เกาะกระแส
00 ยังมีการเคลื่อนไหวกันมาแบบต่อเนื่องหลังจากมีการรวบตัว 5 ผู้ต้องหาใช้อาวุธสงครามสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม พร้อมทั้งทหารและประชาชนอื่นๆเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 โดยล่าสุด ว่าที่ผบ.ตร.พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ดูแลคดีด้านความมั่นคง ยืนยันว่ามีหลักฐานการโอนเงินเชื่อมโยงไปถึง นส.กริชสุดา คุณะแสน นักกิจกรรมเสื้อแดง ที่เวลานี้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว หากพิจารณาจากประเด็นคำพูดของ ว่าที่ผบ.ตร.ที่สื่อสารออกมาต้องการชี้ให้เห็นว่า "ไม่ใช่กริชสุดาเป็นผู้บงการ"เพียงแต่ว่าเป็นหนึ่งใน"จิ๊กซอร์"ย่อย ที่เชื่อมโยงไปอีกหลายตัว จากหลายภารกิจแยกกันทำงาน เพราะแน่นอนว่าศักยภาพของเธอนั้นมันโนเนมและกระจอกเกินไป
00 อย่างไรก็ดีสิ่งที่เห็นในเวลานี้ก็คืออาการ"ดิ้นพล่าน"ของพวกบรรดา"หัวโจก"คนเสื้อแดง ทั้งจตุพร พรหมพันธุ์ เหวง โตจิราการ หรือใครก็ตามที่ออกมาเถียงหัวชนฝาว่าไม่มีชายชุดดำอย่างเด็ดขาด ยืนยันว่าคนเสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ด้วยความสงบ ไม่สนใจถึงหลักฐานที่มีทั้งภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึวพฤติกรรมระหว่างการชุมนุมของบรรดาแกนนำแต่ละคนที่แสดงออกมา ล้วนส่อไปในทางรุนแรงทั้งสิ้น มีการปลุกระดมเพื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้าม มีเป้าหมายเพื่อ"สร้างเงื่อนไข"ให้"เกิดความรุนแรง" ขอโทษเถอะ เป้าหมายให้มีคนตายไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง(ผู้ชุมนุม) เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เกิดความโกรธแค้นวุ่นวายมากที่สุดและนำไปสู่จลาจลเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และนำไปสู่การเลือกตั้ง ซึ่งเมื่อยังยึดกุมรากหญ้าเอาไว้ด้วยนโยบายประชานิยม เมื่อมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ต้องได้กลับมามีอำนาจวันยังค่ำ
00 แน่นอนว่าหากพูดกันแบบ"ศรีธนญชัย"ก็ต้องบอกว่าคนเสื้อแดงไม่มีชายชุดดำ มันก็แหงอยู่แล้ว เพราะชายชุดดำบางครั้งตอนก่อเหตุมันไม่ได้ใส่ชุดดำทุกครั้ง ชุดดำเป็นเพียงสัญญลักษณ์ในการใช้อาวุธสงครามในการก่อเหตุ อาจจะมาในแบบชุดดำ ชุดแดง ชุดครึ่งท่อน หรือชุดพรางแบบทหารก็มี ดังนั้นถ้าพูดแบบเถรตรงอย่างที่หัวโจกคนเสื้อแดงออกมาปฏิเสธมันก็ใช่ และบางครั้งแกนนำพวกนี้บางคนอาจไม่รู้ถึงแผนปฏิบัติการ เพราะระดับชั้นมันไม่เท่ากัน บางคนแค่ปลายแถวรับงานมาเฉพาะปลุกระดมชุมนุมอย่างเดียว และที่น่าจับตาก็คือการปฏิเสธก็ด้วยเหตุผลยืนยันว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ เพราะหากมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงกันเป็นขบวนการเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าเป็น"ขบวนการร้าย"จะถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก มีโทษสูงและโอกาสนิรโทษกรรมในอนาคตแทบไม่มีเลย นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ เหวง โตจิราการ ธิดา ถาวรเศรษฐ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ หรือใครต่อใครยืนยันมาตลอดไงละ !!
00 เชื่อว่านับจากนี้ไปกระบวนการเจรจาเพื่อ"สันติสุข"ชายแดนใต้คงเดินหน้าเต็มตัว หลังจากฝ่ายไทยส่งตัวแทนคือ เลขาฯสมช.ถวิล เปลี่ยนศรี เดินทางไปมาเลย์นำร่องไปแล้ว งานนี้แม้ว่าในหลักการใหญ่ยังไม่เปลี่ยนนั่นคือ "การพูดคุย"ยังดำเนินต่อ เพียงแต่ปรับปรุงในรายละเอียดให้กว้างและครอบคลุมแบบทั่วถึง ไม่เน้นสร้างภาพแบบปัจจุบันทันด่วน ความหมายก็คือ "คุยไปเรื่อยๆ"จนกว่าตกผลึก ที่สำคัญต้องให้"ทุกกลุ่ม"เข้ามาร่วมคุย ทางหนึ่งจะได้รู้จัก"ตัวตน"ของแต่ละกลุ่มว่ามีอยู่จริงหรือไม่ หลังจากที่ผ่านมาเหมือนกับ"สู้กับลม" ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และที่สำคัญคราวนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจรจา และการปราบปรามเป็น"เอกภาพ"มากที่สุดในรอบหลายปี เพราะทั้งรัฐบาล-กองทัพมาจากที่เดียวกัน ถ้าคลี่คลายได้ก็ดี แต่ถ้าล้มเหลวอีกมันก็น่าคิดเหมือนกัน !!
00 ในด้านกองทัพบกแม่งานสำคัญคงเป็นหน้าที่ของ ว่าที่ผบ.ทบ.พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ที่รับหน้าที่หลักแบบนี้มาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับว่าที่แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ปราการ ชลยุทธ ที่มาจากรองแม่ทัพภาคที่ 4 ถือว่ารูัจักพื้นที่มานานพอสมควรแล้ว ก็น่าจะมีความหวังได้บ้าง สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพอมีหวังก็คือ ระยะหลังหากสังเกตจะพบว่าแม้ว่ายังมีการก่อเหตุรุนแรงมีคนเจ็บตายน่ากลัว แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการจับกุมคนก่อเหตุได้จำนวนมาก ล่าสุดจับกุมผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดรางรถไฟ ที่ตำบลตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 6 คน ซึ่งที่ผ่านมาหลายกรณีก็ตามจับคนร้ายได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระยะหลัง"การข่าว"ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว และการแก้ปัญหาชายแดนใต้ให้คลี่คลายในทางบวกมากขึ้น ส่วนสำคัญมาจากการข่าวนี่แหละ แต่การข่าวที่ดีได้ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือและ"ไว้วางใจ"จากพื้นที่ด้วย !!