xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมถึงกลัวเอเอสทีวี

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

เด็กคนหนึ่งเติบโตมาในค่ายทหารที่จังหวัดลพบุรี เพราะบิดาเป็นนายทหารอยู่ที่นั่น เขามีความขยันเรียนเพราะมีเป้าหมายชีวิตว่าโตขึ้นจะเป็นทหารบกเหมือนพ่อ

แล้วชีวิตที่มุ่งมั่นก็นำพาเขามาสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จหลังสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยได้ จบมารับราชการและไต่เต้าจนเป็นผู้บัญชาการทหารบก

วันนี้เขาไปไกลกว่าที่ตั้งความหวังไว้มาก เพราะกลายเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายชะตากรรมของบ้านเมือง

ชะตาชีวิตของคนเราบางครั้งก็พลิกผันไปเกินความคาดหมาย

คนเราล้วนมีความมุ่งหวังและปรารถนาในชีวิตที่แตกต่างกัน คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหวังจะทำอาชีพสื่อมวลชน เพราะเห็นว่านี่เป็นอาชีพอิสระที่สามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมและบ้านเมืองได้

พวกเขาเข้ามาทำงานกับเครือ ASTVผู้จัดการเพราะมองว่า เป็นกลุ่มสื่อมวลชนที่กล้าจะออกมาต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง เครือ ASTVผู้จัดการออกมาต่อต้านนักการเมืองคอร์รัปชัน พูดถึงความจงรักภักดี และการหวงแหนแผ่นดินไทย

แน่นอนว่าการต่อสู้กับผู้มีอำนาจรัฐ แม้จะเป็นอำนาจรัฐที่ฉ้อฉล แต่ผลพวงแห่งการต่อสู้ที่ได้มาก็คือ การถูกสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุน ใช้อำนาจรัฐกลั่นแกล้ง และตามมาด้วยข้อหากบฏก่อการร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจรัฐ

ครั้งหนึ่ง รศ.บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา พูดถึง เครือ ASTVผู้จัดการ ว่า บทบาททางการเมืองของ ASTV ก็คือ “ทีวีดาวเทียม” ซึ่งเป็นหัวหอกของสื่อใหม่ที่อยู่นอกระบบสื่อกระแสหลัก มีสถานภาพลอดรัฐ และต้นทุนในการเผยแพร่ต่ำ เป็นจุดที่ ASTV สามารถทำอะไรแรงๆ แบบ “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าใครจะคิดอย่างไร ที่เรียกกันว่า การปฏิรูปสื่อในวันนี้เป็นความปรารถนาของนักการเมืองเป็นหลัก รัฐบาลนี้ตั้งใจขนาดที่จะจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาควบคุมจริยธรรมของสื่อ เป็นประเด็นที่สื่อกระแสหลักดูจะเห็นด้วย เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรกับ ASTV ได้ แต่ในสังคมเปิด การควบคุมทางจริยธรรมบังคับไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นจากภายในวิชาชีพนั้นๆ เอง

สิ่งที่อาจารย์บุญรักษ์พูดนั่นคงหมายถึงรัฐบาลในยุคสังคมเปิดนั้นไม่สามารถใช้อำนาจรัฐเข้ามาจัดการกับการจำกัดเสรีภาพสื่อมวลชนแบบทื่อๆ ได้

แต่วันนี้เมื่ออำนาจรัฐเปลี่ยนมือ ชะตากรรมพลิกผันให้คนคนหนึ่งกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ ชะตากรรมของคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาทำอาชีพสื่อมวลชนหลายร้อยชีวิตก็ต้องพลิกผันไปด้วย พวกเขาถูกคำสั่งปิดตายจนต้องหาทางดิ้นรนเพื่อให้องค์กรของตัวเองอยู่รอดด้วยการออกไปเร่ขายของข้างถนน เพราะเอเอสทีวีไม่ใช่ทีวีที่รับเงินสนับสนุนจากพรรคการเมือง

ไม่ใช่สวรรค์บันดาลหรอกครับ แต่มาจากบันดาลของคนเพียงคนเดียว

ทั้งๆ ที่ในฐานะทำอาชีพสื่อมวลชนมาทั้งชีวิต ผมกลับคิดว่า ไม่ว่าเราอยู่ในอำนาจแบบไหน เราไม่ควรถูกมองว่า อาชีพสื่อมวลชนกลายเป็นอาชญากรหรือภัยของสังคมเลย แต่วันนี้เรากลับถูกสั่งระงับให้ออกอากาศให้พวกเราหยุดทำงาน หยุดอาชีพที่เราภาคภูมิใจว่าเราเป็นกระบอกเสียงของสังคม เป็นตะเกียงที่ส่องนำทางสังคม ราวกับว่า เราเป็นอาชญากรที่เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง

อยากจะถามกลับไปยังผู้มีอำนาจว่า เราเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมืองตรงไหน

หลังเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ องค์รัฏฐาธิปัตย์ได้ออกประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 18/2557 เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ที่บอกว่าให้งดเว้นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะแบบไหนบ้าง ผมย้อนไปอ่านกี่รอบก็ไม่เห็นมีข้อไหนที่เราปฏิบัติตัวตามข้ออ้างในประกาศฉบับดังกล่าวเลย

ถ้าจะมีอยู่บ้างก็คือ โดยหน้าที่ของเราต้องพูด “ความจริง” แต่ “ความจริง”ก็ไม่น่าเป็นอันตรายต่อคนที่คิดดีต่อชาติบ้านเมือง

ทั้งๆ ที่ไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมะจะสอนให้คนเรารับฟังในความเห็นต่าง และประวัติศาสตร์มีบทเรียนมาแล้วว่า การผูกขาดความจริง และการยัดเยียดความจริงในสิ่งที่ตัวเองเชื่อนั้นเป็นต้นเหตุของความแตกแยก ความรุนแรง และสงครามมาแล้ว เพราะคนที่มีอำนาจจะใช้กำลังเข้าจัดการคนที่ไม่เชื่อฟังตัวเอง จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งสูงส่งเพียงไหน ธรรมชาติบอกกับเราว่า การเปิดใจรับฟัง การน้อมรับเสียงวิจารณ์ การเปิดใจที่จะเรียนรู้นั้นเป็นหนทางของความสำเร็จมากกว่าการเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกต้องฝ่ายเดียว การไม่ยอมแก้ไขหรือดัดแปลงตัวเองนั้นจะยิ่งทำให้คนนั้นคับแคบขึ้น

การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขปัญหาบางเรื่องอาจจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่การเปิดใจรับฟังเป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน การใช้ “คำสั่ง” เป็นเครื่องมือในการทำงานนั้นอาจจะมีความจำเป็นในบางหน่วยงานบางเรื่อง แต่ขึ้นชื่อว่า “โลก” แล้วนั่นย่อมหมายถึงความหลากหลายกว้างไกลไม่มีขอบเขต และมีหลากหลายมิติที่ไม่มีใครจะมาผูกขาด “โลก” เอาไว้ด้วยตัวเองได้

โลกทั้งโลกและคนไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมที่ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกันด้วยความบังเอิญ แต่มันพิสูจน์แล้วว่า นี่เป็นวิธีการที่น่าจะดีกว่าการใช้ “อำนาจ” บังคับขู่เข็ญเหมือนในอดีต

ไม่มีใครขัดขวางการเข้าสู่อำนาจของ คสช.ซ้ำยังเห็นถึงความจำเป็นและเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในยามนี้ได้ แต่จะกลัวสื่อไปทำไมถ้าหนทางที่เข้ามาบริหารประเทศนี้เป็นไปด้วยความปรารถนาดี และเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง ทำไมไม่เก็บสื่อไว้เป็นกระจกสะท้อนการทำงานของตัวเอง และเป็นเครื่องมือที่จะประคับประคองตัวเองให้อยู่ในวิถีที่ถูกต้องชอบธรรม

นอกเหนือจากการรับฟังความเห็นต่างแล้ว ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่คนเป็นผู้นำและผู้ปกครองต้องมีไม่ว่าคุณจะเข้าสู่อำนาจแบบไหนก็คือ หัวใจที่เป็นธรรม เพราะถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีวันที่จะเป็นผู้ปกครองที่ดีได้

สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงพล.อ.ประยุทธ์ ลงในคอลัมน์นี้เพื่อถามเหตุผลว่า ทำไมจึงยังไม่เปิดเอเอสทีวี ทั้งที่เราทำตามเงื่อนไขทุกอย่างตั้งแต่การปรับผังรายการ และยื่นเรื่องผ่านทั้ง คสช.และ กสทช.แบบที่ช่องทีนิวส์และวอยซ์ทีวีทำ และกสทช.ก็ประกาศแล้วว่าช่องเอเอสทีวีผ่านเงื่อนไขของ กสทช.แล้ว เหลือเพียงรอให้ คสช.ประกาศถอนชื่อจากคำสั่งที่ 15 เท่านั้น และคนที่จะประกาศถอนได้มีคนเดียวก็คือพล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ

แต่วันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ

ไม่ต้องบอกหรอกว่า ทำไมเอเอสทีวีถึงยังกลับมาออกอากาศไม่ได้ ตอบคำถามสิครับว่า ท่านอนุญาตให้ทีนิวส์และวอยซ์ทีวีออกอากาศด้วยเหตุผลอะไร แล้วทั้งสองสถานีนี้แตกต่างจากเอเอสทีวีอย่างไร

ผมถามด้วยว่า เอเอสทีวีเป็นสถานีที่ออกมาต่อสู้กับนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมือง สู้เพื่อความเป็นธรรม และเป็นสถานีที่ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือไม่ มีส่วนไหนของการทำหน้าที่สื่อมวลชนของเอเอสทีวีที่เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง เอเอสทีวีเป็นสถานีที่รับใช้นักการเมืองพรรคการเมืองเพื่อแย่งชิงการเข้าสู่อำนาจรัฐหรือไม่

แล้วตอบคำถามหน่อยสิครับว่า ทำไมท่านถึงกลัวเอเอสทีวี
กำลังโหลดความคิดเห็น