รายงานการเมือง
คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. นายกรัฐมนตรี และผบ.ทบ. ผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติที่เผยแพร่ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับการจับกุมกลุ่มชายชุดดำที่ลงมือก่อเหตุในการชุมนุมทางการเมืองว่า
“สำหรับข้อมูลหลายประการที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธสงครามพฤติกรรมทั้งการยิงเอ็ม79 การยิงเอ็ม 16 ขว้างระเบิดทั้งในปี 2553 และ ปี2556 และ 2557 นั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการจับกุมได้หลายคน จากการสืบสวนสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวน มีความก้าวหน้าไปมากมายถ้าผมกล่าวว่ามีใครบ้างที่สนับสนุนทั้งอาวุธ เงินทอง ทุกท่านอาจจะตกใจก็ได้
“วันนี้ผมยังไม่พูดให้เป็นเรื่องที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกระบวนการยุติธรรม สอบสวนสืบสวนให้ชัดเจน ให้ความชอบธรรมให้ความเป็นธรรมเราคงไม่ไปยัดข้อหาให้ หรือไปสร้างพยานเท็จพยานเทียมเพราะฉะนั้นหลายคนเกี่ยวข้องก็หนีไปต่างประเทศหมด ที่มีรายชื่อต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้าท่านคิดว่าท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ท่านก็กลับมาเพราะจะมีการโยงใยไปถึงหลายๆ ส่วนด้วยกัน ทั้งบุคคล ทั้งกลุ่มทั้งผู้ให้การสนับสนุน เตรียมตัวไว้ ถ้าใครคิดว่าไม่ผิด ถ้าใครคิดว่าไม่ผิดแล้วเมื่อมีพยานหลักฐานพร้อมนั้น ท่านสู้คดีไม่ได้ท่านต้องถูกดำเนินคดีแน่นอนนะครับ มอบตัวเถอะครับ เผื่อจะได้ความกรุณาจากศาลบ้าง”
สะท้อนถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีก่อการร้ายที่มีการก่ออาชญากรรมกับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553 และแผนการที่จะจุดไฟให้ลุกโชนในประเทศอีกครั้งในปี 2556-2557 แต่สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังเดินหน้าในขณะนี้กลับยังไม่เห็นความชัดเจนว่าจะมีความกล้าหาญที่จะสาวไปถึงตัวผู้บงการจริงหรือไม่
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเอ่ยชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ดูเหมือนว่าจะเกิดอาการป๊อดกันไปทุกราย ไม่เว้นแม้แต่ตัวท่านผู้นำ เองโดยจะอ้างกับดักเรื่องความขัดแย้งมากลบเกลื่อนความจริงที่ว่า ผู้มีอำนาจในขณะนี้ยังไม่มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะชี้ให้สังคมเห็นว่า “ใครถูก ใครผิด” ยังแยกแยะไม่ได้ว่า “อะไรคือความชั่ว และอะไรคือความดี”
จึงใช้วิธีตีขลุมเหมารวมว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนผ่านการชุมนุมเรียกร้องคือปัญหาที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นหลักคิดที่คงจะไม่สามารถสร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนให้กับประชาชนได้นอกจากจะเป็นการปูทางให้คนบางกลุ่มอยู่ในอำนาจยาวนานออกไปได้โดยไม่มีวาระ 1 ปีมาเป็นตัวกำกับบนเงื่อนไขความกลัวของสังคมว่า “ไม่อยากให้มีการชุมนุมประท้วงจึงต้องให้ทหารคุมอำนาจกลัวว่าทักษิณจะกลับมามีอำนาจ ขออยู่ภายใต้อำนาจของทหารดีกว่า”
ภายใต้ความกลัวข้างต้นทำให้คนไทยจำนวนมากลืมคิดไปว่าเหตุผลที่คนไทยยอมรับการรัฐประหารครั้งนี้เพราะคาดหวังว่ากองทัพจะช่วยสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ผ่านการให้ความจริงเพื่อให้ประชาชนเรียนรู้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทิศทางที่ดีขึ้น
แต่สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินการมายังน้อยกว่าที่คาดกัน ในการจะทำให้ประชาชนเล็งเห็นถึงต้นตอปัญหาจากการฉ้อฉลอำนาจรัฐปล้นเงินแผ่นดิน ทำให้สามารถคาดเดาอนาคตได้ล่วงหน้าว่าหากจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงในปี 58 ก็ไม่พ้นคนของทักษิณที่จะกลับมากัดกินประเทศอีกครั้ง
ถ้าคนไทยยังตีโจทย์นี้ไม่แตกอยู่บนฐานความคิดว่าจะต้องไว้วางใจให้โอกาสโดยไม่มีการตรวจสอบหรือกระตุ้นเตือนผู้มีอำนาจการรัฐประหารครั้งนี้ก็จะมีจุดจบอยู่เพียงแค่ “อำนาจเปลี่ยนมือแต่ประเทศไม่เปลี่ยนแปลง”
สังคมไทยจะเป็นคนป่วยที่ถูกเลี้ยงไข้ไปเรื่อย ๆภายใต้การดูแลของทหารอย่างไม่มีกำหนด
แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์มีความจริงใจ จริงจังที่จะทำให้เกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืน ก็ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ
เริ่มจากการทำความจริงให้ปรากฏเกี่ยวกับคดีที่มีการก่ออาชญากรรมต่อประเทศอย่าจับแต่ปลาซิวปลาสร้อยเพื่อโชว์ว่ามีผลงานแต่สุดท้ายคนบงการยังนั่งจิบโวน์หัวร่อร่ากอบโกยผลประโยชน์ผ่านการบริหารที่ไม่ได้ไปแตะกลุ่มทุนและผลประโยชน์ของอำนาจเก่า
นายทหาร 3 ป.คือ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ทำงานด้านความมั่นคงที่เข้าควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบในปี 2553 ทั้งสิ้น จึงย่อมเข้าใจดีว่าต้นตอของปัญหาคืออะไรขบวนการเคลื่อนไหวใหญ่โตแค่ไหน เชื่อมโยงไปถึงใครบ้างหากยังไม่กล้าทำความจริงให้ปรากฏในวันที่อำนาจล้นฟ้าก็คงไม่สามารถสร้างศรัทธาความเชื่อถือจากคนไทยได้
การเร่งปิดคดีชายชุดดำที่กองปราบเตรียมส่งฟ้องในข้อหาร่วมกันมีและใช้อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้พกพาอาวุธปืนและวัตถุระเบิดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีเหตุอันสมควรโดยยืนยันว่าเหตุทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับคดีการเสียชีวิตของพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรมนั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจะไม่มีการขยายผลคดีนี้ไปถึงตัวผู้บงการตามที่ประชาชนคาดหวัง
เพราะถ้ามีเจตนาที่จะลากคอผู้บงการมาลงโทษจริงต้องมีการรื้อคดีที่ “อัยการสูงสุด” มีคำสั่งไม่ฟ้อง “ทักษิณ” ในคดีก่อการร้ายมาพิจารณาใหม่ หลังจากที่ปรากฏ พยานหลักฐานใหม่จำนวนมากที่เชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ
ตั้งแต่กรณีขอนแก่นโมเดลที่มีการกวาดล้างอาวุธสงครามจำนวนมากปรากฎข้อมูลในตอนแรกด้วยว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงเส้นทางการเงินไปถึงคนแดนไกลมาจนถึงล่าสุดที่พบหลักฐานว่า กริชสุดา คุณะเสน หรือเปิ้ล สหายสุดซอย โอนเงินให้กับชายชุดดำ ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อมโยงว่า กริชสุดา สนิทสนมกับ มนัญชยา เกศแก้ว หรือเมย์อียู ซึ่งคนเสื้อแดงด้วยกันเองออกมาแฉว่าเป็นผู้นำเงินจากทักษิณมาจ่ายให้คนเสื้อแดงและการ์ดแต่เกิดปัญหาอมเงินขึ้น นอกจากนี้ กริชสุดายังหนีคดีในต่างประเทศโดยเคลื่อนไหวร่วมกับจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ทำไมจึงไม่มีการขยายปมเหล่านี้แต่กลับตัดตอนคดีแค่ว่าชายชุดดดำทำผิดด้วยการพกพาอาวุธรสงคราม เท่านั้น ทั้งๆ ที่การพกพาอาวุธสงครามของคนเหล่านี้คือชนวนที่ทำให้เกิดความสูญเสียซึ่งผู้ต้องหาก็ให้การยอมรับด้วยว่ามีการยิงเข้าใส่ประชาชน เจ้าหน้าที่แต่กลับไม่มีการตั้งข้อหาเรื่องการทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชนตรงกันข้ามกลับเคลียร์ให้ว่าคนเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ทั้งที่ข่าวที่ออกมาในตอนแรกจากตำรวจคือเป็นกลุ่มที่ทำร้าย พล.อ.ร่มเกล้า
ถ้าจะเดินหน้าต่อไปแบบนี้ แล้วไม่เปิดเผยชื่อตัวการไว้ก็ต้องตระหนักด้วยว่าความไว้วางใจจะถูกทำลายได้ทันที หากประชาชนพบว่าไว้ใจคนผิด