xs
xsm
sm
md
lg

ตรวจดีเอ็นเอ9เด็กอุ้มบุญ จ่อฟันกราวรูดแพทย์มีเอี่ยว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-"เอก"สั่งตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์เด็ก 9 คน เป็นลูกชาวญี่ปุ่นและเกิดจากการอุ้มบุญจริงหรือไม่ ลั่นหากพบผิด ดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญาและค้ามนุษย์ สืบต่อเด็กมาจากไหน หวั่นถูกขโมยมาหรือเป็นขบวนการส่งเด็กออกไปขาย "ปวีณา"ตั้งข้อสังเกต หน้าตาเด็กคล้ายยุโรป เหมือนเอเชียแค่หนึ่งคน พม.ชง คสช. เร่งคลอดกฎหมายคุมอุ้มบุญ เอาผิดแก๊งเช่ามดลูก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพนัดแถลงรายละเอียดทั้งหมดวันนี้ แพทยสภาจ่อฟันกราวรูดแพทย์ที่มีเอี่ยวกระบวนการอุ้มบุญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (6ส.ค) ที่สน.ลาดพร้าว พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว เเละน.ส.ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ร่วมประชุมเพื่อหาเเนวทางการสืบสวนกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจคอนโดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ซึ่งจากการตรวจค้นพบ 9 ทารกอุ้มบุญซึ่งเกิดจากพ่อชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน พร้อมพี่เลี้ยงคอยดูเเลเด็กอีก 9 คน และหญิงตั้งครรภ์อีก 1 คน โดยใช้เวลาในการประชุม ประมาณ 30 นาที

พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ได้เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือกันถึงเเนวทางการสืบสวนกรณีที่เกิดขึ้น โดยเเต่งตั้งให้พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รอง ผบช.น. ควบคุมการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้ได้นำตัวพี่เลี้ยงซึ่งดูเเลเด็กทั้ง 9 คน รวมถึงผู้หญิงซึ่งตั้งครรภ์ 6 เดือนมาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมถึงทนายความเเละผู้ประสานงาน เชื่อได้ว่าทั้งหมดจะต้องเกี่ยวโยงกันเป็นเครือข่ายเเน่นอน โดยจากการสอบปากคำเบื้องต้นทราบว่ามีผู้ประสานงานนำเชื้อของชายชาวญี่ปุ่นรายนี้มาให้กับหญิงสาวในประเทศไทย ซึ่งผู้ประสานงานรายนี้ได้มีการจัดหาที่พักอาศัย อาหาร รวมถึงติดต่อสถานที่คลอดให้เรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่จะต้องเร่งตรวจสอบต่อไปว่าเชื้อดังกล่าวนั้นเป็นของผู้ใด เเละมีการไปคลอดเด็กที่ใด

"ขณะนี้ได้ติดต่อไปยังสถานทูตญี่ปุ่นเพื่อให้ช่วยตามหาผู้เป็นพ่อควบคู่กับสถานที่ทำคลอด ก่อนจะนำมาตรวจดีเอ็นเอต่อไป โดยทางนี้จะติดตามหาตัวผู้เป็นเเม่ที่เเท้จริง จึงจะระบุได้ว่าเด็กเหล่านี้เกิดจากเเม่จริงๆ หรือเกิดจากเเม่อุ้มบุญกันเเน่ ขณะนี้จึงยังไม่สามารถตั้งข้อหากับใครได้ ต้องตรวจสอบหารายละเอียดให้ชัดเจนก่อน พร้อมยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างเฉียบขาด ทั้งกฎหมายอาญาเเละกฎหมายการค้ามนุษย์"

ทั้งนี้ ในส่วนของการดูเเลเด็ก ทางมูลนิธิปวีณาฯ จะเป็นผู้รับไปดูเเลต่อ และในส่วนของหญิงชาวญี่ปุ่น ยอมรับว่าพบในคอนโดดังกล่าวจริง โดยจากการสอบปากคำเบื้องต้น ให้การเพียงว่าเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะทำการสอบปากคำเพื่อหาข้อมูลต่อไป

***สืบต่อเด็กมาจากไหนเยอะขนาดนั้น

พล.ต.ท.จงเจตน์ กล่าวว่า หากสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ครบถ้วน จะสามารถเอาผิดกับเเพทย์ เนื่องจากผิดหลักการอุ้มบุญของเเพทยสภา เพราะหากเเบ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการอุ้มบุญนั้น เเบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1.ประเทศที่อนุญาตให้ทำด้วยเหตุผลทางการเเพทย์ เเละประเทศที่ไม่อนุญาตให้ทำเลย กลุ่มที่ 2.ประเทศที่ยังไม่มีกฎหมายที่ระบุออกมาเลย ซึ่งประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะกฎหมายเกี่ยวกับการอุ้มบุญมีปัญหามายาวนาน ประเทศไทยยังไม่มีการออกกฎหมายอุ้มบุญออกมา มีเพียงการร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการเเพทย์ ที่ทางเเพทยสภาจะคอยผลักดันเเละควบคุมอยู่ ซึ่งหากทางเเพทย์สภาอนุญาตก็สามารถกระทำได้

โดยมีหลักว่าคนไข้ที่ประสงค์จะทำนั้น 1.ต้องมีปัญหาการมีบุตรยาก โดยต้องผ่านการรักษาทางการเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาเเล้ว รวมทั้งสาเหตุที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้นั้น มีปัญหามาจากฝ่ายหญิง 2.ฝ่ายหญิงมีโรคที่การตั้งครรภ์จะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 3.คนที่จะสามารถมาอุ้มบุญให้ได้นั้นต้องเป็นญาติกันทางสายเลือดเท่านั้น 4.ต้องไม่มีการจ้างหรือทำไปในเชิงที่ถือว่าเป็นการค้าพาณิชย์เด็ดขาด

"กรณีที่เกิดขึ้นนี้ต้องมีการตรวจสอบที่เเน่ชัดเสียก่อนว่ามีการรับอุ้มบุญจริงหรือไม่ เเละเกิดจากน้ำเชื้อของชายชาวญี่ปุ่นตามที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่ หากพบว่าเป็นความจริง ก็ต้องตรวจสอบให้ทราบว่าเหตุใดจึงจะต้องให้เกิดเด็กเยอะขนาดนั้น เเต่หากการตรวจสอบออกมาว่าไม่จริง ต้องมีการตรวจสอบต่อไปว่าเหตุใดจึงมีเด็กจำนวนมาก เเละนำเด็กเหล่านี้มาจากไหน ขโมยมาหรือไม่หรือเตรียมนำเด็กส่งออกไปขายยังต่างประเทศหรือไม่"พล.ต.ท.จงเจตน์กล่าว

***"ปวีณา"คัดค้านการอุ้มบุญ

นางปวีณา กล่าวว่า จากการเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 5 ส.ค. พบว่าเด็กทั้ง 9 คน มีอายุน้อยมาก บางรายมีอายุเพียง 15 วัน บางราย 50 วัน เเละจากการสังเกตพบว่าหน้าตาของเด็กทารกเหล่านั้นค่อนข้างไปทางยุโรป มีเพียง 1 คน ที่หน้าตาค่อนมาทางชาวเอเชีย จึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งตรวจสอบหาพ่อเเละเเม่ที่เเท้จริง เพื่อเเก้ความสงสัยในเรื่องหน้าตาของเด็กเหล่านี้ด้วย โดยเด็กทารกทั้ง 9 คน ขณะนี้ถูกส่งไปดูเเลอย่างดีที่สถานเลี้ยงเด็กอ่อน ที่อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

ทั้งนี้ ในความคิดเห็นตนนั้น ยังมองว่าการอุ้มบุญในประเทศไทยยังไม่ควรมี เนื่องจากยังคงมีปัญหาการเอาเปรียบ ข่มขืนเเละทารุณกรรมเด็กเป็นจำนวนมาก หากมาวิเคราะห์กันตามเหตุผลว่าไม่สามารถมีลูกได้ ก็สามารถทำได้ เเต่หากมีการนำไปเป็นการค้า หรือนำไปเลี้ยงเเล้วเกิดเหตุข่มขืน ตนถามว่าใครจะรับผิดชอบ

"อยากฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบกรณีที่มีคนมาร้องเรียนว่าได้รับการว่าจ้างให้อุ้มบุญ พออายุครรภ์ 7 เดือนให้เอาเด็กออก เเล้วนำไขสันหลังไปทำความสวยความงาม ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างร้ายเเรง โดยหากบุคคลใดที่ขณะนี้รับเป็นเเม่อุ้มบุญอยู่เเละต้องการให้ข้อมูลสามารถติดต่อมาทางตน ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือทางกระทรวงสาธารณสุขได้ตลอดเวลา"นางปวีณากล่าว

***ชง คสช.ออกกฎหมายคุมอุ้มบุญ

นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า ได้เตรียมเสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กจากเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธ์ ที่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว เพื่อให้มีการคุ้มครองเด็กที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และแก้ปัญหาถึงความเป็นผู้ปกครองเด็กที่เกิดออกมา เพื่อให้ความคุ้มครองและสวัสดิภาพต่างๆ กับเด็ก รวมถึงการห้ามไม่ให้มีการรับจ้างตั้งครรภ์แทน และห้ามทำการเป็นคนกลางหรือนายหน้าจัดให้มีการรับจ้างตั้งครรภ์แทน

“ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีลูกยาก หรือผู้ที่มีร่างกายไม่พร้อม แต่อยากมีลูก โดยผู้ที่ตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นบุคคลตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งควรเป็นพี่น้อง ญาติ หรือคนใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ เพื่อความผูกพัน ความรับผิดชอบ และทุกขั้นตอนจะต้องผ่านกระบวนการวินิจฉัยด้วยเหตุผลทางการแพทย์ที่รอบคอบ ซึ่งกฎหมายระบุชัดเจนถึงพ่อแม่เจ้าของเซลล์สืบพันธุ์ที่ให้ผู้อื่นตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าเด็กที่เกิดออกมาจะมีความผิดปกติหรือไม่”นายวิเชียรกล่าว

***นัดแถลงเรื่องอุ้มบุญทั้งหมดวันนี้

นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปบ้านปากเกร็ด เพื่อติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและการทำอุ้มบุญ สืบค้นประวัติแพทย์ เพื่อส่งแพทยสภา และวันนี้ (8 ส.ค.) จะแถลงข่าวความคืบหน้าเรื่องการอุ้มบุญทั้งหมด

***จ่อฟันแพทย์ที่เอี่ยวขบวนการ

นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า ได้นำเรื่องการตรวจจับคลินิกอุ้มบุญย่าน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ และการช่วยเด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คน ที่แหล่งพักย่านลาดพร้าวเข้าที่ประชุมกรรมการแพทยสภา เชื่อว่าครั้งนี้จะมีการลงโทษเอาผิดแพทย์จากการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นรายแรก โดยเมื่อแพทยสภาได้รับรายชื่อแพทย์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) แล้ว จะนำเข้าสู่การพิจารณาของกรรมการจริยธรรม เพื่อไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าผิดจริงจะมีโทษสูงสุดถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม

“กรณีดังกล่าวชัดเจนว่า แพทย์และสถานพยาบาลที่ทำการอุ้มบุญ มีความผิดแน่นอนตามข้อบังคับแพทยสภา แต่ส่วนหญิงที่รับอุ้มบุญยังไม่มีกฎหมายใดกำหนดความผิด จึงเห็นด้วยและสนับสนุนให้มีการออก พ.ร.บ.การตั้งครรภ์โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ซึ่งมีการยกร่างไว้ตั้งแต่ปี 2551 โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวจะสามารถเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำอุ้มบุญทั้งหมดตั้งแต่หญิงรับทำอุ้มบุญ เอเยนซี ไม่เฉพาะแพทย์ที่ทำผิดตามข้อบังคับแพทยสภา” นายกแพทยสภากล่าว

***ยันแพทย์ต้องรู้ใครเป็นพ่อเป็นแม่

นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์เจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีบุกตรวจคลินิกอุ้มบุญย่าน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ และการช่วยเหลือเด็กอุ้มบุญ 9 คน จากแหล่งพักย่านลาดพร้าว ว่า การทำอุ้มบุญนั้น มีทั้งการเก็บไข่ เก็บสเปิร์ม และการฉีดตัวอ่อนให้แก่แม่อุ้มบุญ ซึ่งแพทย์จะต้องพบกับพ่อแม่ที่แท้จริง และแม่อุ้มบุญ การจะอ้างว่าไม่รู้ว่าไม่ใช่ญาติไม่ได้ หากสงสัยก็สามารถสอบถามกลับได้ ยิ่งพ่อแม่ต่างชาติ ต่างภาษา เช่น กรณีน้องแกมมี่ สามารถสงสัยได้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงและแม่อุ้มบุญเป็นญาติกันหรือไม่ ซึ่งหากทำให้ก็ถือว่ามีความผิดแน่นอน เพราะตามประกาศแพทยสภานั้น กำหนดให้อุ้มบุญเฉพาะญาติทางสายเลือดเท่านั้น และต้องไม่มีการจ้างวาน อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ ราชวิทยาลัยสูติฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่จะเร่งให้ความรู้กับประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น