xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มเห็นเค้าลาง“รัฐบาลคสช.” ลอกแบบยุค“จอมพลสฤษดิ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับธรรมนูญปกครองที่กำลังจะคลอดออกมาเป็นกติกาสูงสุดชั่วคราวในการบริหารประเทศ
หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และหัวหน้าคสช.ทำการรัฐประหารเพื่อควบคุมอำนาจการบริหารประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยมีประกาศคสช.ออกมาเป็นเครื่องมือในการบริหารรวม 74 ฉบับ และคำสั่งคสช.อีก 67 ฉบับ
สำหรับธรรมนูญปกครองที่มี “เนติบริกร”อย่างวิษณุ เครืองาม เป็นหัวเรือใหญ่ในการยกร่างซึ่งยังไม่มีใครทราบว่าเนื้อหาในธรรมนูญดังกล่าวจะกำหนดขอบเขตอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การมีรัฐบาลเอาไว้อย่างไร และจะวางบทบาท อำนาจระหว่างนายกรัฐมนตรีกับหัวหน้าคสช.ให้มีการยึดโยงกันอย่างไร
**หากพิจารณาจากท่วงท่าการบริหารตลอดจนประกาศและคำสั่งของคสช. จะเห็นได้ว่า คสช.คงไม่ปล่อยมือให้การบริหารไปอยู่กับครม.ชุดใหม่ง่าย ๆ เว้นแต่ครม.ที่จะเกิดขึ้นกับ คสช.ที่มีบทบาทในการบริหารด้านต่าง ๆ จะเป็นชุดเดียวกัน
ในการรัฐประหารปี 2534 และ 2549 มีการเปลี่ยนรูปตัวคณะรัฐประหาร เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านอำนาจไปยังรัฐบาลคือในปี 2534 รสช.เปลี่ยนรูปเป็น สภา รสช. ส่วนปี 2549 คปค.เปลี่ยนรูปเป็นคณะมนตครีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. มีจุดเชื่อมโยงการบริหารประเทศไว้ที่มาตรา 34 คือ
ประธานคณะมนตรีฯ อาจขอให้มีการประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแก้ปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เช่นเดียวกับในปี 2534 ก็มีการกำหนดอำนาจให้รสช.เข้าไปมีบทบาทในการบริหารของรัฐบาลได้เช่นเดียวกัน "…กรณีที่เห็นสมควร ประธานสภารสช.หรือนายกรัฐมนตรีอาจขอให้มีการประชุมร่วมกันเพื่อร่วมพิจารณาและแก้ไขปัญหาอันเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน…"
** จึงต้องจับตาดูว่าธรรมนูญปกครองยุคพล.อ.ประยุทธ์ จะมีการให้น้ำหนักกับ คสช. ในการเข้าไปครอบงำการบริหารประเทศของรัฐบาลในอนาคตอย่างไร
แต่สิ่งที่น่าจะไม่แตกต่างจากการรัฐประหารทั้งสองครั้งที่ผ่านมาคือ คณะรัฐประหารคือผู้คัดเลือกบุคคลที่จะมาทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งเท่ากับว่า คสช. จะเป็นผู้ควบคุมการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ต่างจากสภาปฏิรูปที่จะมีขึ้นในอนาคต แม้จะออกแบบให้มาจากการสรรหาจากหลากหลายสาขาอาชีพ
**แต่สุดท้ายก็ต้องจบลงที่มือของคสช.อยู่ดี
ขณะเดียวกันสิ่งที่จะมีผลโดยตรงต่อระบบการปกครองต่อจากนี้ไปคือการกำหนดอำนาจของหัวหน้าคสช.-นายกรัฐมนตรีว่าจะมีขอบเขตอย่างไรจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนที่เคยบัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครองยุค จอมพลสฤษดิ์ ปี 2502 ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 หรือไม่ ซึ่งมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะมีการกำหนดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเอาไว้ เพียงแต่จะเข้มข้นมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
ทั้งนี้ หากพิจารณาตามประกาศและคำสั่งของคสช.ทั้งหมด สะท้อนว่ารัฐบาลใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นนั้นไม่มีอิสระในการกำหนดนโยบายหลักให้กับประเทศมากนักเนื่องจากทั้ง คสช. ได้วางแนวทางไว้ครอบคลุมเกือบหมด ทั้งในรายละเอียดและภาพกว้างที่กำหนดเป็นโรดแมปบริหารประเทศสามระยะ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับการรัฐประหารในยุคจอมพลสฤษดิ์ ที่คณะรัฐประหารคือ ผู้บริหารประเทศเองโดยกำหนดแผนการดำเนินงานไว้ในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ดังนี้
1. เนื่องจากการกระทำครั้งนี้เป็นการปฏิวัติไม่ใช่เพียงรัฐประหารอย่างที่เคยกระทำกันมาในครั้งก่อนๆ คณะรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในชั้นนี้จึงจะเป็นรัฐบาลปฏิวัติในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลปฏิวัติจะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมีจำนวนตามสมควรแก่กิจการที่จะต้องบริหารดังจะได้ประกาศรายนามให้ทราบต่อไป
2. จะได้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์รายชื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะได้ประกาศต่อไป
3. นอกจากหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วจะได้ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่เป็นสภานิติบัญญัติในระยะเวลาปฏิวัติอีกด้วยการออกกฎหมายในระยะนี้ต้องผ่านสภานี้ นอกจากนั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญยังมีอำนาจหน้าที่อย่างอื่นซึ่งจะได้บัญญัติไว้ในประกาศตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ
4. จัดการแก้ไขและปรับปรุงเศรษฐกิจแห่งชาติให้ดีขึ้น และเข้าสู่มาตรฐานที่พึงพอใจโดยนำเอาหลักนิยมในระบอบประชาธิปไตยมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย ทั้งในทางกสิกรรมและอุตสาหกรรมสำหรับงานนี้จะได้ตั้งคณะกรรมการวางแผนการเศรษฐกิจแห่งชาติทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้เป็นแผนการถาวร ซึ่งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นภายหลังจะต้องยึดถือเป็นทางปฏิบัติสืบเนื่องกันไม่ยกเลิกหรือเปลี่ยนใหม่ง่ายๆตามอารมณ์ของผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาล จะได้ประกาศชี้แจงให้ราษฎรทราบและเข้าใจแผนการและผลที่ทำสำเร็จเป็นปีๆไป
5. เพื่อให้ได้ผลดังกล่าวในข้อ 4. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้แผนการเศรษฐกิจเป็นแผนการถาวรที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติสืบเนื่องกันไป จะต้องให้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในระหว่างรัฐธรรมนูญกับแผนการเศรษฐกิจและจะต้องเอาหลักการเศรษฐกิจเข้าบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเท่าที่จะทำได้และจะต้องประกาศแผนดำเนินการเศรษฐกิจไปพร้อมๆกับการประกาศใช้รัฐธรรมนูญหรือในเวลาใกล้ชิดกัน
6. แก้ไขปรับปรุงระเบียบการคลัง การปกครองการศึกษา และอื่นๆ บรรดาที่อยู่ในลักษณะงานปฏิวัติ โดยออกเป็นกฎหมายผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ
7. เมื่อได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ร่างขึ้นแล้วการบริหารประเทศก็จะได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนั้น
เชื่อว่าแนวทางของ คสช.ก็คงไม่แตกต่างไปจากยุคจอมพลสฤษดิ์เท่าใดนักนอกจากเรื่องของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูป ซึ่งคสช.แยกส่วนให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติและให้สภาปฏิรูปทำหน้าที่ในการกำหนดประเด็นและกฎหมายที่ต้องปฏิรูปไปจนถึงประเด็นในการจัดทำร่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะมีคณะกรรมการยกร่างตามมาในภายหลังแต่ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ใช้สภาเดียวทำทุกอย่างในนามของสภาร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนการบริหารงานด้านต่างๆ คสช.ก็กำหนดไว้ในประกาศฉบับต่าง ๆ ไปแล้วโดยมีหัวหน้าคสช.และรองหัวหน้า คสช.ทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการชุดต่าง ๆ
**จนน่าสงสัยว่าครม.ชุดใหม่จะมีอำนาจอะไรในการบริหารหรือเป็นเพียงแค่ได้ชื่อว่าเป็นคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น