**โศกนาฎกรรมบนขบวนรถไฟที่เกิดกับเด็กหญิงวัยเพียง 13 ปี แม้จะจับตัวคนร้ายที่ก่อเหตุได้แล้ว แต่อารมณ์ของผู้คนในสังคมดูจะไม่จบลงง่าย ๆโดยจากกระแสที่เคลื่อนตัวอย่างเข้มข้นในโลกโซเชี่ยลมีเดีย มีอยู่สองกระแสหลัก คือ
กระแสเรียกร้องให้มีการกำหนดในกฎหมายให้การข่มขืนต้องลงโทษด้วยการประหารชีวิตเท่านั้น กับอีกกระแสหนึ่ง คือ การเรียกร้องให้ ประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในฐานะผู้บริหาร และจากพฤติกรรมบิดเบือนข้อมูลปัดความรับผิดชอบ โดยระบุว่า คนร้ายไม่ใช่เจ้าหน้าที่การรถไฟ แต่หลักฐานมัดว่าพูดโกหก ซึ่งกรณีที่สองได้รับการตอบสนอง คสช.ปลด ประภัสร์ไปแล้ว
เหตุรุนแรงที่เกิดในที่สาธารณะเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งและทุกครั้งสังคมไทยก็จะจมอยู่กับพายุอารมณ์ในสองประเด็นที่ไม่แตกต่างไปจากกรณีล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น สุดท้ายเรื่องก็เงียบไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่ รอเวลาให้เกิดเรื่องใหม่เพื่อกลับเข้าสู่วงจรเดิมอีกครั้งจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราไม่ใช้บทเรียนที่เกิดให้ความรู้กับประชาชน ทั้งในเชิงป้องกัน และการเข้าถึงสิทธิที่พึงจะได้จากรัฐตามความคุ้มครองที่กฎหมายกำหนด
**โดยเฉพาะเรื่องสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากกว่าครึ่งประเทศ ไม่เคยรู้จัก “พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544” ซึ่งเป็นกฎหมายรับรองสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ แต่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาแล้ว 13 ปี กลับมีผู้ยื่นคำขอรับค่าตอบแทนความเสียหายเพียงแค่ร้อยละ 38 เมื่อเทียบจากสถิติคดีอาชญากรรมทั้งหมด
ที่สำคัญคือ ตามกฎหมายนี้ ไม่ได้ให้สิทธิเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนความเสียหายแต่ยังระบุ “หน้าที่ให้ช่วยเหลือในเรื่องคดีให้กับผู้เสียหาย”ด้วย ซึ่งประเด็นนี้แทบไม่เคยปรากฏให้เห็น เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบเอง ก็มุ่งที่จะวัดผลงานด้วยการจ่ายเงินมากกว่าการช่วยเหลือคดีในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
ล่าสุด คดีฆ่าข่มขืนบนรถไฟที่ครึกโครมอยู่เวลานี้ พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นตัวแทนของศูนย์เยียวยาเหยื่ออาชญากรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกระทรวงยุติธรรม ได้มอบเงินสดจำนวน 100,000 บาทให้กับมารดาของเหยื่อ ในสถานที่เดียวกับที่มีการจัดฉากให้ครอบครัวขอบคุณตำรวจ จนถูกประจานว่าส่งสคริปต์ให้ญาติสร้างภาพให้ตำรวจ
**สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนปัญหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ถนัดจัดฉากมากกว่าการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำด้วยว่ากระบวนทัศน์ของข้าราชการไทย ยังคงคับแคบ วนเวียนอยู่กับการเอาหน้า ใช้ความเสียหายของประชาชนมาประชาสัมพันธ์หน่วยงานตัวเอง
แทนที่จะดำเนินการทุกอย่างตามหน้าที่ และยุติบทบาทของตัวเองลงทันทีเมื่อการจัดอีเวนท์มอบเงินให้ญาติผู้เสียหาย เหมือนการมอบรางวัลในเกมโชว์ ทั้งๆ ที่การดูแลเพื่อให้ความช่วยเหลือกับผู้เสียหายในเรื่องคดี เป็นเรื่องจำเป็นที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเยียวยาด้วยเงิน
ความเจ็บปวดของสาวปริญญาโท ที่ถูกพนักงานการรถไฟข่มขืนบนรถไฟเมื่อปี 2544 ซึ่งถ่ายทอดความรู้สึกผ่านจดหมายถึงหัวหน้าคสช. เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความขมขื่นของคนตัวเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองอย่างโดดเดี่ยว เสียทั้งชื่อเสียง หน้าที่การงาน และสุดท้ายยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาใดๆ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมานานถึง 13 ปี
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ต้องไม่หยุดการช่วยเหลือเพียงแค่การจ่ายเงินหนึ่งแสนบาท แต่ต้องเป็นเจ้าภาพช่วยประสานติดตามให้การรถไฟฯ จ่ายค่าชดเชยที่เหมาะสมแก่ผู้เสียหาย หากมีความจำเป็นต้องฟ้องร้อง ก็ต้องจัดเจ้าหน้าที่มาดูแลคดีให้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ไม่ใช่ให้ผู้เสียหายต้องดิ้นรนเอาเอง
ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนต่อกรณีที่ศาลตัดสินให้หน่วยงานรัฐจ่ายชดเชยให้กับผู้เสียหายว่าไม่ควรจะมีการยื่นทุเลาคดีเพราะนอกจากทำให้เกิดความล่าช้าแล้วยังยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้เสียหายด้วย
"หลายท่านคงไม่รู้ว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเหตุการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนชีวิต และสุขภาพดิฉันไปตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่? ดิฉันต้องถูกบีบบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้ดีเพราะในสายตาของผู้บริหาร ดิฉันได้นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กรเพราะในการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันไปทำงานในนามของบริษัทดิฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทางจิตติดต่อกันมาหลายปี มีอาการประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ต้องเข้าบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนวัน ดิฉันมีอาการฝันร้ายผวาและหวาดกลัวคนรอบข้าง ไม่ไว้วางใจผู้คน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่านานนับหลายปี ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการสั่นของมือและเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่เพียงเล็กน้อย
ดิฉันจะมีภาวะตระหนก ควบคุมตนเองไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งถึงกับหน้ามืดเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึง 13 ปีดิฉันก็ยังประสบความยากลำบากที่จะมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ ด้วยความอ่อนแอทางสุขภาพจิตและการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลายปีทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต้องประสบกับความอับอายในสังคมทำให้ดิฉันต้องระเห็จมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศอย่างยากลำบากและรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำให้ล่าช้าอย่างไม่เห็นแ ก่มนุษยธรรมของท่าน"
**ข้อความข้างต้น คือเสียงจากเหยื่อที่ยังมีลมหายใจซึ่งน่าจะกระตุกให้ผู้มีอำนาจ และคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตระหนักว่าการช่วยเหลือในทางคดี เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย และผู้เสียหายไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ ให้คนมีอำนาจกรีดกรายมาโหนกระแส ถ่ายภาพ ให้เป็นข่าวผ่านสื่อเท่านั้น
กระแสเรียกร้องให้มีการกำหนดในกฎหมายให้การข่มขืนต้องลงโทษด้วยการประหารชีวิตเท่านั้น กับอีกกระแสหนึ่ง คือ การเรียกร้องให้ ประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในฐานะผู้บริหาร และจากพฤติกรรมบิดเบือนข้อมูลปัดความรับผิดชอบ โดยระบุว่า คนร้ายไม่ใช่เจ้าหน้าที่การรถไฟ แต่หลักฐานมัดว่าพูดโกหก ซึ่งกรณีที่สองได้รับการตอบสนอง คสช.ปลด ประภัสร์ไปแล้ว
เหตุรุนแรงที่เกิดในที่สาธารณะเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งและทุกครั้งสังคมไทยก็จะจมอยู่กับพายุอารมณ์ในสองประเด็นที่ไม่แตกต่างไปจากกรณีล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้น สุดท้ายเรื่องก็เงียบไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นในกอไผ่ รอเวลาให้เกิดเรื่องใหม่เพื่อกลับเข้าสู่วงจรเดิมอีกครั้งจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราไม่ใช้บทเรียนที่เกิดให้ความรู้กับประชาชน ทั้งในเชิงป้องกัน และการเข้าถึงสิทธิที่พึงจะได้จากรัฐตามความคุ้มครองที่กฎหมายกำหนด
**โดยเฉพาะเรื่องสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากกว่าครึ่งประเทศ ไม่เคยรู้จัก “พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544” ซึ่งเป็นกฎหมายรับรองสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ แต่กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาแล้ว 13 ปี กลับมีผู้ยื่นคำขอรับค่าตอบแทนความเสียหายเพียงแค่ร้อยละ 38 เมื่อเทียบจากสถิติคดีอาชญากรรมทั้งหมด
ที่สำคัญคือ ตามกฎหมายนี้ ไม่ได้ให้สิทธิเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนความเสียหายแต่ยังระบุ “หน้าที่ให้ช่วยเหลือในเรื่องคดีให้กับผู้เสียหาย”ด้วย ซึ่งประเด็นนี้แทบไม่เคยปรากฏให้เห็น เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบเอง ก็มุ่งที่จะวัดผลงานด้วยการจ่ายเงินมากกว่าการช่วยเหลือคดีในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
ล่าสุด คดีฆ่าข่มขืนบนรถไฟที่ครึกโครมอยู่เวลานี้ พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นตัวแทนของศูนย์เยียวยาเหยื่ออาชญากรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกระทรวงยุติธรรม ได้มอบเงินสดจำนวน 100,000 บาทให้กับมารดาของเหยื่อ ในสถานที่เดียวกับที่มีการจัดฉากให้ครอบครัวขอบคุณตำรวจ จนถูกประจานว่าส่งสคริปต์ให้ญาติสร้างภาพให้ตำรวจ
**สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนปัญหาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ถนัดจัดฉากมากกว่าการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำด้วยว่ากระบวนทัศน์ของข้าราชการไทย ยังคงคับแคบ วนเวียนอยู่กับการเอาหน้า ใช้ความเสียหายของประชาชนมาประชาสัมพันธ์หน่วยงานตัวเอง
แทนที่จะดำเนินการทุกอย่างตามหน้าที่ และยุติบทบาทของตัวเองลงทันทีเมื่อการจัดอีเวนท์มอบเงินให้ญาติผู้เสียหาย เหมือนการมอบรางวัลในเกมโชว์ ทั้งๆ ที่การดูแลเพื่อให้ความช่วยเหลือกับผู้เสียหายในเรื่องคดี เป็นเรื่องจำเป็นที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเยียวยาด้วยเงิน
ความเจ็บปวดของสาวปริญญาโท ที่ถูกพนักงานการรถไฟข่มขืนบนรถไฟเมื่อปี 2544 ซึ่งถ่ายทอดความรู้สึกผ่านจดหมายถึงหัวหน้าคสช. เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความขมขื่นของคนตัวเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองอย่างโดดเดี่ยว เสียทั้งชื่อเสียง หน้าที่การงาน และสุดท้ายยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาใดๆ เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมานานถึง 13 ปี
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นอีก กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ต้องไม่หยุดการช่วยเหลือเพียงแค่การจ่ายเงินหนึ่งแสนบาท แต่ต้องเป็นเจ้าภาพช่วยประสานติดตามให้การรถไฟฯ จ่ายค่าชดเชยที่เหมาะสมแก่ผู้เสียหาย หากมีความจำเป็นต้องฟ้องร้อง ก็ต้องจัดเจ้าหน้าที่มาดูแลคดีให้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ไม่ใช่ให้ผู้เสียหายต้องดิ้นรนเอาเอง
ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนต่อกรณีที่ศาลตัดสินให้หน่วยงานรัฐจ่ายชดเชยให้กับผู้เสียหายว่าไม่ควรจะมีการยื่นทุเลาคดีเพราะนอกจากทำให้เกิดความล่าช้าแล้วยังยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้เสียหายด้วย
"หลายท่านคงไม่รู้ว่า หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเหตุการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนชีวิต และสุขภาพดิฉันไปตลอดกาลอย่างสิ้นเชิง ท่านรู้หรือไม่? ดิฉันต้องถูกบีบบังคับให้ออกจากงานที่กำลังไปได้ดีเพราะในสายตาของผู้บริหาร ดิฉันได้นำความเสื่อมเสียมาสู่องค์กรเพราะในการเดินทางครั้งนั้น ดิฉันไปทำงานในนามของบริษัทดิฉันต้องเข้าโรงพยาบาลทางจิตติดต่อกันมาหลายปี มีอาการประสาทหลอน ควบคุมสติไม่ได้ต้องเข้าบำบัดรักษาอย่างต่อเนื่อง ทุกคืนวัน ดิฉันมีอาการฝันร้ายผวาและหวาดกลัวคนรอบข้าง ไม่ไว้วางใจผู้คน วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่านานนับหลายปี ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอาการสั่นของมือและเมื่อมีเหตุการณ์อะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจ แม้แต่เพียงเล็กน้อย
ดิฉันจะมีภาวะตระหนก ควบคุมตนเองไม่ได้ และหลายต่อหลายครั้งถึงกับหน้ามืดเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถึง 13 ปีดิฉันก็ยังประสบความยากลำบากที่จะมีชีวิตเยี่ยงคนปกติ ด้วยความอ่อนแอทางสุขภาพจิตและการต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องหลายปีทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต้องประสบกับความอับอายในสังคมทำให้ดิฉันต้องระเห็จมาตั้งต้นชีวิตใหม่ในต่างประเทศอย่างยากลำบากและรอคอยกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำให้ล่าช้าอย่างไม่เห็นแ ก่มนุษยธรรมของท่าน"
**ข้อความข้างต้น คือเสียงจากเหยื่อที่ยังมีลมหายใจซึ่งน่าจะกระตุกให้ผู้มีอำนาจ และคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตระหนักว่าการช่วยเหลือในทางคดี เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย และผู้เสียหายไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ ให้คนมีอำนาจกรีดกรายมาโหนกระแส ถ่ายภาพ ให้เป็นข่าวผ่านสื่อเท่านั้น