ตำรวจจับมือมูลนิธิปวีณา ทลายคอนโดย่านลาดพร้าวพบพ่อญี่ปุ่นคนเดียวจ้างหญิงไทย อุ้มบุญ 9 ทารก พร้อมหญิงตั้งครรภ์ 6 เดือนอีกหนึ่ง หวั่นธุรกิจทำแท้งเด็กค้าไขสันหลังทารก
วันนี้ (6 ส.ค.) ที่ สน.ลาดพร้าว พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว และ น.ส.ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางการสืบสวนกรณีที่เจ้าหน้าที่ เข้าตรวจคอนโดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ซึ่งจากการตรวจค้นพบ 9 ทารกอุ้มบุญซึ่งเกิดจากพ่อชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน พร้อมพี่เลี้ยงคอยดูแลเด็กอีก 9 คน และหญิงตั้งครรภ์อีก 1 คน โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 30 นาที
พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า วันนี้ตนได้เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือกันถึงแนวทางการสืบสวนกรณีที่เกิดขึ้น โดยแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รอง ผบช.น. ควบคุมการสืบสวนสอบสวน ขณะนี้ได้นำตัวพี่เลี้ยงซึ่งดูแลเด็กทั้ง 9 คน รวมถึงผู้หญิงซึ่งตั้งครรภ์ 6 เดือนมาสอบปากคำเพิ่มเติม รวมถึงทนายความและผู้ประสานงาน เชื่อได้ว่าทั้งหมดจะต้องเกี่ยวโยงกันเป็นเครือข่ายแน่นอน โดยจากการสอบปากคำเบื้องต้นทราบว่ามีผู้ประสานงานนำเชื้อของชายชาวญี่ปุ่นรายนี้มาให้กับหญิงสาวในประเทศไทย ซึ่งผู้ประสานงานรายนี้ได้มีการจัดหาที่พักอาศัย อาหาร รวมถึงติดต่อสถานที่คลอดให้เรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่จะต้องเร่งตรวจสอบต่อไปว่าเชื้อดังกล่าวนั้นเป็นของผู้ใด และมีการไปคลอดเด็กที่ใด
พล.ต.อ.เอก กล่าวต่ออีกว่า ซึ่งขณะนี้ได้ติดต่อไปยังสถานทูตญี่ปุ่นเพื่อให้ช่วยตามหาผู้เป็นพ่อ ควบคู่กับสถานที่ทำคลอด ก่อนจะนำมาตรวจดีเอ็นเอต่อไป โดยทางนี้จะติดตามหาตัวผู้เป็นแม่ที่แท้จริง จึงจะระบุได้ว่าเด็กเหล่านี้เกิดจากแม่จริงๆ หรือเกิดจากแม่อุ้มบุญกันแน่ ขณะนี้จึงยังไม่สามารถตั้งข้อหากับใครได้ ต้องตรวจสอบหารายละเอียดให้ชัดเจนก่อน พร้อมยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการอย่างเฉียบขาด ทั้งกฎหมายอาญา และกฎหมายการค้ามนุษย์ ในส่วนของการดูแลเด็กนั้น ทางมูลนิธิปวีณาจะเป็นผู้รับไปดูแลต่อ ในส่วนของหญิงชาวญี่ปุ่นนั้น ยอมรับว่าพบในคอนโดดังกล่าวจริง โดยจากการสอบปากคำเบื้องต้น ให้การเพียงว่าเพิ่งเข้ามาอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะทำการสอบปากคำเพื่อหาข้อมูลต่อไป
พล.ต.ท.จงเจตน์ กล่าวว่า หากสามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ครบถ้วน จะสามารถเอาผิดกับเเพทย์ เนื่องจากผิดหลักการอุ้มบุญของแพทยสภา เพราะหากแบ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการอุ้มบุญนั้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ประเทศที่อนุญาตให้ทำด้วยเหตุผลทางการแพทย์ และประเทศที่ไม่อนุญาตให้ทำเลย กลุ่มที่ 2 ประเทศที่ยังไม่มีกฎหมายที่ระบุออกมาเลย ซึ่งประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะกฎหมายเกี่ยวกับการอุ้มบุญมีปัญหามายาวนาน ประเทศไทยยังไม่มีการออกกฎหมายอุ้มบุญออกมา มีเพียงการร่าง พ.ร.บ. “คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการเเพทย์” ที่ทางแพทยสภาจะคอยผลักดันและควบคุมอยู่ ซึ่งหากทางแพทย์สภาอนุญาตก็สามารถกระทำได้ โดยมีหลักว่าคนไข้ที่ประสงค์จะทำนั้น 1. ต้องมีปัญหาการมีบุตรยาก โดยต้องผ่านการรักษาทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาแล้ว รวมทั้งสาเหตุที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้นั้นมีปัญหามาจากฝ่ายหญิง 2. ฝ่ายหญิงมีโรคที่การตั้งครรภ์จะก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 3. คนที่จะสามารถมาอุ้มบุญให้ได้นั้นต้องเป็นญาติกันทางสายเลือดเท่านั้น 4. ต้องไม่มีการจ้างหรือทำไปในเชิงที่ถือว่าเป็นการค้าพาณิชย์เด็ดขาด
พล.ต.ท.จงเจตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นนี้ต้องมีการตรวจสอบที่แน่ชัดเสียก่อนว่ามีการรับอุ้มบุญจริงหรือไม่ และเกิดจากน้ำเชื้อของชายชาวญี่ปุ่นตามที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่ หากพบว่าเป็นความจริง ก็ต้องตรวจสอบให้ทราบว่าเหตุใดจึงจะต้องให้เกิดเด็กเยอะขนาดนั้น แต่หากการตรวจสอบออกมาว่าไม่จริง ต้องมีการตรวจสอบต่อไปว่าเหตุใดจึงมีเด็กจำนวนมาก และนำเด็กเหล่านี้มาจากไหน ขโมยมาหรือไม่ หรือเตรียมนำเด็กส่งออกไปขายยังต่างประเทศหรือไม่
ขณะที่ น.ส.ปวีณา กล่าวว่า จากการเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พบว่าเด็กทั้ง 9 คน มีอายุน้อยมาก บางรายมีอายุเพียง 15 วัน บางราย 50 วัน และจากการสังเกตพบว่าหน้าตาของเด็กทารกเหล่านั้นค่อนข้างไปทางยุโรป มีเพียง 1 คน ที่หน้าตาค่อนมาทางชาวเอเชีย จึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เร่งตรวจสอบหาพ่อและแม่ที่แท้จริง เพื่อแก้ความสงสัยในเรื่องหน้าตาของเด็กเหล่านี้ด้วย โดยเด็กทารกทั้ง 9 คน ขณะนี้ถูกส่งไปดูแลอย่างดีที่สถานเลี้ยงเด็กอ่อน ที่อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ทั้งนี้ ในความคิดเห็นตนนั้น ยังมองว่าการอุ้มบุญในประเทศไทยยังไม่ควรมี เนื่องจากยังคงมีปัญหาการเอาเปรียบ ข่มขืน และทารุณกรรมเด็กเป็นจำนวนมาก หากมาวิเคราะห์กันตามเหตุผลว่าไม่สามารถมีลูกได้ ก็สามารถทำได้ แต่หากมีการนำไปเป็นการค้า หรือนำไปเลี้ยงแล้วเกิดเหตุข่มขืน ตนถามว่าใครจะรับผิดชอบ ทั้งนี้ อยากฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบกรณีที่มีคนมาร้องเรียนว่าได้รับการว่าจ้างให้อุ้มบุญ พออายุครรภ์ 7 เดือนให้เอาเด็กออก แล้วนำไขสันหลังไปทำความสวยความงาม ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างร้ายเเรง โดยหากบุคคลใดที่ขณะนี้รับเป็นแม่อุ้มบุญอยู่ และต้องการให้ข้อมูลสามารถติดต่อมาทางตน ทาง พม. สตช. หรือทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ตลอดเวลา