและความยุติธรรมให้เกิดขึ้นแก่พวกเขา

สิ่งที่คุณนิชากลัวที่สุดในคดีพล.อ.ร่มเกล้าคืออะไร?

สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือหลักฐานมันผ่านมาหลายปี แล้วมันก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองด้วย กลัวว่าหลักฐานเหล่านั้นมันจะคงอยู่อย่างเดิมหรือเปล่า เพราะเปลี่ยนมือคนทำคดีมาเยอะแล้ว

สุดท้ายคิดว่าจะสาวถึงผู้บงการมั้ย

อันนี้ตอบไม่ได้เลยนอกจากจะตั้งความหวังไว้ได้อย่างเดียว คือเชื่อว่าไม่เกินความสามารถถ้าเขาตั้งใจจะทำ

สิ่งที่คุณนิชาหวังที่สุดต่อจากนี้คืออะไร

บทเรียนที่เราจะได้รับจากเหตุการณ์ความสูญเสียในปี 53 ปี 56 ปี 57 ความเห็นต่างทางการเมืองเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ตามพัฒนาการทางการเมือง แต่ว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ แล้วเป็นสิ่งที่เราคนไทยต้องเรียนรู้ร่วมกันที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียอีก ท่ามกลางความเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ไม่มีสิทธิ์จะใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือไม่ว่าใครก็ตาม



กำลังโหลดความคิดเห็น