พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทั้งหลายครับ กระผม.................... ในฐานะ......................... ขอเรียนชี้แจงเพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติและความขัดแย้งทางการเมืองของเราอย่างถาวร ขอเสนอต่อพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้ ครับ
นับแต่ พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมากถึง 18 ฉบับ มีเหตุการณ์ที่ไทยเราต้องตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัยและเสียเวลา ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ได้ทรงวินิจฉัยและคัดค้านตักเตือนอย่างถึงที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2477 คือ 76 ปีมาแล้ว แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงเห็นกาลไกล ประมวลโดยย่อ ดังนี้
1. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมาตลอด ทำลายกันเองโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก
2. พระมหากษัตริย์ ทรงคัดค้านอย่างถึงที่สุดด้วยการสละพระราชสมบัติ
3. เกิดรัฐประหาร 14 ครั้ง จาก 2475-2557
4. เกิดกบฏ เนื่องจากทำรัฐประหารไม่สำเร็จ 12 ครั้ง จาก 2475- ปัจจุบัน
5. เกิดสงครามก่อการร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2508 - 2512
6. เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2512-2525 ยุติลงได้ด้วยนโยบาย คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523
7. เกิดการจลาจลทางการเมืองใหญ่ 4 ครั้ง ได้แก่
- เหตุการณ์จลาจล 14 ตุลาคม 2516
- เหตุการณ์จลาจล 6 ตุลาคม 2519
- เหตุการณ์จลาจล 19 - 20 พฤษภาคม 2535
- การชุมนุมของคนเสื้อแดงและก่อการร้าย นำโดยอดีตนายกฯ และพรรคพวก ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 19 พฤษภาคม 53
- ล่าสุดการชุมนุมของ กปปส.ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การเรียกร้องประชาธิปไตยทุกครั้ง แต่ผลที่ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ ทั้งโดนหลอกและเข้าใจผิดว่าได้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกทีไป
8. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง พ. ศ. 2540 - ปัจจุบัน
9. ปัญหาการครอบงำทางเศรษฐกิจ, สังคม จากประเทศมหาอำนาจ
10. ประชาชนยากจน และเป็นหนี้สาธารณะ เฉลี่ยคนละร่วมหนึ่งแสนบาท
11. ปัญหาแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ เพราะรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองมาตลอด 82 ปี
12. ปัญหาอบายมุข ความเสื่อมทรามทางสังคมเลวร้ายมากที่สุด ฯลฯ
13. ปัญหาคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางเกือบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณ
14. ปัญหาความขัดแย้งทางเมือง และปัญหาคอร์รัปชันก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น นับแต่ฉบับแรกและฉบับล่าสุด
เหตุการณ์เหล่านี้ผลมาจากความไม่เป็นธรรมโดยรัฐธรรมนูญ ที่สั่งสมกันมายาวนานถึง 82 ปี
ดังกล่าวนี้พวกเราชาวไทยทั้งมวลต่างก็ตกอยู่ภาวะ“เสี่ยงภัยและเสียเวลา” ล้าหลังมามากเกินพอแล้ว ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก การล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองทั้งสิ้น เป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่-รัฐบาลจากเลือกตั้ง-คอร์รัปชัน-ขัดแย้ง-รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญ-รัฐบาลจากเลือกตั้ง...วนเวียนเช่นนี้เรื่อยมาก่อให้เกิด “วงจรโคตรอุบาทว์” (Wicked Cycle)
ทั้งนี้เกิดจากแนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิอันร้ายแรงต่อชาติ 5 ประการได้หลงผิดตามๆ กันมาอย่างร้ายแรงที่สุดและแก้ไขยากที่สุด ได้แก่
1. การเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ โดยเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” แนวคิดนี้เป็นอภิมหามิจฉาทิฐิ ขอย้ำว่าจะร่างรัฐธรรมนูญสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ ก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป
ปัญญาที่ถูกต้องโดยรัฐบาลนี้เสนอนโยบายเพื่อสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาให้ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันความถูกต้องและเป็นธรรมต่อปวงชนในชาติของเรา โดยมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางแห่งความสามัคคีของปวงชนในชาติในทุกๆ ด้าน
2. การเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอภิมหามิจฉาทิฐิ เป็นที่ทราบชัดแล้วว่าก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองทั้ง 18 ฉบับยาวนาน 82 ปี เป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติ และสร้างความล้มเหลวซ้ำซากในการบริหารราชการแผ่นดิน ปัญญาที่ถูกต้องคือ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมด้วยนโยบายแห่งชาติ เพื่อให้การเมืองเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง 100%
3. เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ปัญญาที่ถูกต้องคือ “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ระบอบก็คือหลักการปกครอง(Principle of Government) ส่วนรัฐธรรมนูญ คือวิธีการปกครอง (Methods of Government) ได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ มีหน้าที่อธิบายขยายความ สะท้อนหลักการปกครอง และรักษาหลักการปกครองไว้
4. เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือ เข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย ปัญญาที่ถูกต้อง ระบบรัฐสภาเป็นเพียงรูปการปกครองชนิดหนึ่งที่เหมาะกับประเทศราชอาณาจักร มีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบอะไรก็ได้
5. เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย ปัญญาที่ถูกต้อง การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
ด้วยแนวคิดความเชื่อผิดๆ ดังกล่าวนี้ ได้ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประเทศชาติของเรามามากต่อมาก จึงเป็นภารกิจสำคัญยิ่งยวดของรัฐบาลนี้จะได้ร่วมมือกับพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ด้วยความสำนึกในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”และด้วยแนวคิด ปัญญาอันยิ่งใหญ่นี้ แก้ไขให้ผ่านพ้นไปให้จงได้
ระบบสุริยจักรวาล หากไม่มีดวงอาทิตย์เป็นเอกภาพ มันจะดำรงอยู่ไม่ได้
เซลล์ หากไม่มีนิวเครียสเป็นเอกภาพ มันจะดำรงอยู่ไม่ได้
มนุษย์ หากไม่มีจิตบริสุทธิ์เดิมแท้ หรือธรรมาธิปไตยภายในจิตใจ จะดำรง ชีวิตอยู่ไม่ได้
ยุทธวิธี หากไม่มียุทธศาสตร์ มันจะสำเร็จลุล่วงไปไม่ได้
วิธีการ หากไม่มีจุดมุ่งหมาย มันก็จะไม่ก้าวไปไหนไม่ได้เลย
ฉันใดก็ฉันนั้น การที่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีระบอบโดยธรรม มันก็ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างภายในชาติของเรา ปัญญาชนของชาติย่อมมองเห็นภัยอันร้ายแรงอันใหญ่หลวงนี้ ที่ได้ครอบงำทำลายประเทศไทยเราอยู่นานเกินไปแล้วกว่า 82 ปี
รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นของพี่น้องปวงชนในชาติ จึงได้มีนโยบายรุกกลับทางการเมือง ด้วยการนำเสนอแนวทางการเมืองโดยธรรมที่เหนือกว่า กล่าวคือ
- จากไม่มีหลักการปกครอง เสนอให้มีการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
- จากรัฐธรรมนูญมาก่อนโดดๆ เปลี่ยนเป็นสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ก่อนร่างธรรมนูญการปกครอง
- จากการเมืองของนักการเมืองโดยฝ่ายเดียว ประชาชนตกเป็นทาสทางการเมือง เปลี่ยนเป็นการเมืองโดยธรรมของปวงชนในชาติ100%
- จากรัฐบาลของชนส่วนน้อยในสังคม เปลี่ยนเป็นรัฐบาลของปวงชนในชาติอย่างแท้จริง
- จากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคง ซึ่งบัญญัติไว้นั้นเป็นเพียงวิธีการปกครองในหมวดหนึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่ง
เปลี่ยนเป็นเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคงสูงสุด สมพระเกียรติยศ โดยยกย่อง เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ ยกขึ้นเป็นหลักหนึ่งในหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 (อุปมาจากเดิมพระมหากษัตริย์ดุจดังดาวเคราะห์เพียงด้านเดียว เปลี่ยนเป็นดาวฤกษ์)
ขั้นตอนที่หนึ่ง รัฐบาลประกาศนโยบาย เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของชาติมาแต่ดังเดิมโดยย่อดังนี้
(1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม
รัฐบาลนำทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาวินิจฉัยและทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และประกาศลงในหนังสือราชกิจนุเบกษา
ขั้นตอนที่สองรัฐบาลนี้จะดำเนินการ ยกร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวและรัฐธรรมนูญ และแก้ไขพระราชบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองให้มีความเป็นธรรม สอดคล้องกับหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
ขั้นตอนที่สามปรับปรุงระบบเศรษฐกิจ โดยใช้หลักระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นระบบเศรษฐกิจของชาติ และแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในเบื้องต้นอย่างถ้วนทั่ว
ขั้นตอนที่สี่รัฐบาลจะอธิบายขั้นตอนรายละเอียดต่างๆ ให้พี่น้องประชาชนรับทราบเป็นลำดับๆ ไปเอาละปัญญาชนของชาติทั้งหลายมาร่วมกันทำความอันถูกต้องโดยธรรมให้เป็นจริง....เชื่อว่ารัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชนเท่านั้นที่จะปฏิบัติให้เป็นจริงได้
นับแต่ พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรมากถึง 18 ฉบับ มีเหตุการณ์ที่ไทยเราต้องตกอยู่ในสภาพเสี่ยงภัยและเสียเวลา ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 ได้ทรงวินิจฉัยและคัดค้านตักเตือนอย่างถึงที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2477 คือ 76 ปีมาแล้ว แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ยิ่งนัก ที่ทรงเห็นกาลไกล ประมวลโดยย่อ ดังนี้
1. 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมาตลอด ทำลายกันเองโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก
2. พระมหากษัตริย์ ทรงคัดค้านอย่างถึงที่สุดด้วยการสละพระราชสมบัติ
3. เกิดรัฐประหาร 14 ครั้ง จาก 2475-2557
4. เกิดกบฏ เนื่องจากทำรัฐประหารไม่สำเร็จ 12 ครั้ง จาก 2475- ปัจจุบัน
5. เกิดสงครามก่อการร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2508 - 2512
6. เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ พ. ศ. 2512-2525 ยุติลงได้ด้วยนโยบาย คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523
7. เกิดการจลาจลทางการเมืองใหญ่ 4 ครั้ง ได้แก่
- เหตุการณ์จลาจล 14 ตุลาคม 2516
- เหตุการณ์จลาจล 6 ตุลาคม 2519
- เหตุการณ์จลาจล 19 - 20 พฤษภาคม 2535
- การชุมนุมของคนเสื้อแดงและก่อการร้าย นำโดยอดีตนายกฯ และพรรคพวก ขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 19 พฤษภาคม 53
- ล่าสุดการชุมนุมของ กปปส.ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การเรียกร้องประชาธิปไตยทุกครั้ง แต่ผลที่ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ ทั้งโดนหลอกและเข้าใจผิดว่าได้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกทีไป
8. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง พ. ศ. 2540 - ปัจจุบัน
9. ปัญหาการครอบงำทางเศรษฐกิจ, สังคม จากประเทศมหาอำนาจ
10. ประชาชนยากจน และเป็นหนี้สาธารณะ เฉลี่ยคนละร่วมหนึ่งแสนบาท
11. ปัญหาแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ เพราะรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองมาตลอด 82 ปี
12. ปัญหาอบายมุข ความเสื่อมทรามทางสังคมเลวร้ายมากที่สุด ฯลฯ
13. ปัญหาคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางเกือบทุกรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณ
14. ปัญหาความขัดแย้งทางเมือง และปัญหาคอร์รัปชันก็เป็นผลจากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น นับแต่ฉบับแรกและฉบับล่าสุด
เหตุการณ์เหล่านี้ผลมาจากความไม่เป็นธรรมโดยรัฐธรรมนูญ ที่สั่งสมกันมายาวนานถึง 82 ปี
ดังกล่าวนี้พวกเราชาวไทยทั้งมวลต่างก็ตกอยู่ภาวะ“เสี่ยงภัยและเสียเวลา” ล้าหลังมามากเกินพอแล้ว ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก การล้มเลิกรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งเกือบจะทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งช่วงชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองทั้งสิ้น เป็นการวนเวียนระหว่างรัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญใหม่-รัฐบาลจากเลือกตั้ง-คอร์รัปชัน-ขัดแย้ง-รัฐประหาร-ร่างรัฐธรรมนูญ-รัฐบาลจากเลือกตั้ง...วนเวียนเช่นนี้เรื่อยมาก่อให้เกิด “วงจรโคตรอุบาทว์” (Wicked Cycle)
ทั้งนี้เกิดจากแนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิอันร้ายแรงต่อชาติ 5 ประการได้หลงผิดตามๆ กันมาอย่างร้ายแรงที่สุดและแก้ไขยากที่สุด ได้แก่
1. การเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบ (หลักการปกครอง) กับรัฐธรรมนูญ โดยเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่า “ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นระบอบประชาธิปไตย” แนวคิดนี้เป็นอภิมหามิจฉาทิฐิ ขอย้ำว่าจะร่างรัฐธรรมนูญสัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ ก็ไม่ได้ระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ได้แต่ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป
ปัญญาที่ถูกต้องโดยรัฐบาลนี้เสนอนโยบายเพื่อสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาให้ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันความถูกต้องและเป็นธรรมต่อปวงชนในชาติของเรา โดยมีหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เป็นศูนย์กลางแห่งความสามัคคีของปวงชนในชาติในทุกๆ ด้าน
2. การเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะ คือยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอภิมหามิจฉาทิฐิ เป็นที่ทราบชัดแล้วว่าก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองทั้ง 18 ฉบับยาวนาน 82 ปี เป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติ และสร้างความล้มเหลวซ้ำซากในการบริหารราชการแผ่นดิน ปัญญาที่ถูกต้องคือ สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมด้วยนโยบายแห่งชาติ เพื่อให้การเมืองเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง 100%
3. เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ปัญญาที่ถูกต้องคือ “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” ระบอบก็คือหลักการปกครอง(Principle of Government) ส่วนรัฐธรรมนูญ คือวิธีการปกครอง (Methods of Government) ได้แก่ หมวดและมาตราต่างๆ มีหน้าที่อธิบายขยายความ สะท้อนหลักการปกครอง และรักษาหลักการปกครองไว้
4. เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือ เข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย ปัญญาที่ถูกต้อง ระบบรัฐสภาเป็นเพียงรูปการปกครองชนิดหนึ่งที่เหมาะกับประเทศราชอาณาจักร มีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบอะไรก็ได้
5. เข้าใจผิดอย่างร้ายแรงว่าการเลือกตั้งเป็นระบอบประชาธิปไตย ปัญญาที่ถูกต้อง การเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
ด้วยแนวคิดความเชื่อผิดๆ ดังกล่าวนี้ ได้ทำความเสียหายอย่างร้ายแรงกับประเทศชาติของเรามามากต่อมาก จึงเป็นภารกิจสำคัญยิ่งยวดของรัฐบาลนี้จะได้ร่วมมือกับพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ด้วยความสำนึกในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”และด้วยแนวคิด ปัญญาอันยิ่งใหญ่นี้ แก้ไขให้ผ่านพ้นไปให้จงได้
ระบบสุริยจักรวาล หากไม่มีดวงอาทิตย์เป็นเอกภาพ มันจะดำรงอยู่ไม่ได้
เซลล์ หากไม่มีนิวเครียสเป็นเอกภาพ มันจะดำรงอยู่ไม่ได้
มนุษย์ หากไม่มีจิตบริสุทธิ์เดิมแท้ หรือธรรมาธิปไตยภายในจิตใจ จะดำรง ชีวิตอยู่ไม่ได้
ยุทธวิธี หากไม่มียุทธศาสตร์ มันจะสำเร็จลุล่วงไปไม่ได้
วิธีการ หากไม่มีจุดมุ่งหมาย มันก็จะไม่ก้าวไปไหนไม่ได้เลย
ฉันใดก็ฉันนั้น การที่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีระบอบโดยธรรม มันก็ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างภายในชาติของเรา ปัญญาชนของชาติย่อมมองเห็นภัยอันร้ายแรงอันใหญ่หลวงนี้ ที่ได้ครอบงำทำลายประเทศไทยเราอยู่นานเกินไปแล้วกว่า 82 ปี
รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นของพี่น้องปวงชนในชาติ จึงได้มีนโยบายรุกกลับทางการเมือง ด้วยการนำเสนอแนวทางการเมืองโดยธรรมที่เหนือกว่า กล่าวคือ
- จากไม่มีหลักการปกครอง เสนอให้มีการสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
- จากรัฐธรรมนูญมาก่อนโดดๆ เปลี่ยนเป็นสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ก่อนร่างธรรมนูญการปกครอง
- จากการเมืองของนักการเมืองโดยฝ่ายเดียว ประชาชนตกเป็นทาสทางการเมือง เปลี่ยนเป็นการเมืองโดยธรรมของปวงชนในชาติ100%
- จากรัฐบาลของชนส่วนน้อยในสังคม เปลี่ยนเป็นรัฐบาลของปวงชนในชาติอย่างแท้จริง
- จากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคง ซึ่งบัญญัติไว้นั้นเป็นเพียงวิธีการปกครองในหมวดหนึ่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยิ่ง
เปลี่ยนเป็นเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคงสูงสุด สมพระเกียรติยศ โดยยกย่อง เทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ ยกขึ้นเป็นหลักหนึ่งในหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 (อุปมาจากเดิมพระมหากษัตริย์ดุจดังดาวเคราะห์เพียงด้านเดียว เปลี่ยนเป็นดาวฤกษ์)
ขั้นตอนที่หนึ่ง รัฐบาลประกาศนโยบาย เสนอหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 อันเป็นรากฐาน แก่นแท้ของชาติมาแต่ดังเดิมโดยย่อดังนี้
(1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม
รัฐบาลนำทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาวินิจฉัยและทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 และประกาศลงในหนังสือราชกิจนุเบกษา
ขั้นตอนที่สองรัฐบาลนี้จะดำเนินการ ยกร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวและรัฐธรรมนูญ และแก้ไขพระราชบัญญัติต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเมืองให้มีความเป็นธรรม สอดคล้องกับหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9
ขั้นตอนที่สามปรับปรุงระบบเศรษฐกิจ โดยใช้หลักระบบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นระบบเศรษฐกิจของชาติ และแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในเบื้องต้นอย่างถ้วนทั่ว
ขั้นตอนที่สี่รัฐบาลจะอธิบายขั้นตอนรายละเอียดต่างๆ ให้พี่น้องประชาชนรับทราบเป็นลำดับๆ ไปเอาละปัญญาชนของชาติทั้งหลายมาร่วมกันทำความอันถูกต้องโดยธรรมให้เป็นจริง....เชื่อว่ารัฐบาลแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชนเท่านั้นที่จะปฏิบัติให้เป็นจริงได้