ศูนย์ข่าวศรีราชา - สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลป์ลงพื้นที่ตรวจเก็บรายเอียดเกี่ยวกับกรณี “แม่อุ้มบุญ” ของชาวออสเตรเลีย เผยอาการโดยรวมดีขึ้นมากด้านจนท.สบส.ลุยคุ้ยเบาะแสพบ "คลินิกอุ้มบุญ" ชื่อดังย่านเพชรบุรีตัดใหม่ รับทำเคส "น้องแกมมี่"
จากกรณีที่อดีตสาวรับจ้างตั้งท้องออกมาแฉ “ธุรกิจอุ้มบุญ” โดยใช้น้ำเชื้อจากชายชาวออสเตรเลีย ผสมกับไข่ของสาวจีนเป็นตัวอ่อนมาฝังในมดลูกของเธอ และพบว่าเธอตั้งท้องเป็นแฝดชายหญิง แต่ต่อมาพบว่า ทารกชายเป็นดาวน์ซินโดรม หมอแนะนำให้ทำแท้งโดยไม่บอกเหตุผล เธอจึงเลือกเอาเด็กไว้จนคลอด สุดท้ายผู้ว่าจ้างเอาเด็กหญิงไป แล้วทิ้งเด็กชายที่ป่วยไว้ให้เลี้ยง ยอมรับทำไปเพราะขาดความรู้ และต้องการหาเงินใช้หนี้ สุดท้ายออกมาเปิดใจของผลการตัดสินใจโดยไม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จนเกิดความเศร้าสลดใจถึงตัวเด็กบริสุทธิ์ที่เกิดมาโดยต้องรับกรรมที่ตนเองไม่ก่อเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนสติหญิงสาวชาวไทยที่คิดที่รับจ้างอุ้มบุญให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ โดเอากรณีของตนตัวเป็นตัวอย่าง
ต่อมาวานนี้ (5 ส.ค.) ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลป์ ได้นำคณะเดินทางตรวจสอบมาตรฐานทางการรักษาของโรงพยาบาล สมิติเวช ศรีราชา ในวันนี้ พร้อมเผยว่า การเดินทางมาในครั้งนี้เป็นการเดินทางมาตรวจสอบมาตรฐานทางการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งในแต่ละปีจะเดินทางมาตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ในปีนี้เดินทางมาเร็วกว่าปกติเท่านั้น และจากการตรวจสอบพบว่า เป็นสถานพยาบาลที่ดีแห่งหนึ่งของประเทศ ที่มีมาตรฐานตามหลักสากล
ประกอบกับสถานพยาบาลแห่งนี้มีกรณีของแม่อุ้มบุญ จึงได้มีการพูดคุยกับแม่ของน้องแกมมี่ เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ และรายละเอียดบางส่วน เพื่อนำข้อไปเสนอผู้บริหารรับทราบถึงแนวทางในการดำเนินการว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป ซึ่งจากพูดคุยแล้วก็เป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดเสนอต่ออธิบดีฯ ต่อไป
ด้านนายวิจิตร พนายิ่งไพศาล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา เผยถึงอาการล่าสุดของ “น้องแกมมี่” ว่า จากการตรวจอย่างละเอียดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจไม่พบอาการผิดปกติตามที่เป็นข่าวในเบื้องต้นแต่อย่างใด นอกจากนั้น จากการตรวจอย่างละเอียดยังพบว่า น้องแกมมี่ มีเพียงอาการดาวน์ซินโดรม ที่มีลักษณะพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติเท่านั้น และสามารถดูแลให้มีพัฒนาการที่ดีได้
ทั้งนี้ ผู้ปกครองยืนยันที่จะรักษาน้องแกมมี่ ที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยจะไม่มีการเคลื่อนย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลใด หากท้ายสุดแล้วอาการของน้องแกมมี่ ยากเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาลฯ จึงจะเคลื่อนย้ายไปรักษาที่สาขาศรีนครินทร์ ที่มีความพร้อมด้านเครื่องมือต่างๆ
ส่วนการตรวจสอบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทั้ง ปอด และไต พบว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ และขณะนี้โรงพยาบาลได้ดูแลรักษาตามอาการ
***พบคลินิกดังถ.เพชรบุรีฯเอี่ยวเคส'น้องแกมมี่'
วานนี้ (5 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และเจ้าหน้าที่ สบส. ลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกเอกชนแห่งหนึ่งย่าน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งเป็นคลินิกเฉพาะทางด้านสูตินรีเวช หลังจากได้รับรายงานว่า มีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และเป็นคลินิกที่ทำการอุ้มบุญกรณี "น้องแกมมี่" ซึ่งหญิงไทยที่รับจ้างอุ้มบุญออกมาแฉว่าดำเนินการเป็นธุรกิจ ผ่านบริษัทตัวแทนหรือเอเยนซี โดยได้รับจ้างจากคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลีย และขณะนี้น้องแกมมี่ที่กำเนิดออกมา อยู่ในภาวะของดาวน์ซินโดรม และติดเชื้อทางลมหายใจ
ทั้งนี้ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวภายหลังตรวจสอบว่า คลินิกดังกล่าวดำเนินการอย่างถูกต้องทั้งหมด คือมีการขึ้นทะเบียนคลินิกอย่างถูกต้องตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และแพทย์ที่ดำเนินการทำอุ้มบุญก็เป็น 1 ใน แพทย์ 45 ราย ที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้จากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แต่ยังถือว่ามีความผิด เนื่องจากทำการอุ้มบุญให้กับบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ ซึ่งผิดต่อประกาศแพทยสภา เรื่อง การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ชัดเจน ทั้งนี้ ผู้ที่จดแจ้งสถานพยาบาลหรือเป็นเจ้าของคลินิกนั้นจะมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนแพทย์ผู้ดำเนินการนั้นขณะนี้ได้ส่งชื่อให้แพทยสภาตรวจสอบเรื่องจริยธรรมแล้ว
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า คลินิกดังกล่าวเปิดให้บริการมาแล้ว 5 ปี มีอาจารย์แพทย์ที่ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์หมุนเวียนเข้ามาประมาณ 20 คน ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบต่อไปว่า หากแพทย์รายอื่นให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อย่างการอุ้มบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตจากราชวิทยาลัยสูติฯ ด้วย หากพบจะถือว่าผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ จำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า คลินิกแห่งนี้ใช่คลินิกที่ทำอุ้มบุญน้องแกมมี่หรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า จากการตรวจสอบเวชระเบียนไม่พบชื่อของแม่ของน้องแกมมี่ แต่คาดว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อ จึงต้องขอตรวจสอบก่อน ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 วันจะทราบผลว่า มีการใช้ชื่อปลอมและมีชื่อที่เข้าข่ายเป็นแม่ของน้องแกมมี่หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการผลักดันกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ขอให้มีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ซึ่งจะช่วยคุ้มครองเด็กโดยตรง โดยเรื่องนี้จะต้องช่วยกันทุกฝ่าย อย่างเรื่องการโฆษณาอุ้มบุญของเอเยนซีตามเว็บไซต์ ต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ส่วนกระทรวงต่างประเทศต้องดูเรื่องการนำเด็กออกนอกประเทศว่าเกี่ยวโยงกับการอุ้มบุญหรือไม่ ส่วนกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะดูในเรื่องกฎหมายค้ามนุษย์ ส่วนกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเป็นการดูแลและควบคุมหน้าที่ของแพทย์เป็นหลัก เป็นต้น
เอเอฟพี รายงานข่าววานนี้ (5 ส.ค.) ระบุว่า พ่อชาวออสเตรเลียที่ถูกกล่าวหาว่า ทอดทิ้งทารกเพศชายป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรมไว้ในไทย เคยถูกพิพากษาลงโทษในความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ทางด้านแม่อุ้มบุญกล่าวว่า เธอยินดีจะรับน้องสาวฝาแฝดของเด็กชายมาเลี้ยง หากข้อกล่าวดังกล่าวเป็นความจริง
เครือข่ายสถานีโทรทัศน์เอบีซีของทางการแดนจิงโจ้รายงานเพิ่มเติมว่า เขาเคยถูกจำคุกฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง 2 คนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ตอนที่เขาอายุเพียง 20 ปีเศษ นอกจากนี้ เมื่อปี 1997 เขายังถูกตั้งข้อกล่าวหา 6 ข้อจากการทำหยาบโลนกับเด็กคนหนึ่ง
ขณะที่ ภัทรมน จันทร์บัว ซึ่งเป็นแม่อุ้มบุญของแกมมี ยืนกรานว่า จะเลี้ยงทารกเพศชายวัย 7 เดือนคนนี้เอง ภายหลังระบุว่า ตอนแรกคู่รักชาวออสเตรเลียที่เป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าของแกมมี ขอให้เธอทำแท้ง และเดินหนีไปเมื่อทราบว่าเขามีอาการป่วยรุนแรง
อย่างไรก็ตาม สามีภรรยาชาวออสเตรเลียคู่นี้ ระบุในคำแถลงซึ่งเพื่อนของพวกเขานำออกเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ออสซี่ “บันเบอรี เมล” ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และพวกเขาไม่ทราบว่าแกมมีเป็นดาวน์ซินโดรม ถึงแม้จะทราบว่าเขาเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
จากกรณีที่อดีตสาวรับจ้างตั้งท้องออกมาแฉ “ธุรกิจอุ้มบุญ” โดยใช้น้ำเชื้อจากชายชาวออสเตรเลีย ผสมกับไข่ของสาวจีนเป็นตัวอ่อนมาฝังในมดลูกของเธอ และพบว่าเธอตั้งท้องเป็นแฝดชายหญิง แต่ต่อมาพบว่า ทารกชายเป็นดาวน์ซินโดรม หมอแนะนำให้ทำแท้งโดยไม่บอกเหตุผล เธอจึงเลือกเอาเด็กไว้จนคลอด สุดท้ายผู้ว่าจ้างเอาเด็กหญิงไป แล้วทิ้งเด็กชายที่ป่วยไว้ให้เลี้ยง ยอมรับทำไปเพราะขาดความรู้ และต้องการหาเงินใช้หนี้ สุดท้ายออกมาเปิดใจของผลการตัดสินใจโดยไม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์จนเกิดความเศร้าสลดใจถึงตัวเด็กบริสุทธิ์ที่เกิดมาโดยต้องรับกรรมที่ตนเองไม่ก่อเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนสติหญิงสาวชาวไทยที่คิดที่รับจ้างอุ้มบุญให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ โดเอากรณีของตนตัวเป็นตัวอย่าง
ต่อมาวานนี้ (5 ส.ค.) ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลป์ ได้นำคณะเดินทางตรวจสอบมาตรฐานทางการรักษาของโรงพยาบาล สมิติเวช ศรีราชา ในวันนี้ พร้อมเผยว่า การเดินทางมาในครั้งนี้เป็นการเดินทางมาตรวจสอบมาตรฐานทางการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้เท่านั้น ซึ่งในแต่ละปีจะเดินทางมาตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ในปีนี้เดินทางมาเร็วกว่าปกติเท่านั้น และจากการตรวจสอบพบว่า เป็นสถานพยาบาลที่ดีแห่งหนึ่งของประเทศ ที่มีมาตรฐานตามหลักสากล
ประกอบกับสถานพยาบาลแห่งนี้มีกรณีของแม่อุ้มบุญ จึงได้มีการพูดคุยกับแม่ของน้องแกมมี่ เกี่ยวกับเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ และรายละเอียดบางส่วน เพื่อนำข้อไปเสนอผู้บริหารรับทราบถึงแนวทางในการดำเนินการว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป ซึ่งจากพูดคุยแล้วก็เป็นไปในทิศทางที่ดี ซึ่งจะนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดเสนอต่ออธิบดีฯ ต่อไป
ด้านนายวิจิตร พนายิ่งไพศาล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา เผยถึงอาการล่าสุดของ “น้องแกมมี่” ว่า จากการตรวจอย่างละเอียดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจไม่พบอาการผิดปกติตามที่เป็นข่าวในเบื้องต้นแต่อย่างใด นอกจากนั้น จากการตรวจอย่างละเอียดยังพบว่า น้องแกมมี่ มีเพียงอาการดาวน์ซินโดรม ที่มีลักษณะพัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติเท่านั้น และสามารถดูแลให้มีพัฒนาการที่ดีได้
ทั้งนี้ ผู้ปกครองยืนยันที่จะรักษาน้องแกมมี่ ที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยจะไม่มีการเคลื่อนย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลใด หากท้ายสุดแล้วอาการของน้องแกมมี่ ยากเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาลฯ จึงจะเคลื่อนย้ายไปรักษาที่สาขาศรีนครินทร์ ที่มีความพร้อมด้านเครื่องมือต่างๆ
ส่วนการตรวจสอบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายทั้ง ปอด และไต พบว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติ และขณะนี้โรงพยาบาลได้ดูแลรักษาตามอาการ
***พบคลินิกดังถ.เพชรบุรีฯเอี่ยวเคส'น้องแกมมี่'
วานนี้ (5 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมด้วย ทพ.อาคม ประดิษฐ์สุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ และเจ้าหน้าที่ สบส. ลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกเอกชนแห่งหนึ่งย่าน ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งเป็นคลินิกเฉพาะทางด้านสูตินรีเวช หลังจากได้รับรายงานว่า มีการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ และเป็นคลินิกที่ทำการอุ้มบุญกรณี "น้องแกมมี่" ซึ่งหญิงไทยที่รับจ้างอุ้มบุญออกมาแฉว่าดำเนินการเป็นธุรกิจ ผ่านบริษัทตัวแทนหรือเอเยนซี โดยได้รับจ้างจากคู่สามีภรรยาชาวออสเตรเลีย และขณะนี้น้องแกมมี่ที่กำเนิดออกมา อยู่ในภาวะของดาวน์ซินโดรม และติดเชื้อทางลมหายใจ
ทั้งนี้ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวภายหลังตรวจสอบว่า คลินิกดังกล่าวดำเนินการอย่างถูกต้องทั้งหมด คือมีการขึ้นทะเบียนคลินิกอย่างถูกต้องตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และแพทย์ที่ดำเนินการทำอุ้มบุญก็เป็น 1 ใน แพทย์ 45 ราย ที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการได้จากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แต่ยังถือว่ามีความผิด เนื่องจากทำการอุ้มบุญให้กับบุคคลที่ไม่ใช่ญาติ ซึ่งผิดต่อประกาศแพทยสภา เรื่อง การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ชัดเจน ทั้งนี้ ผู้ที่จดแจ้งสถานพยาบาลหรือเป็นเจ้าของคลินิกนั้นจะมีโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนแพทย์ผู้ดำเนินการนั้นขณะนี้ได้ส่งชื่อให้แพทยสภาตรวจสอบเรื่องจริยธรรมแล้ว
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า คลินิกดังกล่าวเปิดให้บริการมาแล้ว 5 ปี มีอาจารย์แพทย์ที่ให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์หมุนเวียนเข้ามาประมาณ 20 คน ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบต่อไปว่า หากแพทย์รายอื่นให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อย่างการอุ้มบุญโดยไม่ได้รับอนุญาตจากราชวิทยาลัยสูติฯ ด้วย หากพบจะถือว่าผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ จำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า คลินิกแห่งนี้ใช่คลินิกที่ทำอุ้มบุญน้องแกมมี่หรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า จากการตรวจสอบเวชระเบียนไม่พบชื่อของแม่ของน้องแกมมี่ แต่คาดว่าอาจมีการเปลี่ยนชื่อ จึงต้องขอตรวจสอบก่อน ซึ่งคาดว่าภายใน 1-2 วันจะทราบผลว่า มีการใช้ชื่อปลอมและมีชื่อที่เข้าข่ายเป็นแม่ของน้องแกมมี่หรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการผลักดันกฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ขอให้มีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ... ซึ่งจะช่วยคุ้มครองเด็กโดยตรง โดยเรื่องนี้จะต้องช่วยกันทุกฝ่าย อย่างเรื่องการโฆษณาอุ้มบุญของเอเยนซีตามเว็บไซต์ ต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ส่วนกระทรวงต่างประเทศต้องดูเรื่องการนำเด็กออกนอกประเทศว่าเกี่ยวโยงกับการอุ้มบุญหรือไม่ ส่วนกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะดูในเรื่องกฎหมายค้ามนุษย์ ส่วนกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเป็นการดูแลและควบคุมหน้าที่ของแพทย์เป็นหลัก เป็นต้น
เอเอฟพี รายงานข่าววานนี้ (5 ส.ค.) ระบุว่า พ่อชาวออสเตรเลียที่ถูกกล่าวหาว่า ทอดทิ้งทารกเพศชายป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรมไว้ในไทย เคยถูกพิพากษาลงโทษในความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็ก ทางด้านแม่อุ้มบุญกล่าวว่า เธอยินดีจะรับน้องสาวฝาแฝดของเด็กชายมาเลี้ยง หากข้อกล่าวดังกล่าวเป็นความจริง
เครือข่ายสถานีโทรทัศน์เอบีซีของทางการแดนจิงโจ้รายงานเพิ่มเติมว่า เขาเคยถูกจำคุกฐานล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง 2 คนที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ตอนที่เขาอายุเพียง 20 ปีเศษ นอกจากนี้ เมื่อปี 1997 เขายังถูกตั้งข้อกล่าวหา 6 ข้อจากการทำหยาบโลนกับเด็กคนหนึ่ง
ขณะที่ ภัทรมน จันทร์บัว ซึ่งเป็นแม่อุ้มบุญของแกมมี ยืนกรานว่า จะเลี้ยงทารกเพศชายวัย 7 เดือนคนนี้เอง ภายหลังระบุว่า ตอนแรกคู่รักชาวออสเตรเลียที่เป็นพ่อแม่บังเกิดเกล้าของแกมมี ขอให้เธอทำแท้ง และเดินหนีไปเมื่อทราบว่าเขามีอาการป่วยรุนแรง
อย่างไรก็ตาม สามีภรรยาชาวออสเตรเลียคู่นี้ ระบุในคำแถลงซึ่งเพื่อนของพวกเขานำออกเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ออสซี่ “บันเบอรี เมล” ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง และพวกเขาไม่ทราบว่าแกมมีเป็นดาวน์ซินโดรม ถึงแม้จะทราบว่าเขาเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด